ตอนที่ 8
[/color][/size]
รถเก๋งแบบห้าประตูกลางเก่ากลางใหม่ขับมาจอดหน้าประตูบ้านตระกูลลีพานิชสกุล ยามประจำประตูรีบเปิดประตูให้เพราะคุ้นเคยว่ารถคันนี้เป็นรถของอดีตภรรยาเจ้าของบ้าน รถคันนั้นเลี้ยวไปจอดหลบใต้เงาร่มไม้ใหญ่บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของจะอยู่ที่นี่ไม่นาน หญิงวัยกลางคนลงมาจากรถ ผมดำแซมขาวถูกรวบไว้เป็นมวยผมเรียบร้อย ดวงตาที่มองบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอาศัยมีแววเจ็บปวดลึก ความขมขื่นของการใช้ชีวิตคู่ในอดีตยังคงตามติดชีวิตเธอเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จารวีเดินเข้าไปในบ้านเก่าของตัวเองอย่างคุ้นเคย บ้านเก่าเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ปกรณ์ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ ธีภพลูกชายคนโตกลายมาเป็นเจ้าของบ้านแทน บางส่วนของบ้านถูกต่อเติมใหม่หลังจากธีภพแต่งงาน แม่บ้านบางคนที่เป็นคนเก่าแก่เข้ามาทักทายนายเก่าอย่างนอบน้อม
“คุณกรณ์ล่ะ” จารวีถามแม่บ้านคนเก่า
“อยู่ในห้องค่ะ เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลสักครู่นี่เองค่ะ”
“เขากินอะไรหรือยัง”
“คุณพยาบาลบอกว่าอาเจียนออกมาหมดเลยค่ะ เป็นอาการข้างเคียงจากทำเคมีบำบัดค่ะ”
อดีตนายหญิงพนักหน้ารับรู้ หล่อนสั่งให้นำอาหารไปจัดแจงใส่ถ้วยส่วนตัวเธอเดินไปยังห้องนอนของอดีตสามี หล่อนค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือ ความเงียบในห้องทำให้รู้ว่าผู้ป่วยกำลังหลับ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยี่ยมเป็นใครพยาบาลส่วนตัวที่ธีภพจ้างมาดูแลจึงออกไปจากห้อง ปล่อยให้ทั้งสองมีความเป็นส่วนตัว จารวีมองร่างผอมแห้งผิวซีดเหลืองบนเตียง ปกรณ์ไม่เหลือเค้าความหล่อในวัยหนุ่มเลยสักนิด มีเพียงแค่จังหวะการหายใจเบาๆ เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าร่างบนเตียงยังมีลมหายใจอยู่ หล่อนนั่งลงข้างเตียงบีบมืออดีตสามีเบาๆ ผู้ป่วยลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน
“เป็นอย่างไรบ้างคะ” จารวีถามอดีตสามีเบาๆ
“เหนื่อย” ปกรณ์ตอบกลับน้ำเสียงแผ่วเบา เสียงประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง สาวใช้คนเดิมนำอาหารอ่อนเข้ามาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะยอบตัวเดินออกไป
“กินอะไรหน่อยนะคะ” อดีตภรรยาจัดแจงป้อนอาหารให้
“ลูก...เป็นยังไง...บ้าง” ปกรณ์พยายามจะพูด
“ออมสบายดีค่ะ” จารวียื่นมือจะป้อนอาหารให้เขา
“ของ...ของขวัญล่ะ” คราวนี้เป็นฝ่ายจารวีที่นิ่งอึ้ง ของขวัญที่ปกรณ์ฝากไปให้ธีทัตยังอยู่ในกระเป๋าถือของเธอ จารวียิ้มให้สามีก่อนจะจำใจโกหก
“ลูกชอบมากค่ะ ทีนี้จะกินได้หรือยังคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เป็นสามีจึงยอมอ้าปากกินอาหาร แม้จะฝืดคอแต่เขาก็พยายามกินให้ได้มากที่สุด
“ออม...” เสียงของปกรณ์ขาดหายไป
“ลูกทำงานยุ่งมาก แต่ลูกก็ยังถามถึงคุณนะคะ” รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าผู้ป่วย จารวีน้ำตารื้นนึกสังเวชในสภาพของอดีตสามี ความโกรธเกลียดที่เคยมีกลับหายวับไปหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งก่อนจะเปิดออก ธีภพเข้ามาในห้อง
“ไม่รู้ว่าแม่จะมา คราวหลังแม่โทรมาบอกก่อนนะครับ อ้นจะได้ให้คนขับรถไปรับจะได้ไม่ต้องขับรถมาเอง” ธีภพทักขึ้นเมื่อเห็นมารดา ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างเตียงของผู้เป็นพ่อ
“เป็นไงบ้างครับพ่อ” ลูกชายคนโตทักผู้เป็นพ่อ น้ำเสียงแม้จะแสดงถึงความห่วงใยแต่ก็แฝงไปด้วยความห่างเหิน
“คุณย่า” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาในห้องแล้วโผเข้ากอดจารวีแน่น ผู้เป็นย่ากอดตอบ เด็กหญิงทำท่าจะผละจากจารวีเข้าเกาะขอบเตียงปกรณ์ แต่ถูกธีภพดึงตัวไว้เสียก่อน
“ลินาอย่าเข้าใกล้คุณปู่”
“ทำไมละคะคุณพ่อ”
“วันนี้คุณปู่เพิ่งไปโรงพยาบาล หนูยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะลูก” ผู้เป็นพ่อบอกอย่างนั้น เด็กน้อยจึงถอยห่างจากเตียงของปู่
“พ่อนอนพักเถอะนะครับ...แม่ครับ อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะครับ อย่าเพิ่งกลับ” คำพูดของธีภพบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาอยากให้ปกรณ์นอนพักผ่อน จารวีจึงไม่ปฏิเสธลูกชายคนโต
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ธีภพสบตาภรรยาเป็นเชิงบอกว่าต้องการความเป็นส่วนตัวกับมารดา ผู้เป็นภรรยารู้ใจสามี
“กินข้าวเสร็จแล้วขึ้นห้องไปอาบน้ำได้แล้วมั้ง” ภรรยาของธีภพพูดกับเด็กหญิงลินา
หลังจากที่ภรรยาและลูกสาวออกไปจากห้องแล้ว ผลไม้ที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำถูกจัดเรียงไว้บนจานเปลถูกนำมาเสิร์ฟแทนของหวาน
“เจ้าออมเป็นอย่างไรบ้างครับแม่ ผมไม่ได้คุยกับน้องเลยตั้งแต่ลงไปทำงานที่ใต้” ธีภพถามถึงน้องชายคนเล็กเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังสองคนแม่ลูก
“น้องสบายดีแต่งานยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน กินแต่อาหารแช่แข็ง แม่ต้องทำอาหารเก็บไว้ให้เป็นเสบียง ว่างๆ อ้นลองโทรหาน้องบ้างนะลูก แม่อยากให้อ้นลองคุยกับออมให้น้องมาพบพ่อเขาบ้าง” ธีภพพยักหน้า เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อพี่น้อง แต่หลังจากครอบครัวแตกแยกทุกคนต่างมีปมในใจของตัวเอง แม้แต่ตัวธีภพเองก็เปลี่ยนจากเด็กชายที่มีนิสัยร่าเริงเป็นคนเงียบขรึม
“จะลองคุยให้นะครับ...” ธีภพนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “แม่ครับ...หมอบอกว่าอาการของพ่อทรุดลงเรื่อยๆ อ้นว่าพ่อคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน” แม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่เมื่อได้ยินดังนั้นจารวีก็ใจหายอยู่ดี
“พ่อทำพินัยกรรมไว้หมดแล้ว อ้นคุยกับอั๋นแล้วว่าหลังจากพ่อเสียอ้นจะโอนหุ้นของพ่อให้อาร์มกับออม โชคดีที่พ่อไม่ได้มีลูกกับเมียคนอื่นก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”
“ขอบใจนะอ้นที่ยังคิดถึงน้อง” ธีภพยิ้มบางให้มารดา บีบมือมารดาเบาๆ “อาร์มกับออมก็เป็นน้องของอ้นนะครับ”
ลูกชายคนโตเดินมาส่งมารดาถึงรถ มองจนรถเก๋งคันนั้นขับออกไปจากรั้วบ้าน ธีภพเคยนึกอิจฉาน้องชายคนเล็กทั้งสองมาตลอดที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากมารดา ต่างจากเขาที่แม้จะถูกเลี้ยงดูมาโดยไม่ขาดเงินทอง แต่กลับขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว
ชายสูงวัยผมสีดอกเลา แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสแล็คโบกมือให้ปฐวีขณะที่เขาเดินเข้ามาในภัตตาคารเก่าแก่ชื่อดังของเมืองสุราษฎร์ธานี ปฐวีเดินตรงไปหาผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งอย่างหัวเสีย นายแพทย์วิทยายิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะยื่นเมนูปกหนังให้ลูกชาย
“สั่งอาหารซะสิ พ่อไม่รู้ว่าเราจะกินอะไรเลยไม่ได้สั่งเผื่อ” นายแพทย์วิทยาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ
ปฐวีเปิดเมนูดูทีละหน้า สั่งอาหารโปรดสองสามอย่างกับบริกรก่อนจะส่งเมนูคืน
“แม่ไปไหนฮะ ทำไมไม่มาด้วย” ปฐวีถามผู้เป็นพ่อ
“ขึ้นไปกรุงเทพ ไปงานเลี้ยงรุ่นที่จุฬา”
“ไหนลองเล่ามาซิว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ขุ่นใจ” ผู้สูงวัยถามอย่างรู้ทัน
“พ่อดูออกด้วยเหรอฮะ พ่อน่าจะไปเป็นหมอดูมากกว่าจะเป็นหมอศัลย์” ผู้เป็นพ่อหัวเราะ
“พ่อเป็นพ่อแกนะ เลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ ทำไมจะดูไม่ออก ถ้าพร้อมแล้วก็เล่ามาก็แล้วกัน”
“ผมตั้งใจว่าจะชวนอินเทิร์นใหม่มาแนะนำให้รู้จักกับพ่อ อุตส่าห์แลกเวรให้หยุดตรงกันด้วย แต่ไม่รู้หายไปไหน” ปฐวีขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ผู้เป็นพ่อนั่งกอดอกฟังอย่างใจเย็น
“แค่นี้เองเหรอที่ทำให้แกหัวเสีย...ปกติแกไม่ค่อยสุงสิงกับอินเทิร์นนี่นา ทำไมคนนี้ถึงดูสนิทเป็นพิเศษล่ะ”
“ก็...”
ผู้เป็นพ่อเหมือนจะดูออกว่าลูกชายกำลังคิดอะไร เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะตักอาหารว่างเข้าปาก
“วี...แกรู้ใช่ไหมว่าแกเป็นคนชอบเอาชนะ แล้วก็เป็นคนดื้อเงียบด้วย บางครั้งในชีวิตเราไม่จำเป็นต้องชนะเสียทุกเรื่องหรอก แพ้บ้างก็ได้”
“ผมไม่อยากเอาชนะซะหน่อย” ชายหนุ่มเถียง “ผมแค่อยากรู้จักเค้ามากขึ้นกว่าเดิม อยากให้คิดถึงผมคนแรก”
“วี...พ่อว่าวีควรจะรู้จักเคารพสิทธิของคนอื่นบ้างนะ สิ่งที่วีคิดมันก็ไม่ผิด แต่คนเรามีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครชอบหรอกถ้าต้องถูกบังคับให้ทำอะไร หรือต้องอยู่กับใคร ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า อีกอย่างนึงเรื่องบางเรื่องน่ะไม่ต้องใช้เวลานานหรอก แค่เริ่มต้นก็พอจะรู้คำตอบแล้ว” วิทยาพูดเป็นนัยๆ ยิ่งทำให้ปฐวีหน้ามุ่ยมากกว่าเดิม อาหารที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ชายหนุ่มกินไปสองสามคำก็รู้สึกเฝื่อนคอจนกินไม่ลง เขารวบช้อนส้อม
“ผมอิ่มแล้วครับ จะกลับแฟลตแล้ว”
“อื้ม กลับดีๆ ล่ะ ถ้าว่างก็กลับบ้านบ้างนะ แม่เขาบ่นคิดถึง อ้อ แล้วอีกอย่างนึง...” ผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้นสบตาลูกชายจริงจัง
“อย่าลืมที่แม่เขาบอกไว้ล่ะ
‘อยากทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนัก’”
“ครับ” ปฐวีตอบรับห้วนๆ
คนไข้คนสุดท้ายออกไปจากห้องตรวจ นายแพทย์ธีทัตพาดสเตธไว้รอบคอ กำลังจะเปิดประตูออกไปนอกห้องแต่ก็ชะงักเมื่อพิสมัยกระหืดกระหอบเปิดประตูห้องเข้ามาในห้องด้วยความรีบร้อน
“หมอคะ น้องหมิวนั่งรออยู่ข้างนอกค่ะ พี่ให้จินตนารับมืออยู่ หมอแขบออกไปทางประตูหลังตะ” หล่อนกระซิบให้พอได้ยินกันเพียงแค่สองคน ธีทัตพยักหน้าพร้อมกับเปิดประตูหลังที่เชื่อมกับอีกห้องหนึ่งตามแผนเดิม นายแพทย์วัยกลางคนผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาจารย์แพทย์ประจำโรงพยาบาลชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นแพทย์หนุ่มรุ่นคราวหลานเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาโดยไม่เคาะขออนุญาตก่อน
“ขอโทษครับอาจารย์ ผมขออนุญาตออกทางนี้หน่อยนะครับ”
“อ้อ ได้สิ เชิญเลย” นายแพทย์สูงวัยยิ้มให้อย่างใจดี พลางนึกสงสารหมอหนุ่มรุ่นน้อง
ข่าวลือเรื่องลูกสาวเถ้าแก่เส็งเจ้าของร้านทองเจ้าใหญ่ในตลาดมาเฝ้าหมอหนุ่มคนใหม่ดังไปทั่วโรงพยาบาลราวกับไฟลามทุ่ง และเรื่องนี้จะไม่ถูกเล่าต่อจากปากต่อปากจนเป็นเรื่องดังระดับอำเภอเลยถ้าหญิงสาวต้นเรื่องไม่บอกใครต่อใครว่าหมอหนุ่มคนนี้คือคนที่เธอตีตราจองเรียบร้อยแล้ว และต้องการจะแต่งงานด้วย บางครั้งข่าวลือก็ถูกใส่สีตีไข่เพิ่มเติมอย่างสนุกปากแล้วแต่ว่าคนเล่าจะชื่นชอบเรื่องประเภทไหน
ธีทัตเปิดประตูมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง มั่นใจว่าทางโล่งแล้วก็รีบก้าวอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเลี้ยวขวาเพื่อออกทางเดินยาวที่ทะลุไปยังโรงอาหาร เวณิกาโผล่พรวดมาจากหัวมุม ธีทัตสะดุ้งตกใจ แต่ยังมีสติควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉยไว้ได้
“จ๊ะเอ๋ พี่หมออยู่นี่เอง พี่หมอออกมาจากทางไหนคะ ทำไมหมิวหมิวไม่เห็นเลย นี่ดีนะคะที่หมิวหมิวเดินมาเข้าห้องน้ำพอดี ไม่งั้นก็คลาดกันอีกแล้ว ไม่เจอหน้าพี่หมอมาหลายวัน คิดถึ๊ง คิดถึง” หญิงสาวทักทายอย่างดีใจ มือข้างหนึ่งหิ้วของพะรุงพะรัง ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็คล้องหนับเข้าที่แขนของชายหนุ่ม
“พี่หมอคะ เราไปหาที่กินข้าวกันเถอะค่ะ หมิวหมิวเตรียมอาหารกลางวันมาให้พี่หมอด้วย”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ โรงพยาบาลเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้แล้ว”
“หูย กินแต่อาหารโรงพยาบาลทุกวันน่าเบื่อจะตายไป หมิวหมิวเตรียมของอร่อยไว้ให้พี่หมอเยอะแยะเลยน้า” หญิงสาวชูถุงอาหารในมืออย่างเรียกร้องความสนใจ
‘ไม่...ไม่เอา...ไม่อยากเจอ...ใครก็ได้ช่วยด้วย! พี่กันย์ช่วยผมด้วย!’ ธีทัตคิดในใจ
……….
“หมออยู่นี่เอง ตามหาตั้งนาน” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งคู่หันขวับไปมองพร้อมกัน ธีทัตลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มร่างสูงล่ำสันเดินตรงมายังทั้งสอง ดวงตาคมวับปรายตามองญาติสาวคนสนิทอย่างตำหนิเมื่อเห็นว่าเธอเกาะแขนอีกฝ่ายไว้แน่น
“อ้ะ แม่ผมฝากมาให้” กันยกรยื่นปิ่นโตเถาหนึ่งให้ ธีทัตรับมาถือไว้อย่างงงๆ
“อาหารเที่ยงน่ะ เมื่อวานแม่ผมสัญญาเอาไว้ว่าจะทำอาหารให้หมอกินไง” กันยกรขยายความ
“พี่กันย์คะ เรื่องอาหารเที่ยงของพี่หมอไม่ต้องห่วงนะคะ หมิวจัดการแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้พี่หมอมีอาหารเที่ยงแล้วนะคะ”
“เอ่อ พี่กันย์กินข้าวเที่ยงหรือยังครับ ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันสิครับ” จู่ๆ ธีทัตถามขึ้นมา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สบดวงตายาวรีใต้แว่นกรอบดำที่กำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
“ดีเหมือนกันครับ ชักจะเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” กันยกรตอบตกลงไม่สนใจญาติผู้น้องที่แผดเสียงสูงทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“แต่ว่าเราจะไปกินข้าวด้วยกันนะคะพี่หมอ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ กินด้วยกันหลายคนสนุกดีออก ดีไหมครับ”
“นั่นสิ อย่าเรื่องมากได้ไหม” กันยกรดึงญาติผู้น้องออกจากการเกาะกุมหมอหนุ่ม เวณิกาหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ที่ญาติผู้พี่มาขัดจังหวะพอดี
โรงอาหารของโรงพยาบาลในช่วงพักกลางวันหนาแน่นเกือบทุกพื้นที่ แต่มีห้องกระจกเล็กๆ ถูกจัดไว้เป็นห้องรับประทานอาหารสำหรับหมอและพยาบาล แม้จะมีพัดลมตัวใหญ่ถูกวางเอาไว้เพื่อคลายร้อน แต่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าขาวเนียนจนไรผมเปียกชุ่ม เวณิกานั่งติดกับธีทัตไม่ยอมห่าง เธอจัดแจงวางอาหารแต่ละอย่างไว้ตรงหน้าหมอหนุ่มอย่างเอาใจ กันยกรไม่สนใจการกระทำของญาติผู้น้อง เขาค่อยๆ แกะเถาปิ่นโตอย่างระมัดระวังไม่ให้อาหารที่บรรจุอยู่ภายในหกออกมา
“พี่หมอคะ หมิวหมิวซื้อบะหมี่เป็ดเจ้าอร่อยมาให้ เป็ดเจ้านี้เนื้อนุ่มมากๆ เลยค่ะ หนังก็กรอบ รับรองว่าไม่แพ้โรงแรมโฟร์ซีซันแน่นอน อ้อ ยังมีหมูกรอบที่กรอบที่สุดในสุราษฎร์ด้วยค่ะ” หญิงสาวแกะห่อกระดาษวางลงตรงหน้าหมอหนุ่ม
“แกงส้มไข่ปลาริวกิว หมึกน้ำดำ ห่อหมกใบยอ...” กันยกรวางปิ่นโตและชั้นลงตรงหน้าธีทัต ชายหนุ่มผิวบางยิ้มมุมปาก ตักกับข้าวจากปิ่นโตอย่างละนิดอย่างละหน่อย
“ฝีมือแม่ผมเอง ไม่ใช่จากร้านดัง หวังว่าหมอคงไม่ถือนะ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมชอบอาหารฝีมือป้าดา”
“พี่หมอกินหมูกรอบของหมิวหมิวสักนิดสิคะ” เวณิกาพูดเสียงอ่อน ธีทัตจึงยอมกินหมูกรอบที่เธอคะยั้นคะยอนักหนา
“ว่าแต่ว่าพี่หมอไปกินอาหารฝีมือป้าดาจากที่ไหนเหรอคะ” หญิงสาวถาม
“เมื่อวานหมอมาที่บ้านพี่ งานเลี้ยงละศีลอดที่จัดให้คนงานไง” คนที่นั่งตรงข้ามตอบเสียเอง แถมยังถือวิสาสะจิ้มหมูกรอบที่ญาติผู้น้องภูมิใจนำเสนอเข้าปากหน้าตาเฉย
“อ้าว ไม่เห็นบอกกันเลยว่าพี่หมอไปด้วย”
“พี่บอกไปแล้วนี่ ไม่ยอมมาเอง”
“ก็ไม่นึกว่าพี่หมอจะไปด้วยนี่นา พี่กันย์น่าจะไลน์มาบอกบ้าง” หญิงสาวหน้างอ
“เอ่อ พี่ไปโดยบังเอิญน่ะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะไป แต่พี่ไหมพาไป”
“อ๋อ งั้นก็แล้วไป แต่แหม เราอดเจอกันเลยนะคะ ป้าดาเค้าทำอาหารอร่อยค่ะ หมิวหมิวก็ชอบกินอาหารฝีมือป้าดา”
เวณิกามองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ด้วยความปลื้มและหลงใหล ธีทัตเป็นผู้ชายที่ตรงสเปกตามที่เธอชอบทุกประการ แต่ติดอย่างเดียวก็ตรงที่ชายหนุ่มไม่ได้แสดงออกถึงความชอบพออย่างที่เธอสื่อกับเขา หากธีทัตแสดงให้เธอเห็นว่าเขาพึงพอใจในตัวเธอสักนิด หญิงสาวก็พร้อมที่จะเป็นของเขาตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
“พี่หมอคะอันที่จริงหมิวหมิวมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่หมอด้วยค่ะ พี่กันย์จะนั่งฟังก็ได้นะคะ หมิวอยากให้มีใครสักคนเป็นพยาน” ดวงตายาวรีสบตาคมอย่างสงสัย แต่คำตอบที่ได้จากดวงตาคู่นั้น
“พี่หมอไม่น่าเอาสร้อยทองมาคืนหมิวหมิวเลยนะคะ หมิวหมิวเต็มใจให้เพราะหมิวหมิวรักพี่หมอ แต่ก็เข้าใจนะคะว่าพี่หมอคงเกรงใจ พี่หมอไม่ต้องเกรงใจนะคะ อะไรที่เป็นของหมิวหมิวมันจะเป็นของพี่หมอด้วยค่ะ...” กันยกรสบตากับธีทัตพยายามจะตีความคำพูดของญาติผู้น้อง
“สรุปนะคะ ถ้าพี่หมอเงินเดือนไม่พอใช้ก็บอกหมิวหมิวได้นะคะ หมิวหมิวยินดีซัพพอร์ตพี่หมอเต็มที่ ถ้าพี่หมออยากได้อะไรก็บอกหมิวหมิวได้เลยนะคะ หมิวหมิวจะซื้อให้” ธีทัตสำลักอาหารแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ กันยกรเองก็ทำหน้าเจื่อนนึกไม่ถึงว่าญาติผู้น้องจะกล้าออกตัวเลี้ยงดูผู้ชายตรงๆ
“พี่หมอเป็นอะไรไหมคะ ดื่มน้ำก่อนค่ะ” มือขาวรับน้ำมาดื่ม เมื่อตั้งสติได้แล้วเขาแทบอยากจะล้วงคออาเจียนเอาอาหารทั้งหมดที่กลืนเข้าไปกลับมาคืนเวณิกา
“หมอออมอยู่นี่เอง เคสซีเวียร์*ค่ะ” พิสมัยขยิบตา
“อ้อ ครับ พี่ต้องไปดูคนไข้ก่อน ขอบคุณนะครับสำหรับอาหารเที่ยง ไปแล้วนะครับ” ประโยคสุดท้ายพูดกับกันยกรแล้วก็รีบเดินคู่ไปกับพิสมัยทันที
“หมอพันพรื่อบ้างนิ” พิสมัยถามเสียงลอดไรฟัน
“โชคดีที่พี่กันย์มาช่วยเอาไว้ ไม่งั้นผมต้องไปกินข้าวกับเด็กนั่นสองต่อสอง รู้ไหมว่ายัยหมิวเสนอว่าให้เงินเลี้ยงดูผมทุกเดือนด้วยนะ”
“ตายแล้ว! จริงเหรอคะ ตายๆๆๆๆ ผู้หญิงอะไรแบบนี้ ดีนะคะที่นายหัวมาช่วยเอาไว้ทัน ว่าแต่ว่านายหัวเค้ารู้ได้ไงคะเนี่ยว่าหมอกำลังตกที่นั่งลำบาก” ธีทัตนิ่งคิดตามคำพูดของพิสมัย จริงอย่างที่เธอว่า ทุกครั้งที่นึกถึงร่างสูงใหญ่เจ้าของดวงตาคมวับ...เพียงแค่นึกถึงเท่านั้นก็จะเจอกันยกรปรากฏตัวตรงหน้าราวกับปาฏิหาริย์ ข้อความหนึ่งที่เคยผ่านตาแวบเข้ามาในหัวสมอง
กฎแห่งการดึงดูดจะตอบสนองต่อความคิดของคุณ เมื่อคุณคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการ และตั้งใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ กฎแห่งการดึงดูดก็จะมอบสิ่งที่คุณต้องการให้แก่คุณทุกครั้ง...ยิ่งคิดกฎก็ยิ่งขับเคลื่อน เมื่อใดที่กระแสความคิดคุณไหลออกไป กฎแห่งการดึงดูดก็จะทำหน้าที่**หมายเหตุ
*ซีเวียร์ (Severe) - ผู้ป่วยอาการหนัก
**จากหนังสือ The Secret