The Power of Lyrics; Self - Gravitation แรงโน้มถ่วงส่วนตน (๙) 1-10-2568
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Power of Lyrics; Self - Gravitation แรงโน้มถ่วงส่วนตน (๙) 1-10-2568  (อ่าน 11241 ครั้ง)

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


Show a little more

เปิดให้เห็นมากหน่อย

Show a little less

วับวับแวมแวมพอลุ้น

Add a little smoke

ควันที่มันพรางตา

Welcome to Burlesque

ขอต้อนรับสู่เราเหล่าบาร์นางโชว์


Everything you dream of

ทุกสรรพสิ่งที่คุณเคยฝันไว้

But never can possess

แต่ยังไม่เคยได้ครอบครองจริงจริง

Nothing's what it seems

ไม่มีอะไรที่เป็นอย่างที่คุณมองเห็น

Welcome to Burlesque

นี่คือเราเหล่าคณะบาร์นางโชว์


“ฉันว่า คุณควรจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็ใครเป็นใครแถวนี้ก่อนนะ” เจ้หงส์บอกกับ ‘หุ้นส่วน’ คนใหม่ ที่จะมาร่วมลงทุนทำร้านกับเธอ “ฉันแค่อยากให้คุณวรรธแน่ใจก่อน ที่จะตัดสินใจอะไรลงไปมากกว่านี้ ว่าคุณจะต้อง” เจ้หงส์พูดด้วยน้ำเสียงที่บอกกับอีกฝ่ายไปว่า “และกำลังเจอะเจอกับอะไรอยู่” เพราะจะไม่มีการเปลี่ยนใจยกเลิกจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป หลังจากนี้

“ผมคงไม่เสี่ยงมอบเงินก้อนใหญ่ให้กับใครไปง่าย ๆ” ชายหนุ่มพูดตอบกลับเจ้หงส์ “ถ้าผมเองไม่รู้สึกมั่นใจ หรือคิดว่ามันจะกลายเป็นความผิดพลาด” วรรธหยุดพูดนิดหนึ่ง สังเกตสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย ที่เจ้หงส์เองก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด ว่าต้องการเงินก้อนใหญ่จำนวนนี้มากจริง ๆ และไอ้ที่พูดเหมือนจะให้ตัวเขานั้น คิดให้รอบคอบอีกครั้ง ก็แค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้นเอง


Everyone is buying

ใครใครก็ต้องลงทุนจ่ายสตางค์

Put your money in my hand

เพื่อเป็นค่าปกปิดค่าผ่านทาง

If you got a little extra

แต่หากว่าคุณจ่ายเพิ่มอีกสักนิดสักหน่อย

Well, give it to the band

มันก็จะเป็นค่าน้ำค่าเหนื่อยให้กับวง


You may not be guilty

คุณเองอาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด

But you're ready to confess

แต่กลับร้อนรนอยากจะสารภาพขึ้นมาเสียอย่างนั้น

Tell me what you need

งั้นบอกมาว่าใจอยากได้อะไร

Welcome to Burlesque

มองหาอะไรจากเหล่านางโชว์ของบาร์เรา


“ก็ถ้าคุณวรรธพูดมาเองแบบนั้น ฉันก็สบายใจ” เจ้หงส์คราวนี้ยิ้มกว้างออกไป เพราะได้ยินชายหนุ่มยืนยันออกมาจากปากของตัวเองแบบนั้น “แล้วสัญญาที่จะทำระหว่างกัน มันจะเป็น” ปากก็พูดไป มือของเจ้หงส์ก็ยื่นแบออกไป เพื่อให้วรรธส่งกระเป๋าที่บรรจุเงินสดอัดแน่นเอาไว้จนเต็ม ส่งมาใส่มือให้เธอ “ร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือสัญญาใจแบบสบาย ๆ ไว้ใจกันและกัน” เจ้หงส์กำมือลงกับหูกระเป๋าสีดำนั้น ที่น้ำหนักของมันทำให้เธอใจเต้นรัว เพราะเงินสด ๆ มันมาอยู่ในมือของเธอแล้ว

“ผมเองก็อยากจะรู้ว่า ร้านนี้มันจะทำเงินให้ผมยังไงได้บ้าง” วรรธยังคงไม่ปล่อยให้กระเป๋าใบนั้น อยู่ในมือของเจ้หงส์โดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มยังคงดึงหูหิ้วของกระเป๋าใบนั้นอยู่ “ร้านที่ฉันมองภาพเอาไว้ มันก็แค่ร้านที่มันเป็นบาร์โชว์เล็ก ๆ ทำกันแบบง่าย ๆ ปกครองกันแบบครอบครัว มีอะไรก็พึ่งพาอาศัยกัน เหล้าดี การแสดงแกรนด์ ราคาก็อยู่ในระดับที่จ่ายได้ เป็นมิตรกับลูกค้า โดยเฉพาะนางโชว์ที่ขึ้นเวที ที่มีจุดขายแตกต่างกันไป” เจ้หงส์บรรยายความที่ตัวเองคิดเอาไว้ วรรธยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้น “อย่างเช่น” ถามออกไปถึงเหล่านางที่จะขึ้นไปเฉิดฉายที่บนเวทีนั่น เจ้หงส์ยิ้มกว้างออกมาในทันที

“คนแรก” เจ้หงส์พูดถึงนางโชว์คนแรกที่ประจำในร้านของเธอ “เรียกมันนังโก้โก้” เจ้หงส์เปิดรูปจากโทรศัพท์มือถือให้วรรธได้ดู วรรธมีสีหน้าประทับใจ ในการทำมาแล้วทุกสัดส่วนของโกโก้ ที่ดูก็รู้ว่า ความบอร์นทูบี เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ของเจ้าตัว มันฉายออกมาจากทุกอณูของร่างกาย “จับมันแต่งอะไร ยังไงมันก็สวย ให้มันโชว์ตลก มันก็ยังดูดี” เจ้หงส์พยักหน้าสำทับเช่นเดียวกับความคิดของวรรธเองเช่นกัน


You can dream of Coco

ไม่ผิดที่จะฝันถึงนังโก้

Do it at your risk

แต่พูดได้แค่ว่าเราเตือนแล้วนะ


โก้เป่าลมออกจากปากพรืดใหญ่ เพราะรู้สึกขี้เกียจที่ต้องเช็ดหน้าต่างกระจกบานใหญ่ของห้องคอนโด ที่ตัวเองซื้อ และยังต้องผ่อนต่อไปอีกยาว ๆ จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะไม่ชอบที่หน้าต่างกระจกมันดูไม่ใสปิ๊ง มันดูไม่นิ้ง ซึ่งเจ้าตัวไม่ชอบให้มันเป็นแบบนั้น โก้นั่งลงบนขอบด้านบนของโซฟาที่ถูกดันมาพิงเข้ากับหน้าต่างกระจก เมื่อตอนที่เธอจัดห้องใหม่สัปดาห์ที่แล้ว โก้ใช้ไม้เช็ดกระจกด้ามยาวไถขึ้นลง สายตาก็มองออกไปด้านนอกหน้าต่างนั่น

ที่คอนโดฝั่งตรงข้าม โก้มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ห้องชั้นบน เลยห้องของเธอขึ้นไปประมาณสามสี่ชั้น เขาคนนั้นยืนถือแก้วกาแฟอยู่ในมือ โดยมีเพียงแค่ผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวพันเอวอยู่เท่านั้น โก้รู้สึกนึกสนุก เธอวางไม้เช็ดกระจกลง ก่อนจะยืนขึ้น แล้วยกไม้ยกมือให้เป็นที่สังเกต เรียกความสนใจจากชายหนุ่มร่างกำยำคนนั้น และเพียงไม่นานมันก็ได้ผล ชายหนุ่มหันมองลงมาที่ห้องของโก้

โก้ไม่รอช้า ใช้นิ้วเลื่อนซิปเสื้อเกาะอกตัวเล็กที่เธอใส่อยู่ ให้ลงไปจนสุด เผยให้เห็นหน้าอกที่เธอไปทำมาด้วยความภาคภูมิใจในฝีมือของหมอท่านนั้น ที่มันออกมาสวยสมใจโก้เป็นอย่างมาก โก้สบตากับชายหนุ่มคนนั้นโดยไม่ปิดบัง และพอแน่ใจแล้วว่า ชายหนุ่มหุ่นล่ำกล้ามโตคนนั้นให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาเห็น โก้ก็ล้วงมือขวาเข้าไปใต้เสื้อด้านหน้าอกซ้าย แล้วค่อย ๆ ขยำหน้าอกข้างนั้นของเธอ จากช้า ๆ และเบามือ จนเริ่มหนักหน่วงขึ้น

โก้ใช้ปลายลิ้นเลาะเลียริมฝีปากด้านบนของตัวเอง เมื่อเห็นว่าถ้วยกาแฟได้หายไปจากมือของชายหนุ่ม แต่มือข้างนั้นของอีกฝ่าย ตอนนี้เข้าไปจับคลึงสิ่งที่อยู่ด้านใต้ผ้าขนหนูผืนนั้นแทนแล้ว โก้หันหลังให้กับกระจกหน้าต่าง ก่อนจะยกขาข้างหนึ่งพาดบนพนักพิงโซฟา ภายใต้กระโปรงมินิสเกิร์ตที่เธอใส่ มันไม่มีชั้นใน

โก้เหลียวหลังมามอง ชายหนุ่มคนนั้นกำลังสาวมือขึ้นลงไปตามความยาวของท่อนแห่งความเป็นชายของตัวเอง สายตาจับจ้องมาที่บั้นท้ายของโก้ โดยที่ไม่ได้แสดงอาการตกใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นแต่อย่างใด เพราะโก้เองก็ไม่ได้ปิดบังส่วนล่างของเธอเองเช่นกัน โก้จับมันพาดชี้ลงด้านล่าง ให้ชายหนุ่มเห็นชัด ๆ พร้อมกับการขมิบกล้ามเนื้อด้านหลังนั้น เร็ว รัว และถี่ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มถุยน้ำลายลงบนความยาวนั้น เพื่อเพิ่มความลื่นมือให้มากยิ่งขึ้น

โก้พยักหน้าให้กับชายหนุ่ม เพื่อเป็นอันรู้กันว่า เธอต้องการให้ชายหนุ่มโบยบินไปให้ถึงฝั่ง โก้กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนนิ้วมือให้ผ่านร่องด้านหลังเบา ๆ ชายหนุ่มในห้องคอนโดที่ฝั่งตรงข้าม อ้าปากกว้าง โก่งตัวจนงอ ก่อนจะรัวมือขึ้นลงอีกไม่เกินห้าหกครั้ง ความขาวขุ่นแต่ข้นก็ทะลักพุ่งออกมาชนกระจกหน้าต่างที่ห้องตรงข้ามนั้น โก้นับได้ว่ามันพุ่งออกมาติดต่อกันไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง แล้วที่เหลือก็ไหลเปรอะเปื้อนที่บนส่วนปลายนั้น

โก้จัดการเสื้อผ้าของตัวเองจนเรียบร้อย มองเห็นชายหนุ่มหุ่นล่ำที่กล้ามเนื้อท้องเกร็งขึ้นเป็นลอนสวย ตอนที่เขาปลดปล่อยทุกอย่างมันออกมา ตอนนี้หอบหายใจราวกับเพิ่งไปวิ่งมาไม่ต่ำกว่าสิบรอบสนาม ต้องรีบก้มตัวลงคว้าผ้าขนหนูผืนสีขาวที่ตกอยู่บนพื้น กลับขึ้นมาพันร่างกายเหมือนเดิม เมื่อมีใครบางคนเปิดประตูห้องเข้ามา โก้หัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มคนนั้น พยายามใช้ตัวบังคราบน้ำบนกระจกนั้น จากสายตาของหญิงสาวคนที่เพิ่งเข้าห้องมาแบบนั้น

“แสบได้ใจจริง ๆ” วรรธหัวเราะไปกับเรื่องที่เจ้หงส์เพิ่งเล่าจบ ซึ่งเจ้เองก็ยืนยันว่า โกโก้นั้นแผลงฤทธิ์อะไรมาเยอะ “คนที่สอง” เจ้หงส์พูดขึ้น ก่อนจะโชว์รูปของนางโชว์ที่ผิวออกไปทางคล้ำ ไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมขาวใสอย่างคนอื่น ๆ แต่อย่างใด “แฝด” วรรธพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ใช่ นังแฝด” เจ้หงส์พูดกลั้วหัวเราะ “แฝดสามเสียด้วย” เจ้หงส์ยืนยันตามนั้น แม้ว่าวรรธจะขมวดคิ้ว ด้วยความที่เขาเห็นว่ามันมีนางโชว์เพียงคนเดียวในรูปก็ตาม


The triplets grant you mercy

แฝดสามเสกสรรได้ตามประสงค์

But not your every wish

แต่ที่เหลือแล้วแต่แฝดจะต้องคง


หลังจากโชว์จบลง แฝดก็ลงมาถ่ายรูปกับลูกค้าในร้าน รวมไปถึงบรรดาแฟน ๆ การแสดงของเธอ เพื่อรับทิปตามแต่น้ำใจที่จะยื่นให้กับนักแสดงของทางร้าน โดยกฎเหล็กข้อหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่เจ้หงส์ทำการตกลงกับนางโชว์ทุกคนเป็นที่เข้าใจกันแล้วว่า ห้ามเรียกร้องเงินทิปจากแขก มากไปกว่าที่แขกของร้านยินดีที่จะหยิบยื่นให้ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น และถือว่าทุกคนเข้าใจตรงกันตามนั้นแล้ว

“เอาสิ ยูอยากลองอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ไทยเลดี้บอยน่ะ ที่บ้านเรา ไม่ดูใกล้เคียงผู้หญิงแบบนี้นะ” เสียงฝรั่งต่างชาติสองคน ที่ยืนอยู่ไม่ไกล ดังมาให้ได้ยิน “ถ้าเขายินยอมกลับไปที่ห้องโรงแรมด้วย มันก็ไม่เรียกว่าซื้อขายใช่มั้ย” คนที่โดนเพื่อนยุ ถามกลับไป เพื่อให้มันกระจ่างก่อน “มันพูดอะไรกันวะ เจน พูดถึงกูหรือเปล่า” แฝดหันไปถามนางโชว์อีกคนที่เพิ่งถ่ายรูปกับแฟน ๆ เสร็จ ซึ่งคนที่ถูกถามพยักหน้าบอกกว่าใช่ “เขาสงสัยน่ะ ว่าพี่แฝด” เจนหัวเราะออกมาเบา ๆ “แฝดสามยังไง” เจนพูดจบก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่หลังร้าน

“คุณเป็นแฝดสามจริง ๆ หรือครับ” แฝดเข้าใจที่ฝรั่งพูดมา เพียงคำเดียวที่แปลว่าแฝดสาม “ผมอยากลอง” แฝดมองไปที่มือของฝรั่งที่แตะมาที่ต้นแขนของเธอ “ถ้าคุณไม่ถือ และชอบที่จะมีสามีเป็นฝรั่ง แบบสนุกข้ามคืน ไม่ได้จริงจังอะไร” ฝรั่งหัวเราะออกมาแก้เขิน “ผัวคืนเดียว แบบสนุก ๆ” ฝรั่งพูดกับแฝดที่ยืนฟังนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น “ยู ว้อนท์ เซ็กส์” แฝดพูดกับฝรั่งไปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทย ฝรั่งพยักหน้า ก่อนจะแตะมือลงไปที่บั้นท้ายของแฝด

“โว้ว” วรรธร้องตะโกนออกมาเสียงหลง เมื่อได้เห็นภาพแฝดสามที่เจ้หงส์แสดงให้ดู “แฝดสามมันคือแบบนี้เอง” เจ้หงส์พยักหน้า ก่อนจะกดปิดรูปที่แฝดเป็นคนถ่ายแล้วส่งมาให้พี่หงส์ดูเอง “ฝรั่งคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย” วรรธอดถามไม่ได้ เมื่อเจ้หงส์เป็นคนบอกเอง ว่าแฝดสาม ดุ้นยักษ์หนึ่ง อีกสองที่ห้อยโตงเตงในถุงหนังรอยหยักสีดำคล้ำนั้น ที่ยานยาวลงมาเกือบเท่าความยาวของดุ้นคล้ำ รวมเป็นแฝดสาม ที่คือฝ่ายบุกทะลวง ไม่ใช่ฝ่ายตั้งรับแต่อย่างใด

“ยังอยู่ดี มีชีวิต” เจ้หงส์พูดกลั้วหัวเราะ “แค่บินไปกลับลอนดอนมากรุงเทพฯ ทุก ๆ สามเดือน” วรรธพยักหน้าแบบยอมรับในความแฝดสามนี้จริง ๆ “ทุกครั้งที่ถึงวันต้องบินกลับอังกฤษ ก็จะร้องฟูมฟายไม่อยากจะไปสนามบิน หลายครั้งเลยแหละ ที่คืนก่อนจะต้องไปขึ้นเครื่อง ก็มาเมาแอ๋ที่ร้านนี่ แบบหาเรื่องให้ตัวเองเมาจนตื่นสาย เพื่อจะได้ไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน จะได้หาเรื่องอยู่ต่อสักคืนก็ยังดี” วรรธหัวเราะไปกับสิ่งที่ได้ยิน กับเสน่ห์ของแฝดสาม ที่ไปต้องใจต่างชาติถึงขั้นหัวปักหัวปำ

“คนที่สาม” เจ้หงส์พูดต่อจากนั้น “คุณวรรธก็ได้เจอกับตัวเองแล้วนี่” วรรธถึงกับยิ้มกริ่มด้วยความชอบใจในทันที เมื่อถูกเจ้หงส์ถามแบบนั้น “นังเจน” เจ้หงส์พูดชื่อของนางโชว์คนที่สามออกมา “เผอิญฉันเป็นคนที่ชอบให้โอกาส” เจ้หงส์บอกกับชายหนุ่มออกไป “แต่ก็กับคนที่มีดีและพร้อมจะรับโอกาสนั้นจากฉัน โดยที่ไม่ทำให้โอกาสที่ได้รับไปนั้น เสียเปล่า” เจ้หงส์พูดถึงวันที่เธอ มองเห็นว่าเจนนั้นฉายแววออกมา


Jessie keeps you guessing

เจนนั้นเหมือนกับทำให้ต้องมนต์

So cool and statuesque

ทั้งน่าพิสมัยและยังงามประดุจเทพี


“ท่อนนี้เดี๋ยวกูร้องเอง” โก้ตะโกนบอกกับทุกคน เมื่อการซ้อมเพลงที่ต้องรวมทั้งสามคนบนเวที เป็นไปด้วยความทุลักทุเลเป็นอย่างมาก กับความไม่ลงตัวในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะการแบ่งท่อนเนื้อร้อง ว่าใครจะร้องท่อนไหน “เพราะกูเป็นคริสติน่า” แฝดและนางโชว์อีกคนสบตากัน ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความเอือมระอา ด้วยการต้องดีลกับอีโก้ของคนที่ชื่อว่าโก้เช่นเดียวกัน

“เอานะ เอาท่อนที่คริสติน่าร้องเลย เพลงมา” โก้ตะโกนบอกกับคนควบคุมเพลง ก่อนที่เพลงเลดี้ มามาลาด จะดังขึ้น แล้วโก้ก็เริ่มลิปซิงค์ แต่ก็ร้องทับไลน์ประสานเสียงของคนอื่นไปด้วย ไม่ได้ร้องแต่ท่อนเฉพาะของตัวเอง “ฉันว่าแบบนี้ไม่เวิร์ค” นางโชว์ทั้งสามคนบนเวที หันขวับมาพร้อมกัน เพื่อเห็นว่าต้นเสียงคือกะเทยรุ่นแม่ ที่ดูก็รู้ว่าเคยเป็นนางโชว์มาก่อน เดินมาจากมุมของร้าน มาที่ด้านหน้าเวที

“ยังไงกันเนี่ย” โก้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เป็นใคร ยังไงมาสั่งอะไร ร้านนี้ก็แสดงแบบนี้มาตลอด” โก้ไม่สบอารมณ์นักที่มีใครก็ไม่รู้มาขัดจังหวะและพูดอะไรที่ไม่เข้าหู คนที่เป็นตัวแสดงนำของร้านแบบเธอ มาตั้งแต่ต้นแบบนี้ “เพราะอย่างนั้นไง ร้านมันถึงกำลังจะเจ๊ง จนฉันต้องมาซื้อต่อเพื่อให้ต่อจากนี้ไป ร้านมันต้องไปต่อได้” เจ้หงส์ประกาศตัวตรงนั้น ต่อหน้าทุกคน ว่าตอนนี้เธอคือเจ้าของร้านคนใหม่แทนเจ้าของเดิมแล้ว

“เธอน่ะ ใช่ เธอนั่นแหละ ที่เป็นคนส่องไฟฟอลโล่ว์น่ะ ชื่ออะไร” เจ้หงส์เรียกเด็กที่ถือไฟส่องเวทีคนนั้น “หนูหรือ” เจนหันมองซ้ายขวา เมื่อไม่มีใครคนอื่นแล้ว ก็บอกชื่อตัวเองออกไป “หนูชื่อเจน” ก่อนจะเดินไปที่ด้านหน้าเวที ที่เจ้หงส์ยืนอยู่ “ไหน หมุนตัวให้ดูซิ” เจนทำตามที่เจ้หงส์สั่ง “เลิกเสื้อขึ้น” เจ้หงส์ตะโกนให้ทำตาม “ชายเสื้อน่ะ ดึงขึ้น” เจนทำตาม มองเห็นเอวที่คอดของเจ้าตัว

“ไม่ใช่ผู้หญิงใช่มั้ยเรา” เจนส่ายหน้า เมื่อเจ้หงส์ถามแบบนั้น ก่อนเจ้หงส์จะโบกมือให้เดินมาใกล้ ๆ เจนถึงกับสะดุ้ง เมื่อเดินมาที่ขอบเวทีด้านหน้า แล้วเจ้หงส์ล้วงมือเข้าไปใต้ขากางเกงขาสั้นที่เจนใส่อยู่ เพื่อคลำตรงหว่างขา “เออ แปลกดี สวยแบบไม่ต้องทำอะไร ธรรมชาติดี ศัลยกรรมมามั่งมั้ย” อีกครั้งที่เจนส่ายหน้าแทนคำตอบ “มีบ้างที่แพ็คเกจนวดหน้าพวกหนูเหลือ ก็เลยพามันไปทำด้วย” แฝดบอกกับเจ้หงส์ที่กำลังมีสีหน้าพออกพอใจ

“เจน เธอเป็นคริสติน่าในเพลงนี้ มันก็จะทำให้ครบสี่คนพอดีกับเนื้อร้อง” เจ้หงส์ตัดสินใจสรุปให้ “ฉันยืนแอบดูอยู่นาน ฉันเห็นนังเจนมันงับคำได้ทัน ร้องได้ตรงทุกคำ” ยังไม่ทันที่เจ้หงส์จะพูดจบ “ถ้างั้น ก็ไม่ต้องมีฉันอยู่หรอก” โก้กระโดดลงจากเวที ก่อนจะเดินไปที่ประตูร้าน กำลังจะกระชากประตูเปิดออกไปด้วยความโกรธผสมกันกับความอาย ที่ถูกปลดออกจากท่อนที่ตัวเองต้องการร้อง

“ถ้ามึงแน่ใจอย่างนั้น ก็ตามใจ แต่บอกไว้ตรงนี้เลยนะ ว่าถ้าก้าวออกจากร้านนี้ไปแล้ว จะกลับมาไม่ได้แล้วนะ” เจ้หงส์ประกาศกร้าว “หนูโอเคกับท่อนร้องแร็พของหนู” แฝดรีบแสดงตัว ส่วนนางโชว์อีกคนที่หน้าเด็กกว่าใครตรงนั้น ไม่มีปากเสียงอะไร จะท่อนไหนยังไงก็ได้ ขอแค่ให้ได้ขึ้นโชว์ด้วยเป็นพอ “เอายังไง จะไปใช่มั้ย กับอีแค่ไม่ได้ร้องท่อนที่ตัวเองความสามารถยังไปไม่ถึง แต่มันยังมีส่วนร่วมอื่น ที่ฉันเห็นว่าเธอจะทำได้ดี เอายังไง” เสียงเจ้หงส์เล่าถึงตรงนั้น

“ผมชอบโชว์เพลงนั้นนะ โดยเฉพาะเจน” หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้วรรธอยากเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบาร์นางโชว์แห่งนี้ “อีกสามคนที่เหลือ ไม่ดีว่างั้น” เจ้หงส์พูดแบบหยอกเอินชายหนุ่มออกไป “ก็ไม่ใช่แบบนั้น” วรรธทำกรุ้มกริ่มเมื่อพูดถึงเจนกันแบบนี้ “เจนมันพิเศษตรงที่มันไม่ใช่คนใจง่าย” ชายหนุ่มเห็นด้วยกับเจ้หงส์ “ก็ถ้าเขาพร้อม ผมก็พร้อม ติดอยู่แค่ถ้าเขายอมเป็นเมียผม เจ้จะให้เจนหยุดแสดงในร้านนี้นี่แหละ” วรรธพูด ส่วนเจ้หงส์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“คนที่สี่” เจ้หงส์พูดขึ้น “คนสุดท้ายของร้าน” เจ้หงส์ชูรูปให้กับวรรธได้ดู “นังจันจิ จันเจ้า มันมีหลายชื่อ หรือบางทีมันก็สมควรถูกเรียกว่า จังไร” วรรธหัวเราะไปกับคำพูดของเจ้หงส์ ด้วยที่ว่าเจ้หงส์นั้น พูดถึงนางโชว์ของร้านคนนี้ ด้วยอาการเอ็นดูเสียมากกว่า “มันเป็นคนหน้าเด็กกว่าใคร หน้าเด็กกว่านังเจนเสียด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่มันอายุมากกว่าเกือบสามปีทีเดียว” เจ้หงส์เริ่มเล่าเกี่ยวกับจันให้กับชายหนุ่มได้ฟัง


"Behave yourself", says Georgia

จันมันเตือนแล้วนะ ให้ทำตัวดีดี

Welcome to Burlesque

เช่นเดียวกับนางโชว์อีกที่เหลือของบาร์นี้


“นังจัน มึงไปรวยอะไรมาเนี่ย” โก้ถามน้องนางโชว์ ขณะที่ใช้ตะเกียบคืบหมูกระทะเข้าปาก “นั่นสิ พี่จัน ซื้อมาตั้งเยอะแยะขนาดนี้” เจนสงสัยเช่นกัน ที่อยู่ ๆ วันนี้ จันก็โทรตามทุกคนให้มาถึงร้านแต่เนิ่น ๆ เพื่อกินหมูกระทะด้วยกัน “จะรวยอะไรมาก็ช่าง ฉันจะฟาดให้เรียบ” แฝดที่เดินไปหยิบเอาถ้วยกับช้อนมาเพิ่มนั่งลงที่วงหมูกระทะ แล้วคีบหมูและพวกบรรดาซีฟู้ด วางลงไปบนกระทะเพิ่มขึ้นอีก

“เออ เอา ๆ บาร์โชว์กู มีแต่กลิ่นหมูกระทะ อีนังพวกนี้นี่” เสียงเจ้หงส์แว้ด ๆ ทันทีที่เห็นการตั้งวงกินข้าวกันของบรรดานางโชว์ทั้งสี่ “ชิมก่อน อร่อยมาก นังจันมันรวยอะไรมาไม่รู้ มันเลี้ยง” โก้ไม่พูดเปล่า คีบชิ้นหมูที่กำลังสุกพอดี ชุ่มไปด้วยน้ำจิ้มรสเด็ดฝีมือการตำและปรุงของเจน ใส่ปากเจ้หงส์ “หืม แฝด มึงย่างหมูอร่อยมาก นังเจน น้ำจิ้มมึงก็เริ่ดเกิน” เจ้หงส์ออกปากชม ก่อนจะโบกมือห้าม เมื่อโก้จะคีบอย่างอื่นให้อีก เพราะเจ้หงส์จะรีบไปเคลียร์บิลก่อน

“แล้วไอ้พวกนั้น มึงซ้อมเพลงกันแม่นแล้วหรือยัง” เจ้หงส์ชี้นิ้วไปที่บรรดาหนุ่ม ๆ สามสี่คนที่เป็นวงดนตรีสด ที่เจ้หงส์คิดขึ้นมาว่า คืนวันศุกร์จะทำเป็นไลฟ์แบนด์ เล่นดนตรีสด เพื่อไม่ให้แขกร้านเบื่อ “เรียบร้อยแล้วแม่” เสียงสมาชิกวงตอบกลับไป หลังจากที่รองท้องหมูกระทะของจันจนแน่นท้องกันมาแล้ว “แน่นะ” เสียงเจ้หงส์เข้มแบบที่ต้องการความจริง “เอ้า ซ้อมสิมึง เร็วเข้า” มาถึงตอนนี้สี่หนุ่มก็กุลีกุจอซ้อมดนตรีกันต่อ เพราะต่างรู้สรรพคุณของเจ้หงส์กันทั้งหมด ว่าถ้าแกดีด้วย แกก็ดีใจหาย แต่ถ้าแกร้ายขึ้นมา เอาเป็นว่าอย่าให้แกร้ายด้วยเป็นพอ

“ใครโทรมาหาแกจังวะ จัน เห็นโทรไม่หยุดเลยเนี่ย” แฝดถามขึ้น เมื่อเห็นว่า เบอร์โทรศัพท์เบอร์เดิมเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นเบอร์เดิม ๆ ซ้ำ ๆ แบบที่จันไม่ได้บันทึกเอาไว้ในเครื่อง จันชะโงกหน้าดูที่หน้าจอมือถือของตัวเอง ก่อนจะยิ้ม ๆ แล้วพูดบอกกับทุกคนไปว่า “สปอนเซอร์ใหญ่หมูกระทะมื้อนี่น่ะสิ” จันตอบ ก่อนจะบอกว่า กุ้งที่ซื้อมานั้นเนื้อมันสด รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบมากทีเดียว

“อย่าบอกนะ ว่าเป็นความหน้าเด็กของมึงอีกแล้ว” เจนหันมามองทางจันที ที่โก้พูดขึ้นพลางส่ายหน้า “แม่นพี่โก้” จันยอมรับ ก่อนจะคีบชิ้นปลาหมึกสด ๆ เนื้อเด้ง ๆ ชุ่มไปด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ดของเจนเข้าปากไป “ยังไงพี่จัน ไหนเล่า” เจนใช้ศอกกระทุ้งแขนจันเบา ๆ เพื่อให้เจ้าตัวคายความลับออกมา “อีดอก กูจะติดร่างแหไปด้วยมั้ยเนี่ย กูกินหมูมันไปเยอะซะด้วยสิ” แฝดพูดติดตลก ทำให้ทั้งสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“คืองี้ มีแด๊ดดี้อยู่คน หนูเพิ่งเจอแหละ แต่ไม่ได้เจอที่ร้านนะ ไปเจอกันข้างนอกโน่น ในแอพนั่นแหละ เขาชวนหนูออกไปกินข้าว บอกว่าอยากเจอหนู” จันเริ่มเหล้าให้บรรดาเพื่อนนางโชว์ฟัง “เสร็จแล้ว บรรยากาศมันดี อะไร ๆ ก็ดี เขาดื่มไปพอกรึ่ม ๆ แต่หนูไม่ได้ดื่มนะ เดี๋ยวแผนไม่สำเร็จ” สามคนที่เหลือมองหน้ากัน ไม่นึกว่าจันนั้น จะมีมุมร้าย ๆ กับเขาเหมือนกัน ทำให้โก้กล่าวชมว่า จันเป็นน้องสาวที่คลานตามโก้ออกมาทีเดียว

“หนูขย่มแด๊ดดี้หนูจนเสร็จ หนูก็บอกว่า หนูกำลังเรียนอยู่ปีหนึ่ง หนูรู้จักกันลูกสาวของเขา ก็รูปในมือถือที่เขาเปิดให้ดู หนูจำได้ว่านั่นมันเพื่อนชั้นปีเดียวกับหนู ได้ยินแบบนั้น เขาก็อึ้งไปเลย ถามหนูว่าหนูอายุเท่าไหร่ หนูก็ได้แต่กลั้นขำ” เจนคีบกุ้งใส่ถ้วยให้จันอีก “แล้วไงต่อ” เจนร้อง บอกให้จันรีบเล่า “อีดอกเจน อีห่า อยากรู้ขั้นสุด” แฝดด่าน้องนางโชว์ด้วยอาการกลั้วหัวเราะ “ก็หนูอยากรู้” เจนหัวเราะไปตามโก้และแฝดที่ส่ายหัวให้

“หนูก็แค่บอกว่า ก็ลองคิดดู ว่าหนูเรียนปีเดียวกันกับลูกสาวเขา แต่หนูไม่ได้โกหกนะ หนูแค่ไม่ได้บอกว่า หนูเพิ่งมีโอกาสไปลงเรียนใหม่ ไม่ได้บอกว่าหนูอายุสิบเจ็ดเท่าลูกสาวเขาสักหน่อย” แฝดตบเข่าฉาด บอกว่าถ้าตำรวจมาถามหา บอกว่าเธอกินหมูกระทะไปแค่ชิ้นสองชิ้นเท่านั้น “แด๊ดดี้หนูกลัวลนลานไปหมด ไม่รู้ว่ากลัวลูกสาวจะรู้ ว่าพ่อชอบกินกะเทยมีงู หรือว่าคิดไปเองกันแน่ ว่าเพิ่งจัดกะเทยรุ่นลูก อายุยังไม่ถึงเข้าไปซะเต็มแม็ก” จันบอกกับทุกคนว่า ขนาดของแด๊ดดี้ก็ใช่ย่อย

“บาปกรรมนังจัน เดี๋ยวทำผู้เฒ่าหัวใจวาย” โก้ดุจันเข้าให้ จันส่ายหัวดิก “แก่อะไร เพิ่งห้าสิบนิด ๆ เอง แรงดีมากเหอะ หนูถึงต้องขึ้นขย่มเอง ไม่งั้น โอย รูหนูหลวมพอดี กระแทกเข้ามาที หนูจุกไปหมด” จันทำท่าปลาบปลื้ม “จุกหรือเสียว เอาดี ๆ นังจัน” โก้ว่าเข้าให้อีก “ใหญ่ว่าของพี่แฝดอีกหรือ” เจนอ้อมแอ้ม ๆ ถามออกไป ก่อนที่ทั้งสามคนจะหันไปทางแฝด ที่กำลังยัดไส้หรอกเข้าปาก “กราบค่ะ” ทั้งสามพูดพร้อมกัน เพราะไม่มีใครจะยักษ์เขื่องเกินขนาดของแฝดไปได้อีกแล้ว


Everyone is buying

ใครใครก็ต้องจ่ายกันทั้งนั้น

Put your money in my hand

เงินที่ยื่นหมูไปไก่มา

If you want a little extra

แต่ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มอีกเล็กอีกน้อย

Well, you know where I am

คงรู้นะว่าจะตามหาเจ้หงส์ได้ที่ไหน


Something there in the dark

อะไรที่เห็นมันก็เน้นเทาเทาดำดำ

Is playing with your mind

มันจะล่อหลอกเล่นล้อไปกับจิตใจของคุณ

It's not the end of days

แต่ใช่ว่ามันจะเป็นจุดจบของโลกเสียเมื่อไหร่

It's just the bump and grind

มันก็แค่หยอกเอินแค่บดบดยั่วยั่ว


“ว่ายังไงคะ คุณวรรธ พอจะเห็นภาพมั้ยคะ ว่าแนวทางของบาร์แห่งนี้ มันจะพาคุณผู้ชายไปทิศทางไหน” เจ้หงส์ถามชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อเธอเล่าเรื่องของนางโชว์สี่จบลง วรระชี้นิ้วไปที่กระเป๋าที่ใส่เงินสดอัดแน่น ที่ตอนนี้อยู่ในมือของเจ้หงส์นานแล้ว “สิ่งที่ผมอยากรู้เพิ่มเติมก็คือ เรื่องของเจ้หงส์นี่แหละ” วรรธรู้สึกว่า กะเทยนางโชว์รุ่นใหญ่คนนี้ มีความน่าทึ่งไม่น้อย “ว่ากว่าจะมาถึงตรงจุดนี้ได้ ต้องผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง” ชายหนุ่มหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินเจ้หงส์ตอบกลับมาสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า “จะฟังเรื่องดี หรือเรื่องเหี้ยที่เจ้ทำดีคะ” ความนางพญาฉายฉาบออกมาจากท่าทางและคำพูดของเจ้หงส์


Show a little more

เปิดให้เห็นกันมาหน่อย

Show a little less

ปิดให้เดากันสักเล็กน้อย

Add a little smoke

พรางตาด้วยม่านควันบางบาง

Welcome to Burlesque

นี่แหละเราบาร์นางโชว์ทรงเสน่ห์


***************************************************************


คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Burlesque - CHER

https://www.youtube.com/watch?v=mw8yzcMtOVI

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: The Power of Lyrics; ตามรัก: Follow Through 18-08-2568
«ตอบ #31 เมื่อ18-08-2025 19:30:17 »

“ทำไมชอบมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้” กวีพูดถามอีกฝ่ายออกไป แม้ว่าจะรู้ดี ที่อีกฝ่ายจะไม่มีท่าทีตอบกลับมาแต่อย่างใด จะว่าชินแล้วแบบนั้น เขาเองก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองแบบนั้นได้ มันแค่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ดำเนินไป ในช่วงเวลานี้ ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน ดีกว่าเขาไม่สามารถมาเจอะเจอกับอีกฝ่ายได้

“เขียนอะไรขยุกขยิกอยู่นั่นแหละ” กวีบ่นใส่อีกฝ่าย ตอนที่ทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งฝั่งตรงข้าม ใต้ตึกเรียนตอนนี้ มีนักศึกษาอยู่บางตา กระจายตัวนั่งห่าง ๆ กันไป แสงแดดอันร้อนแรงมาทั้งวัน ตอนนี้ดูโรยราอ่อนกำลังลงไปมากแล้ว ลมเอื่อย ๆ พัดมา กวียิ้ม เมื่อเห็นไรผมด้านหน้าที่ปรกหน้าผากของอีกฝ่าย ถูกสายลมนั้นพัดเบา ๆ

“ทำไมก่อนหน้านี้ ถึงมองไม่เห็นนะ ว่านายน่ารักขนาดนี้” พูดไปแล้ว กวีก็อยากจะเอานิ้วจิ้มลงไปที่รอยลักยิ้มที่บุ๋มบนแก้มของอีกฝ่าย “ตอนทำหน้านิ่ง ๆ นี่ก็ดูจริงจังดี หน้าดุเป็นบ้า” กวีจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้เรียบเฉย “ชอบทำหน้าดุ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว” กวีหัวเราะให้กับตัวเอง ที่เก็บอาการไม่อยู่

“น่ารัก” เขาหลุดปากพูดออกมาอีกครั้ง แน่นอน ที่กวีรู้ตัวดี ว่าเขาพูดคำว่าน่ารักกับอีกฝ่ายบ่อย จนเรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยก็ไม่ผิด เขาอยากจะพูดคำนี้กับอีกฝ่ายซ้ำ ๆ พูดไปเรื่อย ๆ พูดให้ได้บ่อยมากที่สุด เท่าที่ตัวเขาเองจะทำได้ เพราะกวีอยากให้อีกฝ่ายได้ยิน ประหนึ่งว่า เขาเองต้องการที่จะชดเชยเวลาที่สูญไป ที่ไม่ได้พูดคำคำนี้ ได้มากพอ เมื่อตอนที่อีกฝ่ายมีโอกาสได้ยินเขาพูดออกจากปาก

“ถ้ายิ้มอีกนิด โลกคงน่าอยู่มากกว่านี้อีกเยอะเลย” กวีรู้ตัวอีกที เขาก็นอนหงายบนโต๊ะไม้นั้น กวีนอนเงยหน้ามองอีกฝ่าย ที่กำลังก้มเขียนอะไรสักอย่างบนกระดาษอย่างขะมักเขม้น โดยไม่ได้มีท่าทีใส่ใจเขาเลยสักนิด ฟ้าด้านบนนั้นเริ่มมืด อีกเดี๋ยวเขาคงต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายต้องกลับไป แม้จะใจหาย แม้จะถูกความเหงาเล่นงาน และถูกความมืดควบคุมให้รู้สึกเดียวดาย

“เอ็งก็รู้ ว่าที่พูดไปทั้งหมดน่ะ ยังไงเจ้านี่ มันก็ไม่ได้ยิน” กวีผุดลุกขึ้นนั่งในทันที ที่ได้ยินอีกเสียงหนึ่งที่เขาคุ้นเคย และจะได้ยินเสียงนี้ เฉพาะเวลาใกล้ค่ำจนถึงก่อนรุ่งสางเท่านั้น “ทำไมตาไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย ตั้งแต่ผมรู้จักตามานี่ มีแต่พูดทับถมกันอยู่ได้” ชายสูงวัยหัวเราะหึในลำคอ ที่ได้ยินไอ้หนุ่มวัยหลานส่งเสียงน้อยใจอยู่ในที ออกมาแบบนั้น

“ข้าก็พูดไปตามความจริง เอ็งมันรับไม่ได้เองต่างหาก” ชายชราชะโงกหน้าดูตัวหนังสือที่อีกฝ่ายเพิ่งเขียนเสร็จ ก่อนจะหันไปมองกวี ที่ทรุดตัวลงนั่งที่ตรงข้ามกับอีกฝ่ายอีกครั้ง “เขาเขียนอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่เข้าใจ ตาบอกผมว่า ผมจะรู้เอง ว่าเขาเขียนอะไร เนี่ยผมพยายามอ่านนะ แต่ก็” กวีทำหน้าท้อไปกับคำพูดของตัวเอง เมื่อมันไม่เห็นว่าจะเป็นไปตามที่ชายชราบอกกับเขาเมื่อก่อนหน้านี้เลยสักนิด

“ถ้าเอ็งอ่านรู้เรื่อง เอ็งจะยอมแลกอะไรบ้าง” เสียงของชายชราผ่านเข้ามาให้กวีได้ยิน เมื่อสายตาของเขากำลังมองอีกฝ่ายเก็บของใส่กระเป๋าเป้ เพื่อเตรียมตัวกลับแล้ว “ทุกอย่าง” กวีตอบออกไป แม้ใจจะรู้สึกว่างโหวงไปหมด เมื่อความเดียวดายกำลังเข้ามาจับจองความรู้สึกที่เขามี “แบบนั้นแล้ว” กวีหันไปมองชายชรา ที่หยุดพูดไปชั่วขณะ เหมือนเตรียมความพร้อมให้กับความคิดของกวี

“โดยที่เอ็งกลับไปเป็นเอ็งคนเดิม คนที่ห่วยบรม คนที่เส็งเคร็ง ไม่เอาไหน ไม่ใส่ใจอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่พาเอ็งมาอยู่ตรงนี้” กวีมองอีกฝ่ายลุกขึ้น ขณะที่ฟังเสียงชายชราพูดออกมา “เอ็งจะแลกมันมั้ย เมื่อตอนนี้ ตรงนี้ เอ็งไม่ใช่คนคนเดิมที่เอ็งเคยเป็น ตอนนี้เอ็งมองเห็นเขา เอ็งรู้สึกอะไร เอ็งก็พูดออกไปตามนั้น ตามที่เอ็งรู้สึกได้เลย เอ็งมาเจอเขาได้โดยที่เอ็งไม่ต้องกังวลว่าใครจะพูดอะไรเกี่ยวกับเอ็งสองคน” กวีมองอีกฝ่ายกำลังออกเดินไปจากตรงนั้น

“แลกกัน” ชายชราพูด “กับการที่เอ็งกลับไปเป็นเอ็งคนเดิม” กวีสบตากับชายชรา “กับเป็นเอ็งในตอนนี้ คนที่รู้ว่าเอ็งจะไม่ทำให้เจ้าหนุ่มนั้นเสียใจอีก” กวีกะพริบตาถี่ ๆ ไล่ความชื้นร้อนผ่าวที่เอ่อท้นขึ้นมาที่ขอบตา “เหมือนที่ตายังอยู่ตรงนี้ ไม่กลับไปเป็นคนเดิม” กวีได้ยินเสียงพูดที่สั่นเครือของตัวเอง ชายชรายิ้มเหงา ๆ ไม่ตอบคำถามของกวี ปล่อยให้เขาได้อยู่กับความคิดของตัวเองแบบนั้น

“โคตรจะเหลือเชื่อเลย” จุนได้ยินประโยคนี้ซ้ำ ๆ ตั้งแต่เช้า มันถือว่าเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ เลยก็ว่าได้ ที่ไม่ว่าใครก็พูดถึงเรื่องนี้ “เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ หมอจะบอกว่าหมดหวังแล้ว ก็สมองกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุขนาดนั้น แต่นี่กลับรอดมาได้ แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เห็นกวีมันเดินขึ้นไปห้องอาจารย์มั้ยล่ะ เดินปร๋อ แม่ง ปาฏิหาริย์ชัด ๆ”

จุนยิ้มออกมา แบบนี้ก็ดีแล้ว เขาบอกกับตัวเอง เมื่อรู้ข่าวดีเกี่ยวกับกวี ที่เขาฟื้นขึ้นจากอาการโคม่า หลังจากที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน โดยที่ไม่มีอาการของคนป่วย ที่เพิ่งผ่านอุบัติเหตุใหญ่อย่างสาหัสสากรรจ์เลยสักนิด โดยที่ทางทีมแพทย์ อาจารย์หมอที่ให้การรักษาเอง ก็ยังให้คำอธิบายไม่ได้ 

“จริงหรือเปล่าไม่รู้นะ จุน” กลุ่มเพื่อนของจุนเองก็พากันพูดถึงเรื่องนี้ “แก ฉันได้ยินมาว่า อันนี้เล่าแล้วเหยียบไว้เลยนะ รู้กันแค่นี้ แค่กลุ่มเรานะเว้ย” เสียงห้ามนั้นสวนทางกับสีหน้าและแววตา ที่อยากจะเล่าให้เรื่องนี้มันขยายเป็นวงกว้างออกไปให้ได้มากที่สุด

“เขาว่ากันว่านะ ครอบครัวของกวีถึงกับลงทุนเล่นของ บนบานศาลกล่าว คุณไสยมนต์ดำ ให้กวีมันกลับมาเหมือนเดิมเลยนะ” จุนได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น ก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกไป ก่อนจะจำได้ว่า เขาควรต้องทำตัวอย่างไร เพื่อนในกลุ่ม เมื่อเห็นว่าจุนทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่พูด ก็เริ่มเล่าเรื่องกันต่ออย่างออกรสออกชาติ

“เรื่องนี้เอ็กซ์คลูซีฟ เรื่องลับวงในเลยแหละ เขาลือกันว่า พ่อกับแม่ของกวีบังคับให้แฟนของกวี แฟนลับ ๆ ที่คบกันมาตั้งแต่ตอนมอปลาย ลงนามสาบานเจ็ดวัดเจ็ดวา ว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับกวีมันอีก ขอเพียงแค่มันกลับมาหายเป็นปกติอีกครั้ง แฟนของมันต้องออกไปจากชีวิตมัน เพื่อให้กวีมันรอด” จุนบีบมือของตัวเองจนเจ็บ ที่ได้ยินอะไรแบบนั้น

ในมือของแม่ของกวี ที่ถือกระดาษแผ่นนั้น ที่ก่อนหน้านี้ เธอแอบดูจุนที่นั่งอยู่ข้างเตียงของลูกชายเธอ เธอลอบฟังจุน ที่มาบอกลากวี ร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่จุนพูด คนเป็นแม่อย่างเธอไม่อยากจะเชื่อ จนเมื่อเธอได้อ่านกระดาษที่จุนยัดมันใส่มือของกวีเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปด้วยน้ำตานองหน้า ของคนที่เสียใจอย่างที่สุดแล้ว ที่ต้องตัดสินใจทำอะไรแบบนี้

“เราปฏิเสธที่จะเขียนคำอาลัยให้เธอนะ เราอยากให้เธอกลับมาเหมือนเดิม แม้ว่าเธอจะจำเราไม่ได้เลยก็ตาม คุณตาที่อยู่กับเธอ บอกกับเราในฝันแบบนี้ ว่าเธอยังมีโอกาสกลับมาได้อีกครั้ง เราเองก็ไม่รู้วิธีว่าต้องทำยังไง เอาเป็นว่า เราจะจดจำเธอเอาไว้แค่ฝ่ายเดียว ขอแค่เธอปลอดภัย เราจะไม่มาเจอเธออีก แค่ขอให้เธอหายดีก็พอ โชคดีนะ แม้ว่าต่อจากนี้ไปเธอจะจำเราไม่ได้ก็ตาม” แม่ของกวีพยายามกลั้นน้ำตา เมื่อสามีของเธออ่านประโยคเหล่านั้นออกมา

“เฮ้ยกวี ไปกินข้าวโรงอาหารกับพวกกูมั้ย ไหวหรือเปล่ามึง” กวีหันไปตามเสียงชวนของเพื่อนในกลุ่ม “ไหวสิวะ กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” กวีตอบกลับเพื่อนไป ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปรวมกลุ่มด้วย “มึงรู้สึกยังไงบ้างวะ” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มถาม “ตอนนี้กูโอเค” กวีตอบกลับเพื่อนไป “แล้วตอนนั้นล่ะ ตอนที่เกิดเรื่อง” เพื่อนถามกลับมาอีกครั้ง “มันเหมือนกับว่า กูหลับแล้วก็ฝันไป” กวีเองก็ไม่รู้ว่าจะเล่าให้เพื่อนฟังยังไงเหมือนกัน

“แต่ตอนนี้ ก็สบายดี พวกมึงไม่ต้องเป็นห่วง” กวีพูดขึ้น ก่อนสายตาจะหันไปมองที่โต๊ะนั่งใต้ตึกตัวนั้น อะไรบาอย่างสะกิดใจเขาให้เดินไปทางโต๊ะตัวนั้น เพื่อน ๆ ในกลุ่มมองตามกวีด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรวะกวี” ต่างถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ก่อนจะเห็นกวีทรุดตัวลงกับพื้น ร้องออกมาด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ภาพอะไรบางอย่างผ่านเข้ามาให้เขาเห็น ชายชราคนหนึ่งกับคำถามที่ย้ำถามเขาว่า เขาจะแลกด้วยอะไร แลกทั้งหมดที่มีเลยหรือไม่

กวีกลับมาถึงบ้าน เมื่อคนรถขับรถไปรับเขากลับมาพัก หลังจากที่เพื่อน ๆ ในกลุ่ม ช่วยโทรหาพ่อและแม่ของเขา กวีขอตัวนอนพักในห้องนอน โดยบอกกับพ่อและแม่ว่า เขาไม่เป็นอะไร และสัญญาว่าจะบอกทันทีที่เขารู้สึกผิดปกติ ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม แลกกันการของอยู่คนเดียวในห้อง โดยไม่ต้องมีใครมานั่งเฝ้า ไม่แม้แต่พยาบาลพิเศษที่พ่อและแม่จ่ายเงินไม่อั้น เพื่อความมั่นใจว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขา จะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

“ไม่มีอะไรดูเลยหรือวะ มีแต่เรื่องอะไรไม่รู้ น่าเบื่อ” กวีกดรีโมททีวีไปเรื่อย ๆ หน้าจอโทรทัศน์มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอน เมื่อเห็นข่าวหนึ่งบนหน้าจอนั้น “คุณตาจากไปด้วยอาการสงบ ทางครอบครัวที่หวังว่าสักวันหนึ่งคุณตาจะฟื้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบกับความผิดหวัง” เสียงของผู้ประกาศข่าวดังมาให้กวีได้ยิน

“โดยได้เล่าว่า ก่อนที่คุณตาจะมีอาการโคม่า จากอุบัติเหตุในไซต์งานที่คุณตาคุมงานอยู่ ที่ตอนนั้นคุณตายังหนุ่มอยู่ คุณตาและคุณยายมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ก่อนที่คุณตาจะหุนหันออกจากบ้านเพื่อไปที่ไซต์งานนั้น เป็นระยะเวลานานมาก ๆ ที่ทางครอบครัวทำทุกวิถึทาง เพื่อให้คุณตายังอยุ่กับพวกเขา จนวาระสุดท้าย ที่คุณตาจากไปอย่างสงบ หลังจากที่คุณยาย คู่ชีวิตของคุณ ได้จากไปเมื่อสองวันก่อน” กวีได้ยินเสียงของชายชราดังแว่วมาจากที่ไหนไกล ๆ สักแห่ง

“ข้าไม่สามารถกลับไปทำร้ายคนที่ข้ารักได้อีก เอ็งทำลง เอ็งก็เลือกเอา แลกเอาเลย ถ้าเอ็งยอม กลับไปเป็นคนโหลยโท่ย เฮงซวยคนเดิมคนนั้นได้อีก สำหรับข้า เขาอาจจะเสียใจ ที่ข้าไม่กลับไป แต่ข้ายังดีใจ ที่ข้าไม่ได้สร้างความเสียใจเรื่องใหม่ให้กับเขาอีก ข้าจะไปของข้าแบบนี้แหละ” อยู่ ๆ กวีก็น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โต๊ะม้านั่งไม้ตัวนั้น ลักยิ้มบนแก้ม กระดาษที่ใครคนนั้นเขียนอะไรบางอย่างลงไป แวบผ่านเข้ามาในโสตประสาท ภาพแล้วภาพเล่า

จุนเดินตามเพื่อนในกลุ่มไปช้า ๆ เขาเดินคล้อยหลังมาสักหน่อย เพราะไม่อยากร่วมวงสนทนากับเรื่องของกวี ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในกลุ่มเพื่อน และรวมถึงคนทั้งมหาวิทยาลัย จุนบอกกับตัวเองเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้อีก ถึงแม้ว่ามันจะยากเย็นมากก็แค่ไหนก็ตาม อีกเพียงไม่เท่าไหร่ การเรียนปีสี่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็จะจบลง และการแยกย้ายก็จะเกิดขึ้น เพื่อทุกอย่างจะได้จบลงอย่างสมบูรณ์

“นอกจากมันจะดูแข็งแรงแล้ว” เพื่อนในกลุ่มพูดขึ้น จุนมองตามไป เมื่อเห็นกวีกำลังเดินสวนมา “มันยังเรียนตามเพื่อนได้ทัน แถมยังแม่นมาก อาจารย์ถามอะไรมันก็ตอบได้หมด ยังกับมันมานั่งเรียนด้วยกันกับพวกเรางั้นแหละ” จุนแอบยิ้มไม่ให้ใครเห็น เมื่อนึกถึงตอนที่เขานั่งอ่านหนังสือออกเสียง กับวิชาที่เพิ่งเรียนมา ทุก ๆ เย็น ในทุก ๆ วัน จุนก้มหน้างุด เมื่อกวีเดินผ่านสวนกับเขาพอดี

“นี่ใจคอจะไม่ทักกันจริง ๆ น่ะหรือ” จุนตกใจกับคำทักทายของกวีแบบนั้น และยิ่งตกใจกว่าเดิม เมื่อกวีเดินถอยหลังเพื่อมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างหน้าเขา เพื่อน ๆ ของจุนต่างพากันมองหน้ากันไปมา ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น “จริง ๆ เธอก็ไม่ควรเชื่ออะไรตาแก่ เอ๊ย คุณตานั่นไปเสียทุกอย่างนะ” กวีมองแววตาที่ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ ทั้งสับสนไปหมดของจุน แล้วก็ต้องหัวเราะออกมา

“ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ทำหน้าดุ ทำหน้าจริงจัง” จุนกลืนน้ำลายลงคอด้วยอาการของคนไม่ตั้งตัว “แล้วจะเห็นลักยิ้มได้ยังไง” เมื่อกวียื่นมือมาข้างหน้า แล้วเอานิ้วจิ้มลงที่แก้มของจุน ท่ามกลางอาการเหวอของเพื่อนทั้งกลุ่มของจุน “เธอไม่ควรทำแบบนี้” จุนพูดออกไปจนได้ นึกถึงความปลอดภัยของกวีเป็นสำคัญ “เราเป็นคนจำได้เอง เราเป็นคนทักเธอก่อนเอง เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ไม่พูดเปล่ากวีก้มหน้าเข้าหาจุน จูบลงที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายในทันที

“คุณตาอาจจะไม่กล้ากลับไปหาคุณยายอีก เพราะกลัวจะทำผิดซ้ำเดิมอีก” เพื่อน ๆ ของจุนต่างยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงหวีดนั้นไม่ให้ออกมา เมื่อพอปะติดปะต่อเรื่องได้ ว่าตัวซีเคร็ทของเรื่องนี้ ที่ทุกคนสงสัยและตามหา อยู่ไม่ไกลนี่เอง “ขอนะ” กวีจูบซ้ำลงที่เดิม แม้ว่าจุนจะทำท่าขัดขืน “จะอยู่ทำแบบนี้ แบบไม่กลัวว่าใครจะคิดยังไง ไม่กลัวว่าที่บ้านจะกีดกันหรือไม่” จุนต้องใช้มือยันแผงอกกว้างของกวีเอาไว้

“จะบอกว่าน่ารัก ให้จุนได้ยินจากปากเรา ไอ้ที่เขียนด่าเราว่าไอ้ผีบ้านั่น ตกลงจุนเห็นเรามาตลอด แต่ตาแก่นั่นบอกให้ทำเป็นไม่เห็นสินะ” กวีดึงตัวจุนเข้ามากอดอยู่ในอ้อมแขน ไม่กลัวเลยสักนิด เมื่อเห็นว่ามีใครหลายต่อหลายคนยกกล้องมือถือขึ้นถ่ายทั้งรูปทั้งคลิป “เสียสละเพื่อเรามากเกินพอแล้วนะ ให้เราทำเพื่อจุนบ้างต่อจากนี้” จุนร้องไห้ออกมา ใจอยากจะใช้มือผลักอีกฝ่ายให้ออกไป แต่อ้อมกอดนี้ ก็แสนจะอบอุ่นเหลือเกิน



**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ตามใจ - Follow Follow

fellow fellow - ตามใจ [LIVE SESSION]


ถ้าเธอกำลังเดินทางไปไกลแสนไกล

If you’re on a journey to a place far away,

ในคืนบางคืนที่ฟ้าไม่มีแสงใด

In those nights where there’s nothing but darkness

มันจะมีดาวดวงนึง

There’s just this one star

ที่ยังอยู่ตรงนั้น ให้ตามไป

To be there for you to follow


ถ้าเธอยังคงไม่รู้รักเป็นเช่นไร

If you still don’t know what love is,

และถ้าเธอยังคงกลัวว่ารักได้ไหม

Though you’re still afraid whether you should fall in love

ทำไมเธอไม่ลองฟังเสียงหัวใจ

Why don’t you listen to your heart?

แล้วไปตามนั้น

And then, you follow through


ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไรกว่าที่ฉันได้เจอเธอ

It’s been such a long time until I’ve found you

จากตอนนี้ จากตรงนี้ กับเวลาทุกนาที

From now and here on out, with every minute spent

อย่าเสียมันไปอีกเลย

Don’t we waste it ever again


ใช่ฉัน ใช่ฉันบ้างหรือเปล่า

Is it me? Is it me all along?

คล้ายคนที่รอบ้างหรือเปล่า

Am I close to that guy you’re longing for?

คนที่เธออยากใช้คำว่าเรา

The one you want to call us we

คนที่เธออธิษฐานให้ได้เจอ

The one you wish to come true


ถ้าใจของเธอมีคำตอบ

If there’s already an answer in your heart

ใช้ใจนำทางก็พอ

Let your heart guide you now

ถ้าฉันคือคนที่เธอเฝ้ารอ

If I am the one you’re waiting for

รู้ไว้เลย ฉันก็รอแค่เธอเหมือนกัน

Now you know, you are the only one I long for too


ให้ความรักเป็นเข็มทิศที่จะนำทางไป

Allow love to be the compass guiding us through

ให้เวลาบอกเธอเองว่าต้องการอะไร

Let the time tell you what you really need

ให้ใจเธอได้ลองรักแค่สักครั้งได้ไหม

Then show your heart to feel free to love just once


ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไรกว่าที่ฉันได้เจอเธอ

It’s been such a long time until I’ve found you

จากตอนนี้ จากตรงนี้ กับเวลาทุกนาที

From now and here on out, with every minute spent

อย่าเสียมันไปอีกเลย

Don’t we waste it ever again


ใช่ฉัน ใช่ฉันบ้างหรือเปล่า

Is it me? Is it me all along?

คล้ายคนที่รอบ้างหรือเปล่า

Am I close to that guy you’re longing for?

คนที่เธออยากใช้คำว่าเรา

The one you want to call us we

คนที่เธออธิษฐานให้ได้เจอ

The one you wish to come true


ถ้าใจของเธอมีคำตอบ

If there’s an answer already in your heart

ใช้ใจนำทางก็พอ

Let your heart guide you now

ถ้าฉันคือคนที่เธอเฝ้ารอ

If I am the one you’re waiting for

รู้ไว้เลย ฉันก็รอแค่เธอเหมือนกัน

Now you know, you are the only one I long for too


ให้ฉันเป็นคนนั้น

Let me be the one 

คนนั้น คนนั้น คนนั้น คนนั้น

Be that one, the only one for you


ใช่ฉัน ใช่ฉันบ้างหรือเปล่า

Is it me? Is it me all along?

คล้ายคนที่รอบ้างหรือเปล่า

Am I close to that guy you’re longing for?

คนที่เธออยากใช้คำว่าเรา

The one you want to call us we

คนที่เธออธิษฐานให้ได้เจอ

The one you wish to come true


ถ้าใจของเธอมีคำตอบ

If there’s an answer already in your heart

ใช้ใจนำทางก็พอ

Let your heart guide you now

ถ้าฉันคือคนที่เธอเฝ้ารอ

If I am the one you’re waiting for

รู้ไว้เลย ฉันก็รอแค่เธอเหมือนกัน

Now you know, you are the only one I long for too


ให้ฉันเป็นคนนั้น

Let me be the one 

คนนั้น คนนั้น คนนั้น คนนั้น

Be that one, the only one for you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

“ทำไมถึงได้ทำทุกอย่าง ให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตบานปลาย ขึ้นมาจนได้แบบนี้” คนที่ถูกต่อว่า ถึงกับหันขวับไปมองต้นเสียงในทันที สายตาที่ใช้มองไปที่อีกฝ่าย แสดงถึงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดมาเสมอว่า ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่โตมากแค่ไหน แต่ด้วยความที่มันคือคนสองคนอยู่ด้วยกัน ต่างจะเป็นคนสุดท้าย ที่จะพูดกล่าวโทษกัน


“ที่พูดนี่คิดแล้วใช่มั้ยฮะ” เสียงถามนั้นไม่เก็บกักอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “ตกลงคือพัชใช่มั้ยที่เป็นคนผิด” ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่ไม่ปิดบังใด ๆ เลย ถึงความเดือดดาล ที่กำลังถูกต่อว่าต่อขานว่า เป็นคนผิดยังไม่พอ แถมยังทำให้เรื่องมันเลยเถิด จนมันอาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีก


“ก็ถ้าพัชไม่พูดอะไรแบบนั้นกับแม่ไป แค่เออ ๆ ออ ๆ ปล่อยผ่าน แม่เขาจะพูดอะไรก็ให้เขาพูดไป หรือไม่ก็เดินหนี อะไรก็ได้น่ะ ที่มันจะทำให้ไม่เกิดเรื่อง ไม่ต้องต่อล้อต่อเถียง มีปากมีเสียงกัน อะไรก็ได้น่ะ ทำไมถึงไม่ทำ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่พัชจับความรู้สึกได้ นั่นคือความเอือมระอากับเรื่องเหล่านี้มากเช่นกัน


“ใช่สิ นี่แม่ของตั้นนี่ มันก็ต้องแบบนี้สินะ” พัชพูดด้วยความรู้สึกที่ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บแปลบ “ต่อให้แม่ของตั้นจะพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกของพัชเท่าไหร่ยังไง พัชก็ต้องทน ทำไมตั้นไม่ไปบอกแม่ของตัวเองบ้างล่ะว่า เลิกพูดจาอะไรเลอะเทอะ งี่เง่า เลิกยุ่งวุ่นวาย เลิกทำตัวสร้างปัญหาเสียที” พัชพูดตอบกลับตั้นไป จนเกือบจะเป็นการตะโกนใส่หน้ากัน


“นี่พัชกำลังว่าแม่ของตั้นอยู่นะ” เห็นได้ชัดว่า ผู้เป็นลูกอย่างตั้น กำลังสะกดอารมณ์ได้อย่างยากเย็นเช่นกัน “เพิ่งรู้ตัวหรือไง ทำไมความรู้สึกช้าจังเลย” เกือบจะกายเป็นการยียวน กวนให้อารมณ์ขุ่นข้องกันมากเข้าไปใหญ่ ที่ยิ่งพูด พัชก็ไม่มีท่าทีจะลดราวาศอกลงแต่อย่างใด


“ตั้นเคยเห็นแม่ของพัชสร้างปัญหาอะไรให้กับชีวิตคู่ของเรามั้ยล่ะ ไม่ใช่มั้ย” พัชพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะอย่างจงใจ “ก็แม่ของพัช” ตั้นพูดมาได้แค่นั้น “ใช่ เพราะแม่ของพัชไม่อยู่แล้ว เลยไม่เคยสร้างเรื่องสร้างราว ไม่ก่อความวุ่นวาย ใช่ นี่แหละประเด็นสำคัญ” พัชแทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อต้องการให้ตั้นเข้าใจในประเด็นที่พูด


“พัชหมายความว่า จะให้แม่ตั้นตายเหมือนกับแม่ของพัชใช่มั้ย” ตั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน แทนคำตอบ พัชปรบมือหนึ่งครั้งเสียงดังลั่นใส่หน้าตั้น “แม่พัชถึงได้ไม่เคยสาระแนเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเราเลยสักครั้งไง เข้าใจได้ไม่ยากนะ เอาจริง ๆ” พัชพูดไปจ้องตากับตั้นไปแบบไม่ยอมลดละ


“สาระแน” ปลายเสียงของตั้น มันแสดงถึงความรู้สึกผิดหวังกับการเลือกใช้คำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน “ตกลงจะพูดแบบนี้กันจริง ๆ ใช่มั้ย” ตั้นถามพัชด้วยท่าทีที่อ่อนลง แต่มันไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ แต่ด้วยความเสียใจ ที่ถูกคนที่รักทำร้ายความรู้สึกอย่างที่สุด โดยที่อีกฝ่ายตั้งใจให้เขารู้สึกแย่แบบนี้


“แล้วที่เคยพูดมาดี ๆ เคยอธิบายไปให้ตายก็เสียเปล่า มันเคยได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้างล่ะ” พัชยังคงน้ำเสียงที่แสดงออกว่า ตัวเองกำลังอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย และแสดงอำนาจออกมาอย่างไม่ยี่หระ ว่าตั้นจะรู้สึกอย่างไรแล้วในตอนนี้


อยากจะปฏิเสธแทบตาย พัชพูดกับตัวเอง แต่สุดท้าย ในที่สุดก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่บ้านตั้นจนได้ ทั้ง ๆ ที่พยายามจะบ่ายเบี่ยง พูดหลีกเลี่ยงต่าง ๆ ไปสารพัด แต่แล้วก็ต้องมานั่งแกร่วอยู่ในห้องรับแขกที่แสนจะน่าเบื่อแบบนี้ โดยที่แม่ของตั้น ก็ทำหน้าตาแบบบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลา


“เธอไม่มีที่ไหนจะไป หรือจะไปทำอะไรบ้างหรือไง” แม่ของตั้นพูดขึ้น จงใจจะส่งสารไปถึงพัช แต่ดวงตากลับมองไปทางอื่น “คุณแม่จะเอาคำตอบจริง ๆ หรือคำตอบแบบรักษามารยาทดีล่ะครับ” พัชที่ถอนหายใจแบบไม่เกรงใจอีกฝ่าย ตอบกลับไป


“มารยาทมันก็เป็นสมบัติของผู้ดีที่เขามีกันล่ะนะ” พัชเบะปากทันทีที่ได้ยินแม่ของตั้นพูดแบบนั้น “แต่ฉันกพอจะเข้าใจคนอย่างพวกเธออยู่บ้าง ว่าเมื่อต้นกำเนิดมันไม่ดี ผลที่ได้ มันก็คงจะไม่สามารถดีไปกว่าต้นทาง ถ้าเธอจะไม่เข้าใจเรื่องอะไรแบบนี้ อาจจะขาดการอบรม อาจจะขาดบุพการีสั่งสอน” คนเรามีปมที่ถ้าถูกจี้ได้ถูกจุดแล้วละก็


“มันก็ไม่แน่นะครับคุณแม่ บุพการีบางคนถึงอยู่สอน ก็ไม่ได้สอนอะไรที่เป็นประโยชน์ เกิดแต่โทษ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไมเหมือนกัน ให้เปลืองข้าว เปลืองน้ำ เปลืองอากาศ” พัชพูดแบบที่หันหน้าไปเผชิญกับแม่ของตั้นตรง ๆ และนั่นก็ทำให้ผู้สูงวัยกว่า หันมามองพัชด้วยสายตาที่จงเกลียดจงชัง


“ฉันไม่แปลกใจที่เธอจะเป็นประเภทที่ขุนเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อง ล้างน้ำเท่าไหร่ก็ไม่สะอาด เปลืองด่างเปลืองกรด ไม่มีทางที่จะลบกลิ่น ลบรอย ลบความด่างพร้อยที่มีอยู่รอบตัวลงไปได้” แม่ของตั้นมองหน้าของพัชอย่างชิงชัง พัชนั้นมองตอบจ้องกลับไป ไม่หลบสายตา


“นี่คุณแม่กำลังด่าตั้น ลูกชายของตัวเองอยู่นะครับ ว่าทำไมถึงได้กินไม่เลือก” พัชพูดไปหัวเราะคิกคักไป “แถมยังกินบ่อย กินนาน กินไม่ยอมอิ่ม เดี๋ยวเติม เดี๋ยวตัก เดี๋ยวขออีกอยู่แบบนั้น” พัชต้องการให้แม่ของตั้นโกรธจนควันออกหูมากกว่านี้อีก


“อย่าลืมสิครับ ว่าพัชคือลูกสะใภ้ของคุณแม่ที่ตั้นเลือก” พัชเลือกจี้จุดที่แม่ของตั้นมีปมอยู่เช่นกัน “ฉันไม่เคยรับว่าเธอเป็นลูกสะใภ้อะไรนั่น เธอมันเป็นผู้ชาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก เธอมันเป็นกะเทย ที่วันหนึ่งลูกชายของฉันจะตาสว่าง มองเห็นเพชรแท้ แล้วเขวี้ยงกรวดที่ถืออยู่ในมืออย่างเธอทิ้งไป” แม่ของตั้นพูดไป ตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ


“คุณแม่นี่ก็พูดไปเรื่อย เพ้อมากขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ถ้าจะมีใครเป็นกรวด มันก็เป็นกรวดเป็นหิน กันทั้งคู่นั่นแหละ ไม่ได้สูงส่งไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะลูกชายคุณแม่ เลือกสถานที่กินเสียที่ไหน ซาวน่าเกย์น่ะคุณแม่ รู้จักมั้ย รู้มั้ยว่าลูกชายคุณแม่ ก็ถือว่าเป็นดาวซาวน่าเกย์ใช่ย่อย แค่ยกระดับหน่อย ตรงที่มันเรียกว่าออนเซน แถมเจอกันกับพัชครั้งแรก ตั้นก็กินจนมูมมาม” ไหน ๆ ก็จะตอบโต้กันแล้ว พัชก็คิดว่า เขาจะเปิดโลกการเรียนรู้ของผู้เป็นแม่คนนี้ เกี่ยวกับลูกชายตัวเองสักหน่อย


“อีบ้า” แม่ของตั้นด่าพัช “อีกะเทยบ้า อีชั่ว” แต่พัชก็ไม่ได้แสดงอาการยี่หระแต่อย่างใด “เออ กะเทยก็กะเทย แล้วก็ให้รู้เอาไว้เลยนะ ว่าลูกชายคุณแม่ชอบบริโภคกะเทย จะพูดเกย์ จะเรียก LGBTQ เมมน้อย ๆ อย่างคุณแม่ ก็ไม่กระดิก ไม่รู้จักอีก เนี่ย ตั้นชอบกินกะเทยอย่างพัชเนี่ย ชอบมาก สะกิดตลอด ตั้งแต่ยังใช้ถุงยาง จนเดี๋ยวนี้เสียบสด แถมปล่อยในอีกต่างหาก” พัชทำท่าป้องปากตอนพูด เพื่อต้องการให้แม่ของตั้นได้ยินชัด ๆ


“แล้วนี่อย่าคิดว่าไม่รู้นะ ว่าคุณแม่เที่ยวไปหาผู้หญิงจะมาให้ตั้นแต่งงานด้วย ทำไมถึงได้กล้าจะทำให้ลูกของตัวเองทำผิดศีลธรรม หน้าด้านหน้าทน ให้ลูกชายของตัวเองทำตัวนอกใจคนรักของตัวเอง ชั่ว ยังเป็นคำพูดที่เบาไปเลยนะคุณแม่ เนี่ย สะกดเป็นมั้ยคำว่าชั่ว คำว่าเลว ทำไมถึงกล้าที่จะให้ลูกชายทำตัวระยำแบบนั้นล่ะคุณแม่” เสียงแม่ของตั้น กรีดร้องใส่หน้าของพัช ว่าคนอย่างพัชไม่มัวันเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่อย่างเธอ ไม่มีวัน


บ้านทั้งบ้านเงียบสนิท จริง ๆ บ้านที่ถูกใช้เป็นเรือนหอหลังนี้ ถึงมันจะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ แต่มันก็ไม่ถึงกับเงียบเชียบขนาดนี้ แปลกแต่จริงที่คืนนี้บ้านทั้งหลังเงียบงัน แถมยังดูกว้างเกินไปเสียด้วยซ้ำ ภายในห้องนอน คนสองคนที่เป็นคนรักของกัน นอนหันหลังให้แก่กัน ความเงียบคือเสียงที่ดังที่สุด ที่ทั้งสองคนตะโกนใส่กัน


พัชยังคงนอนลืมตาโพลง หันหน้าไปทางหน้าต่าง ที่มีผ้าม่านบาง ๆ กั้นแสงจากภายนอกเอาไว้ เมื่อรับรู้ว่า ตั้นลุกออกจากเตียงนอนไปพร้อมหมอนหนุน เพื่อออกไปนอนที่โซฟาเบดในห้องนั่งเล่น แสงจันทร์สลัวจากภายนอกหน้าต่าง กระทบกับรอยหยาดน้ำตาที่ไหนลงนองหน้าของพัช ในขณะที่ตั้นได้แต่กลั้นเสียงสะอื้นไห้ ให้เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


****************************************


คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เข้าใจที่ไม่เข้าใจ - ลุลา

https://www.youtube.com/watch?v=AreNZTmFbnM



เคยสงสัยว่าเรื่องของเรา อยู่อยู่มันเกิดอะไร

I wondered what really happened between us

คนรักกัน เปลี่ยนเป็นไม่รักกัน มันเป็นไปได้ยังไง

We were pretty much in love, now we’re not, how could it be?

ไม่เข้าใจ ฉันดีไม่พอ หรือฉันนั้นขาดอะไร

Don’t get it, am I not good enough? What am I missing here?

มีเรื่องราว และเหตุผลมากมาย ที่ฉันยังไม่รู้ใช่ไหม

There’re so many things and reasons that I’m still blindsided, right?


แต่ยิ่งฉันค้นยิ่งพยายาม

The more I try to figure it out

มันก็ยิ่งชัดในความเลือนลาง

The brighter it gets in that shadow

เธอได้สอนให้ฉันได้รู้

You taught me to realize


เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่ต้องไปเข้าใจ

I know now that something isn’t meant to be understood

เข้าใจว่าเธอไม่รักก็คือไม่รักไง

Knowing now that you don’t love me, that’s what it is

อย่างที่ฉันยังเคยรัก เธอวันแรกที่เจอกัน

Just like I fell in love with you the very first day we met

ฉันยังไม่เข้าใจตัวเองวันนั้นเลย

I didn’t get that either about myself
 

เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่มีทางเข้าใจ

I know that somehow, we don’t get all we question

ถ้าหากเธอเลือกจะไป ก็ห้ามกันไม่ได้

If you choose to leave, that is inevitable

ไม่ต้องหาหรอกเหตุผล กับใจคนที่เปลี่ยนไป

No need to explain what makes sense, with someone whose mind is changed

ต่อให้รู้ว่าทำไมเธอไม่รักกัน

Though I find out why you don’t love me anymore

เธอก็ไม่กลับมา

You will never come back anyway


แต่ยิ่งฉันค้นยิ่งพยายาม

The more I try to figure it out

มันก็ยิ่งชัดในความเลือนลาง

The brighter it gets in that shadow

เธอได้สอนให้ฉันได้รู้

You taught me to realize


คำพูดที่ชัดเจนในเมื่อวาน

Clear promises from the other days

ว่าเราจะรักกันนานเท่านาน

That we would love till death do us part

มันไม่หลงเหลือความหมายอะไรอีกแล้ว

There’s no meaning that is now left


เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่ต้องไปเข้าใจ

I know now that something isn’t meant to be understood

เข้าใจว่าเธอไม่รักก็คือไม่รักไง

Knowing now that you don’t love me, that’s what it is

อย่างที่ฉันยังเคยรัก เธอวันแรกที่เจอกัน

Just like I fell in love with you the very first day we met

ฉันยังไม่เข้าใจตัวเองวันนั้นเลย

I didn’t get that either about myself


เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่มีทางเข้าใจ

I know that somehow, we don’t get all we question

ถ้าหากเธอเลือกจะไป ก็ห้ามกันไม่ได้

If you choose to leave, that is inevitable

ไม่ต้องหาหรอกเหตุผล กับใจคนที่เปลี่ยนไป

No need to explain what makes sense, with someone whose mind is changed

ต่อให้รู้ว่าทำไมเธอไม่รักกัน

Though I find out why you don’t love me anymore

เธอก็ไม่กลับมา

You will never come back anyway


ต่อให้รู้ว่าทำไมเธอไม่รักกัน

I may know why you no longer love me

เธอก็ไม่กลับมา

You won’t come back no more

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

“ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้” เสียงนั้นถามซ้ำ ๆ หลายต่อหลายครั้ง จนพัชรู้สึกหงุดหงิดจนต้องเบือนหน้าหนี จะมีใครที่รู้ดีไปกว่าตัวของพัชเอง การจะมาถามว่าทำไม เพราะอะไรพัชถึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ มันยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับเขามากขึ้นไปอีก



สิ่งที่พัชอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือการตะโกนออกไปดัง ๆ ให้สุดเสียง ให้ดังเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ตะโกนให้เสียงของตัวเองกลบเสียงของคนอื่น ไม่ให้เขาต้องได้ยินคำถามบ้า ๆ พวกนั้นอีกต่อไป คิดถึงตรงนี้แล้วพัชก็แน่ใจว่า ได้ยินเสียงตะโกนกรีดร้องจนสุดเสียงของตัวเอง ที่มันดังมากที่สุด เท่าที่พัชเคยได้ยินตัวเองร้องออกมา



พัชลืมตาขึ้น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อให้ตัวเองรับรู้ว่า ตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ที่ไหน แสงจากด้านนอกหน้าต่างลอดผ่านรอยตรงกลางระหว่างผ้าม่านหน้าต่างเข้ามา พัชรู้แล้วว่าเขาฝันไป มันเป็นฝันประหลาดอีกครั้งที่เกิดขึ้นในรอบหลายวันมานี้ จนพัชเองก็กลัวว่า เขาอาจจะต้องกลับไปหาจิตแพทย์อีกครั้ง หลังจากที่ไม่จำเป็นต้องไปมาสักพักใหญ่แล้ว



พัชลุกขึ้นจากที่นอน ก่อนจะต้องรีบหันมองไปรอบ ๆ ห้องนอนที่ตัวเองยืนอยู่ ก่อนจะต้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าห้องนอนห้องนี้ คือห้องที่บ้านเก่า ที่พัชเคยอยู่กับตั้น พัชรีบกวาดสายตาดูไปจนรอบห้องอีกครั้ง ไม่ผิดแน่ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ในเมื่อเขาย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วนี่นา



พัชต้องรีบสำรวจตัวเอง ถามตัวเองในทันทีว่า เมื่อคืนไปทำอะไรมา ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ พัชรีบทบทวนความทรงจำ ใช่ เมื่อคืนเขาออกไปสังสรรค์ ไปดื่มกับเพื่อนที่บาร์แห่งหนึ่งหลังเลิกงาน หลังจากที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวยามค่ำคืนแบบนั้น มาเป็นเวลานานแล้ว โดยที่ต้องสรรหาข้ออ้างต่าง ๆ นานา ในทุกครั้งที่เพื่อนเอ่ยปากชวน



“เมื่อคืนดื่มจนเมาขนาดนั้นเลยหรือ ไม่นี่นา” พัชพูดออกมาดัง ๆ เพื่อให้ตัวเองได้ยิน เพื่อเช็คดูว่า เขาไม่ได้กำลังคิดไปเอง และตัวเองก็กำลังตื่นอยู่ ก่อนจะมองไปที่ประตูห้อง ที่ดูเหมือนว่าจะแง้มเอาไว้เล็กน้อย เสียงคุยกันของหลายคนดังลอดเข้ามาในห้อง ให้ได้ยินเบา ๆ แต่จับใจความไม่ได้ว่าคุยกันเรื่องอะไร



พัชค่อย ๆ แง้มประตูห้องนอนให้เปิดกว้างออกอีกนิด เพื่อให้ตัวเองสามารถมองออกไปด้านนอกได้ มันคือบ้านเก่าที่พัชเคยอยู่กับตั้นจริง ๆ ด้วย ตายล่ะ พัชคิด มีคนอยู่ข้างนอกหลายคนด้วย หนึ่งเสียงที่พัชจำได้แน่นอนก็คือตั้น แต่ตั้นกำลังคุยกับใครอยู่ในตอนนี้



“เป็นไงเป็นกัน” พัชบอกกับตัวเอง ก่อนจะกลั้นใจ เปิดประตูออกไป เป็นไงเป็นกัน อย่างแย่ที่สุดก็คงแค่โดนตำหนิอย่างเช่นที่ผ่าน ๆ มา แต่ก็ไม่เป็นไร พัชคิดถึงสิ่งที่เขาจะทำ ก็แค่ออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น เพราะมันคงไม่มีอะไรเหลือให้ต้องอายมากไปกว่านี้อีกแล้ว



“ตื่นแล้วหรือครับ” พัชมองไปทางต้นเสียง เจ้าของคำถามนั้น “หิวมั้ย เมื่อคืนกว่าจะได้นอน ก็อ้วกออกมาเกือบหมด” ตั้นถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง นานแล้วสินะ ที่พัชไม่ได้เห็นตั้นยิ้มแบบนี้ อะไรกัน ทำไมตั้นยังคงยิ้มให้กับเขาได้อยู่ หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมด



“ดูซูบไปนะเรา” พัชรีบหันไปมองต้นเสียงอีกคนที่พูดกับเขา “เดือนแรก ๆ ก็แบบนี้แหละ แต่เดี๋ยวก็จะดีขึ้น” พัชถึงกับอึ้ง เมื่อแม่ของตั้นพูดกับเขาแบบนั้น “ตั้นไปช่วยพยุงพัชมานั่งก่อน” แม่ของตั้นบอกกับลูกชาย “เดินดี ๆ นะ ระวังหกล้ม พัชยิ่งดื้อกับตั้น ถ้าเป็นเรื่องนี้” เสียงของตั้นดุพัช แต่ก็เป็นไปในแบบไม่จริงจังนัก



“เมื่อคืนพัชอาจจะเมามาก ยังไงต้องขอโทษทุกคนด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมานอนค้างที่นี่ได้” พัชพูดเร็วปรื๋อ เมื่อมานั่งที่โซฟาเบดตัวเก่า ตัวที่ทั้งนั่งและนอนดูทีวีกับตั้นมาเป็นปี ๆ “ท้องแรกหรือคะ ยังดูไม่ออกเท่าไหร่” เสียงจากอีกคน ที่พัชจำได้ว่า เป็นเพื่อนที่มาจากสมาคมอะไรสักอย่าง ที่แม่ของตั้นเป็นสมาชิกอยู่



“ยินดีด้วยนะคะ อีกไม่นานก็จะได้อุ้มหลานย่าแล้ว” พัชกลอกตาแบบว่า ทำไมเขาต้องมานั่งฟังเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย ถ้าจะดีใจ ว่าตั้นจะมีลูก กับใครก็ตามที่แม่ของเขาจับแต่งงานด้วย ก็ช่วยแสดงความยินดีกัน ตอนที่เขาไม่ได้นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ได้มั้ย



“โน่นค่ะ คนเป็นพ่อนั่นต่างหาก ที่เห่อลูกมากกว่าใครทั้งหมด” พัชกำลังจะกลอกตาซ้ำ ที่แม่ของตั้นพูดออกมาแบบนั้น ถ้าไม่เห็นว่า ตั้นเอามือมาวางไว้ที่บนท้องของพัชแบบนั้น “ท้องสาว ทั้งดื้อ ทั้งแพ้ หมายถึงผมนะครับ” พัชมองหน้าตั้นแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน



“น่ารักเชียว โบราณเขาว่าเอาไว้ แพ้ท้องแทนเมีย อย่างนี้ก็ครองคู่กันแบบ ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร” เพื่อนของแม่ตั้นพูดด้วยแววตาเอ็นดูตั้นกับพัช “เขาแพ้ท้อง ผมแพ้ยิ่งกว่า เมื่อคืนเขาก็แพ้หนักมาก ผมเองก็หมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว” ตั้นพูดพลางหัวเราะเขิน ๆ ให้กับสิ่งที่ตัวเองเล่า



“เดี๋ยวนะ ใครท้อง” พัชกำลังคิดว่า ตั้นกำลังเล่นตลกอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่เมื่อเห็นแม่ของตั้น รวมทั้งเพื่อนของแม่ก็ด้วย สามคนร่วมกันรวมหัวกันปั้นเรื่องอะไรกันอยู่ “สามเดือนแรก ก็หนักหน่อย แต่เดี๋ยวก็จะดีขึ้น คุณพ่อก็ดูแลคุณแม่ดี ๆ” ไม่ไหวแล้ว ทุกคนกำลังทำให้พัชรู้สึกปวดประสาท



“เดี๋ยวเลย พอเลย ทุกคนต้องหยุดเดี๋ยวนี้” พัชลุกพรวดขึ้นจากโซฟาเบด ตั้นถึงกับตกใจ รีบลุกขึ้นยืนตามเพื่อประคองตัวของพัช “เอ๊ะ พัชนี่ ตั้นบอกแล้วไง ให้ระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าดื้อกับตั้นให้มากนักเลยนะ ตั้นเป็นห่วงพัชกับลูกมากแค่ไหน พัชก็รู้นี่” พัชมองเข้าไปในแววตาของตั้น ตั้งแต่รู้จักและอยู่ด้วยกันมา ใช่ ตั้นไม่เคยพูดจาล้อเล่นอะไรแบบนี้



“หมอก็เตือนมาแล้ว ว่าพัชอาจจะมีภาวะปฏิเสธการตั้งครรภ์ อาจจะด้วยความที่เพิ่งเคยท้องเป็นครั้งแรก คงเป็นแค่ความตกใจ แค่ความกังวลของคุณแม่มือใหม่ แต่ไม่เป็นไรนะ” ตั้นพูดบอกกับพัช ก่อนจะดึงตัวของพัชเข้าไปกอด พัชรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้างในทันที



“เรามีกันสามคนแล้วนะ” ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดหรือน้ำเสียงของตั้นเท่านั้น ที่ทำให้พัชคิดถึงความอบอุ่นนี้ แต่อ้อมกอดของตั้น ที่มันทำให้พัชรู้สึกปลอดภัยนี่ต่างหาก ที่ทำให้พัชอดเอาไว้ไม่ไหว กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่



“ร้องไห้เป็นเด็กเลย ดูสิ ร้องใหญ่เลยทีนี้” แม่ของตั้นหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องร้องนะครับ” ตั้นใช้มือเช็ดน้ำตาให้ออกจากใบหน้าของพัช “ตั้นอยู่ตรงนี้แล้ว จะกอดพัชและลูกเอาไว้แบบนี้ตลอดไป” ยิ่งพูดปลอบ แต่ก็เหมือนกับยิ่งทำให้ เขื่อนที่กักเก็บน้ำเอาไว้จนปริ่ม เอ่อท้น ทะลักทลายลงมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่



“ที่ร้องไห้นี่ เพราะไม่อยากจะกินยาใช่มั้ยเนี่ย” ตั้นพูด พลางดึงมือของพัชให้กลับลงมานั่งที่โซฟาเบดตัวเก่านั้นอีกครั้ง “มาเลย ได้เวลากินยาบำรุงแล้ว” ตั้นหันไปหยิบถุงกระดาษที่เขียนชื่อโรงพยาบาลที่ด้านข้างมาจากโต๊ะกาแฟด้านหน้า ก่อนจะดึงเอากระดาษเช็ดหน้า มาซับน้ำตาให้พัชจนแห้ง พัชที่พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองดูสิ่งที่ตั้นทำให้



“อันนี้ยาบำรุงครรภ์” พัชได้ยินที่ตั้นพูด สายตามองไปที่ซองยาในมือของอีกฝ่าย มันระบุชื่อ เขียนชื่อของพัชเอาไว้อย่างชัดเจน ตอนนี้นอกจากพัชจะสับสนเรื่องที่อยู่ ๆ ก็ตื่นมาเจอเรื่องราวอะไรแบบนี้ ท่ามกลางคนที่กลายเป็นอดีตในชีวิตไปหมดแล้ว แต่โรงพยาบาลที่ระบุชื่อเขาลงไปเป็นคนไข้นี่สิ แถมยังจะเป็นแผนกที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ด้วย



เดี๋ยวนะ พัชเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เขาตั้งท้องเนี่ยนะ ไวเท่าความคิด พัชก้มลงมองที่ท้องตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตั้น ที่ถือยาบำรุงและแก้วน้ำรออยู่แล้ว อย่างที่ไม่ยอมให้พัชเบี้ยวไม่ยอมกินอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อตั้นส่งสายตาดุ ๆ มาแบบนั้น พัชลังเลที่จะกิน แต่คิดว่า มันคงเหมือนกับการกินวิตามินหรืออาหารเสริมนั่นแหละ ก็เลยตามน้ำไปก่อน มันคงไม่เป็นอะไรหรอก



“พัชท้องได้กี่เดือนแล้ว ตั้น” ถามเอง แถมได้ยินที่ตัวเองถามแบบนั้น มันฟังประหลาดอยู่ไม่น้อย “สามเดือนแล้ว” ตั้นพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “อีกหกเดือนก็ได้ออกมาเจอหน้ากันแล้วนะ” ตั้นพูดพร้อมกับเอามือลูบท้องของพัชอย่างแผ่วเบา พัชเก็บภาพความตื่นเต้น ใบหน้าที่ดูมีความสุขของตั้นเข้าในความทรงจำ



“ตั้น” พัชเรียกชื่ออีกฝ่าย “ว่าไง” ตั้นถาม ก่อนจะรู้ตัวว่า พัชยื่นหน้าเข้าจูบที่ริมฝีปากของว่าที่คุณพ่อแบบนั้น “พัช” ตั้นเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเขิน ๆ แต่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ครั้งที่แล้วที่พัชจุ๊บตั้นแบบนี้” ตั้นพูดด้วยความอารมณ์ดี “ไอ้ตัวเล็กถึงได้โผล่มาแบบนี้ไง” พัชรู้สึกจุกในลำคอ เมื่อมองเห็นความสุขของตั้น ที่ดูเหมือนจะเลือนรางจนแทบจะจำไม่ได้แล้ว กลับมาฉายชัดอยู่ต่อหน้าของเขาอีกครั้ง

**************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

Golden Hour - Billkin

https://www.youtube.com/watch?v=lSZ-Fln3FFM


ทุกเช้าที่ตื่นมาไม่ใช่เพราะนาฬิกา

All mornings, woken up not by the clock alarm

แต่เพราะมีใครสักคนโทรมาปลุกให้ฉันนั้นตื่น

But was because of someone calling to wake me up

และในทุกทุกคืน ไม่เคยต้องฝันร้าย

Also every nights, no nightmares terrorize me

เพราะมีคนบอกฝันดี

Because there was someone saying good night to me


ทุกครั้งอ่อนล้า มีคนซับน้ำตา

Every time I was weak, someone wiped my tears for

ไม่เคยต้องเหงาแม้สักเวลา

Not a time I would feel lonely

มีคนที่เข้าใจ จับมือฉันเดินไป

Someone that understood me and held my hand to walk

เพราะมีเธอคนนี้

That’ s because I had you


วันนี้และคืนที่สวยงาม เพียงแค่มันได้เลยผ่าน

Today and beautiful nights, though they already passed

เหลือเพียงความทรงจำ ที่หล่อเลี้ยงฉันไปวันวัน

Left with me was memory to cherish my life day by day


แค่ได้คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น

To think of those periods of times

แค่ได้รู้ว่าฉันได้เคยมีวันที่ดีเท่าไร

To realize how good the old days were

รักเธอดีเท่าไร ฉันโชคดีแค่ไหนได้พบเธอ

How great your love was, how lucky that I met you

เพราะรักเธอของฉันได้ผ่านไปแล้ว

‘Cause your love is no longer here

และไม่มีเรื่องใดจะดีเหมือนเดิม

None of this will be good again

แล้วเธอล่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า

What about you? Ever think of me?


ได้รู้เวลาตอนนั้นที่ผ่านไป

Knowing that those times had gone

ทุกทุกเรื่องราว มีค่ามากเท่าไร

Everything that happened, they’re valuable

ยังคงยิ้มยังหัวเราะและยังร้องไห้ เมื่อได้คิดถึง

Still gets me to smile and cry when I think about it


วันนี้และคืนที่สวยงาม เพียงแค่มันได้เลยผ่าน

Today and beautiful nights, though they already passed

เหลือเพียงความทรงจำ ที่หล่อเลี้ยงฉันไปวันวัน

Left with me was memory to cherish my life day by day


แค่ได้คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น

To think of those periods of times

แค่ได้รู้ว่าฉันได้เคยมีวันที่ดีเท่าไร

To realize how good the old days were

รักเธอดีเท่าไร ฉันโชคดีแค่ไหนได้พบเธอ

How great your love was, how lucky that I met you

เพราะรักเธอของฉันได้ผ่านไปแล้ว

‘Cause your love is no longer here

และไม่มีเรื่องใดจะดีเหมือนเดิม

None of this will be good again

แล้วเธอล่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า

What about you? Ever think of me?


คงไม่มีปาฏิหาริย์ จะพาฉันไปเริ่มใหม่

No such miracles would take me to start it all over

ไม่อยากจะอธิฐานให้เวลาได้ย้อนไป

No wish to ask for to turn back time

แต่ยังจะภาวนาให้เธอกลับมาจะได้ไหม

Yet, praying that you might one day come back to me


แค่ได้คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น

To think of those periods of times

แค่ได้รู้ว่าฉันได้เคยมีวันที่ดีเท่าไร

To realize how good the old days were

รักเธอดีเท่าไร ฉันโชคดีแค่ไหนได้พบเธอ

How great your love was, how lucky that I met you

เพราะรักเธอของฉันได้ผ่านไปแล้ว

‘Cause your love is no longer here

และไม่มีเรื่องใดจะดีเหมือนเดิม

None of this will be good again


มันยังมีบางครั้งที่อยากถาม

There’s some time I want to ask a question

เธอไม่อยู่ตรงนี้ให้ได้ถาม

But you’re not here for me to strike my wonder

แล้วเธอล่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า

How about you? Do you miss me I like miss you?

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


พัชไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมตอนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าตั้นและแม่ของตั้น มันกลับเป็นความรู้สึกสบายใจ และบ้านทั้งหลังเหมือนถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความสงบ ทั้ง ๆ ที่ครั้งหลังสุดที่เรียกได้ว่า พัชเผชิญหน้ากันกับคนทั้งคู่ มันมีแต่ความอึดอัดและความทรมานจิตใจ



“ลุกขึ้นมาทำไม นอนพักเยอะ ๆ ดีกว่านะ แล้วอาการแพ้ท้องดีขึ้นแล้วหรือ ลุกมาเดินแบบนี้ เดี๋ยวเวียนหัวนะ” แม่ของตั้นที่ยืนทำอะไรง่วนอยู่ที่หน้าเตาทำอาหาร พูดกับพัช เมื่อเห็นว่าเขาเดินมาหยุดอยู่ไม่ไกล พัชหยิบจานที่ล้างเอาไว้จนสะอาดแล้ว หยิบมันขึ้นมาคว่ำลงไปตรงที่วางจาน



“พัชโอเคครับ” พัชพูดบอกออกไปแบบนั้น มองเห็นแม่ของตั้นยิ้มให้ ก่อนจะหันไปมองที่หม้อที่ตั้งไฟเอาไว้อ่อน ๆ ที่แม่เคี่ยวน้ำซุปไก่สีใสน่าทานเป็นอย่างมาก “ตอนเด็ก ๆ เวลาตั้นเขารู้สึกไม่สบาย แม่ก็ต้มซุปร้อน ๆ ให้เขาซด ไม่นานเลย ตั้นก็หายเป็นหวัด” พัชมองแม่ของตั้น ใช้พัพพีช้อนฟองขาว ๆ ที่อยู่ตรงขอบหม้อออก เพื่อให้น้ำซุปนั้นมีสีใส



“ตั้นเขาชอบแบบไม่ใส่น้ำปลา ใส่เกลือหรืออย่างมากก็ใส่แต่ซีอิ๊วขาวได้ เขาบอกว่ากลิ่นมันไม่แรง ส่วนน้ำปลามันคาวไปหน่อย นี่แม่ก็สงสัยนะ ว่ามีลูกเป็นฝรั่งกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” พัชได้ยินแม่ของตั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ส่วนสายตายังมองไปที่ทัพพีที่ตักฟองออกจากหม้อน้ำซุป



“แต่วันนี้ ซุปใสหม้อนี้สำหรับเรานะ พัช” แม่ของตั้นหันมายิ้มให้อีกครั้ง “กินอะไรไม่ค่อยลง ก็ซดน้ำซุปร้อน ๆ เอา คล่องคอดี แก้อาการคลื่นเหียนไปด้วย นี่ถ้ากลัวว่าจะจืดไป เหยาะพริกไทยปุ่นลงไปหน่อยก่อนกิน จะได้ไม่เลี่ยน หวังว่าจะถูกปากนะ” สิ่งหนึ่งที่พัชไม่เคยรู้มาก่อนเลย ก็คือแม่ของตั้นทำอาหารได้น่าหอมกินมาก และอีกสิ่งที่เพิ่งรู้ก็คือ อะไรคืออาหารจานโปรดของตั้น



“พัชขอชิมได้มั้ยครับ” พัชบอกกับแม่ของตั้น ที่พยักหน้าเชิญชวน “ระวังร้อนนะ มานี่ แม่ตักใส่ถ้วยให้ก่อน” พัชมองเห็นน้ำซุกที่ส่งควันลอยฟุ้งในถ้วยนั้น ก่อนจะหยิบช้อนสั้นตักน้ำซุปจากถ้วยขึ้นเป่า แล้วเอาเข้าปาก ตาของพัชคงเป็นประกายขึ้นมาจนสังเกตได้ในทันที ที่ได้รับรสของอาหารที่อร่อยนั้น



“ชอบใช่มั้ย ชอบก็กินเยอะ ๆ เพราะกินอาหารหนักต้องย่อยเยอะ ก็คงจะออกมาหมด น้ำซุปอุ่น ๆ ก็ทำให้ให้สบายท้อง” แม่ของตั้นพูดไปยิ้มไป และพัชเองไม่คิดว่าตัวเองเคยมีโมเม้นท์ที่เคยคุยกันดี ๆ แบบนี้กับแม่ของตั้นเลยสักครั้ง “สงสัยเจ้าตัวเล็กจะชอบเหมือนกัน ดีเลย จะได้ไม่กวนเยอะ กินอะไรแล้วต้องเอาออกมาหมดแบบนั้น” แม่ของตั้นพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นพัชซดน้ำซุปจนหมดถ้วยได้ โดยไม่มีอาการคลื่นไส้อย่างตอนกินอาหารอย่างอื่น



“ขอบคุณนะครับ” พัชพูดออกไปจนได้ และนี่ก็คืออีกหนึ่งประโยค ที่ตัวเขาเองจำไม่ได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เคยพูดประโยคนี้กับอีกฝ่าย โดยที่ในใจไม่ได้คิดค่อนขอดอีกฝ่าย หรือเอากลับไปพูดนินทากับเพื่อนทีหลัง จนกลายเป็นเรื่องตลกระหว่างกลุ่มแชท มันคือเมื่อไหร่กัน



“มาพูดขอบคุณอะไรกัน เล็กน้อยเอง พัชก็เป็นลูกแม่คนหนึ่ง แล้วในท้องนั่น ก็หลานแม่ หลานคนแรกของย่า” แม่ของตั้นพูด ก่อนจะรับถ้วยน้ำซุปไปจากมือของพัช “กลับไปนั่งพักก่อนไป เดี๋ยวแม่เคี่ยวน้ำซุปต่ออีกหน่อย แล้วจะยกไปให้ นั่น ตั้นเขาเรียกหาแล้ว” แม่พูดขึ้น หัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงของลูกชายเรียกหาคนรัก



“หมอสั่งเอาไว้แล้วไง ว่าให้พักผ่อนเยอะ ๆ” พัชที่เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ตั้นยืนรออยู่ที่โซฟาเบดตัวเก่าอยู่ก่อนแล้ว “รู้สึกหิวน่ะ เห็นแม่ทำซุปใสอยู่ในครัว ก็เลยไปขอชิม อร่อยมาก” หรือนี่จะเป็นครั้งแรกในรอบเป็นปี ๆ ที่บทสนทนาระหว่างกัน พัชนึกย้อนกลับไป ที่มันไม่ใช่การค่อนแคะกระแนะกระแหน เพื่อรอให้อีกฝ่ายทำสีหน้าเจ็บปวด เพื่อสนองความสะใจของตัวเอง



“ตั้นดีใจนะ และก็คลายกังวลไปเยอะ” ตั้นจับมือของพัชเอามากุมเอาไว้ เมื่อทั้งสองนั่งลงบนโซฟาเบดตัวเก่านั้นด้วยกัน “ที่พัชเข้ากันได้ดีกับแม่ มันคงจะทำให้ตั้นเสียใจไม่น้อย หากว่าพัชและแม่ไม่สามารถญาติดีกันได้ เพราะไหนจะลูกเราที่จะลืมตาเกิดขึ้นมาอีกล่ะ แบบนั้นยุ่งแน่ ๆ” พัชรู้สึกถึงก้อนเหนียว ๆ ที่มันกลืนลงไปได้อย่างยากลำบาก ที่มันขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ



“ผมรักพัชมาก และเรากำลังจะมีลูกด้วยกัน” พัชมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข ที่มันฉายชัดอยู่ในนั้นของตั้น “แต่ตั้นก็มีแม่คนเดียว และตอนนี้แม่ก็อายุมากแล้ว สุขภาพก็แย่ลงทุกวัน ตั้นไม่อยากเลือกใครเหนือใครทั้งนั้น ตั้นเองคงเคยทำบุญเอาไว้อยู่บ้าง บุญเก่ายังมี ขอบคุณนะพัช ที่ทำเพื่อตั้นมากขนาดนี้” พัชพูดอะไรไม่ออก เมื่อตั้นดึงเอาตัวเขาเข้าไปกอดจนแน่น



“ตั้นเลือกมา ถึงเวลาแล้ว อย่ามามัวขี้ขลาด หดหัวอยู่แต่ในกระดอง” พัชตะโกนเสียงดัง ตะคอกใส่หน้าของอีกฝ่ายจนสุดเสียง ไม่สนเลยสักนิด ว่าแม่ของตั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย “ถึงเวลาที่ต้องเลือกแล้ว อยู่ต่อไปแบบนี้มันไม่เวิร์คหรอก” พัชส่งสายตาแบบคนไม่ยี่หระต่อสถานการณ์ตรงหน้า บอกอีกฝ่ายให้เลือกมา มันจะไม่มีการประนีประนอมกันอีกต่อไป



“ใจเย็นก่อนพัช ตั้นขอให้พัชคุยดี ๆ” ตั้นพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน “ใจเย็นอะไรกันอีก ตั้น คุยดี ๆ คืออะไร ในเมื่อมีแต่พัชคนเดียวที่ต้องทนมาตลอด มันคือพัชนี่ พัชเท่านั้นที่พูดดี แต่มันก็เท่านั้น แม่ของคุณเรียกพัชว่ากะเทยไม่มีหัวนอนปลายตีน แล้วแบบนี้ พัชยังจะต้องคุยอะไรดี ๆ ด้วยอีก ตั้นต้องการให้พัชใจเย็นได้อีกอยู่อย่างนั้นสิ นี่ดีเท่าไหร่แล้ว ที่พัชไม่สวนกลับไปบ้าง ด่าแม่ของตั้นด้วยคำต่ำ ๆ ประเภทเดียวกันอย่างที่พัชโดน” หน้าตา สีหน้า ท่าทาง คำพูดของพัช เดือดอย่างที่สุด



“สิ่งที่ตั้นขอพัช คือ เรื่องที่ตั้นต้องการให้พัช เรียนรู้และรู้จักแม่เขาบ้าง” ตั้นพูดถึงเรื่องที่เคยคุยกันก่อนหน้า ว่าพัชควรจะปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง เพื่อเข้าหาผู้ใหญ่ “แล้วแม่ของตั้น รู้จักอะไรพัชบ้าง ไหนบอกมาทีคุณแม่ พัชชอบสีอะไร ของโปรดที่พัชชอบกินคือ” พัชเบ้ปากใส่ เมื่อเห็นแม่ของตั้นเบือนหน้าหันไปทางอื่น



“เห็นหรือยัง ตั้นควรจะเห็นเองกับตาบ้างนะ ว่าตัวปัญหาที่แท้จริงน่ะ ไม่ใช่พัช” ตั้นหลับตาลง อย่างคนที่ต้องการควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างที่สุด “พัชถึงได้ให้ตั้นเลือกไง เราสองคนเป็นคู่เกย์นะ พูดเอาไว้ให้ได้ยินกันตรงนี้อีกครั้ง เผื่อแม่ของตั้นจะยังไม่ทราบ ว่าตั้นน่ะ ชอบซดถั่วดำ และไม่มีทางที่ถั่วดำมันจะกลายเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง แบบที่แม่ตั้นจะบังคับให้ตั้นกินได้” ตั้นส่ายหน้าเมื่อได้ยินพัชพูดแบบนั้นออกมา



“ตั้น ถ้าตั้นจะอยากมีลูกตามที่แม่ตั้นบังคับด้วยการเอาแต่ได้ เอาแต่ใจรู้ทั้งรู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นเกย์ ชอบผู้ชาย แล้วจะหาผู้หญิงมาให้ตั้นแต่งงานด้วย พัชถึงได้พูดจนปากจะฉีกถึงรูหูนี่ยังไง ว่าตั้นต้องเลือก จะไปต่อโดยไม่มีพัช ก็แค่พูดมา แต่ถ้าจะมีพัชอย่างที่เราเคยอยู่ด้วยกันมาแล้วล่ะก็ ถึงเวลาตัดตัวปัญหาออกไปซะ” เสียงของพัชยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของตัวเอง



“ตั้น” พัชเรียกชื่อคนรักของตัวเอง ที่จำได้ว่า อีกฝ่ายกลายเป็นคนในอดีตไปแล้ว “เท้าของพัชยังไม่เริ่มบวม แต่หมอบอกว่า อีกไม่นาน พอน้ำหนักเริ่มมากขึ้น รับรองได้เลย” ตั้นเอาเท้าของพัช ไปนวดให้เบา ๆ “พัชพูดว่าไงนะ” พัชเห็นรอยยิ้มของตั้น ที่แสดงให้เห็นถึงความสุขที่เขามี มันทำให้พัชเม้มริมฝีปากจนเกือบจะเป็นเส้นตรง ด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่รุมเข้ามาหามากมาย



“พัชอยากขอโทษ” ตั้นหัวเราะออกมาแทบจะทันที ที่ได้ยินพัชพูดแบบนั้น “ไม่เป็นอะไรเลย ตั้นทำให้ได้ มา ๆ นวดเท้าหน่อย พัชจะได้นอนหลับสบาย ถ้าพัชรู้สึกสบาย เจ้าตัวเล็กในท้อง ก็จะได้ไม่กวนมาก” ตั้นจัดแจงให้พัชเอนหลังลงพิงกับหมอนใบใหญ่ที่ตั้นเตรียมเอาไว้ให้พัชล่วงหน้า เมื่อตอนที่ท้องของพัชเริ่มใหญ่มากขึ้นกว่านี้ จะลุกจะนั่งจะได้ไม่ลำบากมาก



“ตั้นเสียอีก ที่ต้องขอบคุณพัช ที่ต้องอุ้มท้องลูกเราตั้งเก้าเดือน ตั้นรู้ว่าพัชไม่ชอบที่ตัวเองน้ำหนักขึ้น ไม่อยากอ้วน ขอบคุณนะ ที่พัชกำลังจะมอบของขวัญที่พิเศษที่สุดให้กับตั้น ยังไง ถ้าแม่ของตั้นพูดอะไรไม่ถูกหู ไม่ถูกใจพัชไปบ้าง ทน ๆ เอาหน่อยเนอะ” สายตาของตั้นที่ใช้มองมาที่พัช มันทำให้พัชรู้สึกทรมานอย่างที่สุด



“ได้ ตั้นเลือกเองนะ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลัง เพราะมันไม่ทันแล้ว พัชจะได้รู้เสียที ว่าสิ่งที่พัชทำให้มันไม่มีค่าอะไรสำหรับตั้นเอาเสียเลย ไม่ต้องสนหรอกความรู้สึกของพัชเนี่ย แล้วอย่าคิดนะว่าพัชจะแคร์ จบ ๆ กันไปก็ดี ตัดขาดกันตั้งแต่ตอนนี้ พัชไม่ง้อ และรู้เอาไว้ด้วย ว่าต่อจากนี้ คนที่เสียใจ มันไม่ใช่พัช” ทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ทุกคำพูด พัชจำได้ดี และมันย้อนกลับมาให้พัชได้รู้สึกอีกครั้ง



**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

แอบหวัง - Anatomy Rabbit

https://www.youtube.com/watch?v=ksX5GvUB418


ก็สบายดีหนิ

I’m pretty okay

ไม่เห็นจะเศร้าใจเหมือนที่ดูในหนัง

Nothing makes me sad like in the movies I saw


ไม่มีเธอก็สบาย

Living without you is simply alright

ไม่ต้องปวดหัวต้องคอยเอาใจอยู่เรื่อยไป

Save myself from headaches, no need to appease you all the time


หลอกตัวเองไปวันวัน

Fooling myself on a daily basis

ว่าไม่มีเธอก็อยู่ไหว

I’m fine when you’ re not around

บอกตัวเองไปวันวัน

Telling myself so daily

ว่าแค่นี้สบาย

It’s nothing, really


แต่ใจข้างในยังคิดถึง

But in my heart, I do miss you

ยังไม่ลืมเธอได้เลยสักวัน

Never ever can forget you not just one day

และใจก็ยังคงแอบหวัง

Deep down, I’m hoping that

ว่าสักวันเธอจะกลับมาหา

Someday you’ll come back to me


ต้องคอยแสดงบทบาทสมมุติ

I need to act and pretend

เหมือนคนอารมณ์ดี

Like I’m always in a good mood

ต่อหน้าใครใคร ฉันต้องมีความสุข

In front of others, I must show that I own the happiness

ต้องยิ้ม หัวเราะ

Smiles and laughs

ทั้งที่ใจข้างใน ไม่เคยรู้สึกดี

Though inside my heart, doesn’t feel any good of it


ยังคงคิดถึง วันวานวันนั้นที่มีเธออยู่

I still miss you, the old days that I had you with me

ยังคงไม่ลืม ภาพความทรงจำทุกทุกเรื่องราว

I still can’t forget, all the memory - every single thing

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

“อย่ากวนเยอะนะเจ้าตัวเล็ก” ตั้นพูดกับหน้าท้องของพัช ที่มันยื่นออกมาน้อย ๆ “พัชกินยาบำรุงก่อนนอนนะ แล้วอันนี้ยาที่ช่วยให้อาการแพ้ท้องไม่หนักมาก จะได้หลับสบายขึ้น ตอนกลางคืนก็จะไม่ต้องตื่นบ่อย อาการมอร์นิ่งซิกเนสหลังตื่นนอนก็จะทุเลาลงด้วย” พัชรับยาจากตั้นไปกิน และต้องดื่มน้ำจนหมดแก้วให้ตั้นดูต่อหน้า



“นอนพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ” ตั้นประคองตัวของพัชให้นอนลง ก่อนจะขยับหมอนหนุนและหมอนข้างสำหรับคนท้องให้กับพัช เพื่อให้เจ้าตัวนอนหลับสบาย ใครจะว่าตั้นเห่อลูกคนแรกนี้มาก ทั้ง ๆ ที่ท้องของพัชยังไม่ได้ใหญ่อะไรเลย แต่ตั้นก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่าทั้งหมดนี้ เขาทำเพื่อพัชคนที่เสียสละมากกว่าเขา ไม่ว่าจะอะไรทั้งหมด



“ตั้นล่ะ ยังรู้สึกคลื่นไส้อยู่มั้ย” พัชถามมองดูตั้นจัดแจงขยับผ้าห่มคลุมตัวให้กับพัช เพื่อให้พัชนอนหลับในท่าที่สบายมากที่สุด “ไม่ค่อยเท่าไหร่แล้ว” นี่คือคำพูดของตั้น ที่เจ้าตัวใช้เสมอ ยามต้องการบอกปัดอะไรบางอย่าง ที่แม้มันจะกำลังรบกวนความรู้สึกของเขาอยู่มากก็ตาม แต่เป็นที่ตั้นไม่ต้องการให้คนอื่นหันความสนใจมาโฟกัสที่ตัวเขา



“เป็นแบบนี้ก็ดีนะ” พัชบอกกับตั้น ยิ้มให้กับอีกฝ่าย ในแบบที่ตัวเขาเองนั้น “สบายดี” รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ “มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่นา” ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของตั้น พลันพัชเองก็น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองจนร้อนผ่าว เพราะที่จำได้ ย้อนกลับไปแล้วนั้น มันไม่เคยเป็นแบบนี้ มันไม่เคยทำให้ใจสงบแบบนี้เลย



“ร้องไห้ทำไม ตั้นพูดเสียงดังไปหรือเปล่า ตั้นไม่ได้ดุพัชสักหน่อย” ตั้นหัวเราะเบา ๆ แบบเอ็นดู ที่อยู่ ๆ คู่ชีวิตของเขาก็มีน้ำหูน้ำตาขึ้นมา “ไม่เป็นไรนะ” ยิ่งตั้นพูดปลอบมากเท่าไหร่ พัชก็สะอึกสะอื้นเพิ่มขึ้นเท่านั้น กับความรู้สึกที่มันอธิบายไม่ถูก แต่มันถูกนำมาด้วยความรู้สึกผิดในใจ “เราก็อยู่กันไปแบบนี้แหละ พัชกับตั้น แล้วก็เจ้าตัวเล็กนี่ด้วย” ริมฝีปากของพัชสั่นระริก เมื่อมองเห็นตั้นแนบแก้มลงไปที่ท้องน้อยของพัช



“เช็ดน้ำตาก่อน” พัชใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้กับพัชอย่างอ่อนโยน “คนท้องก็อย่างนี้แหละ ตั้นอ่านเจอในเว็บของคุณหมอ ฮอร์โมนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวขึ้นสูง เดี๋ยวลดลง มันก็จะสวงิ ๆ หน่อย คนที่อยู่ใกล้ต้องทำความเข้าใจเยอะ ๆ แต่ตอนนี้ คนท้องต้องนอนพักเยอะ ๆ ตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้เช้า จะได้อารมณ์ดี ๆ เช่นกัน” ตั้นบอกกับพัช แล้วยังบังคับให้อีกฝ่ายหลับตาลง



พัชหลับตาลงตามที่ตั้นบอกอย่างว่าง่าย มันเป็นแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ ที่พัชอยู่กับตั้น แล้วพอพูดอะไรกัน ก็ไม่มีแต่การสาดอารมณ์ใส่กัน มีเพียงแค่การทำตามกันแบบเข้าใจ และรู้สึกได้ถึงความหวังดีที่มีให้กันและกัน ความอบอุ่นที่ทำให้การส่งเข้านอนในคืนนี้ ทำให้ใจรู้สึกสบาย และไม่มีอะไรเข้ามาให้รกสมองจนนอนไม่หลับ



เสียงปลุกจากนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ ดังแผดขึ้นในความรู้สึก พัชใช้มือควานหามันเพื่อเอามาปิดเสียงนั้นให้มันดับลง มือไล่แปะแบบเปะปะไปตามความจำที่มี ว่าปกติแล้ว ตัวเองวางมือถือเอาไว้ตรงไหน ตอนก่อนเข้านอน พอหยิบมาได้ พัชเลื่อนปิดเสียงปลุกจากนาฬิกาที่น่ารำคาญนั้น เวลาที่หน้าจอบอกถึงว่า มันเลยหกโมงเช้ามาห้านาที



พัชผุดลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องนึกได้ว่า ตั้นเตือนเอาไว้แล้ว ให้ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง ตอนจะนั่ง ก็ต้องค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่ง ต้องไม่ลืมว่าตัวเองนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ อันตรายสำหรับช่วงท้องในไตรมาสแรก ก็มีสูงอยู่ ดังนั้นตั้นก็เลยดูจะจู้จี้จุกจิกกับพัชมากพอสมควร เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น



“ตั้นไม่ทำข้าวเช้าหรือไงวันนี้ ทำไมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เงียบจัง” พัชนึกสงสัย ก่อนจะก้มลงมองไปที่เท้าทั้งสองข้างของตัวเอง ที่เหยียบอยู่บนพื้นห้อง ที่มันดูไม่เหมือนเดิม มันดูมีลักษณะที่เป็นปรกติ ไม่บวมขึ้นอย่างที่ตั้นบีบนวดเท้าให้เมื่อวาน เห็นแบบนั้นแล้ว พัชรีบเอามือมาจับที่หน้าท้องของตัวเองในทันที



“ไม่จริง” พัชร้องขึ้นเสียงดัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองห้องนอนที่ตัวเองอยู่ มันคือห้องที่คอนโดที่เขาซื้อเอง หลังจากแยกออกมาจากบ้านเดิมที่อยู่ด้วยกันกับตั้น พัชรู้สึกได้เลย ยอมรับว่าตอนนี้ตัวของเขานั้น ใจสั่นไปหมด เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันกลับมาสู่ชีวิตก่อนหน้า ที่มันคงจะเป็นแค่ฝันไปเพียงเท่านั้น



พัชเดินเข้ามาในออฟฟิศตามปกติ ท่ามกลางสายตาของใครหลายต่อหลายคนที่มองมาที่เขา แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ว่าบรรยากาศมันดูไม่เป็นมิตรมากเท่าไหร่นัก พัชเองรู้สึกได้ไม่ยากกับความอึมครึมนั้น แต่บอกไม่ได้ว่ามันเกิดมาจากอะไรกันแน่ เพราะเขามั่นใจว่า ตัวเองไม่ได้ไปทำอะไรผิด หรือสร้างความบาดหมางอะไรกับใครไว้



“พัช แกตามมานี่” เพื่อนที่สนิทที่สุดในออฟฟิศ “มานี่เลย” รีบเดินมาดึงตัวเขาหลบไปที่ห้องด้านหลัง ที่เลยผ่านห้องชงกาแฟไปในทันที “อะไรเนี่ย มีอะไร” พัชเองถึงกับตกใจกับท่าทางของเพื่อน รวมถึงท่าทีแปลก ๆ ของคนอื่น ๆ ในออฟฟิศที่เห็น



“ฉันรู้นะ ว่าตำแหน่งแกน่ะ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันอย่างคนอื่น” เพื่อนสนิทของพัชพูด พลางชะโงกดูให้แน่ใจว่า ไม่มีใครเดินผ่านมา “แต่แกจะหายไปโดยที่ไม่ติดต่อใครเลยนานติด ๆ กัน สามสี่วันแบบนี้ไม่ได้ คนตามงานแกกันให้ควั่ก โน่น ยิ่งพวกกลุ่มออแกไนซ์ ตามเขียวปั้ดที่ตามหาแกไม่เจอ” พัชถึงกับหน้าเหวอที่ได้ยินเพื่อนพูดออกมาแบบนั้น



“แกว่ายังไงนะ ฉันทำอะไรนะ” พัชต้องเอ่ยปากถามเพื่อนออกไปในทันที “ยิ่งคนอื่นเขารู้ว่า แกเงียบหายไป หลังจากคืนที่ออกไปเย้ว ๆ เมาเหล้า เที่ยวสามสี่ผับติดต่อกัน ทั้งคืนจนถึงเช้าด้วยแล้ว ดีนะ ที่นายไม่ว่าอะไร เพราะฉันบอกนายว่า แกไปถ่ายงานให้กับลูกค้ารายใหญ่ อาจจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตก็คงจะใช้ไม่ได้” เพื่อนสนิททำหน้าที่แก้ตัวแทนพัชให้จนเสร็จสรรพ



“ถึงแกจะเป็นพนักงานแค่ไม่กี่คน ที่นายไว้ใจมาก เพราะการทำงานของแกไม่เคยขาดตกบกพร่องก็เถอะ” เพื่อนพูดกับพัชอย่างเป็นจริงเป็นจัง “แต่แกอย่าลืมนะ ว่ามันมีพวกที่คอยจะซ้ำเมื่อแกล้มอยู่อีกหลายคน” พัชกำลังเรียบเรียงเหตุและผล ตรรกะเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งรับข้อมูลมา อย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะยอมรับมันยังไงเหมือนกัน เมื่อเพื่อนสนิทของเขาบอกว่า เขาหายไปหลายวัน หลังจากออกไปปาร์ตี้มาทั้งคืน



“นายเขาเข้าใจ ว่าแกน่ะ เพิ่งมีปัญหาชีวิตคู่มา และกับตั้นอาจจะมีอะไรที่มันทำให้แกต้องบู๊ ต้องสู้กันยกใหญ่” พัชได้ยินเพื่อนก็จริง แต่ในหัวกำลังถามตัวเองถึงความไม่น่าเชื่อนี้ว่า ที่ตัวเขาเองนั้น ฝันไปเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่เห็นตั้น แม่ของตั้น รวมทั้งเรื่องที่ตัวเองนั้นตั้งท้อง มันแค่เพียงข้ามคืนไม่ใช่หรือ เพราะเขาจำได้ว่าออกไปสังสรรค์จริง แต่ก็ตื่นขึ้นในอีกวัน จนกระทั่งหลับแล้วตื่นอีกรอบ มันก็ไม่เกินสองวันเป็นอย่างมาก



“แกเคยฝันอะไรแปลก ๆ มั้ย แบบฝันเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้เลย ในชีวิตจริงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย แต่ในฝัน มันกลับเหมือนจริงมาก จริงจนแกรู้สึกมันได้ แม้ตอนที่แกตื่นขึ้นมาแล้ว” พัชยังคงรู้สึกถึงการมีเด็กตัวน้อยอยู่ในท้องน้อย รวมถึงอาการพะอืดพะอมของการแพ้ท้อง ที่ในความเป็นจริง พัชไม่มีทางรู้สึกสิ่งเหล่านี้ได้เองอย่างแน่นอน ถ้ามันไม่เกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ



“ฝันงั้นหรือ อย่างเช่นเรื่องอะไร” เพื่อนสนิทของพัชทำหน้างง ถามกลับมา “ก็อย่างเช่นเรื่อง” พัชเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกไปยังไงเหมือนกัน ให้ดูไม่ประหลาด “เรื่องฝันว่าตัวเองท้อง อะไรแบบเนี้ย” เพื่อนสนิทของพัชเลิกคิ้วขึ้นในทันที เมื่อได้ยินพัชพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน



“ไม่เคยหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นผู้หญิงก็ตาม ไม่อ้ะ ไม่เคยฝันอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง” พัชได้ยินเพื่อนสนิทพูดด้วยอาการกลั้วหัวเราะ “แกอย่าบอกนะ ว่าแกฝันอะไรแบบนี้” เพื่อนสนิทของพัชส่งสายตาราวกับเอ็นดูในความพิสดารนี้เสียเต็มประดา “ถ้าแกฝันอะไรแบบนี้จริง ฉันก็เข้าใจได้นะ เพราะมันคงเหมือนกับเป็นความหวังที่ไม่อาจจะเป็นไปได้เอง ไม่เกิดขึ้นจริงของคู่รักเกย์เลสเบี้ยน” พัชพยักหน้าน้อย ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป



“นี่เป็นหนึ่งเหตุผลหรือเปล่า ที่ทำให้แกกับตั้นเลิกกัน เรื่องที่แกไม่สามารถมีลูกด้วยกันเองตามธรรมชาติได้” พัชยิ้ม พลางรับส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อนออกไป “เพราะจริง ๆ ฉันก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ ที่คู่เกย์จะไปรับเด็กที่เป็นลูกคนอื่นมาเลี้ยง เข้าตำรา เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอมน่ะ ฉันว่าไม่โอเค” เพื่อนสนิทบอกความคิดของตัวเองออกมาให้พัชรับรู้



“แต่ถ้าแกจะดึงดันทำกันจริง ๆ ฉันก็ไม่ห้ามอะไรพวกแกหรอก แต่ฉันไม่รู้ว่าแกรู้มั้ยนะ แต่ตั้นมันดูมีความสุขกับชีวิตที่มันเลือกแล้ว และฉันก็ได้ข่าวมาว่า ผู้หญิงที่มันแต่งงานด้วย กำลังท้องลูกคนแรกอยู่” พัชได้ยินมาถึงตรงนี้ ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง และเดินออกไปชงกาแฟ รีบกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เริ่มทำงานตามปกติ ในวันนั้น พยายามทำทุกอย่างให้กลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้ได้ดังเดิม



*********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ใครนิยาม - ETC.

https://www.youtube.com/watch?v=hWE9lGOs_64


ปล่อยมือยอมหากเธอนั้นคิดจะไป

I let go of my hands when you want to leave

เมื่อเธอยืนยันว่าในหัวใจ

You insisted that this was what your heart desired

เธอต้องการอย่างนั้น

You did really want it that way


บอกกับเธอให้เธอรักเค้านานนาน

I told you to love him eternally

เมื่อเธอเจอคนที่เธอต้องการ

This time you found someone you longed for

ฉันพร้อมจะเข้าใจ

I’d make myself understood


อยากจะยินดีที่มองดูเธอและเค้า

I’d love to wish you and your love happiness

ด้วยรักสุดใจ

With all the love my heart stored

แต่ไม่เคยจะทำได้สักที

Yet, no I never ever could


ความรักจริงจริงมันคืออะไร

True love, what is that thing, really?

ใครนิยาม

Who gives it its definition?

ที่บอกว่ารัก

It says that love

ต้องสุขใจแม้สุดท้ายเธอรักใคร

Is the way I am happy to see whoever you love


แต่แล้วความจริงมันคืออะไร

But what the reality turns out to be?

ยอมให้เธอจากไป

I did let you walk away

แล้วทำไม ช้าอย่างนี้

And then why am I so sad like this?


สิ่งที่เคยเข้าใจไม่เหลือสักอย่าง

What I thought I understood is gone

เมื่อก่อนที่เคยได้ยินได้ฟัง

I heard people say it before

ว่ารักคือการให้ไป

That love was all about giving


ไม่ใช่การครอบครองแล้วหวังอะไร

It was not to possess and hope it would give something back

แต่ความเป็นจริงนั้นมีไหมใคร

But truly, can anyone that's living out there?

ที่ทำได้จริงทุกอย่าง

Can do any sort of this shit for real?


ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0



สามสี่วันที่ผ่านมานี้ เป็นที่พัชเอง ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้เลย ด้วยความที่ทุกเช้าที่เขาตื่นนอนขึ้นมา เขาพบตัวเองยังคงอยู่ในห้องเดิม แต่มันไม่ใช่ห้องที่เขาต้องการ พัชลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องคอนโดของตัวเอง ไม่ใช่ห้องนอนที่บ้านหลังเก่าที่เคยอยู่ การที่ไม่มีใครเข้าหน้าพัชได้ติด ไม่แม้แต่เพื่อนสนิทในที่ทำงาน ก็ยังเลี่ยงและบอกกับพัชตรง ๆ ว่า ขออยู่ห่าง ๆ กันสักพัก จนกว่าพัชจะหาทางดีลกับตัวเองได้ และไม่เอาอะไรก็ตามที่กำลังเป็นปัญหา หรือที่กำลังทำให้พัชความรู้สึกไม่นิ่ง จนกลายเป็นคนที่ใช้อารมณ์กับทุกเรื่องแบบนี้



ซึ่งพัชนั้น ถูกนายเรียกเข้าพบด้วยเช่นกัน และเตือนมาว่า หากพัชยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป และไม่ยอมแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อะไร ๆ คงจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนเดิม เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดตามมาในภายหลัง พัชได้แต่รับปากนายไป รู้ตัวเช่นกันว่านายนั้นซีเรียสกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะน้อยครั้งมาก ที่พัชจะถูกเรียกมาตำหนิและคาดโทษแบบนี้



พัชกลับห้องคอนโดทันทีหลังเลิกงาน เพื่อเลี่ยงการตกเป็นเป้าสายตา และไม่ต้องตอบคำถามอะไรประหลาด ๆ จากคนที่ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องอะไรของพวกเขาเลยสักนิด พัชวางถุงผ้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบเอาขวดแก้วสองสามแพ็คออกมา พัชแวะร้านสะดวกซื้อที่ใต้คอนโด ตั้งใจเพื่อซื้อพวกมันมา



พัชนึกถึงคืนนั้น คืนที่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แล้วตื่นขึ้นมาที่บ้านเก่าของตัวเองกับตั้น จึงคิดว่า หลังจากวันที่พัชตื่นขึ้นมาในห้องคอนโดของตัวเอง แล้วในคืนถัด ๆ มา ไม่สามารถนอนหลับแล้วตื่นที่ห้องนอนในบ้านเก่าได้ มันคงจะมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่ผิดไปจากคืนนั้นอย่างแน่นอน และนั่นคงจะเป็นการที่ยังมีสติครบถ้วนก่อนเข้านอนของเขา



พัชเปิดขวดแอลกอฮอล์ขวดแรก ที่เป็นเครื่องดื่มเดียวกันกับที่เขาดื่มในคืนนั้น ก่อนจะกระดกขวดขึ้นดื่มรวมเดียวจนหมดขวด พัชไอออกมา เมื่อรสชาติแอลกอฮอล์มันบาดคอ พัชจงใจปล่อยให้ท้องว่าง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมปริมาณแอลกอฮอล์เข้าไปได้อย่างเต็มที่ พัชเปิดขวดที่สอง ก่อนที่มันจะว่างเปล่าตามขวดแรกไปในเวลาไม่นาน



ตอนนี้สายตาของพัชเริ่มพร่าเลือนจากฤทธิ์ของเครื่องแอลกอฮอล์ เมื่อขวดรองสุดท้ายเพิ่งหมดไป พัชพยายามคว้ามือ จับขวดสุดท้ายที่เหลืออยู่นาน ก่อนจะจับมันมาเปิดฝนออกจนได้ เขาต้องกลั้นไม่ให้ตัวเองขย้อนเอาน้ำเมาที่ดื่มเข้าไปทั้งหมดนั้นออกมา ด้วยกลัวว่า มันจะคลายฤทธิ์ลงเสียก่อน และจะไม่สามารถไปอยู่ในที่ที่เขาตั้งใจเอาไว้แต่แรกได้



ภาพสุดท้ายที่พัชมองเห็น ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะถูกตัดจนดับวูบลง คือภาพของขวดแอลกอฮอล์ขวดสุดท้าย กลิ้งหลุดจากมือที่ถือมันเอาไว้อย่างง่อนแง่น เครื่องดื่มจากในขวดไหลลงนองบนพื้นห้อง ด้วยความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะรวบรวมความคิดให้เป็นชิ้นเดียวกันให้ได้ ว่าตัวเองอยากจะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่ไหน



“พัช” เสียงเรียกดังเข้ามาให้ได้ยิน “พัช พัช” และดังขึ้นอีกหลายครั้ง จนเจ้าของชื่อสะดุ้งและรู้สึกตัวจากเสียงเรียกนั้น พัชรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา เมื่อตั้นจับมือของพัชไปกุมเอาไว้ “หมอเรียกแล้ว” เสียงตั้นบอกกับพัช โดยที่ตัวพัชนั้น มองเห็นตัวเองในกระจก กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นคนไข้ พัชก้มลงมองดูที่ท้องของตัวเอง มันโตขึ้นเป็นอย่างมาก และมากกว่าเมื่อครั้งที่แล้ว ที่รับรู้ว่า ตัวเขานั้นท้องได้สามเดือนแรก



รถเข็นเข้ามาในห้องทำอัลตร้าซาวด์ พัชเห็นคุณหมอเจ้าของเคส ที่ตั้นดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี จากการที่พัชมองเห็นตั้นและคุณหมอ ทักทายพูดคุยอย่างเป็นกันเอง รวมถึงคุณหมอยังหันมายิ้มให้กับพัชอย่างอ่อนโยน ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้สัพเพเหระ เหมือนรู้จักกันมานาน แม้ว่า พัชรู้ตัวดีว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับคุณหมอฝากครรภ์ท่านนี้ก็ตาม



“เอนตัวนอนสบาย ๆ นะคะ รีแล็กซ์ได้เลย ผ่อนคลายนะคะ” เสียงคุณหมอพูดมาอย่างนุ่มนวลและใจดี ความรู้สึกเย็นจากเจลสีใส ที่ถูกป้ายและเคลื่อนไปตามท้องที่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของพัช ทำให้เจ้าตัวทั้งตกใจและประหลาดใจอยู่ปนกัน และตอนนี้พัชไม่แน่ใจว่าอาการคลื่นไส้ที่เริ่มรู้สึกนั้น มันมาจากการตั้งครรภ์ หรือว่าจากแอลกอฮอล์จำนวนมาก ที่เขาจะได้ว่า ดื่มพวกมันเข้าไปอย่างมากมาย ในระยะเวลาไม่นาน



“หมอว่า อาการคลื่นไส้ที่ยังมีอยู่ อาจจะไม่ใช่อาการแพ้ท้อง แต่น่าจะมาจากความเครียดและความวิตกกังวล” คุณหมอพูดบอกมา พัชหันไปมองทางตั้นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กุมมือของพัชอยู่ไม่ห่าง “พอท้องใหญ่ขึ้น อะไร ๆ ก็ทำได้ยากขึ้น จะลุก จะนั่ง จะเดิน ก็อุ้ยอ้าย ปวดเมื่อยไปหมด” พัชมองเห็นแววตาที่ตั้นมองมา ที่มันมีแต่ความห่วงใน อัดแน่นอยู่ภายในนั้น



“พอไม่ทันใจพัชเขานะ ตอนนี้นะ ผมนี่หูชาไปหลายวัน” ตั้นพูดแซวคู่ชีวิตของเขา แต่ก็ด้วยอาการกลั้วหัวเราะ เป็นไปด้วยความเอ็นดู “ต้องอาศัยความเข้าใจมาก ๆ เลยค่ะ ท่องเอาไว้เลย ว่านั้นไม่ได้เป็นเพราะคุณพัช แต่เป็นที่ฮอร์โมนมันสวิงขึ้นสวิงลง อย่างห้ามไม่ได้เสียด้วย” คุณหมอบอกกับตั้นให้ยอมได้คือยอม ยอมไม่ได้ก็คือต้องยอม ตั้นหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินแบบนั้น



“เสียงหัวใจเต้น มีสองเซ็ทนะคะ” พัชหันมาตามที่ได้ยินหมอพูด ก่อนจะได้ยินเสียงหัวใจสองดวงเต้นเป็นจังหวะที่เข้ากัน พัชแทบไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่เขากำลังจ้องมองอยู่ในตอนนี้ ภาพที่หน้าจอมอนิเตอร์ มองเห็นการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างบนนั้น “เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวขอหมอปรับมุมอีกครั้ง” หมอพูดก่อนจะค่อย ๆ ขยับเครื่องมือที่ถืออยู่



“ค่อนข้างจะขี้อายเหมือนกันนะ เด็กคนนี้” ภาพบนหน้าจอมอนิเตอร์เปลี่ยนไป รู้ร่างของเด็กทารกในครรภ์เผยตัวให้เห็นชัดเจนในที่สุด “ยินดีด้วยนะคะ น้องแข็งแรงดี การเต้นของหัวใจก็เป็นจังหวะสมบูรณ์ดีมากค่ะ” การขยับตัวของเด็กบนหน้าจอมอนิเตอร์นั้น ทำให้พัชน้ำตารื้นขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะปล่อยให้หยาดน้ำตาใส ๆ ร้อนผ่าวนั้น ไหลลงบนแก้ม



“ลูกของเรา พัช” ตั้นจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของพัชเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รวมทั้งความรู้สึกที่ตื้นตันอย่างเต็มเปี่ยมจนชัดเจน “แต่สิ่งที่หมอเป็นห่วงตอนนี้นะคะ คือเรื่องการพักผ่อนของคุณพัช” หมอหันมาพูดกับพัชโดยตรง โดยที่สายตาของพัชยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอมอนิเตอร์ไม่เปลี่ยนแปลง



“ผลเลือดออกมาเป็นที่น่าพอใจ มีแค่อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ผมอยากจะเสริมให้ค่ะ ว่าการพักผ่อนให้เต็มที่จะทำให้อาการแพ้ท้องดีขึ้น รวมทั้งเรื่องการบาลานซ์อารมณ์ด้วย เพราะถ้าเราอารมณ์ดี เด็กในครรภ์ก็จะดีตามเราไปด้วย เรื่องอาหารการกินก็อาจจะต้องปรับให้เพิ่มโปรตีนมากขึ้น รวมถึงผักและผลไม้ด้วย” ตั้นรับคำทั้งหมดนั้นจากที่หมอบอกมา



“ก่อนหน้านี้ ผมเองก็กังวลอยู่เหมือนกัน” ตั้นพูดกับคุณหมอ “เพราะพัชเขาดูเหมือนจะหลับยากมาก ตาแป๋วอยู่ยันดึก บางทีก็เกือบถึงเช้าเลย” ตั้นเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับหมอฟัง “จนหลัง ๆ มา ผมคิดไปถึงขั้นว่า พัชเขาตั้งใจที่จะไม่เข้านอนด้วยซ้ำ” ตั้นหัวเราะออกมา ตลกไปกับความคิดมากเกินเหตุของเขา



“มันเป็นไปไม่ได้จริงไหมครับคุณหมอ” คนถูกถามเองก็ยังหัวเราะออกมาด้วย “อันนี้คุณตั้นน่าจะเป็นห่วงมาก ก็เลยจินตนาการอะไรไปเกินกว่าความเป็นจริงที่มี” พัชได้ยินทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน “แต่พอได้ยินคุณหมอบอกว่า ทั้งพัชและลูกแข็งแรงดี ผมก็สบายใจแล้วครับ ทั้งสองคนเป็นแก้วตาดวงใจของผม” คุณหมอตอบกลับว่าเธอยินดีอย่างที่สุด และดีใจที่ทั้งพัชและตั้นมีความสุข



“ทีนี้ พร้อมจะรู้เพศของเด็กหรือยังคะ” คุณหมอถามขึ้นด้วยน้ำใจอ่อนโยนและใจดี ตั้นหันมาสบตากับพัชพร้อมเลิกคิ้วขึ้น เป็นเชิงถามพัชถึงความต้องการของพัช “ผมยังไงก็ได้ครับ” ตั้นพูดออกมา ทั้งหมอและตั้นรอคำตอบจากพัช ที่ตอนนี้มีสีหน้าดูลังเล ว่าจะให้คำตอบออกไปแบบไหนดี สายตาที่มองไปที่มอนิเตอร์นั้น มีน้ำตาใส ๆ คลอหน่วยอยู่



“พัชยังไม่อยากรู้” พัชเอ่ยออกมาในที่สุด “คุณหมอทราบแล้วใช่มั้ยครับ” คุณหมอพยักหน้าแทนคำตอบ “ช่วยเก็บเป็นความลับก่อนได้มั้ยครับ อย่าเพิ่งบอกพัช” คุณหมอยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ และยินดีที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับก่อน ถ้าพัชยังไม่อยากรู้ จนกว่าพัชเองจะร้องขอ



“ส่วนผม ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว แบบไหนผมก็รัก ไม่มีปัญหาอะไรครับ” ตั้นตอบคุณหมอออกไป เมื่อถูกถามว่า เขาเองต้องการจะรู้เรื่องเพศของลูกหรือเปล่า “ผมรอรู้ทีเดียวพร้อมพัชได้เลยครับ” พัชสบตากับตั้น ที่ความดีใจและความสุขของตั้น ผลักตัวเองออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จนพัชรู้สึกเจ็บแปลบในใจ

*********************************************************



คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ภาพทรงจำ - Mahafather

https://www.youtube.com/watch?v=mXcWDKahepM


อยากขอให้นาฬิกา หยุดเดินจะได้ไหม

I’d like the clock to stop what it’s doing

ทวนเข็มของนาฬิกาให้ภาพมันไม่หายไป

Go backward so all the pictures stay the same


อยู่ดีดีอารมณ์อ่อนไหว คิดถึงเธอเหลือเกิน

All of the sudden with this vulnerability, I miss you so

นานคืนวันไม่มีเธอแล้ว ยังไม่ชินสักคราว

It’s been this long you’re not around yet I’m not used to it

ภาพเรื่องราวค่อยค่อยจางหาย ไปตามกาลเวลา

What we had has started to fade away according to date and time

ไม่อยากลืมให้ภาพสลาย ฉันต้องทำเช่นไร

I don’t want to see them get erased, what must I do?


ฉันคิดถึงเธอ

I miss you dearly

อยากให้เธอได้รู้

I want you to know this


อยากขอให้นาฬิกา หยุดเดินจะได้ไหม

I wish that clock stop its ticking, please

ทวนเข็มของนาฬิกาให้ภาพมันไม่หายไป

Move the clock arms back so nothing will go away

อยากขอให้ความทรงจำ อย่าเดินไปจากฉัน

I’m asking of this memory, don’t you dare walk out of my life

เพียงแค่มีกันและกัน อย่างเดิมจะได้ไหม

Just you and I, we have what we’ve had as always


อยากจะรู้ เธอเป็นยังไง

I’d like to know how you are doing

ที่ฉันขอ ขอความเห็นใจ

I’m begging of you, I need your mercy

ใครจะรู้ ฉันเหงาเพียงใด

Who knows how lonely I have had

มันทรมานหัวใจ ของคนที่คิดถึงเธอ

It’s killing me, I am the one that misses you


หากคืนนี้ เรานั้นอยู่ด้วยกัน

If tonight we are still together,

มันคงเป็นวันที่สดใส

It will be our glorious day


อยากขอให้นาฬิกา หยุดเดินจะได้ไหม

I wish that clock stop its ticking, please

ทวนเข็มของนาฬิกาให้ภาพมันไม่หายไป

Move the clock arms back so nothing will go away

อยากขอให้ความทรงจำ อย่าเดินไปจากฉัน

I’m asking of this memory, don’t you dare walk out of my life

เพียงแค่มีกันและกัน อย่างเดิมจะได้ไหม

Just you and I, we have what we’ve had as always


อยากจะรู้ เธอเป็นยังไง

I’d like to know how you are doing

ที่ฉันขอ ขอความเห็นใจ

I’m begging of you, I need your mercy

ใครจะรู้ ฉันเหงาเพียงใด

Who knows how lonely I have had

มันทรมานหัวใจ ของคนที่คิดถึงเธอ

It’s killing me, I am the one that misses you


ที่คิดถึงเธอ

That I miss you

ที่คิดถึงเธอ

That I do miss you so bad

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

“วันนี้พาพัชไปหาหมอมา ว่ายังไงบ้าง ตั้น” แม่ของตั้นรอจนพัชปิดประตูห้องนอนไปแล้ว จึงเริ่มเอ่ยปากถามลูกชาย ตั้นเปิดประตูตู้เย็นก่อนจะเอาผักและผลไม้สดที่แวะซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ตอนขับรถขากลับมาจากโรงพยาบาล เข้าจัดเรียงให้เป็นระเบียบ



“หมอบอกว่าแข็งแรงดีทั้งคู่ครับแม่” ตั้นตอบแม่กลับไป “แต่หมอเน้นเรื่องอาหารการกินมากขึ้น ผมก็เลยแวะซื้อของที่พัชควรจะกิน ติดเข้ามากหน่อย” ตั้นหยิบเอาไข่ไก่วางบนในถาดในตู้เย็น “หมอเขาให้เน้นเรื่องโปรตีนให้มากหน่อย” ตั้นชูถาดเนื้อหมูที่ไม่ติดมันหลายถาดที่เขาซื้อมาให้แม่ดู



“แต่ก็ให้เลี่ยงไขมัน พวกหมูเนื้อแดงให้กินได้ ควรเลือกที่ไม่มีมันแทรก ส่วนไข่ไก่ก็ให้กินสัปดาห์ละสามสี่วันก็พอ เรื่องอาหารพวกโปรตีนนี่ ให้สลับกับโปรตีนจากพืชบ้าง ถั่วเหลือง เต้าหู้ พัชเขาจะได้ไม่เบื่อ กินอะไรซ้ำ ๆ จำเจอยู่ไม่กี่อย่าง” ตั้นพูดตามที่คุณหมอบอกกับเขามาแบบคำต่อคำ



“แต่ก็อีก อะไรที่เป็นของชอบของพัช ถ้าจะกินก็ต้องให้เขาบ้าง” แม่ของตั้นมองลูกชายของเธอ เอากระปุกไอศกรีมสองกระปุกใส่เข้าไปในช่องฟรีซ ส่วนพวกช็อกโกแลตแท่ง บรรดาขนมเคลือบช็อกโกแลตทั้งหลาย ตั้นเอาใส่โหลแบบมีฝาเอาไว้ ซึ่งระหว่างทางที่นั่งรถขับกลับบ้านกันมา ก็ต้องลงกันเป็นที่เรียบร้อย ว่าให้พัชกินขนมพวกนี้ได้แค่วันละไม่เกินสองชิ้นเท่านั้น



“พวกผักผลไม้ ก็ต้องมีทุกมื้อ ไฟเบอร์เป็นสิ่งจำเป็น คุณหมอไม่อยากให้ความดันเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันมากจนเกินไป หากการเข้าห้องน้ำเป็นปัญหา” คุณหมอพูดข้ามช็อตเพราะห่วงข้ามไปถึงตอนคลอด “พัชควรจะเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เพราะยังไงก็ต้องผ่าคลอด สุขภาพแข็งแรงเอาไว้ก่อนดีกว่า ตอนคลอดลูกก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่ของตั้นพยักหน้าตามลูกชายของเธอ ที่ตั้นดูจะจริงจังไม่น้อย สำหรับการปฏิบัติตัวของพัช



“ส่วนเรื่องการดื่มน้ำ คุณหมออยากให้ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อผิวพรรณที่ดี และก็เพื่อการขับถ่าย รวมไปถึงเรื่องเลือดของพัช” สิ่งที่คุณหมอฝากมาเป็นพิเศษคือเรื่องเลือด ที่ระหว่างผ่าตัดพัชอาจจะเสียเลือดมาก ต้องมีการให้เลือดเยอะอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น หมอไม่อยากให้มีปัญหาที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น



“พูดถึงเรื่องการดื่ม” ตั้นหันไปสบตากับผู้เป็นแม่ ทั้งสองคนมีสีหน้าที่เป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน “ได้คุยกับหมอเขาหรือเปล่าตั้น” แม่ถาม ลดความดังของน้ำเสียงลง เพื่อให้มั่นใจว่า พัชที่อยู่ในห้องนอนตอนนี้ จะไม่สามารถได้ยินการสนทนานี้ได้



“คุยครับ ผมคุยกับคุณหมอเรื่องนี้ด้วย” ตั้นเองก็ลดระดับเสียงลงตามด้วยเช่นกัน แม่ของตั้นรอให้ลูกชายอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติม “ผมไม่ได้คุยต่อหน้าพัชเขา แต่ขอคุณหมอเขามาคุยนอกรอบ ตอนที่พยาบาลอธิบายเรื่องวิตามินที่พัชเขาควรกินเสริมจากอาหารปกติที่กินอยู่” แม่ของตั้นบอกกับลูกชายว่า ดีแล้วที่คุยเรื่องนี้ต่อหน้าพัช



“ตอนแรกที่คุณตั้นส่งข้อความมาหาหมอ ยอมรับเลยค่ะ ว่าหมอตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าคุณพัชจะทำแบบนั้นจริง ๆ” คุณหมอให้ตั้นเข้ามาคุยที่ห้องทำงาน ระหว่างที่พยาบาลกำลังคุยกับพัชเรื่องวิตามินเสริม “มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยจริง ๆ เพราะคุณพัชไม่มีท่าทีว่าจะทำแบบที่คุณตั้นว่ามาเลยสักนิด” คุณหมอเองไม่อยากเชื่อเช่นกัน



“ผมได้กลิ่นแอลกอฮอลล์จาง ๆ จากลมหายใจของคุณพัช” คุณหมอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา จากการที่ตั้นนั้นส่งข้อความไปหาคุณหมอ บอกกว่าเขาสงสัยว่า พัชนั้นแอบกินเหล้า และนั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมากสำหรับเขาเช่นกัน ในฐานะของคนเป็นพ่อ และพัชกำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ คุณหมอเองก็บอกให้ตั้นเข้ามาคุยกับเธอ แต่ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพัช เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะใช่เรื่องจริงหรือเปล่า



“คุณหมอเองก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ในลมหายใจของพัชเหมือนกันกับผมใช่มั้ยครับ” ตั้นถามคำถามเพื่อยืนยันความจริงกับคุณหมออีกครั้ง ก่อนจะเห็นคุณหมอพยักหน้าตอบกลับมาว่าใช่ คุณหมอนั้น ตอนอยู่ในห้องตรวจ ก็ได้ลอบสังเกตพัช ก่อนจะต้องยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปอย่างที่ตั้นได้บอกเอาไว้จริง ๆ ซึ่งมันก็สร้างความกังวลใจให้เธอไม่ใช่น้อยเช่นกัน



“แต่ผมตรวจเลือด ไม่พบแอลกอฮอล์ในเลือดของคุณพัชนะคะ” คุณหมอแย้งการได้กลิ่นในลมหายใจ กับผลการตรวจเลือดที่ใช้ยืนยันความเชื่อออกจากความจริง และเป็นไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเธอก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เช่นกัน ที่ผลตรวจมันออกมาแบบนั้น แต่ทางห้องแล็บก็ยืนยันผลตรวจมาแล้ว ว่าการตรวจไม่มีอะไรผิดพลาด ผลตรวจถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์



“มันก็เป็นไปได้หลายสาเหตุ หากคุณตั้นจะให้หมออธิบายเหตุผล ว่าทำไมผลเลือดถึงไม่แสดงสิ่งที่เราสงสัยกันออกมา” ถึงแม่ว่าผลการตรวจเลือดจะเซอร์ไพรส์คุณหมออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่น่าประหลาดใจขนาดนั้น “อาจจะเป็นยาที่กำลังทางอยู่ อาหารที่กิน ที่ทำปฏิกิริยากัน แล้วเปลี่ยนกลิ่นเหล่านั้น ให้กลายเป็นกลิ่นแอลกอฮอล์” คุณหมอพูดถึงสิ่งที่พอเป็นไปได้ เกี่ยวกับกรณีนี้



“ถ้าคุณตั้นยืนยันว่า ไม่เห็นคุณพัชดื่มเหล้ากับตา ถ้าอย่างนั้น” หมอหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ที่บ้านมีเหล้าเก็บเอาไว้บ้างมั้ยคะ แล้วพอเอามาดุ ปริมาณมันลดน้อยลงกว่าที่จำได้ หากว่าคุณพัชจะแอบดื่มโดยที่ทุกคนไม่รู้ และไม่คิดว่า ปริมาณที่แอบดื่มนั้น จะเป็นที่สังเกตและทำให้โดนจับได้” คุณหมอถามถึงอีกหนึ่งสิ่งที่อาจจะมีความเป็นไปได้



“ไม่มีครับ” ตั้นตอบ พลางส่ายหน้า แววตาดูครุ่นคิด “ขวดสุดท้ายที่ผมดื่มจนหมดไป” ตั้นบอกกับคุณหมอไป ถึงสิ่งที่เขาจำได้อย่างแม่นยำ “ก็ตั้งแต่ที่ผมรู้ว่า พัชเขาตั้งท้อง ผมเอามาดื่มฉลองคนเดียวจนหมดขวด และหลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ซื้อเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพิ่มอีกเลย ซึ่งมันก็เหมือนกับว่า ผมได้เลิกดื่มไปด้วยกลาย ๆ” เรื่องนี้เอง ถือว่ายังทำให้แม่ของตั้นรู้สึกดีใจไปกับลูกชายของเธอด้วยเช่นกัน



“เพราะถ้าพัชเขาเป็นคนไปซื้อมาเอง ยังไงผมก็ต้องรู้ มันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ที่ผมจะไม่สังเกตเห็น” แถมอีกอย่าง ตั้นเองก็อยู่กับพัชแทบจะตลอดเวลา “ตั้งแต่รู้ว่าพัชท้อง ผมดูแลพัชด้วยตัวเองมาโดยตลอด งานผมก็เลือกการเวิร์ค ฟรอม โฮม เพื่อที่ผมจะได้ให้เวลากับพัชอย่างเต็มที่ ให้ได้มากที่สุด เท่าที่ผมจะทำให้ได้” ตั้นนั้น ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าครอบครัวของเขาต้องมาก่อนสิ่งอื่น



“หมอเองก็อยากจะทราบสาเหตุอยู่เหมือนกัน ว่าถ้าคุณพัชแอบดื่มเหล้าจริง ๆ อะไรที่จะเป็นสาเหตุได้มากพอ ที่จะเป็นแรงขับ ให้คุณพัชทำแบบนั้น เพราะหมอก็ไม่คิดว่า คุณพัชจะเป็นคนที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนสามารถทำให้ทั้งตัวเองและลูกในท้อง ต้องตกอยู่ในอันตรายได้ แต่พอผลแล็บออกมาเป็นแบบนี้ ตรวจไม่พบแอลกอฮอล์ หมอก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ คุณตั้นเข้าใจหมอใช่มั้ยคะ” ตั้นเองก็ได้แต่พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่หมอบอกกับเขา



พัชลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ความหงุดหงิดและความผิดหวังผสมปนเปกันไปในความรู้สึก จนต้องสบถคำหยาบออกมาจนดังลั่นห้องนอน เมื่อเช้านี้ เขากลับมาอยู่ที่ห้องคอนโดที่ตัวเองซื้ออีกครั้ง ไม่ใช่ที่บ้านเก่าที่เคยอยู่กับตั้น แถมเมื่อเข้าไปที่ทำงาน ก็เจอสายตาที่แสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรของเพื่อนร่วมงานจำนวนไม่น้อย



“ฉันขอเตือนแกอีกแค่ครั้งเดียวนะพัช ถ้าขืนแกทำแบบนี้อีก ขืนแกเล่นหายไปหลาย ๆ วันอีกเป็นครั้งที่สาม แกคงต้องรับมือกับผลที่จะตามมาแล้วว่ะ และมันคงจะหนักหนาไม่ใช่เล่น ครั้งแรกมันยังพอเข้าใจได้ แต่แกเล่นหายไปอีกติด ๆ กันเป็นครั้งที่สองแบบนี้ ฉันแก้ตัวให้แกไม่ขึ้นจริง ๆ ว่ะ” เพื่อนสนิทคนสำคัญของพัชในที่ทำงาน พูดด้วยความรู้สึกจริง ๆ ที่มี



“แกมันเป็นคนเก่ง แต่ถ้าแกทำเหมือนไม่แคร์ว่าใครจะคิดยังไง ไม่แม้แต่นายที่เขาออกรับแทนแกแบบนี้ละก็” เพื่อนสนิทของพัชหยิบของที่ต้องการจากชั้นวาง ลงในรถเข็นช็อปปิ้ง หลังจากเลิกงาน เพื่อนสนิทตามพัชมาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ด้วย



“หยุดยาวครั้งนี้ นายเขาก็อยากให้แกรีบสะสางงานที่คั่งค้างให้เสร็จ เพราะเดี๋ยวปลายปีจะมีโปรเจ็กต์สำคัญรออยู่อีก นายเขาหมายมั่นปั้นมือมากกับโครงการนี้ ถ้าทำสำเร็จ นายจะฟันกำไรมหาศาล และนั่นมันหมายถึงจำนวนโบนัสที่จะพุ่งยิ่งกว่าปีที่แล้วอย่างแน่นอน” ปากเพื่อนก็พูดบอกกับพัชไป ส่วนตัวพัชเองก็เดินตรงดิ่งไปที่ชั้นวางตรงหน้าพร้อมกับรถเข็นแบบตั้งใจ



“เฮ้ย เบา ๆ ไอ้พัช หยุดยาวแกต้องทำงานนะ โอ๊ย แล้วแกจะตุนอะไรขนาดนั้น เดี๋ยวก็ได้เมาไม่สร่างกันพอดี นายด่าตายห่า” เพื่อนสนิทมองดูพัชที่แทบจะเรียกได้ว่า โกยบรรดาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนั้น ใส่ลงไปในรถเข็นเป็นจำนวนมาก โดยสุดท้ายแล้ว เพื่อนสนิทก็ทำได้แค่ส่ายหน้า ได้แต่เดินตามพัชไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์



ขวดเหล้ากลิ้งออกจากมือของพัช พร้อมรอยยิ้มของคนที่กำลังจะสิ้นสติลงไปด้วยความเมามายจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ พัชจงใจปล่อยให้ท้องว่าง แล้วอัดทั้งเหล้าทั้งเบียร์ลงท้องไปด้วยปริมาณที่มาก ในเวลาอันรวดเร็ว โดยที่ตัวเขาต้องกลั้นความรู้สึกพะอืดพะอมเอาไว้ ไม่ยอมให้ตัวเองนั้นอาเจียนออกมา พัชคิดถึงช่วงเวลาที่ดี และอยากจะไปอยู่ที่ตรงนั้น มีพัช มีตั้น และมีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้อง ที่พัชรู้สึกถึงการดิ้นขยับตัวของเด็กน้อย ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน สติของพัชก็ดับวูบลง



************************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

สมมติว่าเรา - Stamp X Christopher Chu

https://www.youtube.com/watch?v=LTtlD37_bD8


ฉันฝันเห็นอยู่เสมอ ชีวิตที่เธอได้เลือกฉัน

I do have this dream, a life you choose me in

ฝันว่าโลกไม่มีเขา สมมติว่าเราได้รักกัน

Dreaming the world without him, suppose we’re in love

ฉันเข้าใจหมดทุกอย่าง ไม่ว่าเธอเลือกทางไหน

I totally get it, whichever way you pick

จะไปคาดหวังอะไรได้ คนจะไปก็ต้องไป

What can I have high hope for? You want to leave, you’ll leave


แต่ตอนนี้ มันยังมีเวลา ไม่ต้องคิดถึงหน้าใคร

But now we’ve still got time, don’t need to think of no one

และเราก็อยู่ด้วยกัน ก่อนเดินจากกันไป

We’re here together, before you’ll walk away

ลองหลับตาแล้วนึกดูได้ไหม จับมือฉันไว้สักครั้ง

Close your eyes and imagine it, hold my hand for once


ฉันฝันเห็นอยู่เสมอ ชีวิตที่เธอได้เลือกฉัน

I do have this dream, a life you choose me in

ฝันว่าโลกไม่มีเขา สมมติว่าเราได้รักกัน

Dreaming the world without him, suppose we’re in love


เราจะได้ มีคืนวัน ที่ดีดีไม่ห่าง

We have day and night to ourselves, so good if not the best

มีเธอยิ้ม มีเธอยืน มีเธอเดินข้างข้าง

I have your smile, you’re standing and also walking right beside me

อยากให้ลองคิดถึงฉันไม่ใช่เขา สมมติว่าเราได้คบกัน

Wish you would think about me and not him, suppose we’re together

สมมติว่าเราได้รักกัน

Suppose that we’re in love


สมมติฉันไม่ยอมแพ้ แล้วเรื่องจริงจะเปลี่ยนไหม

Suppose I won’t give up, will the reality change?

สมมติฉันไม่ยอมรับ และขอร้องเธอไม่ให้ไป

Suppose I refuse to accept it, and ask you to stay

หากสองเราได้ย้อนเวลา มีโอกาสได้แก้ไข

If we could turn back time, get a change to fix things

เราจะยอมให้ทุกทุกอย่าง เป็นไปตามนี้หรือไม่

Will we let everything to be exactly like this?


แต่ตอนนี้ เวลามันยังมี ตรงนี้ไม่มีผู้ใด

Right now, there’s still time, and nobody’ s here

เราอยู่ลำพังอีกหน ก่อนเดินจากกันไป

We are alone again, before we have to part ways

ลองหลับตาแล้วนึกดูได้ไหม โลกที่มีเราสองคน

Close our eyes and think of it, the world with just the two of us


ฉันฝันเห็นอยู่เสมอ ชีวิตที่เธอได้เลือกฉัน

I do have this dream, a life you choose me in

ฝันว่าโลกไม่มีเขา สมมติว่าเราได้รักกัน

Dreaming the world without him, suppose we’re in love

เราจะได้ มีคืนวัน ที่ดีดีไม่ห่าง

We have day and night to ourselves, so good if not the best

มีเธอยิ้ม มีเธอยืน มีเธอเดินข้างข้าง

I have your smile, you’re standing and also walking right beside me

อยากให้ลองคิดถึงฉันไม่ใช่เขา สมมติว่าเราได้คบกัน

Wish you would think about me and not him, suppose we’re together

สมมติว่าเราได้รักกัน

Suppose that we’re in love


เราจะได้ มีคืนวัน ที่ดีดีไม่ห่าง

We have day and night to ourselves, so good if not the best

มีเธอยิ้ม มีเธอยืน มีเธอเดินข้างข้าง

I have your smile, you’re standing and also walking right beside me

อยากให้ลองคิดถึงฉันไม่ใช่เขา สมมติว่าเราได้คบกัน

Wish you would think about me and not him, suppose we’re together

สมมติว่าเราได้รักกัน

Suppose that we’re in love

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

แสงแดดที่ลอดเข้ามาจากช่องว่างระหว่างผ้าม่านหน้าต่าง มันดูจ้าเสียเหลือเกิน ทำให้พัชต้องค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วต้องกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อสู้กับแสงที่มันแยงตานั้น พัชใช้มือปัดขวดเหล้า ที่กลิ้งมาหยุดอยู่ใกล้มือของเขานั้น ปัดมันออกไปจนสุดแรง ด้วยอาการไม่พอใจอย่างหนัก ก่อนจะยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง จากที่ตัวเองนั้นนอนแผ่หราอยู่บนพื้น



พัชพ่นลมหายใจพรืดใหญ่อย่างที่เจ้าตัวต้องการระบายอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองออกมา เหตุที่ว่าก็ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ จากการที่พัชตื่นขึ้นมาในห้องคอนโดของตัวเอง แทนที่จะเป็นห้องนอนเดิมของที่บ้านเก่าของตัวเขาเองและตั้น พัชกวาดสายตามองไปที่ขวดเหล้าและเบียร์ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ



เมื่อคืนพัชดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ด้วยจำนวนที่ไม่ใช่น้อย ที่สำคัญคือปริมาณที่พัชนั้นรับเข้าไปในร่างกาย มันมากกว่าเมื่อครั้งแรกเกือบเท่าตัว ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าจะให้แน่ใจว่าเขาสามารถกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อีกครั้ง ในเมื่อครั้งแรกดื่มไปเพียงไม่เท่าไหร่ ยังทำได้ และครั้งที่สองก็ยังไม่พลาด แล้วครั้งนี้ที่ดื่มเข้าไปมากในเวลาอันรวดเร็วนั้น



“ทำไมคราวนี้มันไม่ได้วะ” พัชสบถคำหยาบตามหลังมาอีกหลายคำ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบเอาถังเปล่า ก่อนจะมาคว้าบรรดาขวดเหล้าเปล่าบนพื้นห้องขึ้นเก็บกวาด ความปวดแล่นจี๊ดเข้ามาที่กระบอกตา ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ พัชวางถังในมือ กึ่ง ๆ จะโยนให้มันหลุดออกไปจากมือด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนั้น



พัชรู้สึกโกรธ มองอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมดในตอนนี้ พอเดินไปเปิดม่านหน้าต่างให้กว้างออก แสงยามเช้าที่เคยรู้สึกว่า มันพาสิ่งที่ตัวเองต้องการมาให้ วันนี้มันกลับหันหลัง แถมยังจะทำให้อาการปวดหัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พัชหลับตาจนแน่น เมื่อความปวดที่กระบอกตา อยู่ ๆ มันจี๊ดขึ้นมา จนน้ำตารื้นขอบตาขึ้นมา มันร้อนผ่าวจนต้องยกมือขึ้นกดที่หัวตา



เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พัชไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมเช้านี้เสียงมันถึงได้แผดดังจนพัชรู้สึกแสบแก้วหูขนาดนี้ ความหงุดหงิดทำให้ข้างในใจเริ่มอาการเกรี้ยวกราดขึ้นมาเองอย่างช่วยไม่ได้ พัชเดินไปหยุดยืนดูโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์จ วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวนอน พอเห็นชื่อคนที่โทรมาที่แสดงบนหน้าจอมือถือ ก็พ่นลมหายใจออกมา ทั้ง ๆ ที่ปกติ จะกดรับสายในทันทีที่เห็นชื่อนี้โทรหา



“โทรอะไรแต่เช้า” พัชบ่นออกมาเสียงดัง รู้สึกหัวเสีย รู้สึกหงุดหงิด รู้สึกรำคาญ แบบที่ไม่เป็นมาก่อน ยิ่งพอหน้าจอมือถือส่งเสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง จากคนเดิมเมื่อสักครู่ที่โทรเข้ามา และตอนนี้ก็โทรเข้ามาซ้ำอีก โดยที่พัชเดาได้ทันทีไม่ยากว่า คนที่โทรเข้ามานั้น ต้องการให้เขานั้นยกมือถือขึ้นกดรับสาย และรู้ด้วยว่า เขาเห็นว่ามีสายเรียกนี้โทรเข้ามา



“อะไร” พัชกรอกเสียงถามห้วน ๆ ลงไป ทันทีที่กดรับสาย ปลายสายอีกด้านหนึ่งก็ถามสวนกลับมาทันทีเช่นกัน ว่าพัชหงุดหงิดหัวเสียอะไรแต่เช้า “แกจะเอาอะไร” คำถามนั้นเพราะไม่เข้าใจว่า โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จะอะไรกันนักกันหนากับเขา “เออ รอก่อนได้มั้ยล่ะ” คำตอบที่ได้กลับมา ทำให้พัชเองอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือทิ้ง



พัชเดินออกจากลิฟต์ ก่อนจะเดินออกมาตรงห้องล็อบบี้ที่ใช้เป็นที่นั่งรอของคนที่ไม่ใช่ลูกบ้าน เพื่อนสนิทของพัชนั่งอยู่ตรงนั้น มองพัชด้วยอาการค้อนปะหลับปะเหลือก เมื่อเพื่อนอย่างพัชดันแสดงอาการหงุดหงิดใส่แบบไม่มีเหตุผล ทั้ง ๆ ที่พัชไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พัชเองตอนอยู่บนห้อง ก็ขอเวลาเพื่อนเพื่ออาบน้ำแต่งตัว เพียงไม่นาน พัชก็ลงมาถึงด้านล่างคอนโด



“แกนี่มันเริ่มจะเยอะขึ้นทุกวันแล้วนะ หายไปหลายวันไม่โผล่หน้ามาทำงานก็เรื่องหนึ่ง แต่พอกลับมา แล้วมีเรื่องด่วน ต้องจัดการ ต้องเข้าหาลูกค้า แม้ว่ามันจะเป็นวันหยุดยาวก็ตามเถอะ ก็แสดงฤทธิ์เดช ไม่เว้นแม้แต่กับเพื่อนสนิทคนเดียวของแก ที่แกเหลืออยู่” สิ่งที่พัชพอจะสังเกตและรู้สึกตัวมันก้พอจะมีอยู่ และนั่งก็คือการที่เพื่อนหลาย ๆ คน เริ่มทำตัวห่างออกไป ไม่เอ่ยชวนไปไหนมาไหนเหมือนแต่ก่อน



“รีบไปได้แล้ว อย่าพูดมากเลย ฉันมีธุระสำคัญต้องทำอีก” พัชไม่สนใจที่จะแก้ตัวหรือให้เหตุผลอื่นใดอีก เพื่อทำให้เพื่อนสนิทได้เข้าใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แถมยังทำท่าทางไม่สนใจด้วยซ้ำ ว่าเพื่อนจะรู้สึกอะไรอยู่ในตอนนี้ โดยที่พัชเดินนำหน้าไปที่รถของเพื่อนสนิทที่จอดเอาไว้ด้านหน้าคอนโด เพื่อนสนิทของพัชเอง ก็เหมือนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่เดินตามไปที่รถ และขับรถออกไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ



“ยังไงช่วยส่งรายละเอียดมาอีกทีนะคะ” ลูกค้าเอ่ยขึ้น ก่อนจะพูดขอตัวกลับก่อน และดูจะเป็นฝ่ายที่ตัดจบการพูดคุยสนทนานี้ลงด้วยตัวเองด้วยซ้ำ พัชเองนั้น ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งใจทั้งความคิดของพัชนั้น ลอยไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้มีสมาธิหรือจิตใจที่จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แถมพอลูกค้าเอ่ยขอตัวลากลับ พัชก็ดูจะมีสีหน้าสีตาที่ดีขึ้น ดูคลายความเบื่อหน่ายลดน้อยลงในทันที



“ฉันหวังว่าแกจะรู้ตัวนะ ว่าแกสามารถทำให้บริษัทเสียลูกค้าได้ง่าย ๆ เลย จากการที่แกไม่ใส่ใจกับงานมากขนาดนี้” เพื่อนสนิทของพัชเดินตามมาพูด เมื่อพัชเดินออกจากร้านที่ใช้คุยงาน แบบรีบร้อน เหมือนกับว่าต้องการจะไปอีกที่หนึ่งมาตั้งแต่ก่อนการสนทนากับลูกค้าจะเริ่มต้นด้วยซ้ำ “แกอย่าพูดมากหน่อยเลยน่า มีอะไรฉันรับผิดชอบเอง แล้วอีกอย่างลูกค้าก็บอกว่าให้ส่งรายละเอียดไปอีกครั้ง ไม่ได้บอกยกเลิกไม่เอาดีลนี้สักหน่อย” พัชส่ายหน้า บอกกับเพื่อนสนิทไปว่า อย่าทำตัวโอเวอร์แอคติ้งไปหน่อยเลย



“แต่ก่อนหน้านี้ ข้อตกลงมันจบลงด้วยดี และดีลถูกยืนยันตั้งแต่การออกมาคุยกับลูกค้า” เพื่อนสนิทคว้าแขนของพัชให้หยุดยืนคุยกันก่อน พัชหันมามองหน้าเพื่อนด้วยอาการเบื่อหน่ายอย่างเปิดเผย “แล้วนี่ต้องเอาเรื่องนี้ไปรายงานนาย แกคิดว่านายจะพูดว่ายังไง นายจะต้องถามหาเหตุผลอย่างแน่นอน ว่าพนักงานดีเด่นมือดีอย่างแก พัช ทำไมถึงปิดดีลที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยนี้ไม่ลง ทำไมมันถึงไม่จบแบบที่แกเคยทำได้ และทำได้ดีมากมาโดยตลอด” พัชได้ยินแบบนั้นก็พ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย พร้อมเบือนหน้าหนี ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า



“ก็บอกไปสิ ว่าลูกค้ามันเรื่องมาก ไอ้นั่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็จะเปลี่ยน ทำอะไรก็ไม่ถูกใจสักอย่าง” พัชพูดไปตามที่เห็น จากการที่ลูกค้าเปลี่ยนนั่นปรับนี่ จะไม่เอาสิ่งที่ถูกระบุเอาไว้ในข้อเสนอเลยสักอย่าง “พัช ลูกค้าเป็นคนจ่ายเงินนะพัช” เพื่อนสนิทเตือนสติพัชให้เห็นถึงความจริงอีกรอบ “โอ๊ย ไม่ได้รายนี้ รายอื่นก็ยังมีอีกถมเถไป แถมยังจะจ่ายดีกว่านี้ด้วยเถอะ ลูกค้างบน้อยขนาดนี้ ไปหาเอเจนซี่ตามห้องแถวเอา จะเหมาะกว่า” พัชชักจะเก็บอารมณ์หงุดหงิดนั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว



“พัช” เพื่อนสนิทถึงกับเสียงหลง ร้องเรียกชื่อของพัชออกมา “แกเปลี่ยนไปมากนะพัช” เพื่อนเองก็ไม่นึกเหมือนกันว่า วันหนึ่งจะได้มาพูดอะไรแบบนี้กับเพื่อนสนิทของตัวเอง “ตั้งแต่แกหายไปสองรอบ รอบละนาน ๆ สี่ห้าวัน แกเป็นอะไร แกไปทำอะไรมา” พัชได้แต่ส่ายหน้า ไม่ได้อยากคุยเรื่องนี้ในตอนนี้ “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พัช ไหนแกบอกฉันมาทีสิ แกเล่าให้ฉันฟังหน่อย” เพื่อนสนิทของพัชอยากจะได้ยินจากปากของพัช ถึงสาเหตุที่ทำให้พัชเปลี่ยนไปมาก ในเวลาที่รวดเร็วขนาดนี้



“ฉันมีเรื่องต้องทำ” พัชตัดบทสั้น ๆ “เอาไว้ก่อน ฉันมีที่ต้องไป” แล้วบอกปัดห้วน ๆ ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ดูรถที่ขับสวนไปมาในถนน แล้วรีบเดินไปที่ฝั่งตรงข้าม เพื่อนของพัชเองก็รีบเดินตามข้ามมาอีกฝั่งเช่นกัน ก่อนจะเดินตามพัชเข้าไป เมื่อเห็นว่าพัชนั้นเดินผ่านประตูอัตโนมัติของซูเปอร์มาร์ทนั้น เพื่อนของพัชเดินตามไปจนเห็นว่าพัชกำลังหยิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมาก ใส่ลงไปในรถเข็นชอปปิ้ง



“เฮ้ยพัช แกเพิ่งจะซื้อพวกเหล้าพวกเบียร์ไปตั้งเยอะ เมื่อวานนี้เองนะ แกซื้อเพิ่มอีกแล้วหรือ” เพื่อนสนิททักพัชออกไป แต่พัชไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะสะทกสะท้านอะไรให้เห็น “มันหมดก็ต้องซื้อใหม่” พัชพูดพลางยักไหล่ ก่อนจะเข็นรถช็อปปิ้งนั้นไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ พอชำระเงินเสร็จ ก็หันมาถามเพื่อนสนิทว่า “ตกลงแกจะขับรถไปส่งฉันที่คอนโด หรือจะให้ฉันโบกรถแท็กซี่เอาเองแถวนี้” พัชถามหาน้ำใจจากเพื่อนสนิทของเขา



“ตกลงที่แกเป็นแบบนี้ เพราะแกกำลังมีปัญหาเรื่องการดื่มหรือวะพัช” เพื่อนสนิทที่อดใจเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ต้องถามขึ้นในที่สุด เมื่อเดินตามพัชออกจากลิฟต์ไปที่ห้องคอนโดของพัช ทั้ง ๆ ที่พยายามห้ามตัวเองมาตลอดทางที่ขับกลับมาที่นี่ “ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งนั้น” พัชปฏิเสธก่อนสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง



“แกกินหมดภายในคืนเดียว แล้วเช้าวันใหม่ แกไปซื้อมาเพิ่มเพื่อกินต่อเนี่ยนะ ถ้าแกยังบอกว่ามันไม่ใช่ปัญหาอีก ฉันว่าแกกำลังหลอกตัวเองอย่างหนักอยู่นะพัช” ได้ยินเพื่อนสนิทพูดออกมาแบบนั้น ทำให้พัชที่วางถุงใส่ขวดเหล้าเหล่านั้นลง แล้วหันขวับมาทางเพื่อนทันที “เอาไว้ให้ฉันต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ แกค่อยสอดเรื่องของฉันก็แล้วกันนะ” ไม่พูดเปล่า พัชเอื้อมมือไปหยิบขวดแอลกอฮอล์ขวดหนึ่งมาเปิด แล้วยกขึ้นดื่มต่อหน้าเพื่อน



สิ่งที่เพื่อนสนิทของพัชทำได้คือเดินออกจากห้องคอนโดของพัชมา แล้วเดินไปที่ลิฟต์ กำลังจะกดเพื่อเรียกลิฟต์โดยสารให้ขึ้นมารับที่ชั้นนี้ แต่ก็เลือกที่ยั้งมือเอาไว้ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเป็นอย่างมาก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวนุ่ม ที่ทางคอนโดจัดเตรียมเอาไว้ให้กับลูกบ้าน เพื่อความสะดวกสบายในการรอลิฟต์ เพื่อนสนิทของพัชนั่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ๆ รอให้ตัวเองนั้น สงบสติอารมณ์ได้มากพอ เพราะใจจริงนั้น ต้องการที่จะพูดกับเพื่อนให้รู้เรื่อง



“พัช” เพื่อนสนิทเรียกชื่อเจ้าของห้องชุดคอนโด แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ “แก พัช เปิดประตูให้ฉันหน่อย” เพื่อนสนิทเรียกอีกครั้ง ทำท่าจะยกมือขึ้นเคาะประตู แต่สายตาก็เหลือไปเห็นว่า ประตูนั้นถูกงับเอาไว้ ปิดไม่สนิท “พัช ฉันเข้าไปนะ” เพื่อนสนิทร้องบอก แล้วเปิดประตูเดินเข้าไป ขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากมายหลายขวด วางอยู่บนพื้นห้อง



“พัช” เพื่อนสนิทร้องเรียก ก่อนจะเดินตามหา ทั้งในห้องนอน ทั้งในส่วนครัว พัชไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพื่อนสนิทตอนนี้ทั้งตกใจ เดินหาพัชด้วยความร้อนรน ก่อนจะรีบถลาไปที่ระเบียงด้านนอก ก้มลงมองไปด้านล่าง ด้วยใจที่ตื่นตระหนกและอกสั่นขวัญแขวนเป็นที่สุด เพราะกลัวว่าเพื่อนอาจจะพลัดตกลงไปจากอาการมึนเมา แต่ก็ต้องรีบเดินกลับเข้ามาด้านในห้อง เมื่อด้านล่างไม่ได้มีร่างของใครนอนแน่นิ่งแต่อย่างใด เพื่อนสนิทของพัชถามตัวเองรัว ๆ พัชหายไปไหน หายไปได้อย่างไร ก็ในเมื่อไม่เห็นพัชเดินออกจากห้อง พัชอยู่ในนี้ตลอดตั้งแต่กลับมา



*****************************************************



คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

กอดความเจ็บช้ำ - Safeplanet

https://www.youtube.com/watch?v=DJ-t5-CRSZY


ให้ตัวเองกอดความเจ็บช้ำ

Let me myself hold misery of mine

ที่ฉันต้องเจอกับความผิดหวัง ตลอดมา

That I’m facing disappointments, like always

ให้น้ำตามันได้รินไหลออกมา

Allow tears to flow to the fullest

ให้หัวใจกลับมาอีกครั้ง

In order to bring back my very heart again


ทนไม่ไหว ไม่รู้ต้องไปทางใด

Can’t stand it, whichever way for me to go

นานเท่าไร ฉันถึงจะเข้าใจ

How long it takes to make me understand?

ใจที่ล้า ไม่นานก็คงสลายหายไป

My weary mind, in just some minutes to disintegrate


ในสิ่งที่ฉันต้องเจอ ทรมาน

With what I’ve been going through, pure suffering

ยังบอกตัวเองว่ามันแค่เมื่อวาน

I keep telling myself it was all in yesterday

มองไปก็เหมือนว่าคงไม่มีทาง

Looking around me there’s still no way

ที่ฉันจะเข้าใจ

To help me comprehend


ให้ตัวเองกอดความเจ็บช้ำ

Let me myself hold misery of mine

ที่ฉันต้องเจอกับความผิดหวัง ตลอดมา

That I’m facing disappointments, like always

ให้น้ำตามันได้รินไหลออกมา

Allow tears to flow to the fullest

ให้หัวใจกลับมาอีกครั้ง

In order to bring back my very heart again


ทนไม่ไหว ไม่รู้ต้องไปทางใด

Can't stand it, whichever way for me to go

นานเท่าไร ฉันถึงจะเข้าใจ

How long it takes to make me understand?

ใจที่ล้า ไม่นานก็คงสลายหายไป

My weary mind, in just some minutes to disintegrate


ในสิ่งที่ฉันต้องเจอทรมาน

With what I have to face, pure grieving

ยังบอกตัวเองว่ามันแค่นิทาน

And I keep telling myself it’s just a storytelling

มองไปก็เหมือนว่าคงไม่มีทาง

Look around and there’s no way to go

ที่ฉันจะหลุดพ้น

For me to leave all this behind


ให้ตัวเองกอดความเจ็บช้ำ

Let me myself hold misery of mine

ที่ฉันต้องเจอกับความผิดหวัง ตลอดมา

That I’m facing disappointments, like always

ให้น้ำตามันได้รินไหลออกมา

Allow tears to flow to the fullest

ให้หัวใจกลับมาอีกครั้ง

In order to bring back my very heart again

และฉันต้องอยู่กับสิ่งนั้น

And I have to get stuck with it


แต่ฉันต้องอยู่กับสิ่งนั้นที่เธอบอก

I have to live with the things you said

ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บช้ำสักเท่าไร

Though it’s torturing and causing me pain

แต่ฉันยังกอดกับสิ่งนั้นไว้ตลอด

I yet still hold it close to me constantly

ถึงแม้ว่ามันต้องปวดร้าว คงผ่านไปสักวัน

Anguished, so so much to wait that one day it’ll be gone

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


พัชรู้สึกตัวอีกที พอมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าตัวเขาเองนั้น นอนเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวเก่าในบ้านหลังเล็ก ที่ก่อนหน้านี้พัชและตั้นเคยอยู่ด้วยกัน ก่อนจะเห็นตั้นนั้น เดินไปมา เหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะหันมายิ้มให้กับพัช เมื่อสิ่งที่ตั้นกำลังเตรียมการอยู่ ดูจะใช้เวลานานกว่าที่บอกเอาไว้



“สงสัยจะต้องจัดบ้านใหม่แล้ว” ตั้นพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “แต่ถึงมันจะรก มันก็เป็นเรื่องดีนะ” ตั้นมองไปรอบ ๆ ห้องรับแขก ที่มีข้าวของอะไรต่อมิอะไร วางอยู่เต็มไปหมด “มันอดใจไว้ไม่อยู่ ห้ามใจไม่ไหวจริง ๆ” ข้าวของที่ว่า เป็นที่ตั้นเองที่หอบซื้อของใช้เด็กอ่อน ของเล่น เตียงนอน จะได้ใช้หรือไม่ ตั้นบอกว่า เขาอยากเตรียมทุกอย่างสำหรับลูกเอาไว้ให้พร้อม เหลือดีกว่าขาด



“ครับ” ก่อนที่ตั้นจะได้ทำอะไรต่อ อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ตั้นกดรับสาย เป็นลูกค้าที่โทรมาถามความคืบหน้าของงานที่ตั้นรับเอาไว้ “รับรองครับ เสร็จตามกำหนดแน่นอน” ตั้นตอบที่ปลายสายกลับไป “เรานัดส่งงานกันตอนทุ่มตรงนะครับ และผมรับปากไปแล้วว่าเสร็จทันเวลาแน่นอน ยังไงก่อนจะถึงเวลานั้น ผมขอใช้เวลากับครอบครัวของผมก่อนนะครับ ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ” ตั้นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะกดวางสายไป



“คราวนี้ ก็มาถึงตาคนที่ตั้งท้องกันบ้าง” ตั้นนั่งลงบนพื้นที่ด้านข้างโซฟาตัวเก่า เยื้องไปทางเท้าทั้งสองข้างของพัช “ท้องพัชใหญ่มากแล้วนะ ก้มลงตัดเองไม่ถึงหรอก” พัชมองดูตั้นหยิบเอากรรไกรตัดเล็บมาถือเอาไว้ในมือ ตั้นยิ้มให้พัช ก่อนจะเริ่มลงมือตัดเล็บเท้าให้กับพัช “พัชบอกตั้นได้เลยนะ ว่าอยากให้ตั้นทำอะไรให้ ยิ่งท้องใหญ่มากขึ้น พัชทำอะไรไม่สะดวก เดี๋ยวตั้นทำให้” พัชมองดูมือของตั้น ที่ไล่ตัดเล็บเท้าให้ไปทีละนิ้ว



“เจ้าตัวเล็กเองก็ด้วย อย่ากวนมากนัก ว่านอนสอนง่ายตั้งแต่ยังอยู่ในท้องเลยนะ” ตั้นมองไปที่ท้องที่ขยายใหญ่ของพัช ก่อนจะมองเลยไปสบตากับพัช ที่มองตั้นอยู่ก่อนแล้ว “พัช ร้องไห้ทำไม” พัชนั้นไม่สามารถกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้ ส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา จนตั้นต้องรีบเข้ามาปลอบ ก่อนจะพยุงตัวของพัชให้ลุกขึ้นมาซบหน้าอยู่ที่แผงอกของตั้น



เสียงโครมครามดังลั่นมาจากครัวทางด้านหลัง ตั้นมองไป ก็เห็นพัชที่แสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดออกมา ในขณะที่ของมากมายถูกกองเอาไว้บนพื้น หลายสิ่งในจำนวนของเหล่านั้น มันคือข้าวของที่ทั้งสองคน ตั้นและพัช เคยซื้อร่วมกัน หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองคนเคยใช้หรือมีประสบการณ์และความทรงจำเกี่ยวกับมัน



“เคยถามหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ดันบอกแต่ว่า ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมัน” พัชตะโกนดังลั่นบ้านไปหมด “ก็ทิ้งมันไปได้เลย จะได้ไม่ต้องรกหูรกตา” ตั้นมองนิ่ง ๆ ดูพัชจัดการของที่ยังตกลงหรือตัดสินใจกันไม่ได้ ว่าจะทำยังไงกับมันดี “ง่ายจะตายไป” พัชหันไปคว้าเอาจานชามที่วางซ้อนกันจนสูงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะโยนมันลงไปบนพื้น เสียงดังลั่น จานชามเหล่านั้นแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ไปทั่วพื้นห้อง



“พัช มันจำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยหรือ” ตั้นถามด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า เมื่อการจัดการข้าวของที่เคยซื้อร่วมกัน กลายเป็นภาพของการที่คนที่เคยรักกันสองคน เลิกรักษาน้ำใจกันและกัน ไม่มีหลงเหลือถึงท่าทีที่อยากจะถนอมความรู้สึกของกันและกัน “ยังไงก็ต้องทิ้ง ตั้นอย่าเรื่องมากไปหน่อยเลย หรือว่าเมียใหม่ของตั้นอยากจะได้เอาไปใช้” พัชพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน



“ของเหลือเดนนะ” พัชยิ้มเยาะ “ชอบกินนักนี่ ใช่มั้ย ไม่ใช่หรือ” พัชเหยียดมุมปากให้ตั้งขึ้น จงใจจะยิ้มแบบนั้นให้กับตั้น ทางฝ่ายตั้นเองก็ขยับทำท่าทางจะพูดตอบโต้เช่นกัน แต่ก็พยายามข่มใจเอาไว้ให้ได้มากที่สุด “เรื่องจริงก็ทำใจยอมรับได้ยากหน่อยล่ะนะ น่าเห็นใจเป็นที่สุด” พัชยังไม่หยุด เพราะรู้สึกว่า พอตัวเองได้สะใจแบบนี้ มันคือสิ่งที่ตั้นสมควรจะได้รับมันเอาไว้



“ตอนแรกก็คิดแค่ว่า มันคงจะประหยัดเงินดี เมื่อต้องออกไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากจะมีข้าวของเครื่องใช้ติดตัวไปบ้าง” สุดท้ายแล้ว ตั้นก็เอ่ยคำพูดออกไป “แต่พอคิดดูแล้วการเริ่มต้นชีวิตใหม่” ตั้นเน้นคำพูดทุกคำเหล่านั้น “คงจะดีกว่า ถ้าทุกอย่างมันใหม่ ทำให้เจริญหูเจริญตา และที่สำคัญ สิ่งใหม่ ๆ มันต้องสร้างสุนทรีย์ทางโสตประสาทและทางอารมณ์” ตั้นพูดด้วยท่าทางเงียบสงบ



แต่นั่น มันเป็นคนละเรื่องคนละทางกับที่พัชรู้สึก พัชนั้นจ้องตากับตั้นเขม็ง ก่อนจะหยิบเอาจานชามมาทุ่มลงไปกับพื้น สายตาก็จ้องไปที่ตั้น มือก็จับจานมาเขวี้ยงลงพื้นจนไม่มีเหลือ คงอยู่แต่ความโกรธเกรี้ยว ที่ทำให้พัชนั้นยืนตัวสั่นเทิ้มไปหมด น้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอที่ขอบตา มันบ่งบอกถึงความเจ็บใจผสมกับความน้อยใจลึก ๆ ที่มันประกอบกันเป็นคำพูดไม่ได้



“เรื่องบ้านนี่จะเอายังไง” ตั้นถามถึงเรื่องที่สำคัญสำหรับเขามากกว่าการที่จะมายืนดูพัชระบายความโกรธความเกลียดเขา ด้วยการทำลายข้าวของแบบนี้ “ขายทิ้ง” พัชตอบสวนออกมาทันที ด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นเครือ “ไม่ได้” ตั้นปฏิเสธความคิดนั้น ส่ายหน้าอย่างจริงจัง ว่าเขานั้นไม่เห็นด้วย “ตั้นจะขอซื้อเอาไว้เอง” ตั้นพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้แล้ว “แต่บ้านนี้เป็นชื่อพัช จะทำอะไรกับมันยังไงก็ได้” พัชบอกด้วยท่าทางที่ไม่ต้องการให้ตั้นมาออกความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับมัน



“ที่มันเป็นชื่อของพัช ก็เพราะว่าตอนที่ตัดสินใจซื้อบ้างหลังนี้ ตั้นต้องการที่จะใช้มันเป็นหลักประกันชีวิตให้กับพัช” ตั้นพยายามที่จะใช้เหตุผล มากกว่าที่จะมาสาดอารมณ์ใส่กัน “และตั้นก็เป็นคนผ่อนมันมาด้วยตัวเอง” พัชทำท่าจะพูดขัดขึ้น แต่ตั้นก็พูดต่อออกมาด้วยความรวดเร็ว “เมื่อพัชไม่ต้องการความมั่นคงทางชีวิตจากตั้นแล้ว ตั้นขอซื้อมันจากพัช ที่ตั้นผ่อนมันมาจนหมด ช่างมัน ตั้นไม่ติดใจ แค่พัชขายมันให้ตั้นก็พอ” ตัดพูด เขาขบกรามจนแน่น เพื่อพยายามหยุดอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในจิตใจ



“สิบล้าน” พัชประกาศออกไป เสียงของพัชดังก้องไปทั่วทั้งบ้าน สิ่งที่ตั้นมองเห็นอยู่บนใบหน้าของพัช คือสีหน้าที่กำลังบ่งบอกว่า ตัวพัชเองนั้นรู้ดีว่า ตัวเองกำลังมีอำนาจต่อรองที่อยู่เหนือกว่าตั้น เมื่อตั้นตัดสินใจจะทำแบบนี้เอง มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำให้พัชเห็นใจ ก็ในเมื่อต่อจากนี้ไป ตั้นจะออกไปจากชีวิตของพัช เพื่อไปมีความสุขกับคนอื่น



“จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย” ตั้นหลุดคำถามนั้นออกมาจากปากในที่สุด “แน่ใจแล้วใช่มั้ย ว่าจะจบเรื่องของเราแบบนี้” ตั้นพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา ในใจของตั้นตอนนี้ มันเจ็บไปหมด เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังบอบช้ำอย่างเหลือแสน คำพูดที่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง จะต้องมาได้ยินมันพรั่งพรูออกจากปากของคนที่เคยบอกว่ารักกัน “งั้นเราไปเจอกันที่ศาล” สิ้นเสียงพูดของตั้น แจกันเจียระไนที่ตั้นซื้อให้พัช ก็ลอยปลิวไปกระทบเข้ากับผนังห้อง ตรงที่แม่ของตั้น เพิ่งเดินเข้ามาพอดี



“พัช ทำใจดี ๆ ก่อน พัชใจเย็น ๆ ก่อน” ตั้นที่กำลังกอดพัชเอาไว้กับแผงอกของเขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตั้นเข้าใจดีว่า ฮอร์โมนในตัวของพัชนั้น วิ่งขึ้นลงแบบนี้เป็นปกติ แต่ที่มันแปลกไปจากทุกครั้ง จนตั้นสังเกตได้ก็คือ พัชนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย แถมตัวสั่นเทิ้มไปหมด มันดูจะมากเกินไปกว่าการที่ความรู้สึกของพัชนั้นสวิงขึ้นลงเพียงเพราะสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้น



“พัชกลัว” พัชพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตั้นต้องส่งเสียงปลอบ ก่อนจะพยายามเช็ดน้ำหูน้ำตาของอีกฝ่าย ที่น้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสายนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้ง่าย ๆ “พัชกลัวว่าตั้นจะหายไปอีก” พัชมองหน้าของตั้น ที่มีสีหน้างง ๆ แทรกขึ้นมา “หายไป” ตั้นถามขึ้น หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ตั้นจะหายไปได้ยังไง แล้วตั้นจะหายไปไหน” ตั้นเช็ดน้ำตาให้กับพัช มองเห็นแววตาของพัช ที่ปนกันไปหมด ทั้งความเสียใจและความหวาดกลัว



“ตั้นจะไม่อยู่ตรงนี้กับพัช” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ปากคอสั่นไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะควบคุมได้เลยในวินาทีนี้ “แต่ทั้งหมด” พัชสะอื้นไห้ออกมาอย่างห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย “ทั้งหมด มันเป็นเพราะพัชเอง ตัวพัชเอง ที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ทุก ๆ เรื่องของเรา ตั้น ที่มันต้องพังลง” น้ำตาของพัชไหลลงมาเป็นสาย มันมาจากความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขาตอนนี้ ทั้งความรู้สึกผิด ทั้งความหวาดหวั่น ทั้งความเสียใจที่มันประเมินค่าไม่ได้เลย สำหรับคุณค่าของคนที่อยู่ตรงหน้าของพัชในตอนนี้



“มันเป็นเพราะพัชเอง ได้ยินมั้ยตั้น ว่ามันเป็นเพราะพัชเอง พัชเองที่ผิด พัชมันโง่ พัชเสียใจนะตั้น” พัชกำลังเหมือนคนที่เสียความมั่นใจไปหมดทุกอย่าง “พัชขอโทษ กับทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่ผ่านมา” ถึงตอนนี้ ตั้นรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย กับสิ่งที่พัชพูดออกมา แต่เขาจำไม่ได้ หรือไม่เคยเห็นเลยสักครั้งว่า พัชจะเคยทำอะไรอย่างที่เจ้าตัวพูดมา



“พัชอาจจะกังวลเรื่องลูกมากไป อย่างที่หมอบอก” ตั้นมองอาการฟูมฟายของพัช ที่กำลังเหมือนคนสติแตก สิ่งที่หมอเตือนตั้นมา ว่าพัชอาจจะมีอาการเครียด การตั้งครรภ์อาจจะทำให้พัชมีสภาพจิตใจที่เปราะบาง ด้วยฮอร์โทนที่ไม่คงที่ รวมถึงสภาวะจิตใจระหว่างตั้งครรภ์ “พัชกินยาหน่อยนะ จะได้รู้สึกสบายขึ้น จะได้ช่วยให้พัชหายเครียด คลายกังวลลง” ตั้นหยิบยาที่หมอให้เอาไว้ ที่มันจะช่วยให้พัชนั้นหลับได้ง่ายขึ้น จากที่ตั้นเคยบอกกับหมอเอาไว้ว่า พัชนั้นมีอาการไม่ยอมนอน นั่งอยู่จนถึงเช้า



“ตั้น ไม่เอา” พัชส่ายหน้าปฏิเสธทั้งน้ำตา เมื่อเห็นตั้นหยิบเอายามายื่นส่งให้ “พัชไม่อยากหลับ พัชไม่อยากกลับไปที่นั่นอีก พัชอยากอยู่กับตั้นนะ อย่าให้พัชหลับเลย อย่าไล่พัชให้ไปจากตั้นเลย พัชขอร้อง พัชอยากอยู่ที่นี่กับตั้นนะ ขอพัชอยู่ที่นี่ด้วยคนนะ ที่นี่ ที่บ้านของเราหลังนี้” ตั้นพยุงตัวให้พัชขยับขึ้นนั่ง เพื่อป้อนยาให้กับพัช กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งในลมหายใจของพัช โชยมาแตะจมูกของตั้น กลิ่นของมันแรงกว่าเมื่อครั้งที่แล้ว ที่ตั้นรู้สึก

**********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

พูดไม่ออก - ญาญ่าญิ๋ง

https://www.youtube.com/watch?v=NVoWi86NkDw


อยากมีถ้อยคำเพื่อฉุดดึงเธอ

I want to have some words to keep you around

อยากจะทำทุกอย่างเหนี่ยวรั้งตัวเธอ

I’d do anything I can to have you here with me still

เพียงแค่เจอสายตาที่แสนเย็นชาของเธอ

Just the way your eyes sent me chills

ก็เจ็บในใจพูดไม่ออก

It hurt me like I was burning in hell


อยากถามสักคำว่าผิดอะไร

I’d like to know how bad I did to you

สิ่งที่ทำเพื่อเธอผิดพลั้งยังไง

All the things I’ve done, what went wrong

แต่ฉันไม่มีเรี่ยวแรงไม่รู้จะเริ่มตรงไหน

But I am all burnt out, didn’t know where for me to start

เมื่อเธอยืนยันว่าเธอต้องไป

Hearing you insist that you had to go


ก็ฉันไม่รู้จะบอกเธอได้ยังไง

I don’t really know how to tell you this

จะบอกว่าฉันเสียใจ

That I am so, so sorry

และยังต้องการให้เธออยู่

And I need you to be here with me

แต่ฉันไม่รู้จะหยุดยังเธอได้ยังไง

But I didn’t really know how to stop you from leaving

เมื่อเธอไม่มีหัวใจเหลืออยู่

When you didn’t have feelings for me anymore

ก็ได้แต่ปล่อยให้เธอเดินจากฉันไป

All I could was to let you walk away from me


อยากถามสักคำว่าผิดอะไร

I’d like to know how bad I did to you

สิ่งที่ทำเพื่อเธอผิดพลั้งยังไง

All the things I’ve done, what went wrong

แต่ฉันไม่มีเรี่ยวแรงไม่รู้จะเริ่มตรงไหน

But I am all burnt out, didn’t know where for me to start

เมื่อเธอยืนยันว่าเธอต้องไป

Hearing you insist that you had to go


ก็ฉันไม่รู้จะบอกเธอได้ยังไง

I don’t really know how to tell you this

จะบอกว่าฉันเสียใจ

That I am so, so sorry

และยังต้องการให้เธออยู่

And I need you to be here with me

แต่ฉันไม่รู้จะหยุดยังเธอได้ยังไง

But I didn’t really know how to stop you from leaving

เมื่อเธอไม่มีหัวใจเหลืออยู่

When you didn’t have feelings for me anymore

ก็ได้แต่ปล่อยให้เธอเดินจากฉันไป

All I could was to let you walk away from me


เพียงอยากให้เธอรู้สิ่งที่ใจจะขอ

Just so you know what my heart truly wants

ให้เธอเข้าใจฉันบ้าง

I’m asking of you to understand me a bit

ก็ใจมันยังรักเธอแต่รู้ว่าไม่มีหวัง

That my heart always loves you though it’s so hopeless for me

จะทำอย่างไรหากไม่มีเธอ

How can I go on when I’m not with you?


ฉันไม่รู้จะบอกเธอได้ยังไง

I don’t know how to say it to you

จะบอกว่าฉันเสียใจ

I want to say that I’m drenched in sorrow

และยังต้องการให้เธออยู่

I do need you to stay with me

แต่ฉันไม่รู้จะหยุดยังเธอได้ยังไง

But I don’t know how I could stop the world from spinning

เมื่อเธอไม่มีหัวใจเหลืออยู่

When you heart says that I am no longer in there anymore

ก็ได้แต่ปล่อยให้เธอเดินจากฉันไป

All I did was that I just let you go


ก็ได้แต่ปล่อยให้เธอเดินจากฉันไป

What I did was that I let you walk away


ก็ได้แต่มองภาพเธอเดินจากฉันไป

What I did for you was to see you walk right out my life

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

“พัชล่ะ” แม่ของตั้นเอ่ยถาม เมื่อวางจานอาหารที่ซื้อมาจากตลาดลงบนโต๊ะ “เข้านอนแล้วครับแม่” ตั้นตอบแม่กลับไป สายตามองอยู่ที่เอกสารด้านหน้าจอแล็บท็อป ที่กำลังทำให้กับลูกค้า “ทำไมวันนี้นอนเร็วจัง ไม่สบายหรือเปล่า” ตั้นเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ ส่ายหน้าช้า ๆ ยิ้ม แล้วพูดกลับไปว่า “เปล่าหรอกครับ แค่พัชเขารู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย ดูเพลีย ๆ ผมเลยให้กินข้าวเย็นและก็กินยาบำรุงที่หมอให้มา แล้วพาเข้าไปพักในห้อง” ตั้นที่คิดว่าพัชคงจะเครียดจากการตั้งครรภ์อย่างทุกครั้ง ถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายออกมาก่อนหน้านี้ แต่ตั้นก็เลี่ยงเรื่องนั้นไป ไม่ได้บอกให้แม่รู้



“อ้าว ไม่ได้เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว นี่ของโปรดของพัชเลยนะ เดี๋ยวตั้นเอาเก็บเข้าตู้เย็นนะ พรุ่งนี้จะได้เอาออกมาอุ่นกินได้” ตั้นพยักหน้ารับคำ มองดูกับข้าวที่เป็นของที่พัชชอบกิน ที่แม่เป็นคนซื้อมา และมันทำให้ตั้นรู้สึกดีใจ ที่แม่ของเขาจำของชอบของพัชได้ แถมยังมีทั้งขนมและผลไม้ ที่ตรงตามที่หมอบอกเอาไว้ ว่าจะช่วยบำรุงทั้งทางร่างกายของพัช รวมทั้งความรู้สึกทางจิตใจอีกด้วย



“แม่ครับ” ตั้นมองไปที่แม่ของเขา ที่หญิงวัยกลางคนเดินเอาจานไปล้างที่อ่างล้าง “ตอนที่แม่ท้องผม แม่รู้สึก คือ ผมจะถามยังไงดี” ตั้นหัวเราะออกมาเขิน ๆ กับคำถามที่เขาไม่เคยสักครั้งที่จะถามผู้เป็นแม่ของตัวเองแบบนี้ ท่าทางของตั้น ทำให้แม่ที่หันมามอง ต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะกลับไปล้างจานที่อยู่ในมือจนเสร็จ หันเอาไปวางตรงที่คว่ำจาน แล้วจึงหันมาทางลูกชายของเธอ



“ตั้นจะถามแม่ว่า ตอนแม่ท้องตั้น แม่รู้สึกยังไงน่ะหรือ” คำพูดของแม่ ทำให้ตั้นพยักหน้าเร็ว ๆ แทนคำตอบ มันเป็นกิริยาท่าทางที่ติดตัวตั้นมาตั้งแต่เด็ก ที่แม่จะรู้ได้เลยทันทีว่า ลูกชายของเธอกำลังให้ความสนใจกับสิ่งสิ่งนั้น หรือเรื่องราวนั้น ๆ อย่างเต็มที่ “แม่แพ้ท้องอยู่เกือบ ๆ เดือนได้ แต่ไม่หนักหนาอะไรมาก ไม่มากเท่ากับที่พัชเขาเป็นหรอก” น้ำเสียงของแม่ที่ตั้นได้ยิน อ่อนโยน และดูจะเห็นใจพัชเอามาก ๆ



“จะมีที่แม่รู้สึกกลัวมาก ๆ ก็คงจะเป็นตอนที่ใกล้จะคลอดแล้ว” แววตาของแม่ที่ตั้นมองเห็น ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่า แม่ยังคงจำความรู้สึกที่บอกออกมานั้น ได้เป็นอย่างดี “ช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าที่ตั้นจะคลอด แม่มีอาการเลือดออก และนั่นทำให้แม่รู้สึกกลัวมากที่สุดในชีวิต แม่กลัวว่า แม่จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตั้น แม่คิดอยู่อย่างเดียว หรือว่า แม่จะต้องเเสียตั้นไป” เสียงของแม่เครือน้อย ๆ แต่ก็ยิ้มออกไปให้กับลูกชายของเธอ



“เลี้ยงตั้นยากกว่า” แม่เปลี่ยนน้ำเสียงในการพูด ให้ฟังดูเป็นการหยอกล้อลูกชายแทน น้ำเสียงจริงจังที่พูดถึงเรื่องความหวาดหวั่นในอดีต “ตอนตั้นเด็ก ๆ ตั้นก็มีมุมดื้อกับเขาอยู่เหมือนกัน” ตั้นนั้นก็จำได้ ว่าตั้นเคยโดนแม่ตีอยู่สองสามครั้ง และทุกครั้งที่ตั้นนึกย้อนไป ก็รู้ตัวดีว่า เขาเองเป็นคนที่ทำให้แม่ต้องโกรธ และเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องถูกลงโทษ รวมถึงครั้งล่าสุด ที่เกิดขึ้นตอนที่เขาโตเป็นหนุ่มแบบนี้แล้วด้วย

 

“โตแล้ว ผมก็ยังดื้ออยู่ ใช่มั้ยครับแม่” ได้ยินลูกชายของเธอถามมาแบบนั้น แม่ของตั้นไม่ได้ตอบในทันที ตั้นมองเห็นสีหน้าของแม่นิ่ง ๆ ไปนิดหนึ่ง ก่อนจะได้ยินแม่พูดขึ้นว่า “แม่อยากให้ตั้นดูแลพัชให้ดี ยิ่งตอนนี้ก็ท้องใหญ่มากแล้ว และอีกไม่นานก็จะคลอด แม่เป็นห่วงนะ ไม่อยากให้เกิดอะไรไม่ดี ตั้นต้องหมั่นคอยเอาใจใส่พัชเขาให้มาก ๆ” ตั้นรู้ดีว่า นี่คือเรื่องที่เขาเพิ่งพูดไป ที่ว่าได้ทำตัวดื้อกับแม่เมื่อตอนโตแล้ว และนั่นก็ไม่พ้น เรื่องที่เขาดื้อดึงที่จะอยู่กับพัช จนถึงมีลูกด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่แม่ของเขานั้นคัดค้านตั้งแต่เริ่ม

 

“หลานย่าคนแรก ต้องคลอดง่าย น่ารัก ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และต้องเลี้ยงง่ายกว่าพ่อของเขา” สุดท้ายแล้ว ต่อให้ตั้นจะดื้อ หรือหัวรั้นกับแม่ของเขาแค่ไหน แม่ของตั้นก็ยอมให้เขาเลือกคู่ชีวิตของเขาด้วยตัวเอง แม้ว่าใจจริงแล้ว แม่เองก็อยากจะบังคับให้ตั้น เลือกคนตามที่แม่เห็นสมควร และคนที่อยู่ในลิสต์ที่แม่เคยพูดบอกกับตั้น ว่าเขาควรที่จะเลือกคนในลิสต์นั้น ไม่มีพัชอยู่ในรายชื่อ

 

“พัชเองเขาก็ทำดีกับแม่” พัชที่แง้มประตูห้องนอน ยืนแอบฟังตั้นและแม่คุยกัน ถึงกับต้องสะดุดไปกับสิ่งที่ได้ยินออกจากปากของแม่ “แล้วพัชก็ยังน่ารักสำหรับตั้น เมื่อลูกของแม่เลือกแล้ว แม่จะไปพูดอะไรได้” ภาพสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ไหลทะลักเข้ามาในสมองของพัชที่ได้แต่ยืนตัวชาอยู่ตรงนั้น “เมื่อตั้นรักใคร แม่ก็ต้องรักคนคนนั้นไปด้วย เป็นปริยาย” พัชเห็นแม่ของตั้นพูดด้วยอาการที่ยิ้มออกมาทั้งสายตาและใบหน้า


 
แม่ของตั้นกำลังชั่งใจ ว่าควรจะเดินเข้าไปในบ้านตอนนี้ดีหรือไม่ เมื่อเสียงด่าทอกำลังดังลั่นออกมาจากในบ้าน สภาพแบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมา ตั้งแต่พัชตะโกนใส่หน้าเธอ ว่าเธอคือตัวกาลกิณี เป็นตัวบัดซบ ที่เป็นตัวการทำให้ชีวิตคู่ของคนอื่นต้องร้าวฉาน และยิ่งไปกว่านั้น คนเป็นแม่อย่างเธอ ยังใจดำมากพอ ที่จะไม่แม้แต่จะละเว้นเรื่องความรักของลูกชายตัวเอง ยังเจ้ากี้เจ้าการ ยุ่งวุ่นวาย ทำให้ความสัมพันธ์ของตั้นและพัชเละเทะ มีแต่ความขัดแย้ง จนถึงคราวที่จะต้องเลิกรากันไป



“แล้วพัชไม่คิดบ้างหรือไง ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดเช่นกันในเรื่องนี้” ตั้นพูดด้วยอาการอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ไม่ให้ระเบิดออกไป แม้ว่าใจอยากที่จะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องแคร์ใครหรืออะไรแล้วทั้งนั้น “ในความสัมพันธ์ ในเรื่องของความรัก มันไม่มีใครถูกทุกอย่าง หรือผิดไปเสียทั้งหมดหรอกนะ” ตั้นนั้นรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ที่จะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ซ้ำ ๆ เพราะอยากให้พัชเก็บเอาไปคิด เผื่อว่าการทะเลาะโวยวายอย่างที่เป็นอยู่กันนี้ จะเปลี่ยนมาเป็นการพูดคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์


 
“ตั้น เมื่อไหร่ตั้นจะหยุดทำตัวโลกนี้มีแต่ทุ่งลาเวนเดอร์เสียที แล้วยืดอกยอมรับอย่างที่ตั้นควรจะทำ และควรจะทำมันมาตั้งนานแล้ว ว่าตัวปัญหามันไม่ใช่พัช เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะพัชไม่เคยเริ่มมีปัญหากับใคร พัชไม่เคยไปแตะต้องใครก่อน จนกว่าจะมีคนมาปากร้ายใจมาร ทั้งแซะ ทั้งดูถูกพัช ว่าเป็นอีกะเทยอย่างนั้นอย่างนี้ อีกะเทยที่เป็นคนที่ลูกชายของเขาเลือกเอง พัชไม่คิดว่าพัชทำอะไรผิดนะตั้น กับการที่พัชพยายามปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง” พัชเชิดหน้าขึ้นด้วยความหยิ่งในตัวเอง



“ก็ถ้าเราเอามาใส่ใจไปเสียทุกเรื่อง เก็บเอาคำพูดทุกคำมาคิด ไม่ว่าคำไหนก็ทำให้เรารู้สึกเจ็บ ทำให้เราเสียใจได้ทั้งนั้นแหละ ตั้นเคยบอกกับพัชไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ว่าให้ทำหูทวนลมไปบ้าง บางทีแม่ตั้นก็พูดอะไรออกไป ด้วยความที่แม่เขาคาดหวังจากตั้นเอาไว้สูง แต่ตั้นไม่ได้อย่างใจเขา เขาก็ต้องมีผิดหวังบ้าง นี่ตั้นเลือกพัชนะ ตั้นยอมดื้อรั้นกับแม่ ดื้อดึงที่จะไม่ยอมทำตามใจแม่ ก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ถ้าตั้นแต่งงานมีลูก มีหลานให้แม่อุ้ม มันง่ายมากสำหรับชีวิตตั้นมากกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำ” สิ่งที่พัชได้ยินตั้นพูด ทำให้พัชหันขวับมามองด้วยสายตา ที่แทบจะกรีดเลือดกรีดเนื้อตั้นได้เลยทีเดียว

 

“โถ นี่ตั้นคิดว่ามันคือบุญคุณอันใหญ่หลวง ท่วมท้นรดหัวพัชขนาดนั้นเลยสินะ” น้ำเสียงที่กระแทกกระทั้น ประชดประชันของพัช ทำให้ตั้นรู้ดีว่า การทะเลาะกันในครั้งนี้จะเดินไปในทิศทางไหน “แล้วไม่ได้รู้สึกเลยถูกมั้ย ว่าพัชต่างหากที่เสียสละมากกว่านั้นตั้งเยอะ ที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับคนที่มีพฤติกรรมเหยียดคนอื่น รู้ทั้งรู้นะ แต่พัชก็ยังเลือกที่จะยอมทน ยอมทำเพื่อตั้น ที่ขอให้พัชลองดูก่อน ยอมย้ายเข้ามาในบ้านนี้ แล้วไหนล่ะ ที่ตั้นเคยบอกกับพัช ว่าทำดีแล้วมันจะต้องมีคนเห็นเข้าสักวัน วันนั้นของตั้นน่ะเมื่อไหร่ มันจะมาถึงตอนไหน มันจะมาก่อนที่แม่ของตั้น หาผู้หญิงมาแต่งงาน เพื่อเอากัน แล้วมีหลานให้มั้ย ทั้ง ๆ ที่ตั้นยังมีพัชยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ทนโท่” พัชไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะต้องมาทนอยู่ในสภาพแบบนี้

 

“ตั้นแค่อยากจะรักษาความรักของเราเอาไว้” ตั้นพูดด้วยความสัตย์จริง กับความรู้สึกที่เขามีมาโดยตลอด แม้จะรู้สึกแย่มาก ที่แม่ของเขาอยู่ ๆ ก็มาบอกกับเขาว่า การอยู่กับพัชจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ก้าวหน้าไปไหน พร้อมทั้งหาผู้หญิงมาให้ตั้นแต่งงานด้วย โดยให้เหตุผลว่า ตั้นจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างคนอื่น ๆ เขา ด้วยความที่แม่ของตั้น ไม่ต้องการทนเห็นลูกชายคนเดียวของเธอนั้น ต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่เธอไม่เห็นด้วย เพราะเท่าที่ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ข้อสรุปของแม่ก็คือ พัชไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้



“ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องรักษามันหรอก ไอ้ความรัก ความสัมพันธ์อะไรเนี่ย” พัชตวาดออกมาแทบจะในทันที ด้วยความโกรธ “ถ้าจะไม่คิดปกป้องอะไรกันเลย ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วทั้งนั้น ไปเป็นลูกแหง่ให้แม่หาเมียให้ แบบคนไม่รู้จักโตเถอะ อย่ามาคิดจะมีความรักดี ๆ ที่เป็นตัวของตัวเองเลย มันสร้างความลำบากให้คนอื่นเปล่า ๆ” แจกันใบนั้น ลอยปลิวออกจากมือของพัช ลอยละลิ่วไปกระทบที่ผนังห้อง ไม่ไกลกับที่แม่ของตั้นยืนอยู่ มือของแม่ตั้นที่ถือถุงกับข้าว ขนม และผลไม้นั้น สั่นระริก ก่อนที่แม่จะเดินไปที่ถังขยะ หย่อนถุงทั้งหมดนั้นลงไป แล้วเดินออกจากบ้านทั้งอย่างนั้น

 

พัชรีบหลับตาลง เมื่อได้ยินเสียงตั้นเปิดประตูเข้ามา ตั้นเรียกชื่อของพัชเบา ๆ เหมือนจะหยั่งว่าพัชนั้นนอนหลับไปหรือยัง แต่พอเห็นพัชไม่ขานตอบ หรือขยับตัว ตั้นก็เดินเข้ามาหยุดยืนที่ข้างเตียง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พัชรู้สึกถึงมือที่แตะมาที่ท้องของเขาอย่างอ่อนโยน สัมผัสนั้นมันสร้างความอบอุ่นใจให้กับพัชเป็นอย่างมาก ตั้นลูบท้องของพัชเบา ๆ รู้สึกได้ถึงการตอบสนองของลูกในท้อง ที่ใช้เท้าเตะโดนมือของตั้นเบา ๆ ความรู้สึกที่มีใครอีกคน ขยับเขยื้อนร่างกายในท้องของตัวเอง ทำให้พัชน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 
“อย่ากวนมากนักนะเจ้าตัวเล็ก” พัชหรี่ตาขึ้นมอง เห็นตั้นนั่งขัดสมาธิ ยื่นหน้ามาเกือบชิดท้องของพัช แล้วคุยกับเด็กทารกในท้อง “แต่เตะเก่ง เตะแรงขนาดนี้ โตขึ้นจะเป็นนักฟุตบอล หรือนักกีฬาเทควันโดดีเนี่ย” ตั้นพูดด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่ที่ริมฝีปาก พัชเห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องกลั้นก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยของตัวเอง ที่พอพยายามกลืนเจ้าก้อนนั้นมันลงไปคอไป มันก็ทำได้อย่างยากลำบาก สิ่งที่พัชเห็นตั้นทำ ทำให้น้ำตาของพัชเริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง


 
“อีกไม่นานเราก็จะได้เจอกันแล้วนะ จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าสามคน แล้วยังมีคุณย่าอีกคนด้วย ทุก ๆ คนเฝ้ารอการเกิดของหนูนะ” พัชนั้นได้แต่ปล่อยให้น้ำตาของตัวเองรินไหลล้นพ้นขอบตาลงมา ทำได้เพียงแค่การกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ก่อนที่จะเห็นตั้นรีบลุกขึ้น กดปิดไฟที่โคมไฟหัวเตียงให้ แล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เมื่อลูกค้าโทรมาตามทวงงานที่ตั้นสัญญาเอาไว้ว่าจะทำให้เสร็จ และเขาเองก็ทำได้ทันเวลา

 

เพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดกับพัช ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร กับการที่เธอขบคิดเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่แตก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับแน่ กับความประหลาดที่เธอได้พบเจอ วันหยุดยาวที่ผ่านมา ที่อยุ่ ๆ พัชก็หายไปแทบจะเรียกได้ว่า ต่อหน้าต่อตาเธอ แม้ว่าเธอจะเดินออกจากห้องคอนโดของพัชไปจริงก็ตาม แต่นั่น ก็เป็นแค่เพียงชั่วขณะเท่านั้น แล้วพอเดินกลับมา เธอก็หวังว่าจะยังคงเจอเพื่อนของเธอ ยังอยู่ในห้องนั้น ไม่ใช่พบแค่เพียงขวดเหล้าเบียร์มากมาย วางกองระเกะระกะอยู่ที่พื้นแบบนี้

 

และยิ่งไปกว่านั้น การที่เธอเลือกที่จะรอพัชอยู่ในห้องนี้ เพื่อที่จะรอว่าพัชจะกลับมาที่ห้องนี้เมื่อไหร่ เพราะไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าถ้าพัชจะออกไปข้างนอก แต่ทำไมทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ แล้วหายไปเสียเฉย ๆ แบบนี้หรือเปล่า เพื่อนสนิทของพัชคิด ว่าคือสาเหตุ ถึงว่าใคร ๆ ก็ไม่สามารถติดต่อพัชได้เลย เพราะเจ้าตัวเล่นหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย ซึ่งมันไม่มีคำอธิบายดี ๆ ใด ๆ ให้กับเรื่องนี้ได้เลย



แต่แล้วจู่ ๆ เมื่อเธอกำลังจะถอดใจ ด้วยทั้งอาหารและน้ำดื่มในห้องของพัชกำลังจะหมดลง เพื่อนสนิทของพัชเลยคิดว่า จะกลับห้องของตัวเองไปก่อน แล้วค่อยกลับมาที่คอนโดนี้ใหม่อีกครั้ง เพราะตัวเธอเองก็รู้สึกว่า กำลังจะเสียสติไปกับความไม่เป็นเหตุเป็นผลที่ต้องมารับรู้ เสียงกุกกักกระทบกันของขวดเหล้าและเบียร์ ทำให้เพื่อนสนิทของพัช วิ่งมาจากระเบียง แล้วเห็นพัชกำลังควานหาขวดเหล้าเหล่านั้น เพื่อคว้ามันมากระดกดื่มลงคอ แต่ขวดเหล่านั้น มันว่างเปล่า ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลงเหลืออยู่



“พัช นี่แกไปไหนมาเนี่ย แล้วแกกลับมาได้ยังไง แกไปไหนมา ทำไมติดต่อไม่ได้ จะไปไหนมาไหน ทำไมไม่เอามือถือไปด้วย แต่เดี๋ยวก่อน อยู่ ๆ แกก็กลับมาแบบนี้ นี่แกล่องหนหายตัวได้ หรืออะไรกันแน่ พัช แกพูดกับฉันก่อน” เพื่อนสนิทของพัช พยายามจะคว้าแขนของพัชให้หยุดอยู่นิ่ง ๆ เมื่อเจ้าของห้องเดินพล่านไปทั่วห้อง เพื่อหาขวดที่ยังคงมีน้ำสีเหลืองอำพันนั้นเหลืออยู่



“ฉันต้องกลับไป ฉันจะต้องกลับไปที่นั่นเดี๋ยวนี้” พัชพูดขึ้น แต่เหมือนกับมันคือการพึมพำบอกกับตัวเขาเองเสียมากกว่า “แกจะกลับไปไหน นี่แกเพิ่งเข้าห้องมา ว่าแต่ แกไปไหนมา ไหนแกตอบฉันมาก่อน” เพื่อนสนิทของพัชเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ที่พัชนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นตัวของตัวเอง และอาการสะเปะสะปะจิตใจเลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ยอมพูดจาดี ๆ ให้เข้าใจกันก่อน มันทำให้เพื่อนสนิทเอง ก็เริ่มจะทนไม่ไหวเช่นกัน


 
“พัช พัช หยุด พัช หยุดเดี๋ยวนี้” เพื่อนสนิทของพัชตะโกนใส่หน้าพัช ก่อนจะคว้าขวดเหล้ามาจากมือของพัช “นี่แกรู้ตัวมั้ย ว่าแกกำลังทำอะไรกับตัวแกเองอยู่” ใบหน้าของพัชเหมือนคนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “แกรู้ตัวมั้ย ว่าที่แกทำอยู่เนี่ย มันกำลังทำร้ายตัวแกเองมากมายขนาดไหน แกมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวแกเองมั้ย ว่าแกกำลังทำลายชีวิตตัวเอง การงานก็กำลังจะพังยับลง ความสัมพันธ์กับลูกค้าที่แกเขียนมันขึ้นมาด้วยสองมือ ด้วยการอาบเหงื่อต่างน้ำ แต่แกลบมันด้วยส้นตีนอย่างไม่ไยดี โดยเฉพาะความเป็นเพื่อนของเรา แกเห็นบ้างมั้ยพัช แกแคร์บ้างมั้ย” เพื่อนสนิทของพัช อยากให้พัชทำยังไงก็ได้ ให้มีสติมากขึ้นกว่านี้



“แกไม่เข้าใจ” พัชพูดขึ้น “ฉันต้องกลับไป ฉันต้องไปในที่ที่ฉันยังสามารถมีความหวัง ที่ที่ฉันยังมีโอกาส และมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย โอกาสสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฉัน” พัชเริ่มร้องไห้ออกมา “เหล้าพวกนี้มันช่วยได้” พับชี้ไปที่ขวดเหล้าในมือของเพื่อน ที่เพื่อนสนิทของเขาโยนขวดนั้นทิ้งลงถังขยะไป “เหล้าพวกนี้ มันช่วยอะไรแกไม่ได้ มันกำลังกลืนกินแกพัช มันทำให้แกดูไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่ในตอนนี้” มาถึงตอนนี้ เพื่อนสนิทของพัชกำลังคิดว่า เพื่อนของเธอเผชิญกับอาการติดเหล้าอย่างแน่นอน



“ฉันต้องการมัน เพราะมันพาฉันกลับไปที่ที่ฉันควรอยู่” เพื่อนสนิทของพัชส่ายหน้า ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดหาหมอที่รู้จักกัน ที่คิดว่าอาจจะพอช่วยเพื่อนของเธอได้ “แกต้องการหมอ แกต้องให้หมอมารักษาแก พัช” ได้ยินแบบนั้น พัชก็กระโดดคว้าโทรศัพท์ออกมาจากมือของเพื่อน “ฉันปกติดี แกแค่ไม่เข้าใจฉัน เหล้าพวกนี้มันช่วยฉัน ให้กลับไปหาช่วงเวลาที่ฉันควรจะอยู่ได้ ให้ฉันมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง” พัชพูดด้วยน้ำตานองหน้า เพื่อหวังว่า เพื่อนสนิทของเขาจะเข้าใจ

 

“โอกาสอะไรของแก โอกาสแก้ตัวอะไร” เพื่อนสนิทของพัชร้องถาม พัชที่กำลังสะอื้นไห้ พูดตอบกลับไป “ตั้น” และนั่นทำให้เพื่อนสนิทของพัชถึงกับต้องระเบิดอารมณ์ออกมา “พัช หยุดเดี๋ยวนี้ แกต้องหยุดเดี๋ยวนี้ มันไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้วทั้งนั้น ตั้นมันมีชีวิตใหม่ของมันไปแล้ว มันมีครอบครัว มันมีเมียมีลูกของมันไปแล้ว แกต้องหยุด” เพื่อนสนิทของพัชพยายามหยุดเพื่อนของเธอ ด้วยการเขย่าตัวของพัช

 

“แกเป็นคนบอกว่าไม่ต้องการมัน แกบอกว่า ไม่มีตั้น แกก็อยู่ได้ แกเป็นคนไล่มันไปเอง ถึงเวลาแล้วเหมือนกัน ที่แกจะต้องทำให้ได้อย่างปากว่า แกต้องมูฟออนได้สักที แกลืมมัน ไอ้ตั้นมันลืมแกไปแล้ว” พัชสะบัดตัวออกจากการจับของเพื่อน ร้องไห้ฟูมฟาย กรีดร้องอย่างโหยหวน ราวกับว่ากำลังจะขาดใจลงไปเสียตรงนั้น น้ำตาที่มันทะลักทลายออกมาจากขอบตา ราวกับทำนบเขื่อนได้แตกพังลง เป็นที่น่าเวทนาเมื่อเพื่อนสนิทของพัช ต้องมาเห็นพัชในสภาพนี้อย่างยิ่ง

*****************************************************



คำแปลเนื้องร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

สวิตช์ที่ใจ - เบิร์ด ธงไชย

https://www.youtube.com/watch?v=oqte6zw2qAg


หลายคืน ที่ไฟภายในห้องนอน

Many nights, lights in my bedroom

ก็ปิดจนมืดไป

They were turned off, in the dark

แต่ใจยังมองเห็นเธอ

But my heart still saw you there

ยังเห็นเธอ ที่ดูยังคงร่าเริง

Seeing you that can still be joyful

เมื่อเดินจากฉันไป

Though you walked right out of my life

กับใครบางคนของเธอ

With someone you called yours

เมื่อวันนั้น

On that day


ไม่ได้อยากนึกถึงอีกเลย

I didn't think I'd miss anything

ขอแค่ลืมเรื่องเก่า จบสิ้นกัน

Just forget the old days, get it all done


ก็อยากแค่นอน

I just want to lie down

แค่ปิดแสงไฟ

Turn off the lights

แต่ปิดหัวใจฉันเองไม่ลง

But my heart is still lit

ไม่เคยสักวัน

Cannot do it not one day

ทุกเรื่องที่น่าจะลืม

Everything I'm supposed to put behind me

ช่างลืมยากเย็นอย่างนั้น

Turn out it is too damn difficult

ฉันอยากจะมีสวิตช์ไฟที่ใจ

I wish I could own that switch

อย่างเธอ

Like you did


เห็นเธอ เมื่อคราวที่เรารักกัน

Remember you, when we were still in love

ช่างดูว่ารักกัน

And it looked we were such deeply in love

ไม่มีวันแปรผันไป

Nothing could ever change us


และถึงคราว

But when the time came

ที่เธอจะลืมฉันลง

That you just simply forgot about me

ก็เปลี่ยนได้ข้ามวัน

You just did it over the night

และเธอก็ลืมง่ายดาย

And that's all it take for you to do it

ตั้งแต่นั้น

Since the day you're gone


ไม่ได้อยากนึกถึงอีกเลย

I didn't think I'd miss anything

ขอแค่ลืมเรื่องเก่า จบสิ้นกัน

Just forget the old days, get it all done


ก็อยากแค่นอน

I just want to lie down

แค่ปิดแสงไฟ

Turn off the lights

แต่ปิดหัวใจฉันเองไม่ลง

But my heart is still lit

ไม่เคยสักวัน

Cannot do it not one day

ทุกเรื่องที่น่าจะลืม

Everything I'm supposed to put behind me

ช่างลืมยากเย็นอย่างนั้น

Turn out it is too damn difficult

ฉันอยากจะมีสวิตช์ไฟที่ใจ

I wish I could own that switch

อย่างเธอ

Like you did


ก็อยากแค่นอน

I just want to lie down

แค่ปิดแสงไฟ

Turn off the lights

แต่ปิดหัวใจฉันเองไม่ลง

But my heart is still lit

ไม่เคยสักวัน

Cannot do it not one day

ทุกเรื่องที่น่าจะลืม

Everything I'm supposed to put behind me

ช่างลืมยากเย็นอย่างนั้น

Turn out it is too damn difficult

ฉันอยากจะมีสวิตช์ไฟที่ใจ

I wish I could own that switch

ได้ไหม

Couldn't I?


ฉันคงไม่ลืม

But I can't really do it

ฉันลืมหน้าเธอไม่ลง

I cannot forget your face

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด