[ 22 ]ฟ้ามืดหลังเงาเมฆ“ประกาศ...นายนาวา ภูก้อนคำ นักเรียนชั้นม.4 ห้อง 5 เชิญพบผู้อำนวยการด่วน” ประโยคตามสายในเวลาใกล้เคียง ดังไล่เลี่ยกันสามครั้ง
“มึงมาสายจนกระทั่งผอ.เรียกพบเลยเหรอวะ ?” ตามติดด้วยคำถามจากไอ้เป๊บซี่ซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยหรือกำลังเยาะเย้ยผม ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้มาสาย
แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยสนใจอัตลักษณ์แห่งบุรุษเพศมาก่อน เห็นของเพื่อนก็เหมือนกับเห็นของตัวเอง ไม่เคยรู้สึกอะไร แต่เหตุใด...ความเสน่หาต่อความเป็นตัวตนของนายอัดลมจึงถีบตัวตื่นอย่างน่าหวาดหวั่นเช่นนั้น
กลางดึกในคืนที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่หนังตาพยายามชักม่านลงแต่ใจของผมกลับดื้อดึง กว่าผมจะข่มตาให้หลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบค่อนคืน
ถึงแม้นายอัดลมจะไม่กล้าเข้าใกล้ผมอีกเพราะผู้พิทักษ์ข้างกาย อีกทั้งยอมทำตามคำสั่งโดยมีแค่เสียงบ่นเพียงเล็กน้อยให้ได้ยิน ในขณะเขานอนพลิกตัวไปมาอยู่บนพื้นซึ่งห่างออกไปอีกหลายช่วงตัว แต่ทว่าการกระทำสด ๆ ร้อน ๆ ของเขาก็สร้างความทรมานแก่ผมไม่ใช่น้อย
ชั่วโมงกระสับกระส่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า สิ่งหนึ่งถูกเฝ้าครุ่นคิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สับสนอยู่กับความปรารถนาของตัวเอง แม้กระทั่งในขณะซึ่งผมกำลังจ้วงขาตรงไปที่ตึกอำนวยการ คำถามที่ไม่มีคำตอบก็ยังคงวกวนอยู่
เจ้าหน้าที่หญิงหน้าห้องผู้อำนวยการโรงเรียนเคาะประตูและพาผมเข้าด้านใน บนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามกับผู้อำนวยการ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหลังตรงในชุดผ้าไหมสีเงินยวง มุ่นผมสีดำขลับถูกจัดทรงเป็นมวยต่ำไว้ด้านหลังศีรษะอย่างประณีต ปักด้วยปิ่นหยกสีงาช้างเข้าชุดกัน
“ดาวดังที่อยากเจอตัว...มาพอดีเลยครับ” หนุ่มใหญ่อายุใกล้วัยทองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนั้นถึงได้เอี้ยวตัวมา
เจ๊เชอรี่...!
การเจอกันครั้งที่สอง คนของอาชาญก็ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง ผมยังไม่รู้จุดประสงค์ที่เธอมาเยือนถึงห้องผู้อำนวยการของโรงเรียนในวันนี้
“อ้าว ! นายน้ำ...สงสัยผมคงต้องกำชับคุณครูประจำชั้นเรื่องมือไม้ของเด็กนักเรียนสักหน่อยแล้วล่ะครับ” ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวตำหนิกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ ผมจึงยกมือขึ้น พลางโน้มศีรษะลง
“เป็นความผิดของดิฉันเองค่ะ ดิฉันจะเอาใจใส่เด็กในปกครองให้มากขึ้น” เสียงที่พูดออกตัวของเจ๊เชอรี่นั้น ฟังดูคล้ายกับคนเป็นหวัด
“เรื่องทุนการศึกษาที่ดิฉันบอกเอาไว้ ทั้งหมดขอให้ทางโรงเรียนสรรหาเด็กที่เรียนดีแต่ยากจน แล้วติดต่อกับคนของดิฉันให้จบเรื่องและเรียบร้อยภายในเดือนนี้...พอจะเป็นไปได้ไหมคะ ?”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดครับ เท่าที่ทางคุณได้อนุเคราะห์ให้คอมพิวเตอร์มา เราก็ใช้ประโยชน์ส่วนหนึ่งในการจัดเก็บข้อมูลของนักเรียน สามารถค้นประวัติของเด็กกว่าครึ่งหมื่นได้อย่างรวดเร็ว”
ผู้อำนวยการกล่าวอย่างเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางผม
“แต่ว่า...เด็กคนนี้โดดเด่นในด้านกิจกรรมมาก เฉิดฉายเป็นดาวเสียจนผมไม่ต้องดูข้อมูลของเขาเลยล่ะครับ”
“แต่ถ้าการเรียนเด่นเหมือนกิจกรรม วันนี้ดิฉันก็คงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่”
“ปัดโถ่ !...อย่ากังวลไปเลยครับ เรามีอาจารย์แผนกสอนพิเศษที่เยี่ยมยอด แหม...อันที่จริง ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรกว่า นายคนนี้อยู่ในปกครองของคุณ ผมจะเคี่ยวเข็ญอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างหนัก ไม่ให้ปล่อยปละละเลยตามแต่ใจเด็กแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสมัยนี้ ยิ่งเราปล่อยให้พวกเขาเลือกเส้นทางกันเองก็อาจหลงทางกันได้ง่าย ๆ ...คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ...”
ดูเหมือนลิ้นของใครบางคนจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ อีกสักพักก็คงจะถึงตาตุ่ม
ครั้นแล้ว...
“เห็นทีดิฉันต้องขอตัวลา”
พอสุภาพสตรีลุกขึ้น บุรุษก็ทำท่าจะลุกตามแต่ทว่าเขาจำต้องนั่งลงที่เดิม เมื่ออีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นว่า
“เอ่อ...ไม่ต้องส่งให้ยุ่งยากหรอกค่ะ แล้วก็...ดิฉันต้องการคุยกับเด็กในปกครองเป็นการส่วนตัวด้วย”
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้อำนวยการหนุ่มใหญ่จึงพยักพเยิดให้ผมเดินตามหล่อนออกไป
ตรงโถงด้านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ชุดโต๊ะเก้าอี้หลายตัวว่างเปล่าอยู่ใต้โดมหลังคา เนื่องจากอยู่ในเวลาเรียน ถ้าหากเป็นเวลาพัก บริเวณนี้จะคลาคล่ำไปด้วยเด็กนักเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษา บ้างก็คุยกันเป็นกลุ่มอย่างเฮฮา แต่บางคนก็เสวนากับอาจารย์เพียงลำพังอย่างเงียบ ๆ หากมองไปทางด้านขวา ใกล้ต้นอินทนิล จะเห็นกระดานบอร์ดที่จัดวางเรียงรายโดยกลุ่มอาจารย์แนะแนว ซึ่งมีห้องพักครูซ่อนอยู่ด้านหลัง
ชายในชุดดำสองคนรีบกุลีกุจอจากโต๊ะตัวหนึ่งมาดึงเก้าอี้ให้พ้นขาโต๊ะ พอเจ๊เชอรี่นั่งลง เขาก็โค้งคำนับ และทำแบบเดียวกันกับอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วก็มองผมอย่างนอบน้อม
ก่อนจะนั่ง ผมส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยที่มุมปาก
“ฉันจะไม่บังคับฝืนใจเธอ แต่อยากจะบอกว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำเป็นความประสงค์ของคุณเพ็ญพักต์ ถ้าเธอมีใจรักอาทั้งสองของเธออย่างแท้จริง ฉันคิดว่าเธอต้องเลือก...”
ผู้หญิงของอาชาญเหล่ตามองจี้หยกของผม ในขณะพูด เวลาเดียวกันชายชุดดำอีกคนก็ยื่นกระดาษหลากสีมาให้ มันคือตารางเรียนซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ใจแม้แต่จะมอง
คำพูดบางคำของเจ๊เชอรี่ทำให้ผมเหลือกตาขึ้น อยากจะถามว่าหล่อนรู้จักอาเพ็ญดีแค่ไหนถึงอ้างเป็นตุเป็นตะแบบนั้น อย่างไรก็ตามผมเลือกที่จะหยิบกระดาษมาจากชายชุดดำซึ่งยังคงโน้มศีรษะคอยท่าอยู่ ก่อนจะตอบกลับฝ่ายนั้นอย่างสุภาพว่า
“ถ้าคิดจะเรียนเพิ่ม ผมคงเรียนตั้งนานแล้วล่ะครับ”
“การเรียนของเธอแย่มากถึงมากที่สุด...”
ทว่า แม่เจ้าประคุณไม่คิดจะถนอมน้ำใจกันบ้างเลย
“เธอเป็นคนฉลาด แต่...โลกใบนี้อาศัยแค่ความฉลาดอย่างเดียวไม่สามารถนำพาตัวเองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาได้หรอกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนคนนั้นไม่รู้จักการป้อนอาหารให้กับสมองของตัวเอง”
เพราะหล่อนเป็นคนพูดจาฉะฉานและตรงประเด็นเช่นนี้นี่เอง อาชาญถึงให้เธอเป็นคนจัดการทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องของผม ซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องของหล่อน !
“ถ้าอาชาญเป็นคนบอกให้คุณทำ ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ดูเหมือนว่าอาชาญจะไม่ได้บอกคุณด้วยกระมัง เรื่องการเรียนของพวกผมน่ะ...มีคนดูแลแล้ว และเป็นข้อตกลงที่พ่อกับอาเพ็ญสมัครใจที่จะให้คนนอกเข้ามาดูแล... ผมต้องขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ว่าผมกับไอ้แชมป์มีพ่อทูนหัวรับผิดชอบในเรื่องนี้แล้ว” ผมบอกเธอ ขณะลุกขึ้นยืน
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะถัดไปทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเมื่อผมเดินผ่านและยิ้มแห้ง ๆ ให้เธอ ยอมรับอย่างชาชินว่าตัวเองคุ้นเคยกับอาการเหล่านี้ของรุ่นน้องแล้ว ในบางครั้งบางคนส่งเสียงกรี๊ด ลอยแว่วตามหลังมาด้วยซ้ำ
“เธอไม่คิดบ้างเหรอว่า พ่อทูนหัวก็ต้องการเห็นผลการเรียนในทางที่ดีของเธอเหมือนกัน”
เสียงจากด้านหลังทำให้ขาของผมชะงัก
“อาของเธอ...บอกชั้นว่า พ่อทูนหัวยื่นคำขาดมาแล้ว ถ้าหากเทอมหน้านี้ผลการเรียนของเธอไม่ดีขึ้น ทางนั้นจะยกเลิกข้อตกลงทั้งหมด เธอรู้ใช่ไหมว่า ตัวเองกำลังทำให้แชมป์ซึ่งมีผลการเรียนดีมาโดยตลอด ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
ผมเจอไอ้แชมป์ตอนเย็น หลังเลิกเรียนที่หน้าห้องธุรการ ในขณะลงทะเบียนเรียนพิเศษนอกเวลา นอกจากมันจะไม่ว่าอะไรในเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ก็ยังเห็นดีเห็นงามด้วย
“กูว่าเขาคงรักพ่อมาก ถึงได้ยอมทำทุกอย่าง”
ไอ้แชมป์ให้ความเห็นเพียงแค่นั้น
“แล้วมึงอ่ะ...โอเคไหม ที่มีเค้าเข้ามาในบ้าน”
ผมถามเพราะรู้สึกห่วง ขณะกรอกเอกสารไปด้วย
“มีหรือไม่มีเขา พ่อก็รังเกียจกูเหมือนเดิม” มันถอนหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “เมื่อเช้ากูเจอป้าเอิบกำลังจะไปโรงพยาบาล แกบอกว่าเมื่อคืนมึงเฝ้าควายคนเดียว ถ้างั้น...คืนนี้กูไปนอนเป็นเพื่อนนะ”
ผมตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด รู้สึกราวกับว่าความเครียดทั้งหมดถูกคลี่คลายลงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียว
คืนนี้ป้าเอิบต้องนอนเป็นเพื่อนป้าอาบ สาเหตุจากลุงแดร็กมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง เนื่องจากพยาบาลเฝ้าไข้มีน้อย หมอจึงให้ญาติช่วยกันเช็ดตัวผู้ป่วยบ่อย ๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย พ่อบอกว่าถ้าลุงแดร็กรอดพ้นคืนนี้ไปได้ อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้ง ๆ ที่ผมอยากบอกพ่อให้ยกเลิกความคิดเรื่องเฝ้าควายของนายอัดลมเสีย แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะไม่อยากเห็นแม่เสียความรู้สึกมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าหากได้ยินเรื่องนี้อีกเรื่อง
ขณะเดียวกันความคิดส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าในเมื่อคืนนี้ผมมีไอ้แชมป์เป็นเพื่อนแล้ว นายอัดลมคงไม่กล้าทำอะไร สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องถอยฉากไปเอง
กว่าผมจะเก็บกวาดงานแล้วเสร็จ ผืนฟ้าก็กลายเป็นสีเทาหม่น ดาวดวงน้อยดวงใหญ่เริ่มดารดาษทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ
ไอ้แชมป์กำลังเดินย้อนมาด้วยความเร็ว ผมสาดไฟใส่มัน เพิ่งจะเห็นไอ้แชมป์ยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหกปี จึงเย้ามันว่า
“ไอ้เผือกหายเหรอวะ มึงถึงได้รีบขนาดนั้น”
“แถวนี้ไม่มีขโมยคนไหนที่ไม่รู้จัก ‘อัด เขาสาปยา’ หรอก...กูดีใจยิ่งกว่าเห็นเกรดสี่ ที่รู้ว่ามึงเข้ากันได้ดีกับลูกพี่”
ผมชักรู้สึกไม่ชอบมาพากล ขณะเดียวกันไอ้แขมป์ก็กำลังเดินเลยผมไป
“แล้วนั่น...มึงจะไปไหนวะ ?”
“กูเห็นด้วยกับลูกพี่...ถ้ามีกูอยู่ด้วย มึงก็ให้ความสำคัญกับกู แทนที่จะเอาเวลาไปช่วยลูกพี่ดูแลต้นทานตะวันให้ออกดอกไวไว”
“........”
“กูคิดว่ากูกลับบ้านดีกว่า”
ไอ้แชมป์พูด แล้วก็เดินจากไป โดยไม่คิดจะมองสีหน้าของผมเลย