❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |  (อ่าน 11457 ครั้ง)

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แอร๊ยยยย ช่วงท้ายก่อนกลับบ้าน ฟินมากค่ะ  :katai2-1:

รอติดตามต่อค่ะว่าจะเป็นยังไง  ขอเป็นกำลังใจให้คุณดรีมด้วยนะคะ สู้ๆค่ะ

อ่านตอนที่เจ็ดตอนกลางคืนหิวมากค่ะ มีทั้งแกงแพะ ปูนึ่ง หมึก ไข่มดแดง  :z3:

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตาม นี่ก็เขียนไปหิวไปเหมือนกันค่ะ

ออฟไลน์ Jingjaij

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กิ๊ดดดดดด คุนดรีมกลับมาแล้ววว ตอนนี้พี่กันย์เค้าก็หยอดเก่งงงง จังเลยนะคะ เมื่อไหร่หมอออมจะรู้ซักทีว่าพราวนางไม่ได้เป็นแฟนพี่กันย์ ฮรึ่มๆๆๆ ขัดใจจจจจจจจ


ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 8
[/color][/size]

   รถเก๋งแบบห้าประตูกลางเก่ากลางใหม่ขับมาจอดหน้าประตูบ้านตระกูลลีพานิชสกุล ยามประจำประตูรีบเปิดประตูให้เพราะคุ้นเคยว่ารถคันนี้เป็นรถของอดีตภรรยาเจ้าของบ้าน รถคันนั้นเลี้ยวไปจอดหลบใต้เงาร่มไม้ใหญ่บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของจะอยู่ที่นี่ไม่นาน หญิงวัยกลางคนลงมาจากรถ ผมดำแซมขาวถูกรวบไว้เป็นมวยผมเรียบร้อย ดวงตาที่มองบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอาศัยมีแววเจ็บปวดลึก ความขมขื่นของการใช้ชีวิตคู่ในอดีตยังคงตามติดชีวิตเธอเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จารวีเดินเข้าไปในบ้านเก่าของตัวเองอย่างคุ้นเคย บ้านเก่าเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ปกรณ์ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ ธีภพลูกชายคนโตกลายมาเป็นเจ้าของบ้านแทน บางส่วนของบ้านถูกต่อเติมใหม่หลังจากธีภพแต่งงาน แม่บ้านบางคนที่เป็นคนเก่าแก่เข้ามาทักทายนายเก่าอย่างนอบน้อม
   “คุณกรณ์ล่ะ” จารวีถามแม่บ้านคนเก่า
   “อยู่ในห้องค่ะ เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลสักครู่นี่เองค่ะ”
   “เขากินอะไรหรือยัง”
   “คุณพยาบาลบอกว่าอาเจียนออกมาหมดเลยค่ะ เป็นอาการข้างเคียงจากทำเคมีบำบัดค่ะ”
   อดีตนายหญิงพนักหน้ารับรู้ หล่อนสั่งให้นำอาหารไปจัดแจงใส่ถ้วยส่วนตัวเธอเดินไปยังห้องนอนของอดีตสามี หล่อนค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือ ความเงียบในห้องทำให้รู้ว่าผู้ป่วยกำลังหลับ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยี่ยมเป็นใครพยาบาลส่วนตัวที่ธีภพจ้างมาดูแลจึงออกไปจากห้อง ปล่อยให้ทั้งสองมีความเป็นส่วนตัว จารวีมองร่างผอมแห้งผิวซีดเหลืองบนเตียง ปกรณ์ไม่เหลือเค้าความหล่อในวัยหนุ่มเลยสักนิด มีเพียงแค่จังหวะการหายใจเบาๆ เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าร่างบนเตียงยังมีลมหายใจอยู่ หล่อนนั่งลงข้างเตียงบีบมืออดีตสามีเบาๆ ผู้ป่วยลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน
   “เป็นอย่างไรบ้างคะ” จารวีถามอดีตสามีเบาๆ
   “เหนื่อย” ปกรณ์ตอบกลับน้ำเสียงแผ่วเบา เสียงประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง สาวใช้คนเดิมนำอาหารอ่อนเข้ามาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะยอบตัวเดินออกไป
   “กินอะไรหน่อยนะคะ” อดีตภรรยาจัดแจงป้อนอาหารให้
   “ลูก...เป็นยังไง...บ้าง” ปกรณ์พยายามจะพูด
   “ออมสบายดีค่ะ” จารวียื่นมือจะป้อนอาหารให้เขา
   “ของ...ของขวัญล่ะ” คราวนี้เป็นฝ่ายจารวีที่นิ่งอึ้ง ของขวัญที่ปกรณ์ฝากไปให้ธีทัตยังอยู่ในกระเป๋าถือของเธอ จารวียิ้มให้สามีก่อนจะจำใจโกหก
   “ลูกชอบมากค่ะ ทีนี้จะกินได้หรือยังคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เป็นสามีจึงยอมอ้าปากกินอาหาร แม้จะฝืดคอแต่เขาก็พยายามกินให้ได้มากที่สุด
   “ออม...” เสียงของปกรณ์ขาดหายไป
   “ลูกทำงานยุ่งมาก แต่ลูกก็ยังถามถึงคุณนะคะ” รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าผู้ป่วย จารวีน้ำตารื้นนึกสังเวชในสภาพของอดีตสามี ความโกรธเกลียดที่เคยมีกลับหายวับไปหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งก่อนจะเปิดออก ธีภพเข้ามาในห้อง
   “ไม่รู้ว่าแม่จะมา คราวหลังแม่โทรมาบอกก่อนนะครับ อ้นจะได้ให้คนขับรถไปรับจะได้ไม่ต้องขับรถมาเอง” ธีภพทักขึ้นเมื่อเห็นมารดา ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างเตียงของผู้เป็นพ่อ
   “เป็นไงบ้างครับพ่อ” ลูกชายคนโตทักผู้เป็นพ่อ น้ำเสียงแม้จะแสดงถึงความห่วงใยแต่ก็แฝงไปด้วยความห่างเหิน
   “คุณย่า” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาในห้องแล้วโผเข้ากอดจารวีแน่น ผู้เป็นย่ากอดตอบ เด็กหญิงทำท่าจะผละจากจารวีเข้าเกาะขอบเตียงปกรณ์ แต่ถูกธีภพดึงตัวไว้เสียก่อน
   “ลินาอย่าเข้าใกล้คุณปู่”
   “ทำไมละคะคุณพ่อ”
   “วันนี้คุณปู่เพิ่งไปโรงพยาบาล หนูยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะลูก” ผู้เป็นพ่อบอกอย่างนั้น เด็กน้อยจึงถอยห่างจากเตียงของปู่
   “พ่อนอนพักเถอะนะครับ...แม่ครับ อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะครับ อย่าเพิ่งกลับ” คำพูดของธีภพบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาอยากให้ปกรณ์นอนพักผ่อน จารวีจึงไม่ปฏิเสธลูกชายคนโต
   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ธีภพสบตาภรรยาเป็นเชิงบอกว่าต้องการความเป็นส่วนตัวกับมารดา ผู้เป็นภรรยารู้ใจสามี
   “กินข้าวเสร็จแล้วขึ้นห้องไปอาบน้ำได้แล้วมั้ง” ภรรยาของธีภพพูดกับเด็กหญิงลินา
   หลังจากที่ภรรยาและลูกสาวออกไปจากห้องแล้ว ผลไม้ที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำถูกจัดเรียงไว้บนจานเปลถูกนำมาเสิร์ฟแทนของหวาน
   “เจ้าออมเป็นอย่างไรบ้างครับแม่ ผมไม่ได้คุยกับน้องเลยตั้งแต่ลงไปทำงานที่ใต้” ธีภพถามถึงน้องชายคนเล็กเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังสองคนแม่ลูก
   “น้องสบายดีแต่งานยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน กินแต่อาหารแช่แข็ง แม่ต้องทำอาหารเก็บไว้ให้เป็นเสบียง ว่างๆ อ้นลองโทรหาน้องบ้างนะลูก แม่อยากให้อ้นลองคุยกับออมให้น้องมาพบพ่อเขาบ้าง” ธีภพพยักหน้า เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อพี่น้อง แต่หลังจากครอบครัวแตกแยกทุกคนต่างมีปมในใจของตัวเอง แม้แต่ตัวธีภพเองก็เปลี่ยนจากเด็กชายที่มีนิสัยร่าเริงเป็นคนเงียบขรึม
   “จะลองคุยให้นะครับ...” ธีภพนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “แม่ครับ...หมอบอกว่าอาการของพ่อทรุดลงเรื่อยๆ อ้นว่าพ่อคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน” แม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่เมื่อได้ยินดังนั้นจารวีก็ใจหายอยู่ดี
   “พ่อทำพินัยกรรมไว้หมดแล้ว อ้นคุยกับอั๋นแล้วว่าหลังจากพ่อเสียอ้นจะโอนหุ้นของพ่อให้อาร์มกับออม โชคดีที่พ่อไม่ได้มีลูกกับเมียคนอื่นก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”
   “ขอบใจนะอ้นที่ยังคิดถึงน้อง” ธีภพยิ้มบางให้มารดา บีบมือมารดาเบาๆ “อาร์มกับออมก็เป็นน้องของอ้นนะครับ”
   ลูกชายคนโตเดินมาส่งมารดาถึงรถ มองจนรถเก๋งคันนั้นขับออกไปจากรั้วบ้าน ธีภพเคยนึกอิจฉาน้องชายคนเล็กทั้งสองมาตลอดที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากมารดา ต่างจากเขาที่แม้จะถูกเลี้ยงดูมาโดยไม่ขาดเงินทอง แต่กลับขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว

   ชายสูงวัยผมสีดอกเลา แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสแล็คโบกมือให้ปฐวีขณะที่เขาเดินเข้ามาในภัตตาคารเก่าแก่ชื่อดังของเมืองสุราษฎร์ธานี ปฐวีเดินตรงไปหาผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งอย่างหัวเสีย นายแพทย์วิทยายิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะยื่นเมนูปกหนังให้ลูกชาย
   “สั่งอาหารซะสิ พ่อไม่รู้ว่าเราจะกินอะไรเลยไม่ได้สั่งเผื่อ” นายแพทย์วิทยาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ
   ปฐวีเปิดเมนูดูทีละหน้า สั่งอาหารโปรดสองสามอย่างกับบริกรก่อนจะส่งเมนูคืน
   “แม่ไปไหนฮะ ทำไมไม่มาด้วย” ปฐวีถามผู้เป็นพ่อ
   “ขึ้นไปกรุงเทพ ไปงานเลี้ยงรุ่นที่จุฬา”
   “ไหนลองเล่ามาซิว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ขุ่นใจ” ผู้สูงวัยถามอย่างรู้ทัน
   “พ่อดูออกด้วยเหรอฮะ พ่อน่าจะไปเป็นหมอดูมากกว่าจะเป็นหมอศัลย์” ผู้เป็นพ่อหัวเราะ
“พ่อเป็นพ่อแกนะ เลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ ทำไมจะดูไม่ออก ถ้าพร้อมแล้วก็เล่ามาก็แล้วกัน”
“ผมตั้งใจว่าจะชวนอินเทิร์นใหม่มาแนะนำให้รู้จักกับพ่อ อุตส่าห์แลกเวรให้หยุดตรงกันด้วย แต่ไม่รู้หายไปไหน” ปฐวีขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ผู้เป็นพ่อนั่งกอดอกฟังอย่างใจเย็น
“แค่นี้เองเหรอที่ทำให้แกหัวเสีย...ปกติแกไม่ค่อยสุงสิงกับอินเทิร์นนี่นา ทำไมคนนี้ถึงดูสนิทเป็นพิเศษล่ะ”
“ก็...”
ผู้เป็นพ่อเหมือนจะดูออกว่าลูกชายกำลังคิดอะไร เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะตักอาหารว่างเข้าปาก
   “วี...แกรู้ใช่ไหมว่าแกเป็นคนชอบเอาชนะ แล้วก็เป็นคนดื้อเงียบด้วย บางครั้งในชีวิตเราไม่จำเป็นต้องชนะเสียทุกเรื่องหรอก แพ้บ้างก็ได้”
   “ผมไม่อยากเอาชนะซะหน่อย” ชายหนุ่มเถียง “ผมแค่อยากรู้จักเค้ามากขึ้นกว่าเดิม อยากให้คิดถึงผมคนแรก”
   “วี...พ่อว่าวีควรจะรู้จักเคารพสิทธิของคนอื่นบ้างนะ สิ่งที่วีคิดมันก็ไม่ผิด แต่คนเรามีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครชอบหรอกถ้าต้องถูกบังคับให้ทำอะไร หรือต้องอยู่กับใคร ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า อีกอย่างนึงเรื่องบางเรื่องน่ะไม่ต้องใช้เวลานานหรอก แค่เริ่มต้นก็พอจะรู้คำตอบแล้ว” วิทยาพูดเป็นนัยๆ ยิ่งทำให้ปฐวีหน้ามุ่ยมากกว่าเดิม อาหารที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ชายหนุ่มกินไปสองสามคำก็รู้สึกเฝื่อนคอจนกินไม่ลง เขารวบช้อนส้อม
   “ผมอิ่มแล้วครับ จะกลับแฟลตแล้ว”
   “อื้ม กลับดีๆ ล่ะ ถ้าว่างก็กลับบ้านบ้างนะ แม่เขาบ่นคิดถึง อ้อ แล้วอีกอย่างนึง...” ผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้นสบตาลูกชายจริงจัง
“อย่าลืมที่แม่เขาบอกไว้ล่ะ ‘อยากทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนัก’
   “ครับ” ปฐวีตอบรับห้วนๆ


   คนไข้คนสุดท้ายออกไปจากห้องตรวจ นายแพทย์ธีทัตพาดสเตธไว้รอบคอ กำลังจะเปิดประตูออกไปนอกห้องแต่ก็ชะงักเมื่อพิสมัยกระหืดกระหอบเปิดประตูห้องเข้ามาในห้องด้วยความรีบร้อน
   “หมอคะ น้องหมิวนั่งรออยู่ข้างนอกค่ะ พี่ให้จินตนารับมืออยู่ หมอแขบออกไปทางประตูหลังตะ” หล่อนกระซิบให้พอได้ยินกันเพียงแค่สองคน ธีทัตพยักหน้าพร้อมกับเปิดประตูหลังที่เชื่อมกับอีกห้องหนึ่งตามแผนเดิม นายแพทย์วัยกลางคนผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาจารย์แพทย์ประจำโรงพยาบาลชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นแพทย์หนุ่มรุ่นคราวหลานเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาโดยไม่เคาะขออนุญาตก่อน
   “ขอโทษครับอาจารย์ ผมขออนุญาตออกทางนี้หน่อยนะครับ”
   “อ้อ ได้สิ เชิญเลย” นายแพทย์สูงวัยยิ้มให้อย่างใจดี พลางนึกสงสารหมอหนุ่มรุ่นน้อง
ข่าวลือเรื่องลูกสาวเถ้าแก่เส็งเจ้าของร้านทองเจ้าใหญ่ในตลาดมาเฝ้าหมอหนุ่มคนใหม่ดังไปทั่วโรงพยาบาลราวกับไฟลามทุ่ง และเรื่องนี้จะไม่ถูกเล่าต่อจากปากต่อปากจนเป็นเรื่องดังระดับอำเภอเลยถ้าหญิงสาวต้นเรื่องไม่บอกใครต่อใครว่าหมอหนุ่มคนนี้คือคนที่เธอตีตราจองเรียบร้อยแล้ว และต้องการจะแต่งงานด้วย บางครั้งข่าวลือก็ถูกใส่สีตีไข่เพิ่มเติมอย่างสนุกปากแล้วแต่ว่าคนเล่าจะชื่นชอบเรื่องประเภทไหน
   ธีทัตเปิดประตูมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง มั่นใจว่าทางโล่งแล้วก็รีบก้าวอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเลี้ยวขวาเพื่อออกทางเดินยาวที่ทะลุไปยังโรงอาหาร เวณิกาโผล่พรวดมาจากหัวมุม ธีทัตสะดุ้งตกใจ แต่ยังมีสติควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉยไว้ได้
   “จ๊ะเอ๋ พี่หมออยู่นี่เอง พี่หมอออกมาจากทางไหนคะ ทำไมหมิวหมิวไม่เห็นเลย นี่ดีนะคะที่หมิวหมิวเดินมาเข้าห้องน้ำพอดี ไม่งั้นก็คลาดกันอีกแล้ว ไม่เจอหน้าพี่หมอมาหลายวัน คิดถึ๊ง คิดถึง” หญิงสาวทักทายอย่างดีใจ มือข้างหนึ่งหิ้วของพะรุงพะรัง ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็คล้องหนับเข้าที่แขนของชายหนุ่ม
   “พี่หมอคะ เราไปหาที่กินข้าวกันเถอะค่ะ หมิวหมิวเตรียมอาหารกลางวันมาให้พี่หมอด้วย”
   “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ โรงพยาบาลเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้แล้ว”
    “หูย กินแต่อาหารโรงพยาบาลทุกวันน่าเบื่อจะตายไป หมิวหมิวเตรียมของอร่อยไว้ให้พี่หมอเยอะแยะเลยน้า” หญิงสาวชูถุงอาหารในมืออย่างเรียกร้องความสนใจ
   ‘ไม่...ไม่เอา...ไม่อยากเจอ...ใครก็ได้ช่วยด้วย! พี่กันย์ช่วยผมด้วย!’ ธีทัตคิดในใจ
   ……….
   “หมออยู่นี่เอง ตามหาตั้งนาน” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งคู่หันขวับไปมองพร้อมกัน ธีทัตลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มร่างสูงล่ำสันเดินตรงมายังทั้งสอง ดวงตาคมวับปรายตามองญาติสาวคนสนิทอย่างตำหนิเมื่อเห็นว่าเธอเกาะแขนอีกฝ่ายไว้แน่น
   “อ้ะ แม่ผมฝากมาให้” กันยกรยื่นปิ่นโตเถาหนึ่งให้ ธีทัตรับมาถือไว้อย่างงงๆ
“อาหารเที่ยงน่ะ เมื่อวานแม่ผมสัญญาเอาไว้ว่าจะทำอาหารให้หมอกินไง” กันยกรขยายความ
   “พี่กันย์คะ เรื่องอาหารเที่ยงของพี่หมอไม่ต้องห่วงนะคะ หมิวจัดการแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้พี่หมอมีอาหารเที่ยงแล้วนะคะ”
   “เอ่อ พี่กันย์กินข้าวเที่ยงหรือยังครับ ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันสิครับ” จู่ๆ ธีทัตถามขึ้นมา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สบดวงตายาวรีใต้แว่นกรอบดำที่กำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
   “ดีเหมือนกันครับ ชักจะเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” กันยกรตอบตกลงไม่สนใจญาติผู้น้องที่แผดเสียงสูงทะลุกลางปล้องขึ้นมา
   “แต่ว่าเราจะไปกินข้าวด้วยกันนะคะพี่หมอ”
   “ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ กินด้วยกันหลายคนสนุกดีออก ดีไหมครับ”
   “นั่นสิ อย่าเรื่องมากได้ไหม” กันยกรดึงญาติผู้น้องออกจากการเกาะกุมหมอหนุ่ม  เวณิกาหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ที่ญาติผู้พี่มาขัดจังหวะพอดี
   โรงอาหารของโรงพยาบาลในช่วงพักกลางวันหนาแน่นเกือบทุกพื้นที่ แต่มีห้องกระจกเล็กๆ ถูกจัดไว้เป็นห้องรับประทานอาหารสำหรับหมอและพยาบาล แม้จะมีพัดลมตัวใหญ่ถูกวางเอาไว้เพื่อคลายร้อน แต่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าขาวเนียนจนไรผมเปียกชุ่ม เวณิกานั่งติดกับธีทัตไม่ยอมห่าง เธอจัดแจงวางอาหารแต่ละอย่างไว้ตรงหน้าหมอหนุ่มอย่างเอาใจ กันยกรไม่สนใจการกระทำของญาติผู้น้อง เขาค่อยๆ แกะเถาปิ่นโตอย่างระมัดระวังไม่ให้อาหารที่บรรจุอยู่ภายในหกออกมา
   “พี่หมอคะ หมิวหมิวซื้อบะหมี่เป็ดเจ้าอร่อยมาให้ เป็ดเจ้านี้เนื้อนุ่มมากๆ เลยค่ะ หนังก็กรอบ รับรองว่าไม่แพ้โรงแรมโฟร์ซีซันแน่นอน อ้อ ยังมีหมูกรอบที่กรอบที่สุดในสุราษฎร์ด้วยค่ะ” หญิงสาวแกะห่อกระดาษวางลงตรงหน้าหมอหนุ่ม
   “แกงส้มไข่ปลาริวกิว หมึกน้ำดำ ห่อหมกใบยอ...” กันยกรวางปิ่นโตและชั้นลงตรงหน้าธีทัต ชายหนุ่มผิวบางยิ้มมุมปาก ตักกับข้าวจากปิ่นโตอย่างละนิดอย่างละหน่อย
   “ฝีมือแม่ผมเอง ไม่ใช่จากร้านดัง หวังว่าหมอคงไม่ถือนะ”
   “ไม่เป็นไรเลยครับ ผมชอบอาหารฝีมือป้าดา”
   “พี่หมอกินหมูกรอบของหมิวหมิวสักนิดสิคะ” เวณิกาพูดเสียงอ่อน ธีทัตจึงยอมกินหมูกรอบที่เธอคะยั้นคะยอนักหนา
   “ว่าแต่ว่าพี่หมอไปกินอาหารฝีมือป้าดาจากที่ไหนเหรอคะ” หญิงสาวถาม
   “เมื่อวานหมอมาที่บ้านพี่ งานเลี้ยงละศีลอดที่จัดให้คนงานไง” คนที่นั่งตรงข้ามตอบเสียเอง แถมยังถือวิสาสะจิ้มหมูกรอบที่ญาติผู้น้องภูมิใจนำเสนอเข้าปากหน้าตาเฉย
   “อ้าว ไม่เห็นบอกกันเลยว่าพี่หมอไปด้วย”
   “พี่บอกไปแล้วนี่ ไม่ยอมมาเอง”
   “ก็ไม่นึกว่าพี่หมอจะไปด้วยนี่นา พี่กันย์น่าจะไลน์มาบอกบ้าง” หญิงสาวหน้างอ
   “เอ่อ พี่ไปโดยบังเอิญน่ะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะไป แต่พี่ไหมพาไป”
   “อ๋อ งั้นก็แล้วไป แต่แหม เราอดเจอกันเลยนะคะ ป้าดาเค้าทำอาหารอร่อยค่ะ หมิวหมิวก็ชอบกินอาหารฝีมือป้าดา”
   เวณิกามองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ด้วยความปลื้มและหลงใหล ธีทัตเป็นผู้ชายที่ตรงสเปกตามที่เธอชอบทุกประการ แต่ติดอย่างเดียวก็ตรงที่ชายหนุ่มไม่ได้แสดงออกถึงความชอบพออย่างที่เธอสื่อกับเขา หากธีทัตแสดงให้เธอเห็นว่าเขาพึงพอใจในตัวเธอสักนิด หญิงสาวก็พร้อมที่จะเป็นของเขาตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
   “พี่หมอคะอันที่จริงหมิวหมิวมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่หมอด้วยค่ะ พี่กันย์จะนั่งฟังก็ได้นะคะ หมิวอยากให้มีใครสักคนเป็นพยาน” ดวงตายาวรีสบตาคมอย่างสงสัย แต่คำตอบที่ได้จากดวงตาคู่นั้น
“พี่หมอไม่น่าเอาสร้อยทองมาคืนหมิวหมิวเลยนะคะ หมิวหมิวเต็มใจให้เพราะหมิวหมิวรักพี่หมอ แต่ก็เข้าใจนะคะว่าพี่หมอคงเกรงใจ พี่หมอไม่ต้องเกรงใจนะคะ อะไรที่เป็นของหมิวหมิวมันจะเป็นของพี่หมอด้วยค่ะ...” กันยกรสบตากับธีทัตพยายามจะตีความคำพูดของญาติผู้น้อง
“สรุปนะคะ ถ้าพี่หมอเงินเดือนไม่พอใช้ก็บอกหมิวหมิวได้นะคะ หมิวหมิวยินดีซัพพอร์ตพี่หมอเต็มที่ ถ้าพี่หมออยากได้อะไรก็บอกหมิวหมิวได้เลยนะคะ หมิวหมิวจะซื้อให้” ธีทัตสำลักอาหารแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ กันยกรเองก็ทำหน้าเจื่อนนึกไม่ถึงว่าญาติผู้น้องจะกล้าออกตัวเลี้ยงดูผู้ชายตรงๆ
“พี่หมอเป็นอะไรไหมคะ ดื่มน้ำก่อนค่ะ” มือขาวรับน้ำมาดื่ม เมื่อตั้งสติได้แล้วเขาแทบอยากจะล้วงคออาเจียนเอาอาหารทั้งหมดที่กลืนเข้าไปกลับมาคืนเวณิกา
“หมอออมอยู่นี่เอง เคสซีเวียร์*ค่ะ” พิสมัยขยิบตา
“อ้อ ครับ พี่ต้องไปดูคนไข้ก่อน ขอบคุณนะครับสำหรับอาหารเที่ยง ไปแล้วนะครับ” ประโยคสุดท้ายพูดกับกันยกรแล้วก็รีบเดินคู่ไปกับพิสมัยทันที
“หมอพันพรื่อบ้างนิ” พิสมัยถามเสียงลอดไรฟัน
“โชคดีที่พี่กันย์มาช่วยเอาไว้ ไม่งั้นผมต้องไปกินข้าวกับเด็กนั่นสองต่อสอง รู้ไหมว่ายัยหมิวเสนอว่าให้เงินเลี้ยงดูผมทุกเดือนด้วยนะ”
 “ตายแล้ว! จริงเหรอคะ ตายๆๆๆๆ ผู้หญิงอะไรแบบนี้ ดีนะคะที่นายหัวมาช่วยเอาไว้ทัน ว่าแต่ว่านายหัวเค้ารู้ได้ไงคะเนี่ยว่าหมอกำลังตกที่นั่งลำบาก” ธีทัตนิ่งคิดตามคำพูดของพิสมัย จริงอย่างที่เธอว่า ทุกครั้งที่นึกถึงร่างสูงใหญ่เจ้าของดวงตาคมวับ...เพียงแค่นึกถึงเท่านั้นก็จะเจอกันยกรปรากฏตัวตรงหน้าราวกับปาฏิหาริย์ ข้อความหนึ่งที่เคยผ่านตาแวบเข้ามาในหัวสมอง

กฎแห่งการดึงดูดจะตอบสนองต่อความคิดของคุณ เมื่อคุณคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการ และตั้งใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ กฎแห่งการดึงดูดก็จะมอบสิ่งที่คุณต้องการให้แก่คุณทุกครั้ง...ยิ่งคิดกฎก็ยิ่งขับเคลื่อน เมื่อใดที่กระแสความคิดคุณไหลออกไป กฎแห่งการดึงดูดก็จะทำหน้าที่**

หมายเหตุ
*ซีเวียร์ (Severe) - ผู้ป่วยอาการหนัก
**จากหนังสือ The Secret

ออฟไลน์ ใดฯจัง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณค่า ตอนนี้สนุกครบรสเลยค่ะ
ดรามา รักหวานซึ้ง เอาใจช่วยนายหัวกับหมอออมต่อนะคะ
แอบสงสารคุณพ่อหมอออมค่ะ เชียร์ให้หมอออมเปลี่ยนใจกลับไปเยี่ยมคุณพ่อไวๆ
รอติดตามตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้คุณดรีมค่ะ

ออฟไลน์ Jingjaij

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยัยหมิวหมิว นี่น่าตีจริงๆ จะเป็นสายเปย์ตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยรึ หมอออมนี่ไม่ค่อยเลยน้าาา อะไรๆก็พี่กันย์ พออ่านตอนนี้ก็แอบเอ๊ะว่า สรุปหมอวีนี่คนดีป่ะนะหรือว่ายังไงเค้่มไม่แน่ใจ หมอออมใจอ่อนไปเยี่ยมุณพ่อไวๆนะคะ

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 9

“พี่กันย์!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” 
เสียงแหลมแผดขึ้นดังลั่น ไม่สนใจว่ากำลังอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ห้ามใช้เสียงดัง ร่างสูงใหญ่นั้นทำเป็นหูทวนลม เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนถึงลานจอดรถ หญิงสาวเหมือนจะรู้ทันรีบเร่งฝีเท้าให้ทันคนขายาวแล้วชิงเดินตัดหน้าไปจนถึงรถปิกอัพของชายหนุ่มที่จอดอยู่
“เอ้า ว่าไง” กันยกรหันมาเผชิญหน้ากับเวณิกา
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าพี่กันย์คิดจะทำอะไร ที่พี่กันย์ตามมาที่นี่มีอะไรแอบแฝงใช่ไหม” เวณิกาคาดคั้น
“เฮ้อ” ญาติผู้พี่ถอนหายใจเบาๆ “พี่จะทำอย่างนั้นทำไมกัน”
“ก็...ไม่รู้สิ พี่กันย์อาจจะแอบชอบหมอเหมือนหมิวก็ได้ เลยตามมากีดกัน” เพราะรู้ว่าญาติผู้พี่ของตัวเองเป็น ‘แบบไหน’ เธอจึงเดาว่าชายหนุ่มกำลังหมายปองผู้ชายคนเดียวกัน ซึ่งก็เดาได้ถูก กันยกรเลิกคิ้วพยายามทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย”
“หมิวรู้ตัวหรือเปล่าว่าคนอื่นเขาพูดถึงหมิวว่ายังไง” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง
“หมิวไม่แคร์หรอก ใครจะพูดยังไงก็ช่าง”
“ไม่แคร์คนอื่น แต่แคร์พ่อกับแม่บ้างก็ดีนะ เดี๋ยวนี้น้าเส็งน้ารีไปไหนแทบจะเอาถุงคลุมหัว ชาวบ้านลือกันว่าลูกสาวตามมาหาผู้ชายถึงโรงพยาบาล แล้วคงจะเป็นลมหรอกถ้ารู้ว่าลูกสาวเพิ่งเสนอจะส่งเสียเลี้ยงดูผู้ชาย”
“แกอาจจะไม่สนใจความรู้สึกของน้ารีน้าเส็งก็ได้นะ แต่แกควรสนใจความรู้สึกของหมอเขาบ้าง”
กันยกรโยนหินถามทาง...ซึ่งได้ผล หญิงสาวหันขวับมาหาเขาทันที เธอเขย่าแขนชายหนุ่มอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“ทำไม? พี่หมอเป็นอะไร พี่กันย์รู้อะไรมาเหรอ เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวเร่งเร้าจนเกือบจะกระชากแขนใหญ่นั้น
“โอ๊ย เบาๆดิวะ เออๆๆ บอกก็ได้ แต่ไม่ใช่ตรงนี้นะ ปะ ไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า”

กันยกรเลือกร้านไอศกรีมร้านดังในห้างสรรพสินค้าเป็นสถานที่พูดคุย เมื่อไอศกรีมร็อกกี้โรสถูกนำมาเสิร์ฟไว้ตรงหน้า หญิงสาวค่อยๆ ละเลียดไอศกรีมกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อะ เล่ามาให้หมดนะพี่กันย์ พี่หมอเขาบอกพี่กันย์ว่าอย่างไรบ้าง”
“ก็...เอ่อ...” กันยกรเกาหัวพยายามนึกคำพูด
“หมอเค้าก็ไม่ได้บอกอะไรหรอก แต่พี่ดูออก”
“ดูออก? ดูออกยังไง”
“หมิวอาจจะไม่ได้สังเกตนะ แต่เมื่อกี้พี่เห็นอะไรบางอย่างในแววตาของหมอ ตาของหมอมันบอกว่าหมอกำลังอึดอัด แล้วอีกอย่างแกเพิ่งเสนอตัวไปว่าจะให้เงินเลี้ยงดูหมอทุกเดือนแบบนี้ใครจะวางตัวถูก”
“หมายความว่าไงอะ หมอเขาไม่ชอบงั้นเหรอ อยู่เฉยๆ ก็มีเงินเข้าบัญชี เผลอๆ อาจจะมากกว่าเงินเดือนหมอด้วยซ้ำ” กันยกรยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ฝืนเต็มที
“ในฐานะที่พี่เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ ผู้ชายเค้าไม่ชอบให้ผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้หรอก มันเสียเกียรติมาก แล้วอีกอย่างนึงผู้ชายก็ไม่ชอบผู้หญิงที่มาตามตื๊อทุกวันด้วย”
“แต่พี่หมอเค้าไม่เคยบอกว่าไม่ชอบเลยนะพี่กันย์”
“แกคิดว่าหมอเค้าจะพูดออกมาตรงๆ เหรอ ล
องมองในมุมกลับกันสิ ถ้ามีคนมาตามตื๊อแกมากๆ แกชอบเหรอ ไม่รำคาญบ้างเหรอ” เวณิกาครุ่นคิดตาม วางมือจากช้อนตักไอศกรีม
“มันก็จริงนะ พี่กันย์ว่าหมิวควรทำยังไงดี” หญิงสาวนิ่งคิดตามคำพูดของญาติผู้พี่ ชายหนุ่มทำท่า
เกาคางอย่างครุ่นคิด
    “เอางี้สิ ลองใช้แผนของพี่ดูไหม แกลองหายไปสักพัก ไม่ต้องไม่หาหมอที่โรงพยาบาลสักเดือนนึง”
“โอ๊ย ไม่เอาอะ หมิวคิดถึงพี่หมอ ไม่ได้เห็นหน้าหล่อๆ แค่วันเดียวก็คิดถึงจะแย่ นี่ตั้งเดือนนึงเลยเหรอ มันนานไปนะ” หญิงสาวโอดครวญจนกันยกรหมั่นไส้ นึกอยากเขกหัวญาติผู้น้องสักทีหนึ่ง
“แบบนี้แหละดีแล้ว ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ แกหายไปนานๆ หมอเค้าได้อิสระกลับคืนมาก็จริง แต่เค้าไม่ได้เจอหน้าแกนานๆ เค้าจะต้องคิดถึงแกแน่นอน”
“แล้ว...ถ้าระหว่างนั้นมีคนมาชอบหมอล่ะ ไม่เอาอะ คนนี้หวง”
“โอ๊ย ใครจะกล้าแย่ง พี่เอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีทางที่จะมีใครดีเท่าแกหรอก” เวณิกาครุ่นคิด เริ่มคล้อยตามสิ่งที่กันยกรพูด
“เออ มันก็จริงนะ ดีล่ะ! พรุ่งนี้หมิวจะไม่ไปหาพี่หมอละ หมิวจะหายไปเลย พี่หมอจะต้องทนคิดถึงไม่ไหวแน่ๆ ขอบคุณมากนะคะพี่กันย์ที่แนะนำ”
   กันยกรยืนโบกมือให้มอเตอร์ไซค์สีชมพูของเวณิกาที่กำลังแล่นออกจากลานจอดรถ ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แทบจะเก็บความดีใจที่กำจัดญาติผู้น้องผู้เหนียวดั่งกาวตราช้างออกไปได้ เวณิกาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ บางครั้งจึงต้องใช้เล่ห์กลหลอกลวงให้ตายใจ

ธีทัตแยกตัวออกมาจากห้องผู้ป่วยใน เขามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เปิดไลน์ค้างเอาไว้ ในนั้นบอกรายชื่อที่เจ้าของเครื่องบล็อกจากการติดต่อ แพทย์หนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปลดบล็อกรายชื่อหนึ่ง...ชื่อของกันยกร
‘ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมวันนี้’
ธีทัตพิมพ์ข้อความ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็กดส่ง ทันทีที่ข้อความถูกส่งไปไม่กี่วินาทีก็ขึ้นว่าอ่าน
‘ไม่เป็นไรครับ’ ข้อความต่อมาตอบกลับมาแทบจะทันที
‘หมอว่างไหม ขอโทรไปได้หรือเปล่า’ ธีทัตนิ่งคิดก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป
‘ครับ’
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชายหนุ่มรีบกดรับทันที
“ครับ”
“เป็นไงครับหมอ ช็อกไหมที่อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงมาขอเสนอเลี้ยงดู” กันยกรพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ช็อกนิดนึงครับ มาคิดดูก็ตลกดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าน้องสาวพี่กันย์จะกล้าทำอะไรแบบนี้”
“แล้วหมออยากให้มันเลี้ยงดูหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่เอาครับ” ธีทัตรีบตอบทันที
“สบายใจได้เลยนะ ช่วงนี้หมิวคงไม่ได้ไปกวนใจหมอออมสักพัก”
“เหรอครับ พี่กันย์ทำยังไงครับ หมิวหมิวถึงยอม”
“พี่มีวิธีของพี่ก็แล้วกัน วิธีธรรมดาไอ้หมิวมันไม่ยอมหรอก นี่ต้องใช้วิธีพิเศษเท่านั้น”
“ขอบคุณนะครับ งั้น...แค่นี้ก่อนนะครับ ขอตัวกลับไปทำงานก่อน”
“อ้อ เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งวาง”
“ครับ?”
“ขอบคุณเหมือนกันนะครับ ที่ปลดบล็อกไลน์”
“พี่กันย์รู้ได้ไงครับว่าผมบล็อกไลน์พี่” ธีทัตนิ่งเงียบก่อนจะถามออกไป
“รู้สิครับ หมอไม่รู้หรอกว่าพี่ส่งไลน์หาหมอทุกวันเลย แต่หมอก็ไม่เคยอ่าน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโดนหมอบล็อกไลน์” กันยกรหัวเราะเบาๆ
“หมอไปทำงานเถอะ พรุ่งนี้เจอกันน้า”
“พรุ่งนี้?” ธีทัตทวนคำ
“พรุ่งนี้หมอมีนัดกับแม่พี่ไง”
“อ้อ งั้นเหรอครับ งั้น...ไว้เจอกันนะครับ”
ธีทัตกดวางสาย ความรู้สึกมากมายปนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือเขาเพิ่งเข้าใจสิ่งหนึ่งที่เคยมีคนบอกไว้ นั่นก็คือ ‘รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง’
“บ้าเอ๊ย! นี่เราชอบผู้ชายหรือวะเนี่ย” ธีทัตทึ้งผมตัวเองเบาๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาชอบผู้ชายจริงๆ
ชายหนุ่มคิดทบทวนตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมามีผู้หญิงมากมายที่แสดงออกว่าสนใจในตัวเขา แต่เขาก็ไม่เคยชอบใครจนคบจริงจัง จนผู้หญิงเหล่านั้นหายไปเอง ธีทัตคิดว่าตัวเองคงเป็นคนเลือกมากและหัวสูงไปหน่อย จึงไม่เคยเจอผู้หญิงที่ชอบเลย แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วเขาเองก็ไม่เคยตั้งสเปกไว้เลยว่าชอบผู้หญิงแบบไหน แต่ตอนนี้...ธีทัตเข้าใจตัวเองแล้ว เขาไม่ได้ชอบผู้หญิง
“หมอคะ หมอออม หมอ...” เสียงเรียกจากพยาบาลคนหนึ่งดึงชายหนุ่มกลับมาจากภวังค์
“ครับ” ธีทัตตอบรับ
“พรุ่งนี้เช้าราวน์วอร์ดออโถ*นะคะ”
ธีทัตเกือบลืมไปแล้วว่าการทำงานในโรงพยาบาลจะต้องทำงานวอร์ดละสองเดือน แล้วจึงสลับไปทำงานยังวอร์ดอื่นต่อไป เพื่อเป็นการเรียนรู้การทำงานในแต่ละวอร์ดอย่างเท่าๆ กันนั่นหมายความว่าพรุ่งนี้เขาจะไม่ได้พบกับกันยกร

“ป้ากานดาคิวต่อไปนะคะ”
“ขอบคุณนะจ๊ะหนู” กานดาบอกพยาบาลสาว
“แม่...อีกนานไหมกว่าคนที่อยู่ในห้องจะออกมา” กันยกรที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“รอหน่อยสิ แม่ก็บอกไม่ได้ว่าเขาจะใช้เวลาเท่าไหร่”
“เฮ้อ นานจัง ป่วยอะไรนักหนา คนอื่นเค้ารอนาน”
“ใจเย็นสิ วันนี้เป็นอะไร ดูใจร้อนหงุดหงิดพิกล” ชายหนุ่มจึงได้ยอมปิดปาก นั่งรออย่างเงียบๆ
เมื่อประตูห้องตรวจเปิดออก กันยกรรีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ เขาเร่งเมารดาให้รีบลุกขึ้นแต่หญิงสูงวัยกลับเคลื่อนไหวด้วยความชักช้า ไม่ได้ดั่งใจชายหนุ่มก็ช่วยประคองมารดาอีกแรง แต่เมื่อไปถึงห้องตรวจก็ต้องชะงักเมื่อคนที่อยู่ในห้องไม่ใช่คนที่อยากเจอ แพทย์หญิงร่างอวบหน้าตาท่าทางเป็นคุณหมอใจดีเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่งยิ้มให้คนไข้และชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ คุณป้า เชิญนั่งก่อนค่ะ” เธอผายมือไปยังเก้าอี้ว่างตรงข้าม กันยกรมองซ้ายขวาอย่างงุนงง
“เอ๊ะ หมอออมล่ะครับ”
“หมอออม...อ๋อ ธีทัตเหรอคะ วันนี้ธีทัตไปราวน์วอร์ดออโถ*ค่ะ ไม่มาโอพีดี” เธอตอบ
หัวใจกันยกรแห้งเหี่ยวเหมือนดอกไม้ที่โดนรดด้วยน้ำร้อน ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและท่าทางกระตือรือร้นในตอนแรกกลัยหายวับไปในพริบตา ชายหนุ่มนั่งรอผู้เป็นแม่ด้วยความหมดอาลัย เมื่อตรวจเสร็จเขาก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะช่วยประคองมารดาเหมือนครั้งแรก
“อาการดีขึ้นแล้วนะคะ คิดว่าน่าจะหยุดยาได้แล้ว อย่าลืมทำตามที่หมอแนะนำนะคะ หมอไม่นัดแล้วนะคะ” เมื่อได้ยินคำว่าไม่นัดแล้วทำเอาจิตใจของชายหนุ่มห่อเหี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม โอกาสที่จะได้เจอธีทัตอีกครั้งเป็นศูนย์ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนยื่นมือให้มารดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ้อ คุณคะ” หมอสาวเรียกเอาไว้ก่อนกันยกรจะออกจากห้อง
“ธีทัตฝากบอกว่าเสร็จจากวอร์ดแล้วจะไลน์หานะคะ” เธอยื่นโทรศัพท์ให้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มคือหน้าจอที่เปิดไลน์ค้างเอาไว้
‘ฝากบอกผู้ชายตัวสูงๆ ที่มากับคนไข้ด้วยว่าราวน์วอร์ดเสร็จแล้วจะไลน์หา’
หลังจากอ่านข้อความที่ปรากฏตรงหน้าจบ หัวใจที่ห่อเหี่ยวกลับสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ กันยกรส่งโทรศัพท์คืนหญิงสาวแล้วกล่าวขอบคุณ พยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้ระบายบนใบหน้า
“เป็นอะไร ยิ้มทำไม” กานดาถามเมื่อเห็นลูกชายอมยิ้ม
“เปล่านี่ครับ ผมยิ้มเหรอ” กันยกรถามกลับ
“ใช่น่ะสิ เนี่ย ยิ้มอยู่” ลูกชายไม่ตอบกลับโอบไหล่มารดาแล้วพาเธอไปที่รถด้วยความสุขใจ

เสียงเตือนข้อความจากไลน์ดังขึ้น ธีทัตล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง หน้าจอเป็นข้อความที่หมอสาวเพื่อนร่วมงานส่งมา
‘อะไรยังไง ผู้ชายคนนั้นเค้าจีบแกเหรอ’ ข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาในหน้าจอ ธีทัตรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
‘เปล่า เรารู้จักเค้า เป็นญาติกับหมิวเด็กที่มาจีบเรา’
‘อ้อ งั้นเหรอ’ ข้อความจากเพื่อนจบลงเพียงเท่านี้
ธีทัตไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบกลับไปอีก เขาปล่อยให้จบลงเพียงแค่นั้นแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม
“ออม” เสียงเรียกของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“พี่วีมีอะไรเหรอครับ”
“ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ” ปฐวีส่งซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ให้ ธีทัตดึงแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ออกมาดู เป็นภาพโครงกระดูกส่วนแขนข้างหนึ่ง
“คิดว่าไง” ปฐวีหันมาถามมองธทัตที่กำลังดูแผ่นฟิล์ม
 “colles fracture รึเปล่าครับ” ธีทัตตอบ
“เก่งนี่นา” ปฐวีตบบ่าแล้วดึงปฐวีดึงฟิล์มมาเก็บใส่ซองตามเดิม
“โรงพยาบาลของเรามีนโยบายให้ทุนอินเทิร์นไปเรียนต่อเฉพาะทาง สนใจบ้างไหม” ธีทัตส่ายหัว
“ผมยังไม่รู้ตัวเองเลยครับว่าชอบด้านไหน แต่ก็ขอบคุณที่แนะนำนะครับ”
“ไม่เป็นไร มีอะไรก็คุยกับพี่ได้นะ”
ธีทัตมองตามปฐวีที่เดินกลับออกไป บางครั้งเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ส่งผ่านมาจากสายตาของรุ่นพี่คนนี้ แต่เมื่อต้องการจะค้นหาเพิ่มเติมกลับเป็นปฐวีเสียเองที่ซ่อนมันจนมิดชิด


หมายเหตุ
*ออโถ - ออโธปิดิกส์ แผนกรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูก

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 10

   
‘การคาดหวังเป็นแรงดึงดูดที่ทรงอานุภาพ จงคาดหวังสิ่งที่คุณต้องการ และอย่าคาดหวังสิ่งที่คุณไม่ต้องการ’

   ชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์สีขาวตัวสั้นพลิกหน้ากระดาษในแฟ้มประวัติคนไข้อย่างช้าๆ มือเรียวขาวที่กำลังจดขยุกขยิกชะงักมือเหมือนนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรกันยกรตามที่ได้บอกเอาไว้
   “เหนื่อยไหมคะหมอ” เสียงหวานของพยาบาลคนหนึ่งถามขึ้น
“นิดหน่อยครับ แต่เหนื่อยกว่านี้ก็เจอมาแล้ว” ชายหนุ่มเร่งมือทำงานต่อจนเสร็จ
   “หมออยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ” หญิงสาวชวนคุยอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงกะว่าจะไปหาอะไรกินสักหน่อย นี่ครับ เสร็จเรียบร้อยแล้ว” เขายื่นแฟ้มคืนให้
ธีทัตเดินออกมาจากวอร์ด เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู หน้าปัดบอกเวลาเกือบหกโมงเย็น กระเพาะอาหารที่ว่างเปล่าปราศจากอาหารมาตั้งแต่เที่ยงเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าอาการโรคแผลในกระเพาะอาหารเริ่มจะแสดงอาการกำเริบอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำงานติดต่อกันเป็นเวลาเกือบสิบชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง ชายหนุ่มเคยชินกับการเรียนและทำงานหนักมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ แต่เมื่อได้มาทำงานเต็มตัวภาระหน้าที่การงานมีมากกว่าตอนเป็นนักศึกษา จนเวลาที่จะหยุดหายใจเข้าลึกๆ ยังแทบจะไม่มี ความเจ็บปวดทำให้ธีทัตต้องหยุดนั่งพักที่เก้าอี้ยาวพลางยกมือข้างหนึ่งกดบริเวณท้องน้อย เพื่อบรรเทาความปวด
“หมอ” ธีทัตเงยหน้าขึ้นมองหาเสียงทุ้มที่คุ้นเคยทันที
“พี่กันย์...มาทำอะไรที่นี่ครับ” ความรู้สึกแสบมวนในช่องท้องเริ่มก่อตัวขึ้นทวีคูณเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาแล้วยิ้มอวดฟันขาว
“หมอบอกว่าจะไลน์มาหา แต่พี่ไม่เห็นไลน์มาสักทีก็เลยมารอที่นี่ เพิ่งเลิกงานเหรอแล้วนี่เป็นอะไร” กันยกรถามเมื่อเห็นธีทัตกุมท้องขมวดคิ้วมุ่น
 “ปวดท้องครับ เป็นแผลในกระเพาะอาหารน่ะครับ”
“อ้าว งั้นทำไงดี ไปหาหมอไหม”
“ฮ่าๆๆ ผมก็เป็นหมอนะครับ ทำไมต้องไปหาคนอื่นอีก” ธีทัตหัวเราะร่วนลืมอาการเจ็บไปชั่วขณะ
‘น่ารักชิบหาย’ ธีทัตคิดในใจ
“เออ จริงด้วย ลืมไปเลย” กันยกรเกาหัวแก้เก้อ
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะหาย ต้องกินยาไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมียาเคลือบกระเพาะอยู่ที่ห้อง ตอนนี้ต้องหาอะไรกินก่อน ผมยังไม่ได้กินอะไร
ตั้งแต่เที่ยง”
“งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ หมออยากกินอะไร เดินไหวไหมหรือจะให้พี่ซื้อมาให้กินที่นี่”
“ไหวครับ ออกไปกินหน้าโรงพยาบาลดีกว่า อยากกินบะหมี่เกี๊ยวหน้าโรงพยาบาล ป่านนี้น่าจะมาขายแล้ว”
“เอาสิ ไปกินด้วยกันนะ”
ร่างสูงทั้งสองเดินไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาลผ่านแผนกอายุรกรรมที่ว่างเปล่าไร้คนไข้ ธีทัตซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อกาวน์ แม้จะเคยยืนเคียงข้างกันตามลำพังมาก่อน แต่ลึกๆ แล้วธีทัตก็รู้สึกประหม่าเกินกว่าจะชวนกันยกรพูดคุย ทั้งคู่จึงได้แต่เดินอย่างเงียบๆ ไปจนออกไปนอกบริเวณโรงพยาบาล ตลาดกลางวันเริ่มเปลี่ยนมาเป็นตลาดโต้รุ่ง ธีทัตเลือกร้านบะหมี่เจ้าดังที่เพิ่งตั้งร้านเสร็จ ร้านบะหมี่ร้านนี้เปิดเกือบตลอดทั้งคืน ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคักเพราะของดีขึ้นชื่อของร้านนี้คือเกี๊ยวกุ้งที่โด่งดังจนติดอันดับบนเว็บไซต์รีวิวจากนักท่องเที่ยวจีน
 “วันนี้โคตรเหนื่อยเลย” ธีทัตบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนเนือยหลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว เขาถอดแว่นกรอบดำออกเสียบไว้กับสาบเสื้อแล้วยกมือขึ้นเสยผมอย่างลวกๆ
 “ปกติหมอทำงานจนไม่ได้กินข้าวแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
“หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ไม่ได้นอนติดต่อกันสองวันข้าวก็ไม่ได้กินก็เคยเจอมาแล้ว แต่ก็ชินแล้วฮะ”
“โห ทำงานหนักขนาดนี้แล้วจะมีเวลาให้แฟนเหรอ”
“เคยบอกแล้วไงว่าไม่มีแฟน ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลย” น้ำเสียงของธีทัตเหมือนจะเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“ไม่น่าเชื่อว่าหมอไม่เคยมีแฟน หล่ออย่างหมอน่าจะมีสาวๆ มาชอบเยอะแยะ”
“แน่นอน สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ แต่ผมไม่เลือกใครเลย”
“ทำไมอะ หมอไม่ชอบผู้หญิงเหรอ”
“ก็...” ธีทัตดูดน้ำอัดลมอึกหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะตอบคำถามบะหมี่เกี๊ยวกุ้งที่สั่งไว้ก็เสิร์ฟลงตรงหน้า
“มาแล้วค่า ของคุณหมอป้าแถมเกี๊ยวเพิ่มให้ด้วย แล้วก็แถมถุงนี้ให้อีกเอากลับไปกินที่แฟลตเวลาหิวกลางดึกนะคะ”
“ขอบคุณนะครับ” ธีทัตยิ้มหวานตอบ
“โอ้โห แฟนคลับเยอะนะเนี่ย อิจฉาชะมัด” ธีทัตรีบหยิบตะเกียบมาคีบบะหมี่ร้อนๆ เข้าปากอย่างหิวโหย
 “หิวมากใช่ไหม เอ้า เอาไปเลย ยกให้” กันยกรคีบเกี๊ยวกุ้งในชามของตัวเองให้
“กินเยอะๆ เลยนะ” กันยกรมองคนที่นั่งตรงข้าม ใบหน้าขาวอมชมพูบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่เคยสัมผัสงานหนักกลางแดดบัดนี้ไม่มีแว่นกรอบดำแบบทุกครั้ง
“หมอตาสั้นเท่าไหร่”
“ประมาณ 800 มั้ง” ธีทัตเงยหน้าขึ้นตอบแล้วคีบเกี๊ยวกุ้งเข้าปาก
“โห สั้นเยอะจัง หมอตาสั้นตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่าเนี่ย ถ้าถอดแว่นจะมองเห็นไหมอะ”
“ถอดแว่นออกก็มองไม่เห็นอะไรเลย นี่ก็เห็นพี่กันย์แค่รางๆ เอง”
“งั้นเหรอ อ้ะ ไหนทายสิ นี่กี่นิ้ว” ชายหนุ่มโบกมือไปมา
“พี่กันย์! ตาสั้นนะไม่ได้ตาบอด” ธีทัตถอนหายใจมองชายหนุ่มยังคงคะยั้นคะยอให้เขาตอบ เขามองดูกันยกรที่เล่นซนเหมือนเด็กชายทั้งที่ตัวโตอย่างกับยักษ์
“อืม” ธีทัตหรี่ตา พยายามจะมองก่อนจะคว้าหมับมือใหญ่เอาไว้ได้
“อยู่นิ่งๆ สิ โบกมือแบบนี้ใครจะไปมองทัน” กันยกรนิ่งอึ้งมองคนตรงหน้าที่กำลังจับมือสากใหญ่ของเขา ชายหนุ่มสัมผัสอ่อนนุ่มของมือเรียวขาว
“โหย ถ้าอยู่นิ่งๆ ก็ไม่สนุกสิ ไม่เอาละ ไม่เล่นด้วยแล้ว” ชายหนุ่มชักมือกลับ ใบหน้าร้อนวูบวาบจนต้องแกล้งก้มหน้าลงดูดน้ำอัดลมอึกใหญ่ โชคดีที่ผิวคล้ำกร้านแดดช่วยบดบังความอายไว้ได้
 “เออนี่ คุณป้าน่ะ ถึงไม่มีนัดแล้วแต่ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ หมั่นตรวจสุขภาพด้วย อาหารก็ควรจะควบคุมไม่กินรสจัดเกินไป ผมว่าพี่กันย์พาคุณป้ามาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเดือนละครั้งจะดีกว่า”
“มาครั้งหน้าจะได้เจอหมอรึเปล่าล่ะ ถ้าได้เจอหมอก็จะมาอีก”
 “พี่อยากเจอผมเหรอ”
ดวงตาเรียวยาวสบกับดวงตาคมอย่างตั้งใจ แม้จะเห็นเพียงแค่รางๆ แต่ธีทัตก็รู้ว่ากันยกรกำลังสบตากับเขาอยู่ ทั้งคู่สบตากันราวกับจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร ปล่อยให้ความเงียบบอกเล่าความรู้สึกของกันและกัน
“ถ้าตอบว่าใช่ล่ะ” กันยกรยกมือขึ้นเท้าคางจ้องตาหมอหนุ่มอย่างทะเล้นแล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ จนธีทัตเองต้องเป็นฝ่ายหลบสายตากรุ้มกริ่มนั้น แพทย์หนุ่มแก้เก้อด้วยการเติมน้ำอัดลมให้ตัวเอง
“ตารางเวรเดือนหน้ายังไม่ออกเลย ถ้าตารางออกเมื่อไหร่จะบอกอีกทีนะครับ ผมไม่ค่อยเล่นมือถือสักเท่าไหร่ อาจจะลืมตอบไลน์ ถ้าผมลืมพี่ก็โทรมาได้เลยนะครับ” ธีทัตหลุบตาดูดน้ำจนหมดแก้ว
“พี่กันย์ มีอีกเรื่องนึงจะบอก เวลาอยู่ด้วยกันอย่าเรียกว่าหมออีกนะครับ ผมมีชื่อเล่นเรียกชื่อเล่นก็ได้”
“ทำไมอะ ก็หมอเป็นหมอ เรียกว่าหมอก็ถูกแล้วนี่นา” ธีทัตหยิบแว่นที่เสียบมาใส่ตามเดิม
“ทีพี่กันย์ยังไม่ให้เรียกว่านายหัวเลย ผมก็ไม่อยากให้เรียกว่าหมอเหมือนกัน มันดูเหินห่างยังไงก็ไม่รู้ เรียกว่าออมดีกว่า เป็นกันเองดีออก เอ่อ มื้อนี้ผมเลี้ยงเองนะ”
“เฮ้ย พี่จ่ายเอง พี่เลี้ยงหมอ เอ๊ย พี่เลี้ยงออมเอง”
“ถ้าพี่อยากจะเลี้ยงเอาไว้เลี้ยงผมคราวหน้าก็แล้วกัน คราวหน้าไม่ใช่แค่บะหมี่หน้าโรงพยาบาล
หรอก ผมจะกินภัตตาคารเลย” ธีทัตยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มที่กันยกรเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก และเขาก็ชอบมันมากเสียด้วย
“เอาสิ อยากกินอะไรก็บอกมา แพงเท่าไหร่ก็เลี้ยงได้หรือจะให้เลี้ยงตลอดชีวิตก็ยังได้นะ” ธีทัตสะอึกในใจนึกอยากจะต่อยปากคนพูดสักเปรี้ยง แต่ชีวิตนี้ก็ไม่เคยต่อยใครมาก่อนแถมอีกฝ่ายยังตัวโตกว่าตั้งเยอะ จึงทำได้แค่ลุกขึ้นไปจ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด
ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ทั้งสองต่างรับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่อีกฝ่ายส่งมาได้ แม้จะไม่แสดงออกโดยตรงแต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร ทั้งคู่เดินอ้อมผ่านตึกฉุกเฉินไปยังที่พักด้านหลัง กันยกรเหลือบมองธีทัตชายหนุ่มยังคงซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์เหมือนเดิม
“พรุ่งนี้พี่มาอีกนะ” ธีทัตเลิกคิ้ว
“ก็มาดิ ไม่ได้ห้ามซะหน่อย แต่ไม่ว่างคุยด้วยนะ งานยุ่งมาก”
“ไม่เป็นไร เจอตอนพักเที่ยงก็ได้ กำลังหาคนกินข้าวเที่ยงด้วยพอดี”
“ตัวโตยังกะยักษ์ กินข้าวคนเดียวไม่เป็นหรือไง” ธีทัตแหย่
“เป็น แต่อยากมีเพื่อนกินด้วย ออมอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า จะให้แม่ทำมาให้”
“อะไรก็ได้ เกรงใจคุณป้า ไม่อยากรบกวน”
ธีทัตอยากให้ระยะทางเดินยาวขึ้นมากกว่านี้ เขาจะได้คุยกับกันยกรให้มากขึ้นกว่าเดิม ธีทัตชะลอฝีเท้าเมื่อเดินมาถึงทางเข้าอาคาร เขาหันมาหาชายหนุ่มอีกคน แสงไฟส่องกระทบใบหน้าคมสันด้านหนึ่ง
“อย่าลืมกินยานะออม”
 “พี่กันย์ยังอยากรู้อีกหรือเปล่า” ธีทัตถาม
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องที่พี่ถามไงว่าชอบคนแบบไหนน่ะ”
“อ้อ อยากรู้สิ ตกลงว่าออมชอบคนแบบไหนล่ะ”
“ผมไม่เคยมีแฟนก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบคนแบบไหน ผมเคยคิดว่าอยากจะมีแฟนเป็นคนที่เพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่ผมก็พบว่าผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย ผมต้องการแค่คนที่เข้าใจในตัวผมก็พอ แค่ทำงานอย่างเดียวผมก็แทบจะไม่มีเวลาให้ตัวเองแล้ว”
“เราสองคนนี่สเป๊กเหมือนกันเลย” กันยกรหันขวับมาบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้ธีทัต
“ผมขึ้นไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปราวน์วอร์ดเช้าอีก ฝากบอกคุณป้าด้วยว่าผมเป็นห่วง ถ้าว่างจะไปเยี่ยมที่บ้าน”
กันยกรมองร่างสูงโปร่งเดินไปจนลับตาแล้วลอบยิ้มคนเดียว ร่างสูงใหญ่หันหลังจะเดินกลับไปที่รถแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมมืด
“ช่วงนี้มาโรงพยาบาลบ่อยเหลือเกินนะ” กันยกรหันไปตามเสียง เห็นปฐวีเดินกอดอกออกมาจากมุมมืดด้านหนึ่ง
“ไอ้วี...มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” กันยกรถาม
“นานพอที่จะเห็นแกยืนคุยกับออมนี่แหละ” ปฐวีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่สายตาที่มองมาเป็นสายตาฉายแววเฉลียวฉลาดเหมือนจะรู้ทันทุกเรื่อง
 “ไอ้กันย์...บ้านมึงนี่ก็แปลกเนอะชอบมาโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ได้ป่วย ทั้งพี่ทั้งน้องมาเฝ้าหมอคนเดียวกัน”
“มึงพูดเรื่องอะไรวะ” กันยกรแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“มึงคิดว่ากูดูไม่ออกเหรอวะ ว่ามึงคิดอะไรอยู่” คราวนี้กันยกรเป็นฝ่ายนิ่งอึ้ง
“กูจะเตือนมึงในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกันนะ อย่าคิดอะไรเกินตัวไปหน่อยเลยว่ะ”
“มึงอยากจะบอกอะไรก็บอกมาเลยเหอะ”
“กูขอพูดตรงๆ นะ มึงกับออมมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“แล้วมึงคิดว่ามึงกับออมจะเป็นไปได้งั้นเหรอ” กันยกรตอบโต้กลับด้วยน้ำเสียงยียวน
“ลองมาแข่งกันไหมล่ะ ว่าใครจะเป็นไปได้มากกว่ากัน”
“เอาดิ มาแข่งกัน จะได้รู้กันไปเลย” กันยกรตอบแววตาสงบนิ่งแต่ไม่แข็งกระด้าง

ออฟไลน์ FanclubPong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ทำไมผมรู้สึกชอบตัวช่วยอย่างพี่พิสมัย ดูมีสีสันต์ดี

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

หายไปนานมากกกกก
รออ่านอยู่นะคราบ 
 
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a2:
 

ออฟไลน์ dareammmmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยังอยู่นะคะ ไม่ได้หายไปไหน พอดีเปลี่ยนงานเพิ่งจะลงตัวนี่แหละค่ะ ขอบคุณนะคะที่ยังรอคอยกันอยู่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด