http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5119326/L5119326.htmlตอนที่ 11 ของ นายนพพร
“วิกฤตของชีวิต”
“...ใคร คนที่เคยรู้ใจ รอยยิ้มที่เคยรู้จัก กำลังจะหายลับไปทุกที
คำพูดที่ซึ้งใจ ที่เคยว่ารักมากมาย ไม่มีอีกแล้วนับจากนี้
แต่คนจะไป ก็ต้องไป รักเท่าไหร่ แต่ฉันคงทำ ได้เท่านี้
ได้แต่ยินยอมรับความเจ็บปวด และฉันจะอดทนแม้แทบขาดใจ
ไม่อาจจะวิ่งหนีความจริง ที่มันโหดร้าย จะพร้อมจะยอมเข้าใจความเปลี่ยนแปลง
จะอยู่เพื่อเรียนรู้ความเจ็บปวด จะฝืนเดินต่อไป แม้ไร้เรี่ยวแรง
และคงมีที่ซักวันหนึ่ง ฉันจะเข็มแข็ง แม้ไม่รู้ ต้องนานซักเท่าไหร่...”
(ความเจ็บปวด : Palmy Eve ปานเจริญ)
แหวน เพื่อนร่วม partition ของผม นับว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจความเจ็บปวดของผมได้มากที่สุด แม้ว่า แหวนเองจะไม่สามารถบรรเทาความทุกข์ร้อนของผมลงได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกดี ที่อย่างน้อยก็ยังมีแหวน เคียงข้าง และเข้าใจผมอยู่เสมอ
แหวนเคยถามผมครั้งหนึ่งว่า ผมจริงจังกับความสัมพันธ์ของผมกับน้อยแค่ไหน ผมตอบแหวนไปว่า คงเหมือน จอห์น กับ ที มั้ง (ละครเรื่อง รักแปดพันเก้าของ exact เมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนนี้จบไปแล้วครับ) แหวนบอกผมว่า ขอให้ นพกับน้อย เหมือน จอห์น กับ ที นะ สุดท้ายแล้วก็จบลงได้ด้วยดี ครั้งนั้น ผมยิ้มรับกับคำพูดของ แหวน และ คิดอยู่ในใจว่า ผมก็หวังจะให้มันเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่...
อย่างที่บอก ผมเผชิญกับ พฤติกรรมของน้อยที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ น้อยเองก็คงมองว่าผมเปลี่ยนไปเช่นกัน ผมโทรเกาะติดน้อยมากขึ้น โมโหใส่น้อยมากขึ้น ผมร้องไห้กับเขาบ่อยมากขึ้น หากจะถามผมว่า ผมอยากทำอย่างนั้นหรือไม่ ผมคงไม่อยากเป็นอย่างนั้นหรอกครับ ระยะหลังๆน้อยมักจะว่าผมเสมอว่า เวลาผมมีปัญหาอะไรก็เอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ แล้วมันจะช่วยอะไรได้ นั่นสินะ ผมเองอาจจะร้องไห้ เพื่อให้น้อยสงสาร เห็นใจผม และ ให้เรากลับมารักกันเหมือนเดิม โดยผมไม่ได้คิดเลยว่า น้ำตาของผม มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ต่อให้ผมพยายามร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็ตาม หากน้อยจะไปแล้ว คงไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความต้องการของเขา
*
ในช่วงวิกฤตของชีวิตในครั้งนี้ของผม อะไรๆรอบตัวผมก็ช่างดู อ่อนไหว ไปหมด ผมกลายเป็นคนร้องไห้ง่ายๆ แค่ดูหนัง ฟังเพลง อะไร อะไร ก็ดูเศร้าไปหมด จะทำอะไรก็หดหู่ใจ เวลานอนก็นอนไม่หลับ เวลาตื่นก็ตื่นนอนไม่ไหว (แต่ยังพอกินข้าวกินปลาได้) ผมเคยร้องไห้จนกระทั้งหลับไปตอนนั้นก็ไม่รู้ตัว ช่วงนั้น หนวดเคราผมก็ไม่โกน ผมย้อนมาดูรูปถ่ายตัวเองในช่วงนั้นเลยรู้ว่า ผมโทรมเอามากๆ ดูคล้ำลง ลงพุง ไม่มีราศีเอาซะเลย
มีครั้งหนึ่ง ผมดูรายการ talk show รายการหนึ่ง ซึ่งเขาพยายาม ศัลยกรรม ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีปัญหาเรื่องหนังตา ดันให้ลูกตาปูดและถล่นขึ้นไป (ค่อนข้างน่ากลัวครับ) ทางรายการพยายามรักษาให้ ผู้หญิงคนนี้ กลายเป็นปรกติมากที่สุด จริงๆผู้หญิงคนนี้มีสามีแล้วนะครับ ดูผู้ชายก็เป็นคนดีเอามากๆ แม้ผู้หญิงจะเป็นแบบนี้ก็ยังรัก มีตอนนึง ที่พิธีกรถามผู้ชายว่า อยากให้ ภริยาหายเหมือนคนปรกติไหม ผู้ชายกลับบอกว่า ไม่อยาก เพราะกลัวว่า ถ้าภริยาเขาเหมือนคนปรกติ แล้วจะทิ้งเขาไป คำพูดของผู้ชายคนนั้นเพียงเท่านั้น เหมือนกับมีอะไรโดนใจผมเข้าอยากแรง พอผมฟังแค่นั้น ผมก็ร้องไห้ออกมา เท่าที่น้ำตาผมจะมี
ตอนเช้า แหวนเห็นผมก็ทักผมว่า ทำไมตาผมบวมเป็นมะนาวเลย ผมเล่าให้แหวน ฟังเรื่อง สองสามีภริยาคู่นี้อีกครั้ง (แหวนเองไม่ได้ดู) ผมเล่าไปก็ร้องไห้ไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมกลายเป็นคนอ่อนไหวเอามากๆ เหตุผลที่ผม in กับเรื่องของสองสามีภริยานี้อาจจะเพราะว่า ผมสะเทือนใจกับคำพูดของผู้ชายคนนี้ ผมนับถือน้ำใจเขาจริงๆครับ ที่สามารถมองผ่านรูปกายภายนอก เข้าไปถึงจิตใจของผู้หญิงคนนั้นได้ ไม่ว่าผู้หญิงจะน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาใครๆ แต่ผู้ชายก็ยังรัก และ รักมั่นคง รักจนกลัวว่าผู้หญิงจะไม่รักเขา ทั้งๆที่ผู้หญิงเองต่างหาก ต้องเป็นฝ่ายกลัวว่าผู้ชายน่าจะทิ้งเขาไปหาผู้หญิงคนใหม่มากกว่า
ผมรับรู้เรื่องราวของคู่นี้แล้วก็มาย้อนดูตัวเอง ผมมีอะไรบ้างที่สู้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ ถึงผู้หญิงคนนี้ฐานะทางสังคม และการศึกษาอาจจะจำกัดไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงคนนี้มีมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือ เธอโชคดีที่มีผู้ชายคนนั้น คนที่รักเธอมากกว่าใครๆ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ผมแสวงหาว่าผมอยากจะมีอย่างเธอบ้าง ผมคงทำบุญมามากไม่เท่าเธอในเรื่องนี้จริงๆ
*
มีช่วงหนึ่งที่ ฝ่ายของผม rotate งานใหม่ ผมเลยไม่ได้นั่งร่วม partition กับแหวนอีก แต่เปลี่ยนไปนั่งคู่กับ พี่ผู้หญิงคนนึง ชื่อ พี่อ้อ พี่อ้อ เธอเป็นคนน่ารัก คุยสนุก และชอบดูหนังเกาหลีเป็นที่สุด (ผมก็ได้ดู autumn in my heart เพราะพี่อ้อนี่แหละครับ เอามาให้ผมยืมดู คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นเผาเต่าแค่ไหน เอาเป็นว่า ผมลืมตาไม่ขึ้นเลยก็แล้วกัน วันรุ่งขึ้นก็ใส่ contact lens ไม่ได้เจ็บตามากๆ ผมนึกในใจว่าผมหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เรื่องตัวเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ยังคิดจะดูหนังเศร้าในช่วงที่สภาวะจิตใจไม่เป็นปรกติอีก)
ผมทำตัวงี่เง่ามากๆอีกครั้งนึงในชีวิต หลังจากที่ช่วงหลังๆ ผมโทรหาเขา เขาก็ไม่รับ message ไปก็เหมือน ข้างหินลงน้ำ (โยนเงินให้ operator ครั้งละ 3 บาท ทิ้งไปเล่นๆ) ผมขอยืมโทรศัพท์พี่อ้อ โทรหาน้อย น้อยรับสายผม อาจจะเพราะไม่รู้ว่าเป็นผมโทรไป
น้อย : “สวัสดีครับ”
นพพร : “น้อย ผมเอง คุณกับผมหน่อยนะ ผมอยากคุยกับคุณ”
น้อย : “ผมยุ่งอยู่นพ กำลังติดอีกสายนึงอยู่ เอาไว้ค่อยคุยกันนะ”
นพพร : “ผมสำคัญน้อยกว่า สายที่คุณคุยอยู่เหรอน้อย” ผมคิดไปได้ยังไงว่าตัวเองยังสำคัญสำหรับน้อยอยู่... ผมคิดผิดเอามากๆ
น้อย : “แค่นี่ก่อนแล้วกัน....” น้อยวางสายไป โดยไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ
คงไม่ต้องบอกว่าผมจะรู้สึกยังไง ผมเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์อยู่ซักพัก ก่อนกลับมานั่งทำงานเหมือนเดิม ทั้งๆที่จิตใจก็ยังคงย่ำแย่กับสิ่งที่น้อยทำกับผมเมื่อซักครู่ ผมกะพี่อ้อ ชอบฟังเพลงพอๆกัน ผมเลยเอาวิทยุเล็กๆไว้เครื่องนึง ตั้งระหว่างผมกับพี่อ้อ ตอนนั้น เพลงที่ผมจะพูดถึงกำลัง promote อยู่เลยครับ
“...หยุดไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก จะให้ทำอย่างเธอนั้นมันไม่ได้หรอก
หยุดไม่ได้หรอก หากว่าทำอย่างนั้นมันฝืนใจ
จบไม่ได้หรอก จากไม่ได้หรอก ฉันรักเดียวใจเดียว
เธอคนเดียวเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น
สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันต้องเลิกคบเธอ
เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจ ยังไงยังงั้น
สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ
ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจตาย...”
(หยุดไม่ได้...ขาดใจ : อ๊อฟ ปองศักดิ์)
พี่อ้อ : “นพ นพ พี่ชอบเพลงนี้จัง เพราะดีเนอะ” พี่อ้อพูด โดยไม่รู้ว่า ผมกำลัง in กับเนื้อหาของเพลงนี้อยู่เหมือนกัน...พลางคิดไปว่า พี่สีฟ้า แต่งเพลงนี้ให้ผมอีกแล้วเหรอนี่...
นพพร : “ครับ เพราะดี พี่อ้อครับ พี่อ้อเคยรู้สึกเหมือนเพลงนี้บ้างหรือเปล่า พี่อ้อเคยรักใคร และหยุดรักไม่ได้เหมือนเพลงนี้ไหมครับ”
พี่อ้อ : “อืม... พี่เคยคบกับผู้ชายคนนึง ตั้งแต่ เรียนมหาวิทยาลัย แล้วก็พึ่งเลิกกันไปก่อนจะเข้ามาทำงานที่นี่ นี่ก็เป็นเหตุผลที่พี่ออกจากที่ทำงานเดิมทั้งๆที่มีแต่คนคัดค้าน แต่ว่าพี่ไม่สามารถอยู่กับ บรรยากาศเดิมๆ เจอผู้คนเดิมๆได้ (ก็คงรวมทั้งหมอนั้นด้วย...ผมคิดในใจ) แม้ว่าที่นี่จะให้เงินเดือนน้อยกว่าที่เดิม พี่ก็ถือว่าพี่สบายใจมากกว่า ถ้าจะถามว่า พี่รักใครมาก จนขาดไม่ได้ ถึงกับต้องหยุดหายใจไหม นพก็เห็นว่า พี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ แม้ว่า ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ มันจะผ่านไปยากซักหน่อย นพรู้ไหม ตอนเลิกกันแรกๆ พี่ก็ทำใจไม่ได้ พี่นั่งนับวันว่า ไม่ได้คุยกับเขามากี่วันแล้ว นับจนวันหนึ่งจำไม่ได้ว่านับเป็นวันที่เท่าไหร่ สุดท้ายพี่ก็เลิกนับไปเอง...ว่าแต่นพเถอะมีอะไรหรือเปล่าถึงถามพี่แบบนี้”
นพพร : “ผมกำลังคิดว่า ผมกำลังจะหยุดหายใจ...”
พี่อ้อ : “อะ อะ อะ ไปรักสาวไหน แล้วเขาไม่รับรักเธอหรือจ๊ะ” พี่อ้อไม่รู้เรื่องของผมมาแต่ต้น และผมไม่เคยคุยเรื่องนี้ให้เขาฟัง
ผมนิ่ง ไม่ได้ตอบอะไร มีแต่น้ำตา ที่ไหลออกมา อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
พี่อ้อ : “นพ นพ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบไปเลย... เฮ้ย ร้องไห้ทำไม... โอ้ โอ้ ไม่มีใครรัก แต่พี่ก็รักเธอนะ...”
นพพร : “ขอบคุณครับพี่อ้อ...” ผมพูดอะไรต่อไม่ไหวแล้ว เลยตอบพี่อ้อไปแค่นี้
เวลาคนมีปัญหาหรือความทุกข์ใจเรื่องอะไร เราก็จะจับจด คิดซ้ำๆ วนไปเวียนมาอยู่เรื่องเดิม เหมือนพายเรือในอ่าง ผมเองก็เช่นกัน ผมมานั่งนึกว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา เกิดอะไรขึ้นกับน้อย ผมเองอยู่ไกลมาก จนไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เขาเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ และความห่างไกลนี่ ทำให้ใจเขาเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่ ผมไม่มีทางรู้ได้เลยซักนิด
เวลาที่เราอยากรู้อะไร แล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ เราก็จะเป็นทุกข์ ผมพยายามคิดแล้วคิดอีก คิดทบทวนไปมาว่าน้อยมีคนอื่นหรือไม่ ผมทำอะไรผิดน้อยจึงเปลี่ยนไป แหวนเองก็วิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้ว่า น้อยอาจจะมีคนอื่น แม้ว่าผมค้านอยู่ในใจลึกๆว่า เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่ผมก็คงปฎิเสธได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่า น้อยจะไม่มีคนอื่นจริงๆ สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นคือ ผมได้แต่เฝ้าโทษตัวเองว่าผมทำอะไรผิดไป ผมทำตัวน่ารำคาญสำหรับเขาหรือเปล่า หรือว่าผมจู้จี้กับเขามากไปหรือเปล่า หรือว่างานของน้อยที่ส่งให้ผมขออนุมัติมีปัญหา หรือว่าผมงี่เง่าอะไรกับเขาทำให้เขารำคาญหรือเปล่า ผมพยายามหาจุดบกพร่องของผม และพยายามเยียวยาแก้ไขมันให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จริงๆแล้ว ผมคิดว่า สาเหตุสำคัญอาจจะเพราะ น้อยเองก็ไม่กล้าคบกับผมอย่างเปิดเผย ทำให้น้อยเองก็อึดอัด น้อยอาจจะแคร์สังคมหรือสายตาคน พี่บล(เพื่อนร่วมงานน้อยที่ผมเคยเล่าให้ฟัง)ก็อาจจะมีส่วนกดดันน้อย เอาเรื่องความสัมพันธ์ของน้อยกับผมไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง จนน้อยเองอาจจะเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมงาน มีแต่คนคอยจับจ้องเวลาน้อยคุยกับผม แต่นั้นก็เพียงการคาดเดาของผมเท่านั้น สุดท้ายผมก็ไม่สามารถหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงได้ น้อยเองไม่เปิดโอกาสให้ผมรับรู้ถึงปัญหา และหาทางแก้ไข สิ่งที่ผมรู้เพียงสิ่งเดียวก็คือ “น้อยไม่รักผมแล้ว” จริงๆเพียงแค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับเหตุผลที่น้อยทิ้งผมไป
ความรักบนความทุกข์ของผม ทำให้ผมไม่เป็นปรกติเหมือนเก่า แม้ผมพยายามจะไม่ให้เรื่องส่วนตัวกระทบกับเรื่องงานมากนัก แต่ผมก็ไม่สามารถทำงานได้ประสิทธิภาพอย่างเดิมได้ จากที่ผมไม่เคยมาทำงานสาย ผมก็กลายเป็นคนที่ตกเส้นเป็นประจำ งานที่ผมทำก็ผิดพลาดเยอะมากขึ้น ทั้งๆที่ผมพยายามเอาใจใส่กับงาน ระหว่างเวลางานผมก็พยายามไม่คิดถึงน้อย แต่ทำอย่างไรได้ครับ ผมยังคงต้องอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ แม้ว่าผมจะไม่ได้ทำงานที่ทำงานเดียวกับน้อยก็ตาม แต่ผมก็ยังต้องเห็นงานน้อยเข้ามาอยู่ในมือผม แค่เห็นลายเซนต์น้อย ผมก็แทบจะทำอะไรไม่ได้แล้ว มีแต่น้ำตาที่ไหลเปื้อนเอกสารของน้อย ผมเหมือนคนไร้สติ เฝ้าแต่ลูบคล้ำลายเซนต์ของน้อยแล้วก็คิดถึงหน้าของเขา คิดถึงคำพูดของเขา ที่บอกว่า รักผม รักผม...
วิกฤตชีวิตของผม ย่อมอยู่ในสายตาของ ทุกๆคนในที่ทำงานที่วิพากษ์วิจารณ์ผมไปต่างๆนานา จริงๆผมเองไม่ค่อนจะสนใจใครเท่าไหร่ และคิดว่าคงไม่มีใครสนใจเรื่องของเราไปได้ตลอดเวลา ผมคิดว่า พี่น้ำเองก็คงรู้ว่าผมมีปัญหา แต่พี่น้ำค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ แม้แกจะรู้ว่าผมมีอะไรที่ผิดปรกติไปบ้าง แต่แกก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไรผมรุนแรง พี่น้ำบอกผมแค่ว่า ให้ผมรับผิดชอบงานของผมให้ดีที่สุด ให้ดีสมกับที่แกเคยไว้วางใจผมมาโดยตลอด
แต่คนอื่นๆสิครับ... ไม่เหมือนพี่น้ำ แหวนเล่าให้ผมฟังว่า มีหลายคนถามแหวน เพราะเห็นว่าผมสนิทกับแหวน และ ทานข้าวกับแหวนเป็นประจำ (แต่ระยะหลังๆ ตั้งแต่ rotate งาน และ restructuring องค์กร ผมไม่ได้นั่งข้างแหวนแล้ว ผมก็เลยไม่ค่อยได้ทานข้าวเที่ยงกับแหวน ส่วนหนึ่ง เพราะเรานั่งไกลกัน แล้วก็มีเหตุการณ์ประมาณว่า แฟนแหวน ซึ่งทำงานอีกฝ่ายในบริษัท เข้าใจผิดว่า ผมกับแหวน สนิทสนมกันเกินเพื่อน (ก็คงมีใครเอาไปพูดให้พี่วิน แฟนแหวนรู้เข้าล่ะครับ พี่วินเลยเข้าใจผมผิด) ผมเลยตัดปัญหา แยกกันทานข้าวกับแหวนแล้วกัน... แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมสนิทกับแหวนน้อยลง) คนเหล่านั้นถามแหวน เรื่องผม ประมาณว่า ผมมีปัญหาอะไร อกหักหรือเปล่า ดูเงียบๆ ซึมๆ เห็นผมร้องไห้ ตาบวม บางคนถามแหวนตรงๆเลยว่า ผมกับน้อยเป็นแฟนกันใช่ไหม เห็นเขาดูสนิทกันมาก ... สังคมที่ทำงานก็คงเป็นแบบนี้ ทุกๆที่ (ผมว่านะ) ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะยังไม่มีใครกล้ามาถามผมตรงๆ ผมก็ได้แต่สงสารแหวน ที่ต้องคอยปฏิเสธแทนผมอยู่เรื่อยๆ ว่าไม่มีอะไร นพแค่มีปัญหาเรื่องงาน ทำงานไม่ทันนิดหน่อย เท่านั้น ที่ผมตกใจก็คือ แม้แต่หัวหน้าแหวน (แหวนย้ายไปขึ้นกับหัวหน้าอีกคนที่ไม่ใช่พี่น้ำ แต่อยู่ระดับเดียวกัน) ก็ยังถามแหวนว่า ผมมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แถมยังบอกว่า ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไร เขาแค่เห็นผมอาจจะมีปัญหา ก็เลยเป็นห่วงเท่านั้นเอง (ไม่รู้ว่าห่วงผมจริงๆหรืออยากรู้เรื่องผมกันแน่...แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่ได้สนิทสนมอะไรกับแกมากขนาดต้องมาคิดมากเรื่องนี้ แค่เรื่องน้อย ผมก็แย่พอแล้ว)
ผมซึ้งใจมากที่แหวนตอบหัวหน้าเขาไปว่า ไม่ว่าพี่อยากจะรู้เรื่องผมด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แหวนก็ขอขอบคุณแทนผมที่เป็นห่วงผม ถ้าผมรู้ผมก็คงดีใจ ถ้าพี่เป็นห่วงนพจริงๆก็ขอพี่อย่างหนึ่งว่าอย่าไปซ้ำเติมนพด้วยการมองนพ แล้ววิพากษ์วิจารณ์นพ เสียๆหายๆอีกเลย... You are my best friend แหวน... ผมยังคิดเลยว่าแหวนช่างกล้าจริงๆ ที่พูดแบบนั้น เอาเถอะ อย่างที่บอก ผมไม่ค่อยสนใจใครแล้วในขณะนั้น ใครจะมองผมเป็นไร ใครจะนินทาผม หาว่าผมวิปริต ผิดเพศอะไรก็ช่างเถอะ ผมแค่อยากได้น้อยคืนมา แค่นั้นก็พอ
วันสุดท้ายที่ผมรู้ว่า ผมไม่มีทางได้น้อยกลับคืนมาก็คือ ผมให้แหวนโทรหาน้อยให้หน่อย ครั้งแรกๆที่ผมทะเลาะกับน้อย ก็ให้แหวนนี่แหละ คอยช่วยคุยกับน้อยให้ผม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมคิดว่า นี่อาจจะเป็นวิธีการสุดท้ายที่ผมสามารถจะดึงน้อยกลับคืนมาได้ น้อยสัญญากับแหวน ว่า น้อยจะคุยกับผมเอง วันนั้นผมดีใจมาก ผมเฝ้ารอ โทรศัพท์น้อยตลอดทั้งวัน และ คิดว่า วันนี้ผมจะคุยกับน้อยดีๆ ไม่โมโหใส่เขา ไม่ร้องไห้กับเขาอีก กว่าน้อยจะโทรหาผมก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มกว่า แต่ช่างเถอะให้ผมรอนานกว่านี้ ผมก็รอได้
น้อย : “นพมีอะไรหรือเปล่า”
นพพร : “น้อย... น้อยอย่าวางสายนะ คุยกับนพนะ นพอยากคุยกับน้อยนะ...”
น้อย : “มีอะไรก็ว่ามา...พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า”
นพพร : “น้อย...น้อยเป็นอะไรไปหรือเปล่า นพทำอะไรผิดไปหรือเปล่า น้อยถึงไม่โทรหานพเลย”
น้อย : “ผมแค่อยากรู้ว่า ถ้าเราไม่ได้คุยกัน ผมจะคิดถึงคุณไหม ผมจะทนได้หรือเปล่าที่ไม่ติดต่อกับคุณอีก ก็เท่านั้น”
นพพร : “แล้วคุณทนได้ไหม คุณคิดถึงผมบ้างหรือเปล่าน้อย”
น้อย : “มันยังไม่นานพอที่จะพิสูจน์ได้”
นพพร : “แค่ผมทนไม่ได้นะน้อย ผมทนไม่ได้ที่จะสูญเสียคุณไป ผมทำอะไรไม่ดี คุณบอกผมนะ ผมจะปรับปรุงตัวทุกอย่าง แค่ขอให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมนะน้อย...” ไม่เหลือแล้วครับ ศักดิ์ศรีของผม
น้อย : “แค่นี้ก่อนนะนพ ผมจะนอน ผมง่วงแล้ว”
นพพร : “อย่าพึ่งวางสายนะ... น้ อ ย ย ย ย ย ย” น้อยวางสายไปโดยไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ
ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำอะไรอีกแล้วครับ ผม message ฝากแหวนลาป่วยให้ผมพรุ่งนี้ ผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆได้ ว่าหัวใจที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความรู้สึกนั้นเป็นยังไง ภาพของผู้ชายคนนึง นอนกอดหมอนแล้วร้องไห้อย่างข่มขืน ใต้ผ้าหม่ คงจะบรรยายถึงความรู้สึกของผมได้ คงซักเพียงครึ่งเดียวกับความรู้สึกของผมที่มีอยู่ คืนนั้น ผมแน่ใจแล้วว่า ผมสูญเสียน้อยไปจริงๆ ผมไม่มีวันจะได้น้อยกลับคืนมาแล้วจริงๆ
วันเวลาที่โหดร้ายของผมดำเนินมาเรื่อยๆ ผมเหมือนเข้ามาถึงจุดกึ่งกลางของความเหวลึกซึ่งผมมีทางเลือกสองทาง คือ ผมจะปล่อยให้ตัวเอง ถล้ำลึกลงสู่ก้นเหว หรือว่าผมจะพยายามปีนป่ายขึ้นมาจากเหวนั้นให้ได้ ผมควรจะเลือกทางไหนดีครับ ตอนต่อไปคือคำตอบครับ.... ผมจะพยายาม pose ให้ทัน เพื่อฉลองวันวาเลนไทน์ครับ