{Shall I be your husband?} พี่ครับผมขอเป็นสามีพี่ได้มั้ย?
เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือ...อะไรครับ?
“โอ๊ยๆๆๆๆ เบาดิเบา” เสียงร้องโหยหวนชวนสยิวกิ้วดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องน้ำแล้วดูเหมือนว่าจะทะลุตามช่องประตูไปสู่ด้านนอก แต่ ณ จุดๆนี้ให้มาเอามือปิดปากแล้วกลั้นเสียงน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ! ชลธีจะไม่ทน ผมเอามือขยุ้มกลุ่มผมของคนที่อยู่เบื้องล่าง คนที่ยองๆจัดการกับของบางอย่างเบื้องล่างอย่างใจจดใจจ่อ
“เสียงดังไปถึงข้างห้องแล้วพี่ เดี๋ยวคนเขาก็แตกตื่นกันหมดหรอก” ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมาเอ็ดเสร็จก็กลับไปสานต่อสิ่งที่ตนเองทำอยู่
“ก็มึงทำกูเจ็บอ่ะ”
“ก็ผมบอกให้พี่อยู่นิ่งๆไง ขยับตัวยุกยิก มือผมไปโดนทีมันก็เจ็บดิวะ” อ้าวมีขึ้นเสียงใส่กูอีก นี่กูคนเจ็บนะ ถนอมกูหน่อย ผมไม่กล้าเถียงต่อ กลัวมันทำแรงๆแบบไม่แคร์ใจ เลยได้แต่กัดปากน้ำตาซึมมันต่อไป
“จะเอาออกแล้วนะ”
“ฮือออ ค่อยๆนะ” เสียงอ่อยเลยกู
“หนึ่ง ส่อง...”
“ดะ เดี๋ยวๆ” ยกมือขึ้นห้ามทัพแทบไม่ทันเกือบโดนซั่มแล้วไง
“อะไร”
“มะ...มึงไม่ต้องนับได้มั้ยอ่ะ”
“หา?”
“ถ้าจะถอนก็ถอนออกมาเลย ไม่ต้องให้จังหวะ ไม่ต้องนับ กูไม่อยากรับรู้ กูไม่อยากจินตการถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
“แต่พี่ต้องยอมรับความจริงนะ ว่ามันปักอยู่ในตัวพี่อยู่” โง้ย ก็นั่นแหละที่กูไม่อยากรับรู้ ความเจ็บนี้กูพอจะจินตนาการได้ว่ามันลึกสุดใจ กูทรมานเกินไป กูไม่ไหวแล้ว
ฉึ่บ!!
“เชี่ย!!!” เต็มๆเลยครับงานนี้ มันมาแบบทีเผลอ ความเจ็บแม่งส่งตรงมาแบบผ่านเส้นใยไฟเบอร์นำแสง แล่นริ้วจากช่วงล่างกระจายไปทั่วทั้งสรรพางค์ “ฮือออออ เชี่ยแทน กูเจ็บ ทำไมไม่บอกก่อนวะ สัด โอ๊ย เจ็บโว้ยยยย”
“ล้างน้ำก่อนเถอะ” ร่างสูงจับทั้งฝ่าเท้ากระเตงๆไปจนถึงก๊อกน้ำปล่อยให้สายธารชำระล้างสิ่งสกปรกที่ออกมาพร้อมกับของเหลวสีแดงฉาด
“ฮืออออ เลือด เลือด”
“เมื่อกี้พอจะนับก็ว่า พอดึงเลยก็โดนด่าอีก แล้วนี่เห็นเลือดแล้วเป็นอะไร อย่าแปลงร่างเป็นเอ็ดเวิร์ดในทไวไลท์นะ ผมไม่ยอมเป็นเบลล่าให้พี่ด้วย”
“กูก็ไม่ยอมเป็นพี่โป๊บให้มึงหรอก”
“คนละเบลล่าแล้วพี่” เชี่ยมันขำ เสียงดังซะด้วย ดังยิ่งกว่าที่กูร้องครวญครางในห้องน้ำเมื่อกี้อีก “เอาล่ะครับเบลล่า ชลธี ได้เวลาไปทำแผลต่อที่ข้างนอกแล้วครับ” มันจับเอาผ้าขนหนูผืนเล็กใกล้มือมาพันแผลอย่างลวกๆ สัดนั่นมันผ้าเช็ดหน้ากู มึงเอามาพันตีนได้ไง นึกด่าในใจแต่เถียงไปก็เท่านั้น เพราะแผลตรงหน้าผมสำคัญกว่า
อย่าถามหาฉากวาบหวิวชวนคิดลึกกับคนที่พึ่งจะมานึกคบกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเลยครับ ทุกอย่างที่บรรยายมาข้างต้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากความซุ่มซ่ามของผมล้วนๆไม่มีวัวมาผสม เออกูควายเองแหละ ควายที่ระริกระรี้ดีใจกับผลสอบปลายภาคและการกลับมาของวันหยุดที่สุดแสนจะสั้น...วันหยุดหลังสอบไฟนอลสามสัปดาห์
หลังจากที่ไปห้างหาซื้อวัตถุดิบเพื่อทำสุกี้แดกฉลองรับวันสุดท้ายแห่งการเรียนร่วมกันกับไอ้แทน...แฟนอย่างเป็นทางการของผม พวกเราก็ตรงดิ่งมาที่หอ มาคุ้ยหม้อสุกี้ที่เก็บอยู่ในดินแดนลับแลหลังกำแพงที่แขวนรูปโมนาลิซซ่า พอเปิดออกมาโดยการพลิกรูปไปสี่สิบห้าองศาสัญญาณเตือนภัยก็มาเลยจ้า ไม่ใช่เตือนว่ามีขโมยเข้ามาโจรกรรมรูปไป แต่เป็นเพราะกูไม่ใส่ใจเลยเผลอทำรูปตกใส่ขา เศษกระจกแม่งแตกกระจายห่าไปตามพื้น แล้วด้วยความโง่ไม่มีที่สิ้นสุดกูจึงขยับขาไปเหยียบเข้าให้จนเศษบาดลึกลงไปที่ฝ่าเท้า ทั้งๆที่ไอ้แทนมันร้องห้ามว่าอย่าขยับแต่กูก็ยังจะเสือกสร้างแผลให้ตัวเองอีก แม่จ๋าหนูจิร้อง
พวกเราสองคนเลยต้องมาจมอยู่ในห้องน้ำจนถึงเมื่อสักครู่นี้ไง
“กดแผลไว้ก่อน” พอไอ้คุณสุรบถมันลากผมมาถึงปลายเตียงก็จัดแจงท่านั่งแถมเน้นยำให้กดผ้าขนหนูไว้ สัดกูเจ็บ แล้วให้กูกดแผลตัวเองเนี่ยนะ ใครมันจะไปกล้าวะ “กดให้มันมีแรงดิพี่ เดี๋ยวเลือดก็ไม่หยุดไหลหรอก” เออเว้ยดีแต่สั่ง แล้วมึงนั่งทำอะไร หยิบมือถือขึ้นมากดเล่นเนี่ยนะ มันใช่เวลาป่ะ เป็นห่วงกันรึเปล่าเนี่ยยย
“ไอ้แทนมึงเนี่ยนะ...”
“ประคบไว้สิบห้านาที หรืออาจทำให้เลือดไหลช้าลงด้วยการยกบาดแผลขึ้นเหนือหัวใจ” อ้าวเฮ้ย ผิดคาด มันกำลังหาวิธีทำแผลให้ผมอยู่ แต่จู่ๆมันก็ย่อตัวคุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าผม สภาพตอนนี้ทำเอาใจสั่น เพราะเหมือนมันกำลังจะขอความรัก สงสัยกูดูหนังโรแมนติกมากไปช่วงนี้ จะคิดจะจินตนาการแต่ละทีเล่นเอามโนถึงขั้นแต่งงาน
“เลือดไหลช้าลงรึยังครับ”
“เอ๊ะ? เมื่อกี้มึงทำอะไรให้กูรึยัง ไหนบอกจะต้องยกบาดแผลขึ้นเหนือหัวใจ” แต่นี่มึงยังไม่ทำอะไรให้กูเลยนี่หว่า
“ก็ใจของพี่อยู่ที่ผมแล้ว ตอนนี้พี่อยู่เหนือผม เลือดไหลช้าลงรึยังครับ”เฟี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“เวรเอ๊ยยยยย เล่นอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา เลือดกูจะไหลหมดตัวอยู่แล้วนะเว้ย เชี่ยแทน” เอาอีก เอากับมันดิ มันกลั้นขำใส่ผม
“พี่ก็เว่อร์ไปแผลไม่ลึกหรอก ผมดูแล้ว อยากมากก็แค่...”
พรึ่บ!!
เกร๊ซซซซซซซซซซซซซซ เกือบสาวแตก แม่งแหกขากูไม่ดูสถานที่ ข้างที่มีบาดแผลแม่งลอยหวือขึ้นสูงกว่าหนังศีรษะ นี่มึงจะปรับพื้นฐานให้กูไปเล่นบัลเล่ย์ หรือเข้าคณะลิเกละครสัตว์เหรอวะ!!
“ทะ...ทำอะไรของมึงวะ!!”
“ยกแผลขึ้นเหนือหัวใจ” มันไม่เหนือมากไปเหรอมึ๊งงงงง “เอาขาพาดไว้ที่ไหล่ผมก่อนละกัน แถวนี้ไม่มีราวตากผ้าซะด้วยสิ”
“ถึงมีมึงก็อย่าคิดว่ากูจะพาด ขากูขึ้นถึงมั้ย ฮะ ถามจริง ขากูพาดขึ้นมั้ย ถามใจมึงดู!!”
“งั้นก็พาดไหล่ผมไปก่อนเนี่ยแหละ”
“ก่อนที่มึงจะตัดสินใจมึงช่วยนั่งก่อนได้มั้ยไอ้คุณชาย!!” มึงสูงเท่าไรมึงคิดดู แล้วให้กูเอาขาพาดกับส่วนสูงเกินร้อยแปดสิบอย่างมึงเนี่ยนะ กายกรรมเปียนยางแล้วมึงเอ๊ยยย
สภาพผมตอนนี้แม่งยิ่งกว่าเล่นกล้ามเนื้อท้องทำท่าวีเชฟอีก กูตึงไปหมดแล้ว เกร็งไปทั้งตัว แผลกูจะปริก็คราวนี้ ในที่สุดไอ้แทนมันก็ยอมเป็นสายย่อชันเข่าข้างหนึ่งกับขอบเตียง แปลงร่างเป็นที่รองรับตีนกูชั้นดี
“เหงื่อออกเยอะจังเลยนะพี่” มันยื่นมือมาซับเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้าผม “หรือเลือดออกเยอะไป ทำไมหน้าดูซีดๆ”
“ก็มึงนั่นแหละ ให้กูเกร็งท้องอยู่ตั้งนาน ทำร้ายกูชัดๆ”
“ถ้าผมขยับเข้าใกล้พี่ตอนนี้ น่าจะเป็นการทำร้ายพี่มากกว่านะ” หา? ผมลืมสังเกตไปว่าท่าทางไอ้แทนแม่งโคตรหมิ่นเหม่ อาจจะเพราะท่าขาชี้ฟ้าของผม และเข่ายันขอบเตียงของมัน เลยทำให้ส่วนที่เป็นอะไรๆมันช่างเหมาะเหม่ง ลงตำแหน่งพอดิบพอดี ....จะอะไรซะอีก ก็เป้ามันกับประตูหลังผมไงครับ...สึดดดดดด
“อย่าให้กูต้องรู้สึกไปมากกว่านี้ได้มั้ยวะ เพราะมึงพูดเนี่ยแหละ มันจะทำให้กูเอาแต่จ้องเป้ามึงอ่ะ”
“พี่อ่ะ พูดอะไรก็ไม่รู้ ผมเขินนะ”
“กระเดะแล้ว อย่าทุบน่องกู มันสะเทือนแผล” ดีดดิ้นทำท่าอย่างกับสาววัยแรกแย้มกูขนลุก
“เออ...ลืมไปเลย” มันประคองน่องผมด้วยมือสองข้าง แล้วสืบเท้าถอยหลังออกไปจนหน้าหล่อๆเสมอตีนผม
“อย่าบอกนะ ว่ามึงลืมแผลกู” ไอ้แทนค่อยๆขยับผ้าเช็ดหน้าที่ตอนนี้กลายมาเป็นผ้าเช็ดตีนออก แล้วมองฝ่าเท้าผมเป็นการใหญ่ แม่งทำท่าอย่างกับจะดูดวงให้กูอีกรอบ “ไม่มีไฝ มึงไม่ต้องจ้อง”
“ฮ่าๆ พี่ยังจำที่ผมพูดได้อีกเหรอ แต่คราวนี้คนโสดมีคู่แล้วนะ” มันยิ้ม
“จ้า ดูดวงโคตรแม่น แต่ก่อนจะเป็นหมอดูมึงช่วยมาเป็นหมอทำแผลให้กูก่อนเถอะ บาดทะยักจะกินแผลแล้ว”
“สงสารโมนาลิซซ่าเนอะ สละชีพแต่ทำให้พี่มีแผลแค่เนี้ย”
“สัด สงสารกูก่อนเถอะ กูเจ็บ” คราวนี้เริ่มรู้สึกแล้ว ตอนแรกยังแค่ชาๆแท้ๆเลย
“เลือดหยุดแล้ว แต่ไม่มีขี้ผึ้ง”
“เอามาทำอะไร”
“ทาแผล เมื่อกี้ในเว็บมันบอกไว้”
“กูมีทิงเจอร์ อยู่ในกล่องบนโต๊ะ”
“ทิงเจอร์? จะไม่แสบเหรอ”
“กูทนได้ เอามาเถอะ”
“เห็นพี่อึดขนาดนี้ผมก็วางใจ”
“ผู้ชายครับ ยังไงก็อึดกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว”
“หึ ไว้รอดูบนเตียงทีเดียวเลยละกัน”
“สัดแทน กูหมายถึงแผลเว้ย แผลอ่ะ เข้าใจป่ะ ไม่ได้เรื่องอย่างว่า!” มันปล่อยคาร์บอมเอาไว้แล้วจากผมไปหยิบทิงเจอร์ไอโอดีน ทันทีที่เห็นเจ้าขวดทรงหกเหลี่ยมสีเหลืองเข้มดูเข้ากั๊นเข้ากันกับการเอาไปทำบุญห่อสังฆทานมาวางตรงหน้า ผมก็เผลอหลับตากลืนน้ำลายหนึ่งอึกเข้าคอ
“เป็นไร ป๊อดขึ้นมาเหรอ” โดนยิ้มล้อเลียนโคตรเสียเชิงชาย ทนไม่ได้เลยยกขาข้างที่เจ็บขึ้นมาจนเกือบฟาดหน้าผู้หวังดี
“จัดมาอย่าให้เสีย” พยักหน้าท้าทายไปอีกหลายยก ส่วนในใจน่ะเหรอร้องเพลงบรรจงร้อยเป็นมาลัย สนุกสุขใจหนักหนากับชะตาชีวิตของตัวเองไปล้านรอบแล้ว
“อึก...ฟืด!!” ผมน้ำตาซึม สูดน้ำมูกนั่งดูคนที่บรรจงพันผ้าก๊อซกับเท้าข้างขวาอย่างประณีต ปกติผมทนความเจ็บได้มากกว่านี้นะ แต่คราวนี้มันแสบแบบไร้ความปรานี แบบต้องหันไปดูหลังขวดอีกทีว่าทิงเจอร์ไอโอดีนแม่งมีวันหมดอายุรึเปล่าวะ “กูจะพิการมั้ย”
ไอ้คนตั้งใจทำหน้าที่คุณหมอเฉพาะกิจถึงกับเงยหน้าพลางยิ้มราวกับเอ็นดู
“จะบ้าเหรอพี่ แผลโดนกระจกบาดนะ ไม่ใช่งูฉก”
“ถ้างูฉก มึงก็ต้องขันชะเนาะให้กูดิวะ”
“บางทีผมอาจจะดูดพิษออกมาจากตัวพี่ให้ด้วยก็ได้” ไม่ว่าเปล่ามันยกเท้าผมขึ้นแบบกะทันหัน ก่อนแนบริมฝีปากจูบซับไปตามข้อเท้าจนเกิดเสียงจุ๊บดังขึ้นให้ได้ยิน
“เชี่ยแทน ทำบ้าอะไรวะ สกปรก”
“ไม่สกปรกหรอก เท้าพี่พึ่งล้าง”
“กูหมายปากมึงต่างหาก จูบมาได้ไงวะ”
“หึ ช่วยทำแผลให้แล้วยังมากวนตีนอีกนะ” ด่าว่าปากสกปรก ลมหายใจไม่หอมสดชื่นแค่นั้นแหละแม่งเกรี้ยวกราดกระโดดขึ้นเตียง แล้วผลักกูที่เอียงเสียศูนย์ลงไปนอนแอ้งแม๊งเลยจ้า
“โอ๊ย เจ็บๆๆๆ”
“ตอแหลแล้ว เมื่อกี้ยังไม่โดนเท้าเลย” เออกูตอแหลจริง ส่วนมึงก็ปีนเกลียวขึ้นทุกวัน ตั้งแต่คบกันมันก็ทำตัวกร่างไม่เห็นหัวผมว่าเป็นรุ่นพี่เลยซักนิด แต่ทำไมผมกลับรู้สึกดีใจที่ได้สนิทกับไอ้หนุ่มวิศวะอุตสาหการคนนี้มากขึ้นวะ “พี่หิวข้าวรึเปล่า” จู่ๆมันก็ถามเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้น”
“แล้วทำไมตอนกลับมาถึงทำท่าอย่างกับว่าหิวซะเต็มประดา รีบไปคว้าภาพโมนาลิซซ่าจนเกิดเรื่องเลยมั้ย” มันที่อยู่เหนือตัวผมขยับมือมาปาดเหงื่อที่ผุดพรายตามหน้าผากให้อีกครั้ง ผมจ้องมองตาคมๆของมันก่อนพูดออกไป
“กูก็แค่ดีใจ”
“ดีใจ? ดีใจเรื่องอะไร?”
“เรื่องที่ได้ใช้วันหยุดร่วมกับมึงซะที”
“...” จบประโยคเท่านั้นแหละไอ้แทนหน้าแม่งแดงแข่งเสื้อทีมลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเลยครับ กะจะล้อเล่นซะหน่อยไหงได้ผลเกินคาด ส่วนผมน่ะเหรอ...ก็แดงตามมันไปดิ ถามได้
“อะ เอาเถอะ ลุกไปแดกข้าวได้แล้ว” ไม่หิวแต่ก็ถึงเวลาหลีกหนีจากห่าความอาย ผมพยายามดันตัวลุกแต่ไอ้คุณชายสุรบถก็ยังไม่ยอมหลบไปไหน แถมยังมองมาทางผมเนี่ยตาเยิ้มเชียว
“พี่รู้มั้ย ว่าผมดีใจขนาดไหนที่ใจตรงกับพี่” ประโยคเดียวมันทำผมถึงกับสตั๊นเอนตัวกลับไปนอนยังท่าเก่า ทางนี้ต่างหากที่ควรพูด กับคนที่ไม่รู้เลยว่าคิดยังไงกับเรา แถมแฟนเก่าเขายังเป็นผู้หญิง ให้มองยังไงกูก็ดูจะไม่มีหวังซักนิด แต่จู่ๆกลับมีวันนึงที่เขาบอกชอบเรา แล้วไม่ให้ผมดีใจแทบตายได้ยังไง
“กูไม่รู้ แต่ที่แน่ๆกูรู้ตัวเองดีว่า กูตกหลุมรักไอ้เด็กม.ห้าที่ให้กูยืมยางลบคนนั้น”
“งั้นแสดงว่าใจเราก็ตรงกันนานแล้วสินะ” มีใครเคยบอกมั้ยว่าไอ้แทนเป็นเมดูซ่า อย่าจ้องตามันเกินสามวิไม่งั้นคุณจะเขินจนไปต่อไปไหว สายตาซุกซนของคนตรงหน้าทำให้ผมต้องเสตาไปทางอื่น
“กะ...กูชอบมึงก่อนเหอะ” แม้แต่เรื่องนี้ผมก็ยังไม่ยอมแพ้อีก...ให้ตายเถอะ
“ชอบตอนไหนครับ”
“ตอนที่มึงบอกกูว่าหกสิบบาท” กูจะจำฉากนั้นไปจนวันตายเลยล่ะ ไอ้เลว ไอ้ขี้งก
ไอ้แทนมันหัวเราะน้อยๆ อย่างอดไม่ได้แล้วเลื่อนสายตามาสบอีกรอบ
“งั้นผมก็ชนะพี่แล้วล่ะ”
“...”
“ผมหลงรักตั้งแต่เห็นรอยยิ้มนั้นของพี่แล้ว”
สุดท้ายมื้อเย็นของเราก็เป็นหม้อไฟเกาหลีอย่างง่าย เพราะคุณชายได้ตัดสินใจเลิกใช้ของสดเนื่องจากกลัวคนเจ็บอดตายร้องโวยวายว่าหิวข้าว ไอ้แทนมันจัดการทุกอย่างตั้งแต่เตรียมอาหารยันไปถึงยกหม้อขึ้นเตาแก๊สกระป๋อง ปล่อยให้ผมเป็นง่อยนั่งกระดิกตีนที่เจ็บดูคนวิ่งวุ่นฉีกซองผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆหั่นจัดวางเรียงใส่หม้อโยนคนอร์เพิ่มความเป็นน้ำซุปกระดูกหมู แล้วนั่งดูมันเดือดพร้อมแดก
“คนเจ็บกินเยอะๆนะครับ จะได้หายไวไว”
“แต่มึงกำลังจะให้กูแดกมาม่า” ฮ่าฮ่าขำแป๊บ
“เล่นมุกได้ คงไม่ตายแล้วมั้ง” อ้าวเฮ้ย เดี๋ยว เมื่อกี้ยังทำท่าจะตักลูกชิ้นลาวาให้ แล้วนี่อะไรไหงวนกลับไปใส่จานตัวเองวะ นี่มึงกะไม่ตักให้กูจริงๆเหรอเนี่ย
แต่ให้งองแงไปก็สมเพชตัวเองแค่เจ็บขาจะมาทำตัวสำออยก็ใช่ที่ ผมเลยขยับตูดดุ๊กดิ๊กกะลุกขึ้นตั้งท่าจะคีบต็อกบ็อกกีที่นอนแช่น้ำสีแดงแรงฤทธิ์ของโคชูจัง แต่ยังไม่ทันเอื้อมถึงก็โดนดึงแขนไว้เสียก่อน
“ทำเชี่ยไรวะ กูหิว” อีกนิดก็จะพิชิตแป้งต็อกได้แล้วแท้ๆ
“นั่งอยู่เฉยๆนั่นแหละ” ปรามไม่พอยังเอามือมารั้งแขนให้ผมทนแรงไม่ไหวต้องกลับลงไปนั่งอย่างเก่า
“ไอ้แทนอย่าเล่นอย่างนี้ได้มั้ยวะ กูก็แค่เล่นมุกปลวกไปหน่อยไม่เห็นจะต้องถึงกับขั้นทรมานกูด้วยการให้ดูแต่ไม่ให้แดกเลยนี่หว่า”
“เปล่าซะหน่อย มากินนี่ผมเป่าไว้ให้แล้ว ทานร้อนๆลวกปากพอดี” จังหวะที่ตะเกียบหนีบลูกชิ้นลาวามาจ่อปาก ผมก็เผลอรับคำป้อนนั้นเข้าไปอย่างว่าง่าย รู้สึกกระดากอายอย่างแปลกๆ เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครมานั่งเอาใจอย่างนี้เลยนี่หว่า
“อร่อย” โอ้ยผมเผลอหลุดอุทานอะไรออกไปวะ น่าอายฉิบเป๋ง คิดแล้วก็ยกมือขึ้นป้องปากปิดบังครึ่งใบหน้าซ่อนความหน้าบางของตนเอง
“ใช่มั้ยล่ะ ฝีมือผมเลยนะ” ฉีกยิ้มยาวเกือบถึงใบหู ได้ข่าวลูกชิ้นก็ซื้อเขา มาม่าก็เอาจากเซเว่น แล้วมึงทำอะไรเป็นนอกจากโยนคนอร์ใส่น้ำฮะไอ้แทน
“มา เดี๋ยวผมหนีบ ‘มาม่า’ ให้” ได้ทีเอาใหญ่ มันเล่นเน้นคำมุกแป้กของผมให้ฟังอีกรอบ
“ครับๆ ผมจะได้หาย ‘ไวไว’ สินะ”
“หึ...” ทิ้งยิ้มหล่อๆไว้แล้วหันไปหนีบเส้นขึ้นใส่ชามมาวางตรงหน้าผม
“กูขอโบโลน่าด้วย” ขอปั๊บหนีบให้ปุ๊บ โคตรเอาใจ ผมจับตะเกียบขึ้นมาหนีบเข้ากับแผ่นสีชมพูอ่อนม้วนเป็นทรงกระบอกพอดีคำเป่าลมลงไปเบาๆพอให้คลายความร้อน ก่อนยื่นให้เจ้าพ่อเซอร์วิสมายด์ที่ตูดยังไม่ประทับลงเก้าอี้เพราะมัวแต่เอานั่นเอานี่มาประเคนผม
“อะไรครับ” แหนะ มีเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจอีก
“ไม่ต้องมาทำซื่อ กูป้อน จะแดกไม่แดก ถ้าไม่แดก...” ความเขินกูมีจำกัด อย่าให้นานนักกูชักมือกลับนะเว้ย
“กินครับกิน!!” มือใหญ่ขยับมาล็อคข้อมือผมไว้ทัน ก่อนที่มันจะขยับมาเข้าใส่ปากผม คุณสุรบถมองหน้าผมนิ่งก่อนเอียงหัวให้ตรงกับองศาท้องม้วนโบโลน่าแล้วงับเข้าปากไป ผมได้แต่มองปฏิกิริยาเคี้ยวหงับๆนั้นอยู่นาน
“มึงเนี่ยนะ”
“ครับ”
“ทำไมถึงหล่อได้ขนาดนี้วะ” สภาพคนตรงหน้าราวกับโบโลน่าติดคอ ไอ้แทนมันรีบกลืนสิ่งที่ผมป้อนแล้วทิ้งตัวลงนั่ง
“ทำไมจู่ๆ...” มันวางกระบวยตักน้ำซุปลงแล้วเอื้อมมือสัมผัสหน้าผม “ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่หว่า หรือว่าบาดทะยักขึ้นสมอง”
“กูก็แค่อยากพูดความจริง” ผมอ้อมแอ้ม ปากแข็งมาตลอดทั้งเรื่องแล้วขอชมมันบ้างสักครั้งเถอะครับ
“พี่กำลังจะทำให้ผมไม่อยากกินข้าวนะ”
“อ้าวทำไมวะ แค่กูชมแค่นี้ มันรู้สึกแย่จนทำให้มึงไม่อยากอาหารเลยเหรอ”
“ผมอยากกินพี่ต่างหาก” สายตาเจ้าชู้ ซุกซนจ้องมองที่หน้าผม ก่อนเจ้าตัวจะขยับนิ้วโป้งมาเขี่ยที่มุมปาก ลุกจากเก้าอี้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าใส่ผม
“...!”
“แล้วใกล้ขนาดนี้ ยังหล่ออยู่รึเปล่าครับ”
“ละ..หล่อ” ไม่กล้าสบตาแม่งแล้ว
“แล้วเท่านี้ล่ะ” ขยับจมูกมาชนกัน ระยะขนาดนี้กูมองออกก็บ้าแล้ว แต่ผมก็ยังจะ...
“หล่อดิ หล่อกว่าใครๆอยู่แล้ว แฟนกูทั้งคน” ผมรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อแต่อย่าหวังเลยว่าผมจะยอม มือสองข้างของผมยกขึ้นประคองแก้มของร่างสูงแล้วยืดตัวขึ้นจูบแบบไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว ริมฝีปากของเราแนบบดเบียดกันอยู่ตรงนั้น จนผมรู้สึกว่ากำลังจะหน้ามืด
“ผมบอกแล้วไงว่าให้หายใจทางจมูก” อ้าวอีกแล้วเหรอ กูลืมตัวทุกทีเวลาจะมีคิสกับมึง ผมถอนหน้าออกมาเล็กน้อยก่อนอ้าปากสูดหายใจเข้าปอดยกใหญ่ “หึ จะจูบผมหรือจะดำน้ำกันเนี่ย”
“จูบมึงดิ...อื้ออออ” จากจุมพิตเบาๆไอ้แทนพรวดพราดเข้ามาใส่ แนบกลีบปากที่เต็มไปด้วยรสชาติโคชูจังผสานกำลังกับโบโลน่าหมู ก่อนแทรกลิ้นร้อนๆเข้ามาระหว่างที่ผมเผลอเผยอปากหายใจ คราวนี้คงต้องอาศัยผิวหนังเท่านั้นล่ะมั้งผมถึงจะมีกำลังต่อต้านออกซิเจนที่กำลังจะหมดจากร่างนี้ได้ ลิ้นสากกำลังกวาดไปทั่วโพรงปากให้ความรู้สึกที่โคตรแปลกประหลาดเหมือนได้ทานอะไรหยุ่นๆนุ่มลิ้น แต่หวานรำพันจนอดไม่ได้ที่จะตอบกลับการเกี่ยวกระหวัดพันของกันและกันไป ไอ้แทนถอนเรียวลิ้นกัดริมฝีปากบนล่างที่เผยอเปิดอย่างหยอกเหย้า ดูดขบราวกับว่ามันเป็นอาหารรสชาติโอชะที่ไม่อยากละจาก แต่มันก็ฝืนดันตัวออกห่างผม แล้วหมุนตัวเอื้อมแขนยาวๆไปปิดเตาแก๊สกระป๋องที่กำลังต้มน้ำซุปจนเดือดพล่านไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของพวกเรา
“อ้าวปิดทำไม ไม่กินต่อเหรอ” ผมท้วง น้ำแม่งกำลังเดือดได้ที่เลย ทันทีที่ผมแย้งมันก็หันมาทำหน้าเครียดมองผม
“พี่กำลังโคม่านะ”
“หา?” โคม่า? โคม่าอะไรวะ กูเห็นแต่มาม่าเปียกโคชูจังเนี่ยแหละที่กำลังจะอืดคาหม้อ
“ผมต้องพาพี่ไปฉีดยากันบาดทะยักเดี๋ยวนี้” ว่าจบตัวผมก็ถูกยกลอยหวือ มาถึงจุดนี้กูรู้เลยครับว่ากำลังจะโดนทำอะไร
“ฉะ...ฉีดยา มึงจะฉีดเข้าตรงไหน แล้วใช้อะไรฉีดกู” เชื้อซื่อบื้อเข้าแทรกสมองกูเลยครับ
“ขนาดเข็มพี่เคยเห็นแล้ว คิดว่าไม่น่ากลัวอะไรแล้วนะครับ”
“ตะ...แต่มันจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอ่ะดิ” ฮือออ กูร้องไห้ในใจ
“ไม่เป็นไร ผมจะค่อยๆหาจุดแล้วแทงเข้าไปให้พี่รู้สึกดีแบบลืมความเจ็บไปเลย” ผมกำลังถูกอุ้มเข้าสู่ลานประหาร โดยมีเพชฌฆาตหน้าหล่ออย่างไอ้แทนเดินปร๋อไปส่งถึงที่
จบตอนต้น