พิมพ์หน้านี้ - [story]นายนพพร by นพพร

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-01-2007 00:43:07

หัวข้อ: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-01-2007 00:43:07
ตอนที่ 1 ผมไม่เคยคิดเลยว่า เวลาที่มีความสุขจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั้งผมได้เจอกับตัวผมเอง…..
                สวัสดีครับ เพื่อนๆสวมลุมฯ(นอกเรื่อง)ทุกท่าน อย่าคิดว่ามันเป็น กระแสของ reality show ทั้งในจอ TV และ จอ computer เลยนะครับ ที่ต่างก็มีรายการ แบบ reality show เต็ม TV เมืองไทยไปหมด จนกระทั้งลามมาจนถึง internet ที่มีหลายท่าน มาเปิดเผยชีวิตของตนเองในแง่มุมต่างๆ ผมขอเป็นอีกคนที่ขอเล่าชีวิตจริง ของผม (ส่วนหนึ่ง) ในเพื่อนๆ อ่าน ผมเองไม่ได้ คาดหวังว่าจะมีคนมาอ่านมากมายแค่ไหน สิ่งที่ผมตั้งใจคือ ผมอยากบรรยายความทรงจำของผมออกมาเป็น ลายลักษณ์อักษร รวมทั้ง ให้ สวมลุมฯ(นอกเรื่อง) เป็น diary เล่มใหญ่ของผม ที่มีเพื่อนๆ คนอื่น share ประสบการณ์กับผมบ้าง ก็เท่านั้นเอง (ผลพลอยได้ที่ผมแอบหวังคือ ผมหวังว่าคู่กรณีของผมจะได้อ่าน ซึ่งมันก็เป็นความหวังเล็กๆน้อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ได้ เอาเถอะ...อย่างที่ผมบอก ผมถือว่ามันเป็นผลพลอยได้ ซึ่งถ้าไม่ได้ผมก็ไม่ติดใจอะไร)
 
 จริงๆแล้วผมเอง อ่านกระทู้ / ตอบกระทู้ (ที่ผมพอจะมีความรู้อยู่บ้าง) และ ตั้งกระทู้ที่ผมสงสัยเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่เคยคิดจะ ตั้งกระทู้ยาวๆ แบบที่ผมคิดจะทำต่อไปนี้มาก่อน จนกระทั้ง เพื่อนผม แนะนำให้ผมอ่าน กระทู้ของคุณแอร์กี่ ซึ่งผมก็เป็นอีกคนที่ติดตามพี่แอร์กี่ เหมือนเพื่อนๆ ในสวนลุมฯ(นอกเรื่อง) ทุกท่าน (แต่กว่าผมจะรู้จักพี่แอร์กี่ และได้อ่านเรื่องสนุกๆของพี่เขา พี่แอร์กี่ก็เขียนเกือบจนเกือบจะจบแล้วล่ะครับ) พี่แอร์กี่ครับ... พี่เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม เขียนกระทู้เล่าเรื่องของผม ผมขอบคุณพี่จริงๆครับ
ในฐานะที่ผมเองก็เป็นลูกค้าประจำของพันธุ์ทิพย์คนหนึ่ง แต่ผมเอง ไม่เคยแวะมาเที่ยวที่ สวนลุมฯ เลย (ทั้งๆที่ทำงานของผมก็ออกจะใกล้สวนลุมฯ ผมยังเคยไปวิ่งออกกำลังกาย และ aerobic ตอน 6 โมงเย็นบ้างเป็นบางวัน) ส่วนใหญ่ ผมก็ติดอยู่แถวๆ รัชดา หรือไม่ก็ มาบุญครอง อยู่ 2 ที่นี่แหละ... ตอนนี้มีเวลาเยอะขึ้น(เพราะผมตกงานแล้ว) ผมเลยได้มีโอกาส เปิดกะลาตัวเอง เที่ยว สวมลุมฯ เฉลิมไทย ฯลฯ บ้าง (ให้แวะทุกห้องก็ท่าจะไม่ไหว...)
 
 ผมอ้อมเกือบจะรอบกรุงเทพฯแล้ว มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ก่อนอื่นใด ผมต้องขอแนะนำ ตัวละครเอก (ผมยังไม่รู้เลยว่า จะต้องใช้ตัวละครกี่ตัว ผมแนะนำตัวละครสำคัญๆของเรื่องก่อนแล้วกัน)
1. ผมเอง ชื่อ นพพร เป็นชื่อที่เพื่อนๆสมัย มัธยมปลายเรียกกัน จนมันกลายเป็นชื่อผมไปจริงๆซะแล้ว สาเหตุเนื่องจาก หนังสืออ่านนอกเวลาเรื่อง “ข้างหลังภาพ” แต่อย่าเอาไปเทียบกับ คุณ เคน ธีระเดช ที่เคยรับแสดงในบทนี้นะครับ ผมไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น (แค่ใกล้เคียง...ฮิฮิ) เรื่องนี้นี่แหละ ที่เป็นแรงผลักดันให้ผมอยากเรียน เศรษฐศาสตร์ อย่างคุณนพพรในเรื่อง (ซึ่งตอนนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเรียน เศณษฐศาสตร์แล้ว จบไปผมจะทำอะไร รู้แต่ว่า โก้ดี สาวกรี๊ดแน่ๆ เด็กศิลป์ คำนวณอย่างผม จะไป ent อะไรได้เยอะแยะ ไม่รู้เพื่อนผมคนนั้นจะจำได้หรือเปล่า ว่ามันตั้งชื่อผมแบบนี้ (หลังจากผมเล่าให้มันฟังว่าผมอยากเรียน เศรษฐศาสตร์ เพราะ ตัวละครตัวนี้ หลังจากนั้น มันก็เริ่มเรียกผมว่า นพพร นพพร มาโดยตลอด ) เอาเป็นว่า หลังจากนั้นใครๆก็เรียกผม นพพร ไปกันหมดแล้ว แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้เข้าคณะเศรษฐศาสตร์อย่างที่หวัง แต่ไป ent ติดอีกคณะแทน ต่อไปทุกท่านคงรู้เอง ว่าผม เรียนอะไร  (ผมเป็น เด็กเอ็นท์ ในระบบเดิม ที่เลือกคณะ ได้ 4 คณะ ตั้งแต่ตอนสมัคร ไม่ใช่ระบบ A net O net อย่างในปัจจุบันหรอกนะครับ)
2. คู่กรณีของผม “น้อย” (อดีต) ของผม และเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมดที่ผม กำลังจะเล่าให้เพื่อนๆฟัง น้อยเป็นคนใต้ เขามาเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ ในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งใหญ่เนื่องจาก ent ไม่ติด จริงๆน้อยเคยเข้ามาสอบ quota ในมหาวิทยาลัยปิดแห่งหนึ่ง แต่ว่าสอบไม่ได้ จริงๆ เขาไม่ใช่คนเรียนไม่เก่งหรอกนะครับ ผมว่า เด็กต่างจังหวัด โอกาสแข่งขันค่อยข้างน้อย ทำให้ น้อย ขาดโอกาสในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมมากกว่า
3. พี่น้ำ พี่น้ำเป็นหัวหน้าผมเอง ในที่ทำงาน พี่น้ำ ใจดีกับผมมาก ทั้งๆที่ผมเองก็ดื้อกับแกไว้เยอะ...(จริงๆ ผมควรจะเรียกพี่น้ำ ว่าป้ามากกว่า เพราะอายุพี่น้ำก็พอๆกับแม่ผม แต่ในที่ทำงาน ทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด บางครั้งผมเผลอเรียกแกว่าป้าแกก็แอบโกรธๆอยู่บ้าง)
4. พี่นารี พี่นารีเป็นพี่ที่ทำงานของผมอีกคนนึง แต่ว่าพี่นารีอยู่ที่สาขาของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ พี่นารีแก่กว่าพี่น้ำอีกครับ (ตอนนี้ พี่นารีเกษียณไปเรียบร้อยแล้ว) โดยหน้าที่การงานของผม ทำให้ผมต้องติดต่อพี่นารีอยู่บ่อยๆ จนสนิทกัน พี่นารีเป็นคนน่ารักมากๆอีกคนนึงของผม (สุดท้ายผมก็ปวารณาตัวเป็นลูกชายของพี่เขาจนได้) พี่นารีสอนงานผมเยอะ ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดถึงพี่นารีอยู่ตลอด แม้จะไม่ได้คุยกันเยอะเหมือนก่อน
5. เพื่อนแหวน เพื่อนแหวนเข้าทำงานก่อนผม 1 ปี จริงๆ แหวนอายุมากกว่าผมประมาณ 3 ปี รหัสมากกว่าผม 2 รุ่น แรกๆผมก็เรียก พี่แหวนๆ อยู่เหมือนกัน แต่นานวันเข้า ด้วย เธอทำตัว ab เด็ก อยู่ตลอด คำว่าพี่ก็กลืนลงคอไปตามกาลเวลา สุดท้ายก็กลายเป็นเรียก แหวน เฉยๆ เพื่อนแหวนก็คงเต็มใจ (แกมถูกบังคับ)ให้เป็นเพื่อนผม เพื่อนแหวนเป็นกำลังใจให้ผมตลอดเวลา จนถึงปัจจุบัน และเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องราวของผม ผมสนิทกับแหวน เพราะว่าทำงานอยู่ group เดียวกัน และนั่งติดกัน
 
เอาล่ะครับ อรัมภบทมาเยอะ... ผมก็ขอเริ่มเรื่อง ความรักอันน้อยนิดที่ยิ่งใหญ่ของผมซักที
ผมเอง เรียน จบ ปริญญาตรีมา ประมาณ 3 ปีกว่าจะเริ่มทำงาน ทำไมเหรอครับ ก็ผมมัวแต่ไปเรียนต่อปริญญาโท และ เรียน เนติฯ (คราวนี้เพื่อนๆก็คงรู้แล้วว่า ผมจบอะไร) ตอนแรกผมไม่คิดว่าผมจะเรียนโทหรอก แต่ว่า ที่บ้านบังคับให้ผมเรียน ซึ่งผมก็เต็มใจ เพราะยังไม่อยากทำงาน เพราะคิดว่าถ้าทำงานแล้ว ผมคงไม่มีโอกาสสอบเนติฯผ่าน ปีแรก ผมก็ยังเรียนเนติฯไม่ผ่าน (ก็เกือบๆล่ะครับ ผมติดขี้เกียจมากไปหน่อย เลยไม่ได้ตั้งใจ) ระหว่างนั้น ผมก็เลยต้องเรียนโท ควบคู่ไปด้วย กลางวัน ผมก็อ่านหนังสือสอบเนติ ตอนเย็นผมก็ sitting ปริญญาโทของผม ที่คณะเดิมที่ผมเรียนปริญญาตรีนั้นแหละ... (ไปสอบที่อื่นก็กลัวจะสอบไม่ได้ แล้วมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน ผมก็คุ้นเคยกับ สถานที่ตรงนี้มาตั้งแต่ มัธยมแล้วฯ (รั้วโรงเรียนผมติดกับมหาวิทยาลัยนี้เลยครับ) ผมก็เลยไม่คิดจะไปเรียนที่อื่น) แต่พอผมเรียน course work จบ (ซึ่งผมก็เรียนเนติจบพอดี) ผมก็เหลือแต่ วิทยานิพนธ์ ซึ่งหัวข้อวิทยานิพนธ์ของผม ก็ผ่านแล้ว เหลือแต่เนื้อหาที่ต้องทำนี่แหละ ผมก็เลยต้องคิดหางานทำแล้ว สุดท้ายผมได้งานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ในย่านธุรกิจ ซึ่งมี สาขาทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 400 สาขา (ผมจำตัวเลขไม่ได้แน่นอน...แล้วมันก็เพิ่มมากขึ้นทุกวันด้วยสิ โดยเฉพาะ micro branch)
ในที่ทำงานของผม ซึ่งมีพี่น้ำเป็นหัวหน้าผมโดยตรง ผมทำงานอยู่ใน สำนักงานใหญ่ ซึ่งมีสาขาเยอะแยะอย่างที่ผมบอก พี่นารี เป็นคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในสาขาแห่งหนึ่งของบริษัทนี้ที่จังหวัดแถบฝั่งทะเลอันดามัน (ที่ประสบภัย ซึนามิ แต่ครอบครัวพี่นารีอยู่ไกลจากทะเล เลยไม่มีปัญหาเหมือนคนอื่นๆ) ซึ่งเป็นสาขาในความรับผิดชอบของผม สาขาหนึ่งในตอนนั้น หน้าที่หลักของผม ผมก็ต้องนำเสนอขออนุมัติงานตามที่สาขาส่งมา (ซึ่งพี่น้ำ ก็แบ่งให้ลูกน้องแต่ละคนรับผิดชอบ คนละ ประมาณ 10-15 สาขา พอผมสรุปเนื้องาน ให้ความเห็นเรียบร้อยแล้ว เสร็จก็ต้องส่งให้พี่น้ำตรวจต่อว่าผมทำถูกหรือเปล่า) และประสานงานให้สาขาทำตามนโยบายบริษัท อะไรทำนองนี้แหละครับ ในระหว่างที่ผมทำงาน ผมก็ทำ thesis ของผมไปด้วย จนกระทั้ง ระยะเวลาใกล้จะส่งแล้ว ผมลาพี่น้ำ ในเดือนสุดท้ายที่ผมจะสอบ oral จนผมทำ วิทยานิพนธ์ผมเสร็จเรียบร้อย ถึงมันจะไม่ได้ ดี หรือ ดีมาก ก็ตาม ผมก็พอใจ เพราะกว่าผมจะทำมันเสร็จ ก็เลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน ผมต้องนั่งให้กำลังใจตัวเองทุกวัน ว่าผมต้องทำให้เสร็จนะ ไม่จบไม่ได้ ถึงค่าเทอมปริญญาโทผมจะถูกกว่าที่เรียนมหาวิทยาลัยอื่นก็เถอะ (ตอนผมเรียน ปริญญาตรี ผมเสียค่าเทอม 6,000 กว่าบาท ขึ้นอยู่กับ จำนวนหน่วยกิตที่ลง (หลังจากนั้นอีกไม่กี่รุ่น ทางมหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนระบบเป็นเหมาจ่าย 7,000 บาท ส่วนปริญญาโท ผมเสียค่าเทอมแค่ 13,000 บาท ซึ่งผมคิดว่า คงหาค่าเทอมที่ถูกขนาดนี้ไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว) พอผมเรียนจบ ผมก็กลับมาทำงานในหน้าที่เดิม ตำแหน่งเดิมของผม
 
แต่หลังจากที่ผมกลับมาทำงานอีกครั้งหลังจากไปสอบวิทยานิพนธ์ให้เสร็จเรียบร้อย พี่น้ำให้ผม due กับสาขาเพิ่มขึ้นจากเดิม (เนื่องจาก มีเด็กใน กลุ่มของพี่น้ำลาออก แล้วก็ยังหาพนักงานใหม่ไม่ได้) ซึ่ง สาขาที่ผมได้รับผิดชอบเพิ่มขึ้น หนึ่งในนั้นก็มี สาขาของน้อย คู่กรณีของผม ผมจำได้ วันแรกที่ผมทำงานร่วมกับน้อย พี่น้ำให้ผมติดต่อ หัวหน้าของน้อย ให้ส่งเอกสารตามที่พี่น้ำ list ให้ ผมติดต่อ หัวหน้าน้อย หลายครั้งแล้ว แต่ว่าโทรไปทีไรก็ไม่อยู่ซักที น้อยเป็นคนรับสายผมทุกครั้ง
นพพร : “สวัสดีครับ ขอสายพี่คิดครับ (หัวหน้าน้อย)”
น้อย : “พี่คิดไม่อยู่ครับ มีเรื่องอะไรฝากไว้ไหมครับ”
 นพพร : “พี่น้ำให้ผมติดต่อ พี่คิดให้ส่งเอกสารตัวนี้ให้หน่อยครับ ผม fax ไปให้แล้ว ได้รับไหมครับ”
น้อย : “รอแป๊ปนะครับ ผมไปดูที่ fax ให้”..... “OK ได้รับแล้วครับ แต่คงต้องรอพี่คิดก่อนนะครับ พี่คิดไปพบลูกค้าครับ เย็นๆคงกลับ”
นพพร : “ขอบคุณครับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยกับน้อย ผมเองไม่ได้คิดอะไรกับน้อยในตอนนั้น และไม่คิดเลยว่า น้อยจะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมจนถึงตอนนี้
 
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-01-2007 08:54:00
อืม เห็นเรื่องนี้ในพันทิพแล้วละ แต่ยังไม่ได้อ่าน
ยังไงจะรออ่านในนี้ละกัน  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Junrai_Hyper™ ที่ 18-01-2007 09:22:45
เรื่องนี้นะเอง

คุ้นๆ อะ

 :confuse:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-01-2007 16:55:35
ติดตามกันได้นะครับ จะเร่งให้ทันในพันทิพ

********************************

ตอนที่ 2 ของ นายนพพร 
“จุดเริ่มต้น”
 
                ขอบคุณ ทุกๆท่านนะครับ ที่ติดตามรับชม เรื่องของนพพร ตอนแรกๆก็ยังกลัวๆว่า เขียนๆไปจะมีใครมาอ่านหรือเปล่า เรื่องมันก็ไม่ได้โลดโผนอะไรมากมายนัก ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนซักกี่ตอนดี ในแต่ละตอนจะสั้นยาวแค่ไหน แค่ plan ไว้คราวๆว่าจะเขียนอย่างไรบ้าง (แต่ถ้า rating ดีก็อาจจะยืดได้อย่างละคร ช่องคุณนาย red label ฮิฮิฮิ)
เข้าเรื่องดีกว่านะครับ ผมเองหลังจากติดต่อกับน้อยเมื่อวันนั้นแล้ว ผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับน้อยเลย จริงๆก็ยังไม่รู้จักน้อยซะด้วยซ้ำ เพียงแต่พี่น้ำ เล่าให้ฟังว่า น้อยเป็นลูกน้องพี่คิด พึ่งมาใหม่ เมื่อไม่นานมานี้ (ผมคิดว่า เขาอาจจะเข้ามาทำงาน ตอนผมยุ่งๆเรื่อง thesis ผมเลยไม่ทราบว่าที่สาขานี้มีพนักงานเข้ามาใหม่ และ อาจจะเพราะเป็นสาขาที่พี่น้ำพึ่งจะให้ผมรับผิดชอบ ผมก็เลยไม่ค่อยจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสาขานี้มากนัก)
 
หลายวันผ่านไป ผมกำลังจะนำเสนองานให้พี่ที่สาขาคนนึง ที่อยู่สาขาเดียวกับน้อยนี่แหละครับ ชื่อ พี่นิลุบล พี่นิลุบลเอง ก็อายุไม่ต่างจากพี่น้ำของผมมากนัก อาจจะอ่อนกว่านิดหน่อย ลูกสาวพี่นิลุบล เรียน วิศวะ มหาวิทยาลัยเดียวกับที่ผมเรียน แต่ เป็นรุ่นน้องผม ซักสอง-สามรุ่นได้ (แต่ผมก็ไม่ค่อยจะได้แวะไป แถวๆคณะนี้หรอกครับ เพราะว่าไกลจากคณะของผมมาก เขาเรียกกันว่า คณะผมอยู่ฝั่งบ้านนอก แต่ว่า วิศวะ อยู่ฝั่งในเมือง)พี่นิลุบลเองก็พยายามจะตีสนิทกับผม ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นพี่ มหาวิทยาลัยเดียวกับลูกสาวแก (ทั้งๆที่ผมก็ไม่รู้จักลูกสาวแกเลยซักนิด) แต่ผมว่า สาเหตุหลักคือ พี่นิลุบล (ต่อไปผมขอเรียกชื่อพี่แกสั้นๆว่า พี่บล แล้วกันนะครับ) พึ่งจะย้ายมาทำส่วนงานนี้ได้ไม่กี่ปี (ผมว่า น่าจะพอๆกับผม ผมพึ่งเข้ามาทำงาน แล้วพี่บลก็ย้ายมาทำงานส่วนงานนี้พอดี) แกเลยทำงานไม่ค่อยจะคล่องนัก (ผมว่าเป็นข้ออ้างแกมากกว่า เพราะแกถูกส่งมาอยู่ตรงนี้ เพราะไม่มีหน่วยงานไหนอยากจะรับแกเข้าทำงานด้วย แกเลยถูกส่งมาอยู่ที่นี่ อย่างที่แกเองก็ไม่เต็มใจ พี่คิด ที่เป็นหัวหน้าแกเอง ก็ไม่ค่อยอยากจะรับแกมาเป็นลูกน้องซักเท่าไหร่ (พี่คิดเด็กกว่า พี่บลครับ พี่คิดพึ่งย้ายเขามาเป็นผู้จัดการของสาขานี้ ได้ข่าวว่าแกเคยมีผลงาน ระดับเพชร หารายได้เข้า บริษัท เป็นหลักสิบล้าน แกเลยได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว และด้วยความที่แกเป็นผู้จัดการมือใหม่ แกเลยเลือก ลูกน้องเองไม่ได้ แต่น้อย พี่คิดเป็นคนสัมภาษณ์เข้ามาเองกับมือ ผมก็พึ่งว่ารู้ที่หลังว่า พี่คิดก็หวังเอากับน้อยไว้สูง ว่าน้อยจะทำให้ผลงานแกเข้าเป้าทุกปี)) นี่เป็นสาเหตุหลักที่พี่บลจะต้องตีซี้กับผมไว้ เพราะถ้ามีเรื่องอะไร แกทำไม่เป็น แกก็จะโทรมาถามผมได้ ผมก็ต้องคอยตอบคำถามแกตลอด (ประหนึ่งผมทำเอง... แกเคยส่งงานที่จะต้องเสนอเข้ามา outlook มาให้ผมตรวจก่อนด้วยนะครับ เพราะถ้าแกส่งมาผิด พี่น้ำจะตีกลับแล้วแกจะเสียหน้า) ผมก็พึ่งจะมาทราบถึงความสัมพันธ์ของ หัวหน้า-ลูกน้อง คู่นี้ ว่า ต่างคนก็ต่างก็เขม่นๆกันอยู่ พี่คิดก็ไม่อยากจะรับพี่บลเป็นลูกน้อง (ด้วยความที่พี่บลแก่กว่า แกก็เลยไม่อยากจะฟังคำสั่งจากพี่คิดที่เด็กกว่าซักเท่าไหร่) พี่บลเองก็ไม่ได้ปรารถนาจะเป็นลูกน้องพี่คิด (พี่บลแกบอกผมว่า แกอยากย้ายไปสาขาอื่น แล้วแกก็ชื่นชมผู้จัดการคนนั้นคนนี้ให้ผมฟังว่า ทำงานดีกว่าพี่คิด แต่เชื่อเถอะ ถ้าพี่บลย้ายไปจริงๆ แกก็จะกลับมาด่าผู้จัดการคนที่แกเคยชื่มชมไว้ให้ผมฟัง...เศร้า)
 
 
กลับมาเรื่องงานที่พี่บลเสนอขึ้นมาอยู่ในมือผม ด้วยความไม่รอบคอบ หรือ ความขี้เกียจของแก ผมก็ไม่แน่ใจนัก แกเลยส่ง ข้อมูลมาไม่ครบ เพียงพอที่ผมจะเสนอพี่น้ำและผู้จัดการฝ่ายฯต่อไปได้ ผมเลยโทรไปหาพี่บลให้พี่บลส่งเอกสารให้ผมอีกครั้ง
นพพร : “สวัสดีครับพี่บล พี่บลครับ เรื่องลูกค้ารายนี้ ที่พี่บลส่งมาให้ผมเสนออนุมัติ มันยังขาดเอกสารอยู่ 2 – 3 อย่างอ่ะครับ พี่บล fax ให้ผมด่วนได้ไหมครับ ผมจะได้นำเสนอให้จะได้ อนุมัติเร็วๆไงครับ”.... (ลูกอ้อนของผมครับ แกจะได้ดีใจที่ผมตั้งใจทำงานให้แก จริงๆแล้ว ผมอยากให้งานของแกเสร็จเร็วๆ ผมจะได้ทำงานอื่นต่อ)
พี่บล : “อ้าว ! ต้องใช้ด้วยเหรอค่ะ พี่คิดว่า แค่นี้ก็ครบแล้ว”
(นพพร คิดในใจ : โถ่ พี่บล ถามมาได้ต้องใช้ด้วยเหรอ ผมล่ะงง พี่คิดจริงๆ ว่าก่อนที่พี่บลจะส่งงานมาให้ผมนี่ พี่คิดเคย ตรวจงานพี่บลก่อนส่งไหมนี่ หรือเซนต์มางั้นแหละ...ให้ตายสิ โรบิน จริงๆงานนี้ผมโทษทั้งพี่คิด พี่บล ทั้งคู่เลย พี่บลทำไม่เป็นก็ไม่รู้จักถาม ให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยส่งมา พี่คิดเอง เซนต์เสนองานให้พี่บล ก็ไม่อ่านก่อนหรอก ก็น่าจะรู้อยู่ว่าพี่บลทำงานไม่รอบคอบ)
นพพร : “ใช่ครับพี่บล ต้องแนบเอกสารตัวนี้ด้วย ถ้าไม่มี เดี๋ยว ฝ่ายฯ (ผมหมายถึงผู้จัดการฝ่ายฯของผม) จะไม่อนุมัติให้อ่ะครับ สงสัยต้องรบกวนพี่บลแล้วล่ะ”
(นพพร คิดในใจ : วันนี้มันเป็นเย็นวันศุกร์ ท่าทางพี่บลแกคงอยากจะรีบกลับบ้าน เลยขี้เกียจ รื้อเอกสารส่งมาให้ผมอีก นี่ถ้าผมอยู่ในที่ทำงานเดียวกับพี่บล ภาพที่ผมเห็นคงเป็นพี่บลกำลังจะแต่งหน้าทาปาก เตรียมตัวกลับบ้านแล้วล่ะ)
พี่บล : “อ่ะๆ ได้จ๊ะ นี่เห็นเป็นน้องนพนะนี่ พี่เลยรีบหาให้ จริงๆพี่กำลังยุ่งมากเลยจ๊ะ”
(นพพร คิดในใจ : คาดว่ายุ่งกับการปัด มาสคาร่าอยู่)
นพพร : “ขอบคุณพี่บลมากครับ ผมกะว่าจะทำให้เสร็จวันนี้เลยครับ วันจันทร์ ผมจะได้ fax ผลอนุมัติไปให้พี่บลด่วนเลย ดีไหมครับ” (จริงๆ ส่วนใหญ่งานที่ได้อนุมัติแล้ว ฝ่ายฯผมก็จะ ส่งไปทาง เมล์ธรรมดาครับ แต่สำหรับ สาขาที่ผมรับผิดชอบ ผมจะ fax ไปให้ พี่ๆที่สาขาก่อน พี่เขาจะได้สบายใจว่าได้รับอนุมัติแล้ว ผมเองก็ไม่ต้องกังวลว่าพี่เขาจะโทรมาตามหรือเปล่า แล้วงานผมก็จะไม่หลุดด้วย)
15 นาทีผ่านไป ผมได้รับ fax พี่บลแล้วแต่......
 
เอกสารที่พี่บล fax มามันไม่ใช่ที่ผมบอกแกไป สงสัยพี่บลคงรีบจัด ผมเองพอได้ fax แกเลยก็โทรกลับไปหาแกอีกครั้ง แต่แกไวกว่าผม พี่บลหายเข้ากลีบเมฆไปเรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้ผม มองเอกสารที่แก fax ผิดมาให้ผมอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผมเองยอมรับว่า ผมก็เป็นคนใจร้อนคนนึงเหมือนกัน ถ้าตั้งใจจะให้เสร็จก็ต้องเสร็จ พอไม่ได้ดังใจก็มีหงุดหงิดไปบ้าง
ผมนั่งลงที่โต๊ะทำงานซักพัก นั่งมองปฏิทิน และ รูปถ่ายที่ผมแปะไว้ที่ partition กำลังทำใจว่า ไม่เสร็จก็ไม่เสร็จ แต่แล้วผมก็นึกได้ว่า สาขานี้นอกจาก พี่บลแล้ว ยังมี น้อยอีกคน ผมน่าจะโทรไปรบกวนให้เขา fax มาให้ใหม่ ไวเท่าความคิดผมก็โทรไปหาน้อย แต่ว่า น้อยก็ไม่อยู่เช่นกันออกไปหาลูกค้าพร้อมพี่คิด แต่ไม่เสียหลาย พี่ที่นั้นให้เบอร์มือถือน้อยกับผม ผมลองโทรไปหาน้อยอีกครั้ง คราวนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมได้คุยกับน้อย
น้อย : “สวัสดีครับ” (ดูเสียง งง งง เพราะไม่คุ้นเบอร์)
นพพร : “เออ!! สวัสดีครับ ผม นพพรเองนะครับ จำผมได้ไหมครับ นพพรที่เป็นลูกน้องพี่น้ำ อยู่ประจำฝ่ายฯอ่ะครับ”
น้อย : “อ๋อ!! จำได้แล้วครับ มีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับ” (ส่วนใหญ่พวกที่อยู่สาขา จะกลัวและเกรงใจ พนักงานประจำฝ่ายฯ เพราะว่าอยู่ใกล้นายมากกว่า ถ้างานบกพร่อง ฝ่ายฯสามารถรายงาน กรรมการผู้จัดการใหญ่ได้)
นพพร : “คุณน้อยยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ผมมีเรื่องจะรบกวนนิดหน่อย แต่ว่าไม่ใช่งานคุณน้อยนะครับ เป็นงานของพี่บล พี่บลส่งเอกสารมาไม่ครบ ผมติดต่อพี่บลไม่ได้แล้ว เลยอยากจะรบกวน คุณน้อยส่งมาให้หน่อย”
น้อย : “พอดีผมออกมาหาลูกค้ากับพี่คิดครับ วันนี้ไม่ได้เข้าที่ทำงาน กำลังจะกลับบ้านแล้วครับ คุณนพพร รีบหรือเปล่าครับ รอผมซักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวผมกลับรถไปเอาให้”
นพพร : “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมตั้งใจจะทำให้เสร็จวันนี้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันจันทร์ ผมติดต่อพี่บลอีกทีแล้วกันครับ ไงก็ขอบคุณมากครับ ไม่รบกวนดีกว่าครับ”
น้อย : “อืม คุณนพพรมาทำงานพรุ่งนี้หรือเปล่าครับ ผมคิดว่าจะเข้ามา clear งานนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวผมจะ fax เอกสารไปให้”  ....น้อยเสนอ
นพพร : “ผมก็ตั้งใจจะเข้ามา clear งานเหมือนกันครับ ถ้าคุณน้อยตั้งใจจะมาทำงานอยู่แล้ว งั้นผมคงต้องรบกวนด้วยแล้วกันครับ ไงก็ขอบคุณล่วงหน้าครับ”
หลังจากผมวางสายของน้อย ผมมีความรู้สึกดีๆ กับน้อยขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ไม่ใช่งานตัวเอง แต่ก็ยังกระตือรือร้น พยายามช่วยผม ทั้งๆที่คุยกันน้อยมากๆ แต่เขากลับมีน้ำใจช่วยงานผม แต่ผมเองก็ยังไม่ได้คิดอะไรกับน้อยไปมากกว่านี้ เบอร์โทรศัพท์น้อยที่ผมได้มา ผมก็ไม่ได้ memory ลงใน phonebook ของผม และก็ได้แต่รอเอกสารที่เขาจะ fax มาให้ผมพรุ่งนี้เท่านั้น
 
พอถึงวันเสาร์ ผมตื่นประมาณ 9โมงเช้าได้ ขึ้นรถไฟฟ้ามาถึงที่ทำงานแล้ว แต่ก็กะว่าจะหาอะไรซื้อขึ้นไปทานซักหน่อย จะได้ไม่ต้องลงมาอีก ระหว่างที่ผมกำลังซื้อขนมอยู่ น้อยก็โทรหาผม
น้อย : “สวัสดีครับ คุณนพพร อยู่ที่ไหนครับ เสียงดังจัง กำลังเดินห้างอยู่หรือครับ”
นพพร : “เปล่าครับ อยู่ในซอยข้างที่ทำงานครับ กำลังจะหาซื้ออะไรทาน ซักพักว่าจะขึ้นไปทำงานแล้วครับ นี่คุณน้อยถึงที่ทำงานแล้วเหรอครับ”
น้อย : “ยังหรอกครับ ผมกำลังอยู่ระหว่างทางไปที่ทำงานเหมือนกัน ผมจะโทรถามคุณว่า ลูกค้าพี่บลที่คุณนพพร ต้องการเอกสาร ชื่ออะไรนะครับ เมื่อวานผมขับรถอยู่ไม่ได้จดเอาไว้ เลยจำไม่ได้”
นพพร : “ครับ ชื่อราย นางสุดารัตน์.....ครับ” (ผมจำชื่อลูกค้าคนนี้ได้แม่น เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผม รู้จักกันน้อยอย่างจริงจัง)
น้อย : “ถ้างั้น คุณนพพร รอผมซัก 15 นาทีนะครับ ถ้าหาเจอแล้วจะ fax ไปให้ครับ”
นพพร : “ขอบคุณ คุณน้อยครับ”
 
 พอผมขึ้นไปถึงที่ทำงาน fax ของลูกค้ารายนี้ก็มาถึงแล้ว ผมสามารถนำเสนอเสร็จเรียบร้อยตามที่ plan ไว้ เตรียมส่งผลอนุมัติให้พี่บลได้ทันสายๆวันจันทร์ โดยที่พี่บลไม่รู้เลยว่า ที่งานเสร็จ เพราะน้อยช่วย fax เอกสารมาให้ผมอีกครั้ง หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับน้อยเลย (งานของน้อยยังไม่มีส่งขึ้นมาให้ผม เพราะว่าน้อยยังอยู่ในช่วง probation อยู่ครับ ผมเลยไม่ค่อยได้คุยกับน้อยเท่าไหร่ เพราะไม่มีงานของน้อยส่งมาให้เลย มารู้ทีหลังว่า น้อยพ้น pro หลังจากวันที่ผมคุยกับเขาไม่กี่วันเอง) และมันก็เป็นสาเหตุให้ผมไม่คิดจะ keep contact น้อย รวมถึงก็ยังไม่ได้ memory เบอร์น้อยลงเครื่องผมอีกด้วย
จนวันเสาร์ต่อมา ผมนัดกับเพื่อนที่เรียน ปริญญาโทด้วยกัน ไปรับชุดครุยที่สั่งตัดไว้ แถวๆตรอกมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ระหว่างที่อยู่ในรถ มีเบอร์แปลกๆ โทรหาผม นั่นคือ น้อยนี่เอง
น้อย : “สวัสดีครับ คุณนพพร ผมน้อยนะครับ วันนี้มาทำงานหรือเปล่าครับ”
นพพร : “สวัสดีครับ วันนี้ไม่ได้ไปครับ มารับชุดครุยที่ท่าพระจันทร์ครับ”
น้อย : “คุณนพพร พึ่งเรียนจบปริญญาตรีหรือครับ ได้งานเร็วจัง ทำงานก่อนรับปริญญาอีก”
นพพร : “เปล่าครับ ผมพึ่งจบปริญญาโทครับ ผมจบปริญญาตรีมา 4 ปีแล้วมั้งครับ”
น้อย : (คาดว่าคงตะลึง) “เหรอครับ เออ! ยินดีด้วยนะครับ คุณนพพรรับปริญญาเมื่อไหร่หรือครับ”
นพพร : “วันที่ 14 เดือนหน้าครับ ... ว่าแต่ที่โทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
น้อย : “ผมว่าจะโทรมาปรึกษาเรื่องงานกับคุณนพพรซักหน่อย ผมอ่านเอกสารของลูกค้ารายนึง แล้วคิดว่ามีปัญหาครับ เลยจะโทรมาถามคุณนพพรว่าควรจะทำยังไงดี”
นพพร : “ได้สิครับ ถามได้เลยครับ”
น้อย : “คุณนพพร ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ผมไม่อยากรบกวน”
นพพร : “ถามได้เลยครับ แต่ถ้าผมตอบไม่ได้ คงอาจจะต้องรอปรึกษาพี่น้ำวันจันทร์นะครับ”
ผมพูดคุยกับน้อย เรื่องปัญหาของลูกหนี้ของน้อยอีกนิดหน่อย เรื่องที่น้อยปรึกษาค่อยข้างยากเหมือนกัน เพราะว่าปัญหาเรื่องทางปฎิบัติของเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งผมเองก็ไม่มั่นใจที่จะตอบ เลยต้องบอกน้อยไปว่า แล้วผมจะพยายามหาคำตอบให้แล้วจะโทรบอกน้อยอีกที
การพูดคุยกับน้อยครั้งนี้นี่เอง ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับน้อย ค่อยๆก่อตัวขึ้น อย่างจริงจัง...ติดตามต่อ ตอนที่ 3 ครับ
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: taebin7 ที่ 18-01-2007 17:45:39
จะรออ่านนะคับ :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-01-2007 20:34:18
อืม คนสองคนในเมืองอันยุ่งเหยิงนี้
เมื่อถึงเวลาก็ได้มาพบกัน .....  :myeye:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 19-01-2007 13:58:26
รอ รอด้วยคนค่า  :haun2:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-01-2007 18:07:08
taebin7 suregirl  ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ  :myeye:

shell  กว่าจะเดินทางมาเจอกันก็ยากแล้วนะครับ แต่เขาจะยอมเดินไปด้วยกันกับเราต่อไหม  :monkeysad:

*********************************************************************************************************





ตอนที่ 3 ของนายนพพร
“ความสัมพันธ์”
 
ก่อนเริ่มเรื่องต่อไป ผมขอขอบคุณ เพื่อนๆในสวนลุมฯ (นอกเรื่อง) ทุกคนที่ ติดตามผลงานของผมอย่างใกล้ชิด ผมเห็นกระทู้ของนักเขียนหลายๆคน น่าสนใจเหมือนกัน ยังไงก็ขอบคุณมากๆครับที่สละเวลาอ่านเรื่องราวของนพพร และเป็นกำลังใจให้ผม ทั้งติดตามผลงานของผมมาโดยตลอด
มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ หลังจากวันเสาร์ ที่ผมไปรับชุดครุยที่ธรรมศาสตร์ฯ ผมรอให้ถึงวันจันทร์ เพื่อผมจะได้คุยกับพี่น้ำเรื่องที่น้อยสงสัย พอผมเจอพี่น้ำในเช้าวันจันทร์ ผมก็กุลีกุลอถามข้อมูลจากพี่น้ำตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน พอผมได้เรื่องจากพี่น้ำแล้ว ผมก็โทรบอกน้อย ทันที ในตอนนั้นผมคิดแค่เพียงว่า ผมตอบแทนน้ำใจน้อยในครั้งนั้นอย่างเต็มที่ที่สุด โดยไม่คิดอะไรไปมากกว่านั้นจริงๆ
 
วันที่ 13 ก่อนวันรับปริญญาของผม 1 วัน ผมก็เตรียมตัว clear งานและรีบกลับบ้าน เพื่อผมจะได้นอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้เช้าวันรับปริญญา จะได้ตื่นมาหน้าตาสดใส ซักประมาณ 3 ทุ่ม ผมก็เริ่มนอน ปรากฎว่า น้อยส่ง message ถึงผมว่า “Congratulations for your success” จริงๆแล้ว ผมออกจะหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย เพราะว่า เสียง message ทำให้ผมตื่น แต่ก็ยังดีที่ผมยังหลับต่อไปได้
วันรับปริญญาของผม ปรากฎว่าฝนตกหนักแต่เช้า (ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมมหาวิทยาลัยผมถึงเลือกรับปริญญาตอนหน้าฝน) ผมตื่นมาประมาณ ตี4ได้ ขับรถไปรับเพื่อนสมัยม.ปลาย ที่เรียนห้องเดียวกับผม โดยผมรบกวนให้มันถ่ายรูปรับปริญญาให้ผมหน่อย พอผมถึงหอประชุม ก็ประมาณ 6 โมงเช้าได้ ฝนกำลังตกปรอยๆ ผมหาที่จอดรถแล้วก็กางร่มวิ่งเข้าเต้นท์หน้าหอประชุม โดยฝากทุกอย่าง ไม่ว่าจะกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ และถุงขนมที่ผมทานประทังชีวิตตอนเช้า ไว้ที่ช่างภาพกิตติมศักดิ์ที่ผมเชิญมา
 
ผมขอนอกเรื่อง เล่าเรื่องรับปริญญาของผมครั้งนี้หน่อยนะครับ ผมจำได้ว่าตอนปริญญาตรี เพื่อนสนิทผมคนนึงได้ที่นั่งสำรองในหอประชุม คือหอประชุมในมหาวิทยาลัยของผมเป็นที่นั่งเหมือนที่นั่งในโรงภาพยนตร์ แบบที่เป็นเบาะพับได้ แต่ด้วยความที่บัณฑิตที่เข้ารับปริญญาในแต่ละรอบมีจำนวนมาก ในระหว่างทางเดินตรงกลาง เลยมีที่นั่งสำรองเป็นเก้าอี้ธรรมดาวางอยู่ 3 ตัว เพื่อสำหรับบัณฑิตที่ Jackpot ได้นั่งที่นั่งกิตติมศักดิ์นี้ ตอนปริญญาตรีผมรอดตัวที่ไม่โดน เก้าอี้กิตติมศักดิ์ อาจจะเพราะว่าผมโชคดีที่ได้รับเป็นคนต้นๆ เลยได้นั่งริม ไม่โดนตรงกลาง แต่พอรับปริญญาโทคราวนี้ ผม Jackpot ได้นั่งเก้าอี้ที่ผม คาดหวังว่าจะไม่โดนจนได้ นั่งหน้าพิธีเลยครับ ง่วงก็ง่วง นอนก็นอนไม่ได้ ผมกะพี่อีกคนที่ชื่อติดกันต่างก็มองหน้ากันแบบเซ็งๆ แต่ไม่เป็นไร ด้วยความที่เราหลับไม่ได้ (เพราะเก้าอี้มันไม่อำนวยให้เราหลับ) เราก็เลยหันมาคุยกันแทน
ด้วยความที่ผมรับปริญญาภาคเช้า เลยได้ออกมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ นอกหอประชุมในตอนบ่าย ซึ่งถือว่าโชคดีมากๆที่ฝนก็หยุดตกเรียบร้อยแล้ว (ผมยังแอบสงสารบัณฑิตที่รับปริญญาภาคบ่าย ยิ่งเป็นบัณฑิตปริญญาตรีซึ่งเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นครั้งแรก คงได้รูปถ่ายรับปริญญาที่ไม่สวยนัก ถ่ายรูปตอนฝนตกพร่ำๆ และ ไม่มีแดดเลย คงออกมาไม่สวยเท่าไหร่)
 
หลังออกจากออกจากหอประชุม ผมนัดเจอ ช่างภาพและรับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ผมคืนมาแล้ว ผมเห็น missed call ของน้อย แต่ผมก็ไม่สนใจอะไร ก็ถ่ายรูปกับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน และเพื่อนๆที่ทำงานที่ขนกันมาหลาย 10 คนอยู่ (รวมทั้งพี่น้ำที่มาร่วมแสดงความยินดีกับผมด้วย)
ผมยังคงเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอยู่ น้อยโทรมาหาผมอีกครั้ง
น้อย : “สวัสดีครับนพ ผมแสดงความยินดีกับนพด้วยนะ”
นพพร : “ผมได้รับ message ของคุณแล้ว ขอบคุณคุณน้อยครับ”
น้อย : “เก่งจังเลยนะครับ จบแล้ว ผมพึ่งจบ course work เองครับ ยังหาหัวข้อทำ thesis ไม่ได้เลย”
นพพร : “คุณน้อยเรียนโทอยู่เหมือนกันหรือครับ ยังไงก็ขยันๆนะครับ มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกแล้วกัน” ผมแสดงน้ำใจตามมารยาท
ผมพูดคุยกับน้อยอีกนิดหน่อยก็ขอตัวไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆต่อ โดยไม่ได้สนใจน้อยอีก
 
หลังจากที่น้อยพ้น probation แล้ว งานที่น้อยส่งมาให้ผมเสนออนุมัติเริ่มเยอะขึ้น ผมประทับใจน้อยที่น้อยค่อยข้างกระตือรือร้น ใส่ใจกับงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาดีกว่า พี่บลเอามากๆ เวลาน้อยมีปัญหาเรื่องงานก็มันจะโทรหาผม หาเรื่องชวนผมคุย ทั้งคุยในที่ทำงาน และโทรคุยกันนอกเวลาบ้าง ผมกับน้อยค่อยข้างที่จะสนิทกับเร็ว นั่นอาจจะเพราะอายุเราใกล้เคียงกัน ซึ่งน้อยอ่อนกว่าผมประมาณ ปีครึ่ง(สาขาในความรับผิดชอบของผมจะมีแต่รุ่นพี่อายุเลย 30 กันซะส่วนใหญ่) และน้อยกับผมก็ชอบอะไรคล้ายๆกัน อีกอย่าง น้อยว่า ผมเป็นคนคุยสนุก ชอบหาอะไรมาคุยอยู่ได้เรื่อยๆ แต่ผมคิดว่า อาจจะเป็นเพราะคุยกับน้อยแล้วถูกคอมากกว่า ปรกติแล้วผมเป็นคนเงียบๆ มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง
หลังจากที่ผมได้คุยกับน้อยเพิ่มขึ้นนี่เอง ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาเรียนโท เศรษฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเปิด ที่เดิมกับที่น้อยจบ ปริญญาตรี มีอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจในตัวน้อย คือ วันธรรมดา น้อยทำงานบริษัทเดียวกับผมนี่แหละ แต่อยู่ที่สาขาต่างจังหวัด แล้ววันเสาร์-อาทิตย์ น้อยไปเป็นอาจารย์พิเศษสอน วิชาการตลาด ให้กับ มหาวิทยาลัยราชภัฎแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชายแดนใต้
 
ผมบอกน้อยว่า ถึงผมไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ ผมก็รู้ หลัก 4P นะ( Basic ของ Marketing ครับ ซึ่งได้แก่ Product, Price, Place and Promotion) น้อยก็สงสัยว่าผมรู้ได้ไง อันนี้ผมคงต้องถือเป็นความดีของ อาจารย์ที่สอนวิชา Marketing law ให้ผมตอนเรียนปริญญาโท ทำให้ผมมีความรู้กว้างมากขึ้น และนี่เองอาจจะเป็นเสน่ห์ของผม ที่ทำให้น้อยอยากทำความรู้จักผมมากขึ้น
 
วันหนึ่งขณะผม on the way to home น้อยโทรมาหาผม เราคุยกับหลายเรื่องจนมาถึงเรื่องกิจกรรมยามว่าง
นพพร : “น้อยเล่น msn บ้างหรือเปล่าครับ”
น้อย : “ครับ นี่ก็กำลัง online อยู่... นพเล่นเหมือนกันเหรอ ขอ e mail นพหน่อยสิ น้อยจะได้ add นพไว้ด้วย”
นพพร : “ได้สิ...ผมกำลังจะถึงบ้านแล้วล่ะ ถ้าน้อยยัง online อยู่แล้วค่อยคุยกันใน msn ก็ได้” แล้วผมก็ให้ e mail ของผมไป
น้อย : “โอ.เค.ครับ แล้วเจอกันใน msn นะ ผมจะรอ....”
หลังจากนั้น เหมือนเป็นกิจวัตรของผมก่อนนอน(เกือบ)ทุกคืน ผมจะต้องคุย msn กับน้อย ส่วนใหญ่เราก็คุยเรื่องงานบ้าง คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้าง ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าน้อยคิดยังไงกับผม แต่สำหรับผมเอง ผมเห็นน้อยเป็นเพื่อนใหม่ ที่ผมค่อนข้างสนิทสนม มากๆคนนึง คุยกันได้ทุกเรื่อง เวลาผมมีเรื่องไม่สบายใจที่ทำงาน ผมก็บ่นๆให้น้อยฟัง น้อยก็บ่นเรื่องงานให้ผมฟังบ้างเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว
 
อย่างที่บอก แรกๆผมไม่ค่อยจะรู้หรอกว่า น้อยคิดยังไงกับผมบ้าง จนวันหนึ่งที่เราคุยกันใน  msn ผมกำลังจะขอตัวไปนอน น้อย บอกราตรีสวัสดิ์ผม แล้วก็ส่ง wink เป็นรูปปากสีแดงเป็นการส่งจูบลา... จริงๆผมออกจะตกใจนิดหน่อย แต่ก็คิดในใจว่า น้อยอาจกำลัง msn กับหลายคนอยู่แล้วส่งผิดมาให้ผมก็ได้... ผมไม่รู้เลยว่า มันจะเป็นความสัมพันธ์ของผมกับน้อยที่เริ่มจะแนบแน่นขึ้น
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: need_not2know ที่ 19-01-2007 18:37:38
อ้างถึง
ขอบคุณ ทุกๆท่านนะครับ ที่ติดตามรับชม เรื่องของนพพร ตอนแรกๆก็ยังกลัวๆว่า เขียนๆไปจะมีใครมาอ่านหรือเปล่า เรื่องมันก็ไม่ได้โลดโผนอะไรมากมายนัก ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเขียนซักกี่ตอนดี ในแต่ละตอนจะสั้นยาวแค่ไหน แค่ plan ไว้คราวๆว่าจะเขียนอย่างไรบ้าง (แต่ถ้า rating ดีก็อาจจะยืดได้อย่างละคร ช่องคุณนาย red label ฮิฮิฮิ)
ผลงานดีๆควรค่าแกการติดตามอยู่แล้ว :teach:
ปาล์มรู้สึกเหมือนอ่านบทภาพยนตร์เลย
เพราะความไม่โลดโผนของเรื่องนี่แหละ เลยเล่าออกมาได้ดูเป็นธรรมชาติมาก
เป็นกำลังใจให้น้า :yeb:

ปล. wink รูปจูบหรอ :like6:น้อยน่ารักสุดๆ
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 19-01-2007 19:16:51
อืม  เรื่องดูไม่โลดโผนจริง  ๆแฮะ  น้อยสนใจนพพรซะแล้วสิ  รออ่านต่อแล้วกัน   :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-01-2007 19:26:08
need_not2know  เรื่องนี้น่าติดตามจริงๆนะครับ ดีใจครับที่ชอบ
มูมู่น้อย  เรื่องนี้เปิดตัวไปเรื่อยๆทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละครดีครับ
ผมก็กำลังลุ้นๆอยู่ว่าจะเป็นไงต่อ แต่ตอนล่าสุดที่พันทิพเขียนได้ยอดเยี่ยมเลยหล่ะ

**************************************************************************


ตอนที่ 4 ของ นายนพพร
“วันเกิดของน้อย”
  ผมเอาเรื่องที่น้อยส่งจูบให้ผมใน msn ให้แหวน เพื่อนที่ทำงานของผมฟัง เขาก็หัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ให้ความเห็นอะไรเป็นพิเศษ ความสัมพันธ์ของผมกับน้อยก็เริ่มแนบแน่นมากขึ้น แต่ด้วยความสนิท น้อยชอบแกล้งผม ผมก็มีโกรธๆโมโหๆเขาอยู่บ้าน เรื่องมีอยู่ว่า
                นพพร : “น้อย !!! ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
                น้อย : “ยุ่ง ไม่ว่าง !!!!”
                นพพร : “พี่น้ำให้ผมทำรายงานผลงานแต่ละสาขาเสนอพรุ่งนี้ ผมจะโทรมาขอข้อมูลน้อยเฉยๆ ถ้ายุ่งก็ไม่รบกวน”
แล้วผมก็วางสาย ในใจคิดว่า กำลังรีบๆอยู่ กะว่าสาขาของน้อย คงไม่มีปัญหา ผมจะได้รีบทำรายงานส่งพี่น้ำ น้อยทำตัวน่ารำคาญให้ผมโมโหอีกแล้ว หลังจากผมวางสาย น้อยก็โทรเข้ามือถือผม ผมไม่รับแล้วก็ปิดเครื่อง น้อยโทรเข้าเครื่องที่ทำงาน ผมก็ไม่สนใจ ไม่รับสาย คืนนั้นผมก็ไม่ได้ on msn ด้วยความโมโหน้อยสุดขีด
 
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ น้อยส่ง message มาหาผมว่า บอกว่า เขาส่งของมาให้ผมที่ทำงาน ถ้าได้รับแล้วช่วยบอกเขาด้วย ผมกำลังเดินทางไปทำงาน ผมเลยโทรไปหาน้อย อาจจะเพราะความโมโหน้อย เริ่มลดลงแล้ว
น้อย : “หวัดดีครับนพ เมื่อวานงอนอะไรน้อยเหรอ โทรไปหาตั้งหลายรอบ ไม่ก็ไม่รับ”
นพพร : “เมื่อวานยุ่งๆ กำลังทำรายงานส่งพี่น้ำ ไม่อยากคุย”
น้อย : “แล้วของสาขาน้อยเสร็จยัง มีอะไรให้ช่วยไหม”
นพพร : “ยังไม่เสร็จ...เมื่อวานจะโทรไปขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ประจำสาขา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ความร่วมมือ ให้ข้อมูล” (ผมแหนบน้อย)
น้อย : “ล้อเล่นแค่นี้ไม่ได้เหรอ”
นพพร : “จะเล่นอะไรก็ให้ถูกที่ถูกเวลาหน่อย คนกำลังยุ่งๆ”
น้อย : “เอาหน่า ถือว่าขอโทษก็แล้วกันนะ”
นพพร : “น้อย คุณรู้ไหม ในขณะพี่ๆที่สาขาอื่น ผมเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน ผมเห็นคุณเป็นเพื่อนผม เพื่อนเหมือนเพื่อนสมัยเรียน แทนที่ผมทำงานกับคุณ คุณจะช่วยผมทำงาน คุณกลับมาทำให้งานผมช้าลง”
น้อย : “คิดมาก นพ น้อยแค่เล่นๆ เอาเป็นว่าจะให้น้อยช่วยอะไรก็บอกนะ”
 
ผมไม่ค่อยจะทะเลาะกับน้อยหรอกครับ ก็มีงอนๆ โมโหๆกับความกวนๆของน้อยอยู่บ้าง อย่างที่ผมบอก ความสนิทสนมทำให้บางครั้งคนเราไม่มีความเกรงใจซึ่งกันและกันเท่าไหร่
ผมลืมบอกไปว่า น้อยส่งของมาให้ผม เป็น นาฬิกา ซึ่งเป็นของ premium ที่ทางบริษัทแจกให้กับลูกค้า จริงๆผมเป็นคนไม่ค่อยชอบใส่นาฬิกาเท่าไหร่ เพราะรำคาญ จะดูเวลาก็ดูเอาจากโทรศัพท์ ผท message ไปขอบคุณว่าผมได้รับของแล้ว (ทั้งๆที่ในใจก็คิดว่า จะง้อผมทั้งทีก็ไม่ค่อยจะลงทุนเลย...)
น้อยบอกผมว่า ผมชอบทำ inbox ใน menu messages ของโทรศัพท์เขาระเบิด ว่างๆผมไม่รู้จะทำอะไร ผมก็ message หาน้อย กำลังกลับบ้าน รถติดมาก็ message บอกน้อย กำลังจะไปว่ายน้ำ ผมก็ message ไปบอกน้อย จะถามผมว่า ผมรู้สึกอะไรกับน้อยเป็นพิเศษ ผมคงยืนยันเหมือนเดิมว่า เราคุยกับถูกคอ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากนัก น้อยก็เคยถือเป็นเพื่อนสนิทของผมไปในทันที
 
วันที่ 9 กันยายน ผมจำได้ว่า กำลังเก็บกวาดห้องอยู่ น้อย ส่ง message หาผม ประมาณ ทุ่มกว่าๆได้ ข้อความที่ผมได้รับคือ
“...วันนี้วันเกิดผมครับ...”
ผมเสียดาย 3 บาทแทนน้อยจริงๆ จะส่งมาทั้งที ส่งมาแค่นี้ แต่เอาเถอะ ผมก็ตอบ message น้อยไป
“...สุขสันต์วันเกิดครับ มีความสุขมากๆนะ อยากได้อะไรเป็นของขวัญล่ะ ผมจะซื้อให้...”
น้อยส่ง message กลับมาว่า
“...ถ้าอยากได้จริงๆ จะให้ได้เหรอ?...”
ผมตอบกลับไปอีกครั้ง
“...อยากได้ดาวหรือเดือนดวงไหนล่ะ ถ้าอะไรที่เป็นไปได้ก็ซื้อให้ได้...”
 
สุดท้าย ผมก็ซื้อเสื้อยืดตัวนึงให้น้อย ผมรู้คร่าวๆ ว่าน้อยค่อยข้างคล้ำแบบคนใต้ทั่วไป ผมก็เลยซื้อเสื้อสีขาวให้น้อย แล้วก็ซื้อสีแดงเลือดหมูแบบเดียวกัน size เดียวกันไว้ใส่เอง (ตอนนี้เสื้อตัวสีแดงที่ผมซื้อ ผมเผาทิ้งไปแล้วครับ...ไม่หรอก ผมบริจาคให้วันสวนแก้วตอนที่บ้านผม ขนของเก่าไปทำบุญ)
 
หลังจากวันเกิดน้อยไม่กี่วัน ผม msn คุยกับน้อยเรื่องพี่นารี พี่ที่สาขาอีกสาขานึงในความรับผิดชอบของผมว่า พี่นารีกำลังจะเกษียณปีนี้ ผมอยากไปเยี่ยมแก แล้วก็ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย เพราะครั้งก่อนที่ผมไปหาพี่นารี ผมไปทำงานอย่างเดียวเลย ไม่ได้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ ทั้งๆจังหวัดของพี่นารีเป็นจังหวัดท่องเที่ยวขึ้นชื่อของไทยในภาคใต้ฝั่งอันดามัน
ผมบอกน้อยว่า ผมอาจจะขึ้น budget airline ไปลงที่หาดใหญ่ เพราะจังหวัดที่พี่นารีอยู่ มีแต่เครื่องของสายการบินไทยไปลงเท่านั้น ผมเลย plan ว่าจะไปลงหาดใหญ่ แล้วขึ้นรถทัวร์จากหาดใหญ่ไปหาพี่นารีอีกที
น้อยบอกผมว่า ถ้าผมมาลงหาดใหญ่ น้อยจะไปรับผมที่สนามบิน ไปหาพี่นารี ผมจะได้ไม่ต้องลำบาก ผมเลยชวยน้อยว่าถ้าน้อยว่าง ไปเยี่ยมพี่นารีกับผม แล้วไปเที่ยวกันต่อ น้อยก็ตกลงกับผมตามนี้
กว่าช่วงทะเลฝั่งอันดามันจะเปิดฤดูท่องเที่ยวก็ประมาณ ปลาย พฤศจิกายน ต้น ธันวาคม ผมเลือกที่จะไปหาดใหญ่ในวันที่ 24 พฤศจิกายน เพราะคิดว่า น่าจะเที่ยวได้แล้วล่ะ ไปทะเลก็คงไม่น่าจะอันตราย
แต่ช่วงเดือน พฤศจิกายน ในปีนี้ ปรากฎว่า ฝนยังตกหนักอยู่เลย ผมยังหวั่นๆว่า จะไม่ได้ไป แต่ทำไงได้ ผมจองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว แล้วก็เลื่อนไม่ได้ซะด้วยสิ ผมเลยต้องตัดสินใจยืนยันที่จะไป โดยผมไม่รู้เลยว่า การไปเจอน้อยในครั้งนี้ จะทำให้ผม ไม่มีวันที่จะลืมน้อยไปตลอดชีวิต
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 20-01-2007 21:48:58
นพกะน้อย  กำลังจาได้เจอกันแล้วซี :yeb:
เรื่องจะเปนยังไงต่อไปน้า  กำลังน่าติดตามเยยครับ

แล้วก้อต้องขอบคุณคุณบลูนะครับ  ที่หาเรื่องดีๆ มาให้อ่านเสมออออ
 :monkeylove2: :angellaugh2: :love2: :impress:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 21-01-2007 15:17:39
อิ อิ ได้พบสบตา  :like6:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-01-2007 19:12:22
eye_can_tell  ฮันแน่เชียร์แบบนี้แสดงว่าเคยแอบจีบใครป่าวเนี่ยะ  :kikkik:

suregirl  แค่เป็นคนที่เราชอบ แค่ได้สบตาวันนั้นก็อิ่มไปทั้งวัน  :haun6:

************************************************************


ตอนที่ 5 ของ นายนพพร
“นพพรเดินทาง”
เมื่อวันก่อน ผมพึ่งหยิบเอา VCD เรื่อง ข้างหลังภาพ อันเป็นที่มาของชื่อผม กลับมาดูอีกครั้ง นานมากแล้วครับที่ผมไม่ได้ ร้องไห้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ผมเคยอยากเป็น นพพร ในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบัน ผมกลายมีชีวิต เยี่ยง คุณหญิงกีรติ ครั้งแรกที่น้ำตาผมร่วง ก็เพราะคำพูดของคุณหญิงที่ว่า
“...คนเรามีความคิดเห็นในเรื่องความรักแตกต่างกัน แต่ฉันก็เห็นด้วยกับนพพรในข้อที่ว่า ความรักบีบคั้นทรมานใจเรามาก และในบางคราวก็เหลือที่จะทนทาน นพพรทำถูกต้องอย่างคนทั้งหลายทั่วไปแล้ว ที่ถอนตัวออกมาพ้นจากความทรมานได้ และสามารถลืมความหลังได้ด้วย แต่คนโง่ๆบางคน ทำไม่ได้อย่างเธอ...”
ผมอยากบอกคุณหญิงว่า คนโง่ๆที่คุณหญิงพูด ไม่ใช่หมายถึงคุณหญิงเพียงคนเดียวหรอกครับ ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณหญิงซักเท่าไหร่
 
กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อกันดีกว่าครับ... ผมตกลงลาพักร้อนทั้งหมด 6 วัน โดน clear เรียบร้อยเพื่อไม่ให้พี่น้ำต้องเป็นห่วง มีเรื่องเกิดขึ้นก่อนผมจะเดินทางก็คือ ผม fax รายละเอียด program tour ไปให้น้อยที่ทำงาน ทั้งๆที่ผมก็จ่าหัวถึงน้อยแล้วนะ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของพี่นิลุบล เขาดันเอา รายละเอียด program tour ของผมไปอ่าน แล้วก็ message มาหาผมว่า
“แอบหนีกันไปเที่ยวกับน้อย ไม่เห็นชวนพี่บลเลย พี่ขอไปด้วยได้ไหม แต่ถ้าส่วนตัวก็ไม่รบกวน”
ผมไม่ได้ตอบ message แก แต่ กลับ forward ไปให้น้อยดู แล้วก็ปรึกษาน้อยว่าจะจัดการอย่างไร น้อยบอกผมว่า ถ้าเอาพี่บลไป เขาก็ไม่ไป เพราะเบื่อความเรื่องมาก จุ้นจ้านของพี่บล ผมเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพี่บลขนาดไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันได้ และผมก็ต้องการจะไปกับน้อยมากกว่า ผมกับน้อยก็เลือกที่จะเงียบไป โดยไม่ได้พูดกับพี่บลเรื่องนี้อีกเลย
แต่ผมหารู้ไม่ว่า พี่บลเอาเรื่องที่ผมกับน้อยไปเที่ยวด้วยกัน ไปเล่าให้ เจ้าหน้าที่ในสาขาอื่นๆ (ที่ผมรับผิดชอบ) หลายต่อหลายคนว่า ผมกับน้อยไป honeymoon กันสองต่อสอง... ผมพึ่งว่ารู้เรื่องที่หลัง หลังจาก เดินทางกลับมาแล้ว เพราะพี่ที่สาขานึง โทรมาหาผม แล้วก็แซวผมเรื่องผมไปเที่ยวมา ว่าได้ข่าวว่าผมไป สวีทกับแฟน... ผมงงมากๆ ผมไม่เคยบอกใครเรื่องที่ผมจะไปเที่ยวกับน้อย ขนาดพี่น้ำเองผมก็ไม่บอก เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว 
บทเรียนครั้งนี้ทำให้ผมรู้จักพี่บลมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมพยายามช่วยเหลืองานพี่บลเต็มที่ แต่สิ่งที่พี่บลตอบแทนผม กลับกลายเป็นการนินทาว่าร้ายผมให้คนอื่นฟัง ผมเข้าใจว่า ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้าน เป็นเรื่องทั่วไปของมนุษย์ แต่ความอยากรู้อยากเห็นของพี่บล ทำความเดือดร้อนให้ผม (ซึ่งไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง) มีเจ้าหน้าที่คนนึงโทรมาสวัสดีปีใหม่ผม แล้วก็ พูดว่า “ขอให้นพ สมหวังในความรักนะค่ะ...” แล้วก็หัวเราะชอบใจ ผมรู้เลยว่า พี่บลต้องเอาเรื่องผมไป เม้าส์ให้เจ้าหน้าที่คนนี้ฟังอีกแน่
 
 ผมไม่เข้าใจเจตนาของพี่บลในการกระทำแบบนั้นหรอก แกอาจจะเล่าให้คนนั้นคนนี้ฟังด้วยความสนุก และคะนองปาก แต่แกคงไม่รู้ว่า ความสนุก และ ความคึกคะนองของแก กำลังทำร้ายใครอยู่ สิ่งที่ผมอยากบอกพี่บลก็คือ ผมเสียใจที่ผมเคย เคารพพี่บล ผมไม่คิดว่าพี่บลจะให้ร้ายผมแบบนี้ ผมมีอะไรกับน้อยหรือเปล่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผมและน้อย ผมเองไม่เคยทำความเดือนร้อนรำคาญอะไรให้พี่บลเลย ทำไมถึงต้องมา นินทาผมให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆในแบบนั้นด้วย (จริงๆก็ถือว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาท) พี่บลอยากให้คนอื่นรังเกียจผมอย่างนั้นเหรอ หรือการที่ผมไม่ชวนพี่บลไปด้วย ทำให้พี่บลเจ็บช้ำน้ำใจมากนัก เอาเถอะครับ ไม่มีประโยชน์ที่จะทำความเข้าใจกับคนอย่างพี่บล ตอนนี้ผมอโหสิกรรมให้พี่บล และไม่ติดใจถือสาหาความอะไรกับพี่บลอีก (ถ้าไม่ได้เขียนกระทู้ลงพันธุ์ทิพย์ ผมก็แทบจะลืมความเลวร้ายที่พี่บลทำกับผมไปหมดสิ้นแล้ว)
ถ้าพี่บลมีโอกาสได้อ่านกระทู้ของผม ผมก็อยากบอกพี่บลว่า ผมไม่อยากให้ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นของพี่บล ไปทำร้ายใครต่อใครอีก ขอให้ผมเป็นคนสุดท้ายที่ต้องเผชิญกับการกระทำของพี่บลในครั้งนี้ พี่บลคงไม่ต้องการรับการให้อภัยจากผม เพราะพี่บลคงคิดว่าพี่บลไม่ได้ทำอะไรผิด ผมถือว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นกับผม เป็นเพราะเคราะห์กรรมของผมเอง และผมไม่ติดใจจองเวรอะไรกับพี่บลต่อไป
 
กลับมาเข้าเรื่องของการเดินทางของผมต่อ trip ของผมในครั้งนี้ ผมได้รับความอนุเคราะห์จากพี่นารีในการหาที่พัก โรงแรมทั้งในตัวเมือง และ รีสอร์ทที่ผมไปพักบนเกาะ เป็นอย่างดี โชคดีที่ รีสอร์ทที่ไปพัก เป็นลูกค้าของบริษัทที่ผมทำงานพอดี เขาเลยลดราคาให้ แต่ก็ไม่เยอะมากหรอกครับ จริงๆแล้ว คนไทยเที่ยวไทย บางครั้ง เผลอๆจะแพงกว่า คนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะ คนต่างชาติซื้อ package tour จาก agency ซึ่งมีส่วนลด ค่าที่พักโรงแรมและรีสอร์ท ซึ่งถูกกว่า คนไทย ที่ซื้อ ห้องพักตาม resort เอาเอง ผมเห็นว่ามันช่างสวนทางกับนโยบาย ไทยเที่ยวไทยเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่แน่ใจว่า พวก package tour ที่มาจัดในงาน ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์จะถูกกว่าหรือเปล่า ผมเพียงแค่เสียดายที่ว่า เราเป็นคนไทยแท้ๆ น่าจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรมากกว่าคนต่างชาติ เราเองก็สนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ แต่กลับไม่ได้รับความสะดวกสบายอะไรเลย รวมทั้งตลอดเวลาที่ผมพัก ผมกลับรู้สึกว่า เราเป็นประชากรชั้นสองในประเทศของเราเอง เพราะพนักงาน จะใส่ใจกับ แขกต่างชาติมากกว่า แขกคนไทย (ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า)
 
เช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน ผมออกจากบ้านตั้งแต่ 6โมงเช้า สมัยยังต้องขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง flight ที่ผมเดินทาง เครื่องออก 8.15 บ้านผมก็ไม่ไกลจากดอนเมืองมาก ขึ้น taxi ก็ 100 นิดๆ ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ผมก็มาถึง check in เรียบร้อย ก็หาอะไรทานรองท้องนิดหน่อย ( อย่าลืมว่า budget airline ไม่มีบริการอาหารอะไรเลย อยากทานอะไรต้องซื้อเอาเอง เวลาขึ้นเครื่องก็ต้องแย่งกันขึ้น ไม่ต่างกันเวลาห้างสรรพสินค้าเปิดตอน mid night sale)
ผมใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงกว่าๆก็มาถึง หาดใหญ่ เมื่อคืนก่อนนอน น้อย message มาหาผมว่า ถ้ามาถึงให้โทรหาเขาด้วย จริงๆ ผมกะอยู่แล้วว่า ถ้าผมมาถึงแล้วน้อยยังไม่มาผมก็จะหาทางเข้าไปตัวเมืองเอง แต่ปรากฎว่า น้อยมารอผมอยู่แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้อยตัวเป็นๆ หลังจากที่คุยกันมาตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา น้อยเป็นคนใต้ขนานแท้ตั้งแต่หัวจดเท้า (แต่ก็แอบดีใจที่น้อยบอกผมทีหลังว่า ผมหน้าดีกว่าที่คิด) น้อยเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย น้อยพูดกับผมคำแรกว่า
“ยินดีต้อนรับ สู่หาดใหญ่ครับนพ”
 
น้อยเอื้อมมือมาช่วยผมถือกระเป๋า แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไรผมถือเองได้ น้อยพาผมเข้าไปแวะหาอะไรทานแถวๆ ตลาดกิมหยง ผมไม่คิดมาก่อนว่าหาดใหญ่จะใหญ่โตขนาดนี้ หาดใหญ่เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ งานที่ผมรับผิดชอบก็มาจาก สาขาทางนี้เป็นส่วนใหญ่ น้อยพาผมตระเวณตัวเมืองเล็กน้อย ก่อนเราจะมุ่งหาไปหาพี่นารี
ระหว่างทาง มีฝนตกมาเล็กน้อย ผมเองก็หวั่นๆว่าผมจะไปไม่ถึง พี่นารีโทรบอกผมว่า พี่เขารอทานข้าวกลางวันกับผมอยู่ กว่าผมจะไปถึงก็เกือบจะบ่ายโมง พี่นารียังน่ารักเหมือนเดิมเสมอ ผมรักพี่นารีพอๆกับพี่น้ำ พี่นารีพาผมไปทานข้าว แล้วก็พามาแวะที่โรงแรม ก่อนจะเดินทางไปพักที่รีสอร์ทในวันพรุ่งนี้
 
คืนนี้ผมเขียนตอนที่ 5 เสร็จพร้อมคราบน้ำตาที่ยังอาบแก้มอยู่กับเรื่อง ข้างหลังภาพ อย่างน้อยคืนนี้ผมก็หลับลงอย่างมีความสุขกับคำพูดอีกตอนหนึ่งของคุณหญิงกีรติที่ว่า “ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก”.... คุณหญิงครับ ผมเองก็เช่นกัน  ติดตามต่อตอนที่ 6 ครับ เร็วๆนี้
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 21-01-2007 22:27:43
ฮึก  เริ่มเรื่องมาก็มีเมฆฝนมาตั้งเค้าเลยเหรอเนี่ย  ถ้าอ่านต่อไปต้องเศร้าอีกช่ายมั้ยอะ
ฮือๆๆๆ (ร้องไห้รอเลยละกันนะ)  :sad4: :monkeycry2: :impress3:

เปนกำลังใจให้คุณนพอีกคนด้วยละกัน  มีสุขก็ต้องมีทุกข์ด้วยเป็นธรรมดา
อยู่ที่เราต้องปรับตัวและทำความเข้าใจกะมันให้มากๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วทุกอย่างก็จะเป็นความทรงจำที่สวยงาม

แต่ว่านะเรื่องข้างหลังภาพเนี่ย  เราก็ชอบด้วยจริงๆ นะ

"ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก"

ช่างเป็นคำพูดที่ดีจริงๆ

ว่าแล้วก็  ฮือๆๆๆๆๆๆ   :monkeysad: :monkeysad: :monkeycry2: :monkeycry2: :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-01-2007 09:56:04
สงสัยเรื่องนี้คงเศร้าแน่ ๆ  :monkeysad:  :monkeysad:
อย่างไรก็ตามคงมีความทรงจำที่แสนสุขอยู่ แม้ว่าในตอนท้ายจะต้องอยู่กับความทุกข์ แต่อย่าลืมความสุขที่เคยได้รับล่ะ  :monkeysad:  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-01-2007 10:54:00


เคยอ่านสองตอนแรกแล้วก็ไม่ได้ตามอ่านต่อ  ขอบใจนะตาบลูที่เอามาลงให้อ่านง่ายๆ ที่นี้

ปล.ทำไมมันถึงมีแต่เรื่องเศร้าอะเคอะ
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 22-01-2007 14:03:35
ตามอ่านทันแล้วคับพี่เรย์.... :angellaugh2:


"ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก"


นี่แหละมั้ง....ที่เป็นความสุขจากการได้รัก......... :impress3:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-01-2007 17:04:50
เป็นกำลังใจให้คุณนพพรต่อ  รอเศร้าล่วงหน้า   :impress3:

แต่ก่อนเศร้าขอร่วมอยู่ในความทรงจำช่วงที่มีความสุขกับคุณนพพรก่อนนะ  รออ่านเสมอ  :impress:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 23-01-2007 11:32:32
เรื่องจะเศร้าแล้วเหรอ   :monkeysad:
ว่าแต่ไม่เคยดูเรื่องข้างหลังภาพอะ (เชยเนอะไม่เคยดู)  :untrust: เลยไม่ค่อยเข้าใจ
เนื้อเรื่องมันเป็นไงเหรอ รู้แต่ว่าเคนเล่น
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: need_not2know ที่ 23-01-2007 19:39:46
อยากมีคนส่ง message มาหาบ่อยๆแบบนี้จัง :-[
มีแต่ส่งมาช่วงเวลาส่งฟรีทู้กกกที เหอๆ :sad5:
 เตรียมตัวรับความเศร้าตอนต่อไป... :sad4:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 24-01-2007 16:45:49
ติดตามด้วยคนครับ

อิอิ


:laugh:

ไปหาดใหญ่เหรอครับ?
คุ้นๆ จัง ตลาดกิมหยงเนี่ย
เหมือนเคยไปบ่อยๆ ฮ่าๆๆ

เอิ๊กกก

 :seng2ped:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 24-01-2007 18:52:32
ที่เข้ามาตอนแรกนึกว่า นายแพทย์นพพรจะมาตอบปัญญา เสพสมบ่มิสมนะเนี่ย
ว้า .... อิอิ :like2:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-01-2007 19:56:55
หุหุ ผมก็จะได้จำได้ด้วยแหละๆ ความจำสั้นต้องอ่านหลายๆรอบ คิกคิกเลยเอามาเก็บไว้จะได้หากันง่ายๆ :yeb:
ว่าแต่ปริ้นเป็นคนแบบนี้เองเหยอ คิกคิกว่าแล้วไม่ค่อยอ่านนิยายทั่วไป ต้องอ่านเซ็กสตอรี่แน่เยย  อยู่บอร์ดไหนน้า คิกคิก :angellaugh2:

***************************************************************************************************************
ตอนที่ 6 ของ นายนพพร
“Love Island”
                ทุกครั้งที่กลับมาดูกระทู้ตัวเองแล้วเห็นคนลงความเห็นและเฝ้ารอดูตอนต่อไป มันเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มใจแบบบอกไม่ถูกจริงๆครับ ผมไม่สามารถรู้ได้ว่า มีคนติดตามผลงานของผมมากน้อยแค่ไหน ถ้าปราศจากความเห็นทุกๆความเห็นที่เขียนให้ผม ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะครับ
ตอนที่ 6 นี้ผมให้ชื่อตอนว่า Love Island ก่อนที่ผมจะพาทุกคนข้ามไปขึ้นเกาะแห่งความรักของผมด้วยกัน ผมยังคงพักอยู่ในตัวเมืองก่อนอยู่ในคืนนี้ ช่วงบ่ายในวันแรกของ trip นี้ หลังจากทานข้าวกับพี่นารีเสร็จ น้อยตั้งใจมาหาเพื่อนซึ่งเคยเข้าข่ายมัธยมอะไรด้วยกันนี่แหละ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะไม่รบกวนน้อย โดยผมคิดว่าจะเดินเล่นในตัวเมืองไปเรื่อยๆ แต่ด้วยฝนที่ยังคงตกพร่ำๆ น้อยบอกผมว่า ให้ผมขึ้นรถไปด้วยกันกับเขา
น้อย : “นพจะไปไหน ช่วงบ่าย”
นพพร : “ผมยังไม่แน่ใจเลยน้อย อาจจะเดินเล่นรอบๆตัวเมือง น้อยไม่ต้องห่วงผมนะ ผมเดินเองได้ นี่ไง ผมมี หนังสือนำเที่ยวติดมือมาด้วย รับรองว่าไม่หลง แล้วเย็นๆค่อยมาเจอกันที่ที่ทำงานพี่นารีแล้วกัน”
น้อย : “ฝนตกพร่ำอย่างนี้ออกไปเดินตกฝน เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก... ไปหาเพื่อนผมด้วยกันแล้วกันนะ”
นพพร : “ผมไปด้วยก็เกะกะเปล่าๆ นานๆจะได้มาที่นี่ซักที ผมไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณกับเพื่อน ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงจริงๆ”
น้อย : “เชื่อผม ไปด้วยกัน ผมไม่มีทางปล่อยคุณเดินตากฝนไปไหนในที่ที่คุณไม่รู้จักคนเดียวหรอก”
แล้วน้อยก็ดึงตัวผมขึ้นรถไป โดยไม่ให้โอกาสผมออกความเห็นใดๆเพิ่มเติม
เพื่อนน้อย เปิดร้านขายอุปกรณ์ computer อยู่ในตัวจังหวัด ร้านไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็มีคนเข้า-ออกพอสมควร น้อยเล่าให้ผมฟังว่า “ก๊อก” เพื่อนเขาคนนี้ เป็นเพื่อนที่รู้จักกันสมัยที่เข้าค่ายมัธยมฯ ด้วยกัน และน้อยกับก๊อก ได้อยู่ค่ายกลุ่มเดียวกัน ซึ่งผมก็พึ่งจะทราบว่า โรงเรียนในแถบจังหวัดภาคใต้ จะมีการให้เด็กๆ เข้าค่ายชุมนุมพบปะกัน เพื่อความสมัครสมานสามัคคี ทำไมโรงเรียนในกรุงเทพฯอย่างที่ผมเรียนไม่เห็นจะมีเลย (หรือว่ามี แต่ผมไม่เคยร่วมกิจกรรมแบบนี้ก็ไม่รู้) 
พอมาถึง ร้านของก๊อก ตอนแรกผมก็เขินๆ ยังไม่กล้าเข้าไป เลยเดินวนเวียนแถวๆอยู่หน้าร้าน น้อย เดินออกมาตามผมให้เข้าไปข้างใน การเจอคนแปลกหน้าที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะเจอ ผมเลยไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงดี ได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา
น้อย :  “เฮ้ย ก๊อกนี่เพื่อนเรา ชื่อนพพร”
นพพร : “สวัสดีครับ”
ก๊อก : “สวัสดีครับ ตามสบายเลยนะ ทานอะไรกันมาหรือยัง”
น้อย : “เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง แม่นายอยู่ไหน เราจะเข้าไปไหว้หน่อย”
ก๊อก : “ขึ้นไปสิ นอนเล่นอยู่ชั้นสอง”
น้อย : “นพ เข้าไปด้วยกันนะ”
จริงๆแค่เจอตาก๊อกอะไรนี่ ผมก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว ยังให้ผมไปไหว้แม่เขาอีก หรือว่าผมเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ไม่ดีก็ไม่รู้ ผมค่อนข้างมีปัญหากับการ breaking ice เอามากๆ ผิดกับน้อยน้อยเท่าที่ผมรู้จัก น้อยเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย เอาซะมากๆ ทักทายคนแปลกหน้าได้อย่างไม่เขอะเขิน หรืออาจจะเพราะหน้าที่การงานของน้อยที่ต้องติดต่อลูกค้าเองก็เป็นได้ แตกต่างจากผมที่ทำแต่งานเอกสารเป็นส่วนใหญ่ การพูดคุยติดต่อกับคนที่รู้จักกันครั้งแรก เลยเป็นการยากสำหรับผมเอามากๆ

ผมคิดว่า น้อยเองก็คงจะรู้ว่าผมทำตัวไม่ถูก น้อยเลยพยายามหาเรื่องอะไรที่ผมพอจะคุยกับก๊อกได้บ้าง แต่ยังไงผมก็ยังอึดอัดอยู่ดี พอคุยได้แบบฝืดๆ
น้อย : “ ก๊อกจำพี่หมอดูไพ่ยิปซีที่เราเคยมาดูครั้งที่แล้ว ครั้งที่เรามานอนบ้านก๊อกได้ไหม คราวที่แล้วนี่โคตรแม่นเลย นพสนใจไหม เดี๋ยวให้ก๊อกพาไป นายจำทางได้ไหมก๊อก”   
ก๊อก : “คิดว่าได้นะ นพชอบดูหมอไหมครับ เดี๋ยวพาไป”
นพพร : “แล้วแต่น้อยแล้วกันครับ”
น้อย : “แม่นจริงๆนะนพ นพลองไปดูสิ ครั้งที่แล้วที่น้อยมาดูนะ เขาบอกว่า น้อยจะได้เรียนต่อ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า เราจะสอบโทติด... นพลองดู อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่า งานที่ทำอยู่จะรุ่งหรือเปล่า”
ก๊อก : “นั่นสิ ครั้งที่แล้ว เขายังบอกว่า นายจะเจอความรักช่วงปีนี้ แล้วไงเพื่อน มีแฟนหรือยัง ไม่เห็นพาสาวๆมาเที่ยวให้เราเห็นบ้างเลย” ก๊อกเสริม
น้อย : “ เออ! จริงด้วย...ถ้านายไม่บอกก็ลืมไปเลย... สงสัยจะไม่แม่นก็แค่เรื่องนี้แหละ แต่เรื่องอื่น แม่นจริงๆนะนพ ไปดูด้วยกันนะนพนะ”
นพพร “อืม”
ผมขอสารภาพเลยว่า ผมเป็นคนไม่เคยดูหมอเป็นเรื่องเป็นราวเลยซักครั้ง อาจมีบ้างที่เพื่อนดูให้เล่นๆ แต่ไม่เคยต้องเสียเงินดูหมอเป็นจริงเป็นจัง จะบอกว่าผมเป็นคนไม่เชื่อหมอดูก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว เหตุผลแรก อาจจะเพราะผมเชื่อตัวเองมากกว่า เพราะคงไม่มีใครรู้ดีว่าเราเป็นคนอย่างไรเท่ากับตัวเราเอง เหตุผลสุดท้าย ผมกลัวว่าถ้าดูแล้วไม่ดี มันจะเป็นการบั่นทอนจิตใจกันซะเปล่าๆ ผมไปดูหมอครั้งนี้เพราะตามใจน้อย น้อยเองก็กลัวผมเบื่อเลยพยายามหากิจกรรมให้ผมทำ
สุดท้ายแล้ว การไปดูหมอครั้งนี้ก็ไม่เป็นที่ประทับใจของผม (ตามคาด) หมอดูบอกเล่าในเรื่องของผมซึ่งผมรู้ดีอยู่แล้ว (เพราะมันคือตัวผม) สิ่งที่ผมอยากรู้ ผมก็ไม่ได้รู้ ว่าแล้วก็นึกเสียดายตังค์อยู่เหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะ น้อยเขาว่าแม่นของเขา เรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่อง ลางเนื้อชอบลางยา
คืนนี้ ต่างคนต่างก็เหนื่อย หลังจาก ทานข้าวเย็นกับพี่นารีเสร็จ ต่างคนก็ต่างหลับ (กันคนละเตียง) ผมอาจจะเหนื่อยเดินทาง เมื่อ 12 ชั่วโมงที่แล้ว ผมยังอยู่กรุงเทพฯอยู่เลย แต่ตอนนี้ผมมาอยู่ไกลจากกรุงเทพกว่า 800 กิโลเมตร น้อยเองก็คงเหนื่อยที่ขับรถจากหาดใหญ่มาถึงที่นี่

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นก่อนน้อย ตั้งใจว่าจะเดินชมเมืองยามเช้าไปเรื่อยๆ ผมเดินออกจากโรงแรม ถนนยังออกชื้นๆ เมื่อคืนฝนอาจจะตก (ผมหลับเป็นตายเลยครับ เลยไม่รู้ว่าฝนตกจริงหรือเปล่า) ผมเห็นพระรูปนึง กำลังเดินบิณฑบาต ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย ก็ใส่เงินลงไปในบาตรแทน และ อธิษฐานว่า ขอให้การเดินทางไปเกาะของผมราบรื่น ขออย่าให้ฝนเป็นอุปสรรคในการเดินทาง
ผมกลับมาที่ห้อง น้อยยังคงหลับอยู่ ผมก็เลยนอนต่อ เพราะไม่มีอะไรต้องรีบร้อน พี่นารีนัดให้เราไปเจอกันที่หน้าที่ทำงานพี่นารีประมาณ 10 โมง
ประมาณ 9โมง น้อยปลุกผมให้อาบน้ำและไปหาอะไรทานกัน มาถึงที่นี่ทั้งที่ เราก็น่าจะทานอาหารพื้นเมืองกัน ผมกับน้อยเลยตรงไปที่ร้านติ่มซำขึ้นชื่อในตัวเมือง ทานรองท้องก่อนลงเรือในช่วงเที่ยง

รถตู้ที่มารับเราไปลงท่าเรือมาค่อยข้าง late เอามากๆ ทำผมหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะนึกว่าน่าจะได้ไปถึงเกาะก่อนเที่ยง ช่วงบ่ายจะได้หากิจกรรมอะไรทำต่อ แต่ไม่เป็นไร ผมมีหนังสือติดมือมา สองสามเล่ม เลยได้นั่งอ่าน รอเวลาก่อนที่จะลงเรือ
มาถึงท่าเรือที่จะนำเราไปสู่เกาะ ฝนตกลงมาอีกแล้วครับ ท่าทางคำอธิษฐานของผมเมื่อเช้าจะไม่เป็นผล แต่หลังจากนั่ง speed boat ของทาง resort ไปถึงเกาะ ฝนก็ซ่าลงแล้ว มาถึงแล้วครับ เกาะในฝันของผม

หลังจากรับกุญแจห้อง (กระต๊อบไม้ไผ่) เรียบร้อย ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากกลับกรุงเทพฯ และ อยากอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ช่างเป็นชีวิตในฝันของผมจริงๆ กระต๊อบไม้ไผ่เล็กๆ ในห้องมีเตียงกว้างๆอยู่หลังนึง และห้องน้ำในตัว (ที่เปิดโล่ง) พออาบน้ำกับเสร็จ ผมก็ชวนน้อย ไปเดินเล่นรอบๆเกาะ เกาะที่นี่ก็ถือว่าไม่ใหญ่มากนะ (หรือว่าผมเดินริมหาดได้แค่ฝั่งเดียวก็ไม่รู้) ตลอดทางที่เดินมี resort ขึ้นเต็มไปหมด เสร็จแล้วก็เล่นน้ำ หน้าหาด ผมก็พึ่งรู้ว่าน้ำว่ายน้ำไม่เป็น น่าแปลกเหมือนกันนะ คนใต้ บ้านติดทะเลซะขนาดนั้นแต่ว่า ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ว่าน้อยก็ยังมี ทักษะในการลอยตัว (ดีกว่าผมซะอีก)
โชคดีที่ package ที่ผมซื้อ (จริงๆต้องเรียกว่า พี่นารีหาให้) รวมค่าอาหารเอาไว้ด้วย ทั้ง 3 มื้อ อาหารก็ถือว่าอร่อยทีเดียว แถวเราก็ยังเป็น คนไทย 2 คนที่อยู่ใน resort แห่งนี้ ผมเลยตีสนิทกับเด็กเสริ์ฟ และ แม่ครัว ให้ทำอาหารตามเมนูที่ผมอยากทาน

หลังอาหารค่ำ น้อย สั่งเครื่องดื่ม มานั่งดื่มด้วย ตรง Bar ริมหาด แรกๆ เราก็ยังนั่งกันอยู่บนโต๊ะหน้าหาดอยู่ดีๆ ซักพักเราก็มานั่งหันหลังชนกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
นพพร : “น้อยจำวันแรกที่เราคุยกันได้ไหม”
น้อย : “อืม วันนั้นผมกำลังขับรถกลับบ้าน แล้วคุณก็โทรมา คุณรู้ไหม วันนี้ฝนตกด้วยนะ”
นพพร : “แล้วคุยยังจะกลับไป fax เอกสารของพี่บลให้ผมอีกเหรอ ฝนตก ขนาดนั้น”
น้อย : “ไม่รู้สิ คุณขอให้ผมช่วย ก็คงแปลว่าคุณมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ ผมช่วยได้ผมก็ช่วย”
นพพร : “จริงๆ วันนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก แค่ผมติดต่อ พี่บลไม่ได้เท่านั้นเอง ยังไงก็ขอบคุณน้อยมากๆนะ รวมทั้งที่มาเที่ยวกับผมวันนี้ด้วย”
น้อย : “นพคิดมากอีกแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ผมเองก็อยากมาอยู่แล้ว”
นพพร : “ก็กลัวว่า ที่คุณมาเป็นเพื่อนผมเพราะว่าคุณเกรงใจ”
น้อย : “จะเพราะอะไรก็ตามเถอะ ผมก็มากับคุณแล้ว”
นั้นสินะ ทำไมผมเป็นพวกชอบคิดมาก คิดไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่รู้ อย่างว่า ผมมันเป็นลูกคนเดียว ชอบอยู่คนเดียว เลยทำให้จิตไม่ว่าง ชอบจินตนาการ คืนนั้นคุยกันไปอีกซักพัก น้อยก็ขอตัวไปนอน ส่วนผม ผมถือหนังสือติดตัวมาเล่มนึง กะว่าจะอ่านให้จบคืนนี้เลย (สุดท้ายก็ไม่จบหรอกครับ) เลยนั่งอ่านต่อ ผมไม่อยากเปิดไฟรบกวนน้อย เลยไม่ได้กลับเขาไปอ่านในกระต๊อบ


กระต๊อบไม้ไผ่ที่ผมพัก เป็น open air แต่ก็มีพัดลมอยู่ตัวนึง แล้วก็มีมุ่งใหญ่ๆ พี่นารีบอกว่า มาเที่ยวทั้งที จะติดนอนแอร์ก็ใช่ที่ เราต้องรับอากาศบริสุทธิ์บ้าง ซึ่งผมก็เห็นด้วย จริงๆผมก็เป็นคนติดนอนแอร์เหมือนกัน มานอนที่นี่ ผมเลยกลัวว่าจะร้อนเกินไปสำหรับผม ผมเลย นอนใส่กางเกงเลแค่ตัวเดียว โดยไม่ใส่เสื้อ (โชว์พุง)
กว่าผมจะเขามานอนก็เกือบเที่ยงคืนได้แล้ว (มั้ง) ผมเองก็นอนหลับบ้าง ไม่หลับบ้าง โดยส่วนตัว ปรกติแล้ว ผมเป็นคนนอนหลับยากอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าพลิกตัวมากนัก เกรงใจน้อย ซึ่งปรกติ ผมเองก็นอนของผมคนเดียว ไม่เคยนอนร่วมเตียงกับใคร คืนนี้เลยแปลกหน่อย มีคนนอนด้วย แต่ก็เอาเถอะ ก็แค่ 2 คืน ผมไม่ได้ serious อะไรมาก
ซักราวๆ ตี 2 ผมกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมนอนหันหน้าไปทางน้อย น้อยพลิกตัวหันหน้ามาหาผม น้อยเอาแขนพาดมาวางบนไหล่ผม(เท่าที่ผมจำได้นะ..ตอนนั้นก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น) ผมเองเอาแขนไปพาดโอบไหล่น้อยบ้าง
ซักพัก น้อยเอาหัวมาใกล้ผมมากขึ้น แล้วก็หายใจแรง ตอนแรกผมก็นึกหงุดหงิดนิดหน่อยว่า คนกำลังจะหลับแล้วเชียว แต่ผมก็ไม่สนใจ นอนต่อ (เพราะแขนก็ยังพาดกันอยู่อย่างนั้น) ผมกำลังตั้งใจจะพลิกหันหลังให้น้อย ก็มีเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับผมเลย


น้อย หอมผม และพยายามจะจูบผม
นพพร : “เฮ้ย!!!! น้อย ละเมอหรือเปล่า ตื่นๆๆๆๆๆ”
น้อยไม่ตอบอะไรผมเลย นอกจาก พยายามจะจูบผมต่อไป ผมพูดตามตรงเลยว่าผมไม่เคยคิดอะไรกับน้อยทำนองนี้มาก่อน และก็ไม่เคยคิดว่าจะมีความสัมพันธ์อะไรกับน้อย จนเลยเถิดถึงขนาดนิ้ มากที่สุดสำหรับน้อยคือ น้อยเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากที่สุดในตอนนี้เท่านั้น และผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าน้อยจะคิดอะไรกับผม ไปมากกว่าเพื่อนสนิทเช่นกัน
ผมสับสนไปหมดแล้วครับตอนนี้ ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำลายน้อย ผมพยายามจะปลุกน้อยขึ้นมาอีกครั้ง และถามเขาว่า เมื่อคืนทำอะไรไปได้สติหรือเปล่า น้อยเหมือนพยายามจะไม่ตื่น ผมก็เลิกพยายาม และนอนหันหลังให้น้อย น้อยเขามากอดผมอีกครั้ง แล้วก็บอกผมว่า
“หายตื่นเต้นหรือยังครับ นอนซะนะเด็กโง่”   
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-01-2007 21:49:07
อืม แสดงว่าน้อยคิดกับนพพรมากกว่าเพื่อนสนิทละซี  :kikkik:  :kikkik:

ตอนนี้ยังไม่เศร้า รออ่านต่อไป  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 25-01-2007 22:36:22
จ้ากกกกกก  น้อยนี่ใจกล้าจังเลยอะ
ทั้งๆ ที่เพิ่งมาพบคุนนพพรเองนะเนี่ย

แต่  ....
แต่.....
แต่ว่า  รีบมาต่อด้วยนะคร้าบบบบบบบ
ม่ายง้านเดวขาดใจตายก่อน  (จิ้นไปไกล)  :haun6: :haun1: :monkeylove2:
เอิ้กๆๆๆๆๆ

แต่ว่าคุนนพพรเกริ่นมาตอนแรกแล้ว  ก็ม่ายอยากคิดต่อเลยว่าเรื่องมานจาเศร้าขนาดไหนอะ
 :monkeysad: :impress3: :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 26-01-2007 15:27:49
“หายตื่นเต้นหรือยังครับ นอนซะนะเด็กโง่” 
วิ้ววววว   :laugh: น้อย สำนวนสุดยอดดดดดดดดดดดดด มั่ก ๆ  :untrust:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-01-2007 22:01:25
shell  อย่าพึ่งคิดไปไกลครับ อาจไม่มีอะไรก็ได้  :impress3:
eye_can_tell  โอ้ๆๆ อย่าร้องไห้นะ มาม๊ะ มาซบอกเรย์  :monkeylove2:
suregirl  ชอบใช้อ่ะดิ เด็กโง่ของป๋ม  :kikkik:

*******************************************************************************
ตอนที่ 7 ของ นายนพพร

“ผมแคร์คุณนะ”
                วันรุ่งขึ้น บนโต๊ะอาหารเช้า สิ่งแรกที่ผมพูดกับน้อยคือ
                นพพร : “เมื่อคืนคุณทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือเปล่า”
                น้อย “อืม”
                นพพร “คุณคิดจริงจังกับผมเหรอ”
                น้อย “ก็คอยดูกันต่อไป”
                นพพร “คุณกำลังทำให้ผม สับสนนะ น้อย”
                ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากน้อยอีก...
 
หากมีคนถามผมว่า ผมไม่รู้เลยเหรอว่า น้อยนิดอะไรกับผมแบบนี้ ผมคงไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปากนัก เพียงแต่ผมคิดอยู่เสมอว่า “มันเป็นไปไม่ได้” ผมเองไม่เคยคิดที่จะชอบผู้ชาย น้อยเองก็ตามเถอะ ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะชอบผมเหมือนกัน
ผมยอมรับว่า ผมมีความรู้สึกพิเศษกับน้อย แต่ความพิเศษนั้นก็ไม่มากไปกว่าเพื่อนสนิทที่สุดของผม เพื่อนสนิท ที่ไม่ใช่แบบในหนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” แน่ๆ ผมเข้ามาทำงานที่นี่ อย่างที่บอกแต่แรก เพื่อนที่ทำงานในสำนักงานใหญ่ด้วยกัน มีแต่เพื่อนผู้หญิง มีผู้ชายน้อยมากๆ (โดยเฉพาะลูกน้องพี่น้ำ ที่มีอยู่ 12 คน มีผู้ชายอยู่ 3 คน) ส่วนที่สาขาที่ผมทำงานด้วย ก็มีแต่ผู้ใหญ่ ซึ่งผมไม่สามารถเล่นด้วยได้ ก็มีแต่น้อยนี่แหละ ที่อายุไล่เลี่ยกับผม ผมจึงสนิทกับน้อยมากกว่าคนอื่นๆ เท่านั้นเองและเท่านั้นเองจริงๆ


จริงๆแล้ว สมัยผมเรียน มัธยมปลาย ผมมีแฟนแบบ Poppy love กับเขาคนนึงครับ เธอชื่อ “เจน” ครับ นั้นทำให้ผมคิดว่า ผมเป็นผู้ชายปรกติที่ชอบผู้หญิง เหมือนผู้ชายทั่วๆไป ไม่เคยคิดมองผู้ชายแล้วอยากจะเอามันเป็นแฟน

เรื่องระหว่างผมกับเจน เจนเรียนอยู่ชั้นเดียวกับผม เรื่องของเรื่อง ผมกับเจนเรียน มัธยมต้นที่โรงเรียนเดียวกัน แล้วก็พากันมาสอบ เข้ามัธยมปลายที่โรงเรียนนี้ ผมเลือกสอบเข้าสาย ศิลป์-คำนวณ ในขณะที่เธอ สอบสายศิลป์-ฝรั่งเศส ด้วยความที่เพื่อนจาก โรงเรียนเก่ามาสอบเข้าที่นี่ติดเพียงไม่กี่คน

ผมเลยสนิทกับเจนเป็นพิเศษ อย่างน้อยถึงจะย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่นี่ แม้จะเรียนกันคนละสาย คนละห้อง แต่ว่าเราก็เรียน ตึกศิลป์ตึกเดียวกัน เพื่อนคนอื่นๆ ที่สอบสายวิทย์ ตึกเรียนอยู่ห่างออกไปมากๆ (ประมาณว่าคนละฝั่งของสนามฟุตบอล) เพื่อนบางคนที่ผมสนิทสอบเข้าสายวิทย์ ผมก็ขี้เกียจเดินข้ามสนามฟุตบอลไปหา ส่วนหนึ่งเพราะตึกที่ผมเรียน เข้าทางถนนด้านหน้า

ส่วนเพื่อนที่เรียนวิทย์ เข้าทางถนนด้านหลัง นับวันๆ ก็ยิ่งห่างกันไป ร่วมทั้งการเรียนมัธยมปลายที่นี่ มีสอบกันทุกๆเดือน ผมก็เลยไม่มีเวลาจะเดินข้ามไปหาเพื่อนสายวิทย์เท่าไหร่นัก

ความสนิทสนมของผมกับเจน นานวันเข้า ก็ทำให้ผมกับเธอกลายเป็นแฟนกัน ผมยังจำได้วันที่ผมขอเธอเป็นแฟน คือวันที่ 3 มกราคม เมื่อประมาณ 12-13ปีที่แล้ว เธอตอบตกลงผม เจนสำหรับผม เป็นผู้หญิงที่วิเศษที่สุด เธอมีหลายอย่างที่เหมือนผม เรามีอารมณ์ศิลปินเหมือนๆกัน ชอบคิด ชอบเพ้อฝันพอๆกัน เจนชอบอะไรขีดๆเขียนๆเหมือนกับผม ผมก็พึ่งรู้หลังจากผมพบเธอว่า เธอเองก็ชอบเขียน Diary เหมือนผม ทั้งยังชอบแต่งกลอนเอาซะมากๆเลยด้วย

ผมเลิกกับเจน ด้วยความโง่ของผมเอง ผมสูญเสียคนที่ดีที่สุดในชีวิตผมไป เพราะความโง่ของผม อย่างว่าล่ะครับ พอคนเราคบกันมาเรื่อยๆ เหมือนชีวิตเริ่มจืดลงๆ ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรตื่นเต้นในชีวิต ผมทำเธอเสียใจหลายครั้ง บางครั้งผมก็ทำเป็นไม่สนใจเธอเท่าไหร่ ผม entrance ติดก่อนเธอ 1 ปี เวลาเธอมาหาผมที่คณะ ผมก็ไม่ค่อยชอบ

ตอนนั้นการสื่อสารไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนตอนนี้ เวลาเธอมาเฝ้าผมเรียนหนังสือ เพื่อรอไปทานข้าวด้วยกัน ผมก็เบื่อๆ ไล่เธอไป หาว่าเธอไม่มีอะไรทำหรือไงมานั่งเฝ้าผม เวลาเธอทำอะไรให้ผมไม่พอใจ ผมก็ว่าเธอไปแรงๆ หลังจากเธอ entrance ติดมหาวิทยาลัยเดียวกับผม (แต่คนละคณะ) เธอเลยได้เจอ คนอื่นที่ดีกว่าผม

ตอนแรกๆ ผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะผมคิดว่าผมเป็น “ของตาย” ของเธอ ยังไงเธอก็ต้องเลือกผม ครั้งสุดท้ายที่ผมเลิกกับเธอ ตอนผมกำลังเรียน ปี2เทอมปลาย ผมจำไม่ได้แล้วล่ะ ว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร ส่วนใหญ่ เวลาทะเลาะกับ เจนจะเป็นคนคุยกับผมก่อน แต่คราวนี้ เธอหายไปเลย ผมจึงมารู้ที่หลังว่า มีผู้ชายคนใหม่เป็นรุ่นพี่มาจีบเธอ และเธอก็มีใจให้กับ รุ่นพี่คนนี้ไปแล้ว

หากจะถามว่า เจนผิดไหมที่ไปเลือกพี่คนนั้น ผมตอบแทนเธอได้เลย ว่าเธอตัดสินใจถูกต้องแล้ว พี่กร แฟนใหม่ของเจน มีฐานะทางบ้านดีกว่าผม แต่นั้นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เธอจะเลือกเขาหรอก เพราะนอกจากนั้น พี่กรเป็นคนเรียนเก่ง พอเรียนจบก็สอบทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษได้ กลับมาก็มีหน้าที่การงานที่ดีกว่าผม แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลอีกแหละ เพราะเหตุผลที่แท้จริงคือ พี่กรไม่เคยทำให้เจนเสียใจเหมือนที่ผมเคยทำต่างหาก 

อย่างที่บอก ผมเสียเจนไปด้วยความโง่ของผมเอง ผมคิดตลอดเวลาว่า ผมต้องเป็นที่หนึ่งในใจเจน ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจนต้องเลือกผมแน่นอน แต่ผมคิดผิดอย่างมหันต์ ผมประเมินค่าของตัวเองสูงเกินไป ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องผมกับเจน ทำให้ผมสำนึกถึงความผิดที่มีต่อเธอตลอดเวลา และ นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ “กรรม” ที่ผมเคยก่อไว้กับเจน ได้ส่งผมย้อนมาหาผมแล้ว ในคราวที่ผมคบกับน้อย

ผมขอสละ พื้นที่ในการเขียนส่วนนี้ พูดถึงเจน บ้างนะครับ ปัจจุบันผมได้ข่าวเจนจากเพื่อนเก่าของผมบางคนว่า เธอสบายดี กำลัง candidate Doctor’s degree มีอนาคตและหน้าที่การงานที่สดใส ที่สำคัญเธอกำลังจะแต่งงานกับพี่กรในเร็วๆนี้ เธอคงไม่มีวันเชิญผมไปร่วมยินดีกับเธอแน่นอน แต่ผมอยากให้เธอรู้ไว้ว่า ความรักที่ผมเคยมีให้เธอไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว หรือว่า วันนี้ มันยังคงเหมือนเดิม เพื่อนบางคนถามผมว่า เจนไปได้ดีกว่าผมมากนัก

ผมไม่รู้สึกอะไรเหรอ ผมไม่มีคำตอบให้เพื่อนผมคนนั้นหรอกครับ เพราะผมคิดว่า เขาคงไม่เข้าใจความรักที่แท้จริง หากใครจะคิดว่าผมสร้างภาพ กับการที่ผมจะบอกว่า ผมยินดีกับเธอจากใจจริงก็ตาม ผมก็ไม่สนใจ เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ อย่างน้อย คนที่ผมรัก และ เป็พนคนที่เคยมอบความรักให้ผม มีชีวิตที่ดี ผมไม่มีเหตุผลอะไรจะไปอิจฉาเธอ หรือกลับมารู้สึกว่าตัวเองตกต่ำ ด้อยค่า... ถึงเจนจะไม่เลือกผมก็ตาม แต่สถานะของเธอในใจผม เจนยังเป็นคนที่ผมรักอยู่เสมอ

ผมปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้ ผมบังคับใจตัวเองไม่ให้รักเธอไม่ได้ ก็เหมือนกับเธอ ที่บังคับตัวเองให้กลับมารักผมไม่ได้เหมือนกัน แม้วันนี้ ความรู้สึกของเจนจะเปลี่ยนไป และผมจำเป็นต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะต้องหยุดความรักที่มีต่อเธอ เพียงแต่ผมต้องควบคุมความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจลึกๆของผมแค่คนเดียว


กลับมาที่เรื่อง ผมกับน้อย เหมือนเราต่างคนต่างมา ผมอ่านหนังสืออยู่ริมหาด น้อยไปเดินเที่ยวเล่นที่ไหนไม่รู้ ผมคิดว่าน้อยเหมือนพยายามจะหลบผม ในขณะที่ผมต้องการจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องกันไปว่าเขาจะเอายังไงกับผมกันแน่ แต่น้อยพยายามไม่พูดกับผมในตอนนี้

วันนั้น ตาม Program ของทาง resort เรามี trip ดำน้ำ และ ลอดถ้ำกลางน้ำกัน น้อยก็คุยกับแต่คนเรือไม่สนใจผม ผมเลยได้แต่นั่งมองฟ้า มองน้ำอยู่เงียบๆคนเดียว ตอนที่ snorkeling เราก็ต่างคนต่างว่ายไป ขณะที่คนอื่นเขาว่ายกันเป็นคู่ๆ วันนี้ทั้งวันของผม เต็มไปด้วยความสับสน กังวล หัวสมองคิดมากจนเบลอและคิดอะไรไม่ออกในที่สุด ใจผมเหมือนหล่นหายไปกับน้ำ ผมทำตัวไม่ถูกตลอดทั้งวัน

ตอนเย็น โต๊ะอาหารเหลือแต่ความเงียบ น้อยทานข้าวเสร็จก็ไปนั่งดื่มต่อที่ bar โดยไม่ชวนผม ผมกลับมานอนรอน้อยที่ กระต๊อบจนหลับ ตอนเช้าผมตื่นมา เจอน้อยนอนอยู่ข้างๆ ผมเลื่อนหน้าเข้าไปหาเขา และเรียกชื่อเขาเบาๆ น้อยยิ้มเล็กๆให้ผม ผมถามน้อยออกไปว่า

“คุณรักผมหรือเปล่า”

(http://i104.photobucket.com/albums/m173/blueboyhub/L5030982-5.jpg)

น้อยจูบผมแล้วบอกว่า
“ถ้าไม่รักคงไม่ทำแบบนี้หรอก”
คำพูดของน้อยครั้งนี้ทำให้ผมสับสน ผมควรจะรักน้อยไหม น้อยรักผมจริงหรือเปล่า ผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันจริงๆเหรอ ผมจะเล่าให้พ่อแม่พี่น้องของผมและคนอื่นๆว่ายังไง และอีกหลายๆคำถามที่ผมพยายามจะหาคำตอบ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าใด ผมยิ่งคิดไม่ออกมากเท่านั้น
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ ผมกับน้อยจะอยู่บน love island แห่งนี้ วันนี้ทั้งวัน น้อยก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิม พูดคุยกับผมเท่าที่จำเป็น ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่บนโลก ผมไม่เข้าใจอารมณ์น้อยว่าน้อยเขารู้สึกยังไง เขาจริงจังกับความว่ารักที่เขาพึ่งบอกผมมากแค่ไหน หรือว่าเขาเองก็กำลังสับสนเหมือนกันผมก็สุดที่ผมจะหยั่งรู้
Speed boat มาส่งผมที่ท่าเรือที่เดิม พี่นารีและสามี มารับผมกับน้อยที่ท่าเรือ และเลี้ยงอาหารเที่ยงส่งผมกับน้อย ผมแวะซื้อขนมไปฝากที่บ้านและเพื่อนๆนิดหน่อย แล้วก็กลับหาดใหญ่ ผมต้องขึ้นเครื่องกับที่หาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น ฉนั้นคืนนี้ผมยังเหลือเวลาอีก 1 คืนกับน้อยที่หาดใหญ่

ตอนนี้ผมอยาก เร่งเวลาให้หมุนเร็วขึ้น ไปให้พ้นๆจากน้อย ผมไม่อยากที่จะทนกับความรู้สึกอึดอัดแบบนี้อีกต่อไปแล้ว คราวนี้กลายเป็นผมบ้างที่ไม่พูดไม่จา ระหว่างที่กลับหาดใหญ่ น้อยพยายามชวนผมคุยบ้าง แต่ผมก็เงียบ มองออกนอกหน้าต่างทำเป็นไม่สนใจน้อย แรกๆน้อยก็ยังชวนผมคุยอยู่บ้าง แต่พอเห็นผมไม่คุย น้อยก็เลิกพยายาม

ความเงียบถูกปกคลุมอยู่ตลอดทาง จนกระทั้งผมและน้อยมาถึงหาดใหญ่  ผมพยายามบอกน้อยให้กลับบ้านไปซะไม่ต้องห่วงผม ผมหาที่พัก หาทางขึ้นเครื่องเองได้ ให้ปล่อยผมไว้หน้าตลาดกิมหยง (ผมไปเอานิสัยใจน้อยแบบผู้หญิงมาตั้งแต่เมื่อไหร่... หรือว่าเป็นสันดอนของผมมาตั้งนานแล้วชักไม่แน่ใจ) น้อยบอกว่า เขารู้จักที่พักราคาไม่แพง เดี๋ยวเขาจะพาผมไป เสร็จแล้ว น้อยให้ผมไปห้าง Discount store แห่งหนึ่งกับเขา ผมปฏิเสธ บอกน้อยว่าอยากจะพักผ่อน ให้น้อยไปเถอะ (ถ้าไปแล้วไปลับได้ก็จะเป็นเรื่องดี...ผมคิดในตอนนั้น)

ช่วงที่ผมมาหาดใหญ่ เป็นช่วงสัปดาห์งานเทศกาลโคมไฟนานาชาติพอดี วันแรกที่ผมมาถึงหาดใหญ่ ผมบอกน้อยแล้วว่า คืนที่เรากลับมาหาดใหญ่อีกครั้ง (ก็คือคืนนี้) เราไปเที่ยวงานที่นี่นะ จริงๆแล้วผมอยากไปเที่ยวงานนี้มากๆ แต่คราวนี้ไม่มีน้อยแล้ว ผมไม่รู้ว่าน้อยไปไหน (ห้างที่น้อยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้...ผมไม่รู้จักเส้นทางในหาดใหญ่เลย) ผมอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากที่พัก ผมเดินข้ามถนนมาถามยามของธนาคารแห่งหนึ่งว่า สวนสาธารณะหาดใหญ่ที่จัดงานโคมไฟอยู่ห่างจากที่ผมอยู่มากไหม คำตอบที่ผมได้คือ

“ไกลมากน้อง...เดินไปไม่ไหวหรอก”

ผมถอดใจแล้วว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เที่ยวงานโคมไฟนี้แล้วล่ะ จริงๆน้อยโทรมาหาผมระหว่างนี้ 2-3 ครั้ง แต่ผมไม่รับ หลังจากผมคุยกับพี่ยามฯ น้อยโทรมาอีกครั้ง ผมตัดสินใจรับๆไปซะจะได้ไม่ต้องโทรมาอีก ป่านนี้กลับบ้านไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้

น้อย : “นพทำไรอยู่ ผมโทรไปตั้งนานทำไมไม่รับสาย”
นพพร : “หลับ มีอะไรหรือเปล่า”
น้อย : “คุณอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะรับมางานโคมไฟ”
นพพร : “เรื่องของผม ผมบอกคุณแล้ว ผมดูแลตัวเองได้คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
น้อย : “แล้วคุณจะไม่เข้างานแล้วเหรอ ผมมารับบัตรเข้างานให้คุณแล้วนะ ต่อคิวยากมากเลยกว่านะได้ คุณอยู่ไหนเดี๋ยวผมไปรับ”
นพพร : “คุณสนใจผมด้วยเหรอ ว่าผมอยากทำอะไร อยากไปไหน ในเมื่อทั้งวันคุณทำเหมือนผมไม่มีตัวตน คุณไม่พูดไม่คุยกับผม ผมถามอะไร พูดอะไรคุณก็ไม่ตอบ น้อยคุณเป็นอะไรของคุณ แล้วตอนนี้มาทำดีกับผมทำไม ในเมื่อ วันสองวันที่ผ่านมา คุณยังไม่เห็นผมในสายตาคุณเลย”
น้อย : “ผมไปทำอย่างที่คุณพูดตั้งแต่เมื่อไหร่”
นพพร : “ช่างเถอะ ว่าจะตั้งแต่เมื่อไหร่...มันไม่สำคัญอะไรแล้ว ไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น ผมไม่เคยสำคัญในตัวคุณเลย”
น้อย : “อย่าพูดแบบนี้นะนพ ผมแคร์คุณนะ”.... น้อยพูดเสียงเข้มและจริงจังมากที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา
 
ติดตามต่อตอนต่อไปครับ คราวนี้ ผมไม่มีเวลา prove เลยครับ อาจสะกดผิดบ้าง ต้องขอโทษนะครับ ผมไม่มีเวลาจริงๆ
และเช่นเคยครับ ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น ผมดีใจและมีความสุขมากๆ เมื่อกลับมาเข้ากระทู้ของตัวเองแล้วมีเพื่อนๆคอยติดตามอ่าน มีอะไรชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอทุกความเห็นนะครับ   
 
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 27-01-2007 00:11:35
อกคุนบลูอุ่นมั้ยอะ  เดวจาวิ่งไปซบเลย  :haun5: :impress2: :-[

อ้อ...  ซบอกคนที่อยู่ข้างๆ คุนบลูนะ  อิอิอิอิ

(แซวเล่นนะคร้าบบบ  อย่าว่ากัน)

แล้วมานจาเปนยางงายต่อไปเนี่ย
น้อยจาปรับความเข้าใจกับนพได้มั้ยน้า

รอติดตามตอนต่อไปอีกละคร้าบบบบบ

ว่าแล้วต้องรีบวิ่งก่อน  เดวคุนบลูจับได้  ฟิ้วววววววววววววว
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-01-2007 07:01:24

มาอ่านเฉยๆ  :3063:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-01-2007 12:01:54
ผมแคร์คุณนะ  :like2:  :like2:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 28-01-2007 19:43:03
eye_can_tell อกคนอื่นอ่ะอบอุ่นเสมออ่ะครับ แต่ของเรย์มันแช่เย็นไว้ ไม่ควรเข้าใกล้อย่างยิ่งครับ  :monkeysad2:
oaw_eang  ตอนล่าสุดนี่ผมประทับใจมากเลยครับ ลองติดตามนะครับ  :haun6:
shell อยากมีคนพูดแบบนั้นกับเราม่างเนอะ "ผมแคร์คุณนะครับทิพย์"  :myeye:

*******************************************************************************************

ตอนที่ 8 ของ นายนพพร

“คืนสุดท้าย”
                ผมนิ่งไปชั่วขณะ กับคำพูดของน้อยในตอนนั้น
                นพพร : “คุณน่าจะรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน คุณว่าผมรู้จักที่ไหนในหาดใหญ่บ้าง”
                น้อย : “นพรอผมอยู่ที่นั้นนะ...เดี๋ยวผมไป”

ผมจะไปไหนไกลได้ล่ะครับ นอกจากที่พักที่น้อยมาส่งผม ผมรอน้อยอยู่นานมากๆ (ในความรู้สึกของผม)กว่าน้อยจะมารับ
นพพร : “ทำไมนานจัง ไปไหนมา”
น้อย : “ก็รีบมารับนพนี่แหละ...รีบไปเถอะ คนเริ่มเยอะแล้ว”
น้อยพาผมเข้างานโคมไฟนานาชาติ ที่สวนสาธารณะหาดใหญ่ ผมเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมน้อยถึงมารับผมช้า เพราะ สวนสาธารณะอยู่ห่างจากตลาดกิมหยงพอสมควรทีเดียว เหมือนที่พี่ยามบอกผมไว้จริงๆ


ผมมารู้ที่หลังว่า ระหว่างที่น้อยไม่อยู่ น้อยไปเยี่ยมพี่ที่ทำงานคนหนึ่ง admit อยู่ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ และไปเอารถมอเตอร์ไซค์จากน้องสาวของน้อย ที่เรียนที่ มอ. เพราะที่งานโคมไฟ คนเยอะมากๆ เอารถยนต์ไปจะไม่สะดวก รวมทั้งน้อยเสียเวลาเข้าคิวเพื่อรับบัตรเข้างานมาให้ผมด้วย... ผมถึงได้รู้ว่า น้อยแคร์ผมจริงๆอย่างที่เขาพูด

นานมากแล้วเหมือนกันครับ ที่ผมไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนเลย อาจจะเพราะบ้านผมเข้าซอยไม่ลึกมาก ผมจึงไม่มีโอกาสใช้บริการมอเตอร์ไซค์วินเท่าไหร่ การซ้อนมอเตอร์ไซค์น้อยครั้งนี้ เลยทำให้ผมตื่นเต้นมากพอสมควร ไม่รู้ว่าน้อยจะทำผมหล่นกลางทางหรือเปล่าด้วยและอาจเพราะน้อยค่อยข้างรีบพาผมเข้างาน น้อยเลยขับเร็วนิดหน่อย (ในความรู้สึกผม)
ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่เคยได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ลมโกยหน้าแบบนี้มาก่อน ลมค่อยข้างแรงพอสมควร ผมไม่ได้ใส่ Jacket มาด้วยสิ (ด้วยความรีบเลยทิ้งไว้ที่ห้อง..ใส่มาแต่เสื้อยืดแขนสั้นตัวเดียว) จากตอนแรกที่ผมนั่งชิดด้านท้ายรถ ผมจึงค่อยๆเลื่อนตัวเข้าใกล้น้อยมากขึ้นเรื่อยๆ และจากตอนแรกที่ผมวางแขนไว้ข้างลำตัว ผมก็เริ่มโอบเอวน้อย และค่อยๆรัดเอวน้อยแน่นขึ้น น้อยหันมายิ้มให้ผม

น้อย : “หนาวเหรอนพ”
นพพร : “ลมเย็น...น้อยขับเร็วด้วย”
น้อย : “กอดผมแน่นๆนะ จะได้หายหนาว” ... แล้วน้อยก็หัวมาจูบผมที่แก้มเบาๆ   


คงไม่ต้องบอกถึงความรู้สึกของผมแล้วใช่ไหมครับ สิ่งที่ผมเคยกังวลถึงสายตาของสังคมคนรอบข้าง กังวลถึงครอบครัวว่าจะรับได้หรือไม่ หรือแม้แต่กังวลถึงคำติฉินนินทาของคนอื่นๆ มันไม่มีความกังวลทั้งหลายอีกแล้วสำหรับผมในตอนนี้ ความรักที่ทำให้เราชนะความกลัวทั้งหมดได้มันเป็นแบบนี้นี่เอง...ผมพึ่งจะเข้าใจ

ผมมองผู้ชายคนนี้จากทางด้านหลัง ผู้ชายคนที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์พาผมไปเที่ยว ผู้ชายคนนี้นี่เหรอที่ถูกลิขิตให้มาเป็นคู่แท้ของผม เป็น soul mate ที่ผมเฝ้ารอ ผู้ชายคนนี้เหรอที่รักผม ห่วงใยผม และจะคอยอยู่เคียงข้างผมตลอดไป ผู้ชายคนนี้เองเหรอ ที่เป็น Jigsaw ส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตผมและ เป็นผู้ชายคนนี้เองเหรอ ที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตผมให้สมบูรณ์

คงไม่มีใครในโลกที่จะมีความสุขมากไปกว่าผมได้แล้วล่ะ....ถึงผมจะย้อนเวลากลับไปมีชีวิตอย่างวันนั้นไม่ได้ แต่ความรู้สึกของผมในวันนั้น ยังฝังอยู่ในใจผมจนถึงวันนี้ตลอดไป 

(http://i104.photobucket.com/albums/m173/blueboyhub/L5048143-3.jpg)

จริงๆแล้ว งานโคมไฟที่ผมไปค่อนไปถึงวันท้ายๆของงาน แต่คนก็ยังแน่นอยู่จริงๆอย่างที่น้อยบอก แต่สำหรับผม ผมรู้สึกเหมือนว่าผมเดินอยู่สองคนกับน้อยเท่านั้น... นั่นสินะ จะเรียกว่า ความรักทำให้คนใจบอดได้หรือเปล่าครับ (มีเด็กผู้หญิงพิการทางสายตาคนนึงพูดไว้ในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่า ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอด แต่ความรักทำให้คนใจบอด...เป็นคำพูดที่ประทับใจผมมากๆ จริงๆแล้วนอกจากจะใจบอดแล้ว ยังต้องรวมถึง สมองฝ่อด้วย เพราะ บางครั้งความรักก็สั่งให้เราทำอะไรบางอย่างโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองของสมอง)

น้อยจูงมือผมในงาน (แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ ตอนที่เบียดคนเข้างาน) ไม่ว่าน้อยจะจับมือผม เพราะว่ากลัวเราจะพลัดหลงกัน หรือว่าเพราะเหตุผลใดก็ตามเถอะ แต่สำหรับผม มันเป็นสัมผัสที่อบอุ่นมาก ความอบอุ่นจากมือที่น้อยกุมมือผมไว้ ทำให้ใจผมอุ่นได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ผมบอกได้เพียงว่า ผมอุ่นใจเหลือเกินที่มีน้อยอยู่เคียงข้างผมแบบนี้ ผมอยากจะเดินไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนสุดขอบฟ้า ไม่อยากจะหยุดเดินข้างน้อยเลย แม้แต่ก้าวเดียว



  กลับจากงานโคมไฟ เรามานั่งทานอะไรกันต่อนิดหน่อย ก่อนที่จะกลับที่พัก น้อยพาผมตะเวณทั่วหาดใหญ่ก่อนกลับเข้าที่พัก เข้าซอยนั้นออกซอยนี้ อธิบายให้ผมฟังว่า ไอ้นั้นคืออะไร ไอ้นี่คืออะไร ระหว่างที่เราตะเวณกันอยู่นี่เอง ผมเจอเรื่องสลดใจอย่างหนึ่งที่ไม่คิดว่าผมจะเจอ (แต่คิดอีกทีก็ถือเป็นเรื่องขำๆเหมือนกัน...)

เรื่องของเรื่องคือ ระหว่างที่น้อยพาผมขี่รถเล่นนี้แหละ ในมือผมถือกระเป๋าสตางค์ และ กุญแจห้อง (ซึ่งพวงกุญแจเป็นเลขห้องซึ่งเอาไว้เสียบที่ช่องข้างประตูสำหรับเป็นตัว sensor ควบคุมไฟในห้อง) โดยผมประสานมือไขว้หลัง เกาะกับเหล็กท้ายเบาะไว้ด้วย ปรากฎว่า มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่น 2 คน (น่าจะอายุประมาณ 18-19 ปีได้มั้งครับ) ขี่มอเตอร์ไซค์ตามผมกับน้อย แล้วตะโกนว่า “อยากไปห้อง 308 จัง” ผมเลยหันไปมองที่เลขในพวงกุญแจผม ซึ่งเป็นเลขห้อง 308 จริงๆ พอผมหันไป เด็กสาวคนขับก็ถามผมว่า ผมพักที่โรงแรมไหน ผมตกใจเลยหันกลับไปบอกน้อยว่า มีคนกำลังขับตามเราอยู่ น้อยพยายามเร่งความเร็วมากขึ้น แต่สองสาวคุณเธอก็ไม่ลดละความพยายาม (ในการclaim ผมกับน้อย) ผมอยากรู้ว่าเธอจะตามผมไปถึงที่พักจริงๆเลยหรือเปล่า ผมเลยแกล้งทำเป็นโบกมือ กวักให้เธอสองคนขับตาม คราวนี่แหละครับ สองสาวกรี๊ดกร๊าดเสียงดัง เหมือนดีใจสุดขีดที่ผมเล่นด้วย ผมเลยบอกน้อยว่า สงสัยสองสาวนี้จะเอาจริง... สองสาวขับมาเทียบแล้วถามน้อยว่า พักอยู่ที่ไหน น้อยเลยบอกไปว่า นัดไว้แล้วครับ สองสาวทำท่าทีเสียดาย(มาก) แล้วก็ขับไปอีกทาง (ด้วยความผิดหวัง)


จริงๆฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นเรื่องขำๆ แต่ถ้าคิดในเชิงของปัญหาสังคมแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นความเสื่อมทรามของสังคมที่ เยาวชนไทย กล้าทำเรื่องแบบนี้ กล้าแม้แต่จะชวนคนแปลกหน้าไปมีความสัมพันธ์ด้วย ผมไม่ทราบว่า ผู้ใช้อำนาจปกครองของเด็กพวกนี่จะทราบพฤติกรรมของ ผู้อยู่ในอำนาจปกครองของตนหรือเปล่า แต่สำหรับผม ผมเป็นห่วงอนาคตของเด็กๆพวกนี่จริงๆ อะไรทำให้ชีวิตของเด็กสาววัยกำลังสดใสต้องเดินทางผิดแบบนี้ ถ้าผมมีน้องสาว หลานสาว ลูกสาวกับเขาซักคน ผมคงไม่ปล่อยใจ เธอมาใช้ชีวิตกร้านโลกแบบนี้แน่ๆ ผมเป็นห่วงจริงๆนะครับ อยากให้เขาคิดได้ว่า การกระทำที่คิดว่าเป็นเรื่องสนุกของเขา จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องฉาบฉวย เขาน่าจะเอาเวลาไปศึกษาหาความรู้มากกว่ามาใช้ชีวิตแบบนี้



 ผมกลับน้อยกลับมาถึงห้องพัก (กันสองคน...โดยสองสาวนั่นปล่อยผมกับน้องไปตามยถากรรม...ไม่รู้ว่าจะไปตามหาผู้ชายที่ไหนต่อหรือเปล่า) คืนนี้เป็นคืนที่ผมมีความสุขมากๆ ผมนอนกอดน้อยทั้งคืน ไม่อยากจะให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่อยากให้ถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกัน ผมพยายามจะเก็บรายละเอียดทุกวินาทีที่มีกับน้อยให้คุ้มค่ามากที่สุด (ความรู้สึกคล้ายๆเพลง อยากกยุดเวลาเลยครับ)

เมื่อคนเราได้อะไรมาอย่างนึงแล้ว เป็นเรื่องปรกติที่เราจะต้องมีความรู้สึกกลัว กลัวว่าสิ่งที่มีอยู่กับเราวันนี้มันจะไม่เป็นอย่างนี้ตลอดไป กลัวว่าวันหนึ่งเราจะต้องสูญเสีย ผมเองก็เช่นกัน แม้ผมจะบอกว่า ผมมีความสุขมากแค่ไหน แต่ลึกๆแล้ว ผมก็ยังมีความกลัวเหมือนคนทั่วไป กลัวว่าวันหนึ่งจะเปลี่ยนแปลง กลัวว่าวันหนึ่งความรักของเราจะไม่เหมือนเดิม โดยที่ผมปิดใจไม่ยอมรับรู้เลยว่าจริงๆแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี่แหละ เป็นสัจธรรมของชีวิต สิ่งที่ผมกลัว ซักวันมันจะต้องมาถึง

นพพร : “น้อย...สัญญากับผมได้ไหม ถ้าวันไหนคุณไม่รักผมแล้ว คุณจะบอกผมตรงๆ”
น้อยพนักหน้ารับคำ
 
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 28-01-2007 20:30:56
ในใจลึกๆ ของนพคงอยากหาใครซักคนที่เป็นคู่แท้  เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป  พอน้อยมาแสดงออกว่ารัก  ห่วงใย  ใครละจะไม่คว้าโอกาสนั้นไว้

น่าจะเศร้าตอนจบใช่มะ  เตรียมเศร้ารอเลยละกัน  เขียนได้ซึ้งดีนะเนี่ยตอนนี้  :impress3:   :impress3:


หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 28-01-2007 21:09:57
อาจจะใช่นะครับ  เราอาจจะแค่ต้องการตามหาจิ้กซอว์ที่หายไปมาเติมให้สมบูรณ์ก็เป็นได้
หาจิ้กซอว์เจออาจจะเป็นเรื่องง่าย  แต่ว่าการที่เราจะรักษาและดูแลจิ้กซอว์ชิ้นนั้นไว้นี่สิ  เป็นเรื่องที่ยากกว่า

 :impress: :monkeysad:


เทศกาลโคมไฟนานาชาติเหรอ  อยากไปมั่งจังเลยอะ  ใครรู้บ้างว่าจัดเมื่อไหร่อะ
(แต่ว่าจามีเวลาไปหรือเปล่านี่สิ  :confuse:)

ยังงายก้อยังรอติดตามต่อไปนะคร้าบบบบบบบบ   :yeb: :haun6:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 29-01-2007 14:41:06
รู้สึกตะหงิด ๆ ว่าเรื่องนี้ตอนจบจะเศร้าอ่ะ เพราะขนาดตอนรักกันหวานชื่น ยังรู้สึกว่าเหมือนมีหมอกบางๆ ปกคลุมยังไงไม่รู้ หรือเป็นเพราะสไตส์การเขียนของผู้เขียนก็ไม่รู้นะ (รึเราจะคิดมากไปเอง หว่า)  :confuse:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-01-2007 20:16:10
ตอนที่ 9 ของ นายนพพร
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5078418/L5078418.html

“ความรัก”
      ....เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง
      เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง
      เหมือนลมหนาวเดือนเมษา
      เหมือนใจอ่อนล้ากับแข็งแกร่ง
      เหมือนคนกำลังมีรัก
      เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จัก
      เหมือนเจอของสำคัญที่หล่นหาย
      เหมือนร้ายนั้นกลายเป็นดีได้เหมือน.......ที่ฉันนั้นได้มาพบกับเธอ
      ชีวิตฉันจึงได้เจอ
      แต่ไม่รู้จะขอบคุณ ไม่รู้ทำอย่างไร ไม่รู้ว่าสิ่งไหน จะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ
      ที่ได้จากเธอ ได้รับโดยไม่ต้องขอ โดยรู้โดยไม่ต้องรอ.....ว่ารักคืออะไร
                                                     (รัก:อัญชลี จงคดีกิจ)

      ใช่ครับ ความรักของผมเกิดขึ้นแล้วอีกครั้ง จากที่ผมเคยกล่าวไปตอนตั้งแต่แรก ความสัมพันธ์ของผมกับน้อย ค่อยๆเริ่มจากความเป็นเพื่อนร่วมงาน => เพื่อน => เพื่อนสนิท =>และสุดท้ายก็เป็นคนรักของผมในที่สุด

       
      ตอนนี้เป็นตอนที่ยากที่สุดสำหรับผม ที่จะบรรยายความรู้สึกของผมทั้งหมดที่มีอยู่ให้ทุกคนรับรู้ถึงความรู้สึกของผมอย่างแท้จริง ผู้อ่านซึ่งเคยมีความรัก หรือ กำลังมีความรักอยู่ คงจะทราบดีว่า ความรู้สึกพอกฟูมันเป็นอย่างไร ใช่แล้วครับ...ผมรักน้อยเข้าแล้วอย่างเต็มหัวใจ
      ไม่แน่ใจว่ามีใครเหมือนผมบ้างหรือเปล่า น้อยเป็นคนทำให้ผมฟังเพลงเศร้า เพลงรักอกหัก ไม่เพราะอีกต่อไป ทั้งๆที่เคยเป็นเพลงที่ผม in เอามากๆ เมื่อก่อน แต่ครั้งนี้ผมฟังกลับรู้สึกเฉยๆ...อนุภาพของความรักเป็นแบบนี้นี่เอง ผมยืนยันครับ ว่าความรักทำให้ผมใจบอดจริงๆ (และนี่ยังเป็นแค่อาการเบื้องต้น)
      ผมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทั้งๆที่ใจผมทิ้งไว้ให้น้อยแล้ว โดยผมไม่สามารถนำกลับมาด้วยได้ ผมเหมือนจะลอยกลับกรุงเทพฯได้เอง โดยให้ความรักของน้อยพาผมไป ก่อนผมจะขึ้นเครื่อง ผม message หาน้อยว่า
      “Every time you go away, you take a piece of me with you. Noi, I’ll wait for your call anticipately. / Nop”


วันรุ่งขึ้น ผมกลับไปทำงานตามปรกติ แหวน(เพื่อนร่วมงานที่นั่งใน partition เดียวกับผม)ก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผมดังกล่าว... ผมอารมณ์ดี สดใส ทำงานด้วยความสุข ยิ้มคนเดียวทั้งวัน จริงๆไม่ใช่เพียงแค่แหวนหรอกครับ พี่น้ำหัวหน้าผมก็แซวๆผมเช่นกันว่า การพักร้อนของผมครั้งนี้ คงทำให้ผมสบายใจมากขึ้น โดยไม่มีใครรู้หรอกว่า เป็นเพราะน้อยนั่นเอง...
      ความเปลี่ยนแปลงของผม อาจจะรวดเร็วมาก จนทำให้แหวนกึ่งๆสงสัยว่า ทำไมผมถึงได้อารมณ์ดีมากๆเป็นพิเศษขนาดนี้
      แหวน : “เที่ยวสนุกไหม... สดใสเชียว”
      นพพร : “ใช่...ดีมากๆ ไม่อยากกลับมาเลยครับแหวน อยากอยู่ที่นั้นตลอดชีวิต”
      แหวน : “ขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นเพราะสถานที่ หรือ ว่าเพราะคน...”
      นพพร : “ไม่บอก...”
      แหวน : “บอกหน่อยสิ... ความลับเหรอ... อยากรู้ อยากรู้...เราไม่บอกใครหรอก สัญญานะสัญญา”
      ...นี่เป็นนิสัยปรกติของผู้หญิงใช่ไหมครับ (ผมคิดในใจ)

      นพพร : “แหวนเคยรักใครไหม รักแบบหมดหัวใจ รักแบบไม่มีเงื่อนไข รักแบบชีวิตนี้ไม่ขอรักใครอีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี่ ใช่ความรักใช่ไหมแหวน”
      แหวน : “อยากบอกนะว่า...นพกำลังมีความรัก”
      นพพร : “แหวนยังไม่ตอบคำถามนพเลย”
      แหวน : “จริงๆความรักมันเป็นเรื่องอธิบายยากนะนพ คงไม่มีใครบอกได้หรอกว่าความรักเป็นอย่างไร จนกว่าเราจะได้เจอกับมันด้วยตัวเอง”
      …I could not agree more. (ผมไม่สามารถเห็นด้วยไปมากกว่านี้ได้แล้ว...ผมคิดในใจเช่นกัน)
      แหวน : “ว่าแต่... นพมีความรักเหรอ รู้ไหม หน้านพนี่บอกเลยว่า นพกำลังมีความรัก”
      ...ผมก็ไม่รู้หรอกว่า หน้าผมแสดงออกขนาดนั้นเลย หรือว่าแหวนอำผมเพื่อให้ผมบอกความจริงกันแน่


 นพพร : “หน้านพบอกได้อย่างนั้นเลยเหรอ...”
      แหวน : “ใช่สิ!!! แหวนว่าจะทักตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เห็นยิ้มๆอยู่คนเดียว หน้างี้บานเชียว ดูมีพิรุธเอามากๆ”
      นพพร : “ความรักมีพิษสงขนาดนี้เลยเหรอ”
      แหวน : “นพเคยได้ยินไหม 
                  ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมล
              ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะ ใดใด
              ความรักเหมือนโคถึก สุดจะคึก ผิขังไว้
              ก็โลดจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
              ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
              ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิด ถึงเจ็บกาย...”
      นพพร “คุ้นๆอยู่”
      แหวน : “พระราชนิพนธ์ ร.6 เรื่อง มัทนะพาธา”
      นพพร : “นั่นสินะ... ความรักของมนุษย์ก็ยังคงไม่แตกต่างกันในแต่ละยุคแต่ละสมัย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม”
      แหวน : “นพไม่ต้องเปลี่ยนประเด็นเลย... ยังไม่บอกเรื่องของนพเลย”
      นพพร : “ถ้าหน้านพแสดงออกขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องให้นพยืนยันอะไรอีกเหรอ”
      แหวน : “อย่าบอกนะว่า นพกับน้อยรักกัน” ... แหวนถามด้วยเสียงเบาลง เหมือนกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน
      นพพร : “นพจะบอกแหวนยังไงดีล่ะ”
      แหวน : “แหวนพอจะรู้เรื่องแล้วล่ะ..””

      ระหว่างอาหารกลางวัน ผมก็เล่าเรื่องของผมคร่าวๆให้แหวนฟัง...


*
       ความรักระหว่างผมกับน้อย แรกๆเองผมก็ยังไม่แน่ใจมากนักหรอกว่า ผมจะรักน้อยได้มากแค่ไหน แล้วน้อยเองจะรักผมจริงๆหรือแค่บรรยากาศมันพาไปกันแน่ แต่ผมถลำลึกมาจนยากจะถอดตัวแล้ว (หรือว่าผมไม่ยอมถอดตัวออกมาเอง ตามความรู้สึกของหัวใจผมมากกว่าเหตุผลก็อาจเป็นได้)
      อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกเมื่อครั้งก่อน ความรักของน้อยที่มอบให้ผม ทำให้ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้วในโลกนี้ ผมไม่แคร์ว่าน้อยจะเป็นผู้ชายเหมือนผม ไม่แคร์ถ้าใครจะรู้ว่าผมกับน้อยรักกัน (เพียงแต่ผมไม่เคยยอมรับว่าผมคบกับน้อยในฐานะอะไร...ยกเว้นแหวน ที่ผมถือเป็นเพื่อนสนิทและเชื่อใจได้)

*
      จริงๆผมกับน้อยตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน เราก็โทรคุยกันบ่อย แต่ก็ไม่ถือว่าทุกวัน แต่พอสถานะเปลี่ยนไป เราก็คุยกันมากขึ้น และ หวานขึ้น น้อย เปลี่ยนชื่อผมในโทรศัพท์ของเขาจาก นพพร HQ (Head Quarter) เป็น “คิดถึงนะ”
      ผมก็ขำๆอยู่เหมือนกัน ว่าน้อยคิดได้ไง ถึง edit ชื่อผม ใน phonebook ของเขาเป็น “คิดถึงนะ” เขาบอกว่า ก็เขารู้สึกกับผมอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมเองไม่ได้เปลี่ยนชื่อ น้อยเป็นอย่างอื่นหรอก แต่ผมเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าของน้อยเป็นเพลง “หากันจนเจอ” เท่านั้นเอง
      ผมเองก็พึ่งเห็นอีกด้านของน้อยซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน น้อย romantic ในระดับหนึ่ง บ้างครั้งก็ทำให้ผมอุ่นใจที่มีน้อยอยู่ข้างๆ มีวันหนึ่ง ผม message ไปหาน้อยแต่เช้าว่า
      1.ทำงานหรือยัง
      2.งานยุ่งหรือเปล่า
      3.ขับรถดีดีนะ
      4.คิดถึงผมบ้างนะ

      น้อย reply message กลับมาหาผมว่า

      ตอบคุณนพพร
      1.ถึงที่ทำงานแล้วครับ
      2.ยังไม่เริ่มทำงานเลย ยังไม่รู้ว่าจะยุ่งหรือเปล่า
      3.ขอบคุณครับ
      4.คิดถึงนพเสมอนะ

  ไม่ทราบว่าใครจำโฆษณาของ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่บริษัทหนึ่งได้ไหมครับ เนื้อหาในโฆษณามีว่า ผู้ชายกำลังซ้อมดนตรี (เป็นมือกลอง) อยู่กับเพื่อนๆทั้งวง แล้วแฟนเขาโทรมา ถามผู้ชายว่า คิดถึงหรือเปล่า ผู้ชายก็อายเพื่อน พูดเบาๆว่า คิดถึง ผู้หญิงก็ให้พูดใหม่ แล้วผู้หญิงก็ถามว่ารักไหม รักแล้วทำยังไง ผู้ชายก็ตอบว่ารัก แล้วก็ จุ๊บ จุ๊บ...
      จริงๆ creative ที่ทำโฆษณานี้ ไม่รู้ว่าเอาเรื่องของผมไปใช้ในโฆษณาได้ยังไง...เปล่าหรอกครับ ผมล้อเล่น แต่ว่า ผมกับน้อย เหมือนโฆษณานี้จริงๆ ผมชอบถามน้อยว่า คิดถึงผมไหม รักผมหรือเปล่า
      น้อยเคยบอกผมว่าคำว่ารักของเขามีความหมายมากนะ ไม่อยากจะพูดบ่อยๆเหมือนเป็นหน้าที่ จะขอเอาไว้พูดในโอกาสพิเศษจริงๆ
       แต่ผมดื้อ ชอบถามให้เขาตอบ บางครั้งน้อยก็ตอบ บางครั้งน้อยก็บอกว่า ไม่คิดถึงแล้วจะโทรมาเหรอ ไม่ให้รักนพแล้วจะให้รักใคร จริงอยู่ ผมเห็นด้วยกับน้อยว่า คำว่ารักมีความหมายมาก เพียงแต่บางครั้งผมอยากจะได้ยินเขาบอกรักผมด้วยคำพูดอยู่เรื่อยๆ พูดให้ผมฟัง ฟังทีไรแล้วก็รู้สึกดี นอนหลับด้วยความสุขใจ

*
      มีอะไรอีกนะที่น้อยทำให้ผมมีความสุข จริงๆแล้วน้อยไม่เคยสัญญาเลยว่า ความรักของเราทั้งคู่จะยืนยาวไปแค่ไหน ผมเคยถามน้อยว่า น้อยจะสัญญาได้ไหม ว่าจะรักนพตลอดไป (เป็นคำถามโง่ๆ ที่ผมคิดว่า ผมจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับใครอีกแล้ว) น้อยบอกผมว่า น้อยสัญญาไม่ได้หรอก เพราะไม่รู้ว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น น้อยบอกได้เพียงว่า วันนี้ น้อยรักนพ และรักนพคนเดียว หลังจากเราคุยกันเสร็จผม message ไป Good Night น้อยว่า
     “ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมมีความสุขมากๆ ไม่เฉพาะวันนี้ ถึงคุณจะไม่สัญญาว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็ยังเชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ ผมดีใจที่คุณมีความสุข Good Night ครับ” 

      น้อย reply กลับมาว่า

      “ผมก็เช่นกัน ฝันดีนะนพ ฝันถึงผมนะ”


*
      ...เธอทำให้ฉันรู้จัก ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขใด ได้มามีเธอเหมือนเป็นคนให้ หัวใจ อย่าให้เธอรู้
แต่ไม่รู้จะขอบคุณ ไม่รู้ทำอย่างไร ไม่รู้ว่าสิ่งไหน จะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ ที่ฉันได้จากเธอ ได้รับโดยไม่ต้องขอ โดยรู้โดยไม่ต้องรอ.....ว่ารักคืออะไร

      นี่แหละครับ ความรักของนพพร ความรักที่ทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง โดยผมไม่เคยคิดเลยว่า ซักวันหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงจะมาถึง..


*************************************
ลงทันตอนล่าสุดในพันทิพกระทู้นอกเรื่องแล้วนะครับ
ตามไปให้กำลังใจคุณนพพรได้ในกระทู้ล่าสุดนะครับ
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5078418/L5078418.html   :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 29-01-2007 21:45:16
นี่นะเหรอพลังแห่งความรัก  มันเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างจริงๆ

ทำให้คนๆ นึงมีความสุขได้มากมายถึงเพียงนี้

แต่  ตอนลงท้ายนี่สิ  ชักยังไงๆ แล้วอะ

จาเริ่มเศร้าแล้วใช่มั้ยอะ

ทำไมน้า  ที่รักแล้วจามีแต่สุขม่ายด้ายเหรอ  ทำมายต้องตามมาด้วยเรื่องเศร้าอย่างนี้ด้วยน้า

 :monkeysad: :monkeysad2:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-01-2007 23:12:14
ถึงผมจะย้อนเวลากลับไปมีชีวิตอย่างวันนั้นไม่ได้ แต่ความรู้สึกของผมในวันนั้น ยังฝังอยู่ในใจผมจนถึงวันนี้ตลอดไป  :impress3:  :impress3:
ความรักบางครั้งแม้จากเราไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงมันมักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ

ปล.เข้าโหมดเตรียมเศร้า  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 30-01-2007 10:52:35
นั่นว่าแล้ว เตรียมเศร้าได้เลย  :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้หัวแห้ว ที่ 30-01-2007 17:49:27
 :myeye:


เตรียมรับโหมดเศร้า เง้อๆ

ไอ้เทศกาลโคมไฟนี่ผมก็ไปนะ
อาจจะได้ไปวันเดียวกันก็ได้ครับ อิอิ
คนเยอะจริงๆ อ่ะ เหอๆ แล้วตลาดกิมหยงก็ห่างมากๆ ด้วย


รออ่านต่ออยู่ครับ

หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 04-02-2007 19:42:04
คิกคิก อย่าพึ่งคิดไปแบบน้าน  เอิ้กๆ แต่ชวนให้คิดเจงๆ

ตอนที่ 10
“ความเปลี่ยนแปลง”
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5105749/L5105749.html
      ...หมุนเวียนกันไป สัจธรรมก็คือเปลี่ยนไป
ไม่มีของใด ทนได้ตลอด ต้องสูญต้องเปลี่ยนรูปไป
เหมือนใจ เรานี่... ที่ต้องเจอความรักจากไป
สุขได้ไม่นาน ต้องมีทุกข์แทรกไว้ ซ้อนไปอย่างนั้น
เพราะโลกใบนี้... แท้จริงก็ยังหมุน
จากร้อนไปเป็นเหน็บหนาว
เหมือนกับความรัก... คงไม่มียืดยาว
นานไปเขาก็เปลี่ยน... เราทั้งเจ็บ เจ็บที่ยังรักไม่เปลี่ยน...
                   (เปลี่ยน : คณาคำ อภิรดี)

      ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น หากเรื่องของนายนพพร เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของนพพรเอง ผมคงจะให้ความสัมพันธ์ของน้อยและนพพร หยุดอยู่กับคืนวันอันแสนสุขของเราทั้งคู่ และเป็นอย่างนี้ตลอดไป

      แต่เรื่องของนายนพพร หาได้เป็นละครฉากใดๆไม่ ผมจึงทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมไม่สามารถลิขิตชีวิตของตัวเองให้เป็นไปตามที่ผมต้องการจะให้เป็นได้ และนี่คือความจริง ความจริงที่ผมต้องเผชิญ


     หากจะถามผมว่า ผมกับน้อยทะเลาะกันบ้างไหม... แน่นอนครับ ไม่มีคู่ไหนที่ไม่เคยทะเลาะกัน และหากจะถามต่อไปว่า เรื่องทะเลาะกันใหญ่โตมากแค่ไหน... ไม่เลยครับ มันเป็นเรื่องความไม่เข้าใจเล็กๆน้อยๆ ประเภทที่เรียกว่า ลิ้นกับฟัน
      ผมว่า คู่อื่นๆคงไม่แตกต่างกันมากนัก ครั้งเมื่อผมคบกับน้อยเพียงแฟนของผม ด้วยคำว่า “เพื่อน” ทำให้เราต้องเคารพสิทธิส่วนตัวของกันและกัน ผมไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวอะไรของน้อยเลย แต่เมื่อสถานะเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์เราแนบแน่นมากขึ้น อะไรๆที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา กลายเป็นเรื่องของเราทั้งคู่
      สถานภาพที่เปลี่ยนแปลงนี่เอง ทำให้ผมเขาไปอยู่ในชีวิตน้อย และน้อยก็เช่นกัน ปัญหาของเราอย่างนี้คือ ผมทำงานอยู่ที่นี่ ที่กรุงเทพฯบ้านของผม ส่วนน้อยอยู่สาขาต่างจังหวัด น้อยเองเคยชวนให้ผมย้ายไปทำงานอยู่ใกล้ๆกับเขา... จะว่าไปแล้ว หากชีวิตของนพพร ไม่มีแม่ที่ต้องดูแลและเป็นห่วง ผมคงตัดสินใจได้ไม่ยาก แต่ผมอยู่กับแม่ที่นี่ และเราก็มีกันแค่ 2 คน เท่านั้น ผมจะทิ้งแม่ไปได้ยังไง


  หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผมอยู่กับแม่แค่ 2 คน เตี่ยผมไปไหน... เดิมผมเคยมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ พ่อ แม่ ลูก ที่ต่างจังหวัดไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก แต่เนื่องจากเด็กๆ ผมไม่สบายบ่อย ทำให้แม่ผมตัดสินใจส่งผมมาอยู่กรุงเทพฯกับอากู๋ของผมที่มีบ้านอยู่ที่นี่ ตอนแรกผมคิดว่า แม่ผมคงเพียงอยากให้ผมมีโอกาสทางการศึกษาในกรุงเทพฯที่ดีเพียงเท่านั้น ผมพึ่งมาทราบหลังจากผมเข้ามหาวิทยาลัยไม่นานเท่าไหร่ว่า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ แม่ไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้เตี่ยมากนัก
      ทำไมเหรอครับ...? จะว่าไป เตี่ยผมก็รักผมนะ ผมดูแววตาเตี่ย ผมก็รู้ว่าเตี่ยรักผม เพียงแต่เตี่ยรัก Alcohol มากกว่าผม แม่ไม่อยากให้ผมเห็นชีวิตของเตี่ยที่ติดเหล้าและบุหรี่ ไม่อยากให้เห็นเตี่ยโมโห ขว้างปาข้าวของ ไม่อยากให้ผมเห็นแม่โดนเตี่ยทำร้าย... คนพึ่งมาทราบไม่นานมานี่เองว่าแม่ผมถูกทำร้ายมากว่า 20 ปี โดยแม่ไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย
      จนสุดท้าย วันที่แม่ผมทนเตี่ยไม่ได้ ก็วันที่เตี่ยหยิบปืนจะยิงแม่ผม ด้วยว่าหึงหวงว่าแม่ผมคิดจะทิ้งเขาไปมีคนอื่น (ผมก็ไม่รู้ว่าเตี่ยผมคิดไปได้ยังไง...ถ้าแม่ผมจะมีใครอื่นจริงๆคงมีไปนานแล้ว หรือหากแม่จะเลิกกับเตี่ยผมไปมีคนใหม่ ผมก็เห็นด้วยว่าแม่ไม่มีความจำเป็นต้องทนอยู่กับเตี่ยผมต่อไป เตี่ยไม่คิดเลยว่าแม่ต้องทนกับเตี่ยมานานแค่ไหน)
      จริงๆผมก็พอระแคะระคายเรื่องเตี่ย-แม่ผมมาบ้าง จากญาติๆที่เล่าๆให้ผมฟัง แต่เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ คิดว่าไม่ใช่เรื่องของผม ผมยังนึกชมเตี่ย-แม่ผมเหมือนกันนะ ต่อหน้าผม ต่างคนต่างเก็บอาการ เนียนมากๆ ผมอาจจะเคยเห็นเตี่ยดื่มหรือสูบบ้าง แต่ไม่คิดว่าเตี่ยผมจะติดเหล้าจนเป็น alcoholism และโมโหร้าย ที่สำคัญที่ผมโกรธเตี่ยมากที่สุด จนทำให้ผมไม่คุยกับเตี่ยอีกเลย ก็คือเรื่องทำร้ายแม่...
      หลังจากวันนั้น แม่ผมย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯกับผม แม่ซื้อทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆแถวๆชานเมืองพออยู่กันสองคนแม่ลูก ผมนึกนับถือในจิตใจแม่ผมเหมือนกันนะ แม่ผมเข้มแข็งมากๆ หลังจากวันแรกที่แม่บอกผมถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ให้ผมเห็นเลยซักครั้ง
     นั่นสินะ...ผมยังมีแม่ที่ผมต้องดูแลไปตลอดทั้งชีวิต ถึงผมไม่มีใคร ผมก็ยังมีแม่

      กลับมาที่เรื่องผมกับน้อย... (แม่ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยนะครับ...อย่าเอ็ดไป...เดี๋ยวแม่รู้) ความห่างไกลของผมกับน้อย อาจจะมีบ้างที่ทำให้ชิวิตผมกับน้อยมีปัญหา มีครั้งนึง เมื่อตอนปลายปี เกิดน้ำท่วมภาคใต้ หนักพอสมควร บ้านและที่ทำงานของน้อยก็ประสบปัญหา อุทกภัยไปด้วย แต่น้อยก็ยังคงต้องเดินทางไปนู้นมานี่ ทำงานของเขา ขึ้นๆลงๆ ระหว่าง หาดใหญ่ และ จัดหวัดอื่นๆ แถบๆนั้น ทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาพอสมควร
      เย็นวันหนึ่ง ผมโทรคุยกับน้อย น้อยบอกว่า กำลังจะหนีน้ำท่วมกลับบ้าน ผมบอกน้อยว่า กลับถึงบ้านแล้วโทรหาผมนะ ผมจะได้รู้ว่าน้อยปลอดภัยดี
      สามทุ่มก็แล้ว ผมยังรอ.... สี่ทุ่มก็แล้ว ผมยังรอ.... ห้าทุ่ม ผมเริ่มเครียดมากๆ ไม่ทราบว่ามีใครเป็นเหมือนผมบ้าง เวลาเราโทรหาใครไม่ติด ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าโทรไม่ติด เราก็ยังเพียรโทรอย่างไม่ลดละ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า โทรให้ตายยังไง เขาก็ไม่เปิดเครื่อง น้อยทำให้ผมกังวลมาก คืนนั้นเล่นเอาผมนอนไม่หลับเลยครับ เครียดว่าเขาจะเป็นยังไง เขาไปมีอุบัติเหตุที่ไหนหรือเปล่า เขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
      ผมโทรหาแหวน อย่างน้อยก็หาให้ช่วยผ่อนคลายความทุกข์โศกของผมบ้าง แหวนบอกให้ผมใจเย็นๆ อย่างคิดอะไรในทางเลวร้ายไปล่วงหน้า แต่ผมก็บอกแหวนว่า น้อยสัญญากับผมแล้ว ว่าเขาจะโทรหาผมเมื่อถึงบ้านแล้ว เขาต้องโทรหาผม ผมจะรอโทรศัพท์เขา...
      ผมรอโทรศัพท์น้อย จนหลับไปเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ตัว ตอนเช้าพอผมรู้สึกตัวแล้ว ผมโทรหาน้อยอีกที เขาเปิดเครื่องแล้วครับ...
      นพพร : “น้อย...คุณอยู่ที่ไหน...?”
      น้อย : “กำลังจะออกจากบ้าน”
      นพพร : “เมื่อคืนคุณไปไหน ทำไมไม่เปิดเครื่อง คุณรู้ไหม ผมรอสายคุณทั้งคืน”
      น้อย : “เมื่อคืน...เหนื่อยมากเลยกว่าจะถึงบ้าน ถึงแล้วก็หลับเลย”
      นพพร : “ทำไมคุณทำแบบนี้ คุณสัญญาแล้วว่าถึงบ้านจะโทรหาผม ผมรอคุณ โทรหาคุณทั้งๆที่รู้ว่าคุณไม่เปิดเครื่อง ผมโทรไปเป็นร้อยๆครั้ง ได้ยินแต่ เสียง operator ไร้สาระนั้น ทำไมคุณทำให้ผมเป็นห่วงคุณแบบนี้ เคยคิดถึงผมบ้างไหม นี่ผมเป็นแฟนคุณหรือเปล่า...น้อย คุณไม่ใช่ตัวคนเดียวนะ จะคิดอะไร จะทำอะไร คิดถึงผมบ้างสิ” ผมรั่วเป็นชุด เท่าที่ผมจะคิดออกไปได้ว่าจะพูดอะไรบ้าง (จริงๆอาจจะเยอะกว่านี้ครับ ผมก็จำไม่ได้...เอาเป็นว่าพูดโดยอารมณ์เป็นส่วนใหญ่ล่ะครับ...)
      น้อย : “ผมขอโทษ”
      นพพร : “คุณไม่ต้องมาขอโทษ... เก็บคำขอโทษของคุณไว้ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าผมเสียใจแค่ไหน”
      น้อย : “ถ้าคุณไม่อยากให้ผมขอโทษ ผมก็จะไม่ขอโทษ แค่นี้จะนพ ผมจะรีบไปทำงาน”

      นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า ผมทะเลาะกับน้อยอย่างรุนแรง จริงๆ ผมเข้าใจน้อย ว่าน้อยคงจะเครียดอยู่แล้วที่ต้องเผชิญกับ อุทกภัย แบบนี้ แล้วยังต้องมาเครียดกับแฟนงี่เง่าอย่างผมอีก (ตอนนั้นผมยังคิดไม่ได้ คิดเอาแต่ใจของตัวเองเป็นใหญ่...ทำไงได้ล่ะครับ ทุกคนคงต้องโง่มาก่อนฉลาด)

     การทะเลาะกันครั้งแรกๆ น้อยกลับมาง้อผมตามที่ผมคิดไว้ ผมขอสัญญากับเขาว่า อย่าทำให้ผมต้องเป็นห่วง โทรหาผมทุกคืนให้ผมรู้ว่าคุณยังปลอดภัยดี น้อยรับปากผมว่าจะพยายาม แล้วบอกให้ผมไม่ต้องกังวลกับเขามาก เขาจะพยายามดูแลตัวเองไม่ให้ผมต้องเป็นห่วง
      แต่เหมือนวลีที่เราๆเคยได้ยินว่า Action speaks louder than word น้อยเพียงแค่รับปากให้ผมสบายใจ น้อยก็ยังคงเป็นน้อย ผมเองก็ยังเป็นผม มีครั้งนึงผมน้อยใจกับการกระทำของน้อยมากๆ เพราะคืนนี้ น้อยรับปากว่าจะโทรมาแล้วก็หายไป ผมเลย message ไปหาเขาว่า

      “คู่อื่นเขาอยู่ไกลกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร เขายังโทรหากันได้ทุกวัน แต่แฟนผมห่างกับผมหลายร้อยกิโลเมตรทำไมไม่คิดถึงผมบ้างเลยว่าผมรอสายเขาอยู่”

      ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะทำอย่างนั้นไปทำไม คำพูดผมเพียงเท่านั้นคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เคยครั้งนึง ครั้งที่ผมกับน้อยยังคงเป็นแค่เพื่อนกัน น้อยเครียดเรื่องพี่คิด (หัวหน้าน้อย...ถ้ายังจำกันได้) เพราะว่าน้อยอยากจะขอย้ายไปหน่วยงานอื่น แต่พี่คิดไม่ให้ไป แล้วพูดกับน้อยไม่ดี ผมปลอบใจน้อยว่า เราไม่สามารถบังคับให้ใครทำอะไรตรงใจอย่างที่เราต้องการทุกอย่างได้ ไม่เคยคิดเลยว่า สุดท้ายแล้วผมก็ต้องใช้คำพูดนี้ปลอบใจตัวเอง ที่ผมไม่สามารถบังคับน้อยให้เอาใจใส่ผม ดูแลผม โทรหาผมให้ผมหายเหงา หรือทำอะไรอื่นๆ อีกร้อยแปดอย่างที่ผมต้องการได้เช่นกัน


   น้อยมีโอกาสขึ้นมากรุงเทพครั้งนึง...มางานรับปริญญาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเขาราวๆช่วงปีใหม่ นั่นคงเป็นอีกครั้งนึงที่ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวน้อยอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
      มีเรื่องน่าโมโหเกิดขึ้น สำหรับผม เขาโทรหาบ้าง ไม่โทรบ้าง ทิ้งๆขวางๆผม เหมือนผมไม่มีคุณค่าอะไรกับเขา แต่ว่าสำหรับเพื่อนเขา เขาโทรหาคนนั้นคนนี้ คุยกับคนนั้นคนนี้ได้อยู่นานสองนาน สิ่งที่ผมโมโหก็คือ เวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันนั้นแสนจะยากเย็น นานๆทีเราจะได้เจอกันสักครั้ง แทนที่น้อยจะใช้เวลาที่มีค่าทั้งผมอยู่กับผมคนเดียว แต่กลับมานั่งคุยโทรศัพท์กับคนนั้นคนนี่ ผมโกรธจน ไม่คุยกับเขา เขียนโน๊ต ระบายความรู้สึกของผมยัดใส่มือเขาแล้วก็เดินไป น้อยเดินกลับมาง้อผมให้ผมพาเขาไปทานข้าว แต่ผมเองก็กลับงี่เง่า ไม่รู้จะโกรธอะไรนักหนา ยังไม่ยอมคุยกับเขา (แต่คิดๆดูก็น่าโมโหจริงๆ เอาเป็นว่างานนี้ ผมยังคิดว่าผมยังทำอะไรสมเหตุสมผลอยู่บ้าง)
      ครั้งนี้ น้อยพยายามง้อผมได้น้อยเอามากครับ น้อยคงมีความอดทนกับผมจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ น้อยกลับไปโรงแรมโดยไม่มีผม ตอนแรกผมลังเลว่าจะกลับบ้านผมเลยหรือว่าจะกลับไปหาน้อยที่โรงแรมดี แต่สุดท้ายผมก็กลับไปหาน้อย... แม้จะยังคงทิฐิอยู่บ้าง แต่ก็ยังกลับไป อย่างน้อยก็อยากจะได้ clear กันให้รู้เรื่อง
      นพพร “ผมสำคัญกับคุณบ้างไหม” คำถามไร้สาระของผมเริ่มต้นขึ้น
      น้อย “ถ้าคุณไม่สำคัญผมจะมาหาคุณเหรอนพ”
      นพพร “แล้วทำไมน้อยทำเหมือนผม ไม่มีความสำคัญกับคุณเลย คุณรู้ไหมเวลาของเราที่จะได้เจอกันแต่ละครั้งมันน้อยมากๆ ผมแค่อยากให้คุณเอาใจใส่ผม ดูแลผมบ้าง แคร์ผมบ้าง เท่านั้นเอง ทำให้ผมได้ไหมน้อย”
      น้อย “นพ...ฟังผมนะ เราต้องปรับตัวเขาหากัน ต้องเรียนรู้อะไรซึ่งกันและกันอีกเยอะ”
      นพพร “ผมพร้อมจะเข้าใจคุณเสมอ ขอให้คุณเข้าใจผมบ้างว่าผมรู้สึกยังไง” ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า ผมขอน้อยมากเกินไปกว่าที่น้อยจะทำให้ผมได้

  ผมไม่อยากจะโทษว่าเป็นเพราะความห่างไกล ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับน้อย สั่นคลอนลงเรื่อยๆ และถึงจุดแตกหักในที่สุด เพราะหากเรายังคงรักกัน หากน้อยยังคงรักผมเหมือนวันแรกที่น้อยบอกผม ไม่ว่าเราจะห่างกันมากน้อยเพียงใด ใจเราก็ยังอยู่ใกล้กันเสมอ แต่เท่าที่ผมรู้สึก ใจของน้อยเริ่มห่างจากผมมากขึ้นทุกทีๆ แม้ว่าผมจะยอมรับอยู่ในใจลึกๆว่า ผมอาจจะต้องสูญเสียน้อยไปไม่ช้าก็เร็ว แต่ผมก็ยังไม่อยากจะทำใจยอมรับมันได้ทั้งหมด ผมได้แต่ภาวนาว่า ขอให้สิ่งที่ผมกลัวไม่มีวันมาถึง...

   “...คืนนั้น คืนที่นอนฝัน ว่ามันถึงวันสุดท้าย
      มองเห็นเราต้องลากันไป ใจทั้งใจมันสั่น
      ตื่นขึ้นมา น้ำตายังคลอตา ขออย่าให้เหมือนในฝัน
      มันไม่จริง มันไม่จริง เราไม่เป็นอย่างนั้น
      ...อย่าให้ถึงวันนั้นเลย อย่าให้มันต้องกลายเป็นจริง อย่าให้ถึงวันนั้นเลย...”
                                       (อย่าให้ถึงวันนั้นเลย: Christina Aguila)

      คงไม่มีใครเข้าใจว่า ความทรมานที่ต้องเห็นคนที่เรารัก รักเราน้อยลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เป็นยังไง...ต่อเมื่อคุณได้เผชิญกับความรู้สึกนี้ด้วยตัวของคุณเอง คุณรู้ไหมครับ ผมดีใจแค่ไหนที่ผมเขียนตอนนี้เสร็จได้ ทุกคำพูดทุกความรู้สึกมันกลั่นออกมาจากใจที่แตกสลายของผมเอง ผมพยายามข่มใจที่จะเขียนตอนนี้ให้เสร็จ ไม่ว่าน้ำตาของผมจะไหลกลบตาจนผมแทบมองไม่เห็นตัวอักษรในจอ monitor แล้วก็ตาม ติดตามต่อตอนต่อไปครับ ผมเขียนต่อไม่ไหวแล้วครับ ขอโทษจริงๆ ขอบคุณที่รับฟังผม


แวะไปให้กำลังใจนายนพพรได้ที่นี่นะครับ
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5105749/L5105749.html
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-02-2007 20:21:14
รักเธอเริ่มจากร้อยนับวันนานไปยิ่งน้อยลง ฉันต้องทนเจ็บช้ำเฝ้าดูความรักที่สวนทาง
 :sad4:  :sad4:  :sad4:


หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 04-02-2007 21:48:42
ถ้าหากทั้งคู่มะลืมวันที่ยังรักกันแรกๆ  ปัญหาก็คงมะเกิดชะมะคับ  :impress: 
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 05-02-2007 16:41:13
นั่นสิเนอะ  ก็รู้ว่าเขาก็ยังคงเป็นเขา  และเราก็ยังคงเป็นเรา  การที่จะให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง  ถึงแม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ยังอยากให้เขาทำให้ได้  ก็เพราะอยากจะให้รักมันคงอยู่ตลอดไปนี่นา   

ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีเวลา  แต่ก็ยังอยากให้คิดถึงหรือโทรหากันบ้าง  ก็คนมันห่วงอะจาให้ทำยังไงละ 

ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันเราอาจจะต้องห่างจากกัน  ทั้งที่ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วนะ  แต่ทำไงได้ละ  ก็ยังหวั่นใจอยู่ดีว่าต้องเสียเธอไป

อยากจะเข้าใจเขาให้มาก  อยากจะยอมรับสิ่งที่เขาบอก  ก็คิดไว้แล้วนะว่าจะทำอย่างนั้น  ดันมีเรื่องให้ไม่เข้าใจกัน  ให้ทะเลาะกัน  ให้งอนกัน  ให้หึงกันอยู่เรื่อยสิน่า  แต่ก็เพราะว่ารักนะสิ  มันเลยหวั่นใจลึกๆ  กลัวไปซะทุกอย่าง  เรื่องที่ควรจะเขาใจง่ายๆเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่  เรื่องที่ควรต้องยอมก็เล่นแง่ใส่กัน

แต่ทั้งหมดที่ทำอะ  ก็เพราะทั้งรักทั้งหวงทั้งคิดถึง  ก็เลยทำลงไป  ถึงแม้จะรู้ว่ากำลังทำตัวงี่เง่าอยู่ก็ตาม

 :monkeysad: :monkeycry2: :impress3:

เป็นกำลังใจให้คุนนพพรนะคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 05-02-2007 16:47:44
ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีเวลา  แต่ก็ยังอยากให้คิดถึงหรือโทรหากันบ้าง  ก็คนมันห่วงอะจาให้ทำยังไงละ 

ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันเราอาจจะต้องห่างจากกัน  ทั้งที่ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วนะ  แต่ทำไงได้ละ  ก็ยังหวั่นใจอยู่ดีว่าต้องเสียเธอไป


คนเราพยายามจะเข้าใจ...แต่เอาเข้าจิงกลับไม่เข้าใจอะไรเลย.......... :impress3:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 05-02-2007 17:12:43
ว่าแล้วเริ่มเศร้าจิงๆ  :monkeysad2:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-02-2007 15:22:33
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5119326/L5119326.html
ตอนที่ 11 ของ นายนพพร
“วิกฤตของชีวิต”

      “...ใคร คนที่เคยรู้ใจ รอยยิ้มที่เคยรู้จัก กำลังจะหายลับไปทุกที
      คำพูดที่ซึ้งใจ ที่เคยว่ารักมากมาย ไม่มีอีกแล้วนับจากนี้
      แต่คนจะไป ก็ต้องไป รักเท่าไหร่ แต่ฉันคงทำ ได้เท่านี้
      ได้แต่ยินยอมรับความเจ็บปวด และฉันจะอดทนแม้แทบขาดใจ
     ไม่อาจจะวิ่งหนีความจริง ที่มันโหดร้าย จะพร้อมจะยอมเข้าใจความเปลี่ยนแปลง
      จะอยู่เพื่อเรียนรู้ความเจ็บปวด จะฝืนเดินต่อไป แม้ไร้เรี่ยวแรง
      และคงมีที่ซักวันหนึ่ง ฉันจะเข็มแข็ง แม้ไม่รู้ ต้องนานซักเท่าไหร่...”
(ความเจ็บปวด : Palmy Eve ปานเจริญ)

      แหวน เพื่อนร่วม partition ของผม นับว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจความเจ็บปวดของผมได้มากที่สุด แม้ว่า แหวนเองจะไม่สามารถบรรเทาความทุกข์ร้อนของผมลงได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกดี ที่อย่างน้อยก็ยังมีแหวน เคียงข้าง และเข้าใจผมอยู่เสมอ
     แหวนเคยถามผมครั้งหนึ่งว่า ผมจริงจังกับความสัมพันธ์ของผมกับน้อยแค่ไหน ผมตอบแหวนไปว่า คงเหมือน จอห์น กับ ที มั้ง (ละครเรื่อง รักแปดพันเก้าของ exact เมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนนี้จบไปแล้วครับ) แหวนบอกผมว่า ขอให้ นพกับน้อย เหมือน จอห์น กับ ที นะ สุดท้ายแล้วก็จบลงได้ด้วยดี ครั้งนั้น ผมยิ้มรับกับคำพูดของ แหวน และ คิดอยู่ในใจว่า ผมก็หวังจะให้มันเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่...


อย่างที่บอก ผมเผชิญกับ พฤติกรรมของน้อยที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ น้อยเองก็คงมองว่าผมเปลี่ยนไปเช่นกัน ผมโทรเกาะติดน้อยมากขึ้น โมโหใส่น้อยมากขึ้น ผมร้องไห้กับเขาบ่อยมากขึ้น หากจะถามผมว่า ผมอยากทำอย่างนั้นหรือไม่ ผมคงไม่อยากเป็นอย่างนั้นหรอกครับ ระยะหลังๆน้อยมักจะว่าผมเสมอว่า เวลาผมมีปัญหาอะไรก็เอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ แล้วมันจะช่วยอะไรได้ นั่นสินะ ผมเองอาจจะร้องไห้ เพื่อให้น้อยสงสาร เห็นใจผม และ ให้เรากลับมารักกันเหมือนเดิม โดยผมไม่ได้คิดเลยว่า น้ำตาของผม มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ต่อให้ผมพยายามร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็ตาม หากน้อยจะไปแล้ว คงไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความต้องการของเขา


*
      ในช่วงวิกฤตของชีวิตในครั้งนี้ของผม อะไรๆรอบตัวผมก็ช่างดู อ่อนไหว ไปหมด ผมกลายเป็นคนร้องไห้ง่ายๆ แค่ดูหนัง ฟังเพลง อะไร อะไร ก็ดูเศร้าไปหมด จะทำอะไรก็หดหู่ใจ เวลานอนก็นอนไม่หลับ เวลาตื่นก็ตื่นนอนไม่ไหว (แต่ยังพอกินข้าวกินปลาได้) ผมเคยร้องไห้จนกระทั้งหลับไปตอนนั้นก็ไม่รู้ตัว ช่วงนั้น หนวดเคราผมก็ไม่โกน ผมย้อนมาดูรูปถ่ายตัวเองในช่วงนั้นเลยรู้ว่า ผมโทรมเอามากๆ ดูคล้ำลง ลงพุง ไม่มีราศีเอาซะเลย
      มีครั้งหนึ่ง ผมดูรายการ talk show รายการหนึ่ง ซึ่งเขาพยายาม ศัลยกรรม ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีปัญหาเรื่องหนังตา ดันให้ลูกตาปูดและถล่นขึ้นไป (ค่อนข้างน่ากลัวครับ) ทางรายการพยายามรักษาให้ ผู้หญิงคนนี้ กลายเป็นปรกติมากที่สุด จริงๆผู้หญิงคนนี้มีสามีแล้วนะครับ ดูผู้ชายก็เป็นคนดีเอามากๆ แม้ผู้หญิงจะเป็นแบบนี้ก็ยังรัก มีตอนนึง ที่พิธีกรถามผู้ชายว่า อยากให้ ภริยาหายเหมือนคนปรกติไหม ผู้ชายกลับบอกว่า ไม่อยาก เพราะกลัวว่า ถ้าภริยาเขาเหมือนคนปรกติ แล้วจะทิ้งเขาไป คำพูดของผู้ชายคนนั้นเพียงเท่านั้น เหมือนกับมีอะไรโดนใจผมเข้าอยากแรง พอผมฟังแค่นั้น ผมก็ร้องไห้ออกมา เท่าที่น้ำตาผมจะมี
     ตอนเช้า แหวนเห็นผมก็ทักผมว่า ทำไมตาผมบวมเป็นมะนาวเลย ผมเล่าให้แหวน ฟังเรื่อง สองสามีภริยาคู่นี้อีกครั้ง (แหวนเองไม่ได้ดู) ผมเล่าไปก็ร้องไห้ไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมกลายเป็นคนอ่อนไหวเอามากๆ เหตุผลที่ผม in กับเรื่องของสองสามีภริยานี้อาจจะเพราะว่า ผมสะเทือนใจกับคำพูดของผู้ชายคนนี้ ผมนับถือน้ำใจเขาจริงๆครับ ที่สามารถมองผ่านรูปกายภายนอก เข้าไปถึงจิตใจของผู้หญิงคนนั้นได้ ไม่ว่าผู้หญิงจะน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาใครๆ แต่ผู้ชายก็ยังรัก และ รักมั่นคง รักจนกลัวว่าผู้หญิงจะไม่รักเขา ทั้งๆที่ผู้หญิงเองต่างหาก ต้องเป็นฝ่ายกลัวว่าผู้ชายน่าจะทิ้งเขาไปหาผู้หญิงคนใหม่มากกว่า
      ผมรับรู้เรื่องราวของคู่นี้แล้วก็มาย้อนดูตัวเอง ผมมีอะไรบ้างที่สู้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ ถึงผู้หญิงคนนี้ฐานะทางสังคม และการศึกษาอาจจะจำกัดไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงคนนี้มีมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือ เธอโชคดีที่มีผู้ชายคนนั้น คนที่รักเธอมากกว่าใครๆ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ผมแสวงหาว่าผมอยากจะมีอย่างเธอบ้าง ผมคงทำบุญมามากไม่เท่าเธอในเรื่องนี้จริงๆ


*
      มีช่วงหนึ่งที่ ฝ่ายของผม rotate งานใหม่ ผมเลยไม่ได้นั่งร่วม partition กับแหวนอีก แต่เปลี่ยนไปนั่งคู่กับ พี่ผู้หญิงคนนึง ชื่อ พี่อ้อ พี่อ้อ เธอเป็นคนน่ารัก คุยสนุก และชอบดูหนังเกาหลีเป็นที่สุด (ผมก็ได้ดู autumn in my heart เพราะพี่อ้อนี่แหละครับ เอามาให้ผมยืมดู คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นเผาเต่าแค่ไหน เอาเป็นว่า ผมลืมตาไม่ขึ้นเลยก็แล้วกัน วันรุ่งขึ้นก็ใส่ contact lens ไม่ได้เจ็บตามากๆ ผมนึกในใจว่าผมหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เรื่องตัวเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ยังคิดจะดูหนังเศร้าในช่วงที่สภาวะจิตใจไม่เป็นปรกติอีก)
      ผมทำตัวงี่เง่ามากๆอีกครั้งนึงในชีวิต หลังจากที่ช่วงหลังๆ ผมโทรหาเขา เขาก็ไม่รับ message ไปก็เหมือน ข้างหินลงน้ำ (โยนเงินให้ operator ครั้งละ 3 บาท ทิ้งไปเล่นๆ) ผมขอยืมโทรศัพท์พี่อ้อ โทรหาน้อย น้อยรับสายผม อาจจะเพราะไม่รู้ว่าเป็นผมโทรไป
      น้อย : “สวัสดีครับ”
      นพพร : “น้อย ผมเอง คุณกับผมหน่อยนะ ผมอยากคุยกับคุณ”
      น้อย : “ผมยุ่งอยู่นพ กำลังติดอีกสายนึงอยู่ เอาไว้ค่อยคุยกันนะ”
      นพพร : “ผมสำคัญน้อยกว่า สายที่คุณคุยอยู่เหรอน้อย” ผมคิดไปได้ยังไงว่าตัวเองยังสำคัญสำหรับน้อยอยู่... ผมคิดผิดเอามากๆ   
      น้อย : “แค่นี่ก่อนแล้วกัน....” น้อยวางสายไป โดยไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ

      คงไม่ต้องบอกว่าผมจะรู้สึกยังไง ผมเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์อยู่ซักพัก ก่อนกลับมานั่งทำงานเหมือนเดิม ทั้งๆที่จิตใจก็ยังคงย่ำแย่กับสิ่งที่น้อยทำกับผมเมื่อซักครู่ ผมกะพี่อ้อ ชอบฟังเพลงพอๆกัน ผมเลยเอาวิทยุเล็กๆไว้เครื่องนึง ตั้งระหว่างผมกับพี่อ้อ ตอนนั้น เพลงที่ผมจะพูดถึงกำลัง promote อยู่เลยครับ
      “...หยุดไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก จะให้ทำอย่างเธอนั้นมันไม่ได้หรอก
      หยุดไม่ได้หรอก หากว่าทำอย่างนั้นมันฝืนใจ
      จบไม่ได้หรอก จากไม่ได้หรอก ฉันรักเดียวใจเดียว
เธอคนเดียวเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น
      สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันต้องเลิกคบเธอ
เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจ ยังไงยังงั้น
      สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ
ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจตาย...”
                                                       (หยุดไม่ได้...ขาดใจ : อ๊อฟ ปองศักดิ์)

      พี่อ้อ : “นพ นพ พี่ชอบเพลงนี้จัง เพราะดีเนอะ” พี่อ้อพูด โดยไม่รู้ว่า ผมกำลัง in กับเนื้อหาของเพลงนี้อยู่เหมือนกัน...พลางคิดไปว่า พี่สีฟ้า แต่งเพลงนี้ให้ผมอีกแล้วเหรอนี่...
      นพพร : “ครับ เพราะดี พี่อ้อครับ พี่อ้อเคยรู้สึกเหมือนเพลงนี้บ้างหรือเปล่า พี่อ้อเคยรักใคร และหยุดรักไม่ได้เหมือนเพลงนี้ไหมครับ”
      พี่อ้อ : “อืม... พี่เคยคบกับผู้ชายคนนึง ตั้งแต่ เรียนมหาวิทยาลัย แล้วก็พึ่งเลิกกันไปก่อนจะเข้ามาทำงานที่นี่ นี่ก็เป็นเหตุผลที่พี่ออกจากที่ทำงานเดิมทั้งๆที่มีแต่คนคัดค้าน แต่ว่าพี่ไม่สามารถอยู่กับ บรรยากาศเดิมๆ เจอผู้คนเดิมๆได้ (ก็คงรวมทั้งหมอนั้นด้วย...ผมคิดในใจ) แม้ว่าที่นี่จะให้เงินเดือนน้อยกว่าที่เดิม พี่ก็ถือว่าพี่สบายใจมากกว่า ถ้าจะถามว่า พี่รักใครมาก จนขาดไม่ได้ ถึงกับต้องหยุดหายใจไหม นพก็เห็นว่า พี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ แม้ว่า ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ มันจะผ่านไปยากซักหน่อย นพรู้ไหม ตอนเลิกกันแรกๆ พี่ก็ทำใจไม่ได้ พี่นั่งนับวันว่า ไม่ได้คุยกับเขามากี่วันแล้ว นับจนวันหนึ่งจำไม่ได้ว่านับเป็นวันที่เท่าไหร่ สุดท้ายพี่ก็เลิกนับไปเอง...ว่าแต่นพเถอะมีอะไรหรือเปล่าถึงถามพี่แบบนี้”
      นพพร : “ผมกำลังคิดว่า ผมกำลังจะหยุดหายใจ...”
      พี่อ้อ : “อะ อะ อะ ไปรักสาวไหน แล้วเขาไม่รับรักเธอหรือจ๊ะ” พี่อ้อไม่รู้เรื่องของผมมาแต่ต้น และผมไม่เคยคุยเรื่องนี้ให้เขาฟัง
      ผมนิ่ง ไม่ได้ตอบอะไร มีแต่น้ำตา ที่ไหลออกมา อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
      พี่อ้อ : “นพ นพ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบไปเลย... เฮ้ย ร้องไห้ทำไม... โอ้ โอ้ ไม่มีใครรัก แต่พี่ก็รักเธอนะ...”
     นพพร : “ขอบคุณครับพี่อ้อ...” ผมพูดอะไรต่อไม่ไหวแล้ว เลยตอบพี่อ้อไปแค่นี้


    เวลาคนมีปัญหาหรือความทุกข์ใจเรื่องอะไร เราก็จะจับจด คิดซ้ำๆ วนไปเวียนมาอยู่เรื่องเดิม เหมือนพายเรือในอ่าง ผมเองก็เช่นกัน ผมมานั่งนึกว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา เกิดอะไรขึ้นกับน้อย ผมเองอยู่ไกลมาก จนไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เขาเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ และความห่างไกลนี่ ทำให้ใจเขาเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่ ผมไม่มีทางรู้ได้เลยซักนิด
      เวลาที่เราอยากรู้อะไร แล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ เราก็จะเป็นทุกข์ ผมพยายามคิดแล้วคิดอีก คิดทบทวนไปมาว่าน้อยมีคนอื่นหรือไม่ ผมทำอะไรผิดน้อยจึงเปลี่ยนไป แหวนเองก็วิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้ว่า น้อยอาจจะมีคนอื่น แม้ว่าผมค้านอยู่ในใจลึกๆว่า เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่ผมก็คงปฎิเสธได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่า น้อยจะไม่มีคนอื่นจริงๆ สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นคือ ผมได้แต่เฝ้าโทษตัวเองว่าผมทำอะไรผิดไป ผมทำตัวน่ารำคาญสำหรับเขาหรือเปล่า หรือว่าผมจู้จี้กับเขามากไปหรือเปล่า หรือว่างานของน้อยที่ส่งให้ผมขออนุมัติมีปัญหา หรือว่าผมงี่เง่าอะไรกับเขาทำให้เขารำคาญหรือเปล่า ผมพยายามหาจุดบกพร่องของผม และพยายามเยียวยาแก้ไขมันให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จริงๆแล้ว ผมคิดว่า สาเหตุสำคัญอาจจะเพราะ น้อยเองก็ไม่กล้าคบกับผมอย่างเปิดเผย ทำให้น้อยเองก็อึดอัด น้อยอาจจะแคร์สังคมหรือสายตาคน พี่บล(เพื่อนร่วมงานน้อยที่ผมเคยเล่าให้ฟัง)ก็อาจจะมีส่วนกดดันน้อย เอาเรื่องความสัมพันธ์ของน้อยกับผมไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง จนน้อยเองอาจจะเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมงาน มีแต่คนคอยจับจ้องเวลาน้อยคุยกับผม แต่นั้นก็เพียงการคาดเดาของผมเท่านั้น สุดท้ายผมก็ไม่สามารถหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงได้ น้อยเองไม่เปิดโอกาสให้ผมรับรู้ถึงปัญหา และหาทางแก้ไข สิ่งที่ผมรู้เพียงสิ่งเดียวก็คือ “น้อยไม่รักผมแล้ว” จริงๆเพียงแค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับเหตุผลที่น้อยทิ้งผมไป

      ความรักบนความทุกข์ของผม ทำให้ผมไม่เป็นปรกติเหมือนเก่า แม้ผมพยายามจะไม่ให้เรื่องส่วนตัวกระทบกับเรื่องงานมากนัก แต่ผมก็ไม่สามารถทำงานได้ประสิทธิภาพอย่างเดิมได้ จากที่ผมไม่เคยมาทำงานสาย ผมก็กลายเป็นคนที่ตกเส้นเป็นประจำ งานที่ผมทำก็ผิดพลาดเยอะมากขึ้น ทั้งๆที่ผมพยายามเอาใจใส่กับงาน ระหว่างเวลางานผมก็พยายามไม่คิดถึงน้อย แต่ทำอย่างไรได้ครับ ผมยังคงต้องอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ แม้ว่าผมจะไม่ได้ทำงานที่ทำงานเดียวกับน้อยก็ตาม แต่ผมก็ยังต้องเห็นงานน้อยเข้ามาอยู่ในมือผม แค่เห็นลายเซนต์น้อย ผมก็แทบจะทำอะไรไม่ได้แล้ว มีแต่น้ำตาที่ไหลเปื้อนเอกสารของน้อย ผมเหมือนคนไร้สติ เฝ้าแต่ลูบคล้ำลายเซนต์ของน้อยแล้วก็คิดถึงหน้าของเขา คิดถึงคำพูดของเขา ที่บอกว่า รักผม รักผม...
      วิกฤตชีวิตของผม ย่อมอยู่ในสายตาของ ทุกๆคนในที่ทำงานที่วิพากษ์วิจารณ์ผมไปต่างๆนานา จริงๆผมเองไม่ค่อนจะสนใจใครเท่าไหร่ และคิดว่าคงไม่มีใครสนใจเรื่องของเราไปได้ตลอดเวลา ผมคิดว่า พี่น้ำเองก็คงรู้ว่าผมมีปัญหา แต่พี่น้ำค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ แม้แกจะรู้ว่าผมมีอะไรที่ผิดปรกติไปบ้าง แต่แกก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไรผมรุนแรง พี่น้ำบอกผมแค่ว่า ให้ผมรับผิดชอบงานของผมให้ดีที่สุด ให้ดีสมกับที่แกเคยไว้วางใจผมมาโดยตลอด
      แต่คนอื่นๆสิครับ... ไม่เหมือนพี่น้ำ แหวนเล่าให้ผมฟังว่า มีหลายคนถามแหวน เพราะเห็นว่าผมสนิทกับแหวน และ ทานข้าวกับแหวนเป็นประจำ (แต่ระยะหลังๆ ตั้งแต่ rotate งาน และ restructuring องค์กร ผมไม่ได้นั่งข้างแหวนแล้ว ผมก็เลยไม่ค่อยได้ทานข้าวเที่ยงกับแหวน ส่วนหนึ่ง เพราะเรานั่งไกลกัน แล้วก็มีเหตุการณ์ประมาณว่า แฟนแหวน ซึ่งทำงานอีกฝ่ายในบริษัท เข้าใจผิดว่า ผมกับแหวน สนิทสนมกันเกินเพื่อน (ก็คงมีใครเอาไปพูดให้พี่วิน แฟนแหวนรู้เข้าล่ะครับ พี่วินเลยเข้าใจผมผิด) ผมเลยตัดปัญหา แยกกันทานข้าวกับแหวนแล้วกัน... แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมสนิทกับแหวนน้อยลง) คนเหล่านั้นถามแหวน เรื่องผม ประมาณว่า ผมมีปัญหาอะไร อกหักหรือเปล่า ดูเงียบๆ ซึมๆ เห็นผมร้องไห้ ตาบวม บางคนถามแหวนตรงๆเลยว่า ผมกับน้อยเป็นแฟนกันใช่ไหม เห็นเขาดูสนิทกันมาก ... สังคมที่ทำงานก็คงเป็นแบบนี้ ทุกๆที่ (ผมว่านะ) ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะยังไม่มีใครกล้ามาถามผมตรงๆ ผมก็ได้แต่สงสารแหวน ที่ต้องคอยปฏิเสธแทนผมอยู่เรื่อยๆ ว่าไม่มีอะไร นพแค่มีปัญหาเรื่องงาน ทำงานไม่ทันนิดหน่อย เท่านั้น ที่ผมตกใจก็คือ แม้แต่หัวหน้าแหวน (แหวนย้ายไปขึ้นกับหัวหน้าอีกคนที่ไม่ใช่พี่น้ำ แต่อยู่ระดับเดียวกัน) ก็ยังถามแหวนว่า ผมมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แถมยังบอกว่า ที่ถามนี่ไม่ใช่อะไร เขาแค่เห็นผมอาจจะมีปัญหา ก็เลยเป็นห่วงเท่านั้นเอง (ไม่รู้ว่าห่วงผมจริงๆหรืออยากรู้เรื่องผมกันแน่...แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่ได้สนิทสนมอะไรกับแกมากขนาดต้องมาคิดมากเรื่องนี้ แค่เรื่องน้อย ผมก็แย่พอแล้ว)
      ผมซึ้งใจมากที่แหวนตอบหัวหน้าเขาไปว่า ไม่ว่าพี่อยากจะรู้เรื่องผมด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แหวนก็ขอขอบคุณแทนผมที่เป็นห่วงผม ถ้าผมรู้ผมก็คงดีใจ ถ้าพี่เป็นห่วงนพจริงๆก็ขอพี่อย่างหนึ่งว่าอย่าไปซ้ำเติมนพด้วยการมองนพ แล้ววิพากษ์วิจารณ์นพ เสียๆหายๆอีกเลย... You are my best friend แหวน... ผมยังคิดเลยว่าแหวนช่างกล้าจริงๆ ที่พูดแบบนั้น เอาเถอะ อย่างที่บอก ผมไม่ค่อยสนใจใครแล้วในขณะนั้น ใครจะมองผมเป็นไร ใครจะนินทาผม หาว่าผมวิปริต ผิดเพศอะไรก็ช่างเถอะ ผมแค่อยากได้น้อยคืนมา แค่นั้นก็พอ


      วันสุดท้ายที่ผมรู้ว่า ผมไม่มีทางได้น้อยกลับคืนมาก็คือ ผมให้แหวนโทรหาน้อยให้หน่อย ครั้งแรกๆที่ผมทะเลาะกับน้อย ก็ให้แหวนนี่แหละ คอยช่วยคุยกับน้อยให้ผม ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมคิดว่า นี่อาจจะเป็นวิธีการสุดท้ายที่ผมสามารถจะดึงน้อยกลับคืนมาได้ น้อยสัญญากับแหวน ว่า น้อยจะคุยกับผมเอง วันนั้นผมดีใจมาก ผมเฝ้ารอ โทรศัพท์น้อยตลอดทั้งวัน และ คิดว่า วันนี้ผมจะคุยกับน้อยดีๆ ไม่โมโหใส่เขา ไม่ร้องไห้กับเขาอีก กว่าน้อยจะโทรหาผมก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มกว่า แต่ช่างเถอะให้ผมรอนานกว่านี้ ผมก็รอได้
      น้อย : “นพมีอะไรหรือเปล่า”
      นพพร : “น้อย... น้อยอย่าวางสายนะ คุยกับนพนะ นพอยากคุยกับน้อยนะ...”
      น้อย : “มีอะไรก็ว่ามา...พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า”
      นพพร : “น้อย...น้อยเป็นอะไรไปหรือเปล่า นพทำอะไรผิดไปหรือเปล่า น้อยถึงไม่โทรหานพเลย”
      น้อย : “ผมแค่อยากรู้ว่า ถ้าเราไม่ได้คุยกัน ผมจะคิดถึงคุณไหม ผมจะทนได้หรือเปล่าที่ไม่ติดต่อกับคุณอีก ก็เท่านั้น”
      นพพร : “แล้วคุณทนได้ไหม คุณคิดถึงผมบ้างหรือเปล่าน้อย”
      น้อย : “มันยังไม่นานพอที่จะพิสูจน์ได้”
      นพพร : “แค่ผมทนไม่ได้นะน้อย ผมทนไม่ได้ที่จะสูญเสียคุณไป ผมทำอะไรไม่ดี คุณบอกผมนะ ผมจะปรับปรุงตัวทุกอย่าง แค่ขอให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมนะน้อย...” ไม่เหลือแล้วครับ ศักดิ์ศรีของผม
      น้อย : “แค่นี้ก่อนนะนพ ผมจะนอน ผมง่วงแล้ว”
      นพพร : “อย่าพึ่งวางสายนะ... น้ อ ย ย ย ย ย ย” น้อยวางสายไปโดยไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ

      ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำอะไรอีกแล้วครับ ผม message ฝากแหวนลาป่วยให้ผมพรุ่งนี้ ผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดๆได้ ว่าหัวใจที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความรู้สึกนั้นเป็นยังไง ภาพของผู้ชายคนนึง นอนกอดหมอนแล้วร้องไห้อย่างข่มขืน ใต้ผ้าหม่ คงจะบรรยายถึงความรู้สึกของผมได้ คงซักเพียงครึ่งเดียวกับความรู้สึกของผมที่มีอยู่ คืนนั้น ผมแน่ใจแล้วว่า ผมสูญเสียน้อยไปจริงๆ ผมไม่มีวันจะได้น้อยกลับคืนมาแล้วจริงๆ

    วันเวลาที่โหดร้ายของผมดำเนินมาเรื่อยๆ ผมเหมือนเข้ามาถึงจุดกึ่งกลางของความเหวลึกซึ่งผมมีทางเลือกสองทาง คือ ผมจะปล่อยให้ตัวเอง ถล้ำลึกลงสู่ก้นเหว หรือว่าผมจะพยายามปีนป่ายขึ้นมาจากเหวนั้นให้ได้ ผมควรจะเลือกทางไหนดีครับ ตอนต่อไปคือคำตอบครับ.... ผมจะพยายาม pose ให้ทัน เพื่อฉลองวันวาเลนไทน์ครับ






หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 09-02-2007 17:26:48
นพ น่าสงสาร อ่ะ  :impress:
แต่ก็ยังดี ที่มีเพื่อนดี ๆ แบบหวาน  :teach:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: Just let it be ที่ 09-02-2007 17:34:08
นั่นสินะครับ  ก็แค่การที่เราอยากจะเจอใครสักคน  ที่จะคอยเคียงข้าง  เข้าอกเข้าใจ  เดินไปด้วยกัน  ร่วมทุกข์และร่วมสุข
และแค่ต้องการคนที่จามาร่วมจังหวะชีวิตที่สอดคล้องกัน

การที่เราคิดว่าเขาคนนั้นคงจะใช่  นั่นก็ทำให้มีความสุขมากๆ ทีเดียว  และการที่เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ความสัมพันธ์นั้นยังคงอยู่ไปด้วยกันตลอด  ก็คงจาไม่ใช่เรื่องแปลก  และคนทั่วไปเขาก็ทำๆ กัน

แต่ว่านะ  เรากลับไม่รู้ตัวเลยว่า  สิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันต่างออกไป  เราห่วงมากขึ้น  เราหวงมากขึ้น  เราเฝ้าตามมากขึ้น  เราคิดถึงมากขึ้น  ทำเรื่องทุกอย่างมากขึ้นกว่าเดิม

โดยลืมไปเลยว่า  เขาคนนั้นชอบเราก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลง  ชอบเราด้วยความที่เปนตัวเรา  ไม่ใช่คนที่ให้มากมายขนาดนั้น

แต่เขาก็คงจาไม่รู้เช่นกันว่า  ที่เราทำไปทั้งหมดนั้น  
ก็เพราะรักยังไงละ

ก็รู้หรอกนะว่าเมื่อมีสุข  แล้วก็มีทุกข์  ย่อมเปนของที่คู่กัน  แต่ว่านะ   ใครจะรู้บ้างละว่า  ความทุข์หลังความสุขนั้น  มันหนักหนามากขนาดไหนอะ  ถ้าม่ายเจอก็คงม่ายรู้หรอกเนอะ

สุดท้ายนะ  ที่เราจะทำได้ก็คงจาเปนว่า  ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น  ถึงแม้ว่ามันจะยากขนาดไหน  ชีวิตของเราก็ยังต้องดำเนินไปอยู่ดี  ปัจจุบันยังมี  พรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึงซะด้วยสิ  กับแค่คนๆ เดียว  ทำไมต้องยอมแลกทั้งชีวิตที่เหลือ  กับคนที่รอเราในทางข้างหน้าด้วยอะ  จริงมั้ย?

สุดท้ายนี้  ก็ขอเปนแรงใจหั้ยกับคุนนพพรต่อไป
พรุ่งนี้ยังมี  หากเรายังเดินต่อในวันนี้  

ขอบคุนคุนบลูที่ช่วยเอาเรื่องนี้มาหั้ยอ่านด้วยนะคร้าบบบบบบ   :monkeysad: :impress3: :monkeycry2:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 09-02-2007 18:26:11
อ่านไปแล้วรู้สึกถึงความรู้สึกคุณนพเลย... มันเหงา เศร้านะคะ

การที่เราจะรักใครซักคน  อย่าไปคาดหวังว่าเราจะได้ความรักจากเค้ากลับมาเต็มร้อยเลย
รักให้เป็นสุข  อย่าไปครอบครอง  คนทุกคนต่างมีชีวิต มีทางเดินเป็นของตัวเอง
เมื่อรักมันไม่เป็นดั่งหวัง  รักไม่เกิดจากคนสองคน ความเจ็บปวด ผิดหวังคงตามมา
ถ้ามันเจ็บเพราะรักก็ตัดมันไปซะ  ชีวิตยังมีสิ่งดีดีรอเราอยู่อีกมาก 
เพียงแค่เราทำตัวเองให้มีค่า ทำให้ดีที่สุด ซักวันความรักที่ฝันถึงคงมาในวันที่ใจพร้อม

สู้สู้น้า  เป็นกำลังใจให้ (ว่าแต่เรื่องนี้มันผ่านไปแล้วใช่ปะ อิอิ) รออ่านต่อเสมอ  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-02-2007 18:34:52
รออ่านคำตอบของคุณนพพร ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรมาก
เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง คงไม่สามารถใช้ความเห็นของอีกคนมาตัดสินใจอะไรได้
แต่อย่างน้อยก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ และคุณมีเพื่อนที่ดีมากเลยค่ะ

ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาให้อ่าน  :myeye:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 13-02-2007 00:09:32
สงสารคุณนพพรอย่างแรง :monkeycry2: :monkeycry2: :monkeycry2:
ถ้าคุณน้อยมะเริ่มเรื่องนี้ขึ้นมา  :pigangry2:   คุณนพพรก็คงมะต้องเสียใจอย่างนี้นะคับ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-02-2007 00:04:30
อิอิ  เอามาฉลองวาเลนไทน์หน่อย ช้าไปนิด อิอิ

**************************************************************

“ธรรมะของนพพร”

        ถ้าเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนนี้ เป็นเพียงแค่ละครเรื่องหนึ่ง ละครเรื่องนี้คงเป็นเพียง “โศกนาฎกรรมความรัก” ที่ตัวเอกของเรื่องไม่สมหวังและอาจจบลงด้วยความตาย
        เพียงแต่เรื่องที่ผมเล่า เป็นเรื่องซึ่งอ้างอิงกับเรื่องจริงของนายนพพร ซึ่งยังมีชีวิตและตัวตนอยู่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ และไม่อาจจบลงด้วยความตาย เพราะเรื่องเพียงแค่นี้ได้เท่านั้น
        ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ผมเองยังมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องความรักในด้านดีอยู่เสมอ เรื่องที่ผมเล่าในครั้งนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกให้น้อยกลับมา ความรักที่น้อยมีให้ มันเป็นอดีตไปแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็น The river of no return อาจมีบ้างบางครั้งที่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะคิดถึง รัก และเป็นห่วงน้อยอยู่บ้าง หรือหากวันนึง น้อยกับนพพรจะกลับมาเจอกันอีก ความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
        หากแต่ความรักของผมจะเป็นสิ่งเตือนใจทุกคนให้เห็นว่า ชีวิตคนเราก็เท่านี้ มีเกิดมีดับ รวมทั้งเราจะต้องเตรียมตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะต้องการให้มันเกิดหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าผมบรรลุเป้าหมายทั้ง 12 กระทู้ของนายนพพร อย่างที่ตั้งใจไว้

*
        ตอนนี้เป็นตอนที่ผมรอคอยและอยากจะเขียนมากที่สุด ครั้งที่แล้ว ผมทิ้งปริศนาไว้ว่า ผมควรจะปล่อยตัวเองให้ลงไปถึงก้นเหว หรือว่า ผมจะพยายามปีนขึ้นมา ผมคงตอบได้ว่า ชีวิตผมเฉียดที่จะลงไปถึงก้นเหวแล้วครับ เพียงเพราะแต่ธรรมะเท่านั้น ที่พยุงผมให้ผมค่อยพยายามขึ้นมาจากเหวได้
        อย่านะครับ อย่าพึ่งคิดว่า นพพรเป็นคนธรรมะ ธรรมโม หรือเป็นคนเข้าวัดเข้าวา ทำบุญตักบาตร ฟังพระเทศน์เป็นประจำ เปล่าเลย ผมมักจะบอกใครๆว่า ผมนับถือศาสนาพุทธแต่ในบัตรประชาชน หรือ ในใบสมัครงานเท่านั้น ผมไม่เคยห้อยพระ (เด็กๆอาจจะเคยบ้าง แต่พอโตขึ้นผมรำคาญก็เลยไม่ใส่เลย) นานๆทีผมจะเข้าวัด ตักบาตรบ้างก็เพียงวันสำคัญ หรือไม่ก็โดนแม่บังคับ ผมไม่เคยบวชเรียน (ทั้งๆก็แม่ก็เคยเรียบๆเคียงๆถามผมมาบ้าง แต่ผมคิดว่าผมยังอดไม่ได้ที่จะฟังเพลง แล้วก็กินอาหารเย็น) แม้แต่นั่งสมาธิ ผมยังนั่งยังไม่เป็นเลยครับ (ตอนเข้าค่ายพุทธมามกะ ครั้งเรียนมัธยมต้น ผมก็หลับตาไปยังงั้น ไม่ได้ทำตามที่พระอาจารย์สอนเลย) ก่อนนอนผมก็สวดมนต์งึมงับ ไม่เคยคิดจะสวดมนต์จริงจัง ผมใช้ชีวิตแบบ คนเมืองที่มีแต่การแข่งขัน รีบเร่ง สะดวกสบายเข้าว่า เรื่องจะฟังเทศน์ฟังธรรม อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับผมอยู่มาก



        ชีวิตคนเราเกิดขึ้น-ตายลง เป็นวัฎจักร และเป็นธรรมดาของโลกมนุษย์แห่งนี้ เราเองก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งของธรรมชาติ ผมพึ่งจะเรียนรู้ว่า ชีวิตเราโดนปรุงแต่งมากเกินไป เราใฝ่หาความสะดวกสบายของชีวิตอยู่ตลอดเวลา เราเหมือนจะถูกสอนให้สะสมซึ่งทรัพย์ภายนอก แต่ไม่เคยมีใครสอนให้เราสะสมทรัพย์ภายใน นั้นก็คือ จิตใจที่แข็งแกร่ง ผมผ่านการเรียนวิชาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ เด็ก จนจบ มัธยมปลาย แต่ถึงตอนนี้ ผมเพียงจำพุทธประวัติได้ คร่าวๆ หลักธรรม ที่เป็นภาษาบาลี สันสกฤต ผมก็เอาไว้ท่องตอนสอบเท่านั้น เลิกสอบก็ลืมกัน
        จริงๆแล้วผมไม่อยากจะให้มองว่า คนเราจะเข้าวัดต่อเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ ผมเองกลับคิดว่า ต่อให้เราเข้าวัดเข้าวาเป็น 100 วัดทั่วกรุงเทพฯ (หรือ จะไปไหว้ถึง อยุธยา) ก็ตามเถอะ มันไม่ช่วยอะไรเราได้เลย ถ้าใจเราไม่เปิดรับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และ พยายามเข้าใจหลักธรรมคำสอนเหล่านั้นอย่างแท้จริง
        สิ่งที่เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น สัจธรรมจริงๆครับ สิ่งที่ท่านทรงสอนไว้ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ หากจะถามผมว่า ผมเคยอ่านพระไตรปิฏกไหม ผมก็คงไม่มีโอกาสจะได้อ่านลึกซึ้งขนาดนั้น หรือหากจะถามผมว่า ผมพูดคำพระคำเจ้า แบบที่มันเข้าใจยากๆ พูดแบบให้ฟังแล้วดูดี (แต่แปลไม่ออก)ได้หรือไม่ ผมก็พูดไม่เป็นหรอกครับ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปล้วนเป็นคำธรรมดา เข้าใจง่ายๆได้ทั้งนั้นเลยครับ ท่านผู้อ่านจะได้ไม่ตกใจ ว่าผมจะมาเป็นรายการธรรมะวันอาทิตย์อะไรแถวนี้หรือเปล่า

        ผมเองเคยผิดพลาดมาในชีวิตก็หลายเรื่อง ใช่ว่าผมจะดีวิเศษมาจากไหน ใครๆก็คงทำผิดพลาดกันได้ แต่สิ่งที่พิสูจน์ความเป็นมนุษย์ก็คือ เราจะสามารถ อดทน และก้าวผ่านความผิดพลาดและหาทางแก้ไขความผิดพลาดนั้นได้หรือไม่
        เหมือนมีอะไรช่วยชีวิตผม ผมได้รับ forward mail จากเพื่อนผมคนนึง เล่าเรื่องในสมัยพุทธกาลให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จพบ ผู้หญิงคนนึงซึ่งนางกำลังจะฆ่าตัวตาย เพราะสามีของนางทิ้งนางไปมีผู้หญิงคนใหม่ พระพุทธเจ้าเห็นดังนั้นก็ ตรัสแก่นางว่า นางจะเสียใจไปใย เพราะนางไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลย นางเพียงเสียคนที่ไม่ได้รักนางไป ซึ่งนั้นก็ไม่มีค่าอะไร แต่สามีของนาง เสียคนที่รักเขาอย่างนางนั่นสิ ถือว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ สามีของนางต่างหาก ที่เป็นคนสูญเสีย และ ต้องเสียใจมากที่สุด
        ผมไม่รู้หรอกว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะเรื่องนี้ก็คงเกิดขึ้นมามากกว่า 2550 ปี แต่มันไม่ได้สำคัญว่าเรื่องนี้คือเรื่องจริงหรือไม่ ความสำคัญอยู่ที่ มันคือวิธีการคิดที่ชาญฉลาดของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้มากกว่า
        E mail ฉบับนี้เอง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมคิดได้ แม้จะไม่ได้ทำให้ผม enlightenได้ในทันทีก็ตามเถอะ จนปัจจุบัน ซึ่งก็ผ่านเรื่องราว มาเกือบจะครบปีแล้วก็ตาม ก็ใช่ว่าผมจะคิดได้ หรือ ทำใจได้ 100% แต่ สุภาษิตฝรั่งบทหนึ่งบอกว่า “A good start is a half win.” แม้แต่สุภาษิตจีน เชื้อชาติต้นตระกูลผมเองยังบอกว่า “หมื่นลี้ย่อมเริ่มด้วยก้าวแรก” อย่างน้อย ผมก็ยังถือว่า ผมได้เริ่มต้นมาบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ดีเท่าที่ควรก็ตามเถอะ ก็ยังถือว่า ผมก็ยังพยายาม


        ผมเศร้าโศกเสียใจกับเรื่องน้อยอยู่นาน จนผมคิดว่า ผมเองไม่สามารถทนอยู่กับสภาพตัวเองแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ผมจึงปรึกษาแม่ว่าผมจะลาออกมา อ่านหนังสือสอบ ผมขอแม่ผมเรียนโทต่ออีก 1 ใบ เผื่อจะเป็นหนทางให้ผมต่อปริญญาเอกได้ ซึ่งแม่ผมก็อนุญาต (ขอบคุณครับแม่)
        นับเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญในชีวิตผม ผมยื่นใบลาออกกับพี่น้ำ พี่น้ำเองคงไม่แปลกใจมากนักที่ผมลาออก เพราะคงเห็นผมไม่มีใจกับงานเท่าไหร่แล้ว ผมบอกพี่น้ำว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงาน ระยะเวลาที่เหลืออีก เดือนครึ่ง ผมจะ clear งานเก่าให้เสร็จทั้งหมด ส่วนงานใหม่ ให้พี่น้ำพิจารณาว่า จะให้ผมทำเรื่องอะไรบ้าง บางเรื่องอาจจะรบกวนให้พี่น้ำส่งต่อให้เจ้าหน้าที่คนอื่นทำแทน เพื่อผมจะได้มีเวลา clear งานที่มีอยู่ในมือผมทั้งหมดให้เสร็จ โดยคนที่มารับผิดชอบต่อจากผมจะได้ไม่ต้องด่าผมลับหลังว่าต้องมา clear งานค้างของผม (ซึ่งผมเองก็เคยไม่พอใจ เจ้าหน้าที่คนก่อนมาแล้วเหมือนกันที่ทิ้งงานให้ผมดื้อๆเลย ปรากฎว่ามีงานสำคัญใกล้ dateline ผมเลยต้องวุ่นตามเสนองานให้เจ้าหน้าที่คนก่อน อย่างไม่ค่อยเต็มใจ ผมเลยไม่อยากให้ใครที่มาทำงานต่อจากผมว่าผมได้)


        ผมยังคงทำงานให้น้อย จนวินาทีสุดท้ายที่ผมทำงานอยู่ที่นี่ ผมกล่าวลาเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งพี่ๆที่ผมประสานงานด้วยในสาขาต่างจังหวัด เกือบทุกคน ยกเว้น สาขาของน้อย (ซึ่งรวม พี่คิด หัวหน้าน้อย พี่บล แล้วก็น้อย) ผมไม่อยากให้ผมมีอะไรค้างคากับน้อยอีก ผมอยากไปแบบเงียบๆ ให้ต่างคนต่างเหลือความทรงจำที่ดีของกันและกันเอาไว้บ้าง และไม่อยากให้น้อยคิดว่าผมลาออกเพราะเขา และจากนี้ต่อไป ผมก็ไม่อยากให้น้อยเองต้องลำบากใจที่ต้องประสานงานกับ เจ้าหน้าที่ในสำนักงานใหญ่อย่างผมอีก (แต่ยังไม่ทันพ้นวันก็มีสายโทรไปรายงานน้อยให้รับรู้ถึงที่ว่าทราบเรื่องที่ผมลาออกหรือยัง...)
        ผมเชื่อว่า การที่ผมออกจากบรรยากาศเดิม ผู้คนเดิมๆ อาจจะทำให้ผมลืมความทุกข์ลงไปได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็อาจจะเป็นส่วนช่วยบ้างส่วนนึง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ผมเองก็ยังคงจมอยู่กับความทุกข์ที่น้อยทิ้งผมไปอีก ร่วม ครึ่งปีได้ 6 เดือนครับ 6 เดือนซึ่งมีแต่ความทรมานใจ ความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสแต่นั้นก็อาจจะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ครับ การที่ผมอยู่เฉยๆ ได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรด้วยใจที่ปรกติขึ้น ผมจึงสามารถเปิดใจรับธรรมะเข้ามาอยู่ในใจผมได้มากขึ้น ผมกำลังหมายความว่า ผมเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติมนุษย์ได้ดีมากขึ้น เมื่อธรรมะ เข้าแทรกซึมในใจผมที่ละนิด มันก็เข้ามาแทนที่ความเศร้าโศกเสียใจที่มีอยู่ได้บ้าง
        คงไม่มีใครให้กำลังใจเราได้ดีเท่ากับเราให้กำลังใจตัวเอง ผมได้เรียนรู้การมีชีวิตให้เป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในโลกปัจจุบัน ที่อะไรๆก็รีบเร่ง ทุกอย่างกลายเป็นว่า อะไรก็ได้ที่เร็วที่สุด สะดวกสบายที่สุด จึงไม่แปลกใจที่เห็นอะไร อะไรก็เป็นของสำเร็จรูปกันไปหมด ความทุกข์ที่ผมมีนี่ก็เช่นกัน เดิม ผมต้องการ shortcut อะไรก็ได้ที่ทำให้ผม ทำใจไม่ให้เสียใจเรื่องน้อยได้เร็วที่สุด ใช่สิ!! ผมต้องมีคนอื่นมาแทนที่น้อย แต่นั่นเป็นทางออกโง่ๆที่ผมเคยคิด ตราบใดที่ผมยังเฝ้าวนเวียนที่จะต้องเอาชนะน้อย พยายามทำให้น้อยเห็นว่า ผมเหนือกว่าเขา และผมก็หาคนอื่นที่ดีกว่าเขาได้ ...สิ่งที่ผมคิดกลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนแพ้มากกว่า (แถมยังเป็นขี้แพ้ชวนตีอีกต่างหาก)
        จริงๆแล้ว ไม่มี shortcut อะไรในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่สำเร็จรูป ท่านผู้อ่านเคยสังเกตเวลาตากผ้าไหมครับ กว่าแดดจะทำให้ผ้าแห้ง ต้องใช้เวลา ใช่ว่าตากแล้วจะแห้งทันที ความทุกข์ของผมก็คงเหมือนกัน... จะให้มันเหือดแห้งไปในทันทีก็คงไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะช้าจะเร็วขึ้นอยู่กับใจผม ถ้าผมจิตใจแข็งแกร่งมากพอ ก็คงเหมือนวันที่ พระอาทิตย์สาดแสงลงตอนเที่ยงวัน แต่หากผมจิตใจอ่อนแอเมื่อใดก็คงเหมือนวันที่มีเมฆดำมืด หรือ ฝนตกฟ้าคะนอง (และลมกรรโชกแรง) ตากผ้ายังไงก็ไม่มีทางแห้งได้...นั่นคงขึ้นอยู่กับผมเองว่าผมจะเลือกให้วันของผมเป็นแบบไหน


*
        แม้ว่าวันนี้วันของผมจะไม่ใช่วันที่แดดแรงนักก็ตาม บางวันก็ฝนตกหนักบ้าง บางวันก็แค่ครึ้มๆ บางวันก็เริ่มมีแดดอ่อนๆ แต่ผมจะไม่หยุดพยายามครับ แม้ผมไม่รู้ว่าความพยายามของผมจะสำเร็จหรือไม่ แต่ผมก็ต้องพยายาม (Have to wait and see) อย่างที่ผมบอกไปแล้วข้างต้น ชีวิตของนพพร ยังคงมีอยู่ต่อไป ผมคงไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้...ใช่ไหมครับ
        หากถามผมว่า แล้วผม มี resolution สำหรับเรื่องของน้อยอย่างไร... ผมคงตอบได้ว่า น้อยยังคงอยู่ในใจผมเสมอ อยู่ในที่ที่เดิม อยู่ในสถานะเดิมที่น้อยเคยอยู่ในใจของผมมาโดยตลอดตั้งแต่วันแรกที่ผมเริ่มต้นความรักกับน้อยจนถึงวันนี้ ผมยังจำคืนวันเก่าๆที่เราเคยมีความรักให้แก่กันและกัน โดยไม่ฝืนตัวเองให้พยายามลืมมันไป แต่สิ่งที่ผมจะลืมก็คือความเจ็บปวดในใจผมต่างหาก
        เรื่องของนายนพพร คงจบลงแค่นี้ครับ เหลือแต่ตัวนายนพพร ที่ยังต้องตามหาชีวิตที่เหลือ ผมไม่รู้หรอกว่า ต่อไปชีวิตผมจะดีขึ้นเลวลง หรือเป็นไปในทิศทางใด ผมเคยหวังว่าผมกับน้อยจะยังคงรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย แต่ปัจจุบันผมก็รู้แล้วว่าผมจะคาดหวังอะไรไม่ได้ ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ผมเพียงขอให้ตัวเองมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ เท่านั้นก็น่าจะพอ แม้ว่าวันนี้ผมจะโดดเดี่ยวไม่มีใคร แต่ผมโชคดีที่เรื่องราวของนายนพพรทั้งหมด ทำให้ผมมีจิตใจที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เท่านี้ผมก็น่าจะพอใจ
        ขอบคุณครับ ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของนพพร ผมจำทุกความเห็น จำทุกกำลังใจของพวกคุณทุกคนได้ และผมก็จะจดจำความรู้สึกดีๆที่ทุกๆคนมีให้ผม  เหมือนที่ผมมีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับน้อย ตลอดไป
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-02-2007 01:04:24


*
        สุดท้าย ผมขออุทิศเรื่องราวของผมทั้งหมดให้กับน้อย แม้ผมจะรู้ว่าน้อยคงไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ก็ตาม ผมเพียงเสียดายมิตรภาพของเราทั้งสองคน หากเพียงวันนั้นผมห้ามใจตัวเองได้ หากวันนั้นเราไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลย วันนี้น้อยก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมสนิทคนหนึ่ง ซึ่งความเป็นจริง แม้แต่ความเป็นเพื่อน น้อยก็ไม่มีเหลือให้ผมเลย ผมไม่รู้หรอกว่า ตอนนี้น้อยรู้สึกยังไงกับผมบ้าง ผมเพียงแค่อยากจะขออโหสิกรรมกับน้อย อะไรที่ผมทำผิดพลาดกับน้อยไป ล่วงเกินน้อยไป ทำให้น้อยรำคาญใจเรื่องอะไร ผมขออโหสิกรรมกับน้อย ณ ตรงนี้นะครับ ผมเสียใจกับความผิดพลาดของผมที่เกิดขึ้น ขอเพียงน้อยเข้าใจว่า เพียงเพราะความรักของผม ผมเลยอาจจะทำอะไรโง่ๆลงไปบ้าง อยากให้น้อยรับรู้ความรู้สึกผมด้วยหัวใจ น้อยจะรู้ถึงเหตุผลว่าผมทำอย่างนั้นลงไป เพราะอะไร...
        สุดท้ายของท้ายที่สุด ผมขออุทิศเรื่องราวนี้ให้กับ ความรักของมวลมนุษยชาติ (ดูยิ่งใหญ่ดีไหมครับ) ผมยังเชื่อว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์ เพียงแต่อย่าให้ความรัก มีอำนาจเหนือเรา หากเราจะรัก ก็ขอให้รักด้วยสติ และเราจะมีสติก็ต่อเมื่อเรามีธรรมะในใจ...ผมเชื่อเช่นนั้นครับ



        อวสานจริงๆครับ ...

by นพพร
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-02-2007 01:05:50
ขอบคุณคุณนพพร สำหรับเรื่องราวดีๆนะครับ ขอบคุณเพื่อนๆด้วยนะครับที่ติดตามให้กำลังใจคนเขียน
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 15-02-2007 01:23:50
ขอบคุณคุณนพพรด้วยคับ  สำหรับประสบการณ์ชีวิตที่อาจจะเปนบทเรียนให้หลายๆคนที่ได้อ่าน  :impress:  ผมเชื่อว่าเวลาจะเปนตัวรักษาทุกอย่างได้นะคับ ฝากเพลงไว้ให้ฟังเล่นๆแล้วกันนะคับ
http://www.siam2.com/jukebox/pop-player.php?id=816
เปนเพลงที่ผมฟังอยู่เสมอเวลาคิดถึงเรื่องเก่าๆแล้วมันไม่สบายใจ   :try2: 
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 15-02-2007 01:46:00
 :yeb:  ม่ายเคยมาลงจื้อเพราะพึ่งตามมาอ่าน แหะแหะ  มาลงอาวซะตอนจบแว้วว ม่ายว่ากันเน้อ  :impress: 


 :monkeysad: มีพบก้อต้องมีจาก เมื่อได้เลือกทางเดินของหัวใจแล้ว ก้อต้องเข้มแข็งแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เวลาจาช่วยเยียวยาบาดแผลของหัวใจเอง



ปล. เพลงก้อนหินก้อนนั้นของน้องA GE เข้ากับเรื่องดีจัง
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-02-2007 23:29:05
หากวันนั้นเราไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินเลย วันนี้น้อยก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมสนิทคนหนึ่ง
ไม่มีใครรู้อนาคต ไม่มีใครแก้ไขอดีตได้ ทุกอย่างมีเหตุก็ต้องมีผล อยู่และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความมีสติ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ประทับใจและแฝงข้อคิดดี ๆ ไว้ในเนื้อเรื่อง

ขอบคุณมากค่ะ  :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: suregirl ที่ 16-02-2007 15:07:32
อ่านแล้วได้ข้อคิดเตือนใจ ดีค่ะ  :yeb: :yeb: :yeb:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 18-02-2008 22:20:27
เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นความจริงในปัจจุบันได้ดีมากๆเลยครับ  อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา :m15:
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: philophobia ที่ 28-07-2011 14:59:51
เข้ามาอ่านเรื่องเก่าๆ เศร้าดีแฮะ
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: 20227ple ที่ 22-08-2011 20:37:25
ชอบเรื่องนี้ค่ะ จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าอะไรๆมันก็ไม่เป็นดังใจเราไปซะทุกอย่าง...
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: airiiz ที่ 29-12-2013 15:04:17
เพิ่งเลิกกับแฟน พออ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยที่จะลืมความเจ็บปวดในใจ
แม้ว้าคุณนพพรไม่รุ้ แต่ก็ขอขอบคุณมากๆ และขอให้คุณนพพรมีความสุขมากๆ
หัวข้อ: Re: [story]นายนพพร by นพพร
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 18:29:30
 :mew1: