::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61  (อ่าน 17471 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คีนลูกทำไมขี้อ๋อยแบบนี้ลูกเดี๋ยวก็โดนกิมจับกินหรอก แต่กิมคนกากจะกล้าเหรอ :hao3: ขนาดเขาอ๋อยขนาดนี้ยังไปไม่เป็นเลย
จัดไปเรื่อยๆค่ะไม่จำกัดตอนเอาแบบงุงงิงๆนะคะไม่เอามาม่า555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 20


ใครบอกว่ามีกล้องขั้นเทพอยู่ในมือแล้วถ่ายรูปสวยทุกคนนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ถ้าหากว่าไม่รู้จักการจัดองค์ประกอบทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า อย่างเช่นตอนนี้ที่ไอ้ปอมได้รูปตึกเอียงๆ มาไว้บนหน้าจอ LCD เนื่องจากระดับแนวตั้งและแนวนอนของกล้องไม่สมดุลกันแถมยังย้อนแสงอีกต่างหาก มะรืนนี้จะเอางานที่ไหนส่งอาจารย์วะ ทางด้านผมได้แต่ส่ายหัวปลงๆ เพราะสอนไปกี่ครั้งมันก็ไม่จำ ให้เปิดเส้น Grid ก็ไม่เอาท่าเดียว จ้า พ่อคนเก่ง ตามใจมึงเลย!

แล้วอากาศตอนนี้ก็ไม่เหมาะสำหรับการเอ้อระหายทดสอบความสามารถแบบโปรๆ นั่นหรอก พระอาทิตย์งี้ส่องหัวจนแสบไปหมดแล้ว ผิวก็เริ่มมีรอยคล้ำแดดซึ่งผมขี้เกียจโดนแม่บ่นเรื่องไม่ดูแลตัวเอง ไหนจะความร้อนระอุที่ทำให้เหงื่อไหลจนรู้สึกคันคะเยอไปทั้งตัวอีก... อยากกลับคอนโดไปอาบน้ำเว้ย

“มึง... มันเอียงปะ?” เป็นอีกครั้งที่ไอ้ปอมเดินกลับมาพร้อมกล้องในมือ มันยื่นผลงานที่เพิ่งลั่นชัตเตอร์ไปเมื่อครู่ให้ดูอีกครั้ง คราวนี้รูปสว่างขึ้นเพราะมันเพิ่มค่า ISO ในการใช้กล้องโหมด Manual เรียบร้อยแล้วแต่ตึกก็ยังคงเอียงเหมือนเคยจนผมเริ่มท้อใจอยากกลับคอนโด ตอนนี้อากาศร้อนก็ร้อนแถมยังหงุดหงิดเพื่อนที่ไม่ได้ดั่งใจอีก แม่ง รู้แบบนี้เกาะติด ‘แฟน’ ไปทำงานด้วยกันยังดีกว่า เซ็งเว้ย (มันก็จะเห่อๆ หน่อย แต่ใครอย่าถามถึงเรื่องดีพคิสนะ เศร้า...)

“เอียง กูบอกให้มึงเปิดเส้น Grid ไง ฟังกันบ้าง” ผมผลักกล้องกลับไปก่อนขยับตัวหนีเข้าที่ร่มเพราะแดดเริ่มส่องลงมา นั่งรอมันถ่ายรูปตัวตึกของห้างฯ มาเกือบสองชั่วโมงจนแทบพุ่งตัวลงไปในน้ำพุอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะเป็นเด็กดีเชื่อฟังกันบ้างเนี่ย หรือเพราะกูไม่ใช่โฮมเลยสอนอะไรไม่ได้

“กูอยากลองถ่ายแบบโปรฯ ดูนี่หว่า” มันบนงุ้งงิ้ง เบะปากนิดหน่อยพร้อมๆ กับการก้มมองกล้องที่เป็นรุ่น Semi-Pro ในมือ ถึงมันจะเทพแค่ไหนแต่ฝีมือคนถ่ายห่วยรูปก็ไม่สวยขึ้นมาหรอก ถ้าซื้อแบบ Full Frame มาใช้คงเสียดายแย่ ระดับนั้นคงเหมาะกับคีนที่ใช้รับงานมากกว่า

“ไอ้สัด กูร้อน กูเพลีย กูอยากนอน!” ผมสบถด่ามันด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกระพือคอเสื้อเพื่อระบายความอบอ้าว เหลือบมองกระเป๋ากล้องที่วางอยู่ข้างตัวแล้วอยากใช้หนุนต่างหมอนจัง โอย แดดร้อนนี่มันง่วงดีจริงๆ ดูท่าทางช่วงเย็นฝนคงจะตกหนักด้วยล่ะมั้ง พยากรณ์อากาศในโทรศัพท์เขาบอกมาน่ะ

“มาเป็นชุด มึงอะใจร้าย” ทำเสียงงอแงใส่ไม่พอยังส่งกำปั้นลุนๆ มาต่อยเข้าที่ลาดไหล่ของผม ถ้าคนอื่นมองคงให้ความรู้สึกเหมือนแฟนกำลังงอนกันแต่ความจริงคือคู่เพื่อนกำลังจะฆ่ากันตายเพราะอากาศเมืองไทยและความเยอะของไอ้ปอม

“รีบๆ ถ่าย มัวแต่บ่นเมื่อไหร่จะเสร็จห๊ะ?” ผมแยกเขี้ยวใส่มันก่อนแย่งกล้องมาเปิดเส้น Grid ให้เรียบร้อย ไอ้ปอมบุ้ยปากใส่เมื่อรับของคืนแล้วเห็นสิ่งที่แสดงบนหน้าจอสี่เหลี่ยม ถ้าบ่นอีกทีกูถีบกระเด็นเลยนะ ตอนนี้เวลาบ่ายสามจะบ่ายสี่ทางด้านคีนกับโฮมคงถ่ายงานเสร็จแล้วมั้ง อยากงอแงกับแฟน!

“ชิ อยากรีบไปหาคีนก็บอกมาเหอะ ไอ้คนติดแฟนเอ๊ย” ไอ้ปอมทำเสียงกระแนะกระแหนพร้อมกับมองด้วยสายตาหมั่นไส้ ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจแต่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับ

“อิจฉาหรือไง?” ผมหรี่ตาลง ส่วนไอ้ปอมรีบเปลี่ยนท่าทางเป็นยกกล้องขึ้นมาเล็งตรงนั้นตรงนี้ โคตรมีพิรุธเลยคุณเพื่อน

“เปล๊า จะอิจฉาทำไม สาวๆ ในสต็อกกูเยอะแยะ” มันอวดด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้แต่ดวงตากลับสั่นไหวพอๆ กับมือที่จับประคองกล้อง ถ้ามันกดชัตเตอร์ตอนนี้ผมฟันธงได้เลยว่ารูปเบลอแน่นอน

“ตกลงมึงไม่ได้คิดอะไรกับโฮมจริงๆ เหรอ?” ผมแกล้งถามทั้งที่ก็จับสังเกตมาได้สักพักว่ามันจริงจังกับโฮมขนาดไหน อยากดัดนิสัยคนปากแข็งไง ตอนแรกๆ คิดว่ามันฟอร์มจัดแต่นานไปกลับรู้สึกว่าไอ้ปอมกลัวมากกว่าที่จะเริ่มความสัมพันธ์รูปแบบใหม่กับใครสักคน เมื่อก่อนสำส่อนไงเลยไม่มั่นอะไรสักอย่าง หึหึ

“กูจะไปถ่ายรูปต่อแล้ว” มันหันหลังหนีแต่ผมคว้าข้อมือหนาเอาไว้ เรื่องนี้ไม่ควรยืดเยื้อจนมีคนเสียใจ

“ปอม... มึงควรชัดเจนได้แล้ว” ผมย้ำทุกคำอย่างชัดเจนและใจเย็น ไอ้ปอมไม่ได้หันมาทำหน้าบูดเหมือนทุกครั้งที่เราเริ่มคุยกันเรื่องความรัก มันนิ่งไปเกือบนาทีก่อนจะเอี้ยวหน้ามาแสยะยิ้ม

“นี่กูมีเพื่อนหรือพ่อคนที่สอง?”

เดี๋ยวถีบคว่ำ กูจริงจังแต่มึงยังจะเล่นอีก!

“กูพูดเพราะหวังดีเหอะ” ผมสะบัดข้อมือมันทิ้งจนได้สายตาค้อนๆ วงใหญ่กลับมาพร้อมกับการพ่นลมหายใจหนัก

“เออๆ รู้แล้ว เสร็จจากที่นี่พากูไปร้านดอกไม้ด้วย”

“ห๊ะ?” ผมตามมันไม่ทันว่ะ คือจะไปร้านดอกไม้ทำไม?

“ไม่ต้องถามมาก ถึงเวลาก็รู้เองว่ากูจะทำอะไร” แล้วมันก็สะบัดก้นเดินหนีไปหามุมถ่ายรูปโดยทิ้งปริศนาที่ผมไม่ได้คำตอบเอาไว้ แต่ที่ทำให้หัวเสียขึ้นมาเฉยๆ คือ...

กูยังไม่ได้ถามอะไรสักคำ แค่อุทานก็ผิดเหรอ? ไอ้หมาปอมเอ๊ย ทิ้งให้ขึ้นรถเมล์ไปเองเลยแม่ง!

อะ อีกห้านาทีสี่โมงครึ่งไอ้ปอมเพิ่งเก็บกล้องลงกระเป๋าในขณะที่รถเริ่มติด ร้านดอกไม้อยู่ห่างออกไปเกือบสามกิโลเมตร กว่าจะถึงคงเฉียดๆ เขาปิดประตูกลับบ้านนั่นล่ะ แต่ผมพูดอะไรมากไม่ได้เดี๋ยวโดนหาว่าเรื่องเยอะอีก ไหลตามน้ำคงดีเอง... มั้ง มันอยากทำอำรก็ให้มันทำ เดี๋ยวเราก็ได้คำตอบเองนั่นล่ะ

“กิม... กูจะซื้อดอกอะไรดีวะ?” หลังจากที่เงียบกันตั้งแต่ขึ้นรถมันก็เอ่ยถามขึ้นมาซื่อๆ แบบไม่มีเกริ่นนำพลางไถนิ้วไปกับหน้าจอโทรศัพท์ ผมว่ามันคงเปิดหาไอเดียซื้อดอกไม้แน่นอน แต่สิ่งที่ควรรู้คือจะเอาไปให้ใครไง กูคงเดาใจมึงได้หรอก!

“ดอกทองมั้ง อยู่ๆ ก็ถาม กูจะไปตรัสรู้ไหมว่ามึงซื้อให้สาวคนไหน!” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันทั้งที่กำลังขับรถจ่อท้ายคันหน้า กำลังโมโหที่อยู่ๆ แม่งก็เบรกเอี๊ยดแบบกะทันหันไม่สนใจคนอื่นที่ตามมาเลย ถ้ากูเป็นสิบล่อจะชนให้ยับ

“หูย ไม่ต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นก็ได้มั้งคะที่รัก? น้ำลายกระเด็นเปื้อนหน้าน้องหมดแล้ว” มันจีบปากจีบคอพูดพลางหัวเราะคิกคักบีบเสียงเล็กๆ ผมขมวดคิ้วฉับเพราะความรู้สึกตอนนี้คืออยากถีบไอ้ปอมลงจากรถ ขนลุกเชี่ยๆ

“ไอ้สัด หุบปากไป!” เกรี้ยวกราดใส่แม่ง ดีแค่ไหนที่กำลังขับรถอยู่เลยหันไปต่อยมันไม่ได้ เอาให้ปากแตกเลือดกลบเลยดีไหม รำคาญเว้ย

“โอ๋ๆ กิมจ๋า ไม่เอาไม่งอน ช่วยกูเลือกดอกไม้ก่อน” ไอ้ปอมเงียบไปอึดใจก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วซบลงมาบนลาดไหล่จนเส้นผมคลอเคลียอยู่แถวซอกคอ แทนที่จะเอ็นดูมันกลับกลายเป็นว่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม โอย รำคาญ! อ้อนอย่างกับสาวๆ ไม่ดูสารรูปตัวเองบ้าง ถ้าเปลี่ยนเป็นคีนได้จะยินดีมากเลย เฮ้อ ป่านนี้แฟนทำอะไรอยู่น้า อยากเจอจัง

“อย่ามาซบ เดี๋ยวถีบ” ผมกดเสียงต่ำพลางขยับไหล่เป็นสัญญาณให้มันเอาหัวออกไปไกลๆ ก่อนจะโดนถีบ ผลที่ได้คือไอ้ปอมทำตามแต่แสดงใบหน้าหงอยเหงาออกมา คือตกลงว่ามึงอารมณ์ไหนกันแน่กูตามไม่ทันเว้ย

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วแต่เรื่องดอกไม้กูจริงจังนะ” น้ำเสียงเปลี่ยน ท่าทางเปลี่ยน แววตาเปลี่ยน โอเค ผมจะเชื่อมันดูสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน สวรรค์ก็ช่างเป็นใจเหลือเกินเพราะรถติดไฟแดงเหมาะแก่การคุยเรื่องจริงจัง ถ้ามันเล่นอีกจะได้ฟาดกบาลเน้นๆ

“จะเอาไปให้ใครมึงยังไม่ตอบกู จะให้ช่วยเลือกยังไง?” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบพลางลอบสังเกตท่าทางของไอ้ปอมเป็นระยะเพราะมือกำลังพิมพ์ตอบไลน์ของคีนที่ส่งเข้ามาเมื่อครู่นี้ เขาบอกว่าจะซื้อก๋วยจั๊บน้ำใสพิเศษมาฝากกันด้วยล่ะ โอย แฟนใครทำไมน่ารักขนาดนี้ กลับถึงคอนโดต้องจับฟัดให้น่วมแล้ว หึหึ

“ก็มึงจะให้กูทำตัวชัดเจนกับโฮมไม่ใช่หรือไง?” คำตอบจากปากไอ้ปอมเบาหวิวยิ่งกว่าปุยเมฆแต่มันสามารถทำให้ผมชะงักมือที่จิ้มโทรศัพท์ เมื่อครู่นั่นชื่อโฮมใช่ไหม? หูคงไม่ฝาดหรอกเนอะ ฟังไม่ผิดด้วยเพราะตอนนี้แม้แต่วิทยุก็ไม่ได้เปิด สรุปว่ามันกล้าหาญขึ้นแล้วใช่ไหม ฉลาดด้วย เยี่ยมๆ

“หืม... เลิกปากแข็งแล้วจริงดิ?” อะ ผมทิ้งโทรศัพท์กับคีนไว้ก่อนเพราะต้องการคำตอบที่แน่ชัดจากปากไอ้ปอม ความปรารถนาดีข้อหนึ่งคืออยากให้เพื่อนเลิกกลัวการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกว่าหยอดคนนั้นทีคนนี้ทีไปเรื่อยๆ อยากให้ลองจริงจังกับใครสักคน ใช้หัวใจศึกษาความรัก สร้างคุณค่าให้ตัวเองไม่เจ้าชู้จนเป็นขี้ปากชาวบ้าน ผมเป็นห่วงมากจริงๆ

“เออ รำคาญพ่อกิมบ่นไง” ไอ้ปอมหัวเราะคิกคักหลังทำให้ผมแยกเขี้ยวใส่อีกครั้ง เดี๋ยวมึงจะโดนต่อยหน้าแหก ยังมีอารมณ์เล่นอีกนะ

“ปอม” ผมเรียกมันเสียงต่ำเพื่อบอกให้รู้ตัวว่ากำลังเล่นมากเกินพอดีไปแล้ว ซึ่งไอ้ปอมรับรู้ได้เลยก้มหัวขอโทษยกใหญ่ เฮ้อ มึงก็เป็นซะแบบนี้ จริงจังไม่ถึงสิบนาทีสวิงนิสัยอย่างกับคนเป็นโรคสองบุคลิก เดาใจยากชะมัด สงสารก็แต่โฮมที่ตามอะไรไม่ทันเลย ป่านนี้จะคิดมากขนาดไหนนะ

“กูล้อเล่นๆ เออ ก็คิดได้แล้วว่าควรจะทำอะไรให้จริงจังสักทีเพราะโฮมเริ่มตีตัวออกห่างแล้วว่ะ” มันทำหน้าหงอยก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง ท่าทางเครียดหนักจริงๆ ว่ะ

แต่เดี๋ยว... เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ไม่สายไปหน่อยเหรอวะ? สมน้ำหน้าเหอะ เออ แล้วทำไมผมไม่รู้เรื่องหรือคีนช่วยโฮม? โอย งงเว้ย แค่มีแฟนนี่ทำให้ความเผือกของผมลดลงมากเลยนะเนี่ย

“ทำไมอยู่ๆ โฮมถึงเป็นแบบนั้น?” ผมขมวดคิ้วมองไอ้ปอมที่ตอนนี้กำลังนั่งแทะเล็บเพื่อระบายอารมณ์อึดอัด นานๆ ครั้งจะได้เห็นมันในมุมเครียดขนาดนี้ เป็นบุญตามาก ควรถ่ายรูปเก็บไว้ปะ หึหึ

“ก็... อาทิตย์แรกที่มึงคบกับคีนก็ไม่ยอมห่างกันใช่ไหมล่ะ? โฮมก็งอแงไงว่าเพื่อนติดแฟนงี้ อยากให้กูพาไปเที่ยวหน่อย แต่เผชิญช่วงนั้นกูรับงานถ่ายแบบกับดาวคณะบริหารก็เลยปฏิเสธเขา” จ้า มีตัวละครดาวคณะบริหารเพิ่มขึ้นมาด้วย ผมว่ากลิ่นเรื่องนี้ไม่ค่อยดีแล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลถึงขนาดที่ทำให้โฮมตีตัวออกห่างจากไอ้ปอมเพราะปกติมันก็รับงานทำนองนี้บ่อยจะตาย แล้วไอ้เรื่องคีนติดแฟนไม่เป็นความจริงเลยสักนิด มีแค่ผมเนี่ยล่ะที่ติดเขาอย่างกับตังเม ไปไหนไปกันตลอดยิ่งกว่าเงาตามตัว ถ้าขนเสื้อผ้าย้ายไปอยู่ด้วยกันได้คงทำไปแล้ว ขัดใจจริงๆ

“มันต้องมีเหตุผลมากกว่านั้นสิ” ผมพึมพำกับตัวเองพลางเคาะนิ้วลงบนต้นขา ถ้าให้เดาคงหนีไม่พ้นนิสัยดิบๆ ของไอ้ปอมแน่นอน อย่างเช่นกำลังเหนื่อยมากๆ จะไม่เอาใครทั้งนั้นหรือแดกเหล้าเพลินติดลมงี้ ข้อเสียที่แก้ไม่หาย

“มึงมีพรายกระซิบหรือไง รู้ดีจังวะ” โอ๊ะ ได้ยินด้วยเหรอ? แต่ก็ดีเพราะผมไม่ต้องเปลืองน้ำลายคาดคั้นเหตุผลเพิ่มเติมอีก ไอ้ปอมเบ้ปากใส่ผมก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา ไม่ยอมตอบคำถามจนน่าหมั่นไส้

“กูเพื่อนมึงเหอะ จะไม่รู้สันดานได้ยังไง?” รู้แม้กระทั่งตอนมัธยมมันชอบใส่กางเกงในกลับหน้าเอบี โสโครก สักวันขอให้ไข่ขึ้นรา! พอขึ้นมหา’ลัยก็เลิกทำแบบนั้นแล้วเพราะตำแหน่งรองเดือนคณะมันค้ำคอ แต่ปัจจุบันอาจจะกลับไปทำเหมือนตอนเป็นเด็กอีก... หยึ๋ย ขนลุก!

“เออๆ เล่าต่อ พอถ่ายแบบเสร็จทางทีมงานเขาก็พาไปเลี้ยง แล้วค่ำวันนั้นโฮมโทรมาบอกว่ารถเสียแต่กูกำลังติดพันก็เลยบอกให้เขาเรียกช่างเองได้ไหม... ก็แค่ถามอะ” มันเล่าเสียงเบาเหมือนกลัวโดนด่า เออ ไม่ต้องกลัวหรอกเพราะผมด่ามันแน่ๆ สันดานเสียตลอด

เป็นกูโดนถามแบบนั้นก็โกรธปะ? ไอ้สัด! แถมกระโดดถีบขาคู่ด้วย ก็ดูมึงทำตัวสิ เวลาปกติไปเที่ยวเล่นกันได้แต่พอขอความช่วยเหลือกลับปฏิเสธอย่างนั้น เขาไม่ตะโกนอัดหน้าว่าเกลียดมึงก็บุญคุณล้นหัวแล้วจ้า

“สันดาน เหล้าเข้าปากก็เปลี่ยนจากคนเป็นเหี้ยเลย” ผมด่ามันพร้อมกับใช้มือผลักหัวเต็มแรงเพราะความหมั่นไส้ เนี่ยพอกินเหล้าก็เป็นแบบนี้ทุกที ไม่สนใครทั้งนั้น ไอ้ปอมร้องเสียงอูยเบาๆ ไม่ตอบโต้กลับ รู้ซึ้งถึงความผิดตัวเองสินะ เออดี

“อย่าซ้ำเติม กูเจ็บปวด สำนึกผิดไม่ทัน” มันบ่นงุ้งงิ้งส่วนผมทำแค่เค้นหัวเราะในลำคอก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถต่อ ไม่ไกลเกินเอื้อมก็จะถึงร้านดอกไม้แล้วเว้ย แต่ถ้าเงยหน้ามองท้องฟ้าตอนนี้สักนิดคงรู้ว่าอีกนานแน่นอนเพราะฝนกำลังตั้งเค้า อยากกลับคอนโดไปกิน (คนซื้อ) ก๋วยจั๊บ!

“ตกลงว่าจะเอาดอกไม้ไปง้อเขาแล้วก็สารภาพรักพร้อมกันใช่ไหม?” ผมถามอย่างรู้ทัน

“เอ้อ... ไอ้สัด เขินวะ ก็ทำนองนั้น” มันตอบพลางบิดตัวไปมาเหมือนเขินนักหนา ตอแหลได้โล่จริงๆ เกลียดมึงมาก  แต่ด่ากูขนาดนั้นไม่ต้องไปมันแล้วร้านดอกไม้น่ะ!

“เขินได้ฮาร์ดคอร์มากเพื่อน กูไม่ช่วยดีไหม?” ผมแกล้งแหย่พร้อมกับกดปลดล็อกประตูเหมือนจะไล่มันลงจากรถ ไอ้ปอมรีบกุลีกุจอขยับเอาแก้มเข้ามาถูไถต้นแขนเป็นการอ้อนยกใหญ่ คิดว่าผมยินดีไหมล่ะ? วันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนนะเว้ย ติดคราบเหงื่อก็บรรลัยสิ โสโครกไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เลย

“ไม่น้อยใจดิ ช่วยกูหน่อยนะ” พอผมเงียบไม่ยอมตอบกลับมันเลยพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนก่อนจะผละหน้าออกจากต้นแขน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามีหมาปอมเปอเรเนียนตัวเล็กๆ กำลังกระพริบตามองเจ้านายเพื่อขอความเมตตาอยู่ ผมเกือบหลุดขำแต่ดีที่ปั้นสีหน้าเคร่งขรึมไว้ได้ คนเราก็ต้องมีโหมดจริงจังสักครั้งหนึ่งในชีวิตน่า

“ถ้าเป็นกูจะไม่ใช้ดอกไม้ง้อวะ คงหาเลนส์ดีๆ สักตัวผูกโบว์ให้ มีประโยชน์กว่าเยอะ” ผมพูดสิ่งที่คิดออกมาเพราะผู้ชายอย่างเราๆ คงไม่ชอบรับดอกไม้จากเพศเดียวกันสักเท่าไหร่ ถึงจะเปิดเผยว่าดูใจกันอยู่มันก็ออกจะแปลกในสายตาหลายคน

“จ้า พ่อสายเปย์ ดอกไม้ช่อสามพัน เลนส์ตัวละหมื่น!” ไอ้ปอมชักสีหน้าใส่ผมก่อนเอื้อมมือมาเคาะหัว นี่ถ้าตกใจหักพวงมาลัยเข้าข้างทางจะทำยังไงวะ คนเขาอุตส่าห์หวังดีช่วยคิดวิธี ไม่ชอบก็บอกกันดีๆ ได้ปะ?

“อุตส่าห์แนะนำสิ่งที่กูคิดว่าโฮมน่าจะชอบ” ผมมองมันตาเขียว หงุดหงิดไม่อยากช่วยแต่ก็สงสารโฮมที่เป็นคนต้องมารับกรรมโดนคนอย่างไอ้ปอมชอบนี่ล่ะ แต่สำคัญกว่าอะไรคือฝ่ายนั้นก็มีใจให้น่ะสิ โธ่ ไม่น่าเลย

“จริงๆ ก็อยากเปย์ให้ แต่มันดูหวังผลมากไปหน่อยเพราะมูลค่าของมันแพงไงมึง ดอกไม้สักช่อเป็นการเริ่มต้นน่าจะดีกว่า” ความคิดของมันก็ถูก บางครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต้องการสิ่งของที่มีราคามากกว่าความจริงใจของคนง้อหรอก เออ ผมยอมรับว่าวิธีการแต่ละคนต่างกัน ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้นเถอะ ได้ผลทุกทางนั่นล่ะ

“อืม กุหลาบขาว ขอโทษได้ สารภาพรักได้ ปิดจ็อบ!” ที่ตอบได้เร็วขนาดนั้นเพราะไม่นานมานี้พี่เซียนยังวนกลับมาหาพร้อมช่อดอกกุหลาบสีขาวพร้อมอธิบายความหมายของมันต่อหน้าผมกับคีนนี่ล่ะ โคตรพีค... แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี มีความสุขทั้งสองฝ่าย หวังว่าในอนาคตเขาคงได้เจอคนที่อยากรักมากกว่าผมนะ โชคดีครับนายสัตวแพทย์

เสียงเบรกดังขึ้นเมื่อรถหยุดอยู่หน้าร้านขายดอกไม้ในเวลาเกือบหกโมงเย็น ไอ้ปอมรีบกุลีกุจอวิ่งจนขาแทบพันกันเพราะเจ้าของกำลังจะปิดประตู ผมหลุดหัวเราะก๊ากเมื่อเห็นความพยายามของเพื่อน เออว่ะ แบบนี้ก็ดูจริงจังจริงใจตามแบบฉบับมันดี หลุดๆ ต๊องๆ บ้างคงไม่ทำให้โฮมเสียใจล่ะมั้ง

ผมเลือกที่จะนั่งรอเพื่อนในรถเพราะอยากฆ่าเวลาด้วยการโทรหาคีน คือความรู้สึกตอนนี้คิดถึงเขาฉิบหาย โธ่ ไม่อยากเป็นโรคติดแฟนแต่... เออ ตามนั้นล่ะ คืนนี้จะขอนอนด้วยให้ได้ เอ่อ แค่นอนเฉยๆ จริงจริ๊ง ~

รอสายไม่นานนักก็มีเสียงกุกกักดังขึ้นก่อนตามมาด้วยคำทักทายธรรมดาสามัญแต่สามารถทำให้ผมคลี่ยิ้มได้โดยง่าย แม่งเอ๊ย ถ้ารู้ว่าตอนเป็นแฟนกันจะโคตรน่ารักขนาดนี้คงลงมือจีบไปตั้งแต่มัธยมแล้ว ไม่รอจนป่านนี้หรอก

‘ว่าไงครับแฟน?’ คีนไม่เขินที่เรียกกันแบบนั้นหรอก มีแต่ผมนี่ล่ะที่นั่งกัดปากกลั้นยิ้ม หัวใจเต้นแรงเหมือนสาวแรกรุ่นโดนสารภาพรัก หูย ทิ้งไอ้ปอมไว้ตรงนี้ได้ไหมแล้วค่อยโทรให้โฮมมารับมัน... ความคิดดี๊ดี โคตรฉลาดเลยกู

“ปากหวานเนอะคนเรา” ผมเอ่ยแซวก่อนจะหยุดยิ้มออกมาในที่สุดเพราะได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย คีนคงคิดว่าแฟนตัวเองปัญญาอ่อนอยู่แน่ๆ แค่คำเรียกแทนตัวแบบนั้นมันหวานตรงไหน ก็ผมชอบไง เหมือนเขาย้ำสถานะระหว่างเราเสมอ

‘วันนี้ยังไม่ได้ชิมอาจจะเปรี้ยวก็ได้นะ’ คีนบอกเสียงกลั้วหัวเราะบ่งบอกว่ากำลังสนุกกับการได้เอาคีน ส่วนคนฟังอย่างผมอี้งจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว คือลึกๆ กำลังคิดว่าตัวเองโดนเชิญชวนให้จูบเขาหรือเปล่า จะว่าไปตั้งแต่เป็นแฟนกันมาเกือบสองอาทิตย์ก็จุ๊บเบาๆ บนริมฝีปากกันแค่สองสามครั้งเอง อยากพัฒนาแล้วอะ

“นี่เล่นมุกเหรอ?” ก็แค่ถามให้แน่ใจเพราะไม่อยากคิดเป็นตุเป็นตะว่าอีกฝ่ายอยากได้รับสัมผัสลึกซึ้งจากผมไง

‘อ่อยมั้ง’ แหนะ... เดี๋ยวนี้หัดล้อเล่นแรงๆ เดี๋ยวผมคิดจริงขึ้นมาจะยุ่งนะเออ แค่ทุกวันนี้เห็นเขาออกมายืนบิดขี้เกียจตรงระเบียงตอนเช้าแล้วชายเสื้อเปิดขึ้นผมยังต้องรีบหนีเข้าห้องสงบสติอารมณ์เลย คนบ้าอะไรท้องขาวเนียนแถมยังมีซิกแพคพองามอีก โอย ถ้าได้ซุกไซ้คงฟินยันชาติหน้า

“ระวังตัวไว้เหอะ เรายังไม่ได้โปรโมชั่นพิเศษจากคีนเลย” ผมแกล้งตัดพ้อแต่ปากกลับยิ้มกริ่มเมื่อเผลอจินตนาการไปไกลว่าสักวันหนึ่งเมื่อได้ดีพคิสกับคีนแล้วคงไม่จบแค่นั้น มันต้องมีฉากต่อไปจนตัดเข้าโคมไฟแน่นอน ฮึ่ย อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเตียงลั่นดังเลยว่ะ โอ๊ย หลอนสุด!

‘กิมกากเอง’ อะ ผมสะอึกเมื่อโดนกล่าวหาด้วยความจริง พอคิดย้อนถึงเหตุการณ์วันนั้นก็อยากเอาหัวโขกพวงมาลัยให้ตายๆ ไปซะ คีนยืนหลับตาพริ้มรอรับจูบอย่างเต็มใจแต่เป็นผมเองที่มัวแต่เขินจนสุดท้ายก็จามใส่หน้าเขา เฮ้อ ก็มันคันจมูกเพราะขนไอ้ชมจันทร์นี่หว่า ไม่น่าแก้เขินด้วยการลูบหัวมันเลย เซ็ง!

“โธ่ ก็คนมันตื่นเต้นนี่หว่า” ผมพึมพำเบาๆ แต่คิดว่าคีนคงได้ยินชัดเจน เสียงหัวเราะต่ำดังมาจากปลายสาย เออ... ทางนี้อายจนไม่รู้จะซุกหน้าไว้ตรงไหนแล้ว เมื่อครู่ก็เผลอวางมือลงบนพวงมาลัยหนักไปหน่อย แตรดังจ้าและผลกระทบคือไอ้ปอมส่งนิ้วกลางมาให้เพราะคิดว่าผมไปเร่งมัน เชี่ยเอ๊ย กูแค่มือลั่น!

‘หึหึ ขี้อายแบบนี้ไปนานๆ ก็ดีนะ เราจะได้สบายใจไง’ ดูเขาจะพอใจกับความกากของผมจังวะ น้ำเสียงนี่สดใสเชียว มันเขี้ยวนัก อยากจะบีบๆๆๆ ให้หนำใจ ฮึ่ย

“กลัวเราปล้ำขนาดนั้นเชียว?”

‘นิดนึง ท่าทางกิมคงไม่ยอมเป็นฝ่ายรับใช่ปะ?’ อับดุลก็มาแฮะ จริงๆ ผมคิดไว้ก่อนอยู่แล้วว่าถ้าหากเราทั้งคู่ตกลงมีเซ็กซ์กันจะเป็นฝ่ายรุกเพราะไม่เคยรับมาก่อน แต่พอลองได้กลับมุมมองเป็นคีนดูบ้างก็คงรู้สึกไม่ต่างกันคือพวกเราทั้งคู่เป็นผู้ชายแท้ๆ เป็นคนแรกของกันและกันดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือถามความสมัครใจ

“ก็... ถ้าคีนขอเราอาจจะยอมเป็นรับ” ผมพูดออกไปแล้วในสิ่งที่คิด ถึงผลจะออกมาเป็นแบบไหนก็ทำความเข้าใจและยอมรับได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าใครอยู่บนหรือล่างก็เกิดจากความรักทั้งนั้น อ่า... ตอนนี้โคตรดูเป็นแฟนที่ดีเลย แต่เหมือนฝนฟ้าไม่ค่อยเห็นด้วยเลยส่งหยาดฝนลงมาซะอย่างนั้น โธ่ รถติดหนักกว่าเดิมชัวร์

‘รักเรามากขนาดนั้นเลย?’ ผมจะถือว่าเป็นคำถามที่ดีก็แล้วกันถึงแม้จะรู้สึกน้อยใจนิดหน่อยก็ตามที่เขาไม่รู้ตัวว่าถูกรักมากแค่ไหน

“ใช่ครับ รักมาก” ผมตอบด้วยความมั่นใจและน้ำเสียงจริงจัง ความรู้สึกรักที่มีให้กับคีนมันเพื่มขึ้นทุกวันๆ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักที อ่า... เนี่ย ผมคงเป็นประธานสมาคมคนรักแฟนหลงแฟนได้อย่างไม่มีข้อครหาแน่นอน

‘อื้ม... โทรมามีอะไรหรือเปล่า?’ แหนะ เล่นตอบสั้นๆ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ต้องเขินอยู่แน่นอน หึหึ แก้มแดงหรือเปล่าน้า อยากเห็นหน้าจัง

“คิดถึง...” อะ หยอดหน่อยแต่คิดถึงจริงๆ นะเออ

‘เกินไปๆ แยกกันยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ชมจันทร์บอกว่าเหม็นความเลี่ยนของกิมมาก!’ ปลายสายทำเสียงขึ้นจมูกราวกับเป็นคนเหม็นน้ำเน่าที่ผมสร้างขึ้นซะเอง ดูเถอะคนเรา พอห่างกันก็มีชมจันทร์คลายเหงา แล้วผมที่นั่งเป็นพระเอกเอ็มวีในเวลาฝนตกและติดแหง็กอยู่ในรถเกือบสิบนาทีแล้วนี่ล่ะ จะเร่งไอ้ปอมก็ทำไมได้เพราะเห็นรางๆ ว่าเจ้าของร้านกำลังจัดช่อดอกไม้อย่างสุดฝีมือ เอาว่ะ ทนไว้เพื่อความรักของเพื่อน

“โธ่ ไม่มีความโรแมนติกทั้งคนทั้งกระต่ายเลย” เนี่ย เรามันตัวคนเดียวแต่คีนมีพักพวกไง วันไหนผมเกเรหน่อยก็ปล่อยไอ้ชมจันทร์ให้มาฉี่ใส่ บางทีถึงกับลงโทษด้วยการนอนแทะขากางเกงนักศึกษาเลยก็มี แสบทั้งลูกพี่และลูกน้องเลย น่าจับกลืนลงท้องนัก!

‘โอ๋ๆ นะครับเด็กน้อย จะถึงคอนโดหรือยัง?’ ยัง ยังกล้าหัวเราะคิกคักใส่กันอีก แต่ให้อภัยตรงที่เขาถามว่าจะถึงคอนโดหรือยังนี่ล่ะ เป็นห่วงล่ะสิ อยากเจอหน้าใช่ไหมล่ะ โอย มโนชนะเลิศจ้า

“อยู่ร้านดอกไม้ ยังต้องไปส่งไอ้ปอมอีก” ผมขยับตัวให้เข้าที่แล้วจ้องมองไปยังต้นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลับคอนโดได้ในตอนนี้ผ่านสายฝนซึ่งเริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก อุณหภูมิลดลงจนต้องเอื้อมมือปรับแอร์เพิ่มตัวเลขสูงขึ้น ผมต้องหยิบร่มกางออกไปรับไอ้ปอมหรือเปล่า ถ้ามันวิ่งมาคงเปียกม่อลอกม่อแลกแน่ๆ กลัวจะป่วยก่อนได้สารภาพรักน่ะ

‘ร้านดอกไม้?’ คีนทวนคำ น้ำเสียงที่เขาใช้พอจะเดาได้ว่ากำลังสงสัย เออ คนอย่างผมมาร้านดอกไม้ทำไมล่ะ

“ปอมมันจะสารภาพรักกับโฮมน่ะ” ผมตอบพลางเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเมื่อได้ยินเพลง ‘หมายความว่าอะไร’ ของ Mean โคตรเข้ากับสถานการณ์ขอบไอ้ปอมกับโฮมตอนนี้เลยว่ะ

‘เลิกปากแข็งแล้วสินะ เราควรฉลองด้วยก๋วยจั๊บปะ?’ เราต้องฉลองด้วยอย่างอื่นสิ ที่สำคัญต้องให้ไอ้ปอมเลี้ยงด้วย!

“ไม่ได้ดิ ก๋วยจั๊บนั่นตั้งใจซื้อมาฝากเราไม่ใช่เหรอ?”

‘งอแงจังครับแฟน’ อะ หัวเราะผมอีกแล้ว ก็คนมันงกไง อยากให้ไอ้ปอมเสียเงินบ้าง อุตส่าห์เสียเวลาพามันมาซื้อดอกไม้เชียวนะ โอ๊ะ พอนินทามันก็วิ่งฝ่าฝนพร้อมดอกไม้ในมือกลับขึ้นรถ โห สภาพอย่างกับหมาตกน้ำเลย

“เดี๋ยวกลับไปอ้อน แค่นี้ก่อนนะ ไอ้ปอมมาแล้ว” ผมกลั้นใจตัดสายแฟนเพราะต้องจัดการเพื่อนที่สภาพเปียกปอนโดยการเอื้อมหยิบผ้าขนหนูจากเบาะหลังแล้วโยนให้มันเช็ดหน้าเช็ดหัว ดีหน่อยที่ดอกไม้ยังคงรูปเหมือนเดิมไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด ต่อจากนี้ผมได้แต่อวยพรให้ไอ้ปอมสมหวังกับสิ่งที่กำลังจะทำแล้วกัน เพี้ยง!

ผมขับรถมาพาไอ้ปอมมาทิ้งไว้หน้าบ้านของโฮมก่อนตรงกลับคอนโด พอถามว่าจะให้ไปรับอีกหรือเปล่ามันก็ปฏิเสธพร้อมบอกว่าเดี๋ยวอ้อนเขาขอนอนค้างด้วยแล้วกัน โธ่ ขี้มโนเอ๊ย ใครจะยอมเอาตัวอันตรายไว้ข้างๆ ล่ะ

ในที่สุดผมก็ถึงคอนโดในเวลาสองทุ่ม เดินสะโหลสะเหลขึ้นลิฟท์เพราะความเหนื่อยล้าและเมื่อยขาที่ต้องฝ่ารถติดหลายชั่วโมง รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อประตูห้องมีถุงก๋วยจั๊บแขวนอยู่ จริงๆ อยากจะโผล่หน้าไปหาคีนก่อนแต่ต้องจัดการงานตัวเองให้เรียบร้อยซะก่อน ไหนจะท้องที่ร้องเนื่องจากหิว กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ นี่อีก ไม่พึงประสงค์เลยสักนิด

อะ จัดการอะไรเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ตอนนี้ผมเลยยืนละล้าละลังไม่กล้าเคาะประตูห้องคีนสักทีเพราะกลัวว่าเขาจะหลับไปแล้ว ถึงเป็นแฟนกันแล้วความเกรงใจก็ยังเป็นสิ่งสำคัญไม่เปลี่ยน เอาไงดีวะ คิดถึงก็คิดถึงแต่ก็อยากเห็นหน้า เนี่ย ห่างกันเกือบครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว

แกร๊ก

เฮ้ย ผมเกือบยกมือเคาะหน้าผากคีนแล้วไหมล่ะ อยู่ๆ ก็เปิดประตูออกมา แต่ที่น่าขำคือต่างคนต่างกระโดดถอยหลังกันคนละก้าวเนื่องจากตกใจ ดีที่ไม่โดนต่อยแทน... ฟู่ ~

“มายืนตรงนี้ทำไมเนี่ย?” คีนถามเสียงสูงก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อผมยังไม่คลายสีหน้าตกใจ คือมันกะทันหันไงเลยเสือกทำตาโตพร้อมกับอ้าปากด้วย แม่ง เสียภาพพจน์เลย

“เอ้อ... ก็จะมาหาคีนไง” แต่ไม่กล้าเคาะประตู แหะๆ

“อ๋อ คิดถึงเราอะดิ?” อะ กล้าแซวกันขนาดนี้แถมยังยักคิ้วกวนใส่อีก จับฟัดซะดีไหมหืม? แต่นี่หน้าห้องไป กล้องวงจรปิดก็มี ผมก็ยังไม่พร้อมจะเป็นคนดังของคอนโด ฮึบไว้แล้วกันเนอะ

“รู้ใจ” หยอกกลับด้วยคำสั้นๆ ก่อนจะยื่นมือไปยีหัวของคีนเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

“หึหึ ก็นี่แฟนไงครับ เรากำลังจะลงไปมินิมาร์ทล่ะ” เขาไม่ได่ปัดมือผมทิ้งแถมยังคลี่ยิ้มสดใสให้อีก โอย ดาเมจแรงเวอร์มาก ย้ำสถานะรอบที่สองขอมัน หูย สุขใจจังเลยจ้า ฟินยิ่งกว่านี้คงตอนที่ไอ้ดีพคิสนั่นล่ะ...

“หิวเหรอ?” ผมผละมือออกจากเขา มองใบหน้าหล่อๆ ที่ส่ายปฏิเสธก่อนที่นิ้วเรียวจะชี้เข้าไปในห้องเหมือนต้องการบอกใบ้อะไรสักอย่าง อย่าบอกว่าไอ้ชมจันทร์อยากกินผักใบเขียวตอนนี้นะ จะแอบถอนขนเลย

“เปล่าๆ พี่ปิ๊งอยากกินไอติม”

เดี๋ยว... พี่สาวคีนทำไมโผล่มาอยู่ในบทสนทนาของเราวะ


ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ห๊ะ พี่ปิ๊ง?” ผมขมวดคิ้วพลางคิดไปต่างๆ นานา บางทีพี่สาวของคีนอาจจะมาในวันรุ่งขึ้นเลยบอกให้ซื้อไอติมตุนไว้หรือเปล่าวะ แต่มันไม่เมคเซ้นส์อะ

“อื้อ มาอยู่กับเราสองสามวันน่ะ”

เชี่ย! บรรลัยแล้ว โผล่มาตัวเป็นๆ เลยเหรอวะ โอ๊ย แบบนี้ผมก็อดกอดคีนน่ะสิ อ๊าก

“เฮ้ย!” ฉิบหายตรงที่ผมเผลออุทานเสียงดังนี่ล่ะ เวรเอ๊ย ปิดปากหันหลังหนีก็ไม่พ้นมือเรียวๆ ที่คว้าจับไหล่กันเอาไว้หรอก

“จะร้องทำไมเนี่ย?”

“โธ่ แผนที่วางไว้พังหมดเลย” ผมก็แค่พึมพำแต่คีนดันหูดีจ้า

“อะไรนะ?” คาดคั้นไม่พอยังเดินมาดักหน้าอีก ขอบคุณมาก

“ก็... แหะๆ เราว่าจะมาขอนอนกอดคีนสักคืนน่ะ” เออ บอกความหื่นในตัวคุณให้แฟนได้รับรู้ไปซะจะได้สบายใจ เผื่อว่าคีนเปลี่ยนใจมานอนกับผมแทน... หูย มโนแรงว่ะกู

“สองคนนี้เป็นแฟนกันเหรอ?” พี่ปิ๊งมองผมสลับกับน้องชายตัวเองด้วยสายตาคาดคั้น คือก็ไม่ได้ปิดขังเรื่องที่เป็นแฟนกันแต่ยังไม่พร้อมจะบอกกับคนที่บ้านไง โธ่ เดี๋ยวแม่ล้อตายเลย แถมไม่รู้ว่าทางคุณป้ายินดีกับเราเปล่า โอย เครียดจนคิ้วผูกโบว์ ยืนจิกเล็บจนรองเท้าขาดแล้วเนี่ย โอย กดดัน!

“เฮ้ย พี่ปิ๊งมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” คนที่ตกใจกว่าผมคงจะเป็นคีนนั่นล่ะ เพราะพี่สาวยืนประกบอยู่ด้านหลังแต่เพิ่งรู้ตัวเมื่อเธอเอ่ยถาม ดวงตารีเบิกโตและมีแววแตกตื่น แขนแกร่งที่ทิ้งอยู่ข้างตัวมีอาการสั่นเล็กน้อยซึ่งการแสดงออกไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ ช็อกเว้ย

“เมื่อกี้ ได้ยินชัดด้วยว่าคุยอะไรกันบ้าง” เธอเอียงตัวพิงกรอบประตูก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ คีนไม่ได้ตอบกลับเพราะเอาแต่เม้มปากและหันมาสบตาผมเหมือนขอความช่วยเหลือ เออ เอาไงดีวะ คงต้องช่วยพี่ปิ๊งคุยเรื่องอื่นไปก่อน

“เอ่อ สวัสดีครับ” ผมยกมือไว้พี่ปิ๊ง เธอหันมาสนใจกันเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปยิ้มกริ่มใส่น้องชายเหมือนกำลังคิดแผนชั่วร้าย โธ่ ไม่น่าเลยกู อยู่ห้องนอนตีพุงดีๆ ไม่ชอบ หาเรื่องให้แฟนหนักใจซะงั้น เค้าขอโทษน้า

“พี่มีข้อต่อรองแล้วนะคีน จะยอมไปดูคอนเสิร์ตด้วยกันดีๆ หรือให้ฟ้องแม่เรื่องนี้?”

เดี๋ยว... เรื่องของเรามันไปเกี่ยวกับคอนเสิร์ตอะไรนั่นตอนไหนวะ? คือเอามาต่อรองได้ด้วยจริงดิ งงเว้ย

“ปิ๊งครับ ไม่เล่นแบบนี้ดิ” คีนออกอาการงอแงทั้งเสียงทั้งหน้าตาแต่มีหรือที่คนมุ่งมั่นอยากไปคอนเสิร์ตอะไรนั่นจะยอมใจอ่อนง่ายๆ ดูสายตาของเธอสิมีประกายแห่งชัยชนะลุกโชนมาก ผมรู้สึกว่ายังไงแฟนก็ต้องพลาดพลั้งแน่นอน

“คิดดีๆ นะ” อะ มีย้ำด้วยน้ำเสียงขมขู่ด้วย แถมยังตวัดสายตามองผมแบบอยากจะฆ่ากัน เนี่ย โดนพ่วงไปด้วยอย่างไม่ต้องสืบ ถ้าพี่ปิ๊งเอาไปฟ้องคุณป้าเมื่อไหร่แม่ก็ต้องรู้เรื่อง คราวนี้ล่ะ... โดนสอบสวนกันยกใหญ่แน่นอน

“พี่ปิ๊ง...” คีนเริ่มเสียงอ่อย โธ่ น่าสงสารอะ

“ว่าไง? พี่จะโทรไปบอกแม่แล้วนะ” แหนะ! พี่ปิ๊งสายขังคับตัวจริงเว้ย เธอหยิบโทรศัพท์ออกมากดต่อสายจริงๆ ด้วย แม่ง เป็นผมก็ยอมอะในเมื่อไม่แน่ใจว่าแม่ตัวเองจะเห็นดีเห็นงามที่ลูกชายคบเพศเดียวกันไหม โห โจทย์ยากแท้

“โอเคๆ ไปก็ไปครับ จองบัตรเผื่อกิมด้วยแล้วกัน” สุดท้ายคีนก็ยกมือยอมแพ้ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ผมอยากเข้าไปกอดปลอบเขานะแต่ไอ้การที่มีชื่อตัวเองติดสอยห้อยตามเพื่อดูคอนเสิร์ตนั้น... มันเรื่องอะไรกั๊น ไม่รู้จักนักร้องเกาหลี ไม่ชอบคนเยอะๆ อะ งอแงได้ไหม ฮือ!

“ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะพี่จะทดสอบความอดทนของแฟนคีนด้วย หึหึ” แล้วเธอก็หันมายิ้มหวานให้ผมครั้งแรกก่อนจะกลับเข้าห้องด้วยหน้าตาเบิกบานยิ่งกว่าได้เงินล้านมาครอบครอง ส่วนผมทำได้เพียงแค่ขยับปากพึมพำแทบไม่เป็นภาษา คือยังงงว่าไปคอนเสิร์ตมันวัดความอดทนได้ยังไงกัน

“เรา... ต้องไปด้วยเหรอวะ?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อย้ำสิ่งที่ได้ยินว่าไม่ได้ฟังเพี้ยนไป คีนพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่กันเบาๆ พลางคลี่ยิ้มเนือยๆ มาให้ อ่า... ชัดเจนจนไม่มีอะไรซักต่อเลยกู

“ใช่สิ ก็กิมเป็นแฟนเราไม่ใช่เหรอ? ไปไหนไปกัน” ถ้าพูดในสถานการณ์ชวนไปไหนกันแค่สองต่อสองผมคงยินดีมาก แต่ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยของพี่ปิ๊งมันไม่น่าไว้ใจจริงๆ นะเว้ย คือหลังจากนี้ไม่รู้เลยจะโดนอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ขอทำให้คีนยิ้มได้แบบไม่ต้องฝืนก่อนเหอะ

“จ้า... ทูนหัว” พร้อมกับขโมยหอมแก้มทีนึง อ่า ชื่นใจจัง

อะ ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่ปิ๊งถึงเอาการดูคอนเสิร์ตมาเป็นตัววัดความอดทนโดยได้คีนเป็นผู้อธิบายให้ฟัง ข้อแรกคือจำนวนปริมาณคนที่เยอะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขยับตัวหรือเดินไปไหนต่อไหน สองคือเธอจองบัตรในหลุมเว้ย คือมันต้องยืนตลอดสองชั่วโมงอะจ้า คือคิดออกเลยว่าสภาพจะออกมาเป็นแบบไหนเมื่อคุณไม่อินกับมันด้วย

ตายไปเลยจ้า แต่ต้องอดทนเพื่อความรักของเราให้ได้ ฮึบ!



------------------------------------------------

ไอ้น้องกิมเอ๊ยยย คีนอุตส่าห์ให้ดีพคิสแต่ดันเขินซะงั้น อดไปนะ
เอาแล้วไง พี่ปิ๊งคนดีเจอน้องเขย เอ๊ะ หรือว่า น้องสะใภ้เข้าแล้วล่ะ กิมจะรอดไหมน้อ?
ปล. จริงๆ เราแพลนไว้ที่ 24 ตอนจบล่ะ แต่อาจจะมีงอกเพิ่มก็ได้เนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามน้า ♥

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 กิมกากขนาดนี้ระวังตกเป็นเมืองขึ้นคีนนะ เขาอ๋อยมาต้องอ๋อยกลับสิไม่เอาไม่ต้องเขินแล้วเดี๋ยวอด :laugh:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 21


เรื่องบัตรคอนเสิร์ตพี่ปิ๊งเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดแม้กระทั่งการจ่ายเงิน ไม่น่าเชื่อว่าราคามันจะเหยียบหลักหมื่นขนาดนั้น ผมได้ยินครั้งแรกก็แทบเป็นล้มรีบกุลีกุจอเช็คยอดเงินคงเหลือในบัญชีแบบด่วนๆ หลังจากที่เสียค่าเลนส์ซูมไปเกือบแสนแต่สุดท้ายก็ได้ชมศิลปินเกาหลีฟรีซะอย่างนั้น หูย พี่ซันโคตรสายเปย์ (ยอมเปย์ให้เพราะตัวเองติดสัมมนาวิชาการที่ต่างจังหวัดเลยไม่มีเวลาไปดูคอนเสิร์ตกับแฟน)

วันนี้คีนมีเรียนวิชาเลือกนอกคณะที่ต่างกัน ผมเลยอาสาแหกขี้ตาตื่นมาส่งเขาแต่เช้า ทางด้านไอ้ปอมก็หายหัวไม่ยอมกลับคอนโดตั้งแต่เมื่อคืน ไปสารภาพรักกับโฮมต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วที่มันบอกว่าได้นอนค้างกับเขาน่ะ สรุปเป็นยังไงบ้างไม่รู้ ได้แต่อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

เออว่ะ นินทาหน่อยก็ไม่ได้เพราะมันเดินตรงมาทางนี้แล้ว แถมยังใส่แว่นตาดำกลางมหา’ลัยอีก มึงเป็นอะไรมากปะเนี่ย ปกติไม่เห็นพร็อบเยอะขนาดนี้ หรือโดนปาปารัซซี่ตามตั้งแต่ไปถ่ายแบบลงนิตยสารวะ เป็นคนดังก็ลำบากเนอะ ขอเป็นคนธรรมดาที่อยู่อย่างมีความสุขพอแล้ว

“สัด บังคับกูตื่นเช้า!” มาถึงก็ทิ้งตัวลงบนม้านั่งแรงๆ จนผมนึกสงสารก้นมัน แต่พอได้ยินคำด่าลั่นทุ่งความคิดก็เปลี่ยนเป็นหมั่นไส้แทน ตบหัวสักทีคงสะใจแต่ดูจากท่าทางอิดโรยแล้วแค่กวนตีนคงพอ

“ก็อยากเห็นหน้าเพื่อน คิดถึงไง” ผมแกล้งทำเสียงอ้อนๆ แล้วยื่นมือไปดึงแก้มขาวของเพื่อน มันสะบัดหน้าก่อนขยับหนี สงสัยอารมณ์ไม่ดีจริงๆ นั่นล่ะ เออ ไม่เล่นก็ได้วะ เซ็ง

“เวร ได้ข่าวว่าเพิ่งแยกกันเมื่อวาน” มันบ่นก่อนจะถอนหายใจยาวยืดแล้วไถลตัวลงนอนกับโต๊ะโดยไม่ถอดแว่นตา ผมขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับส่วนที่ไอ้ปอมพยายามปิดบังหรือเปล่า หรือโฮมต่อยเอา? เอ๋ แต่คงไม่ใช่มั้ง

“แล้วตกลงเมื่อคืนนอนที่ไหนวะ?” เรื่องนี้ผมสงสัยมากกว่าการที่มันไปสารภาพรักกับโฮมซะอีก เอาจริงๆ ก็เป็นห่วงนั่นล่ะเพราะยังไงก็เพื่อนทั้งคน

“บ้าน” มันตอบก่อนเบนหน้าหนีไปอีกทางให้ผมได้มองแต่หัวยุ่งๆ เสียงเครือยิ่งกว่าคนงัวเงียซะอีก หรือจะนอนไม่พอเพราะตื่นเต้นเรื่องโฮมวะ ก็ได้นอนกับเขาทั้งทีนี่เนอะ หึหึ

“บ้านโฮม?” ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจพลางลอบมองปฏิกิริยาของมัน แต่ไอ้การที่ส่ายหัวดุ๊กดิ๊กแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอนี่หมายความว่ายังไง อากาศก็ไม่ได้ร้อนจนทำให้อารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลาปะวะ ผมว่าที่นั่งตรงนี้ก็ร่มดีนะ

“หึ บ้านกูเนี่ยล่ะ!” ตะโกนตอบพร้อมด้วยแสดงท่าทางฮึดฮัดจนผมไม่กล้าแตะตัวมันเลยสักนิด มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิง ใบหน้าหล่อเข้มขยับมามองผมด้วยสายตาดุๆ เหมือนกูเผลอไปเผาบ้านมึงเมื่อคืนอย่างนั้นล่ะ

“อ้าว แล้วภารกิจมึงสำเร็จปะเนี่ย?” เออไง อุตส่าห์พาไปส่งร้านดอกไม้ทั้งทีถ้าผลออกมาไม่ประสบความสำเร็จก็ควรโดนเทศน์เล็กๆ น้อยๆ ปะวะ แต่สังเกตจากมุมปากของไอ้ปอมที่แต้มรอยยิ้มในตอนนี้คงพอจะเดาได้แล้วว่า...

“ระดับนี้แล้ว ชิวๆ” มันยืดตัวนั่งตรงแล้วไหวไหล่ให้รู้ว่าเรื่องนี้ชิวตามที่บอกไว้จริงๆ ผมพยักหน้ารับความสำเร็จของเพื่อน รู้สึกดีใจไปด้วยกัน เออ เก่งขึ้น กล้าขึ้น แบบนี้ค่อยวางใจให้ดูแลโฮม

บรรยากาศรอบข้างดูสดใสขึ้นจากครั้งแรกที่ไอ้ปอมเดินเข้ามาด้วยสีหน้าทะมึน แสงแดดยามเช้าลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ซึ่งถ้าลองยกกล้องขึ้นมาถ่ายคงได้โบเก้สวยๆ เป็นฉากหลังแน่นอน อืม... วันไหนว่างๆ จะลากคีนมาเป็นแบบแล้วกัน ตอนนี้ขอเสือกเรื่องของไอ้ปอมต่อ ลุ้นดี

“แต่เขาไม่ให้ค้างด้วยว่างั้น?” ผมถามอีกครั้งก่อนจะขยับโฟกัสไปที่ใบหน้าของเพื่อนซึ่งบัดนี้เริ่มมีริ้วรอยของความโกรธเคืองปรากฏขึ้นมา หรือเป็นเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ปอมอารมณ์สวิงไม่หยุด

“เปล่า ไม่ใช่เขา”

“ห๊ะ?” ไม่ใช่เขา หรือว่าจะเป็นพ่อโฮมวะ?

“เฮ้าส์แม่ง... ต่อยเบ้าตากู!” มันกระชากแว่นตาออกก่อนใช้นิ้วชี้ตรงตำแหน่งมีมีรอยเขียวช้ำทางด้านขวา ผมอึ้งไปครู่ใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ คือในตาขาวแตกเลือดอะครับ หมัดหนักแค่ไหนถามใจดู โอย สาบานว่าเฮ้าส์เป็นเด็กมอสี่ตัวบางๆ เหมือนโฮม

“โอ้โห ดีนะที่ตาไม่บอด” ผมร้องเสียงหลง ขยับตัวเข้าไปดูความเสียหายของตาเพื่อนพลางยกมือขึ้นแตะเบาๆ ย้ำว่าแค่แตะ แต่ไอ้ปอมถึงกับสะดุ้งโหยงหันมาแยกเขี้ยวใส่ ขู่เหมือนหมาปอมแบบนี้กูคงกลัวหรอก ดีดเหม่งแม่ง หมั่นไส้

“อูย มึงอย่าซ้ำเติม เจ็บไปหมดแล้วเนี่ย” มันยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เพิ่งโดนดีดไปเมื่อครู่ หลังจากนั้นก็บ่นกระปอดกระแปดตามประสาคนสำออยและไม่วายขยับเข้ามาซบหัวลงบนลาดไหล่ของผมให้เป็นประเด็นอีก นู่น มีคนหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปมึงกับกูแล้วเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยว่ายังมีคนจิ้นกิมปอมอยู่

“ไปทำอีท่าไหนให้น้องมันต่อยเอาวะ?” อยากจะหัวเราะให้ฟันหักแต่พอเห็นหน้าเครียดของไอ้ปอมก็ทำไม่ลง สงสารหมาตาดำๆ ที่โดนทำร้ายร่างกายว่ะ

“ก็... ทำพี่มันร้องไห้ตอนที่กูไปกับดาวคณะบริหารนั่นล่ะ แค้นฝังหุ่นจนถึงวันนี้ ฉิบหายสุดๆ” มันบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหยิบแว่นตากลับไปสวมดังเดิมเพราะนักศึกษาคนอื่นเริ่มทยอยเดินเข้ามาในลานคณะ ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจเบาๆ ยังต้องรอเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงเลยเหรอกว่าจะได้เจอคีนอีกครั้ง คิดถึงจัง ถ้าอย่างนั้นขอแก้เบื่อด้วยการด่าไอ้ปอมแล้วกันเนอะ

“บอกแล้วว่ามึงเห็นเหล้าดีกว่าคนอื่น”

“เออ รู้น่า จะปรับปรุงตัวแล้ว” ไอ้ปอมทำเสียงฉุนๆ พลางเบ้ปากไม่สบอารมณ์ซึ่งผมไม่สนใจเพราะสมควรแล้วที่จะด่ามันให้รับรู้ถึงนิสัยที่ต้องแก้ไข ขืนในอนาคตมันทำแบบนี้กับโฮมคงแย่แน่ๆ โดนเฮ้าส์กระทืบไส้แตกชัวร์

หลังจากกินเผือกจนอิ่มท้องผมก็ชวนไอ้ปอมคุยสัพเพเหระฆ่าเวลารอคีนกับโฮมเลิกเรียน เล่าให้มันฟังเรื่องที่ต้องไปดูคอนเสิร์ตกับพี่ปิ๊งในอีกสองเดือนข้างหน้า ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะก๊ากลั่นลานคณะแถมด้วยการตบบ่าผมปุๆ หลายรอบเพื่อเป็นการปลอบ แม่ง โคตรไม่จริงใจจนอยากถีบให้กระเด็น แต่ติดอยู่ที่สายตาสาวน้อยใหญ่ทั้งหลายที่เป็นแฟนคลับอดีตรองเดือนนี่ล่ะ กดดันฉิบหาย โอย ไม่ทำก็ได้วะ

“มึงทำได้น่ากิม อย่าเครียด” ไอ้ปอมเอื้อมมือมาตบบ่าอย่างเห็นใจแต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธ คือไม่ได้เครียดเรื่องต้องไปยืนดูศิลปินเกาหลีที่ไม่รู้จักหรอกแต่มันมากกว่านั้น จริงจังกว่านั้นหลายเท่า

“กูไม่ได้เครียดที่ต้องดูคอนฯ นั่นหรอก แต่กลัวพี่ปิ๊งจะเอาเรื่องของเราไปบอกผู้ใหญ่ต่างหาก” ผมถอนหายใจเฮือก ทำหน้าตาบูดบึ้งก่อนจะนอนราบลงไปกับโต๊ะ เนี่ยเครียดมาทั้งคืนเลยแม่ง ตาดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าอีก เฮ้อ พี่ปิ๊งโคตรไม่น่าไว้ใจเพราะเธอเอาแต่ยิ้มหวานๆ มีเลศนัยให้ตลอด

“แม่มึงก็เป็นผู้สนับสนุนที่ดีไม่ใช่เหรอ?” ไอ้ปอมขมวดคิ้วมองกันอย่างไม่เข้าใจเพราะผมเคยเล่าให้ฟังว่าแม่ไฟเขียวเรื่องจะจีบคีน ส่วนพ่อนั้นก็เป็นไปตามนิสัยที่ยังไงก็ได้ขอแค่ลูกมีความสุขเท่านั้น

“แม่กูน่ะใช่ แต่แม่คีนล่ะ...” ทำไมถึงไม่มีคนคิดถึงผู้ปกครองของอีกฝ่ายบ้างวะ ทางนั้นเขาอาจมีเหตุผลแตกต่างจากครอบครัวเรา ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะยอมรับเรื่องนี้ได้เสมอไป จริงไหม?

ไอ้ปอมพยักหน้ารับเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อก่อนจะเอื้อมมือมาบีบไหล่กันเพื่อให้กำลังใจ ผมหันไปคลี่ยิ้มบางพลางถอนหายใจยาวๆ ยังไงก็ต้องสู้ มัวแต่เครียดคงทำให้เรื่องแย่ลง เอาวะ หลังจากนี้แดกให้แหลกดีกว่า!

“เชื่อสิว่าพวกมึงจะผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ กูเชื่อแบบนั้น”

โอ๊ะ คุณปอมโหมดจริงจังก็มาวะ ผมนี่หายเครียดไปนิดนึงเลย

“อยู่ๆ ก็ทำตัวมีสาระ” ผมเอ่ยแซวพลางหรี่ตามองด้วยความหมั่นไส้ หรือว่ามันเปลี่ยนตัวเองเพราะต่อไปนี้จะต้องทำตัวให้น่าเชื่อถือและสามารถเป็นคนดูแลโฮมได้

“พูดอย่างกับกูไร้สาระมาทั้งชีวิต” มันประชดด้วยใบหน้างอง้ำซึ่งผมพอใจเป็นอย่างมากเพราะเข้าแผนที่วางไว้ หมั่นไส้ไอ้ปอมมานานแล้ว ขอแกล้งกลับนิดๆ หน่อยๆ เถอะ

“ก็ไม่เชิง” ผมไหวไหล่พลางบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงทะเล้น ไอ้ปอมแยกเขี้ยวขู่ทันทีแถมยังเอื้อมมือมาผลักหัวกันแบบเต็มแรงจนเกือบชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง หูย เกือบตายไปแล้วกู

“แหมจ้า ไอ้คนฉลาด จริงจังกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้” เสียงกระแนะกระแหนดังขึ้นแบบไม่แคร์ว่าใครจะได้ยิน ยิ่งเห็นท่าทางสะบัดสะบิ้งของมันแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้อยากหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายวีดีโอให้โฮมกับเฮ้าส์ดูเพื่อพิจารณากันต่อไป โธ่ นี่ทำไปเพราะรักไง ไม่ได้มีเจตนาขายเพื่อนเล๊ย หึหึ

“ประชดเก่งนะมึงอะ”

“มึงเริ่มก่อนอะ”

“เออๆ หิวข้าว ไปหาอะไรแดกปะ?” เมื่อเถียงกันมาพอหอมปากหอมคอผมก็ชวนไอ้ปอมไปกินข้าวเพื่อยุติสงครามน้ำลายที่ไม่มีวันจบสิ้น อีกอย่างคือท้องเริ่มร้องแล้วด้วยเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตื่น... ถ้าได้จูบจากคีนคงอิ่มทิพย์ไปทั้งวันอะ หูย มโนชนะเลิศตลอดเลยกู

“เตี๋ยวเรือหลังมอ?” ไอ้คนที่คาดว่าน่าจะหิวไม่แพ้กันพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะช่วยออกความคิดเห็นเรื่องเมนูอาหาร แต่ผมกลับส่ายหัวปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เมื่อคืนกินก๋วยจั๊บไปแล้ว” คือคีนซื้อแบบพิเศษมาให้ ไอ้ผมก็ดันพิเรนทร์กินจนหมดเพราะกลัวเหลือแล้วเขาจะเสียใจ ดีหน่อยที่ไม่ได้อ้วกออกมาตอนเจอพี่ปิ๊ง คิดถึงช่วงเวลานั้นแล้วขนลุกชอบกล

“งั้น... อาหารตามสั่งไหม?”

“เบื่อ” เคยรู้สึกเบื่อไหมเวลาเราไปนั่งร้านอาหารตามสั่งแล้วไม่รู้จะกินอะไร คิดให้ตายก็คิดไม่ออก พอตัดสินใจเลือกเมนูได้กลับรู้สึกว่าของเพื่อนน่าอร่อยกว่า โอย ปัญหาบานตะไท ไม่แดกแม่ง เรื่องเยอะ! เนี่ย ผมกำลังเข้าสู่ภาวะนั้น

“สเต็กหน้ามอ” ไอ้ปอมเริ่มขมวดคิ้วใส่ผมแล้ว อีกนิดนึงคงโดนมันด่า แต่ผมไม่ชอบกินสเต็กเป็นมื้อเช้าไง หนักท้องจะตาย

“ไม่อยากกิน” ผมส่ายหน้าปฏิเสธอีก คราวนี้ไอ้ปอมคงเหลืออดเพราะมันง้างมือขึ้นสูงแล้วทุบลงมาบนโต๊ะดังปึงและตามมาด้วยเสียงซูดปาก เดาว่าคงเจ็บ ไอ้โง่เอ๊ย ใครบอกให้มึงโมโหแล้วทำลายข้าวของล่ะ

“ไอ้สัด! สรุปมึงอยากกินอะไรก็ว่ามา” อื้อหือ ตะโกนจนน้ำลายกระเด็นแล้วเนี่ย สกปรกสุดๆ

“พาสต้า” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มกริ่ม อยู่ๆ หัวสมองมันก็ปิ๊งไอเดียอยากกินพาสต้าขึ้นมา เออ ยังไงก็หนีไม่พ้นอาหารจำพวกเส้นสินะกู แถมเมนูนี้ยังหนักท้องอีกด้วย ทำไมย้อนแย้งจังวะชีวิต

“เออ ก็แค่เนี่ย ให้กูเปลืองน้ำลายอยู่ตั้งนาน!” ไอ้ปอมตบหัวผมทีหนึ่งก่อนจะลุกเดินสะบัดตูดไปซะเฉยๆ ดูมันทำกับเพื่อน อย่าให้เผลอนะ จะกระโดดถีบแม่งให้ล้มทั้งยืนเลย!

ร้านอาหารสไตล์อิตาลีที่ตั้งอยู่ห่างจากมหา’ลัยประมาณห้ากิโลฯ ตกแต่งด้วยโทนสีส้มน้ำตาลให้ความรู้สึกอบอุ่น ประตูทางเข้ามีลักษณะคล้ายเตาอบพิซซ่าซึ่งเป็นกิมมิคของที่นี่ ผมเคยเห็นสาวๆ ในคณะชอบมาถ่ายรูปและโพสต์ลงโซเชียลเยอะมาก ไม่เว้นแม้แต่ไอ้เนิร์ดว่านที่เกาะกระแสเหมือนกัน เออ จะว่าไปก็ไม่ได้เจอว่าที่หมอมาเกือบสองเดือนแล้วมั้ง ไม่รู้ป่านนี้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง

ผมเป็นพวกรักสงบเลยเลือกนั่งในโซนวีไอพีที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าปกติในราคาย่อมเยาโดยใช้เส้นสายพี่เจ้าของร้านซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันดี ก็ไอ้ปอมเคยกิ๊กกับเขาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เขาเรียนมหา’ลัยนั่นล่ะ เดี๋ยวนี้เธอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนซะแล้ว แถมยังหล่อระดับนายแบบอีกด้วย โธ่... ไม่ต้องเสียใจไปนะเพื่อนรัก อย่างน้อยครั้งหนึ่งมึงก็เคยอยู่ในสายตาพี่เขา

ตัวร้านเป็นกระจกใสที่ปิดทับด้วยม่านไม้ไผ่เพื่อกันแสงแดดจากด้านนอกซึ่งดูๆ ไปมันอาจจะไม่เข้ากับสไตล์การตกแต่งแบบยุโรปแต่กลับดูสวยแปลกตาในความคิดของผม ถูกใจจนถึงขั้นต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วส่งให้คีนดูน่ะ

กิมมิค : *ส่งรูปร้านพาสต้า*
กิมมิค : ร้านสวยเนอะ

ที่ทำไปทั้งหมดไม่ใช่การรายงานตัวว่าทำอะไร ที่ไหน กับใคร อย่างไรเลยนะเว้ย แค่อยากอวดร้านอาหารเฉยๆ ไม่ได้เข้าร่วมชมรมเกียมัว อย่าเข้าใจผิดกันสิ!

เมนูอาหารถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมเสียงทักทายหวานๆ ที่ฟังยังไงก็รู้สึกคุ้นเคยจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าหวานภายใต้กรอบแว่นตากลมนั่นคือไอ้ว่านที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ ทำไมมาโผล่รับจ๊อบที่นี่วะ

“ทำไมมึงมาโผล่ที่นี่วะ?” ผมวางเมนูในมือลงแล้วเอ่ยปากถามเพื่อนสนิทด้วยความอยากรู้ ดวงตาคมจ้องมองไอ้ว่านสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ชุดที่มันใส่อยู่ก็เป็นฟอร์มของร้านไม่ใช่มาแนวนักศึกษาทำงานพาร์ทไทม์ซะด้วย หรือว่าลาออกจากคณะแพทย์เพราะเรียนไม่ไหววะ เฮ้ย ทำไมกูเพ้อเจ้อขนาดนี้

“ร้านญาติกูน่ะ วันนี้ไม่มีเรียนเลยมาช่วยงาน” มันตอบรับเสียงใส ท่าทางคงภูมิใจที่ตัวเองทำประโยชน์ให้แก่ญาติพี่น้องได้บ้างหลังจากที่เอาแต่คลุกอยู่กับหนังสือกองโตมาร่วมระยะเวลาเป็นปีๆ ก่อนจะสอบแพทย์ แต่ผมคิดว่าช่วงกลางเทอมคงไม่มีโมเม้นต์แบบนี้อีกเนื่องจากต้องเรียนกรอส (วิชากายวิภาค ผ่าศพอาจารย์ใหญ่) โอย กว่าจะเป็นหมอนี่ต้องเจออะไรน่ากลัวแบบนั้นเหรอวะ ดีแล้วที่ผมมาสายอาร์ต

“อ๋อ เออ งั้นมึงแนะนำหน่อยว่าอะไรอร่อยบ้าง” ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบเมนูเล่มโตขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็เหลือบตามองไอ้ปอมที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ เออ เป็นเอามาก เพื่อนมายืนอยู่ข้างๆ โต๊ะมันยังไม่คิดทักทาย นี่มึงจะเข้าสู่โลกส่วนตัวมากไปแล้วเว้ย ตื่น!

“ก่อนมึงจะถามช่วยสะกดจิตไอ้ปอมให้สนใจกูหน่อยเหอะ” อะ ผมไม่ต้องงอแงใส่ไอ้ปอมเพราะว่าเพื่อนตัวน้อยได้จัดการทำหน้าเหวี่ยงเรียบร้อย ถ้ามันไม่เกรงใจว่าที่นี่คือร้านอาหารคงง้างมือตบหัวให้สาแก่ใจไปแล้ว โธ่ เกิดเป็นไอ้ว่านก็น่าสงสารดี เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจัดการให้ตามที่ขอ

“ไอ้สัดปอม!” ผมตะโกนเสียงดังพอประมาณแล้วตามด้วยการเอื้อมมือไปตีแขน ไอ้ปอมสะดุ้งเฮือกโทรศัพท์กระเด็นกระดอนแต่ดีที่มันรับเอาไว้ได้ ท่าทางตอนถอนหายใจด้วยความโล่งอกโคตรตลก

“เชี่ย ตะโกนหาพ่อมึงเหรอ? อายคน!” มันแยกเขี้ยวใส่กันแถมยังเค้นเสียงด่าเหมือนใครไปเหยียบตาปลา ผมไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มลงอ่านเมนูด้วยท่าทางสบายๆ แหย่แล้วต้องไปให้สุดถึงจะสะใจ หึหึ

“หน้าบางเนอะ” ผมพูดลอยๆ ไม่ได้เงยหน้ามองเจาะจงเป้าหมาย แต่เสียงฟึดฟัดจากคนตรงข้ามก็พอจะเดาได้ว่ามันรู้ตัวแล้ว ตอนนี้ฉลาดเชียวนะมึง มัวแต่โวยวายร้านจะแตกไม่รู้ว่าเห็นไอ้ว่านที่ยืนปากเบะอยู่ข้างๆ หรือยัง

“เออ กูมียางเว้ย... อ้าว ไอ้ว่าน มึงมาทำอะไรเนี่ย?” ต้องขอบคุณเจ้าที่เจ้าทางที่ดลบันดาลใจให้มันเห็นไอ้ว่านหรือเปล่าวะ แม่ง เถียงกับกูได้ตั้งนานแต่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด แบบนี้ผมว่ามันคงใช้ชีวิตในโลกได้อีกไม่นาน สักวันคงโดนรถชนตายเพราะความเอ๋อนี่ล่ะ โธ่

“นี่มึงเพิ่งเห็นกูจริงดิ?” ไอ้ว่านเบ้ปากใส่เพื่อนสุดที่รักก่อนจะหันหน้าหนีแสดงความงอนแบบเต็มขั้น ส่วนผมได้แต่ส่ายหัวกับความงอแงและไม่สนโลกนั้น สรุปวันนี้จะได้แดกพาสต้าปะ เมนูเด็ดของร้านก็ไม่แนะนำให้ โอย เซ็งเว้ย หิวสัดๆ แล้วเนี่ย!

“เออดิ ทำไมอะ?” ไอ้ปอมลอยหน้าลอยตาถามเพื่อนเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่คนจะไม่เห็นสิ่งรอบข้างใดๆ เมื่อพุ่งจุดสนใจไปที่โทรศัพท์ เออ ข้อนั้นผมเห็นด้วย แต่ถึงขนาดไม่ได้ยินเสียงไอ้ว่านก็เกินไปไหมวะ แบบนี้เข้าข่ายมีแฟนแล้วทิ้งสหายแน่นอน กูนี่เตรียมตัวเหงาได้เลย แต่อย่าคิดว่าต้องง้อเพราะมีคีนอยู่ด้วยทั้งคน หึหึ

“กูคุยกับไอ้กิมอยู่สักพักแล้วนะ” อะ ปากจะติดจมูกอยู่แล้วครับคุณเพื่อน งอแงใส่ยิ่งกว่าไอ้ปอมเป็นผัวมึงอีก เชื่อเขาเลย

“แหะ เหรอๆ โทษที กูตอบไลน์เพลินอะ” ไอ้ปอมผงกหัวขอโทษพร้อมกับยิ้มเขินๆ จาผมพอจะเดาทางได้ว่ามันคุยกับใคร แหม... อาการหนักตั้งแต่ยังไม่ได้คบแบบนี้ ต่อไปคงหลงเมียแบบโงหัวไม่ขึ้นแล้วล่ะ โธ่ กลายเป็นเสือถอดเขี้ยวเล็บแน่ๆ

“โฮม?” ผมถามกลับสั้นๆ ในขณะที่ไอ้ว่านก็หูผึ่งตั้งใจรอฟังคำตอบด้วยเหมือนกัน

“แสนรู้” ด่ากูว่าหมาตรงๆ ยังจะดีกว่าอีก ไอ้เพื่อนเลว!

“เดี๋ยวกูยันติดกระจก” ผมง้างเท้าเตรียมถีบมันจริงๆ แต่ถือว่าเป็นโชคดีที่ไอ้ว่านมีน้ำใจช่วยห้ามปรามสงคราม สงสัยกลัวร้านจะพังล่ะมั้ง ฝากไว้ก่อนเถอะปอม มึงเหลือแต่ซากแน่หลังจากนี้

“หูย ไม่อิจฉาสิคะพี่กิม น้องคีนไม่ไลน์มาหาเหรอ?” อะ ไม่โดนถีบคงสบายใจมากสินะ แต่ขอโทษที่แขนกูยาวเลยสามารถเอื้อมไปดีดปากมึงได้ แม่ง สมน้ำหน้ามัน ร้องโอดโอยอย่างกับหมาโดนน้ำร้อนลวก

“คีนเขาตั้งใจเรียน ส่วนมึงของมึงโฮมคงรำคาญ เลยตอบๆ ให้สิ้นเรื่อง” ผมตอกย้ำความเลวของมันอีกหนึ่งดอก เขื่อสิว่าคนอย่างโฮมคงไม่ยอมสละเวลาเรียนอันมีค่ามานั่งตอบอะไรไร้สาระจากไอ้ปอมหรอก มีแต่มันที่ส่งข้อความรัวจนเขารำคาญแน่นอน

“ปากร้าย” เสียงมึงจะดัดจริตไปไหนเนี่ย ฟังแล้วขนลุกชอบกล แหลมๆ สูงๆ หยึ๋ย

“เชิญง้องแง้งไปคนเดียวเหอะ” ผมโบกมือปัดความรำคาญตัดการสนใจไอ้ปอมออกไปแล้วหันมาคุยกับไอ้ว่านที่ขมวดคิ้วแน่นอยู่ข้างๆ คือมันไม่อัปเดตชีวิตเพื่อนสักเท่าไหร่เพราะวันๆ ก็มีหนังสืออยู่ข้างกายไม่ก็ออกไปลั๊นลากับพี่โซน เออ มึงก็พวกติดผัวเหมือนกันนี่หว่า กูก็อยากงุ้งงิ้งกับแฟนบ้างแต่ไม่มีโอกาส คีนน่ะงานยุ่งจะตาย

“มันกับโฮม?” ไอ้ว่านต้องการจะถามว่าคู่นั้นเขาเปิดเผยแล้วเหรอ เออ ผมก็เก่งเรื่องการตีความเนอะ เยี่ยมๆ ดูเป็นคนฉลาดขึ้นมานิดนึงเลยว่ะ

“เออ ก็เลิกปากแข็งแล้ว จีบๆ กันอยู่มั้ง”

“อ๋อ แล้วมึงกับคีนล่ะ?” ขณะนี้ไม่มีแล้วเด็กเสิร์ฟรับออเดอร์อาหาร ก็จะมีแต่เพื่อนอีกคนที่เข้ามานั่งร่วมโต๊ะสนทนาเผือกชีวิตรักของพวกพ้องจนผมได้แต่ลอบถอนหายใจรัวๆ เออดี หิวจนแดกช้างได้ทั้งตัวแล้วจ้า

“ก็เรื่อยๆ มีความสุขดี” เลี่ยงตอบไม่ได้ไง เดี๋ยวมันหาว่าได้แฟนแล้วลืมเพื่อน เนี่ย ข้อเสียของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยมีอะไรปิดบังกันแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวแบบลับสุดๆ อย่างเช่น...

“ได้กันหรือยัง?” ไอ้สัด! กูยังคิดไม่ทันจบกระบวนการมันก็ถามแทรกกลางปล้องจนผมเผลอสำลักน้ำลายยกใหญ่ โอ๊ย แค่นอนกับเขาเฉยๆ ยังไม่เคยเลย นับประสาอะไรกับได้กันคะเพื่อน เวรเอ๊ย

“แค่กๆๆ ถามเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย?” โอย ไออย่างกับเป็นวัณโรคเลยกู

“เอ้า ก็อยากรู้อะ เห็นมึงมันเขี้ยวคีนขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าปล้ำเขาตั้งแต่วันแรกที่เป็นแฟนกันแล้วเหรอ?”

หูย โดนสบประมาทสุดๆ ไอ้เพื่อนบ้า เห็นกูหื่นกามแบบนี้แต่ก็มีจิตสำนึกคนดีอยู่นะเว้ย

“กูไม่ได้เลวขนาดนั้นปะ?” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้ว่าน ที่จริงแล้วอยากตบหัวมันมากกว่าแต่เห็นหลังพี่โซนไวๆ คนว่าสงบเสงี่ยมไว้ชีวิตคงปลอดภัย

“อ้าวเหรอ? กูเข้าใจผิดมาตลอดเลย” อะ พอพ่อทูนหัวของมึงมากก็ทำตัวกร่างด้วยการแซวแรงๆ เลยเนอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ

“ไอ้เชี่ยว่าน...” เออเนี่ย ด่าได้แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว เหลือบมองซ้ายทีขวาทีระแวงว่าพี่โซนจะเดินมาตบหัวกันเมื่อไหร่ โธ่ สุดท้ายก็ผัวมาคุมถึงร้านอาหารเพราะความน่ารักเป็นกันเองของไอ้ว่าน จ้า เชิญหึงหวงกันตามสบาย มีผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่พิศวาสมันไปด้วย

“โอ๋ๆ ล้อเล่นน่า ให้เกียรติเขาน่ะดีแล้ว พร้อมเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

จ่ะแม่

“อะ ว่าที่คุณหมอเทศน์ ต้องสาธุด้วยไหม?” ไอ้ปอมที่เงียบไปนานพูดขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมกับยักคิ้วกวนอารมณ์ส่งให้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ขอโทษเถอะ นี่ไอ้ว่านนะไม่ใช่ผมซึ่งขี้เกียจตอบโต้เพื่อน

“เก็บปากไว้แดกข้าวเถอะไอ้ปอม” ด่าแรงไม่พอยังง่างมือตบหัวแบบหน้าหันด้วยล่ะ หูย สะใจจริงๆ เลยครับเพื่อนรัก (หักเหลี่ยมโหด)

ผมเจอคีนอีกครั้งในชั่วโมงเรียนคาบบ่ายของคณะ สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนคือตอนนี้เราทั้งคู่ย้ายมานั่งใกล้ๆ กัน เพื่อนร่วมสาขาทุกคนต่างรู้ดีว่าเพราะอะไรและทำไมโดยไม่มีใครขัดขวางความรักครั้งนี้ อย่างมากที่สุดก็คงเป็นเสียงบ่นของสาวๆ บรรดาแฟนคลับของคุณคนินท์เขานั่นล่ะ บ่นว่าเสียดายบ้าง อิจฉาผมบ้างแต่ก็ยินดีด้วยเสมอ นางร้ายอย่างในละครไม่มีหรอก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นพี่ปิ๊งเอง รายนั้นน่ะเหมือนปีศาจเลย หูย แค่คิดถึงก็ขนลุกแล้วเนี่ย

ตอนนี้นักศึกษาสาขาวิชาศิลปะการถ่ายภาพกำลังยืนออกันอยู่ในห้องสตูดิโอซึ่งอาจารย์จะให้พวกเราลองช่วยกันจัดแสงและฝึกใช้ไฟแฟลชถ่ายรูปบุคคลส่งอาจารย์ โดยตัวแบบไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะได้รับคะแนนโหวตจากเพื่อนร่วมสาขาอย่างล้นหลาม... คีนกับไอ้ปอมนั่นเอง โธ่ ไม่มีใครเลือกน้องน้ำปิงคนดีบ้างเหรอวะ เธออุตส่าห์ตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตีห้าเชียวนะ โอย ขำแม่ง ยืนเบะปากอยู่ได้

“น้ำปิง... มึงต้องทำใจนะ” ผมแสร้งปลอบใจเพื่อนสาวสุดสวยด้วยการเอื้อมมือไปตบบ่ามันคล้ายโอบกอดอยู่ ได้ทีไอ้น้ำปิงซบหัวลงบนลาดไหล่ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงออเซาะจนรู้สึกขนลุกไปหมด

“ไม่ซ้ำเติมสักวันได้ไหมคะสามี?” แถมตบท้ายด้วยการช้อนตามองอีก น่ารักตายล่ะมึง นมใหญ่ก็ไม่ช่วยให้กูพิศวาสนะ รู้จักกันระดับที่ว่าสามารถสาวไส้กันแล้วเนี่ย เปลี่ยนสถานะไม่ไหวจริงๆ

“สามีพ่อง หยุดเรียกแบบนั้นเหอะ” ผมเอื้อมมือไปเคาะหัวไอ้น้ำปิงด้วยความหมั่นไส้ ลอยหน้าลอยตาเรียกคนอื่นว่าสามีแบบไม่เคยอายนี่ดูยังไงก็เหมาะกับคำว่าแรดชัดๆ

“แหม แต่ก่อนเรียกผัวคะผัวขาไม่เคยบ่น เดี๋ยวนี้ไม่ได้เลยนะ” น้ำปิงบุ้ยปากใส่กันก่อนจะสะบัดผมยาวๆ ฟาดหน้าเต็มๆ แม่ง โคตรเจ็บอะ กระชากหัวดีไหม รำคาญเสียงกระแนะกระแหนของมึงจั๊ง

“เออ ก็คนมันมีแฟนแล้วแถมน่ารักมากด้วย” เออ ผมก็แค่ภูมิใจที่มีแฟนนิสัยน่ารักอัธยาศัยดีเฉยๆ ไม่ได้อวยเกินความจริงเลยครับ อย่ามองกันด้วยสายตาแบบนั้น

“ไม่เห่อแฟนสักวันได้ปะ? เหม็นเบื่อ” น้ำปิงเบะปากใส่หนักกว่าเก่าแถมด้วยการทำท่าบีบจมูกเหมือนได้กลิ่นเหม็นตุจริงๆ แต่ผมไม่โกรธมันหรอกเพราะรู้ว่าก็แค่แหย่กันตามประสาเพื่อน

“ทีมึงเพ้อถึงหมอทั้งวันกูยังไม่บ่นเลย” ผมสวนกลับด้วยท่าทางเบื่อหน่ายแต่ความจริงคือเฉยๆ กับเรื่องนี้ เพราะเวลาน้ำปิงเพ้อถึงพี่หมอมันจะยิ้มมีความสุขตลอดเวลา ดูเป็นธรรมชาติจนทำให้คนมองเผลอหลงใหลได้ปลื้มกับมันไปเลยล่ะ คือกลายร่างเป็นผู้หญิงอารมณ์ดีแบบไม่เสแสร้ง

“อย่าแซวดิ เค้าเขินนะ” แต่อันนี้เสแสร้งจนอยากถีบให้ไปยืนไกลๆ แค่นี้ก็จะสิงสู่กันอยู่แล้วเนี่ย

“กูด่าเหอะ ไม่ต้องมาแบ๊วใส่”

“ปากหมาไม่เคยเปลี่ยนอะ แต่แบบนี้เร้าใจดี ช๊อบ ชอบ” อะ อยู่ๆ ก็วกมาเกาะแกะเหมือนช่วงแรกที่มันออกตัวว่าชอบผู้ชายแนวเคร่งขรึมแบบผม อยากได้ทำสามีไม่เว้นแต่ละวัน ตอนนี้เหรอ... หางตาก็แทบไม่แลถ้าผมไม่เผลอไปรู้ความลับว่าน้ำปิงแอบอ่อยพี่หมอที่คณะแพทย์ คือเขาเป็นระดับอาจารย์ช่วยสอนแล้วน่ะ เล่นของสูงฉิบหาย



ต่อด้านล่างจ้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“กูจะฟ้องพี่หมอ” ผมแกล้งข่มขู่เพื่อนด้วยใบหน้าจริงจัง พอเห็นน้ำปิงเบิกตาโตทำท่าลนลานก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เดือดร้อนต้องยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้ โอย ตลกโคตรๆ

“ที่รักขา กูไหว้ท่วมหัวเลยเอ้า อย่าฟ้องพี่หมอนะ กว่าจะจีบเขาติดเกือบขาดใจตายก่อนแล้ว” น้ำปิงยกมือไหว้กันปรกๆ แถมยังก้มหัวจนแทบติดพื้นจนผมเผลอหลุดหัวเราะจนได้ เออ ก็ไม่ได้อยากแกล้งสักเท่าไหร่หรอกแค่หมั่นไส้ความตอแหลนิดหน่อยเอง

“เออๆ กูล้อเล่นน่า ตั้งใจฟังอาจารย์เหอะ เดี๋ยวถ่ายงานไม่ผ่านนะ” ผมเอื้อมมือไปจับไหล่มันทั้งสองข้างเพื่อเป็นสัญญาณให้หยุดทำแบบนั้นสักที คืออายเพื่อนไง คนอื่นมองเราแล้วแอบหัวเราะคิกคักกันใหญ่ ส่วนไอ้ปอมกับคีนก็เข้าไปประจำที่ตรงฉากพร้อมเป็นแบบถ่ายรูปกันแล้ว เอาวะ วันนี้ต้องได้คะแนนเยอะกว่าทุกทีสิน่า

ผมว่าตัวเองก็เป็นคนที่มีความอดทนในระดับหนึ่ง ไม่ได้ขี้หึงขี้หวงจนมากเกินพอดี ก็เชื่อแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งถึงวันนี้ที่ต้องยืนมองคนมากมายรุมล้อมถ่ายรูปแฟนตัวเองนี่ล่ะ พวกมึงจะเล็งท่าไหนกูไม่ว่าสักคำแต่ไอ้การแตะเนื้อต้องตัวคีนเนี่ยคืออะไร อธิบายได้ให้สิบคะแนน ถุย โมโหจนหน้าสั่น!

แต่สุดท้ายก็พึงระลึกได้ว่าผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคีนกับไอ้ปอมตามที่อาจารย์ต้องการ หลังจากงานตัวเองผ่านเลยขอตัวออกมานั่งสงบจิตใจอยู่ที่ริมระเบียงคนเดียวเงียบๆ พยายามสลัดความงี่เง่าส่วนตัวออกไปจากสมองให้มากที่สุด ต้องมีเหตุผลมากกว่านี้สิวะไอ้กิม ขืนหึงหวงมั่วซั่วแบบนี้สักวันจะไม่มีใครทนมึงได้นะเว้ย

เกือบดีแล้ว... ถ้าผมไม่เห็นคีนเดินมาทางนี้โดยที่พวกสาวๆ หนุ่มๆ ยังคงรุมล้อมหน้าหลังไม่หยุด อย่าให้รู้ว่าคืนนี้ใครแอบดูรูปแฟนกูก่อนนอนนะ พ่อจะไล่กระทืบเรียงตัวเลย!

“กิม...” คีนปลีกตัวออกมาจากฝูงปลิงนั่นแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ฝ่ามืออุ่นของเขาทาบลงบนต้นแขนอย่างแผ่วเบาตามมาด้วยศีรษะที่ทิ้งลงมาตรงลาดไหล่แบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านที่จ้องจะแซวเรา พวกมึงอ้าปากเมื่อไหร่กูถอดรองเท้าปาแน่

“.....” คือตอนนี้อารมณ์ตีกันมั่วไปหมด ทั้งหงุดหงิด โมโหและฟินในเวลาเดียวกันจนเผลอเงียบใส่คีนไปโดยปริยาย โอย จัดการความสับสนไม่ได้สักที

“กิมครับ” คีนขยับหัวให้องศาสามารถมองเห็นหน้าผมได้อย่างชัดเจน ตอนแรกก็ว่าจะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงให้ดูเป็นปกติแต่ไหงปากไม่สัมพันธ์กับสมองวะ

“อือ” กลายเป็นครางรับในลำคอด้วยใบหน้าเรียบเฉยไปซะอย่างนั้น แม่ง ตามน้ำไปก่อนแล้วกันเพราะยังไงๆ ผมก็ยังไม่หายหงุดหงิดเรื่องคืนโดนแต๊ะอั๋ง

“เป็นอะไรหืม? สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” คีนผละตัวออกห่างแต่นิ้วเรียวกลับแตะลงที่ปลายคางเหมือนเป็นสัญญาณให้ผมหันไปสบตาเขาสักนิด โธ่ ไม่เอาแบบนี้ครับ ใจเหลวเป็นน้ำหมดแล้วเนี่ย

“หงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบกลับไปตามความจริงเมื่อเศษเสี้ยวอารมณ์นั้นยังไม่ได้จางหายไปไหน แถมเมื่อครู่ยังเผลอเห็นรอยแดงๆ จากการที่เพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งจับข้อมือคีนกระชากอีก มันสมควรตายคาตีนผมอะ บอกให้ขยับดีๆ ก็ได้ปะวะ ไม่เห็นต้องทำแบบนั้น

“ได้คะแนนถ่ายรูปน้อยเหรอ?” คีนเดาตามความน่าจะเป็นเพราะผมชอบพลาดในการถ่ายรูปเก็บคะแนนอยู่บ่อยครั้ง ก็แบบมันตื่นเต้นไง ตั้งค่ากล้องพลาดไปบ้างอย่าถือสาเลย... แต่ครั้งนี้ผมโคตรตั้งใจเลยได้ตัวเลขสูงกว่าทุกครั้ง

“เปล่าครับ” เสียงไม่แข็งแต่ตอบสั้นจนคีนเริ่มย่นคิ้ว คงจับความผิดปกติของผมได้แล้ว ก็งี้ล่ะ คนโกหกไม่เป็น เฮ้อ

“แล้วทำไมหน้าบูดแบบนี้ล่ะ?” อะ เอื้อมมือมาจิ้มแก้มผมไม่พอยังจะเอียงคอถามอีก คิดว่าน่ารักมากหรือไง เออ ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งหวง นู้น พวกนั้นมองจนน้ำลายจะย้อยแล้ว

“หวง” ผมอ้อมแอ้มบอกโดยไม่กล้าสบตากับคีนเพราะรู้ว่าตัวเองโคตรงี่เง่าไง

“หวงเรา?” คีนชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหมือนยังไม่ค่อยแน่ใจว่าได้ยินถูกต้องและแปลความหมายตรงกับที่ผมต้องการจะสื่อหรือเปล่า

“อือ”

“โธ่ เจ้าเด็กน้อย งอแงไปได้” คีนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะวางมือลงบนหัวของผมแล้วออกแรงขยี้เล็กน้อย โธ่ นี่แฟนครับไม่ใช่ลูก จะเอ็นดูอะไรขนาดนั้น

“ก็พวกแม่งชอบแต๊ะอั๋งคีนนี่หว่า” ผมบ่นงุ้งงิ้งเป็นเด็กหวงของเล่น นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในมหา’ลัยคงพุ่งตัวไปกอดคีนแล้ว

“มันเป็นงานน่ากิม” เขาตบบ่าปุๆ พยายามปลอบผมที่กำลังงอแง น้ำเสียงที่ใช้ก็อยู่ในโหมดขบขันมากกว่าหงุดหงิด ฮือ คนดีของพี่กิม น่ารักจังเลย

“รู้... แต่ก็อดหวงไม่ได้อยู่ดี” เพราะเขาคือแฟนของเรายังไงล่ะ ทุกคนเข้าใจความรู้สึกผมใช่ไหม

“แล้วเราต้องทำยังไงกิมถึงจะอารมณ์ดีขึ้นล่ะ?” คีนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะดึงแขนผมให้ทำตาม คงเบื่อที่ต้องนั่งคุยกันสินะ กลับคอนโดก็ได้เว้ย

“ปล่อยเราไว้สัพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น ไม่ต้องห่วง” เราเริ่มออกเดินไปพร้อมๆ กัน ระยะทางข้างหน้าสั้นลงจนถึงทางลงบันได คีนหยุดชะงักก่อนจะคว้าแขนของผมไว้ ดวงตารีมองมาด้วยความจริงจัง ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า สาบานว่าเมื่อครู่ไม่ได้ประชดเลยนะ

“แต่เราเป็นสาเหตุไม่ใช่เหรอ?” แผ่นหลังของผมสัมผัสกับผนังปูนด้านหลังโดยมีแขนของคีนกั้นปิดทางหนี สภาพตอนนี้เหมือนกูเป็นนางเอกที่กำลังถูกพระเอกคาดคั้นหาความจริงเรื่องผู้ชายอีกคนเลยว่ะ

“เรางี่เง่าเอง” ผมตอบ เม้มปาก หลบตา มองปลายเท้า ตอนนี้เริ่มอายความงี่เง่าของตัวเองจนแทบสำลักตายอยู่แล้ว โอย อยู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ชายง้องแง้งน่ารำคาญซะอย่างนั้น แบบนี้เขาจะเชื่อว่าเราสามารถเป็นที่พึ่งพิงและปกป้องได้เหรอวะ โอยเครียด

“กิมครับ มองหน้าเรา” อะ พูดเสียงหวานใกล้ๆ แถมยังใช้ปลายนิ้วเชยคางแบบนี้... ผมชักหวั่นๆ ว่าในไม่ช้าจะตกเป็นเมียของคีนแล้วสิ โธ่เว้ย ไม่ใช่เวลาคิดฟุ้งซ่าน

ถ้ามองหน้าแล้วอยากย่ำยีจะเป็นไรไหมอะ

“.....” ผมยอมสบตาคีนแต่โดยดี ขืนเล่นตัวมากกว่านี้เขาอาจจะปล่อยให้งี่เง่าจนสำลักตายไปคนเดียวก็ได้

“เราชอบนะที่กิมแสดงท่าทีหวงแบบนี้ เพราะรักมากใช่ไหมล่ะ?” ถามแบบนี้ด้วยรอยยิ้มหวานจะให้ตอบว่าไม่รักเหรอไงเล่า เดี๋ยวจับฟัดตรงนี้เลยนี่

“อืม รักคีนโคตรๆ เลยล่ะ” เขาไม่เขินที่จะถามผมก็ไม่เขินที่จะตอบกละบไปตรงๆ เหมือนกัน

“อื้อ เราก็รู้สึกไม่ต่างกัน ถ้ากิมโดนแต๊ะอั๋งแบบนั้นบ้างเราอาจจะงอแงมากกว่านี้อีกมั้ง” คีนหน้าแดงในระหว่างที่เอ่ยประโยคพวกนั้นออกมา แต่ที่หนักกว่าคือการยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างประหม่า คือมันให้ความรู้สึกน่ารักจนแทบทนไม่ไหว อยากกอดอยากฟัดแรงๆ สักที นี่กูกำหมัดแน่นสั่นกึกไปหมดแล้วจ้า

“โธ่ ทำตัวน่ารักแบบนี้เราก็แพ้คีนดิ” ผมแสร้งบ่นกลบเกลื่อนความรู้สึกมันเขี้ยว พยายามกดมันให้ลึกสุดๆ แต่ทุกอย่างกลับพังทลายเพราะคำพูดของคีน แม่ง... จะไม่ทนแล้ว!

“แพ้ตรงไหนวะ ทุกวันนี้ก็ชนะใจเราไม่ใช่เหรอไง?”

จะมากระพริบตาปริบๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!

“โอย ทำไมเป็นคนแบบนี้” ผมเริ่มสติแตก คุมตัวเองไม่อยู่ถึงขนาดมุดใต้รักแร้ของคีนออกมาแล้วก้าวลงบันไดฉับๆ ดีแค่ไหนที่ไม่สะดุดขาล้มหน้าคะมำ

“แบบไหน?” จ้า ตามมาแบบระยะเผาขนเลย ฝ่ามืออุ่นๆ นุ่มๆ คว้าจับต้นคอเลยครับคุณ ถ้าไม่หยุดเดินแล้วตอบคำถามคงโดนกระชากหัวหลุดแน่นอน

“น่ารักจนอยากกลืนลงท้อง” อะ นี่กัดฟันพูดแล้วนะ อีกนิดเดียวจะจับคีนข่มขืนบนตึกเรียนแล้วเนี่ย

“หึหึ อยากทำอะไรกับเราอีกปะ?” คีนหัวเราะเสียงต่ำเมื่อประเมินสภาวะอารมณ์ของผมออก เขาขยับเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดลงมาบนปลายคาง สัมผัสแผ่วเบาโอบรอบเอวสอบราวกับเชิญชวนให้หลงใหล โอเค ผมยอมแพ้อย่างราบคาบจริงๆ ความอดทนไม่ต้องมีมันแล้วล่ะ พอกันที!

“จูบได้ไหม?” ผมถามเสียงสั่นพร้อมกับยกมือขึ้นประคองแก้มทั้งสองข้างของคีนไว้ ถ้าเขาตอบปฏิเสธยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ใครจะปล่อยในลอยนวลในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้าแถมยังจับต้องได้อีก

“ไม่เอาปากแตะปากแล้วนะ ขอลึกซึ้งกว่านั้น” แหนะ ยักคิ้วท้าทายด้วย แต่ผมยังไม่จูบหรอกนะ ขอกัดปลายจมูกแฟนด้วยความมันเขี้ยวก่อนเถอะ งั่ม!

“ขี้อ่อย” ผมขยับตัวจรดริมฝีปากชิดใบหูขาว กระซิบบอกคำที่คิดไว้ในใจตลอดมา คนๆ นี้ขี้อ่อยจริงๆ นั่นล่ะ ร้ายกาจมาก

“ก็เหมาะกับคนหื่นแบบกิมดี”

ครับ หลังจากนั้นผมก็ตามืดมัวบดจูบคีนอย่างลึกซึ้งคาบันไดตึกคณะนั่นล่ะ เชื่อสิว่ามันจะเป็นความลับของเราแค่สองคนโดยไม่มีใครล่วงรู้อย่างแน่นอนเพราะ... ยกกระเป๋ากล้องขึ้นบังทั้งซ้ายทั้งขวานั่นเอง ฉลาดใช่ปะ? คิกๆ

-------------------------------------------------------

หวายยย ไอ้เด้กขี้หวงได้ดีพคิสแล้วล่ะ ต้องจุดพลุด้วยปะนี่?
ส่วนใครที่สงสัยว่าคีนขี้อ่อยจริงไหมคงได้คำตอบแล้วเนอะ 55555

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ในที่สุดกิมก็ไม่กากแล้ว :hao6:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 22


หลังจากเหตุการณ์ที่ผมกับคีนได้จูบกันอย่างลึกซึ้งผ่านมาจนถึงวันนี้พวกเราทั้งคู่ยังไม่มีใครกล้าสบตาหรือมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ เนื่องด้วยความรู้สึกและสัมผัสมันชัดเจนเกินกว่าจะลืมเลือน แม่งเอ๊ย ในชีวิตเขินมากที่สุดก็ตอนโดนล้อว่าฉี่ใส่ที่นอน ไม่คิดเลยว่าโตมาเสือกกลายเป็นหน้าบางเพราะดีพคิสกับแฟน ไก่อ่อนชัดๆ เลยกู

วันนี้ผมโคตรมีความสุขเพราะพี่ปิ๊งกลับไปนอนที่บ้านตัวเองแล้ว ส่วนคีนก็ไม่ได้รับงานถ่ายพรีเวดดิ้งซึ่งแปลว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันตามประสาแฟนโดยไร้มารหัวใจขัดขวาง ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่สามารถทำให้ยิ้มจนปากฉีกเลยล่ะ แต่... ไอ้ชมจันทร์ที่กำลังกระโดดดึ๋งๆ อยู่นอกกรงนี่คืออะไรวะ แค่ผมเปิดประตูห้องเข้ามามันก็ทำท่าจะกัดแล้ว สาบานว่าเขาเลี้ยงกระต่ายไม่ใช่หมา ดุจริงๆ เลยเนี่ย

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นชมจันทร์กระโดดมาทางนี้เพราะยังไม่ทันได้ปิดประตู สองขารีบกางออกดักเจ้าก้อนให้กลับเข้าไปด้านในโดยที่คีนไม่ช่วยอะไรเพราะเขาหัวเราะจนตัวงอและกลิ้งไปตามพื้น โธ่ ตลกอะไรขนาดนั้นครับแฟน ก็ผมไม่กล้าอุ้มกระต่ายนี่หว่า มันชอบดิ้นกลัวจะทำหล่นน่ะ

“คีนมาช่วยกันหน่อยดิ” ผมเอ่ยน้ำเสียงเร่งเร้าก่อนใช้เท้าเขี่ยไอ้อ้วนเบาๆ ให้พ้นทางประตู แม่ง ตัวหนักอย่างกับก้อนหิน แถมยังดื้อทำท่าจะมุดรอดหว่างขาออกไปด้านนอกอีก ส่วนคีนก็ยังคงเอาแต่หัวเราะพร้อมชี้นิ้วสั่นๆ มาที่ผม สรุปคือต้องช่วยตัวเองใช่ไหม โอย แฟนหนอแฟน!

สุดท้ายผมก็ยอมนั่งยองๆ ลงแล้วคว้าจับหลังคอชมจันทร์ก่อนจะยกตัวอ้วนขึ้นและใช้มืออีกข้างปิดประตูดังปัง คนเองยังต้องใจแล้วนับประสาอะไรกับกระต่ายที่กระโดดผึ่งออกจากการอ้อมแขน คือแบบ... เสยปลายคางกันเต็มๆ แม่งเอ๊ย ผมนี่หงายหลังก้นจ้ำเบ้าเลย ซี๊ดมาก!

“กิมทำอะไรเนี่ย? โคตรตลกเลย” เสียงพูดกลั้วหัวเราะดังขึ้นแทบฟังไม่ได้ศัพท์แต่ก็พอเข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร คีนลุกขึ้นนั่งแล้วแต่ตัวยังงอเพราะหยุดหัวเราะไม่ได้ หน้าเน้อแดงเป็นลูกตำลึงจนผมรู้สึกมันเขี้ยวเลยเดินเข้าไปจูบปิดปากซะดื้อๆ คราวนี้เงียบกริบเลยครับ แต่ได้ฝ่ามือที่ฟาดลงมาบนลาดไหล่แทน อูย หาเรื่องเจ็บตัวซ้ำซากตลอดเลยวะกู

“ชอบฉวยโอกาสว่ะ” คีนบ่นพร้อมส่งสายตาคาดโทษมาให้ผมที่ตอนนี้ยังคงยืนให้ท่าโก่งโค้งเหมือนเดิมแถมยังคลี่ยิ้มหวานกวนอารมณ์เขาอีกด้วย สาบานถ้าวันนี้รอดออกไปจากห้องโดยร่างกายไม่บุบสลายจะทำขนมจีนน้ำยาป่าตีนไก่ให้ไอ้ปอมกินเลยเอ้า (เพื่อนอยากกินแต่ไม่ยอมทำให้เพราะขี้เกียจ)

“เราเอาคืนที่คีนไม่ยอมช่วยไง” ผมแกล้งขยับเข้าไปหมายจะจูบเขาอีกสักครั้งให้ชื่นใจแต่กลับโดนนิ้วจิ้มหน้าผากจนต้องหยุดชะงัก อะ เจ็บตัวอีกแล้ว สงสัยไอ้ปอมจะอดกินขนมจีน

“ข้ออ้างชัดๆ เลยครับคุณแฟน” โดนย่นจมูกใส่หนึ่งทีแต่ผมกลับรู้สึกว่าโคตรคุ้มที่ลงมือทำทุกอย่างลงไปเพราะได้ผลตอบแทนเป็นความน่ารักน่าเอ็นดูของคีน คือเขาทำอะไรก็ดีต่อใจไปซะหมด อ๋อย ระทวยหมดแล้วครับคุณ ดาเมจแรงจริงๆ

“ว้า รู้ทันแบบนี้เราก็แย่น่ะสิ คราวหน้าจะหาข้ออ้างอะไรจูบคีนล่ะ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างคีนพลางโน้มตัวเข้าไปมองหน้าจนโดนเสยปลายคางด้วยหมัด ดีหน่อยที่เขาแค่ใช้มันดันไม่ได้ต่อยเข้าจริงๆ ส่วนไอ้ชมจันทร์ยังคงวิ่งอยู่รอบตัวเรา แอบระแวงเหมือนกันว่ามันจะแอบแวะมาฉี่ใส่กางเกง เนี่ย ใครว่ากระต่ายแบ๊วล่ะ โคตรร้าย

“อยากจูบก็จูบสิ ทำไมต้องหาข้ออ้างด้วยล่ะ” แหนะ ผมเจอคนที่ร้ายกว่าไอ้ชมจันทร์แล้วล่ะ ตั้งแต่เป็นแฟนกันรู้สึกว่าคีนจะพัฒนาสกิลความกล้าหาญและทำให้ผมหลงหัวปักหัวปำมากขึ้น จิตใจเขาทำด้วยอะไรหนอ ไม่เคยแคร์ผมที่กำลังจะลงแดงตายเพราะต้องกดความหื่นไว้เลยสักนิด

“อ่อยเก่ง” ผมยื่นมือไปบีบแก้มคีนส่ายไปมาด้วยความมันเขี้ยว เจ้าตัวไม่ได้ปัดป้องแต่กลับถลึงตาใส่แทน คิดว่าแค่นี้จะทำให้คนอย่างไอ้กิมกลัวได้เหรอ? หึหึ กูนี่รีบปล่อยแทบไม่ทันเลยจ้า แถมแดงเป็นรอยด้วย โอย กลัวโดนแฟนโกรธฉิบหาย เผลอๆ ไอ้ฟูหวงพี่ชายอาจจะวิ่งมากัดนิ้วเท้าก็ได้ กลัวแล้ว!

“คิดไปเองทั้งนั้นเหอะ” อะ พอเราจับไต๋ได้ก็เปลี่ยนเป็นทำหน้ายักษ์แถมใช้เสียงแข็งอีกด้วย ผมนี่อยากจะพาย้อนเวลาไปตอนที่เราดีพคิสฉิบหาย ใครกันเป็นฝ่ายเชิญชวนให้ทำ ไอ้แฟนขี้อ่อยเอ๊ย เผลอเมื่อไหร่จะฟัดให้น่วมเลย

“อะๆ ยอมครับ แล้วนี่กำลังจะทำอะไร?” ผมพยักหน้ายอมแพ้ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวเพราะเพิ่งสังเกตเห็นพวกกะละมังขนาดกลาง ผ้าขนหนูผืนเล็ก หวีซี่ เอามาทำอะไรวะเนี่ย

“เตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ”

“ห๊ะ คีนจะลงไปแช่ในกะละมังใบเล็กเนี่ยนะ?” ผมมองกะละมังสลับกับร่างกายของคีนที่น่าจะยัดลงไปไม่หมด ก็เขาตัวเล็กกว่าผมแค่นิดเดียวเองไม่มีทางขดตัวในที่แคบไหวหรอก เขาไม่ตอบแต่มองหน้าผมเหมือนเจอตัวประหลาด หัวคิ้วย่นเข้าหากันจนแทบผูกเป็นโบว์ได้ อะ กูพลาดอะไรเนี่ย

“คิดได้ยังไงกิม? เราเอามาอาบน้ำให้ชมจันทร์เว้ย” อะ โดนคีนผลักหัวไปทีนึงแต่ผมกลับมีความสุขแทนที่จะโกรธ คือการวางตัวมันสนิทสนมมากกว่าเก่าและรู้สึกว่าโคตรแฟน ฮึ่ย รักฉิบหายเลยคนนี้ เนี่ย คบกับผู้ชายมีเรื่องจุกจิกน้อยกว่าผู้หญิงเยอะ ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ล่ะ สบายๆ ชิวๆ

“นี่เราโคตรโง่เลยใช่ไหม?” มันก็จะเขินๆ หน่อยที่คิดว่าคันจะลงไปแช่อยู่ในกะละมังนั่น โธ่ ความฟินเมื่อครู่หายไปราวกับควันไฟที่โดนพัดลมยักษ์เป่า ตอนนี้เหลือแค่ความอายล้วนๆ ฮือ

“เปล่าๆ แค่ตลกดี” คีนยังขำไม่เลิกแต่ก็พยายามควบคุมเสียงพูดไม่ให้สั่น ทำไมคนเราถึงน่ามันเขี้ยวได้ขนาดนี้นะ เดี๋ยวก็กระโดดกัดจมูกโด่งๆ นั่นซะเลยนี่

“โล่งอก เอ้อ แต่เราเคยอ่านในอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่ากระต่ายไม่จำเป็นต้องอาบน้ำนี่” ผมยกมือขึ้นลูบอกก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าช่วงหนึ่งเคยอ่านบทความเกี่ยวกับกระต่ายเพราะคีนเอาชมจันทร์มาเลี้ยงและอยากทำความสนิทสนมด้วย ไอ้ฟูเนี่ยไม่จำเป็นต้องอาบน้ำเนื่องจากเป็นสัตว์ที่รักความสะอาดขนอยู่แล้ว หรือว่ามันไปคลุกขี้ดินที่ไหนมาวะ? พอลองเหลือบมองก็เห็นคราบสีน้ำตาลตุ่นๆ บนหัวมัน ท่าทางจะเหนียวหนืดซะด้วย

“ก็ใช่... แต่วันนี้เราเอาชมจันทร์ออกมาเล่นวางไว้บนตักแล้วเผลอกินไอติมหกใส่น่ะ” คีนยิ้มแห้งก่อนจะเอื้อมมือคว้าจับตัวชมจันทร์ขึ้นมาอุ้มแนบอกแล้วลูบๆ ตรงส่วนที่เป็นคราบสีน้ำตาล ผมร้องอ๋อในใจไม่กล้าหัวเราะความเปิ่นของแฟน แม่ง ทั้งคนทั้งกระต่ายเหมือนกันเหมือนเป็นฝาแฝดเลยว่ะ

“ถ้าไม่อาบมดคงแห่กันมากัดเนอะ” ผมก้มลงมองชมจันทร์ที่ตอนนี้นอนรายแน่นิ่งอยู่บนตักของคีนปล่อยให้ลูบหัวลูบหางได้ง่ายๆ ในชีวิตนี้ผมไม่ถูกกับสัตว์ชนิดไหนเลยก็จริงแต่ต้องยอมรับว่ากระต่ายน่ารักและอนาคตก็คงเป็นที่รักด้วยเช่นกัน คีนชอบอะไรกิมก็จะชอบด้วย

“อื้ม งั้นฝากกิมยกอุปกรณ์พวกนี้ไปที่ห้องน้ำให้หน่อยเดี๋ยวเราอุ้มชมจันทร์ตามไป”

ผมพยักหน้ารับแล้วเก็บรวบอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งเจลอาบน้ำเด็กที่คนในกระทู้แนะนำให้ใช้กับกระต่ายอุ้มเข้าห้องน้ำก่อนจะจัดแจงเปิดฝักบัวเติมน้ำให้เต็มกะละมังเพื่อรอเจ้าชมจันทร์กับคีน ระหว่างนั้นก็พาดผ้าขนหนูไว้กับราวด้านบน มองสำรวจไปรอบๆ ว่าแฟนใช้แชมพูยี่ห้อไหนถึงได้หอมนัก อยู่ใกล้ทีไรก็เคลิ้มตลอด

“กิม มัวยืนทำอะไรอยู่เนี่ย? น้ำล้นกะละมังแล้ว” เสียงของคีนเรียกสติให้ผมกลับไปสนใจสิ่งที่ทำค้างไว้ น้ำที่ไหลจากฝักบัวกำลังเจิ่งนองลงบนพื้นจนต้องรีบกุลีกุจอเข้าไปปิดก๊อกก่อนจะส่งยิ้มแห้งไปให้เขาซึ่งทำหน้ามุ่ยอยู่ไม่ไกล โอ๋ๆ ไม่งอนนะครับ แค่กำลังเพลินกับการซึมซับเรื่องของแฟนเท่านั้นเอง

“โทษทีๆ ให้เราช่วยอะไรไหม?” ผมเสนอตัวเพราะอยากทำหน้าที่แฟนช่วยเหลือเขาในทุกๆ เรื่อง คีนนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็จะส่ายหัวเพื่อปฏิเสธแล้ววางชมจันทร์ลงกับพื้น ใช้เท้าทั้งสองข้างหนีบเจ้าอ้วนไว้ในระหว่างเตรียมของ

“ออกไปรอข้างนอกเถอะ เดี๋ยวกิมจะเปียกเอา” คำเตือนนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วฉับแล้วมองเจ้ากระต่ายขนฟูที่ยอมนอนนิ่งอยู่ตรงระหว่างขาของคีน ตัวแค่นี้คงไม่ทำให้น้ำเลอะมากหรอกมั้ง ขนาดแต่ก่อนเห็นพี่ข้างบ้านอาบน้ำให้หมายังไม่เป็นไรเลย กับชมจันทร์คงเป็นเรื่องจิ๊บๆ ชิวๆ

“แค่อาบน้ำกระต่ายเอง คงเปียกนิดๆ หน่อยๆ” ผมคลี่ยิ้มเอาใจคีนก่อนเอื้อมมือไปแตะๆ หัวชมจันทร์เพื่อสร้างความสนิทสนม แต่มันกลับเมินนอนทำปากแจ๊บๆ ใส่ เออ... เดี๋ยวจะตกกระป๋องไม่รู้ตัว ไม่ใช่กระต่ายหรอก ไอ้กิมเนี่ยล่ะ ฮือ

“เชื่อเราเถอะ มันไม่ใช่อย่างที่กิมคิดแน่ๆ” คีนย้ำคำเสียงจริงจังพร้อมกับเงยหน้ามองผมเหมือนไม่ต้องการให้ช่วยจริงๆ โธ่ ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า แฟนกันนะ

“แต่เราอยากช่วยคีน” ผมก็ย้ำคำเดิมเช่นกันแถมยังลากม้านั่งตัวเตี้ยมารองก้นเหมือนอย่างที่คีนกำลังทำ

“แน่ใจ?” เขาหรี่ตามอง

“ครับ” ผมตอบเสียงใส

“ถ้าอย่างนั้นห้ามโวยวายนะ” คีนยกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์แต่ผมกลับคิดว่าเขาคงอยากแกล้งขู่ก็เท่านั้น หึหึ

แค่อาบน้ำให้กระต่ายตัวเดียวจะไปยากอะไร๊... สัด โคตรบรรลัย!

“ไอ้เชี่ย” สเต็ปแรกของการโวยวายมาแล้วเพราะน้ำกระเด็นเข้าตาเนื่องจากชมจันทร์กระโดดหนีไปรอบๆ ตัวเราทั้งคู่ เป็นคีนที่คว้าจับไอ้ฟูไว้ ส่วนผมรีบจัดการทำให้มันเปียกชุ่มพร้อมสำหรับการลงสบู่

“โว๊ย อย่าสะบัดสิวะ” สเต็ปที่สองมาพร้อมกับการที่ผมขยับหลบจนเกือบตกเก้าอี้เพราะชมจันทร์สะบัดน้ำกระจายจนขนแตก หูลู่ตัวลีบเหมือนกระต่ายขาดสารอาหาร โธ่ ที่แท้ก็อ้วนหลอกลวง จริงๆ ตัวกระจิ๊ดเดียวเอง

“อยู่นิ่งๆ ไอ้ฟู” สเต็ปที่สามคือเจ้ากระต่ายเริ่มดิ้นหนีเพราะไม่ชินกับกลิ่นสบู่และสัมผัสแปลกปลอมของฟองขาวๆ

“ว๊าก เปียกหมดแล้ว!” สเต็ปสุดท้ายแหกปากเต็มเสียงเพราะชมจันทร์วิ่งหนีและสะบัดน้ำที่ราดเพื่อล้างคราบฟองออกไมาหยุดหย่อน เออ เปียกซกยิ่งกว่าเล่นสงกรานต์อีก แม่ง! น่าจะเชื่อคีนตั้งแต่แรก ไม่น่าเลยกู ฮือ กางเกงในก็ไม่เหลือจ้า

“เราเตือนแล้วก็ไม่เชื่อ” คีนมองผมด้วยสายตาหยอกเย้าทั้งยังกลั้นขำจนหน้าแดงหูแดงไปหมด คนไม่เคยอาบน้ำกระต่ายก็ไม่รู้หรือเปล่าล่ะ อายเว้ย อยากมุดหายลงในกระถางดอกกุหลาบห้องไอ้ปอมจริงๆ เลย

แต่คือมันเขี้ยวอยากขย้ำคีนมากแต่ทำได้แค่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเพราะตอนนี้เราทั้งคู่กำลังพยายามทำให้ขนไอ้ชมจันทร์แห้งอยู่ที่ระเบียงห้อง โว๊ย จะยาวและหนาอะไรขนาดนี้เนี่ย จับโกนให้เหลือแต่หนังเลยดีไหม

“ขอโทษครับ ~” ผมยอมง่ายๆ โดยไม่ต้องเถียงเพราะรู้ว่าตัวเองผิดจริง แต่เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้องระวังไดร์เป่าผมไม่ให้ใกล้ตัวชมจันทร์มากเกินไปเพราะมันร้อนเดี๋ยวคีนจะฟาดกบาลแยกที่กล้าทำร้ายน้องชายของเขา

“เชื่อฟังแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” อะ ชมแบบนี้ด้วยรอยยิ้มทะเล้นก็ได้ด้วยเหรอ จริงใจปะเนี่ย? คงต้องลองพิสูจน์

“มีรางวัลให้ปะ?” ผมแกล้งถามพลางปิดสวิตซ์ไดร์เป่าผมเพื่อแสดงให้เห็นว่าตั้งใจรอฟังคำตอบแบบจริงจัง ก็แบบว่า... หลังจากจุ๊บๆ กันไปวันนั้นก็ยังไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมเลย เรียกได้ว่าเพิ่งได้อยู่ใกล้กันจริงๆ ก็เวลานี้ล่ะ (ก่อนหน้าถูกขัดขวางด้วยฝีมือพี่ปิ๊งตลอด)

“ต้องมีของแลกเปลี่ยนตลอดเลยหรือไง?” อะ คำถามนี่จุกจนได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองคีนที่จ้องกันอย่างคาดคั้น ผมก็ไม่ได้ต้องการของรางวัลอะไรขนาดนั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเหมือนกันเพราะลึกๆ แล้วแค่อยากนัวเนียแฟน โวย เลิกคิดทะลึ่งสักวันสองวันไม่ได้เลยหนอกู

“ก็... นิดๆ หน่อยๆ เอง” ผมตอบเสียงเบาไม่ยอมสบตากับคีนเพราะอายที่คิดทะลึ่งแทบตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน บางทีอาจจะต้องไปหาหมอปรึกษาว่าตัวเองยังปกติหรือเปล่าสินะ

“คิดอะไรหื่นๆ อยู่ใช่ไหม?” คีนถามเสียงเข้มก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าไดร์เป่าไปจัดการซะเอง ผมสะดุ้งเฮือกรีบลนลานโบกมือปฏิเสธ ดวงตาเบิกโต ปากอ้าพะงาบๆ โอย บ้าไปแล้ว

“เฮ้ย เปล่านะ”

“หูแดงเหอะ” อะ โดนคีนดีดหูไปหนึ่งทีเลยรีบยกมือขึ้นปิดเพื่อทำลายหลักฐานชิ้นสำคัญ แม่ง คิดทะลึ่งทีไรไม่เคยซ่อนอาการได้เลยกู แย่ที่สุด

“อะ อากาศ ระ ร้อนไง” ยังมีหน้าไปโกหกเขาอีกหนอ เสียงสั่นขนาดเรียกสึนามิได้ใครเขาจะเชื่อเนี่ย!

“ไม่เห็นจะเกี่ยว”

“เชื่อเราเหอะ” นี่ถ้ากราบอ้อนวอนแทบเท้าได้คงทำไปแล้วไง โธ่ เชื่อหน่อยเหอะหลังจากนั้นก็เลิกทำหน้าตามู่ทู่ด้วย ไม่รู้หรือไงว่ามันน่าขย้ำแค่ไหน โว๊ย อดทนอดกลั้นไม่กระโจนเข้าหาจนบีบมือแน่นเลยจ้า

“ไม่เชื่อ” คีนส่ายหัวพรืดแถมยังยกเท้าหน้าของชมจันทร์ขึ้นมาโบกยืนยันอีกหนึ่งเสียง ผมกัดฟันกรอดพยายามควบคุมสติและอารมณ์แต่ดูเหมือนร่างกายจะทรยศไปซะหมด จะไม่ไหวแล้ว อยากแตะต้องเขาฉิบหาย ย้ำยีให้สาแก่ใจได้ไหมล่ะ!

“คีน...” มีแต่ลมออกจากปากผมเท่านั้นในขณะที่สติกระเจิงและร่างกายขยับเข้าไปประชิดกับคีนจนลืมว่าไอ้ชมจันทร์คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างเรา อึ๋ย จมูกสีชมพูที่ดุนดันต้นขาให้ความรู้สึกขนลุกชะมัด กูไม่น่าใส่กางเกงสั้นเล๊ย จะร้อง!

“กิมโกหกไม่เก่งแถมเก็บอาการไม่อยู่ขนาดนี้จะให้เชื่อได้ยังไงกัน?” คีนมองหน้าผมก่อนจะไล่สายตาลงต่ำจนหยุดอยู่ที่เป้า แม่งเอ๊ย ทำไมมันตุงเป็นลูกโป่งขนาดนั้น อยากหนีบขาปิดบังก็ติดที่ว่าชมจันทร์ปีนลงจากตักเจ้าของมานอนกองอยู่ตรงกลางนี่ดิ ส่วนมือเหรอ? อัมพาตแดกชั่วคราวขยับไปไหนไม่ได้เลยจ้า

“อ่า... งะ งั้นเดี๋ยวเราขอกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” ผมผุดลุกขึ้นทันทีแล้วรีบยกมือปิดตรงเป้าแต่กลับโดนรั้งไว้จนเผลอเหลือกตาโตมองคีนที่ส่ายหัวดิก นี่เขาจะปฏิเสธทำไมเนี่ย ผมกำลังพยายามทำตัวเป็นคนดีอยู่นะเว้ย รอแฟนพร้อมเนี่ย

“ไม่ให้ไป” พูดเสียงแข็งแถมยังมองผมด้วยสายตาจริงจังอีกด้วย เพราะแบบนี้ไงเลยต้องรีบหนี เนี่ย น้องชายมันตื่นมากกว่าเดิมอีก

“.....” ผมเงียบไม่พูดไม่จาเพราะกำลังใช้สมาธิในการควบคุมอารมณ์อย่างหนัก

“เดี๋ยวเราช่วย” เสียงคีนเริ่มสั่นแถมยังเบนหน้าหนีไปสนใจชมจันทร์ก่อนผละมือออกปล่อยให้ผมเป็นอิสระ เกือบจะโล่งใจแล้วเชียวถ้าไม่ติดตรงคำพูดและใบหูแดงๆ นั่น โว๊ย ไอ้คนขี้อ่อยเอ๊ย เดี๋ยวผมหยุดตัวเองไม่ได้จะทำยังไง

“ห๊ะ...” ผมร้องเสียงหลงก่อนเสียหลักถอยหลังไปพิงกับประตูกระจกด้านหลังเพราะขาอ่อน เอาจริงดิ ช่วยเรื่องอย่างว่าน่ะนะ แล้วคิดว่ามันจะหยุดแค่นั้นได้เหรอ? โวย กลุ้มใจจ้า

“ก็กิม ‘อยาก’ เพราะเราไม่ใช่เหรอ?”

อะ ยอมแพ้ครับ ถ้ามันเลยเถิดอย่ามาโทษกันทีหลังนะ ผมพยายามปฏิเสธอย่างเต็มที่แล้ว

“ก็มีคีนแค่คนเดียวนั่นล่ะที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้” ผมโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูอีกคนโดยไม่มีความเขินอายใดๆ หลงเหลืออยู่ ตอนนี้เรียกได้ว่าสติสัมปชัญญะเข้าขั้นติดลบ หน้ามืดพร้อมรุกคีนให้ยับกันไปข้างหนึ่ง ลองดูว่าความเป็นคนดีของผมจะเหนือกว่าความหื่นได้ไหม

“หื่นจริงๆ เลยแฟนผม” ไอ้ท่าทางขินจนหูแดงเมื่อครู่หายวับไปราวกับความฝันยามตื่น ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความเจ้าเล่ห์จนผมคืดอยากจะวิ่งกลับห้องเดี๋ยวนี้ หรือนี่คือแผนการเผด็จศึกให้ผมยอมเป็นเสียเขาวะ โอ๊ย ไม่เคยหื่นบนความเครียดมาก่อนเลย!

ไอ้สัด แค่ย้ายมานั่งบนเตียงก็ตื่นเต้นจนแทบเสร็จอยู่แล้วทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มแตะต้องกันด้วยซ้ำ คีนเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่เพราะเขาเอาแต่ก้มมองมือที่ประสานไว้บนตัก เริ่มไงดีวะ งุ่นง่านฉิบหายเลยตอนนี้

“เอ่อ...” เชี่ย ผมพูดได้แค่นั้นก็เผลอเม้มปากแน่นเก็บคำพูดต่อไปลงคอจนหมด คีนเริ่มมีปฏิกิริยาหันมามองกันด้วยใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย มือเรียวยื่นมาแตะบนต้นขาก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ เพียงแค่นี้ขนอ่อนในกายก็ลุกชันแล้ว

“ถอดกางเกงสิ ที่นอนเราเปียกหมดแล้ว” น้ำเสียงหยอกล้อทำให้ผมหนีบขามากขึ้น ก่อนหน้านี้สั่งให้ถอดเสื้อยังไม่รู้สึกรุนแรงอะไร แต่พอมันไล่มาถึงกางเกงแบบนี้... โอ้โห เด้งดึ๋งอย่างกับสปริง อายเว้ย ถึงจะเป็นแฟนก็เหอะ แล้วที่บอกว่าเปียกน่ะคือผลที่มาจากการอาบน้ำให้ชมจันทร์อย่าคิดลึกเป็นอย่างอื่นเชียว!

“เอาจริงเหรอคีน? เรากลัวมันจะเบรกไว้เท่าที่คิดไม่ไหว” เขาคิดว่าตัวเองไม่มีแรงดึงดูดหรือยังไงถึงได้มั่นใจนักว่าแค่ช่วยผมแล้วจบๆ ไป กลิ่นหอมจากร่างกายสมส่วน ผิวเนียนขาวน่าสัมผัส ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ขนาดนั้น ใครมันทนไหวก็บ้าแล้ว

“คิดไว้แค่ไหนล่ะ?” แหนะ ถามกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมยังโน้มใบหน้ากับเท้าแขนกักขังผมเอาไว้ อีกนิดเดียวก็เข้ามานั่งตักแล้ว โว๊ย อารมณ์แบบนี้ทำอะไรนิดหน่อยก็คิดไปไกลโพ้นแล้ว แม่ง ฟัดเลยไหม!

“เอ่อ... นะ น้องชายสงบก็จบ” เสียงที่หลุดออกไปเหมือนคนติดอ่างและขาดห้วง สายตาที่มองคีนก็สั่นไหวแถมยังแสดงความหื่นกระหายด้วยการแลบลิ้นเลียริมฝีปากแหกผาก รู้สึกอยากได้น้ำมาดับกระหาย ปลายจมูกของเราแตะกัน ลมหายใจอุ่นร้อนสลับแตะลงบนปลายคางจนรู้สึกวาบหวามไปทั้งร่างกาย โอย เหมือนจะสำเร็จความใคร่กลางอากาศแล้วจ้า

“มักน้อยจัง” ไอ้การยิ้มยั่วแถมยังขยับมาคลอเคลียรอมฝีปากแบบนี้ก็ตายสิครับ ตายแน่ๆ แข็งจนไม่รู้จะแข็งยังไงแล้ววุ้ย

“มะ หมายความว่ายังไง?” อะ ผมทนไม่ไหวจนมือไม้เริ่มเลื้อยไปสอดรอบเอวของคีนก่อนกระชับให้แน่นเพื่อที่เราจะได้ใกล้กันมากกว่าเดิม เขาไม่ได้ขัดขืนแถมยังเปิดช่องทางให้ดื่มด่ำกับซอกคอขาวเนียนได้อย่างเต็มที่ อ่า... หอมฉิบหาย ใจสั่นหมดแล้วเนี่ย

ผมแตะริมฝีปากไปตามลำคอขาวอย่างแผ่วเบาจนพอใจก่อนจะเริ่มขบเม้มดูดดุนจนขึ้นรอยสีกุหลาบพลางสูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคีนเข้าเต็มปอด สองแขนโอบกอดร่างกายสมส่วนลูบไล้แผ่นหลังกว้างผ่านเสื้อยืดสีขาวตัวบางชื้นเหงื่อ ในเวลานี้แม้แต่เครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถลดอุณหภูมิเร้าร้อนนี้ลงได้เลย

“เราเตรียมใจ อือ ไว้ตั้งแต่ตกลงคบกับกิมแล้วว่าเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น... ไม่ว่าอารมณ์จะพาไปไกลแค่ไหนก็ปล่อยมันไป ตกลงไหม?” คีนผละออกห่างก่อนจะใช้มือประคองใบหน้าของผมเอาไว้พลางจ้องตาอย่างจริงจัง ไอ้ความหื่นเมื่อครู่เบาบางลงนิดหน่อย อะ ฟังเขาหน่อยก่อนจะได้ยินแต่เสียงคราง... ของผมเองน่ะนะ

“ไม่เครียดอะไรเลยเหรอ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่สูงกว่าปกติเพราะกำลังอึ้งในความคิดของคีน เขาดูสบายๆ กับเรื่องนี้ยิ่งกว่าคนหื่นจัดซะอีก โหย โคตรเป็นคนดี เป็นแฟนที่เข้าใจกันสุดๆ

“ไม่เครียดเพราะเราจะรุก” คีนพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะพี้อมกับยกมือขึ้นตบแก้มกันด้วยท่าทางที่เหนือกว่า คราวนี้ผมอ้าปากหวอตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ความหื่นหดจนเหลือเท่าปลายนิ้วก้อย แขนขาอ่อนเปลี้ยจนล้มลงนอนหงายท้องมองเพดาน สรุปว่าสุดท้ายผมก็ต้องเป็นเมียเขาเหรอ จริงดิ? ยังไม่ทันเตรียมใจเลย หนีกลับห้องทั้งๆ ที่ซิปกางเกงถูกรูดลงไปครึ่งหนึ่งแล้วได้ไหมล่ะ แง๊!

“ล้อเล่นน่า ใครดีใครได้แล้วกัน”

เขาว่าไงเราก็ว่างั้น มา!

สัมผัสชวนวาบหวามเกิดขึ้นระหว่างเราหลายครั้งตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการจูบดูดดื่มยิ่งกว่าครั้งก่อน เรียวลิ้นชื้นไล่ต้อนตวัดเกี่ยวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สองมือสอดใส่ลูบไล้เข้าใต้เสื้อยืดสีขาว ปลายนิ้วบดคลึงยอดอกสีหวานจนแข็งขืนและมันทำให้เกิดเสียงครางอื้ออึงจากคนถูกกระทำ บรรยากาศรอบตัวร้อนระอุเหมือนเราทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงอเวจีสีชมพู

คีนหอบหายใจถี่ในขณะที่แผ่นหลังสัมผัสกับความนุ่มของที่นอน ใบหน้าหล่อเหลาเปียกชื้นหยาดเหงื่อแต่ไม่ได้ลดความดูดีลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งริมฝีปากได้รูปเผยออกคล้ายเชิญชวนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมอยากขยี้เขาจนแหลกคามือ เมื่อลองแตะต้องยอดอกสีหวานในเวลาที่มันเป็นอิสระจากการปกปิดของเสื้อผ้าแล้วนั้นช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียเคล้าคลอเปลี่ยนสลับดูดดุนอย่างหื่นกระหาย คนใต้ร่างบิดกายเร่าพร้อมทั้งจิกนิ้วลงบนแผ่นหลังของผมเพื่อระบายความเสียวซ่าน อ่า ดีมาก ดีจนใกล้ขาดใจตายแล้ว

ซอกคอขาวยามนี้แต่งแต้มไปด้วยรอยรักสีกุหลาบบ่งบอกถึงการถูกครอบครองและโดนแสดงความเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ คีนขยับร่างกายปกปิดทุกส่วนเมื่อเสื้อผ้าหลุดออกจากร่างกายทีละชิ้นจนเปลือยเปล่าเท่าเทียมกับผม ภาพตรงหน้ามันช่างสวยงามจนอยากหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพ แต่ของแบบนี้ขอบันทึกด้วยความทรงจำดีกว่าเยอะ

“คีน... เราหยุดไม่ได้แล้วนะ” ผมแนบลำตัวชิดคนใต้ร่างเพื่อกระซิบบอกความต้องการหลังจากนี้ ความอึดอัดอยากระบายทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราต่างสัมผัสซึ่งกันและกัน คีนหลุบสายตาแต่พยักหน้ารับโดยไม่ขัดขืน ก็เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจและนำพาเราทั้งสองมาถึงจุดนี้ด้วยตัวเอง อ่า แต่ถ้าอยากถอยเพื่อตั้งหลักผมก็เข้าใจนะ

“อื้อ... เราก็คงไม่ขอให้กิมหยุดหรอก” เสียงอ้อมแอ้มยิ่งทำให้คีนน่าฟัดขึ้นอีกเป็นกอง ตอนนี้ลืมความหล่ออลังการของอดีตเดือนคณะไปได้เลยเพราะเหลือแค่แฟนที่ทำหน้าเชิญชวนให้สานต่อความสัมพันธ์ของเราเท่านั้น

“ถ้าเจ็บก็บอกเรานะ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนโน้มตัวลงเพื่อกดจูบบนหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม แล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสด้วยความเอ็นดูและรักสุดหัวใจ สัญญาว่าจะเบามือที่สุด

“อื้ม รีบๆ เถอะ เริ่มหนาวแล้ว” คีนยกมือขึ้นดึงแก้มของผมอย่างหยอกล้อก่อนจะดันตัวขึ้นมาขโมยจูบไปหนึ่งครั้ง โธ่ เพราะทำตัวแบบนี้ไงเลยหลงจนโงหัวไม่ได้ขนาดนี้

“หึหึ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเราทำให้คีนร้อนจนทนไม่ไหวเอง”

ผมน่าจะเป็นฝ่ายร้อนจนทนไม่ไหวซะเองเพราะระหว่างที่ผมกำลังเตรียมความพร้อมช่องทางด้วยนิ้วนั้นอยู่ๆ คีนก็พลิกตัวขึ้นไปอยู่ด้านบนจนผมแทบแหกปากเนื่องจากคิดว่าตัวเองจะโดนเสียบคืน แต่เปล่า... เขาแค่ต้องการเป็นฝ่ายนำก็เท่านั้น (สงสัยเผลอไปอ่านบทความการมีอะไรกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายแน่ๆ ก็เขาบอกไว้ว่าฝ่ายรับอยู่ด้านบนจะเจ็บน้อยกว่านอนให้อีกคนกระทำ)

“เราได้อยู่บนแล้วนะ” เสียงของความภาคภูมิใจที่เต็มไปด้วยความเขินนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ คีนเบ้ปากใส่กันก่อนจะจิ้มนิ้วลงบนอกเหมือนต้องการทำโทษที่เผลอไปเยาะเย้ยเขา

“ไม่กลัวเราหัวใจวายบ้างเหรอ? เห็นทุกอย่างชัดขนาดนี้” ผมหยอกด้วยการใช้สายตามองร่างกายนวลเนียนตั้งแต่ใบหน้ายันเรียวขาขาวๆ ที่บัดนี้กำลังคร่อมกายกันอยู่ อืม เป็นภาพที่ควรเมมฯ ไว้ในสมองที่สุด

“ใครบอก เราจะเอาผ้ามาปิดตากิมต่างหาก” แล้วคีนก็คว้าผ้าผืนเล็กที่คล้ายกับอันที่ใช้กับชมจันทร์ขึ้นมาแกว่งตรงหน้า รอยยิ้มหวานประดับอยู่ที่มุมปากให้ความรู้สึกโคตรเจ้าเล่ห์



ต่อด้านล่างนะ


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“เฮ้ย... ไม่เอาแบบนั้นดิ” ผมรีบร้องปฏิเสธพยายามเอื้อมจับผ้าขนหนูนั่นหลายรอบแต่พอโดนคีนถูไถแกนกลางที่อยู่ภายใต้บันท้ายอุ่นๆ ก็แทบเผลอกันลิ้นตาย ไอ้ฉิบหาย ระทวยไปทั้งร่าง

“ถ้าขัดขืนเราหยุดแค่นี้”

โธ่ ไม่มีแรงจะต่อต้านแล้วจ้า ยกมือสองข้างยอมแพ้เลย

“ปะ ปิดตาก็ได้จ้า” เนี่ย ความหื่นไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

“เด็กดี” คำชมมาพร้อมกับความมืดและสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะแต้มลงบนริมฝีปากของผม ทุกอย่างกำลังดำเนินไปโดยที่ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าคีนทำอะไรและแสดงสีหน้าอย่างไรอยู่

นานนับนาทีที่ผมนอนตัวแข็งทื่อเพราะโดนสัมผัสด้วยความเปียกชื้นตรงยอดอก สองแขนถูกบังคับกดราบลงบนที่นอนไม่ให้ขัดขืนหรือตอบโต้ใดๆ ตอนนี้ขอยอมรับแบบหน้าไม่อายเลยว่าการที่เรามองไม่เห็นการกระทำของอีกคนคือโคตรลุ้นและโคตรเสียวในเวลาเดียวกัน ชักติดใจแล้วสิ

“คีน... อึก” ผมร้องเรียกชื่อคนบนร่างที่อยู่ๆ ก็มอบความอุ่นร้อนให้กับท่อนเนื้อแข็งขืน ไร้เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดแต่ทว่าคีนกลับระบายมันด้วยการจิกเล็บลงบนหน้าอก เขาแน่นิ่งไปแค่อึดใจก่อนที่ร่างกายจะถูกขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ โอย โคตรเสียว

“ดีไหม... กิม?” เสียงของคีนขาดห้วงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่กำลังทะยานสูงขึ้นตามจังหวะขยับตัวขึ้นลง ผมครางรับในลำคอเพราะไม่สามารถเอ่ยประโยคยาวๆ ได้เมื่อความวาบหวามแล่นพล่านไปทุกโสตประสาทสัมผัส อ่า... สวรรค์อยู่แค่เอื้อม อีกนิดเดียวเท่านั้น

“โคตร... ดีเลยครับคีน อ่า” เสียงของผมสั่นเพราะแรงกระแทกบั้นท้ายของคีน ข้อมือที่โดนกดราบกับเตียงบัดนี้ก็คงยังอยู่ตำแหน่งเดิม สภาพเหมือนกูโดนข่มขืนทั้งๆ ที่จริงแล้วนั้นกำลังโดนแฟนปรนเปรอมอบความสุขให้อย่างหนักหน่วง

“อืม อึก ชะ ชอบใช่ไหม?” คีนผ่อนจังหวะการขยับตัวแต่ช่องทางอุ่นร้อนกับตอดรัดท่อนเนื้อแข็งขืนไม่หยุดหย่อน ผมแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว ต้องขบกรามอดกลั้นไม่ให้ปลดปล่อยตอนที่ยังอยู่ในตัวของเขาเพราะกลัวว่าความสุขมันจะล้นทะลักออกมานอกถุงยางอนามัย

“มาก”

“อะ อา... ต่อจากนี้ก็รักเราให้ อึก มากๆ ล่ะ”

“ซี๊ด แน่นอนครับ”

ขนาดนี้ไม่รักก็บ้าแล้ว

ครั้งแรกของเราผ่านไปด้วยดีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะ ‘กอด’ กันแค่รอบเดียวเนื่องจากความหื่นของผมยังตกค้างจนต้องรีดออกให้เกลี้ยงในยกที่สอง คราวนี้คีนทำเพียงแค่นอนสบายๆ เป็นฝ่ายถูกกระทำถึงขั้นหมดแรงและหลับไปในที่สุด กว่าจะตื่นขึ้นมากินข้าวมื้อเที่ยงควบเย็นก็เกือบสามทุ่ม... เออว่ะ ถือเป็นการลดน้ำหนักไปในตัวแล้วกันเนอะ

แสงอาทิตย์แรกของวันปลุกทุกสรรพสิ่งบนโลกให้ตื่นขึ้นเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ของวันนี้ หูของผมได้ยินเสียงคีนเดินไปเดินมาในห้องแต่ไม่สามารถลืมตาได้เพราะรู้สึกหนักหัว ลำคอแห้งผากและตัวร้อนราวกับไฟอาการเหมือนคนเป็นไข้ แม่ง คือตามพล็อตละครหรือนิยายคนป่วยหลังจากมีอะไรกันต้องเป็นฝ่ายรับไม่ใช่เหรอวะ โอ๊ย ทำไมกลับตาลปัตรแบบนี้

“เช็ดตัวหน่อยนะ” ที่นอนยวบลงพร้อมกับเสียงของคีนที่ดังอยู่ไม่ไกลทำให้ผมเริ่มขยับตัวปัดป่ายหาเขา อยู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนแออยากกอดอยากอ้อน

“คีน...” ผมร้องเรียกเมื่อควานมือออกไปแล้วยังหาตัวคีนไม่เจอ เดาว่าคงนั่งอยู่อีกฝั่งของเตียง แค่ออกแรงนิดหน่อยยังรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้สงสัยจะอาการหนัก โอย เบื่อๆๆ

“ถอดเสื้อนะ” คีนแตะมือลงบนแก้มของผมคล้ายกับเป็นสัญญาณบอกว่ากำลังจะลงมือถอดเสื้อแล้วนะ แต่อากาศหนาวๆ แบบนี้อยากได้ความอบอุ่นมากกว่า

“มันหนาว...” ผมพึมพำเสียงแหบก่อนจะคว้ามือคีนมาแนบไว้ตรงลำคอ อืม... ง่วงจัง นอนต่อเลยได้ไหม

“ก็กิมไม่สบายนี่ เพราะใส่เสื้อผ้าเปียกๆ นานไปแน่เลย” เสียงที่ใช้ให้ความรู้สึกดุแต่ก็แฝงความนุ่มนวลอยู่ไม่น้อย เนี่ย พยายามลืมตาเพื่อดูว่าเขาแสดงสีหน้ายังไงก็ทำไม่ได้สักที แม่งเอ๊ย ปวดหัวชะมัด

“ขะ ขอโทษ” ขอโทษที่ไม่ยอมเชื่อฟังและขอโทษที่ไม่ได้ดูแลคีนอย่างที่ควรจะเป็น

“ไม่ต้องขอโทษหรอก คนจะป่วยใครห้ามได้ล่ะ”

นั่นสินะ เหตุสุวิสัยจริงๆ

“อือ”

“เดี๋ยวเราเรียกพี่ซันมาดูอาการให้เนอะ”

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินชื่อใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยดีในช่วงหลังมานี้ พี่ซันเป็นหมออันนั้นพอเข้าใจได้ แต่การที่ให้เขามาดูอาการถึงคอนโดไม่เท่ากับว่าพี่ปิ๊งต้องติดสอยห้อยตามมาด้วยเหรอ? โอย รู้สึกเพลียกายเพลียใจแปลกๆ เธอจะรู้เรื่องที่ผมกับคีน... เอ่อ ช่างแม่งเถอะ ปวดหัวจะตายแล้ว ขอนอนพักก่อน ตื่นเมื่อไหร่ค่อยว่ากันเนอะ


----------------------------------------

หูย เขาได้เสียกันแล้วอะ ควรหมั่นไส้ดีปะ? 55555

อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วน้า ฝากติดตามนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยเนอะ ♥

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คีนเราจะร้้อนไปไหนลูกรึเห็นนังกิมมันกากเลยจัดให้เลย :z1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยยย กิมจะมาป่วยแบบนี้ไม่ได้
มันใช่ไหม คนรับต้องป่วยก่อนสิ ไหงเป็นงั้น
คีนก็ต้องตื่นมาเฝ้าจ้า เคะขั้นเทพอีกละ 5555

เอ็นดูกิมหนักมากเลยนะคีน ยั่วตลอด
ทำคีนเตลิดตลอด แต่รอบนี้ไม่จากไปนะคะ

โว้ยยย ปอมก็บ้าบอ สมควรแล้ว โดนต่อยตาเลย
อยากให้คู่นี้เจอกันต่อหน้าคนอื่นหลังจากไปง้อมาแล้วค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2018 21:13:59 โดย labelle »

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อ่านไปอ่านมาอยากให้คีนรุก 5555555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 23


เสียงโหวกเหวกของใครบางคนดังเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้จนทำลายการผักผ่อนของคนป่วยจนหมดสิ้น ผมย่นหัวคิ้วและพยายามลืมตามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแต่กลับโดนฝ่ามืออุ่นทาบทับลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยนบังคับให้นอนอยู่กับที่ก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่สอดเข้ามาใต้ลิ้น อ่า พี่ซันกำลังวัดไข้ให้ผมสินะ

“โห สามสิบเก้าองศาเชียว” พี่ซันพึมพำอยู่ใกล้ๆ แต่ผมแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะด้านนอกคล้ายเกิดสงครามรบขนาดย่อม เสียงผู้หญิงที่น่าจะเป็นพี่ปิ๊งโวยวายลั่นสลับกับเสียงคีนที่คอยห้ามปรามอะไรบางอย่าง เหตุการณ์คงวุ่นวายน่าดู ส่วนคุณหมอก็ใจเย็นวัดไข้ผมได้หน้าตาเฉย คงชินกับนิสัยแฟนแล้วมั้ง

“พี่...” ผมพยายามเปล่งเสียงเรียกพร้อมกับฝืนลืมตา แสงแดดยามสายทำให้ภาพที่มองพร่าเบลอไปชั่วขณะก่อนจะค่อยๆ ชัดขึ้นจนเห็นพี่ซันนั่งอยู่บนเตียงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกับกล่องอุปกรณ์ตรวจ สภาพเหมือนเด็กขโมยของพ่อมาเล่นอะ

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ คอแห้งไหม?” พี่ซันชะงักมือที่กำลังเก็บอุปกรณ์ตรวจแล้วหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสมกับเป็นหมอเด็กแต่หน้าตาเขากลับเหมือนพี่เซียนแทบทุกกระเบียดนิ้วเลยทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก็ผมหักอกน้องชายเขานี่เนอะ จะให้วางใจสนิทสนมในทันทีคงไม่ได้

“อือ” ผมครางรับก่อนจะหาวหวอด ลมร้อนๆ ที่ออกมาจากปากบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้มีไข้ปานกลางจนเกือบสูงแถมยังปวดเมื่อยเนื้อตัวไม่อยากลุกไปไหนอีกต่างหาก โอย แย่มาก แล้วไอ้เสียงโวยวายข้างนอกเมื่อไหร่จะเงียบสักทีหนอ ฮือ

“อะ น้ำ” พี่ซันยื่นแก้วน้ำมาให้ ผมพยายามดันตัวลุกขึ้นก่อนจะงับปากลงบนหลอดดูดโดยมีสายตาของพี่ซันมองอยู่ตลอดเวลา รู้สึกเขินแปลกๆ ว่ะ

“หักโหมจนไม่สบายเลยนะเรา” เขาพูดในขณะที่ผมปล่อยหลอดออกจากปาก คำว่าหักโหมทำให้ดวงตามั้งสองข้างเบิกกว้างเพราะเผลอคิดไปถึงเรื่องเมื่อวาน ครั้งแรกก็จัดหนักจัดเต็มจนสลบทั้งคู่ แม่ง แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่ผมป่วยสักหน่อย

“ครับ?” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าหักโหมของพี่ซันความหมายคืออะไรกันแน่ ซึ่งก็ได้แต่หวังในใจลึกๆ ว่าคงไม่ตรงกับที่คิดไว้ ในขณะที่รอคำตอบเสียงทางด้านนอกก็เงียบลงเหมือนมีใครมากดปิดสวิตซ์ ระหว่างพี่ปิ๊งกับคีนคงเคลียร์กันได้แล้วมั้ง

“ก็... เรากับคีน จึกๆ กันแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่ซันทำท่าประกอบคำพูดโดยการเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มกันจึ๋งๆ แถมยังยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยจนผมรู้สึกว่าไข้จะขึ้นสูงมากกว่าเก่าเพราะตอนนี้ตัวร้อนหน้าร้อนจัด ได้แต่เบนหน้าหนีก่อนไถลลงไปใต้ผ้าห่มเหมือนเดิม โว๊ย ใครก็ได้มาลากหมออกไปจากห้องที ขอคืนคำชมเรื่องเขาเป็นคนอ่อนโยนด้วย

“อ่า...” ผมอ้าปากหุบปากเหมือนปลาทองหายใจเพราะพูดอะไรไม่ออก เหลือบสายตามองพี่ซันที่ยังไม่เลิกยิ้มสักทีก็ได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นปิดถึงใต้ตา แซวผ่านการแสดงออกทางใบหน้ามันยิ่งเขินหนักกว่าพูดออกมาเป็นคำซะอีก แม่ง เขามารักษาหรือจะทำให้ป่วยหนักกว่าเดิมวะ

“ปิ๊งโมโหใหญ่เลย” คำพูดทีเล่นทีจริงของพี่ซันทำให้ผมหายใจติดขัด พอเหลือบมองไปที่ประตูห้องก็ได้แต่ภาวนาว่าคีนจะรอดปลอดภัยจากเรื่องราวพวกนี้ ผมเป็นคนผิดเองแท้ๆ แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย โคตรรู้สึกแย่ว่ะ เฮ้อ ถ้าไม่ติดว่าเห็นเพดานหมุนคงลากสังขารไปไกล่เกลี่ยด้วยตัวเองแล้ว

“ผม... ขะ ขอโทษ” เสียงสั่นได้อีกครับ

“เฮ้ย มันเรื่องธรรมชาติน่า ปิ๊งเขาก็โวยวายไปงั้นล่ะ เชื่อพี่” พี่ซันตบไหล่ผมปุๆ เพื่อเป็นการปลอบใจแต่เขาคงออกแรงมากไปหน่อยเลยรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งตัว หรืออีกอย่างคงเป็นเพราะพิษไข้ล่ะมั้ง

“แต่ผมอยากออกไป...” อะ พยายามยันตัวลุกขึ้นแต่กลับต้องหงายลงนอนที่เดิมเพราะโดยนิ้วชี้พี่ซันกดลงบนหน้าผาก แม่ง มันรู้สึกหนักจริงๆ นะ ไม่เชื่อลองให้ใครสักคนทำแบบนั้นกับตัวเองดูสิ

“นอนเหอะ ให้พี่น้องเขาเคลียร์กัน เราน่ะไม่สบายอยู่ จะเอาแรงที่ไหนไปสู้ปิ๊งกันล่ะ?”

โอ้โห พูดอย่างกับแฟนตัวเองร้ายกาจเหมือนนางยักษ์อย่างนั้นล่ะ แต่อาจจะจริงก็ได้ในเมื่อเธอโวยวายเสียงดังลั่นห้องขนาดนั้น นี่ดีแค่ไหนที่ไม่มีใครมาเคาะประตูด่า

“แต่...” คือได้น้องชายเขาแล้วไง จะให้ไร้ความรับผิดชอบแบบนี้มันก็ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย ผมต้องแสดงตัวว่าสามารถดูแลคีนได้สิ ถึงจะป่วยมันก็ต้องพยายามไม่ใช่เหรอ

“คีนจัดการได้ ไม่เชื่อใจหรือไง?” แต่ผมกลับโดนพี่ซันยิงคำถามนี้ใส่พร้อมทำหน้าตาจริงจัง ไอ้อาการโทษตัวเองเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป สิ่งที่เขาต้องการสื่อคงเป็นเรื่องความรับผิดชอบของคนทั้งคู่ในเมื่อเป็นผู้ชายเหมือนกันและสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้ ไม่ต้องมีฝ่ายไหนพยายามทำตัวเข้มแข็งกว่า ใครพร้อมก็เป็นคนจัดการปัญหาก่อนด้วยตัวเอง

“ถ้าพี่ปิ๊งจะฆ่าผม แค่กๆ พี่ซันช่วยผมด้วยนะ” ผมพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเรากระอักกระอ่วนมากเกินไป พี่ซันไม่ตอบโต้แต่กลับส่ายหัวปฏิเสธช้าๆ สีหน้าเริ่มเข้มขึ้นจากตอนแรก คือมาจริงจังอะไรวะ

“พี่จะช่วยเราก็ต่อเมื่อยอมเป็นแฟนกับเซียน”

ไอ้พี่ซัน มึงไปไกลๆ กูเลยนะ!

“แค่กๆๆๆ” ผมสำลักน้ำลายไอโขลกไม่หยุดหย่อนด้วยความตกใจจนพี่ซันต้องช่วยพยุงแล้วลูบหลังให้เหมือนตอนช่วยเด็กๆ ที่จริงอยากจะลุกมาชี้หน้าด่ามากกว่าไง ใครจะไปยอมเป็นแฟนพี่เซียนวะ ขนลุกตายห่า!

“เฮ้ย พี่ล้อเล่น ทำไมต้องไอด้วยวะ เอาหน้ากากไปใส่เลยไป” อะ ปลอบกันไม่ถึงไหนก็หันไปหยิบหน้ากากอนามัยมาปาใส่หัวแถมยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจปฏิกิริยาที่ผมแสดงออกอีกด้วย แม่ง ทำไมมีแต่คนขี้แกล้งอยู่รอบตัววะ นี่ป่วยนะเว้ย ช่วยอ่อนโยนด้วยหน่อย ฮือ งอแง จะเอาคีนคนเดียว!

ทะเลาะกับพี่ซันจบก็โดนบังคับให้กินยาแล้วนอนพักผ่อนต่อแต่ผมกลับดื้อดึงอ้อนวอนว่าอยากออกไปนอกห้องเพราะอากาศข้างในอุดอู้เลยถูกคุณหมอสวดยับจนขี้หูแทบเต้นระบำได้ สุดท้ายเลยต้องยอมแพ้หลับตาเข้าสู่นิทราจนได้

กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่โดนอะไรเย็นๆ ทาบลงบนหน้าผากค่อยๆ ไล้ลงมาที่ลำคออย่างแผ่วเบา ผมพยายามปรือตาขึ้นมองคนที่กำลังดูแลกันแต่กลับโดนนิ้วอุ่นจิ้มลงมาบนปลายจมูกก่อนจะโดนจับโยกไปมา โธ่ ไม่ใช่ของเล่นนะครับคีน

“เมื่อไหร่จะหายป่วยสักทีหืม?” คีนเคาะนิ้วลงบนปลายจมูกของผมสองสามครั้งก่อนจะเริ่มขยับผ้ามาเช็ดบริเวณแขนไล่ไปจนถึงหน้าท้องที่โดนถลกเสื้อขึ้นถึงหน้าอก เผลอมองการกระทำของเขาเพลินจนลืมตอบคำถามเลยโดยหยิกหัวนมไปหนึ่งที โอย เจ็บฉิบหาย

“หยิ่งเหรอไง? ถามไม่ตอบเนี่ย” อะ ดีดหัวนมอี๊ก เจ็บครับ โธ่ ตอบช้านิดหน่อยต้องทำโทษด้วยเหรอ ถ้าไม่ติดว่าป่วยจะจับคีนกดให้ช้ำเลย

“เปล่าครับ แค่มองอะไรเพลินๆ น่ะ”

“มองเราด้วยตาเยิ้มๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก”

“หือ?” ผมครางในลำคอพลางขมวดคิ้วมองคีนด้วยความสงสัย คือไม่ได้มีอารมณ์แต่ที่ตาเยิ้มเพราะพิษไข้ครับคุณ ตอนนี้คึกคักไม่ไหวหรอก ปวดตัวจะตายอยู่แล้ว แค่ขยับปากคุยยังลำบากเลย เจ็บคอ แค่กๆ

“กิมตอนนี้โคตรน่ารังแกเลย” อะ มีความมันเขี้ยวไปอีกเพราะคีนเอื้อมมือมาดึงแก้มผมจนยืด โห เห็นคนป่วยเป็นของเล่นเหรอแฟน

“แค่กๆ จะทำอะไรเรา?” ผมถามก่อนจะไอออกมาอีกครั้งจนคีนต้องหยิบหน้ากากอนามัยชิ้นใหม่ส่งให้ใส่ ป้องกันไว้ดีกว่าต้องมานั่งรักษากันภายหลัง ผมจัดการสวมมันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขามองกันด้วยสายตาแวววาว

“ก็... ให้เรา ‘กอด’ คืนสักทีดีไหม? เพื่อจะหายไวขึ้นไง”

โว๊ย สำลักน้ำลายตายไปเลยดีไหมเนี่ย ไม่เอ๊า!

“โอย ดะ เดี๋ยวก็หายแล้ว แค่นี้สบาย แค่ก มาก!” ผมรีบปฏิเสธจนลิ้นแทบพันกัน มือไม้โบกไปมาตรงหน้าด้วยท่าทางตื่นกลัว แค่คิดก็เสียงสันหลังวาบแล้ว ถ้าโดนกอดจริงๆ จะมีสภาพเป็นแบบไหนวะ แต่ตอนที่คีนรับอารมณ์ผมล่ะ... เจ็บมากไหมนะ

“หึหึ รีบปฏิเสธเชียวนะ” คีนหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะใช้มือบีบจมูกของผมส่ายไปมา ดูก็รู้ว่าหมั่นไส้กันแรงมาก โธ่... ก็อยากให้ตำแหน่งมันชัดเจนไง ไม่ต้องสลับกันให้เหนื่อยงี้ (ใช่เหรอ?)

“แหะๆ หิวจัง” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องก่อนจะถือวิสาสะวางศีรษะลงบนต้นขาขาวๆ ของคีน แอบสูดหายใจเอากลิ่นหอมเฉพาะตัวเข้าปอดไปด้วย อืม เหมือนจะรู้สึกเคลิ้มอีกแล้วสิ แต่ข้าวเที่ยงก็อยากกินไง ลำบากใจจัง

“อื้ม ลุกไหวปะ?” คีนยืดตัวไปด้านข้างเพื่อวางผ้าขนหนุเปียกไว้บนขอบกะละมังก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมหลับตาลงประเมินสภาพร่างกายตัวเองครู่หนึ่ง หัวปวดน้อยลง เพดานห้องไม่หมุนแล้ว ลุกขึ้นเดินไปมาคงไม่ตายหรอกมั้ง

“คิดว่าไหวนะ” ผมตอบคำถามพร้อมกับลืมตามองคีนที่ยังไม่ขยับห่างไปไหน เขาพยักหน้ารับก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา โอย รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้นเพราะความอ่อนโยนอะ แพ้แฟนโหมดอบอุ่นชะมัด

“งั้นเดี๋ยวออกไปข้างนอกกัน”

“หืม จะไปไหน?”

“บ้านเรา”

“ห๊ะ?”

“แม่เรียกคุยน่ะ”

“เดี๋ยว...”

“พี่ปิ๊งโทรบอกแม่เรื่องเรากับกิมเรียบร้อยแล้ว”

“.....” รู้ซึ้งถึงคำว่าใบ้แดกก็วันนี้ล่ะ คือไม่เคยคิดว่าพี่ปิ๊งจะบอกเรื่องเราสองคนกับคุณป้าจริงๆ แบบนี้ เชื่อมาตลอดว่าเธอก็แค่ขู่เพราะอยากให้ไปดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนซะอีก แต่ถ้าคิดเยอะขึ้นอีกหน่อยจะพบว่าเหตุผลที่แท้จริงมาจากความสัมพันธ์ที่ขยับขึ้นอีกขั้นต่างหาก ลึกซึ้ง จริงจังกว่าในตอนแรกคบ คงถึงเวลาแล้วที่ต้องทำอะไรๆ ให้ชัดเจน

“สู้ไหม?” คีนถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมรู้สึกแกร็งไปทั้งตัว ไอ้สู้น่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันเร็วเกินไปจนไม่ได้เตรียมการอะไรเลยนี่สิ ถ้าคุณป้ารู้แม่ผมก็รู้ไง คราวนี้ยับเยินกันทั้งสองฝ่ายแน่ๆ จะมีปัญหาลูกเขยกับแม่ยายปะเนี่ย เครียดเว้ย

“ยังไม่ทันเตรียมใจเลยว่ะ แค่กๆ แต่เราสู้เต็มที่” ผมทำท่ามุ่งมั่นจนคีนหลุดหัวเราะจนตัวงอลงมานอนข้างๆ กัน ดวงตารีฉายแววขี้เล่นทำให้ผมแอบหวั่นใจว่าจะโดนแกล้งอะไรอีก คือคนป่วยมันตอบโต้ไม่ได้ไงโว๊ย หายเมื่อไหร่ทบต้นทบดอกแน่ จำไว้!

“ทำตัวน่ารังแกอีกแล้ว จับฟัดสักทีดีปะเนี่ย?” คีนขยับตัวขึ้นคร่อมกันอย่างรวดเร็วแถมยังโน้มหน้าลงมาจนปลายจมูกสัมผัสข้างแก้ม ลมหายใจของผมสะดุดกึก ดวงตาคมเบิกโตด้วยความตกใจ สถานการณ์แบบนี้โคตรน่ากลัวเพราะไม่มีแรงโต้ตอบกลับนี่ล่ะ โวย ไม่แกล้งกันแบบนี้สิแฟน ถ้าช็อกตายใครจะรับผิดชอบเนี่ย

“อย่าเลย ระ เราไม่สบายอยู่ เดี๋ยวคีนติดหวัดนะ” ผมยกมือสั่นๆ ขึ้นแตะหน้าอกของคีนก่อนพยายามออกแรงผลักเขา เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสดใสร่าเริง รอยยิ้มทะเล้นผุดขึ้นตรงมุมปาก โธ่ ไอ้คนขี้แกล้งเอ๊ย มีความสุขมากสินะ มันเขี้ยว!

“กลัวโดนกดคืนก็บอกมาเหอะ” แหนะ ยังไม่เลิกแซวกันอีกเหรอ ก๋ากั๋นจังวะคนเรา

“รู้ทันตลอดเลยคนนี้” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนเอื้อมมือไปบีบจมูกได้รูปของเขาโยกไปมาด้วยความมันเขี้ยว คีนไม่ได้แสดงอาการรำคาญยิ่งไปกว่านั้นคือการยิ้มทะเล้นกวนอารมณ์กันนี่ล่ะ ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ แต่ก่อนไม่เคยเจ้าเล่ห์ขนาดนี้สักหน่อย

“นี่ใครครับ แฟนกิมทั้งคนเชียวนะ” อะ ใส่มาขนาดนี้จะให้ผมรู้สึกอะไรนอกจากเขินจนต้องเม้มปากกลั้นยิ้ม ใครที่ไหนเขาสอนให้อ่อยในขณะที่ตัวเองคร่อมคนอื่นอยู่แบบนี้ล่ะครับคุณ ถ้าผมสบายดีคงกดจับคาเตียงไปแล้ว

“อื้ม แฟนเราเอง รักมากด้วยนะ” ผมคลี่ยิ้มหวานใส่คีนในขณะที่เจ้าตัวมีท่าทางอึกอักไม่กล้าสบตาทั้งยังรีบลนลานขยับหนีออกจากเตียง ท่าทางแบบนี้ไม่ต้องคิดให้เหนื่อยก็รู้ว่าเขากำลังเขินแถมมีหลักฐานมัดแน่นหนาด้วยหูและแก้มที่แดงเถือก เนี่ย คนน่ารักมันคือนายคนินท์ต่างหาก

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป เดี๋ยวเรารอข้างนอก” แหนะ พอสู้ไม่ได้ก็ไล่คนอื่นเขาแบบนั้น หึหึ ผมนี่ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว อยากหายป่วยไวๆ จัง

“เดี๋ยวครับ” ผมรีบรั้งคนที่กำลังก้าวขาออกจากห้องแล้วเดินไปแตะลาดไหล่กว้างเอาไว้ คีนเหลียวหลังมองพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรด้วยใบหน้าที่ยังติดริ้วสีแดงแห่งความเขิน โธ่... รักเขาจัง

“หืม?”

“เอ่อ... เจ็บมากหรือเปล่า?” ผมหลุบตามองต่ำตรงตำแหน่งนั้นเพื่อสื่อความหมายแต่กลับโดนคีนทุบเข้ากลางหัวเต็มๆ จนตกยกมือขึ้นลูบบรรเทาความเจ็บ ใบหน้าหล่อมีริ้วสีแดงเพิ่มมากกว่าเก่า เขาแค่เขินไม่ได้โกรธใช่ไหมนะ กลัวใจฉิบหาย คือไม่ได้ดูแลหลังจากเสร็จกิจกรรมด้วยไง...

“เจ็บสิ ครั้งแรกนะเว้ย” คีนโวยวายเสียงเขียวแต่ใบหน้ากลับแสดงความเขินออกมาอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่โกรธเราเว้ย แต่ยังไงก็รู้สึกผิดอยู่ดีที่ทำให้เจ็บ อ่า สงสัยความหื่นบังตาไปหน่อย

“เราขอโทษ” เพราะสำนึกผิดเลยพูดไม่ใช่ว่าต้องการให้เขามองเราเป็นคนดี แต่คีนกลับส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่แก้มทั้งสองข้าง สายตาที่มองก็อบอุ่นจนเหมือนเอาตัวไปยัดอยู่ในเตาอบ คุณแฟนแม่ง...

“เราเจ็บก็จริงแต่มีความสุขไง กิมไม่ต้องขอโทษสักหน่อย แล้วก็เลิกขมวดคิ้วด้วย เดี๋ยวไม่หล่อนะรู้ไหม?” อะ ดึงแก้มผมอย่างเมามันแถมยังขยับเข้ามากัดปลายจมูกให้สะดุ้งเล่นๆ เนี่ย คนขี้อ่อยแต่ทำไม่รู้ไม่ชี้เก่งนัก มันต้องโดนรัดแน่นแล้วถูกระดมจูบ หึหึ

“โธ่ เราเคยหล่อด้วยหรือไง มีแต่คนบอกว่าหน้าดุอย่างกับหมา” ระหว่างที่แต๊ะอั๋งแฟนก็พึมพำถามเสียงอู้อี้ไปด้วย คีนไม่ได้ขัดขืนแต่ก็แอบหยิกเอวผมบ้างบางครั้ง นี่เขาเรียกว่ายอมเจ็บแลกความฟิน

“หล่อสิ สำหรับเราน่ะนะ” คีนยิ้มหวานฉ่ำในขณะที่ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ แล้วปล่อยให้เขาหนีหลุดมือไป โอย หัวใจจะวายตายครับ โดนแฟนชมแบบนี้เนี่ย ถ้าหายป่วยเมื่อไหร่จะจัดสักสองดอก!

ตอนนี้สถานการณ์เหมือนทั้งเมืองกำลังตกอยู่ในสงครามเย็นเนื่องจากต่างฝ่ายต่างใช้สายตากดดันมากกว่าการพูดคุย ผมนั่งอยู่ข้างๆ คีนโดยที่ฝั่งตรงข้ามเป็นแม่และคุณป้าที่ทำท่าทีเคร่งขรึมน่ากลัวเกินกว่าจะแสดงความยินดีเรื่องที่เราคบกัน หรือที่จริงแล้วผู้ใหญ่แค่พูดเล่นไปอย่างนั้นไม่ได้เปิดกว้างเรื่องความรักของเพศเดียวกัน

“เจ้ากิม” เสียงทุ้มหวานของแม่เอ่ยเรียกชื่อทำให้ผมสะดุ้งเฮือกเพราะสายตาวาววับที่มองมาอย่างไม่ลดละ บรรยากาศรอบตัวเริ่มหนักอึ้งมากกว่าเก่าในขณะที่คีนไม่ได้แสดงอาการเครียดแต่อย่างใด โอย อารมณ์ไม่คล้อยไปตามกันสักคนเลยอะ ผมควรจะทำยังไงดีเนี่ย

“ครับแม่” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้ราบเรียบ ดวงตาคมมองสบคนเป็นแม่สลับกับคีนที่ยื่นมือมาแตะแขนเป็นการให้กำลังใจ เอาจริงผมอาจจะเครียดมากไปเองก็ได้มั้ง ทางด้านคุณป้าก็ไม่ได้ทำหน้ายักษ์อะไรแต่ก็นิ่งเกินกว่าจะคาดเดาความคิดเหมือนกัน

“คบกันแม่ไม่ว่าแต่มันเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นได้ยังไงกัน?” แม่เอื้อมมือมาตีลงบนต้นขาของผมแล้วมองด้วยสายตาคาดคั้นต้องการคำตอบ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีกีดกันเราออกจากกันเพราะเธอยังปล่อยให้ผมกับคีนนั่งใกล้กันแตะเนื้อต้องตัวกันตามปกติ ส่วนคุณป้าก็ทำแค่เพียงรอฟังอยู่เงียบๆ อย่างใจเย็น

“ผม... ขอโทษครับ” ได้แต่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนพร้อมกับกล่าวคำขอโทษเพราะไม่มีอะไรจะแก้ตัวในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทั้งหมดคือความสมัครใจของเราเอง ผมเข้าใจสิ่งที่แม่พยายามคาดคั้นเอาคำตอบเนื่องจากรู้ดีว่าความรักประเภทนี้ในสายตาของคนทั่วไปคือความไม่มั่นคง บางครั้งอาจเป็นช่วงวัยของการอยากรู้อยากเห็น พอเบื่อก็ทิ้งขว้างแล้วกลับไปสู่ธรรมชาติที่ควรเป็น

“ผมก็ขอโทษเหมือนกันครับ” คีนเอ่ยขอโทษไม่ต่างจากผม สีหน้าของเขามีความเครียดแสดงให้เห็นเล็กน้อยในขณะที่มืออุ่นๆ สอดเข้ามาประสานกันเหมือนต้องการให้กำลังใจ โธ่ มันควรเป็นผมที่เริ่มทำอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ หมดกันความหล่อเท่ แม่จะเชื่อไหมว่าสามารถดูแลลูกชายคนอื่นได้

“ป้าก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรเรื่องที่ทั้งคู่จะคบกันนะ แต่พวกลูกเพิ่งเรียนแค่มหา’ลัย แน่ใจแล้วเหรอว่ารับผิดชอบความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันได้จริงๆ ไหนจะแรงกดดันจากสังคม สารพัดปัญหารออยู่ข้างหน้า ว่ายังไงคะ?” อะ ขึ้นต้นด้วยการแทนตัวเองว่าป้าก็ต้องถามผมใช่ไหมล่ะ ไอ้เราก็ไม่ได้เตรียมคำตอบมาก็เลยอึ้งไปเล็กน้อยจนเผลอเงียบไป แต่ได้สติตอนที่รู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ ในอุ้งมือ อืม... กำลังใจดีเยี่ยมเลยล่ะ

“ผมก็ไม่แน่ใจว่าอนาคตต่อไปเป็นยังไง แต่ในวันนี้คีนคือคนที่ผมรัก อยากดูแลให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้เสียใจเด็ดขาด” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นโดยที่ไม่หลบตาแม่กับคุณป้าเลยสักนิดเพราะมั่นใจว่าตัวเองทำได้ตามที่กล่าวไปทั้งหมด คีนเป็นมากกว่าความรักซะอีก แต่จะให้คนขรึมๆ อึนๆ อธิบายออกมาแบบละเอียดละออคงทำไม่ได้

“เลี่ยนว่ะ” เสียงพึมพำข้างหูทำให้ผมหันขวับไปมอง เห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของคีนแล้วความเครียดขึงต่างๆ ก็ลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ เวลาแบบนี้เขาปรับอารมณ์เก่งจังเนอะ แบบนี้จะไม่ให้รักได้ยังไงกัน

“โอย ลูกฉัน! พูดอะไรซึ้งๆ ก็เป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?” อยู่ๆ แม่ก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อครู่พวกเรายังอยู่ในบรรยากาศจริงจังไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ผ่านมาคือการเล่นละคร และเหมือนว่าผมกับคีนคิดอย่างเดียวกันเลยหันขวับมองอีกฝ่ายทันที

“กิมเขาก็เป็นคนน่ารักแบบนี้อยู่แล้วนี่” อะ แม่คีนก็เป็นไปกับเขาด้วยเว้ย เฮ้ย ช่วยสนใจพวกผมที่กำลังอ้าปากอยู่หน่อย ง๊ง!

“เธอเข้าข้างลูกเขยมากไปนะ”

เดี๋ยว...

“เธอน่ะสิ ห่วงลูกสะใภ้มากไป”

พวกแม่ๆ กลับมาก๊อน อย่าเพิ่งไปถึงดาวอังคาร!

“เอ่อ...” คีนถึงกับพูดอะไรไม่ออกในขณะที่ผมสติหลุดไปไกลแล้ว ไอ้เขินมันก็เขินทั้งคู่นั่นล่ะแต่อึ้งกับการกระทำของผู้ใหญ่สองคนตรงหน้ามากกว่า ตามไม่ทันเว้ย!

“พวกแม่ๆ ไม่ได้จะว่าอะไรทั้งสองคนหรอกค่ะ แค่อยากทดสอบอะไรนิดหน่อย เอาเป็นว่าสอบผ่อนเนอะ”

จ้า เอาเป็นว่าพวกผมรับทราบว่าผ่านการทดสอบแล้วกันครับ โว๊ย งงเป็นไก่ตาแตกเลยเนี่ย

หลังจากผ่านเรื่องชวนปวดหัวไปได้ผมก็โดนทุกคนสั่งให้ขึ้นมานอนพักบนห้องส่วนคีนออกไปทำธุระกับคุณป้าคงกลับช่วงเย็นๆ แม่ขอตัวกลับร้านเพชร สรุปคือไอ้กิมถูกทิ้งครับ โธ่ แล้วแบบนี้ใครจะหลับลง เปล่าเปลี่ยวหัวใจขนาดนี้

ผมดันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ไม่ไกลเพื่อเปิดดูนั่นนี่ฆ่าเวลารอคีนกลับมา ดูเป็นคนที่รักและหลงแฟนมากเลยเนอะ สมาคมกลัวเมียอยู่ที่ไหนครับ ผมจะไปสมัครแล้ว เฮ้อ คิดถึงจัง (ได้ข่าวว่าห่างกันยังไม่ถึงสองชั่วโมง)

หลังจากที่เราทั้งคู่ตกลงเป็นแฟนกันนั้นดูเหมือนว่าบางสิ่งถูกลืมเลือนไป แอปพลิเคชั่นที่ครั้งหนึ่งผมเคยเปิดมันทุกวัน เฝ้าคอยว่าเขาจะอัปเดตรูปเมื่อไหร่แต่ในตอนนี้กลับไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่เนื่องคีนอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ทว่าเรื่องการแอบถ่ายเขาทีเผลอไม่เคยลดลงเลย ถ้าเปิดแกลอรี่ในโทรศัพท์ดูจะพบว่ามีภาพของนายคนินท์เกือบทุกอริยบถจริงๆ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคจิตวะ โอย

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะไหลลงไปนอนบนเตียงอีกครั้งเพราะยังรู้สึกเพลียจากพิษไข้และฤทธิ์ยา แต่ด้วยความดื้อไม่อยากนอนทำให้นิ้วยังคงขยับไถหน้าจอโทรศัพท์กดเข้าแกลอรี่เพื่อดูภาพถ่ายที่เก็บเอาไว้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ส่วนใหญ่ทุกคนคงเดาได้ว่าเป็นรูปของคีน และใช่ ผมลั่นชัตเตอร์ตั้งแต่ตอนนั้น... สะสมมาตลอดระยะเวลาสองปี คิดดูสิว่าจำนวนมันมหาศาลขนาดไหน ถ้าเขารู้ความลับข้อนี้คงโดนสวดยับแน่ๆ

ครืด

เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ผมเผลอสะดุ้งจนเกือบปล่อยมันทิ้งเนื่องจากหน้าจอแสดงข้อความแจ้งเตือนว่าคีนได้อัปเดตรูปบางอย่างในไอจีขณะที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมรีบกุลีกุจอกดเข้าไปดูทันที รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะกว้างขึ้นจนแทบฉีกถึงรูหู โอย แฟนใครทำไมน่ารักขนาดนี้วะ

รูปที่คีนอัปฯ คือตอนที่ผมนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในคอนโดเมื่อคืนนี้ สภาพอย่างกับซอมบี้หัวยุ่งเหยิงแต่แคปชั่นกลับทำให้ทุกอย่างดูสดใสขึ้นทันตา เนี่ย ถ้าอยู่ใกล้กันผมคงจับเขามาหอมแก้มหนักๆ แล้ว

‘แฟนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ป่วยง่าย ว่าไหม?’

แบบนี้เขาเรียกว่าอวดแฟนได้ปะวะ อูย ผมขอมโนหน่อยแล้วกันเนอะ รู้สึกว่าหายป่วยไปเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วจ้า

จากที่ตั้งใจว่าจะรอคีนกลับมาโดนไม่นอนแต่สุดท้ายก็รู้สึกตัวตื่นเอาตอนที่ได้ยินเสียงปลุกข้างๆ หู ผมสะลึมสะลือเนียนดึงเขามากอดเอาไว้แนบอกพลางแอบสูดกลิ่นกายที่คุ้นเคยเข้าเต็มปอด ฮื้อ โคตรหอม หลงจนโง่หัวไม่ขึ้นแล้วจ้า เนี่ย คนหลงแฟนมันก็อารมณ์แบบนี้ล่ะ ห่างแค่อึดใจแต่เหมือนแรมปี

“ตื่นแล้วใช่ไหมไอ้คนเจ้าเล่ห์?” คีนถามด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ก่อนจะใช้กำปั้นทุบลงมากลางกระหม่อม ผมหลุดร้องโอ๊ยแล้วคลายอ้อมกอดทันที ฟินไม่ถึงไหนก็โดนรู้ทันซะแล้ว นี่ล่ะข้อเสียของคนมีแฟนฉลาด เฮ้อ

“กอดนิดๆ หน่อยๆ เอง” ผมพึมพำเสียงเบาพร้อมกับทำหน้าหงอย ช้อนตามองคีนอย่างออดอ้อนจนโดนเบ้ปากใส่ก่อนที่กำปั้นลุนๆ จะกระแทกเข้าที่ข้างแก้มไม่แรงมาก โอย ใจผมนี่เต้นตุบตับนึกว่าคงโดนยำตีนซะแล้ว

“เดี๋ยวเอาหวัดมาติดเราก็แย่สิ” คีนว่าเสียงฉุนแต่หน้าตาไม่ได้จริงจังหรือแสดงความไม่พอใจออกมา จะมีก็แต่รอยยิ้มทะเล้นเมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของผมที่กำลังเบิกตาโตเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้ เออว่ะ ถ้าเขาป่วยพร้อมผมก็แย่สิ โธ่ ไอ้กิมนี่มันโง่จริงๆ เลย

“โทษที ลืมคิดไปเลย”

“อื้อ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” คีนเอื้อมมือมาแตะวัดอุณหภูมิบนหน้าผากของผมก่อนพยักหน้าคล้ายกับพอใจอะไรบางอย่าง ถ้าให้เดาความร้อนคงลดลงไปมากแล้ว

“ก็... ไม่ปวดหัวแล้วครับ” เพราะผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว จะเดินเหินไปไหนคงไม่มีอาการหน้ามืด

“งั้นลงไปกินมื้อเย็นแล้วกลับคอนโดกัน” คีนผุดลุกขึ้นจากเตียงแล้วก้าวขาตรงไปที่ประตูห้อง ในขณะที่ผมยังคงพยุงตัวเดินตามเขาช้าๆ คือไม่มั่นใจสภาพตัวเองสักเท่าไหร่

“โอเค เอ่อ คีน...” ผมเรียกชื่อเขาในขณะที่ตัวเองเพิ่งออกเดินได้แค่เพียงไม่กี่ก้าว คีนชะงักเท้าก่อนจะหันมาสบตาและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ว่า?”

“คืนนี้ขอ... นอนด้วยได้ไหม?” ผมอึกอักในประโยคแรกแต่พูดเร็วปรื๋อในประโยคหลังจนเผลอสำลักน้ำลายไอโขลก เดือดร้อนคีนต้องเดินเข้ามาลูบหลังให้ ดูเผินๆ ก็เป็นห่วงเป็นใยกันดีแต่เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ได้ยินคืออะไรเนี่ย ไม่ตลกนะแฟน ซีเรียสครับ!

“เสียใจด้วยนะกิม แต่วันนี้ยาวไปจนถึงสิ้นเดือนหน้าพี่ปิ๊งจะไปอยู่คอนโดกับเราล่ะ” คีนพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละออกไปยืนยักคิ้วให้กัน ผมที่เพิ่งหายจากการไอกลับอ้าปากพะงาบๆ หาคำพูดไม่เจอ เมื่อครู่อะไรปิ๊งๆ นะ ทำไมหลอนประสาทแบบนี้



ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ห๊ะ ทะ ทำไม?” จะไปอยู่ที่คอนโดจริงๆ ดิ แล้วผมจะทำยังไงล่ะคราวนี้ โอ๊ย ความรักต้องมีบทสดสอบล้านแปดเหรอไงเนี่ย!

“เขาบอกว่าแม่ให้พวกเราผ่านบทสดสอบง่ายเกินไปน่ะนะ” คีนไหวไหล่พลางถอนหายใจยาวๆ แต่ใบหน้าก็เปื้อนยิ้มในแบบฉบับคนปลงชีวิตและความเป็นพี่ปิ๊งที่ดูจะหวงน้องชายมาก แต่ผมกลับทำตามปล่อยไปตามน้ำไม่ได้เพราะเดือนนึงเป็นเวลาที่นานมาก... ฮือ อยากอยู่ใกล้เขานี่หว่า แอบรักมาตั้งเป็นปีๆ เชียวนะ

“โหย นี่กะจะให้เราลงแดงตายเลยใช่ไหมเนี่ย?” ผมร้องโหยหวนพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าผากหลายๆ ครั้งด้วยความรู้สึกงุ่นง่านเพราะหาทางออกไม่ได้ คือยังไงพวกเราก็ไม่สามารถห้ามพี่ปิ๊งได้

“แค่ไม่ได้นอนด้วยกันเอง อะไรจะขนาดนั้น?” คีนขมวดคิ้วมองมาอย่างคาดคั้น ส่วนผมได้แต่เบนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะเหตุผลที่งอแงอยู่ตอนนี้มันผสมปนเปทั้งดีและไม่ดีเต็มไปหมด เออ ง่ายๆ คือคนเป็นแฟนกันมันก็ต้องมีเรื่องอย่างว่ากันบ้างปะวะ โธ่ สองเดือนครั้งก็แห้งเหี่ยวไปจ้า

“เรา... อยากนอนกอดคีนนี่นา” เสียงเบายิ่งกว่ากระซิบอีกเว้ย แบบนี้คีนคงไม่เชื่อเหอะ

“แน่ใจว่าอยากกอดแค่อย่างเดียว?” อะ มองผมด้วยสายตาแวววาวแบบนั้นคือรู้ความหมายแฝงแล้วใช่ไหม โธ่ ไม่น่าเลยไอ้กิม

“ก็... อย่างอื่นอีกนิดหน่อย” ผมหัวเราะแห้งๆ พลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ

“หื่นนะเรา” คีนหรี่ตามองก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนเกือบโขกโดนกรอบประตู หูย ใจหายวายเลยจ้า

“ปฏิเสธได้ไหม?” ผมแสร้งถามในขณะที่มือข้างหนึ่งเลื้อยไปโอบกระชับเอวสอบของคีนอย่างเนียนๆ เขาไม่ได้ว่าอะไรสักคำแต่ปากที่ขยับแยกเขี้ยวนี่น่ากลัวฉิบหายเลยจ้า

“คงไม่ได้หรอก แสดงออกทางหน้าตาจนเราหมั่นไส้แล้ว”

ป๊อก โดนดีดหน้าผากจนได้จ้า แต่ยอมเจ็บตัวเพราะแฟนน่ารัก ฮือ มีจุ๊บจมูกปลอบใจด้วย อ๊าก คีนๆๆๆๆๆ

“ครับๆ ยอมแพ้แล้ว” ผมยกมือขึ้นยอมแพ้แต่ปากกลับยิ้มกว้างเพราะการกระทำของคีนเมื่อครู่นี้ ยิ่งได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของเขาแล้วยิ่งรู้สึกอยากจับกดลงเตียงซะเดี๋ยวนี้เลย ไม่กินมื้อเย็นแล้วได้ไหมล่ะ มีขนมหวานอยู่ตรงหน้าเชียวนะ หูย

จบบทสนทนาพวกเราก็เดินลงบันไดอย่างไม่เร่งรีบ ผมนำหน้าส่วนคีนตามหลังเพราะเขากลัวว่าคนป่วยจะสลบระหว่างทาง นั่นก็เป็นห่วงเกินเหตุไปครับแต่ก็น่ารักดี ยิ่งทำให้หลงรักมากขึ้นอีกเลยเนี่ย

“กิม...”

“หืม?” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ผมหยุดชะงักเท้าอยู่ตรงตีนบันไดก่อนจะหันไปสบตากับคีนที่มีท่าทางอายแปลกๆ หรืออยากบอกรักกันตอนนี้? โอย ขอเตรียมตัวหน่อยได้ไหม เดี๋ยวเขินจนแต๋วแตกทำไงอะ

“ถ้าพี่ปิ๊งกลับมาอยู่บ้านเมื่อไหร่กิมก็ไม่ต้องรบกวนปอมแล้วนะ” อะ พูดกับผมแต่ตามองขั้นบันไดแบบนี้มีพิรุธม๊าก แต่เรื่องที่บอกว่าไม่ต้องรบกวนไอ้ปอมนี่... คือยังไงวะ

“หา?”

“ย้ายมาอยู่กับเราที่ห้องไง”

“เฮ้ย...” ผมช็อกจ้า พูดอะไรไม่ออก เหมือนความฝันในวัยเด็กกลายเป็นจริงขึ้นมาชั่วพริบตาแบบไม่ทันตั้งตัวอะ คือแบบ... โอ๊ย หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอกแล้วเนี่ย ร้ายกาจจริงๆ คุณคนินท์!

“ก็เราเคยสัญญากับกิมไว้ ลืมแล้วเหรอ?”

“มะ ไม่ลืมๆ แต่เราคิดว่าคีนพูดเล่นอะ” ผมสารภาพความจริงที่คิดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ตอนนี้ความดีใจมันตีตื้นในอกจนไม่สามารถควบคุมให้มันเป็นปกติได้อีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่าคุณป้ายังอยู่ในบ้ายหลังนี้ด้วยคงจับลูกชายเขาฟัดจริงๆ นั่นล่ะ ถ้าติดหวัดค่อยดูแลทีหลังแล้วกันเนอะ มันเขี้ยวเว้ย!

“งั้นอยู่กับปอมต่อไปเลย” เอ้า สะบัดบ๊อบงอนกันเฉยเลย แถมเดินหนีอีกด้วย กลับมาก่อนสิครับที่รัก ~

“เฮ้ยๆ ไม่เอาดิ กิมจะอยู่กับคีน” ผมรีบวิ่งไปกอดเขาจากด้านหลังแล้วใช้จมูกถูไถตรงลาดไหล่กว้างเป็นการอ้อน โอกาสมาเกยถึงหน้าแล้วใครจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้ล่ะวะ อยู่กับคีน ใช้ชีวิตร่วมกับคีนอาจเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเราแต่ผมก็พร้อมเริ่มต้นและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีพอและพอดี

“ขี้อ้อนเอ๊ย” คีนหัวเราะก่อนจะหันมากอดตอบผมแบบเต็มรัก โอย ซี่โครงจะหักแต่ดันมีความสุขอะคนเรา

“ตัวเองก็ขี้อ่อยเหมือนกันนั่นล่ะ” ผมกระซิบบอกในขณะที่คียพยักแล้วระเบิดเสียงหัวเราะหนักกว่าเดิม ถือว่าเรื่องนี้เราศีลเสมอกันเนอะ



--------------------------------------------------------

คีนน่ารักมากคิดเหมือนเราปะ? ส่วนกิมอะ กากแบบเสมอต้นเสมอปลายสุดๆ 55555
เหลืออีก 1 ตอน กับ 1 บทส่งท้ายจะจบแล้วจ้า

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 24



ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าที่ผมโคตรมีความสุขเพราะว่าลืมตาตื่นมาแล้วเจอคีนนอนอยู่ข้างๆ เนื่องจากเมื่อคืนพี่ปิ๊งต้องอยู่แก้ชุดเจ้าสาวให้ลูกค้าที่ร้านจนดึกดื่นเลยขอกลับบ้านแทนที่จะลากสังขารมาคอนโดซึ่งอยู่ไกลกว่า พอมีโอกาสผมเลยจัดการใช้มารยาออดอ้อนเขาและได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็น ผมเก่งใช่ไหมล่ะ? แต่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างนอกจากกอดธรรมดาๆ ก็วันนี้ดันมีงานถ่ายพรีเวดดิ้งนอกสตูฯ น่ะสิ โธ่ เซ็งเลย

ผมพยายามบันทึกภาพตรงหน้าเข้าสู่สมองเพื่อจดจำทุกช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เมื่อพอใจแล้วก็ถึงคราวต้องปลุกคีนให้ตื่นสักทีเพราะนัดถ่ายงานไว้ตอนเก้าโมงเช้าแถวๆ เกษตร - นวมินทร์ เจ้าบ่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะเป็นรุ่นพี่ในคณะซึ่งเรียนจบไปแล้วแถมยังเป็นสายรหัสของผมอีก เออ ก็ยินดีกับเขาด้วยแต่ก็หงุดหงิดตรงที่มันต้องเป็นวันนี้นี่ล่ะ เฮ้อ อยากอยู่กับแฟนไง!

“คีน... ตื่นได้แล้ว” ผมเอื้อมมือไปจับแขนคีนแล้วออกแรงบีบเพื่อเป็นการปลุก ว่าจะแถมด้วยการมอร์นิ่งคิสสักหน่อยแต่เจ้าตัวดันขยับเข้ามารวบกอดเอวผมซะอย่างนั้น อืม... แบบนี้ก็อุ่นดีแต่มันแย่ตรงที่น้องชายน่ะสิ โว๊ย อย่าปลุกอารมณ์กันเลย ทรมานนะยู ~

“อือ” คีนครางรับแต่ไม่ยอมลืมตาแถมยังขยับซุกหน้าเข้ากับซอกคอของผมพร้อมระบายลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดจนรู้สึกขนลุกขนชัน มันต้องเป็นคนความอดทนสูงขนาดไหนวะที่มานอนท่องยุบหนอพองหนออยู่ตอนนี้ จะร้องไห้แล้วเว้ย

“เดี๋ยวไปสายนะ” ผมพยายามข่มอารมณ์แล้วลองกระตุ้นคีนด้วยประโยคเบสิกอย่างเช่นไปทำงานสาย เรื่องเวลาสำหรับเขาเป็นอะไรที่สำคัญ เชื่อสิว่าอีกเดี๋ยวก็คงตื่น แต่ผมเนี่ยใกล้ถึงคาดแล้ว ฮือ

“งืม กิมเป็นคนขับ... ถ้าสายก็โทษกิม” อะ ขยับใบหน้าขึ้นมาแล้วคลี่ยิ้มหวานๆ ให้ทั้งที่ตายังปิดสนิทแถมยังโยนความผิดให้กันอีก แต่โกรธไม่ลงไง แม่งเอ๊ย เล่นน่ารักน่าฟัดซะขนาดนั้น หัวใจเหลวเป็นน้ำหมดแล้วจ้า

“โธ่ พี่กันต์ด่าเรายับแน่” ผมแสร้งบ่นด้วยใบหน้ามู่ทู่ในขณะที่คีนยอมลืมตาขึ้นมาและจู่โจมกันด้วยการโน้มตัวเข้ามาเรื่อยๆ จน...

จุ๊บ

ไอ้ฉิบหาย ชีวิตนี้ผมตายอย่างสงบแล้วจ้า ได้มอร์นิ่งคิสจากแฟนโว๊ย!

“แบบนี้ยอมให้ด่าได้ยัง?” อะ สรุปว่ายอมติดสินบนเพื่อให้ผมใจอ่อนเนี่ยนะ เอ้อ คีนโคตรเก่งที่จับจุดอ่อนได้ขนาดนี้ จ้า ไม่ว่ายังไงก็แพ้ราบคาบจริงๆ

“พี่กันต์ต่อยก็ยอมล่ะวะ” ผมพึมพำเสียงเบาก่อนจะฟัดแก้มคีนด้วยความมันเขี้ยว คนเจ้าเล่ห์ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแต่ไม่นานนักก็ยอมอยู่เฉยๆ ให้กระทำตามใจ เนี่ย น่ารักแบบนี้ไงถึงได้โคตรรัก

“อื้อ พอแล้วน่า กิมไปอาบน้ำก่อนเลย เราขอนอนต่อสักสิบนาที” พอผลักผมออกไม่ได้ก็หันมาห้ามปรามด้วยเสียงเนือยๆ แทน แหม... ก็คนมันติดลมไง แต่เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงหกโมงครึ่งแล้วหรอกนะถึงได้ยอมตัดใจไปอาบน้ำเนี่ย

“โอเคครับที่รัก ~” ก่อนไปขอหอมอีกสักฟอดใหญ่ๆ แล้วกระโดดวิ่งหนีเมื่อคีนง้างเท้าเตรียมถีบ หูย โหมดโหดก็ยังน่ารักน่าเอ็นดู เนี่ยล่ะที่เขาบอกว่าความรักทำให้คนตาบอด

หลังจากที่คีนจัดเตรียมของสำหรับการถ่ายพรีเวดดิ้งเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็ออกจากบ้านในเวลาเจ็ดโมงครึ่งไปยังร้านเพื่อรับชุดของเจ้าบ่าวเจ้าสาวและพี่ปิ๊งขึ้นรถแล้วมุ่งสู่จุดนัดพบ ผมลองประเมินสภาพการจราจรคร่าวๆ ยังคงสามารถแวะซื้อมื้อเช้าที่เซเว่นได้โดยถึงที่หมายไม่สาย

“แวะซื้ออะไรที่เซเว่นก่อนไหม?” ผมหันไปถามคนข้างๆ แล้วสบตากับพี่ปิ๊งผ่านทางกระจกมองหลัง เธอส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะหยิบกล่องใส่อะไรบางอย่างขึ้นมา จากการมองเผินๆ คิดว่าคงเป็นแซนวิชที่เตรียมมาจากบ้านแน่นอน หูย ขอสักชิ้นได้ไหมครับ ตอนนี้ท้องร้องโครกครากเลย

“พี่มีแซนวิชแล้ว พวกนายจะแวะก็ตามใจ” พี่ปิ๊งเอ่ยบอกก่อนจะแกะฝากล่องจนกลิ่นทูน่าลอยอวลอยู่ในรถ ผมกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อกทำให้คีนที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับหลุดหัวเราะ คือมันหิวมาก ปกติตื่นมาต้องหาอะไรรองท้องก่อนแต่วันนี้ทำตัวเป็นแฟนที่ดีช่วยเตรียมเลนส์กล้องใส่กระเป๋าไง

“พี่ปิ๊งไม่ได้ทำเองแน่ๆ” คีนหันไปหรี่ตามองพี่สาวอย่างจับผิดในขณะที่อีกคนปิดฝากล่องแซนวิชดังปึกแล้วหันทำหน้าบึ้งตึงใจ โอ้ จะเกิดสงครามระหว่างพี่น้องตอนรถติดไม่ได้นะเว้ย ผมทำตัวไม่ถูกอะ ควรห้ามไหม หรือคอยเชียร์ดี?

“คีนดูถูกพี่เกินไปแล้วนะ” อะ เสียงฉุนแล้วเว้ย กอดอกสะบัดบ๊อบแล้วด้วย ฉิบหาย ทำไมกูกลายเป็นน้องเขยที่ลุ้นให้พี่น้องเขาตีกันอะ คือท่าทางมันดูน่ารักเหมือนแมวทั้งคู่ไง

“ผมเป็นน้องพี่นะครับ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นพี่เข้าครัวเลย” คีนยกยิ้มมุมปากอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ส่วนคนพี่พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาก่อนจะได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะหลุดรอดจากลำคอ ท่าทางขัดใจแต่เถียงไม่ได้ประมาณนั้น เอาจริงดิ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาไม่ค่อยเข้าครัวกันแล้วเหรอ?

“เออๆ ซันทำให้ พอใจยัง?” แล้วพี่ปิ๊งก็แก้ความงุ่นง่านด้วยการเปิดฝากล่องหยิบแซนวิชขึ้นมางับก่อนจะเคี้ยวงั่มๆ ไม่สนใจผมกับคีนที่เอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มให้เธอ เนี่ย ใครได้พี่ซันเป็นแฟนโคตรโชคดีเลย ดูแลคนไข้ดียังไงกับแฟนดีกว่าสิบเท่า

“หวานกันจริงๆ เลย น่าอิจฉาเนอะกิม” คีนหันมาพยักพเยิดใส่กันด้วยใบหน้าทะเล้นที่เดี๋ยวนี้มีให้เห็นบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผมยิ้มรับเป็นเชิงบอกว่าคิดแบบนั้นเหมือนเขาเลยทำให้คนถูกพาดพิงถึงกับสติแตกจนถึงขั้นวางแซนวิชไว้บนกางเกงยีนส์แทนที่จะเป็นกล่องทัปเปอร์แวร์

“ไม่ต้องมาแซว คู่ตัวเองก็ใช่ย่อย อย่าคิดว่าพี่โง่นะ เมื่อคืนแอบไปนอนด้วยกันมาใช่ไหม?” พี่ปิ๊งยืนหน้ามาตรงกลางระหว่างเบาะแล้วเอ่ยถามด้วยประโยคที่ทำให้ผมกับคีนรีบขยับตัวหนีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะกลัวว่าเธอคิดจะทำอะไรแผลงๆ เพื่อเป็นการลงโทษอีก หูย คือมีประสบการณ์ตรงมาแล้วเนื่องจากบางวันพวกเราก็แอบไปกินข้าวเย็นด้วยกันบ้างทั้งที่ถูกสั่งห้ามครั้งนั้นผมเลยโดนสั่งวิดพื้นร้อยรอบ ระบมปวดเมื่อยเกือบอาทิตย์จ้า ขยาดเลยครับท่าน

“กิมๆ แวะเซเว่นในปั๊มด้านหน้าเลย เราอยากกินเปาหมูสับไข่เค็มกับมอคค่าเย็น” คีนที่ได้สติก่อนผมรีบชี้มือไปทางปั๊มน้ำมันด้านหน้าโดยไม่สนใจพี่ปิ๊งซึ่งกำลังทำเสียงฮึดฮัดขัดใจ พวกเราแค่ไม่อยากโดนลงโทษโปรดให้อภัยด้วยเถิดจ้า สัญญาว่าต่อไปจะไม่แหกกฎอีก

พวกเราถึงที่นัดหมายก่อนบ่าวสาวเลยมีเวลาเดินดูสถานที่และเลือกมุมถ่ายภาพสวยๆ ไว้โดยมีนางแบบจำเป็นคือพี่ปิ๊งทดลองลงสนามก่อนเริ่มงานจริง คีนหยิบกล้องคู่ใจออกมาจากกระเป๋าทำการเตรียมพร้อม ส่วนผมส่งข้อความไปเร่งพี่กันต์ให้มาไวๆ เพราะถ้าสายกว่านี้อาจจะมีคนเป็นลมได้ อากาศประเทศไทยโคตรร้อน!

“กิม มานี่หน่อย” ผ่านไปเกือบสิบนาทีที่ผมนั่งอยู่ท้ายรถเพื่อมองคู่พี่น้องถ่ายรูปวอร์มฝีมือกันอยู่ไม่ไกล คีนหันมากวักมือพร้อมส่งเสียงเรียกให้เข้าไปหา ซึ่งผมก็ทำตามอย่างไม่อิดออดรีบใส่เกียร์หมาออกตัวอย่างไว

“มีอะไรเหรอ?” ผมถามเมื่อเดินมาถึงเป้าหมาย คีนไม่ตอบแต่ส่งกล้องในมือมาให้ก่อนพยักพเยิดให้รับมาถือไว้ ไอ้ครั้นจะขัดขืนก็โดนสายตาเว้าวอนทำให้คล้อยตามง่ายๆ เออ แพ้เขาตลอดเวลานั่นล่ะ เฮ้อ

“เราจะให้กิมลองถ่ายรูปพี่ปิ๊งน่ะ” ผมรับกล้องมาจากเขาก่อนจะได้ยินประโยคอธิบายสั้นๆ แต่ความหมายนั้นทำให้ดวงตาเบิกค้าง เขาบอกให้ผมถ่ายรูปพี่ปิ๊งน่ะนะ โอย ถ้าผลงานออกมาไม่สวยคือตายกับตายลูกเดียวเลย

“หา... แต่เราไม่ถนัดถ่าย Portrait นะ” ผมส่ายหน้าพรืดปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายในขณะที่คีนส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ

“นั่นล่ะ ไม่ถนัดมันก็ต้องหัดไง ตอนถ่ายงานส่งอาจารย์จะได้คล่องๆ”

แหนะ อย่ามาหลอกล่อซะให้ยากเลย พี่ปิ๊งยิ่งไม่ชอบขี้หน้าผมอยู่ด้วย ขืนถ่ายรูปเธอออกมาอ้วนคงโดนด่าหูชาแน่

“ตกลงกันได้หรือยังเนี่ย? นางแบบจะละลายแล้วค่ะคุณชายทั้งหลาย!” นั่น... เสียงโวยวายจากคนที่ยืนรอทำให้ผมกับคีนถึงกับหันขวับไปมองเธอแบบพร้อมเพรียงกัน เอาวะ ถ่ายก็ถ่ายดีกว่าโดยฆ่าตายด้วยสายตาพิฆาต

“ลองถ่ายดู ไม่ยากหรอก” คีนย้ำอีกครั้งพลางยกมือขึ้นตบบ่าผมเพื่อให้กำลังใจก่อนจะเดินไปหาพี่ปิ๊งเพื่อตกลงกัน เฮ้อ ถือว่าเป็นการฝึกมือตามที่เขาอ้างไว้ก็ได้วะ เถียงเมียไม่มีวันเจริญใช่ไหมล่ะ?

ใครบอกว่าการถ่ายรูปแค่กดชัตเตอร์และมือนิ่งก็พอ การหามุมที่เหมาะสมนั่นยากยิ่งกว่าอะไรดี ทั้งนั่งทั้งยืน มากสุดคือการนอนราบลงไปบนพื้นหญ้าจนคันคะเยอทั้งตัวแถมยังโดนพี่ปิ๊งด่าเรื่องภาพออกมาดูอ้วนเหนียงเยอะ โอย อยากมุดท่อหนีฉิบหายเลยจ้า

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมโดนบังคับให้เป็นตากล้องจำเป็น ถึงจะโดนด่าโดนว่าเยอะแต่มันก็ช่วยทำให้ฝีมือการถ่ายรูปพัฒนาขึ้นจากข้อผิดพลาดได้จริงๆ ภาพสุดท้ายก่อนจะเริ่มการทำงานจริงเพราะคู่บ่าวสาวมาถึงแล้วนั้นได้รับคำชมจากตัวนางแบบอย่างพี่ปิ๊งเองและคีนอย่างล้นหลาม ผมยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจ เอ่ยขอบคุณทุกคนที่พยายามสอนเกือบทุกเทคนิคให้ในวันนี้

ความรู้สำหรับวันนี้คือ Live View หรือช่องมองภาพของกล้อง DSLR มีประโยชน์มากและเป็นข้อดีเหนือกล้อง Mirrolress ในสภาวะแสงจ้า เพราะมันสามารถทำให้เราถ่ายรูปได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องทนแสบตากับความสว่าง อีกอย่างคือการตั้งค่า Speed Shutter สูงๆ เพื่อเก็บภาพในส่วนของวัตถุเคลื่อนที่ให้หยุดนิ่ง อย่างเช่นการให้นางแบบเป่าดอกไม้ในมือ ผลลัพธ์ที่ได้โคตรสวยแต่ก็ใช้ระยะเวลาในการจับจังหวะชัตเตอร์นานอยู่เหมือนกัน เอาเป็นว่าถึงขั้นโดนพี่ปิ๊งปารองเท้าใส่อะ

กลับมาที่ปัจจุบันซึ่งคุณเจ้าบ่าวนามว่า ‘กันต์’ กำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ด้านข้างมีสาวสวยดีกรีอดีตดาวมหา’ลัยกำลังอ้าปากหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนคนมองทั้งสามได้แต่ส่ายหัวด้วยความละเหี่ยใจ เธอจะคีพลุคให้สมกับหน้าตาบ้างไม่ได้เลยเหรอไงกัน

“สวัสดีครับพี่” ผมเอ่ยทักทายทั้งสองคนพร้อมยกมือไหว้เหมือนๆ กับคีน พี่กันต์ทำเพียงพยักหน้ารับเหมือนคนไร้อารมณ์ ส่วนพี่ ‘ข้าวปุ้น’ ยิ้มแย้มแจ่มใสแถมเดินเข้ามากอดพวกเราอีกต่างหาก จะฟินกว่านี้ถ้าเธอไม่ตีก้นผมดังปึกน่ะนะ โคตรเจ็บ!

“ไปกอดมันทำไมเนี่ยปุ้น? ถอยออกมาเลย!” พี่กันต์รีบดึงพี่ปุ้นออกห่างจากผมเหมือนหวงนักหวงหนาทั้งๆ ที่จริงแล้วเขาก็แค่ไม่อยากให้น้องในสายรหัสโดนทำร้ายไปมากกว่านี้ ก็ไอ้อดีตดาวมหา’ลัยเป็นผู้หญิงประเภททะลึ่งตึงตังชอบจับนั่นดึงนี่แกล้งคนอื่นไปทั่ว

“ขี้หวงอะ” พี่ปุ้นสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมแล้วหันไปหาพวกอย่างพี่ปิ๊งที่ยืนขำหึหึอยู่ในลำคอ ทำไม๊ทำไมทั้งคู่ต้องรู้จักกันเป็นการส่วนตัวด้วยวะ ถ้าเกิดพวกเธอรวมพลังกันคงสามารถทำลายโลกใบนี้ได้แน่ๆ น่ากลัวฉิบหาย

“ใครหวงปุ้น? กันต์หวงไอ้กิมมิคต่างหาก กลัวมันโดนลวนลาม” พี่กันต์ยักคิ้วกวนใส่แฟนตัวเองก่อนจะหันมายิ้มให้ผมกับคีนที่กำลังกลั้นขำอย่างสุดชีวิต เออ ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนปีหนึ่งแล้ว หวงน้องก่อนหวงพี่ปุ้นตลอด

“เดี๋ยวปุ้นจะแฉให้หมดว่าทำไมพวกเรามาสาย” พี่ปุ้นทำสีหน้าจริงจังพร้อมแฉมากจนผมอดหวั่นๆ ไม่ได้ว่าพี่กันต์จะช็อกตายไปก่อนได้แต่งงานหรือเปล่า โธ่ บางทีมีแฟนใจกล้าบ้าบิ่นแบบนี้ก็เสียวสันหลังนะเออ

แต่ผมว่าไม่ต้องแฉให้เปลืองน้ำลายก็พอจะรู้ถึงสาเหตุในการมาสายของทั้งคู่เนื่องจากสีหน้าและท่าทางของพี่กันต์มันฟ้องให้เห็นชัดเจน คือท้องเสียแน่ๆ ไม่ต้องสืบเพราะเมื่อคืนผมนอนไถไอจีเจอเขาอัปฯ รูปส้มตำปูปลาร้าพริกแดงเต็มจานขนาดนั้น... อร่อยปากลำบากตูดชัวร์

“โอเคๆ กันต์ยอมแพ้แล้วครับที่รัก เราเริ่มถ่ายรูปเลยเนอะ เดี๋ยวแดดจะร้อนไปกว่านี้” อะ พ่อปลาไหลรีบออดอ้อนว่าที่ภรรยาแล้วจูงมือกระหนุงกระหนิงให้เดินออกไปยังมุมที่ตัวเองคิดว่าสวย ผมกับคีนมองหน้ากันก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินพี่ปุ้นพูดอะไรบางอย่าง ถึงขนาดที่พี่ปิ๊งยังเบ้ปากมองบนอะคิดดู

“หึหึ เป็นเด็กดีนะน้องกันต์ ไม่ดื้อไม่ซนเนอะ”

จ้า ไอ้น้องกันต์ไม่ซนหรอกครับ มีแต่พี่ข้าวปุ้นนั่นล่ะที่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าใคร

ตอนนี้พี่ปิ๊งกำลังดูแลเสื้อผ้าหน้าผมของคู่บ่าวสาวอยู่บนศาลาข้างริมสระน้ำ ส่วนคีนก้มหน้าก้มตาเลือกระยะเลนส์ที่เหมาะสมในการถ่ายงาน และวันนี้ผมทำหน้าที่เป็นฝ่ายสวัสดิการจัดหาเครื่องดื่ม อุปกรณ์คลายร้อนและอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ ถ้าให้นั่งดูเฉยๆ มันคงเหมือนคนไร้ประโยชน์ไปหน่อย

“พี่กันต์โคตรกลัวเมียอะ” ผมหย่อนก้นลงบนม้านั่งสีน้ำตาลตัวยาวใต้ร่มไม้ข้างๆ กับคีน เขาชะงักมือที่กำลังประกอบเลนส์เข้าตัวกล้องแล้วหันมาเลิกคิ้วแสดงความสงสัย

“แล้วกิมล่ะ?” คีนไม่ได้ตอบโต้เรื่องพี่กันต์แต่เปลี่ยนเป็นตั้งคำถามด้วยใบหน้าจริงจังแทน ซึ่งผมทำได้แค่เลิกคิ้วขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ

“หืม?” เอียงคอทำหน้าหมาสงสัยเข้าไปอีกจ้า

“กลัวเราบ้างหรือเปล่า?” คีนขยายความให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะเอื้อมมือมาเคาะหน้าผากกันดังกึกๆ หลายครั้ง ผมที่เพิ่งเข้าใจความหมายเลยเอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางโน้มตัวใกล้คู่สนทนาชนิดที่ว่าปลายจมูกแตะกันและทำเหมือนว่าโลกนี้มีแค่เราสองคนทั้งๆ ที่รอบข้างยังมีบ่าวสาวและคุณพี่สุดโหดอีกหนึ่ง เอาน่า ไว้เคลียร์ทีหลัง

“ถ้าตอบว่าไม่กลัวจะโดนกระทืบปะ?” ผมถามเสียงเบาเกือบชิดริมฝีปากอีกคนเพื่อแกล้งให้คีนแสดงท่าทีฟึดฟัดออกมาแต่ผลที่ได้คือโดนดึงหูเว้ย เน้นๆ เจ็บจี๊ดไปถึงก้นกบเลยเหอะ โอย ไม่ได้จูบยังจะหาเรื่องใส่ตัวอีกกู แง

“เห็นเราเป็นคนยังไงเนี่ย?” คีนปล่อยมือออกขยับถอนหลังหนีแล้วมองมาที่ผมด้วยแววตาขุ่นเคืองที่บังอาจไปใส่ร้ายว่าเขาจะกระทืบกัน โธ่ ผมก็แค่หยอกเล่นเอง อยากให้อารมณ์ดีทั้งที่อากาศร้อน ( เมื่อครู่นังบอกว่าอยากเห็นอาการฟึดฟัดของคีนอยู่เลย ย้อนแย้งเนอะคนเรา)

“อูย ล้อเล่นๆ เราไม่เคยกลัวคีนนะ แต่ให้เกียรติซึ่งกันและกันมากกว่า” ผมรีบพูดเสียงหวานพลางขยับตัวเข้าไปซบหัวลงบนลาดไหล่เป็นการออดอ้อนและทำให้เขาเชื่อใจ คีนเหล่มองครู่หนึ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาพร้อมๆ กับการเอื้อมมือมาดึงแก้มกันจนยืด โอย ไม่ต้องเอ็นดูผมด้วยวิธีเจ็บตัวแบบนี้ก็ได้จ้า ระบบไปหมดแล้ว

“โห พูดดีนะเนี่ย” แหนะ ปากชมแต่สายตาแสดงออกว่าล้อเลียนกันสุดๆ เอ้อ ยอมรับอยู่ในใจเลยว่าผมเป็นประเภทรักและเคารพเมีย เผลอๆ อาจถึงขั้นบูชาอะ ฮือ ไอ้กากกิมเอ๊ยย

“เฮ้ย ไอ้สองคนนั้นจะจีบกันอีกนานปะวะ? พวกพี่โพสต์ท่ารอจนเหงื่อซกแล้วเว้ย!” เสียงตะโกนแว่วมาจากพี่กันต์ทำให้ผมชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปดึงแก้มคีนคืนบ้างอยู่กลางอากาศ ในขณะที่เขาลุกพรวดขึ้นจากม้านั่งเพื่อเดินไปประจำจุดถ่ายงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งต่างจากผมที่มีท่าทีฮึดฮัดเหมือนเด็กโดนขัดใจ ก็เมื่อครู่จะได้แต๊ะอั๋งแฟนอยู่แล้วเชียว ไอ้พวกมารหัวใจ ฝากไว้ก่อนเถอะ!

ผมนั่งกระดิกเท้าอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้ที่เดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือในมือมีกล้อง DSLR หนึ่งตัวไว้สำหรับเก็บภาพเบื้องหลังการถ่ายพรีเวดดิ้งของวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วจุดโฟกัสจะตกไปที่คีนมากกว่าคู่บ่าวสาวเพราะการลงทุนลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นหญ้า บางครั้งปีนบันใดเพื่อลั่นชัตเตอร์มุมสูง พลีชีพรับลมปากยามพี่ปุ้นเป่าดอกไม้และอื่นๆ อีกมากมาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนน่าเก็บเป็นความทรงจำทั้งนั้น

“เพลินเชียวนะ” เสียงหวานๆ ติดกระแนะกระแหนเอ่ยขึ้นทำให้ผมระลึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเพราะยังมีพี่ปิ๊งที่หลบอากาศร้อนนั่งข้างๆ กัน เธอสังเกตมานานแล้วว่าผมเอาแต่ถ่ายรูปคีน ก็นั่นแฟนไงครับ... ส่วนบ่าวสาวไม่เห็นจะน่าสนใจเลย จริงไหม?

“นิดนึงครับ นานๆ จะได้ถ่ายรูปคีน” ผมลดกล้องในมือลงแล้วหันไปยิ้มเผล่ใส่พี่สาวแฟน เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะเอาหมวกปีกกว้างตีเข้าที่หัวเต็มๆ อูย เจ็บแต่ไม่ร้องจ้า กลัวจะโดนหาว่าสำออย เดี๋ยวเปิดประเด็นผมอ่อนแอดูแลน้องชายเขาไม่ได้อีก หูย มีอีกสารพัดเหตุผลในการแยกเราออกจากกัน แท้จริงแล้วพี่ปิ๊งก็แค่ต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่าผู้ชายอย่างไอ้กิมรักคีนจริงๆ และในอนาคตจะมั่นคงไม่มีวันทิ้งไปไหน

“หมั่นไส้ แอบถ่ายจนเป็นนิสัยมากกว่ามั้ง” พี่ปิ๊งทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอพลางใช้สายตามองผมอย่างจับผิด ซึ่งมันโคตรแทงใจดำเพราะความจริงตรงตามที่เธอสันนิษฐานไว้ทุกอย่าง ผมแอบถ่ายรูปคีนจนเป็นนิสัยแถมยังมีหลักฐานมัดตัวอยู่ในโทรศัพท์จำนวนไม่ต่ำกว่าพัน เนี่ย ถ้าโดนแจ้งความจับข้อหาสต็อกเกอร์คงติดคุกหัวโตแน่ๆ สงสารแม่ที่มีลูกชายโรคจิตจัง...

“พี่ปิ๊งหิวน้ำไหม? เดี๋ยวผมไปซื้อให้” ผมตัดสินใจวางกล้องในมือลงก่อนถามพี่ปิ๊งที่ยังคงไม่ละสายตาไปไหน หวังว่าการชวนเปลี่ยนเรื่องจะทำให้เธอไม่คาดคั้นเอาคำตอบเรื่องเมื่อครู่น่ะนะ

“อื้ม ซื้อเผื่อสามคนนั้นด้วยแล้วกัน”

“รับทราบครับ”

ผมฝากกล้องไว้กับพี่ปิ๊งแล้วปลีกตัวออกมาที่ร้านสะดวกซื้อแถวๆ นี้ ในตอนแรกคิดว่าจะรีบมาแล้วรีบกลับแต่ดันเจอใครบางคนที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้ากันสักเท่าไหร่ แม่ง อยู่คอนโดเดียวกันห้องเดียวกันแท้ๆ ไอ้สัดปอมชอบหายหัวตลอด ถึงมันจะชอบใช้ข้ออ้างประเภท ‘ไม่อยากเป็นก้างขวางคอเพื่อน’ แต่สถานการณ์จริงคือผมกับคีนได้นอนด้วยกันซะเมื่อไหร่ล่ะ

“ปอม!” ผมตะโกนเรียกชื่อมันจากทางด้านหลังพร้อมๆ กับเอื้อมมือไปตีไหล่เต็มแรง มันสะดุ้งเฮือกหันมาเหลือกตาใส่อย่างกับเห็นผี ตกใจได้โอเวอร์สุดๆ ดีหน่อยที่ไม่ถึงขนาดกับปล่อยโทรศัพท์ลงพื้น ถ้าเป็นแบบนั้นผมงานเข้าชัวร์

“ไอ้เชี่ย! มึงมาที่นี่ได้ไง?” ไอ้ปอมหันขวับมามองด้านหลัง เมื่อมันเห็นว่าเป็นผมก็รัวคำถามด้วยเสียงตื่นๆ ดวงตารีคมเหลือบซ้ายขวาดูมีพิรุธชอบกล ลักลอบคบชู้หรือไงวะ

“คีนรับงานถ่ายพรีเวดดิ้งแถวนี้ มึงเหอะหายหัวไปไหนมาทั้งอาทิตย์?” ผมเลือกที่จะตอบคำถามของเพื่อนตามตรงพลางลอบมองสำรวจปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปหลังจากโดนถามกลับบ้าง เมื่อครู่มันกลอกตาหลุกหลิกแต่ตอนนี้ถึงขั้นสั่นขาคล้ายเตรียมวิ่งหนี

“นอนบ้านไง”

อะ โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะเพื่อน

“ตอแหล”

“เอ้า ไม่เชื่อกูอีก” มันแสร้งโวยวายแต่ไม่กล้ามองตาผมกลับเลยสักนิด สกิลการโกหกตกต่ำพอๆ กันเลยเหอะ โดนจับได้คงไม่แปลกอะไร

“ก็แม่มึงบอกเองว่าลูกชายสุดที่รักไม่ยอมกลับบ้าน” ผมหรี่ตามองพร้อมกับเอ่ยถึงคำพูดที่แม่ของไอ้ปอมเคยบ่นๆ ไว้ในวันนั้นซึ่งเผอิญเจอกันพอดี แต่เธอก็ไม่มีทีท่าเดือดร้อนเรื่องลูกชายไม่กลับบ้านหรอกเพราะรู้ดีว่ามันโตเป็นผู้ใหญ่รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว แต่ผมเนี่ยอยากเผือกจะแย่ว่าเพื่อนหนีไปซุกหัวนอนที่ไหนมากันแน่

“อย่ามาอำ” ไอ้ปอมมองกันด้วยสายตาหวาดระแวงแต่ผมกลับเมินเฉยแล้วควานมือหยิบขวดน้ำขึ้นมากระดกใส่ปาก เอาจริงๆ ก็แค่อยากแกล้งถ่วงเวลาให้มันงุ่นง่านมากกว่าเดิม ถือว่าเป็นการลงโทษในข้อหาที่ไม่กลับคอนโดนานนับอาทิตย์โดยไม่บอกกล่าว คิดดูสิว่าผมจะกังวลเรื่องเพื่อนแค่ไหน

“แม่มึงไปซื้อเพชรที่ร้านเหอะ” นั่นล่ะที่ทำให้ผมเจอแม่ไอ้ปอม

“อ้าวเหรอ? แหะๆ” มันร้องเสียงสูงก่อนจะแสร้งหัวเราะขำๆ ออกมา แต่อย่าคิดว่าผมจะปล่อยผ่านนะเว้ย ยังไงก็ต้องคาดคั้นเอาตำตอบให้ได้

“ตกลงจะตอบได้ยังว่าหายไปไหนมา?” ผมถามย้ำก่อนจะเก็บขวดน้ำลงถุงแล้วจ้องไอ้ปอมเขม็งเพื่อกดดัน คือถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทที่ปกติแล้วจะบอกกันทุกเรื่องคงไม่ต้องสนใจขนาดนี้ แต่นี่อยู่ๆ เลิกเรียนเล่นหายหัวตลอด ใครก็เป็นห่วงปะวะ กลัวโดนผู้หญิงหลอกไปปลิ้นไง เชี่ยแม่งชอบเมาเรื้อนอยู่ด้วย

“ก็... โฮมเขาย้ายไปอยู่คอนโดอะ กูเลยไปช่วยขนของ” มันตอบเสียงอ้อมแอ้มไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเหมือนตอนปกติแถมสีแก้มยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจนผมนึกหมั่นไส้ ผ่านผู้หญิงมาก็เยอะแต่ดันเขินผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ เออ นี่ล่ะคืออานุภาพแห่งรักที่แท้จริง

“แล้วมึงก็เสนอหน้าไปนอนเป็นเพื่อนเขาด้วย?” ผมสันนิษฐานตามนิสัยของเพื่อนซึ่งมีความเจ้าเล่ห์อยู่มากไม่แพ้กัน ไอ้ปอมถึงกับหันขวับมามองด้วยสายตาอึ้งๆ ขยับตัวเข้าประชิดเพื่อกระซิบถามด้วยเสียงสั่นๆ

“นี่เพื่อนหรือแฝดทำไมรู้ดีจังวะ?”

ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจคำถามของมัน เป็นแค่เพื่อนที่สนิทกันมาเกือบสิบปีไง เรื่องแค่นี้ไม่รู้ก็โง่เกินไปแล้วเหอะครับ

“ได้กันแล้ว?” ผมถามหน้านิ่งแต่ปากกลับกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ได้ก็งามไส้แล้วมึง ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเว้ย” ไอ้ปอมตอบเสียงเครียดหน้าเครียดก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิงเพื่อตกย้ำว่าสิ่งที่มันพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ทว่าสำหรับผมมันโคตรน่าเหลือเชื่อ เพลย์บอยตกม้าตายเพราะผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งเนี่ยนะ? ที่ผมอึ้งไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ยังไม่คืบไปไหนต่างหาก (ไอ้การกอดแบบลึกซึ้งน่ะ ควรเริ่มตอนทั้งคู่พร้อม อันนี้ไอ้กิมเข้าใจดี)

“เอ้า ไม่คืบหน้าเลยเหรอ?”

“เออ โฮมใจแข็งกว่าที่คิดไว้เยอะอะ” ไอ้ปอมหยุดขยี้หัวแต่เปลี่ยนเป็นถอนหายใจยาวๆ ออกมาแทน ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของมันเลยส่งมือไปตบบ่าเพื่อให้กำลังใจ คนที่มีแต่ผู้หญิงเข้าหาโดยไม่ต้องลงมือจีบใครก่อนอาจจะเหนื่อยหน่อยที่ต้องรอ แต่เชื่อเหอะว่าความรักสามารถทำให้เราอดทนได้เก่งขึ้นจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ

“สู้ๆ นะมึง แล้วมาทำอะไรแถวนี้?” อะ วนเข้าคำถามที่อยากรู้มากที่สุด เพราะนานทีปีหนไอ้ปอมจะยอมถ่อสังขารขับรถมาที่ไกลๆ แบบนี้ ซึ่งผมเองถ้าคีนไม่รับงานถ่ายพรีเวดดิ้งก็คงไม่อินดี้พอจะเดินทางเหมือนกัน

“พาโฮมมากินข้าว แล้วเย็นๆ ว่าจะไปเดินตลาดนัดเลียบด่วน”

อยากจะแหมให้ถึงดาวอังคารเว้ย เนี่ย ยอมไปไหนมาไหนไกลๆ ทั้งที่ไม่ชอบขับรถ เอาใจทุกอย่างไม่ว่าเขาอยากทำอะไร เที่ยวที่ไหน กินอะไร อานุภาพแห่งความรักสามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้จริงๆ ผมอยากแซวเพื่อนต่ออีกสักหน่อยแต่เผอิญว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นหลายรอบบ่งบอกว่าถูกตามตัวแน่ๆ

“อ้อ เออๆ ไว้เจอกันที่มหา’ลัย กูต้องกลับแล้ว” ผมโบกมือลาในขณะที่ไอ้ปอมก็พยักหน้ารับแถมยังจะอาสาไปส่งกันเลยต้องปฏิเสธเพราะระทางไม่ได้ไกลมากมาย เดินออกกำลังกายบ้างก็ดีเนื่องจากช่วงนี้รู้เสื้อผ้าคับยังไงชอบกล ฮือ เริ่มกินเยอะเหมือนคีนแต่อ้วนไง เศร้า!



ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมรีบสาวเท้ากลับไปหาสมาชิกทีมถ่ายงานพรีเวดดิ้งเพราะคิดว่าทุกคนคงหิวน้ำ แต่สิ่งที่เห็นคือพวกเขานั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้พูดคุยกันอย่างออกรสและมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดี คีนเป็นคนแรกที่มองเห็นผมแล้วกวักมือเรียกให้ร่วมวง ทว่าไอ้พี่กันต์ทำไมดูร่าเริงผิดปกติวะ คิดแผนแกล้งใครอยู่หรือเปล่า โคตรไม่น่าไว้ใจ

ผมวางถุงใส่ขวดน้ำลงบนตักเจ้าบ่าวที่อยู่ๆ ก็บ่นว่าคอแห้ง พี่กันต์ไม่ด่าอะไรแต่กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางคีนซึ่งกำลังลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาใส่หูกระต่ายแถมในมือยังถือ Veil (ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว) ของพี่ปุ้นอยู่ด้วย คือ... ลางสังหรณ์มันบอกว่ากูจะฉิบหายเร็วๆ นี้ล่ะ

“ถ่ายรูปคู่กัน” คีนโปรยยิ้มหวานหลังพูดจบแล้วส่ง Veil มาให้ผมซึ่งยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะรู้ตัวว่าจะต้องทำอะไรต่อไป โอย คือมันสลับโพสิชั่นกันหรือเปล่าอะ ผมต้องใส่หูกระต่ายไหม โธ่ ไม่แกล้งกันแบบนี้สิ ไม่น่ารักเลย

“ให้เราใส่เวลล์จริงๆ เหรอคีน?” ผมมองผ้าคลุมผมเจ้าสาวแบบยาวถึงไหล่ในมือคีนด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ไอ้ใส่มันก็ได้อยู่หรอกแต่เกลียดสายตาของสามคนที่เหลือน่ะ... แม่ง จะทำหน้าสะใจอะไรขนาดนั้นเว้ย

“อื้อ ไม่อยากเป็นเจ้าสาวของเราบ้างเหรอ?” อะ โดนคำถามนี้เข้าไปผมแทบจะหงายหลังลงไปนอนบนพื้นหญ้า ยิ่งคีนกระพริบตาปริบๆ คล้ายต้องการอ้อนก็ยิ่งทำให้หัวใจทำงานหนักมือไม้อ่อนแรงแทบตบปากรับคำเดี๋ยวนั้น โอ๊ย ตั้งสติก่อน มึงไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งเจ้าสาวนะเว้ย

“โธ่ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเราเป็นอะไรของคีน” ผมบ่นพึมพำทั้งที่ใจอ่อนไปมากกว่าครึ่ง พยายามไม่สบตาอ้อนๆ ของเขาแต่สุดท้ายกลับแพ้การกระทำที่เจ้าตัวขยับมาใกล้แล้วเกาะแขนเหมือนเด็กน้อยนั่น อ้อนเข้าไปให้หัวใจผมแหลกเป็นผุยผงเลยจ้า

“นิดเดียวเอง ไม่ได้เหรอครับ?”

“ไม่อ้อนดิ” ผมพยายามทำใจแข็ง เม้มปากกลั้นยิ้มเมื่อหัวทุยๆ ของแฟนถูไถต้นแขนโดยไม่อายคนอื่นที่กำลังผิวปากล้อเลียนถือว่าโคตรลงทุนกับรูปคู่สุดๆ แต่ขอเล่นตัวอีกนิดเถอะน้า อยากรู้ว่าคีนจะทำยังไงต่อ

“น่านะ พี่กิมสุดหล่อของผม” พร้อมกับการเงยหน้าจุ๊บปลายคางหนึ่งที

อะ แผ่นดินไหวแต่ผมไม่ไหวครับคุณ! ใจเหลวหมดแล้วจ้า

“แม่ง... จะถ่ายสักร้อยรูปก็จัดมา!” เนี่ย ฉันแพ้ให้เธอทุกทาง โอ้ ที่รัก ~

ตากล้องจำเป็นคือไอ้คนที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ตั้งแต่ผมกลับมาจากซื้อน้ำนั่นล่ะ จะว่าพี่กันต์ขี้แกล้งก็ใช่แต่เวลาเป็นงานเป็นการก็ตั้งใจจนไม่มีที่ติ ภาพที่ได้คือสวยอลังการเหมือนผมกับคีนเป็นบ่าวสาวที่กำลังจะแต่งงานกันซะเอง มันก็เขินๆ กันนิดหน่อยล่ะวะ หูย

เมื่อการถ่ายพรีเวดดิ้งรอบเช้าจบลงพวกเราก็เก็บของย้ายสถานที่ไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนจะเตรียมตัวเพื่องานตอนเย็นที่สะพานพระรามแปด เอาเป็นว่าพี่กันต์กับพี่ปุ้นใช้งานคุ้มค่าจ้างจริงๆ

ผมยังคงเป็นสารถีในการขับรถอีกเช่นเคย ในขณะที่ผู้โดยสารสาวสวยเพียงคนเดียวหลับคอพับคออ่อนอยู่ด้านหลังเพราะเมื่อคืนแก้ชุดเจ้าสาวจนดึกดื่น ส่วนคีนก้มหน้าก้มตากดอะไรยุกยิกในโทรศัพท์มาร่วมสิบนาทีแถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอใจอีกด้วย โอย ต่อมเผือกเริ่มทำงานอะ แอบคุยกับใครเนี่ย ฮึ่ม!

ช่วงจังหวะที่เราแวะซื้อขนมทานเล่นเป็นมื้อบ่ายนั้นผมไม่ได้ลงจากรถเพราะพี่ปิ๊งยังหลับสบายอยู่ตรงเบาะหลังเลยมีเวลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูบ้าง แต่ยังไม่ทันได้สแกนนิ้วสายตาดันสะดุดแจ้งเตือนแอปฯ ไอจีว่ามีใครคนหนึ่งแท็กรูปมาหากัน

the_kirin.z เจ้าสาวของผมสวยไหม? ในอนาคตเรามาแต่งงานกันเถอะนะ

ผมได้แต่ยกมือปิดปากเพื่อซ่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจและหัวเราะกับรูปภาพที่ปาากฏบนไอจี มันคือตอนที่เราหันหน้าเข้าหากัน จับมือ มองตา แต่สุดท้ายดันหลุดหัวเราะ แต่บรรยากาศโดนรวมก็ยังหวานซึ้งจนทำให้ใครหลายคนอิจฉาตาร้อนเข้ามาคอมเม้นต์มากมาย

โอย ถ้าคีนจะมีความสุขขนาดนี้ผมยอมเป็นสามีในคราบเจ้าสาวของเขาก็ได้ครับ และผมจะรอคอยวันที่เราได้แต่งงานกันนะ



--------------------------------------

หวานไม่หวานไม่รู้ แต่อิจฉาจนตาร้อนแล้วจ้า 55555

ตอนหน้าเหลือแค่บทส่งท้ยแล้วนะ เจอกันใหม่ในนิยายเรื่องใหม่ วันส่งท้ายปีเลย จุ๊บๆ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอยยยยย คีน พอคบกันแล้ว หวานมาก หวานเวอร์
เปิดตัวรัวๆ จับจองแบบไม่ให้ใครได้เข้าใกล้อีก

กิมแพ้ทางคีนตลอด แพ้ความขี้อ้อนและอ่อยเก่งของคีน
งอแงเก่ง จนคิดว่า ควรเปลี่ยนคีนรุกมากกว่า 5555

น่ารักมากค่ะ โมเมนท์กิมคีนคือมุ้งมิ้งมาก
คุยนิดคุยหน่อย งับจมูก หอมแก้ม จุ๊บ น่าจับฟัด

ตอนนี้กิมแต้มนำปอมแล้วนะ เร่งทำคะแนนหน่อย
ตอนแรกมัวแต่ไม่ชัดเจน โดนโฮมเอาคืนเลย


แงงงง ยังไม่อยากให้จบเลย

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อยากได้คีน กิมขอคีนเถอะนะ โอ้ย! :z6: ตีนลอยมาจากไหน

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ้อนเก่ง คีนก็ยอมตลอด555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จุดบรรจบ


เช้าวันเสาร์ที่แสนเหี่ยวเฉาทำให้ผมนอนแผ่บนเตียงด้วยความขี้เกียจ มองซ้ายก็เจอหมอนข้าง มองขวาก็เจอโต๊ะเลยได้แต่ถอนหายใจทิ้งก่อนขยับตัวซุกผ้าห่มมากกว่าเดิมในขณะที่คีนนั้นเดินทางไปรับงานถ่ายพรีเวดดิ้งที่ชลบุรี เนี่ย ผมจะตามเขาเหมือนหมาติดเจ้าของก็ไม่ได้เพราะตอนเย็นต้องออกงานการกุศลกับแม่อีก โธ่ ทำไมคุณนายต้องอยากควงลูกชายแทนสามีเล่า!

เปลือกตากำลังจะปิดลงอีกครั้งถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงครืดๆ ของโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ผมตลบผ้าห่มให้เปิดออกแล้วใช้มือควานหยิบมันขึ้นมารับสายโดยไม่ได้ดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ แม่ง ใครที่ไหนมันรบกวนเวลานอนแสนหวานของกูนักวะ คนยิ่งเซ็งๆ ด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลยดีไหม

“คนจะหลับจะนอน โทรมาทำไมนักหนาวะ!” ผมตะโกนด่าด้วยอารมณ์หงุดหงิดก่อนหอบหายใจแฮ่กเพราะใช้กำลังมากเกินไป แต่แทนที่คนปลายสายจะสำนึกกลับได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ลอดออกมา ใครมันกล้าดีขนาดนี้วะ ไม่เคยเจอฤทธิ์เดชของไอ้กิมซะแล้ว

‘สายแล้วครับคุณกิม เดี๋ยวชมจันทร์โมโหหิวนะ’ อะ แค่ได้ยินเขาพูดชื่อไอ้ตัวขนฟูก็รู้แล้วว่าใครอยู่ปลายสาย จากที่ผมกำลังง่วงๆ ก็กลายเป็นตื่นเต็มตาแถมรีบกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงรีบสับขาไปหากระต่ายในกรง โอย ลืมไปซะสนิทเลยว่าคีนฝากเลี้ยงน้องชาย แล้วเมื่อครู่ยังเผลอด่าให้อีก เสี่ยงหัวขาดไหมเนี่ยกู!

“ขอโทษๆ ไม่คิดว่าคีนจะโทรมา” ผมละล่ำละลักเอ่ยของโทษแฟนแล้วตรงดิ่งไปหาชมจันทร์ที่ตอนนี้กำลังคาบถาดใส่หญ้าเหวี่ยงชนกรงดังปึกๆ ดูท่าทางโมโหหิวอย่างที่คีนบอกไว้ แล้วถ้าผมเปิดประตูเทอาหารใส่ให้จะโดนกัดมือปะเนี่ย คนเคยมีประสบการณ์ก็ต้องระแวงเป็นธรรมดา

‘รู้ว่ากิมจะตื่นสาย เราเลยโทรมาปลุกไง’ เสียงหัวเราะปลายสายทำให้ผมพลอยยิ้มตามไปด้วย คีนไม่โกรธแถมยังมองเป็นเรื่องตลกอีกต่างหาก นี่ล่ะแฟนในฝันที่ต้องการ ไม่งี่เง่า เข้าใจเหตุผลของการกระทำต่างๆ แต่ว่านะ... โทรมาปลุกกันขนาดนี้มันไม่น่าฟัดเกินไปหน่อยเหรอ มันเขี้ยวว่ะ โอย คิดถึงแล้ว

“คีนโคตรน่ารักเลยว่ะ” ผมกัดฟันพึมพำเพราะต้องการข่มอารมณ์อยากจับเขาฟัดให้น่วมไว้ข้างใน พยายามเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองด้วยการหยิบกระป๋องใส่อาหารของชมจันทร์มาเปิดรอไว้ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปถอดสลักกลอนประตูออก ไอ้ฟูรีบเสนอหน้าทำจมูกฟุดฟิดหาของกินด้วยท่าทางน่ารัก แม่งเอ๊ย เข้าใจแฟนแล้วว่าทำไมหลงมันนักหนา

‘เราแค่กลัวกระต่ายหิวน่ะ’ คีนหัวเราะเสียงดังกว่าเดิมเหมือนถูกใจนักหนาที่สามารถแกล้งผมให้เกือบทำกระปุกอาหารกระต่ายร่วงจากมือ ไอ้ชมจันทร์มันมีดีอะไรนักหนาเนี่ย ชักอิจฉาตาร้อนแล้วสิ จับย่างกินซะนี่ ไม่ต้องมาทำตาแป๋วเลย!

“โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าแฟนจะโทรปลุกเหมือนคู่อื่นซะอีก” ผมแกล้งตัดพ้อพลางเทอาหารใส่ถาดให้ชมจันทร์ประมาณหนึ่ง เจ้ากระต่ายรีบกระโจนใส่ของกินเคี้ยวแก้มตุ่ย เฮ้อ การเลี้ยงสัตว์ก็เพลินดีเหมือนกันนะ ในอนาคตผมอาจจะงอกเจ้าขนฟูอีกสักตัวก็ได้

‘หึหึ เราไม่ใช่สาวๆ สักหน่อย’ อะ ปลายสายเขาว่ามาแบบนั้นก็อย่าเถียงเลย

“ครับๆ เราให้อาหารชมจันทร์แล้วนะ” ผมบอกคีนก่อนจะลงกลอนประตูให้ชมจันทร์แล้วตรวจดูน้ำในขวดว่ามีปริมาณพอดื่มหรือไม่ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ลุกขึ้นปิดขี้เกียจพลางหาวหวอดออกมาจนน้ำตาไหล ถ้าไม่ติดว่าได้คุยกับเขาคงซุกผ้าห่มต่อแน่ๆ โคตรง่วงจ้า เมื่อคืนมัวแต่เล่นเกมไง

‘อื้อ อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ’

อุบ... ผมเบิกตาโตก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากซ่อนรอยยิ้มกว้างเอาไว้ มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใครอื่นรู้นอกจากตัวเองว่ากำลังเขินแฟน ฮึ่ย เนี่ย น่ารักน่าฟัดอีกแล้ว

“ฮันแน่ เป็นห่วงเราอะดิ” ผมแซวคีนด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อสูดอากาศยามเช้าเข้าปอด อยู่คอนโดชั้นสูงๆ มันก็ดีอยู่หน่อยหนึ่งตรงที่ไม่ต้องเจอมลพิษมากมาย

‘เปล่า... เป็นแฟนต่างหาก’

เดี๋ยว... ตอนแรกแทบจะเข่าอ่อนเพราะโดนปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ไอ้ประโยคหลังเนี่ยทำให้ผมกระโดดโลดเต้นระบายอารมณ์มันเขี้ยวคีนอย่างบ้าคลั่ง ดูเขาสิครับ เดี๋ยวนี้ออกตัวแรง หยอดได้หยอดเอาตลอด โว๊ย ขับรถไปหาตอนนี้เลยได้ไหม ทนไม่ไหวแล้วจ้า!

“ตั้งใจจะฆ่าเราใช่ไหมเนี่ย? กลับมาโดนหนักแน่!” เนี่ย ชอบมายั่วตอนอยู่ห่างกันให้ผมลงแดง พอทำอะไรไม่ได้ก็ทรมานเก็บความมันเขี้ยวสะสม แล้วเมื่อคียกลับมาไอ้ความทะนุถนอมหลุดหายไปจากสมองเหลือแต่ความอยากกอดแรงๆ ฮึ่ย!

‘เราไม่กลัวหรอก แค่นี้นะ จะไปทำงานแล้ว’ อะ คนไม่กลัวเขาจะหนีไปทำงานแล้วเว้ย ไอ้คนโดนแกล้งจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้ารับกับท้องฟ้าและสายลม

“ครับๆ ตั้งใจทำงาน รีบกลับมาด้วย” ไม่ลืมย้ำให้เขารีบกลับคอนโด ก็คนมันคิดถึง ~

‘รับทราบครับคุณกิม’

อ่า สบายใจแล้ว อาบน้ำได้!

ผมรีบออกจากห้องโดยลืมกินมื้อเช้าเพราะลืมว่านัดไอ้ว่านเอาไว้เพื่อจะไปซื้อของด้วยกันที่ห้างฯ ส่วนคุณกะปอมนั้นติดเมีย เอ๊ย ติดเด็กอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ โทรไปก็ไม่รับไลน์ไปก็ไม่ตอบ เอาเป็นว่าผมได้แช่งให้มันสำลักความสุขตายซะแล้ว

เสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบยังเป็นไอเท็มโปรดที่ผมหยิบมาใส่มันทั้งสะดวกและยังคลาสสิคไม่เปลี่ยนแปลง รถเอสยูวีสีเขียวมินต์พุ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่ด้วยความเร็วที่ช้าอย่างกับเต่าเพราะไม่ว่าเวลากี่โมงจราจรก็ยังติดขัดเช่นเคย สายแน่ๆ ไอ้ว่านด่าหูฉีกชัวร์

จอดรถปุ๊บเสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สิบ หน้าจอแสดงชื่อ ‘ต้นว่าน’ โดยไม่ต้องหยิบขึ้นมาดู ถ้าผมรับสายตอนนี้มีหวังขี้หูเต้นระบำแน่ๆ สู้วิ่งเข้าหาไปเจอมันเลยดีกว่า เอาวะ ตายเป็นตาย

‘ไอ้สัด!’

อ่าฮะ... ผมนี่แทบเบรกหัวทิ่มเมื่อเห็นเพื่อนอยู่ไกลๆ แต่มันดันขยับปากชัดเจนเป็นคำด่า ถ้าผมไม่ต้องพึ่งพาอาศัยไอ้ว่านป่านนี้คงชูนิ้วกลางใส่ไปแล้ว แต่ความเป็นจริงทำให้แค่ยิ้มประจบประแจงเหมือนหมาอ้อนเจ้านาย ทำหน้าตาใสซื่อก่อนจะเข้าไปกอดไหล่อย่างทะนุถนอมยิ่งกว่าเมีย

“รถติดครับคุณ อย่าเพิ่งด่าต่อ” ผมรีบเอ่ยปากก่อนที่ไอ้ว่านจะร่ายคำด่าออกมา มันหรี่ตามองก่อนสะบัดหน้าหันแสดงความไม่พอใจ มึงรอกูแค่ยี่สิบนาทีไม่ได้เลยเนอะ นี่ก็คนติดผัวเหมือนกันจ้า

“ชอบดักคอ!” เอ้า ทำปากยื่นใส่อีก กูไม่บีบคอมึงก็บุญแค่ไหนแล้ว

“อย่าโกรธสิ กูขอโทษที่มาช้า” ง้อมันหน่อย เดี๋ยวจะงอนจนปล่อยให้ผมเดินซื้อของคนเดียวจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นแย่แน่

“เออๆ จะไปซื้อของก็รีบๆ ถ้าพี่โซนมาถึงไวกูทิ้งมึงแน่” มันสะบัดบ๊อบเดินนำแต่ผมยังอยู่ที่เดิมเพราะงงๆ กับสิ่งที่ได้ยิน คนอย่างพี่โซนคงไม่มาก่อนเวลานัดมั้ง ปกติต้องเลทสักสิบนาทีอะ

“ไหนบอกว่านัดบ่าย?” ผมสาวเท้าตามเพื่อนจนทันก่อนจะพาดแขนยาวๆ ลงบนบ่า ไอ้ว่านหันมาเลิกคิ้วทำหน้าใสซื่อแต่ดวงตากลับมีประกายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด นี่สรุปว่ามึงนัดซ้อนเหรอหรือยังไง? กูจะได้เตรียมตัวเตรียมใจถูก

“นัดบ่าย แต่กูให้พี่โซนมาเที่ยง” อะ ยักคิ้วกวนประสาทแถมยังยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบแก้มผมพลางหัวเราะคิกคักอีก ไอ้ว่านคนหลายใจเอ๊ย นัดซ้อนเพื่อ!

“ไอ้ว่าน มึงนี่มัน...” กำลังจะด่าต่อแต่ไอ้ว่านดันเอามือมาดีดปากผมแถมถลึงตาใส่อีก คราวนี้มึงผิดนะเว้ย จะเอาเขกหัวสักทีก็ไม่กล้าอีกกลัวมันไปฟ้องพี่โซน

“อีกชั่วโมงครึ่ง” ดูมัน... เอาเวลาที่เหลือว่าข่มขู่เพื่อนแบบนี้ก็ได้เหรอวะ? คิดว่าผมจะกลัวเหรอไง ฮือ ยอมแพ้ก็ได้!

“เออ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!”

ไอ้ว่านคนดีศรีสังคมมันลากผมเค้าร้านหนังสือและเครื่องเขียนชื่อดังเพื่อหาซื้ออุปกรณ์ทำของขวัญวันเกิดเซอร์ไพร์สคีนในอาทิตย์หน้า ในหัวมีความคิดแค่ว่าอยากใช้รูปที่แอบถ่ายแฟนมาตั้งนานเพื่อปริ้นท์ ตัด แล้วยัดลงกล่องสวยๆ สักใบพร้อมด้วยการ์ดทำมือและกระเป๋ากล้องใบใหม่ แต่ว่าที่คุณหมอบอกว่ามันธรรมดาเกินไป ก็ความสามารถกูมีแค่นั้น กลัวทำเยอะไปแล้วเละไม่เป็นท่านี่หว่า

“มึงจะปริ้นท์รูปคีนตั้งแต่สมัยมัธยมอะนะ?” ไอ้ว่านเงยหน้าขึ้นจากกล่องกระดาษหลากสีเพื่อสบตาผมที่ยืนค้ำหัวมันอยู่

“อืม” ผมพยักหน้ารับ ส่วนมันส่ายหัวดิกพลางโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ เอ้า กูผิดอะไรอีกเนี่ย

“ภูมิใจนำเสนอความโรคจิตของตัวเองเนอะ” อะ จะไล่จะแซวเอาสักอย่าง เดี๋ยวกูหยิบกล่องครอบหัวมึงซะเลยนี่ ชักเริ่มรำคาญ!

“ปากหมาจริง” ผมบ่นพึมพำก่อนจะหันไปสนใจพวกปากกาต่างๆ อันนี้ก็น่าซื้อให้คีนเพราะเห็นเขาชอบใช้จดแล็คเชอร์ อืม... เอาสีอะไรดีน้า ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าควรซื้อแท่งไหนดีนั้นกลับรู้สึกว่ามีพลังงานอะไรบางอย่างจ้องเขม็งอยู่ด้านหลัง ยิ่งได้ยินเสียงลมหายใจฟึดฟัดนี่เดาได้ไม่ยากเลยจ้า ไอ้ว่านชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์

“ด่ากูเดี๋ยวก็ทิ้งซะเลยนี่” หูย ไอ้คนหูดียิ่งกว่าหมา ยอมแพ้ๆ

“หยอกนิดหยอกหน่อย ไม่จริงจังดิ” ผมยกมือขึ้นยีหัวเพื่อนเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมองหน้า อารมณ์ตอนนี้คนนอกคงคิดว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกันแน่ๆ แต่มันก็คุ้มตรงที่ไอ้ว่านเขินหน้าแดงอะ หึหึ แกล้งง่ายฉิบหาย

“เออ กูจะแนะนำให้ทำ Photo Book จะได้เขียนบรรยายความรู้สึกลงไปด้วย ดูดีกว่ามึงจับรูปยัดๆ ใส่กล่องเยอะ” ไอ้ว่านรีบหันหน้ากลับไปสนใจพวกอุปกรณ์พวกนั้นตามเดิมด้วยท่าทีลนลานเลยทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อสามารถแกล้งเพื่อนได้สำเร็จ จุดอ่อนของมันคือการโดนจ้องตานี่ล่ะ ไม่รู้จะเขินอะไรนักหนา แต่ที่เสนอมาเมื่อครู่ทำเข่าแทบทรุด บ้าเอ๊ย แค่ตัดรูปให้ตรงยังยาก นี่เพิ่มการบรรยายความรู้สึกลงไปอีก บ้าไปแล้วจ้า ไม่ใช่พวกผู้หญิงจินตนาการสูงสักหน่อย

“เพิ่มความยากไปอีก...” ผมบ่นงึมงำแต่ยังไม่ทันปฏิเสธไอ้คนหูดีก็หันขวับมาทำหน้าจริงจังใส่แถมยังกอดอกอีกด้วย อะไรอีกเนี่ย ก็มันยากไง... งานประดิษฐ์ประดอยสมัยประถมแม่ทำให้ทั้งนั้นเหอะ

“รักคีนไหมล่ะ?” เฮ้ย เล่นถามแบบนี้จะให้ตอบยังไงล่ะวะ

“รัก” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสายตาแน่วแน่แต่ในใจรู้สึกตงิดๆ ชอบกล เหมือนกำลังจะโดนคลื่นลูกใหญ่ซัดใส่เลยว่ะ

“งั้นก็ทำสิ ให้เขาประทับใจน่ะ” อะ ไอ้สัด มาเหนือจนผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะปฏิเสธก็กลัวเพื่อนหาว่าไม่รักแฟน ครั้นตอบรับไปก็กลัวทำพังแล้วไม่มีอะไรเซอร์ไพร์สวันเกิดคีนสักอย่าง เอาไงดีวะ หรือเปลี่ยนแผนซื้อเลนส์กล้องตัวใหม่ให้เลย คราวนี้จากฉายากิมจ๊อกลายเป็นอาเสี่ยแน่นอน สายเปย์สุดๆ

“เอาไง พี่โซนส่งไลน์มาแล้วนะ” ไอ้ว่านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโบกให้เห็นว่าพี่โซนไลน์มาหาจริงๆ ผมเม้มริมฝีปากชั่งใจคิดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เอาวะ ลองทำให้สุดความสามารถก็ได้

“มึงแม่ง... เออ ทำก็ทำ!”

สุดท้ายผมก็ได้อุปกรณ์ทำ Photo Book อย่างง่าย มีสมุดสเก็ตภาพ เทปลวดลายต่างๆ ของตกแต่ง สติ๊กเกอร์ ปากกาสี กระดาษสีและของจิปาถะอีกเยอะแยะจนไม่รู้ว่าจะเอามันไปใช้ประโยชน์อะไรได้แค่ไหนเนื่องจากคนเลือกคือไอ้ว่าน ผมยกถุงในมือขึ้นมองอีกครั้งก่อนจะก้าวเอื่อยๆ ออกจากร้านเพื่อหามื้อกลางวันกินคนเดียว ย้ำว่าคนเดียวเพราะเพื่อนตัวดีแยกไปหาแฟนแล้ว เนี่ย ขอร่วมทางด้วยก็ไม่ได้ เฉดหัวอย่างกับหมูกับหมาบอกว่าอยากสวีทกับแฟน เอ้อ ใช่สิ๊ ไม่สำคัญนี่ น่าน้อยใจชะมัด ฮึ!

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ตรงดิ่งกลับคอนโดเพื่อลงมือทำ Photo Book ทันที แต่อุปสรรคคือการที่ชมจันทร์คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ กระโดดขึ้นตักบ้าง คาบอุปกรณ์หนีไปตรงระเบียงบ้างจนทนไม่ไหวจนต้องไล่ไอ้อ้วนเข้ากรงก่อนหมดเวลาเล่นของมันซะอีก วันนี้งดวิ่งสักวันเนอะฟู พรุ่งนี้จะชดเชยให้จ้า

หาว ~

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็เห็นทั้งห้องสว่างด้วยการเปิดไฟ ผมหาวอีกครั้งก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบที่นอนฟุบโต๊ะไปเกือบสามชั่วโมง แต่เดี๋ยว... เมื่อตอนกลางวันกูไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้นี่ เฮ้ย!

“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มติดหัวเราะหน่อยๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังซึ่งเป็นโซฟาที่ผมใช้พิงตอนทำงาน ร่างกายแข็งทื่อเมื่อได้ยินประโยคคำถามนั่น นี่กูคิดถึงคีนจนหลอนขนาดนี้เลยเหรอ แต่มันชัดขนาดนี้ลองหันไปดูหน่อยคงไม่เสีย...

“คีน!” ผมแผดเสียงดังลั่นห้องเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งอยู่ด้านบนจริงๆ ดวงตารีที่มองตรงมามีแววตกใจแถมมือเรียวยังเอื้อมมาปิดปากกันอีกด้วย โว๊ย ผมเนี่ยช็อกแล้ว คีนตัวเป็นๆ มาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน!

“จะตะโกนทำไม? อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง” คีนมองผมอย่างคาดโทษก่อนปล่อยมือออกจากปาก เขาขยับไปนั่งพิงพนักโซฟาตามเดิมแต่ใบหน้าตกใจได้กลายเป็นการอมยิ้มขำซะแล้ว โธ่ ก็ผมตกใจนี่หว่า อยู่ๆ แฟนก็โผล่มาก่อนวันที่ตกลงว่าจะกลับ นึกว่าโดนผีอำอะ

“ไหนบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้ตอนเย็น?” ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน คีนไม่ได้ตอบในทันทีเหมือนต้องการแกล้งในอกแตกตาย และมันก็ได้ผลมากเมื่อผมทนไม่ไหวจนต้องย้ายตัวเองขึ้นนั่งบนโซฟาก่อนจะเอื้อมมือจับแก้มทั้งสองข้างของเขา พูดมาเร็วๆ สิคุณคนินท์ ไอ้กิมอยากรู้จนแทบดิ้นอยู่แล้วจ้า!

“ก็... สงสารกระต่ายน่ะ กลัวมันอดกินข้าว” คีนยักคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่กันในขณะที่ผมเผลอบุ้ยปากเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่ถูกใจ เนี่ย อะไรๆ ก็กระต่ายตลอด ไม่เห็นเคยคิดถึงแฟนบ้างเลย งอนได้ไหมไม่รู้ แต่ผมนี่เก็บไม้เก็บมือกอดรอบอกเรียบร้อย

“.....” ผมเปลี่ยนท่านั่งเป็นกอดเข่าไม่พูดไม่จาจนคนข้างๆ ถึงกับหลุดหัวเราะเสียงหึหึก่อนที่มืออุ่นจะวางแปะลงบนหัวแล้วออกแรงขยี้ โอย ไม่เอาโมเม้นต์แบบนี้ดิ แพ้ครับแพ้ ~

“ล้อเล่น ก็กิมบอกให้เรารีบกลับไม่ใช่เหรอ?” อะ คนขี้แกล้งสารภาพด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ดวงตารีเสมองไปทางอื่นผิดจากเมื่อครู่ที่แกล้งกันโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนลูกโป่งที่กำลังลอยขึ้นสู่ฟ้า หัวใจคันยุบยิบจนอยากหาที่ระบาย ฮึ่ย มันเขี้ยวจะแย่แล้วเว้ย

“น่ารักว่ะ” ผมกัดฟันกรอดพยายามอดทนกดความรู้สึกที่พุ่งพล่านแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ๆ ก็เผลอกระโจนเข้าใส่คีนแถมคร่อมไว้เกือบทั้งตัวอีกต่างหาก

“อย่าเพิ่ง... เรายังไม่ได้อาบน้ำ” คีนที่ตอนนี้โดนบังคับให้นอนราบลงบนโซฟารีบออกปากห้ามปรามเมื่อผมโน้มตัวใกล้เพื่อคลอเคลียจมูกกับซอกคอขาวเนียน มือเรียวยันแผ่นอกโดยออกแรงผลักอย่างเต็มที่จนผมรู้สึกจุก แต่เรื่องอะไรจะยอมแพ้ง่ายๆ ว่ะ ยอมอดอยากปากแห้งมาเกือบสองอาทิตย์แล้วเหอะ! (ขนาดย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบจริงจังยังไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมเข้าจังหวะบ่อยๆ เลย ชีวิตช่างเศร้านัก...)

“อยากฟัด” ผมบอกความต้องการก่อนจะเลียริมฝีปากที่แห้งผาก คีนหลุดหัวเราะพร้อมๆ กับยกมือขึ้นมาตีแก้มกัน เนี่ย เขาอนุญาตเมื่อไหร่ผมพร้อมรุกเลยนะ

“รอก่อนสิ ไอ้หมาตัวโต” อะ โดนปฏิเสธด้วยใบหน้าทะเล้นๆ ตบท้ายด้วยการโน้มคอผมลงไปจูบคืออะไรครับ นี่มันยั่วให้อยากแล้วจากไปชัดๆ ร้ายนักนะ!

“คีน...” ผมจะตายแล้วเนี่ย หน้าตาบิดเบี้ยวยิ่งกว่าคนปวดอึซะอีก คีนใจร้ายโคตรๆ เลย

“กิมจะทำ Photo Book ให้เราเหรอ?” อยู่ๆ คีนก็ชวนเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้นิ้วไปที่โต๊ะญี่ปุ่นด้านล่าง ไอ้ผมที่กำลังหื่นเต็มกำลังถึงกับชะงักค้างก่อนจะเบิกตาโตรีบกระโดดลงจากโซฟาเพื่อโกยอุปกรณ์ทุกอย่างลงกล่อง

“ระ รู้ได้ยังไง!?” ปากก็ยังจะถามเขาน้อ หลักฐานมัดตัวแน่นหนาขนาดนี้ แล้วผมก็เดาว่าคีนคงเห็นตั้งแต่กลับถึงห้องด้วย ตายๆ จากที่จะเซอร์ไพร์สกลายเป็นว่าเขารู้แผนทุกอย่าง แง๊ ไอ้ว่าน พังหมดแล้วมึง!

“รูปเราที่อยู่ในกล่องข้างโต๊ะกับอุปกรณ์นั่นไง” จ้า หยุดขยายความด้วยใบหน้าขำขันได้แล้ว ผมอายจนจะมุดพรมหนีอยู่แล้วเว้ย

“ฮือ หมดกัน ว่าจะทำเซอร์ไพร์สวันเกิดสักหน่อย” ผมบ่นหงุงหงิงเหมือนเด็กโดนขัดใจก่อนจะนั่งแหมะลงบนพรมอย่างหมดแรง ใบหน้าซบลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างยกขึ้นขยี้หัวตัวเองหนักๆ เนี่ย เกิดเป็นคนโง่แถมยังไม่รอบคอบอีก เฮ้อ คีนดีใจหรือเสียใจที่มีแฟนแบบผมเนี่ย

“หึหึ แค่เห็นรูปเราตอนเรียนมัธยมก็เซอร์ไพร์สแล้วปะ?”

“.....” อะ พูดไม่ออกเลยจ้า ได้แต่แสร้งนอนฟุบโต๊ะทั้งที่ในใจกรี๊ดเสียงดังจนหูแทบแตก ความลับเปิดเผยสองเรื่องเลยจ้า ชีวิตหนอชีวิต ต้องไปทำบุญโลงศพต่ออายุไหมเนี่ยกู

“ชอบเราตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ?” เนี่ย แค่เห็นรูปตัวเองก็สามารถประติดประต่อเรื่องราวได้ถูกต้อง ไม่เรียกคีนว่าคนเก่งก็ไม่รู้จะยังไงแล้ว ส่วนผมน่ะเหรอ... ทำได้แค่พยักหน้ารับหงึกๆ ทั้งที่ยังฟุบโต๊ะอยู่นั่นล่ะ ทั้งเขินทั้งอายแถมยังรู้สึกผิดที่ปิดบังเรื่องนี้กับเขาอีกต่างหาก

“อื้ม... ขอโทษที่ปิดบังนะ”

“เราสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แถมยังแซวกิมกับโฮมอีก โกรธบ้างไหม?” คีนไถลตัวลงมานั่งข้างกันในขณะที่ผมเพิ่งเลิกมุดหน้าลงกับโต๊ะ เรานั่งพิงโซฟาหันหน้ามองสบตา ต่างคนต่างแสดงความรู้สึกในหัวใจแบบไม่มีการเสแสร้ง

“ไม่เคยโกรธเลยครับ ตรงกันข้าม... การที่เราได้แอบมองคีนอยู่ห่างๆ ทำให้ความรู้สึกมันมีมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก” ผมระบายยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับกุมมือคีนเอาไว้เพื่อเสริมความมั่นใจให้มากขึ้น ใครจะโกรธเขาได้ลงในเมื่อผมไม่เคยแสดงออกว่าชอบเลยสักครั้ง มีบ้างที่พูดคุยด้วยแต่ก็เป็นแค่เรื่องสัพเพเหระทั่วไป

“อืม... รู้สึกเขินแปลกๆ” คีนหลุบตาลงต่ำ ใบหน้าค่อยๆ มีสีแดงระเรื่อขึ้นประดับลามไปถึงใบหู เขาน่ารักเสมอไว้ว่าจะเป็นตอนไหน ตั้งแต่มัธยมจนปัจจุบันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหมือนกับความรู้สึกของผมที่ยังมั่นคงกับคนๆ เดียวเสมอ

“รักนะครับ” ความรู้สึกที่มีให้เขาคงเป็นอย่างเดียวที่เปลี่ยนไป จากความชอบแปรผันเป็นความรัก ใช้เวลาบ่มเพาะความรู้สึกเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมันก็ออกดอกและมีผลให้ชื่นชม

“ไอ้กิมบ้า... เมื่อกี้เราเพิ่งบอกว่าเขินไม่ใช่เหรอ? ยังจะบอกรักอีก” อะ ผมโดนบ่นใส่แต่ไม่เห็นจะรู้สึกรำคาญเลยสักนิดในเมื่อคนตรงหน้าคือคนที่รักที่สุด

“ก็คีนเขินแล้วน่ารักไง” พูดอย่างเดียวกลัวเขาจะไม่ยอมรับเลยก้มหน้าลงขโมยหอมแก้มซะเลย แต่คีนดันไม่เขินต่อเพราะทำตาขวางใส่ผมซะแล้ว โอย ตายแน่ๆ

“อยากโดนเอาคืนใช่ไหม?” นั่น... กลายเป็นคนแค้นฝังหุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ กลัวแล้วจ้า แต่การท้าทายอำนาจมืดอาจจะได้พบเจออะไรดีๆ ก็ได้น้า

“จะทำอะไรเราล่ะ?” ลองดูสักครั้งคงไม่ตาย ~

“หึหึ ก็แบบนี้ไง” คีนพูดจบก็คว้าท้ายทอยของผมเข้าไปประกบปากจูบแลกเปลี่ยนความหอมหวานซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ส่งผ่านความรัก ความห่วงใยด้วยการกระทำที่มีความหมาย อ่า... ผลลัพธ์โคตรดีอะ ไว้โอกาสหน้าจะท้าทายบ่อยๆ เนอะ

จุดเริ่มต้นของผมคือคีนจนมาวันนี้เราเดินทางถึงจุดบรรจบได้ก็เพราะคีนอีกเช่นกัน

โชคชะตา สายลมแสงแดด สถาบันกวดวิชา กล้องถ่ายรูป อินสตาแกรม มหา’ลัย คอนโด กระต่าย พ่อแม่ คุณป้า ไอ้ว่าน ไอ้ปอม โฮม พี่ซัน พี่เซียน พี่โซน พี่ปิ๊ง น้ำปิง และทุกๆ สิ่งในชีวิต ผมขอขอบคุณที่เป็นใจให้การแอบรักของคนๆ หนึ่งสมหวังในที่สุด

ช่วงซึ้งๆ ถูกตัดจบด้วยเสียงครืดของโทรศัพท์ แทนที่ผมจะหงุดหงิดกลับยิ้มกว้างจนหน้าแทบเป็นกระด้งเมื่อเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าจอ รูปแผ่นหลังของตัวเองยามฟุบหลับอยู่กับโต๊ะพร้อมแคปชั่นที่ว่า...

the_kirin.z ขอบคุณที่รักกัน #mygimmick

อ่า... ให้ตายเถอะ แฟนผมน่ารักฉิบหาย!



-----------------------------------------

จบบริบูรณ์แล้วน้า ถ้ามีโอกาสเราจะได้เจอกิมกับคีนในรูปเล่ม

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะ จุ๊บ

อย่าลืมติดตามนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยเนอะ

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
หวานได้น่าอิจฉามากค๊าาาาา

 :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 406
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
หื้อออออ น่ารักกันมากๆเบยทั้งสองคน  :กอด1:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด