ผมขยับตัวไม่ได้ ร่างผมเหมือนถูกกดจนชาไปทั้งตัว ปวดหัวชะมัด เกิดอะไรขึ้นวะ ขมวดคิ้วก่อนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แสงที่แยงตาทำให้ผมต้องปิดตาลงกะพริบถี่ๆ ให้คุ้นชิน ภาพแรกที่เห็นคือเพดานห้องที่คุ้นเคย ห้องไอ้นนนสินะ หลุบตามองต่ำ แล้วก็รู้สาเหตุที่ทำให้ผมขยับตัวไม่ได้ ไอ้เหี้ย นี่เอง พิมนอนพาดอยู่บนตัวผม ในสภาพผมเผ้ากระเซิงปิดไปทั้งหน้า หมดสภาพฉิบหาย จัดการดันตัวมันออกไปอีกทางแล้วดึงผ้าห่มคลุมปิดขามัน มันส่งเสียงครางประท้วงเบาๆ แล้วถีบผ้าห่มออก ได้แต่ส่ายหัวมองมันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นปิดขามันอีกรอบ นอนแหกจนกูจะเห็นไปถึงไส้แล้วไอ้ห่า ปิดภาพอุจาดแล้วหันตัวลงจากเตียง เท้าเตะพื้น ทำไมพื้นมันหยุ่นๆ ลองเหยียบอีกสักที ดึ๋งๆ เด้งสู้เท้ากูซะด้วย อะไรวะ ผมก้มลงมองไปที่ปลายเท้า
"เหี้ย! พุง! "
ไอ้โทนี่มันนอนเปิดพุงแผ่อยู่ที่พื้น ริมฝีปากยกยิ้ม บอกได้คำเดียวเมื่อคืน เละ! ผมจำได้แค่ตอนเดินเข้าไปที่โต๊ะ เห็นไอ้พายุที่ยังคงเมินผม หลังจากนั้นจำได้ว่าก็เลิกสนใจมันแล้วหันไปสนุกกับเพื่อน แล้วภาพก็ตัด จำได้รางๆ อีกทีก็เหตุการณ์ระทึกในรถกับไอ้นนน แค่คิดผมก็ไม่กล้าลุกเดินออกจากห้องแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ได้แต่นั่งนิ่ง วางเท้าบนพุงไอ้โทนี่ พลางนึกเรื่องเมื่อคืน ทั้งเรื่องไอ้พายุที่ผมยังคาใจ และเรื่องไอ้นนนที่ทำผมอึดอัด
“มึงตื่นแล้วเหรอ"หันไปมองไอ้คนต้นเรื่องที่ทำผมคิดมาก มันเดินหัวเปียก นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ
“อ่า อืม"
“ไปล้างหน้าแปรงฟันดิ ของมึงวางอยู่ที่เดิม เสื้อผ้าเอาในตู้"
มองมันแต่งตัวแล้วเดินออกไป เหมือนเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำไมมันดูปกติจังวะหรือเมื่อคืนที่ผมได้ยิน ผมเมาจนหลอนไปเอง แต่แม่งเหมือนจริงมากเลยนะ ผมเกือบสร่างเมาเลยด้วย นั่งคิดไม่ตก ยกมือเกาท้ายทอยยิกๆ ช่างมัน เดี๋ยวค่อยคุย ลุกเดินข้ามตัว โทนี่เข้าห้องน้ำจัดการธุระเรียบร้อยก็เดินออกมานอกห้อง ไอ้นนนนั่งอยู่ที่โต๊ะตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอยู่
“มึง เมื่อคืนมึงได้พูดอะไรกับกูปะวะ เมื่อคืนกูเมามากแต่เหมือนกูได้ยินมึงพูดรักๆ อะไรสักอย่าง” ผมจะไม่ปล่อยผ่าน ขอลองหยั่งเชิงก่อน เผื่อฟังผิดไป จะได้ไม่หน้าแตกมาก
“อืม กูบอกรักมึง”
เวร เมื่อคือกูฟังไม่ผิดสินะ ใจเย็นมันคงไม่ได้หมายถึงแบบนั้นมั้ง
“แบบเพื่อนรักเพื่อนใช่ปะวะ” ถามอีกเพื่อความชัวร์ มันยังคงก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก ผมยืนรอคำตอบมันเงียบๆ ไอ้นี่ก็ชักช้า คิดนานฉิบหาย “ว่าไง มึงรักกูเหมือนที่รักไอ้พิม รักไอ้โทนี่ใช่มั้ย”
“เปล่า กับมึง กูอยากเอาด้วย”
เชี่ยยยยย ขนลุกเลย นี่ไม่ใช่เพื่อนผม ผงะถอยไปหนึ่งก้าว มองมันแบบหวาดๆ
กูรักมึงนะ แต่ตอนนี้สายตามึงน่ากลัวมาก ห่าเอ๊ย
“มึง คือ...”
“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกสัด กูล้อเล่น”
“ไอ้เหี้ยย ตกใจหมด”
ผมเดินเข้ามาหยุดยืนที่โต๊ะ ไอ้นนน มองผมยิ้มๆ แล้วก้มหน้ามองจานข้าว ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ
“ภพ"
“ห๊ะ"ผมมองมันที่ยังก้มหน้าเขี่ยข้าวในจาน เรียกผมเสียงจริงจัง
“กูรักมึง รักแบบที่คนคนหนึ่งจะรักใครอีกคนได้”
“…..”
“แบบที่มึงคิดนั่นแหละ”
“มึง...คือ”
“กูรู้”
“ไม่เว้ย มึงไม่รู้! กูไม่ได้รังเกียจมึงนะ แต่กู...คือกู…มีคนที่ชอบอยู่แล้ววะ”
“ไอ้พายุสินะ"
มึงเป็นลูกเทพเหรอ ผมมองมันตาโต
“รู้ได้ไงวะ"
“มึงดูง่าย"
“กูไม่ได้ง่ายเว้ย"
“สัด พอ เอาเป็นว่าเมื่อคืนกูใจร้อนเลยพูดไป และที่กูยอมรับกับมึงตรงๆ เพราะกูไม่อยากเก็บไว้แล้ว ไม่ได้บอกเพราะหวังจะได้อะไรจากมึง ความรู้สึกนี้กูเริ่มเอง เพราะงั้นกูก็จะรับผิดชอบมันเอง”
มาซะยาวเหมือนเก็บกด พึ่งเคยเห็นมันพูดยาวๆ กับผมก็ครั้งนี้แหละ ปกติเงียบเหมือนลืมปากไว้ที่บ้าน
“กูขอโทษนะเว้ย"
"ขอโทษทำไม เลิกทำหน้าแบบนั้นแล้วมากินข้าวเหอะ"
มันว่าแล้วหันตัวกลับไป ผมเดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้าม มองมันที่จัดการหยิบกล่องข้าวมาเปิดแล้วเลื่อนมาวางตรงหน้า กะเพราหมูกรอบไข่ดาวไม่สุกเหมือนเดิม ผมไม่เคยรู้เลยว่าที่มันคอยดูแล คอยใส่ใจ มันมีอะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่จำได้ผมก็เห็นมันอยู่ข้างๆ เอาใจใส่แบบนี้ไม่ใช่แค่กับผมแต่กับเราทุกคนในกลุ่ม จนผมมองข้ามความรู้สึกมันไป กูขอโทษนะ ที่ไม่เคยรู้เลย
“เลิกมองกูแบบนั้น หลังจากนี้กูจะดูแลมึงแบบเพื่อน เพื่อนจริงๆ เชื่อใจกูได้"
ว่าจบมันก็ยื่นช้อนส้อมมาให้ ผมรับมาแล้วพยักหน้าส่งยิ้มให้มัน ยังไงไอ้นนนก็คือเพื่อนที่ผมรักที่สุดอยู่ดี และผมก็เชื่อใจมัน แม้เมื่อกี้มึงจะทำกูเสียวตูดก็ตาม
"แต่หลังจากข้าวมือนี้นะ"
"สัด แล้วแต่มึงเลย”
“แล้วกับไอ้พายุเป็นไงบ้าง"
“มันเมินกู"
“ทำไม”
“ไม่รู้”
“ง้อยัง"
“ทำไมกูต้องง้อมันด้วย มันโกธรอะไรกูยังไม่รู้เลย"
“จริงๆ มันอาจรอให้มึงไปง้ออยู่ เมื่อคืนตอนมึงเมา ก่อนกูจะเข้าไปลากมึงกลับ มันเป็นคนดูแลมึง"
“….”
หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ผมก็ปลีกตัวกลับมาที่ห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกดโทรหาคนที่ทำเมินผมเป็นอาทิตย์ๆ รอบนี้กูจะไม่ยอมแล้ว ถ้ามันไม่รับสายอีก จะไล่โทรหาเพื่อนมัน แล้วบุกห้องเลย ยังไงก็ต้องคุยให้รู้เรื่องว่ามันโกธรอะไรหนักหนา ทำกูวุ่นวายใจมาหลายวัน เดินมานั่งที่โซฟา ในหัวเตรียมคำพูดสารพัด ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งแต่คิดว่าต้องใช้ไม้อ่อนง้อๆ มันหน่อย มันคงไม่ใจร้ายกับผมหรอก มั้ง
รอสายอยู่นาน จนเกือบกดวาง
[ฮัลโหล]
สัดดด รับว่ะ
[จะพูดไหม ไม่พูดจะวางละนะ]
"">เดี๋ยว! ”
[……]
"…."
[กูวางนะ]
"ใจเย็นสิโว้ย เตรียมใจแป๊บ เริ่มแล้วนะ"
[มึงเริ่มสักทีเหอะ กูยุ่งอยู่]
เสียงมันเริ่มหงุดหงิด สัด นี่กูกำลังง้อมึงอยู่นะไอ้ฟายย สนใจกูบ้าง จากตั้งใจจะค่อยๆ คุย กลายเป็นผมก็เริ่มมีอารมณ์
"มึงเมินกู! กูโทรหามึงเป็นสิบๆ สาย ส่งข้อความไปก็ตั้งหลายครั้ง อ่านแล้วไม่ตอบคืออะไรไอ้เหี้ย แวะไปหาที่ห้องเรียนก็หลบหน้ากู ไหนจะเมื่อคืนอีก มึงเมินกู จนกูเมาเหมือนหมา ไม่พอใจอะไรก็พูดดิ"
[จบยัง]
"ยัง! อยู่ๆ มึงก็หายไปเลย กูคิดว่าต้องเจอมึงใต้ตึก แต่พี่จูนก็ให้กูย้ายไปทำงานที่ห้องเขาเฉย กูโทรหามึงรอบที่ร้อยมึงก็ยังไม่รับสายกู กูไปถามไอ้โอบมันก็ตอบแต่ไม่รู้ ไอ้ฟาย เป็นเพื่อนกันยังไงวะไม่รู้ว่าเพื่อนหายไปไหน แล้วการบ้านก็เยอะฉิบหาย แล้วกูแล้วกูก็...โคตรคิดถึงมึงเลย">”
พูดไปจนได้ เล่นเอากูหอบเลย สัดเอ๊ยยย เขินว่ะ
[….]
อย่าเงียบแบบนี้ดิ กูกลัวนะ
[มาเปิดประตู]
“ห๊ะ"
[เปิดประตู กูอยู่หน้าห้องเนี่ย]
ผมรีบหันมองไปหน้าห้อง มันพูดจริงปะวะเท้าก้าวเดินไปเปิดประตู แล้วมันก็อยู่ตรงหน้าผมจริงๆ เงยหน้ามองมันตาโต อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกระดากอายกับสิ่งที่พึ่งพูดออกไป ไอ้ยุยังยืนถือโทรศัพท์แนบหู มองผมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไง”
“มึงมาได้ไง"
“ขับรถมา”
“ไม่ๆ กูหมายถึงมึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่” อะไรของผมวะ ลนไปหมด มันก็ตอบถูกแล้ว มีแต่กูเนี่ย สติ!
“กูมารอมึงใต้คอนโดตั้งแต่เช้าแล้ว ให้กูเข้าห้องได้ยังครับ”
“อะ เออ ลืม เข้ามาดิ”
ผมหลบให้ร่างสูงเดินผ่านเข้าไป แล้วเดินตามมันไปนั่งที่โซฟา
“สรุปคิดถึงกูสินะ"
“ห้ามโกหก"
รู้ทัน กูไปอี๊กกก
“เออออ มึงโกรธอะไรก็บอกกูดิไม่ใช่เมินใส่กูแบบนี้"
“กูไม่ได้โกรธมึง"
“ไม่โกรธก็เหี้ยแล้ว มึงหายไปเป็นอาทิตย์ มึงรู้มั้ยว่ากูเดินไปหาที่ห้องเรียนมึงตั้งกี่ครั้ง"
“รู้"
“รู้แล้วมึงก็ยังเมินกู มึงมันเหี้ย"
ยิ่งพูดทำไมเสียงผมยิ่งสั่นวะ
ไอ้พายุ ดึงตัวผมเข้าไปนั่งใกล้มัน ผมมองหน้ามัน ด้วยความรู้สึกน้อยใจ มันยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ ปลอบผม
“กูขอโทษ กูแค่อยากให้มึงได้คิดทบทวน"
"กูไม่ชอบ"
"จะไม่ทำแล้ว แล้วที่บอกคิดถึงกูเนี่ยแบบไหนนะ”
“คิดถึงก็คือคิดถึงดิจะแบบไหนก็เหมือนกันมั้ย"
ผมขืนตัวจากออกจากวงแขนมัน จะถามจี้ทำไม กูก็เขินเป็นนะไอ้เหี้ย
“มันไม่เหมือนกัน มึงต้องตอบ เพราะกูบอกความรู้สึกกูไปหมดแล้ว ถ้าแบบเพื่อนกูจะได้เว้นระยะ" คำพูดของมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า เหตุการณ์มันคุ้นๆ จังนะ ผมไล่สายตามองใบหน้ามัน สบตามัน ไฝใต้ตาเม็ดเล็กนั่นยิ่งทำให้มันดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด
“กูก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอมึงหายไป กูโคตรไม่ชอบเลย กูคิดถึงเสียงกวนๆ ของมึง คิดถึงหน้ามึง ชอบเวลาที่มึงคอยดูแลกู ถ้านี่คือคำตอบที่มึงอยากฟัง กูจะพูดครั้งเดียวนะ”
“….”
“กูว่า...กูคงชอบมึงแล้วว่ะ"
ตั้งแต่มันหนีหน้า ผมก็คิดมาตลอดระหว่างความรู้สึกและความเหมาะสม ผมไม่รู้หรอกว่าระหว่างเรามันจะดีมั้ย ผมรู้ว่าเราทั้งคู่เป็นผู้ชาย แต่ไอ้พายุ ก็เข้ามาหาผมในจังหวะที่ผมกำลังต้องการใครสักคน ผมไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับมันมากขึ้นทุกวันๆ ผมมองดูปฎิกิริยาคนตรงหน้า มันยังคงนั่งนิ่งใบหน้าเรียบเฉย ก่อนที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆ ยกยิ้มกว้าง และผมก็ส่งยิ้มตอบกลับไป ครั้งนี้ผมไม่ต้องเรียกชื่อมันในใจ หลายๆ ครั้งอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ เวลานี้ เรากำลังส่งยิ้มกว้างให้กัน
“เมื่อคืนมึงโคตรดื้อ”
เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ หลังจากได้คุยกัน ไอ้พายุก็ยังคงสิงสถิตอยู่ในห้องผม เราโทรสั่งอาหารเข้ามากินกันที่ห้อง เพราะขี้เกียจออกไปเผชิญอากาศอบอ้าวข้างนอก แล้วมันก็เปิดประเด็นเมื่อคืนขึ้นมา
“ยังไง”
“รู้ไว้แค่ว่า มึงห้ามไปกินเหล้าโดยไม่มีกูไปด้วยอีก”
“บ้าบอ”
“กูพูดจริง แล้วเมื่อคืนไปนอนห้องไอ้นนนเหรอ”
“อือ” ผมตอบมันแล้วตักข้าวเข้าปาก
“ไอ้นนนมันดูชอบมึงนะ”
"แค่ก แค่ก"
สำลักเลยกู ข้าวเกือบพุ่ง มันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“มึงรู้สินะ ว่ามันคิดยังไง”
“ไม่รู้”
เลี่ยงสายตามัน ก้มลงตักข้าวเข้าปากต่อ ไม่รู้จะกลัวมันทำไมเหมือนกัน เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังขึ้น ผมเงยหน้ามอง คนตัวสูงลุกเดินไปในครัว โว้ยยย ขี้งอนฉิบหาย ลุกเดินตามมันไป เข้าไปยืนข้างๆ ไอ้พายุที่ยืนรินน้ำใส่แก้วอยู่
“เป็นอะไร”
“มึงกลับไปกินข้าวเหอะ กูแค่มาเอาน้ำให้”
“งอนกูเหรอ”
“….”
“ไหนบอกกูสิอาการมันยังไง หืม"
“มึงแม่ง"
มันหันตัวมาเผชิญหน้ากับผม หน้ามุ่ย
“สรุปมึงรู้ใช่มั้ยว่าไอ้นนนมันคิดเกินเพื่อน"
“อ่า"
“หงุดหงิดว่ะ”
“เอ้า ใจเย็นดิ กูก็พึ่งรู้เมื่อคืน แล้วกูก็บอกมันแล้วด้วยว่ากูชอบมึงเนี่ย ทำไมชอบให้กูพูดอะไรแบบนี้นัก"
เห็นนะ ว่าแอบยิ้ม มันยืนมองผมนิ่ง ก่อนมือหนาจะเอื้อมมาคว้าผมเข้าไปใกล้ แล้วริมฝีปากมันก็กดลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากผมสองสามที ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด เล่นกูทีเผลอตลอดดด สัดเอ๊ยยย ใจกู ผมยกแขน ลูบหลังปลอบมัน สีสันชีวิตโคตรๆ เกิดมาพึ่งเคยมายืนง้อผู้ชายตัวเท่าควาย
“หายยัง”
“ยัง คืนนี้ขอนอนนี่นะ” ผมขืนตัวออกมามองมัน
“อะไร เนียนเลยนะ เมื่อกี้ก็ทีหนึ่งจูบกูทีเผลอ”
“อดไม่ไหวว่ะ เมื่อกี้แค่จุ๊บเอง จูบอะแบบนี้"
“พอเลยยยย กลับบ้านไป” ผมดันหน้ามันออก กูจะรอดมือมันมั้ยวะ
“นะ ขับกลับดึกๆ มันอันตราย”
“เอาไรมาดึก นี่พึ่งห้าโมง”
“บ้านกูไกล”
“อ้างไปเรื่อยนะมึงอะ”
“นะ”
“เออๆ”
ทำไมนะ เมื่อกี้ผมรู้สึกว่าไอ้พายุแม่ง...น่ารัก
ขอถอนคำพูดที่ชมมันเมื่อกี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าผมคิดถูกมั้ยที่ยอมให้มันนอนค้างที่ห้อง ผมเดินออกจากห้องน้ำมาก็เจอร่างควายๆ ของมันที่ยังอยู่ในชุดเดิม นอนกดมือถือกระดิกตีนอยู่บนเตียงผมอย่างสบายใจ
“ที่ให้มึงค้างกูหมายถึงให้มึงนอนห้องแขก"
“รู้แล้ว เดี๋ยวกูไปมานั่งนี่ดิ"
แล้วมันก็ตบที่เตียงเรียก ผมเดินเข้าไปสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มข้างๆ มัน ไอ้พายุขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วยื่นโทรศัพท์ให้อยู่ในระยะสายตาเราทั้งคู่
ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นคือ ผู้ชายสูงอายุใส่แค่กางเกงสีดำ ยืนหันหลัง และเคลื่อนไหวตัวไปมา เหมือนเขาจะสวมแว่นว่ายน้ำ ในมือทั้งสองข้างสวมนวมที่พันฟองน้ำ ก่อนที่เขาจะจุ่มลงไปในถังสี และเริ่มต่อยกำแพงสีขาว เสียงที่ดังปั๊กๆ ดังขึ้นพร้อมกับสีดำที่ถูกแต่งแต้มลงไป เสียงดนตรีที่ดังประกอบดึงดูดผมไม่ให้ละสายตา
“ดูอะไรวะ"
“DocumentaryของUshio Shinohara กับภรรยา"
“มึงชอบงานเขาเหรอ"
“ไม่รู้ดิ กูก็พึ่งรู้จัก จารย์ให้ดู”
“อ่อ”
แล้วเราก็เงียบ จดจ่อซึมซับกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า มันคือเรื่องราวของสามีและภรรยาที่เป็นศิลปินทั้งคู่ ฝ่ายสามีที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงโดยเทคนิคboxing painting และภรรยาที่ผลงานยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่ เปรียบเหมือนกับดอกไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ได้เปล่งประกายสักที จนกระทั่งในที่สุดเธอก็มีชื่อเสียงเทียบเท่าสามี ผมแอบเห็นความหวั่นวิตกในสายตาของสามี เขากลัวเมียตัวเองดังกว่า มันดูซื่อตรงมากแม้ว่าเขาจะรับรู้ว่ากำลังโดนถ่ายทำอยู่ก็ตาม เรื่องราวความรักและชีวิตของทั้งคู่และการทำงานมันดูน่าสนใจจนผมละสายตาไม่ได้เลย ความสุขทุกข์ ความสับสนวุ่นวายในชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นทั้งคู่ก็ยังคงอยู่ด้วยกัน มันคือความรักในแบบที่ผมชอบ ไม่เพอร์เฟ็กต์แต่สุดท้ายก็ยังคงดูแลกัน เต้นรำ ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันจนแก่
‘Did Cuties hates Bullies?’
‘No Cuties loves Bullies so much.’
เสียงสัมภาษณ์ช่วงท้าย และรอบยิ้มของทั้งคู่ ทำให้ผมยิ้มตาม
“ดีเนอะ” เสียงเรียบๆ ดังข้างๆ
“อืม”
เมื่อคืนไม่รู้ผมเผลอหลับไปตอนไหน เสียงนาฬิกาปลุกดังปลุกผมให้ลืมตาตื่นมาเจอใบหน้าคมที่นอนอยู่ข้างกัน ก้มมองแขนหนักๆ ที่พาดอยู่บนตัว ผลักแขนมันออกแรงๆ จนมันส่งเสียงครางพลางขมวดคิ้ว ผมมองมันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดย้วยๆ ของผมดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้ามัน แล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ วันนี้ผมมีเรียนบ่าย ส่วนไอ้พายุ มันบอกจารย์ยกคลาส พอเดินกลับออกมาก็เห็นมันลุกขึ้นมานั่งยิ้มกริ่มมองตามร่างผมที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า
“ขาวจัง"
“ไอ้สัด"
“ด่ากูทำไมครับ
“ด่าเรื่องที่มึงมานอนเบียดกูด้วยไง เห็นกูหลับแล้วตีเนียนเลยนะ"
"เตียงมึงก็ออกจะใหญ่ ทำหวง แล้ววันนี้เลิกกี่โมง”
“เลิกเรียน4แต่กูต้องอยู่เย็บชุดที่ตึกต่อ”
“โอเค”
แล้วมันก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำไป ผมยืนเป่าผม รอผมแห้ง ไม่นานมันก็เดินกลับออกมา เข้ามาดึงไดร์ไปเป่าให้
“เดี๋ยวกูไปส่งนะ”
“อืม”
“ตัวมึงหอมจัง”
เสียงมันดังแผ่วเบาอยู่ข้างใบหู จนผมขนลุกซู่ ปากแม่งเริ่มอยู่ไม่สุขมันวนเวียนอยู่ที่ซอกคอผม ก่อนจะขบกัดเบาๆจนผมหลุดเสียงน่าเกลียด ฮือออ มันจะเล่นกูแล้วว
“อื้อ พอเลย”
ผมดึงไดร์กลับมาเป่าเองแล้วผลักมันออก มือไวปากไวฉิบหาย มองไอ้พยุที่ลงไปนั่งที่ขอบเตียง ยิ้มกรุ้มกริ่มมองผม มึต้องใจเย็นไอ้สัด พอกูยอมหน่อยละเล่นกูบ่อยเลยนะ
พายุขับรถมาส่งผมที่มอ แล้วก็แยกกลับบ้าน ก่อนไปยังไม่วายย้ำว่าให้รอ มันจะมารับ แม้ผมจะบอกว่าอาจจะไปกินข้าวกับเพื่อนต่อก็ตาม ผมเดินมาถึงห้องเรียน ตรงไปที่โต๊ะที่พวกพิมนั่งกันอยู่
“ไงมึง"พิมหันมาถามผมแล้วชะโงกตัวมองไปด้านหลัง
“หาไรวะ"
“หาพายุ สายข่าวกูรายงานมาว่าเจอมึงลงมาจากรถมัน"
“ดีกันแล้วเหรอ งอนกัน เหมือนผัวเมีย"ไอ้โทนี่เสริม
“ผัวเมียพ่อมึงดิ แล้วสายมึงนี่ใคร"
“ไม่บอก แต่สายกูเชื่อใจได้แระกัน"
"คบกันแล้วเหรอ"
ทั้งโต๊ะเงียบทันทีที่เสียงเรียบๆ ของไอ้นนนดังขึ้น
“ยังหรอกแต่ก็คุยๆ กันอยู่ๆ "
“ง่อววว โดนหญิงหลอกครั้งเดียว เพื่อนกูจะมีผัวเฉย"
“บ้าบอ กูเนี่ยผัวมัน”
"แล้วคอเป็นไร"
"อะไร"
ยกมือขึ้นกุมคอตัวเอง
"เห็นรอยแดงๆ โดนพายุกัดคอมารึไง"
"...."
"เชี่ยยย แค่นี้ก็รู้แล้วมึงเป็นเมียชัดๆ"
"สัด มันเล่นกูทีเผลอเว้ย กูบอกว่ากูไม่ใช่เมียไง!"
“ฮ่าๆ กูจะรอดู"
“โทนี่!เลิกยุ่งกับคอกู จริงจังนะ พวกมึง...แบบไม่แปลกใจหรือห้ามกูหน่อยเหรอวะ”
“โอ๊ย ห้ามทำไมคนจะได้กัน กูห้ามกูก็ขึ้นคานดิ อย่างมึงอะเหมาะกับให้คนดูแล มึงดูแลคนอื่นไม่ได้หลอก กูเห็นตอนมึงคบกับนานะกูยังคิดเลยว่ามึงเหมือนเพื่อนกัน แฟนบ้าไรรู้เรื่องรองพื้น”
“เวลาซื้อเสื้อผ้ามึงก็ไม่ได้ไปรอเขานะ เขาเนี่ยรอมึง" ไอ้โทนี่เสริม
“ไม่ดีอ่อ เวลามึงหน้าเทา กูก็เตือนมึงได้ ช่วยเลือกลิปก็ได้ แต่งหน้าทำผมให้งี้”
“ดีกับผี บางทีผู้หญิงก็ไม่ได้อยากได้คนที่รู้ไปหมดในเรื่องแบบนั้นปะ เอาตรงๆ คือมึงอะให้ความรู้สึกแบบเป็นเพื่อนมากกว่าจะเป็นผัวจบนะ”
“สัด”
“แล้วมึงก็ไม่ต้องคิดมาก พวกกูพอจะดูออกตั้งนานแล้วว่ามึงเคลิ้ม ชอบก็จัดเลยเพื่อน”
ผมฟังไอ้พิมพูด มองโทนี่ที่พยักหน้าเห็นด้วย แล้วมองไปที่ไอ้นนน ที่ส่งยิ้มบางๆ ให้
“ขอบคุณนะเว้ย”
“เออ แต่ถ้ารู้แล้วว่าใครผัวใครเมียมาบอกกูด้วยนะ”
“ถ้ามึงเป็นเมียปรึกษากูได้เรื่องนี้กูถนัด”
สัด พวกเวร
หลังจากจารย์ปล่อยพวกผมก็ยังคงอยู่ที่ห้องเรียนเย็บงานกันต่อ เพราะมีส่งพรุ่งนี้เช้า ถามว่าทำไมกลับไปเย็บที่บ้านไม่ได้ นั่นก็เพราะที่ห้องผมไม่มีจักรอุตสาหกรรม แล้วจารย์ก็ไม่ให้ใช้จักรหิ้วเย็บด้วย เราเลยต้องอยู่เย็บกันที่มอ พวกผมนั่งประจำกันอยู่ที่จักรคนละตัว ลุกเดินมาตัดผ้า รีดผ้ากาวแล้วกลับไปประจำที่จักร เป็นแบบนี้วนไป
“มึง ใครเอากรรไกรตัดผ้ากูไป เอามาคืนด้วยเว้ยย"
“อยู่นี่ๆ "
“พิวว จักรพ้งเป็นอะไรทำไมกูเหยียบไม่ไปว่ะ"
“ก็มึงไม่ได้เสียบปลั๊กไอ้ควาย! "
“เสร็จแล้วโว้ยย”
“มาช่วยกู”
ผมยังคงทำงานท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย ที่ดังไม่หยุด ก้มหน้ารีดผ้ากาวงกๆ หันกลับมา ในห้องจากที่อยู่กันเป็นสิบคนก็เหลือกันไม่กี่คน ไฟนีออนสว่างจ้า ฟ้าด้านนอกมืดสนิท
“เสร็จแล้ววว"
เสียงไอ้พิมดัง พร้อมชูผลงานขึ้นมาตรงหน้า
“อีพิมมม ช่วยกูเย็บเข้าวงแขนหน่อยดิ กูเลาะหลายรอบแล้ววว"
ผมมองไอ้พิมที่เดินเข้าไปนั่งหลังจักรแทนโทนี่ แล้วเริ่มถีบจักรเข้าวงแขน ผมเดินกลับมาประจำที่จักรตัวเองและเริ่มเย็บเข้าวงแขนบ้าง
กริ๊งๆ
“เสียงไรวะ"พวกผมหันไปมองหาเสียงพร้อมกัน แต่เพราะงานที่ไฟลนก้นมากทุกคนก็หันกลับมาทำงานตัวเองต่ออย่างไม่ใส่ใจ แขนเสื้อเสร็จแล้ว ผมเหลือแค่เย็บปก เข้าคอแล้วพ้งก็เสร็จ จะได้กลับสักที โคตรหิวข้าวเลย
กริ๊งๆ
เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีใคร ให้ความสนใจ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตา ทำงานตัวเอง ไม่นานผมก็ทำเสร็จพร้อมๆ กับเพื่อนที่เหลือ เราเริ่มเก็บของ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูระหว่างรอเพื่อน แล้วก็ต้องตกใจกับเวลาบนหน้าจอ สองทุ่มแล้ว ไม่เคยอยู่ตึกดึกขนาดนี้เลย ที่ตกใจมากกว่าคือสายที่ไม่ได้รับ รีบกดโทร หามัน รอสายไม่นานไอ้พายุก็รับสาย
"มึงโทษๆ กูปิดเสียง เลยไม่ได้ยิน"
[นี่อยู่ไหน]
"ห้องเรียน พึ่งทำงานเสร็จ เดี๋ยวจะกลับแล้ว"
[โอเค รอกูข้างล่าง]
"มึงอยู่ไหน"
[อยู่บนรถ กำลังขับไปหามึง อีกสิบนาทีถึง]
"อ่อๆ โอเค แค่นี้ก่อนนะ จะลงแล้ว"
ผมบอกมันแล้ววางสายเมื่อเห็นว่า เพื่อนเริ่มเดินกันไปหน้าประตูพอเดินพ้นประตูออกมาเท่านั้นแหละพวกผมก็ผงะ ฉิบหาย มืดสนิทเหมือนอนาคตกูเลย
"นนน อย่าพึ่งปิดไฟ! "
เสียงไอ้พิมพ์ร้องดัง ไอ้นนนชะโงกหน้าออกมามองทางเดินที่มืดสนิท มีเพียงแสงจากห้องเรียนที่เราออกมาเท่านั้นที่ส่องให้เห็นทางรำไร พวกผมจัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดไฟฉาย พอไอ้นนนเห็นว่าเราเตรียมตัวกันพร้อมมันก็เดินกลับเข้าห้องไปปิดไฟ
“ทำไมเขาปิดไฟมืดขนาดนี้วะ"
“มึงกูกลัวผี"
“มึงอย่าพูด! ”
หันไปบอกพวกมัน บรรยากาศแบบนี้ใครเขาพูดเรื่องผีกัน ผมมองหุ่นที่ยืนเรียงกันอยู่ระหว่างทางเดิน ชวนขนลุก เราพากันเดินไปที่ลิฟต์แล้วก็ต้องตกใจรอบสอง ลิฟต์ไม่ทำงาน ก่อนปิดตึกเขาไม่ตรวจดูหน่อยเหรอ ว่ายังมีคนค้างอยู่
“ลงบันไดเหอะ หวังว่าเขาจะไม่ปิดลูกกรงบันได" ไอ้นนนพูดแล้วเดินนำพวกเรา ไปทางบันได เราเดินกันลงมาจากชั้นเก้า มีเพียงแสงไฟจากมือถือส่องนำทาง บรรยากาศดูวังเวง เงียบเชียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของเราดังสะท้อน จนน่าขนลุกยิ่งพอคิดถึงเรื่องเล่าประจำคณะก็พาเอาขนลุกซู่ เราเดินเกาะกลุ่มกันลงมา ในที่สุดก็ลงมาถึงชั้นล่าง ที่ไร้ผู้คน แม้แต่พี่ยามก็ยังไม่นั่งอยู่ในที่ประจำ แสงไฟนอกตึกที่ส่องผ่านประตูกระจกเข้ามา ทำให้ผมโล่งใจ เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกัน รอดแล้ว พากันเดินไปที่ประตูผมผลักเปิดแต่ประตูกลับไม่ขยับ เวร ปิดตึกของจริง
“ใครมีเบอร์ไอ้มิวมั้ยมันลงมาก่อนเรามันอาจจะยังออกไปไม่ไกลมาก โทรให้มันตามใครมาช่วยหน่อย"
“กูโทรเอง" ระหว่างที่รอโทนี่โทรหามิว โทรศัพท์ผมก็ดัง ผมรีบกดรับสายไอ้พายุทันที
“มึงกูลงมาแล้วแต่ประตูล๊อคจากข้างนอกอ่ะกูออกไปไม่ได้" รีบพูดตื่นๆ บรรยากาศในตึกกำลังทำผมสติแตก
[ใจเย็นๆ กูรู้แล้ว กูอยู่กับลุงกฤตแล้ว เขามาขี่จักรยานรอพวกมึง]
“ห๊ะ ใครนะ"
[ลุงกฤต ยามใต้ตึกเราอะ เขาบอกเขากดกริ่งเตือนให้มึงออกจากตึกสองครั้งแล้ว แต่พวกมึงไม่สนใจเขาเลยออกมาขี่จักรยานรอพวกมึง]
“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ"
[ใจเย็นๆ นั่งรอแป๊บหนึ่ง แกขอปั่นรอบสนามอีกรอบแล้วจะไปเปิดตึกให้]
“ครึ่งรอบไม่ได้เหรอวะ”
[บอกไม่ทันว่ะ ลูงแกปั่นไปแล้ว]
"ทำไมลุงทำงี้ว้า ปิดไฟทั้งตึกเลยนะมึง ลิฟต์ยังปิด ตอนเดินลงมาโคตรน่ากลัว"
[อย่าพึ่งงอแง มึงผิดเองนะที่ทำงานไม่ดูเวลา ลุงเขาก็แค่ทำหน้าที่เขา]
"ก็งานมันเร่ง กูก็รีบสุดๆ แล้วใครจะรู้ว่าไอ้เสียงออดนั่นคือเสียงเตือน"
[งานนี้ส่งเมื่อไหร่]
“พรุ่งนี้ กูถึงรีบทำไง"
[อ่าห๊ะ แล้วจารย์สั่งงานนี้มาตอนไหน]
“….” เงียบเลยกู จาร์ยสั่งมาอาทิตย์ที่แล้ว
[กูกำลังเดินไปที่ตึกแล้ว นั่งรอก่อน]
“อือ”
ผมกดวางสายจากไอ้พายุ โดนมันสอนไปหนึ่งดอก เล่นเอาจุกจนพูดไม่ออก
“คุยกับพายุเหรอ" พิมหันมาถามผม
“อืม”
“พายุว่าไง”
“มันบอกลุงยามเห็นเรายังทำงานก็เลยไปปั่นจักรยานรอ”
“ห๊ะ จริงปะเนี่ย"
“ระหว่างลงมากูคิดแต่เรื่องพี่คนนั้น"
“สัดอย่าพูด"
ผมนั่งฟังพวกมันเถียงกันได้ไม่นาน เราก็เห็นร่างไอ้พายุเดินเข้ามาหน้าประตูข้างกายมีลุงที่อยู่ในชุดวอร์ม พวกผมลุกเดินไปยืนรอหน้าประตู พอออกมาได้ ก็ยกมือไหว้ลุงแกที่ยืนส่งยิ้มให้
“เป็นไง งานเสร็จมั้ย เห็นขยันกันมากนึกว่าอยากนอนนี่"
“ขอโทษด้วยนะครับ” ผมพูดแล้วยกมือไหว้อีกรอบ
“ไม่เป็นไรๆ ไปๆ กลับบ้านกันได้แล้ว”
“ขอบคุณครับ/ค่า"
“ขอบคุณนะลุง"ผมมองไอ้พายุที่ยกมือไหว้ ลุงแกก็ตบบ่ามันเบาๆ ตอบ อย่างคุ้นเคยก่อนมันจะหันกลับมาแล้วฉวยกระเป๋าใบใหญ่สุดในมือผมไปถือให้
“เป็นไง ทัวร์ตึกตอนกลางคืน สนุกปะ”
“สนุกบ้านมึงดิ”
มันยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ
“เมื่อกี้ที่มึงขอโทษลุงอะถูกแล้ว"
“ชอบทำเหมือนกูเป็นเด็กจังวะ ไม่ตบตูดกูด้วยเลยละ”
แล้วมันก็ตบตูดผมสองสามที อยากดูดนมนอนเลยกู
“อีภพ พวกกูจะไปแดกข้าวต่อ มึงจะไปด้วยมั้ย”
เสียงไอ้โทนี่ถาม ผมหันไปมองเพื่อนที่หยุดยืนห่างออกไป แล้วหันมามองหน้าไอ้ยุเป็นเชิงถาม มันพยักหน้าเป็นอันตกลงว่ามันไปด้วย
“ไป ร้านไหน”
“หน้ามอเนี่ย ที่รักจะไปก็ตามมาจ้า”
“เออๆ”
“แล้วเย็บชุดเสร็จมั้ย” ไอ้พายุถาม สองเท้าก้าวเดินไปพร้อมๆ ผม
“เสร็จ ยากฉิบหายแต่กูเก่ง”
“หรออ” ขยี้หัวกูอีกแล้ว
“พอ ผมกูยุ่งหมด”
มือล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดกล้องหน้าจับผมตัวเอง ไอ้พายุมันก็ช่วยนะ ช่วยทำให้ยุ่งกว่าเดิมเนี่ยยย
ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมายเหลือแค่ร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ หน้ามอที่ยังเปิดอยู่
“พวกมึงเอาไรกูจะจด” ไอ้พิมรับหน้าที่จดเมนู แต่ละคนก็นั่งเลือกกันส่วนผมมีในใจแล้ว
“ภพมึงเอากะเพราหมูกรอบใช่มั้ย/ของมึงกะเพราหมูกรอบปะ” ผมมองไอ้พายุสลับกับไอ้นนน ที่พูดขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองหน้ากันนิ่ง เอิ่มมม มึงสามัคคีกันทำไม
“เอ่อ พิมกูเอาหมูกรอบผัดพริกแกง วันนี้อยากกินถั่วฝักยาววะ” หันไปบอกไอ้พิมแล้วส่งยิ้มแหย่ให้ไอ้พายุกับไอ้นนนเป็นการตัดบท
“สองคนเลิกจ้องจะกัดกันแล้วสั่งมา เอาอะไร”
เสียงไอ้พิมช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ตรงหน้าไปได้ ผมว่าถ้ามันสองคนมาเจอกันบ่อยๆ ผมคงต้องอยู่สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ไปอีกพักใหญ่
เขาใจตรงกันแล้วนะแม่
มาอ่านตอนเก่าๆเห็นว่ามีหลายคำที่พิมพ์ผิด จะค่อยๆปรับปรุงแก้ไขคำให้ถูกต้องมากขึ้นนะคะ