รูปถ่ายใบที่ 14
รูปและแคปชั่นในไอจีคีนในวันนั้นกลายเป็นประเด็นฮือฮาของเหล่าแฟนคลับของเขารวมไปถึงเพื่อนๆ ผู้อยากกินเผือกร้อนจำนวนมาก ไอ้ปอมนี่ตัวดีถึงขนาดโทรมาถามกันกลางดึกทำให้ผมหัวร้อนอยู่ไม่น้อยเมื่อเหลือบเห็นเวลาบนหน้าจอสี่เหลี่ยม แม่ง ตีสอง มึงควรนอนครับไม่ใช่แหกขี้ตาเพื่อรบกวนคนอื่นแบบนี้ แต่ผมก็รับสายแล้วตอบคำถามมันไปแบบมึนๆ ก็ง่วงอะ จำไม่ได้ด้วยว่าพูดอะไรไปบ้าง
ส่วนมากช่วงปิดเทอมผมจะใช้เวลาไปกับการหาโมเดล Nano Block หรือ 3D Crystal Puzzle แบบใหม่ๆ มาต่อเล่นแต่ปีนี้กลับแตกต่างออกไปเพราะต้องศึกษาเกี่ยวกับกล้องอย่างจริงจัง รุ่นไหนเหมาะสมกับการใช้เรียน ราคาประมาณเท่าไหร่ ควรซื้อเลนส์ไหนเพิ่มบ้าง อุปกรณ์เสริมที่ควรมีล่ะ ทำไมวุ่นวายขนาดนี้วะ โอย ปวดหัว
สุดท้ายผมก็ทิ้งทุกอย่างในมือลงแล้วเอนหลังนอนบนเตียงอย่างเกียจคร้านก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์ที่ไร้การแจ้งเตือนจากคีนมาแล้วสองวันเต็มๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเปิดคลาสสอนการถ่ายภาพให้กับบุคคลที่สนใจเป็นคอร์สระยะสั้นๆ ใช้เวลาสามถึงเจ็ดวันตามลำดับความชำนาญและไหวพริบของแต่ละคน
ผมก็อยากสมัครอยู่หรอกแต่อุปกรณ์ที่ต้องมียังไม่ได้ซื้อสักอย่าง แถมระยะเวลาแค่เจ็ดวันคงไม่สาแก่ใจ กับนายกวินท์แล้วนั้นคาดว่านายคนินท์คงต้องสอนทั้งชีวิตเลยล่ะมั้ง พอคิดได้แบบนั้นก็รีบคว้าโทรศัพท์มาพิมพ์มุกจีบสาวส่งให้คีนอย่างรวดเร็ว หวังว่าเขาคงจะอ่านมันบ้างนะ
กิมมิค : ถ้าเราสมัครเรียนถ่ายรูปบ้างคีนจะคิดค่าสอนเท่าไหร่?
แล้วผมก็ปล่อยโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวก่อนจะหลับตาลงเพื่องีบกลางวันสักเล็กน้อยเพราะช่วงเย็นมีนัดดูหนังกับไอ้ว่านและไอ้ปอมแล้วไหลไปร้านเหล้าต่อ ส่วนข้าวเย็นคงจบลงที่กับแกล้มล่ะมั้ง เปรี้ยวปากกันมานาน แต่จับไม่ทันได้เคลิ้มกลับได้ยินเสียงสั่นครืดๆ ดังขึ้นจนต้องรีบควานมือหาอุปกรณ์สื่อสารอีกครั้ง
คีน : ก็ตามที่เราลงรายละเอียดไว้ในไอจีไง ไม่มีราคาพิเศษนะครับ ~
ผมอ่านข้อความที่เขาส่งมาจบก็ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที ตอบมาแบบนี้ก็เข้าทางให้เล่นมุกโดยไม่ต้องพยายามชักจูงอะไรต่อแล้วน่ะสิ หึหึ
กิมมิค : ถ้าเราอยากให้คีนสอนตลอดชีวิต คิดเท่าไหร่?
ส่งไปแล้ว... และมันคิดว่าอีกฝ่ายอ่านทันทีเหมือนเปิดหน้าแชทค้างไว้ แต่รอเกือบนาทีก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมาจนผมเริ่มใจเสีย หรือเล่นมุกนี้คีนไม่ชอบว่ะ เสี่ยวเกินแน่ๆ เฮ้อ พลาด...
ครืด
เฮ้ย ไม่พลาด!
คีน : ก่อนจะให้เราสอนทั้งชีวิต กิมมีอุปกรณ์หรือยังเหอะ ทำมาพูดดี
คีน : /สติ๊กเกอร์กระต่ายแลบลิ้น/
แต่หน้าแตกละเอียดเลยเว้ย โธ่ ก็คนมันไม่ได้ศึกษาเรื่องกล้องขนาดนั้นเลยไม่รู่ว่าควรเลือกซื้อตัวไหน แบรนด์อะไรนี่หว่า ดูๆ ไปมันก็ความสามารถใกล้เคียงกันหมด โอย กูมาเรียนสาขานี้ทำไม๊ พ่อแม่รู้ว่ากากขนาดนี้คงให้ลาออกไปเลี้ยงควาย แต่ผมชอบถ่ายรูปเพราะมันสามารถบันทึกความทรงจำช่วงเวลานั้นๆ ไว้ได้
กิมมิค : ถ้าอย่างนั้นคีนช่วยไปซื้อกล้องกับเราหน่อยได้ไหม
จุดประสงค์หลักคือซื้อกล้องจริงๆ แต่จุดประสงค์รองคืออยากเจอหน้าคีนจะแย่ นี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว... โธ่ แค่วีดีโอคอลยังไม่มีโอกาสได้คุยเลย งานยุ่งอะไรขนาดนั้นครับว่าที่แฟน
คีน : พรุ่งนี้เราว่าง นัดมาได้เลย
อูย อยากจะโห่ร้องดีใจให้บ้านแตกแต่กลัวว่าแม่ช็อกตายไปซะก่อน เยส! คีนตอบรับผมแล้ว เราจะได้เจอกันแล้วเว้ย ผมกระโดดเหยงๆ ไปรอบห้องด้วยความดีใจจนชนกับเหลี่ยมโต๊ะนั่นล่ะ จุกเลยกู
“เหี้ย เจ็บ!” ผมสบถเสียงรอดไรฟันแล้วลูบช่วงต้นขาที่โดนชนเข้าอย่างจัง จริงๆ ถ้าขยับองศาอีกนิดก็ทิ่มเป้าพอดี โอย เกือบเสียลูกชายไปแล้วไหมล่ะกู
พอความเจ็บเริ่มคลายลงผมก็รีบพิมพ์ข้อความนัดหมายเวลาและสถานที่ส่งไปให้คีนทันที ฝ่ายนู้นตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์โอเคแบบน่ารักๆ เดาว่าพี่สาวคงซื้อให้ล่ะมั้ง
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงที่ผมลากสังขารเปื่อยๆ ลงจากห้อง รู้สึกหิวจนไส้แทบขาด ส่วนเรื่องงีบกลางวันกลับไม่ได้ทำอย่างตั้งใจเพราะเอาแต่นอนยิ้มเหมือนคนเมากัญชาเนื่องจากคิดเรื่องคีน พรุ่งนี้ก็จะได้เจอกันแล้ว โอ๊ย ตื่นเต้นจนใจสั่นเลยเนี่ย ทำไงดีๆ ปากแทบฉีกถึงหูแล้ว
“ตากิม” เสียงหวานๆ ของแม่ดังขึ้นเมื่อผมเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไปจนกลัวว่าเธอจะหาว่าลูกชายเป็นบ้า โธ่ อย่ามองด้วยสายตาจับผิดแบบนั้นสิครับ ผมหุบปากไม่ได้จริงๆ เพราะความสุขมันเอ่อล้นจนเก็บไม่ไหวเนี่ย
“ครับแม่” ผมเดินตรงไปหาแม่ที่ยังมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้า สังเกตจากท่าทางคงกำลังไม่พอใจกางเกงขาสั้นย้วยๆ กับเสื้อกล้ามแขนกว้างนี่สินะ
“ไปเปลี่ยนชุด” อยู่ๆ เธอก็ชี้นิ้วให้ผมเดินกลับไปชั้นบนแถมยังทำตาดุใส่อีกด้วย คือยังงงๆ อยู่ว่าทำไมต้องเปลี่ยนชุดตอนนี้ในเมื่อผมนัดกับเพื่อนตั้งสี่โมง
“หืม จะพาผมไปไหนครับ?” ผมเลือกที่จะตั้งคำถามนี้กับแม่เพราะรู้ว่าเธอไม่เคยเร่งรีบอะไรแบบนี้
“เราต่างหากที่ต้องพาแม่ไป” แม่ยักคิ้วสองข้างอย่างกวนๆ ก่อนจะไขว่ห้างแล้วเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่กลับทำให้ผมอึ้งแดก ก็จำได้ว่าไม่มีนัดกับแม่นี่นา อยู่ๆ ผมจะพาเธอไปไหนเล่า
“ห๊ะ?” ทำหน้าหมางงใส่แม่จนโดนตีเข้าที่หน้าท้องจังๆ หูย มือหนักเหมือนกันนะเนี่ย
“แม่จะเอาขนมไปฝากน้องคีน” เสียงเธอราบเรียบแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนผมเองถึงกับสตั้นไปสามวิ เมื่อครู่คงหูฝาดไปมั้ง ไม่เกี่ยวกับคีนหรอก อาจจะเป็นน้องคิมที่แม่เคยแนะนำให้รู้จักเมื่อต้นปีก็ได้มั้ง...
“แม่... ว่าไงนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งก่อนจะทิ้งก้นลงบนพนักวางแขนโซฟาที่แม่นั่งอยู่ เธอวางแก้วชาแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มผมจนยืดแถมยังส่ายไปมาจนรู้สึกเวียนหัว โอย ตอนนี้อยากอ้วกแล้วเนี่ย
“เราจะไปบ้านน้องคีนกัน” อะ ชัดกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วเพราะแม่กดหัวผมให้รับฟังประโยคนั้นจากปากชิดริมใบหูเลยเชียวล่ะ ดวงตาคมเบิกกว้างเนื่องจากตกใจตามมาด้วยเสียงเต้นตึกตักๆ ในอกด้านซ้าย อืม... หายหิว หายเวียนหัวเลย
“ผม... ผมแต่งตัวยังไงดี?” ความกังวลเกิดขึ้นเมื่อสายตามองสำรวจสภาพตัวเองในตอนนี้ ปกติแล้วผมจะไม่คิดมากเรื่องแต่งตัวแต่เพราะคราวนี้เหตุการณ์ไม่เหมือนกัน จะได้เจอคีนพร้อมกับแม่ของเขาเชียวนะ โอย ตื่นเต้นจนมือไม่สั่นขนาดนี้ต้องทำยังไงล่ะเนี่ย
“ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย ลูกดูแปลกๆ นะ” แม่หันมาจ้องผมด้วยสายตาจับผิด จะให้หลบหลีกก็คงไม่มีประโยชน์ในเมื่อเธอรู้จักนิสัยลูกคนนี้ดี ไม่เคยโกหกใครเนียน แสดงท่าทางนิ่งขนาดไหนก็โดนจับได้เสมอ เนี่ย นิสัยเหมือนคีนไม่มีผิด
“แค่ดีใจที่จะได้เจอเพื่อนครับ” ผมตอบปัดก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมหนีสุดชีวิต แต่คนอย่างแม่คงไม่ปล่อยให้ลอยนวลทั้งที่คำตอบมันไปคนละทางกับการแสดงออกว่าตื่นเต้นเมื่อครู่ เออ คราวนี้ผมพลาดจริงๆ นั่นล่ะ โธ่เว้ย ถ้าเธอรับไม่ได้ต้องทำยังไงต่อไปอะ
“หื้ม เย็นนี้มีนัดกับปอมกับว่านยังไม่เห็นแสดงอาการแบบนี้เลย”
“ก็มันไม่เหมือนกันนี่ครับ” ผมก็แค่พึมพำเบาๆ และคิดว่าแม่ไม่ได้ยินหรอก แต่พอหันหลังในเธอกลับมีคำถามที่ทำให้ต้องชะงักเท้า ปากสั่น ร่างกายชาวาบ รู้ได้ยังไงกัน
“ลูกชอบคีนเหรอ?”
“ทำไมแม่ถามแบบนั้นครับ?” ผมถามโดนไม่หันไปมองเธอเนื่องจากตอนนี้ไม่สามารถควบคุมสายตาเป็นกังวลหรือความสั่นของริมฝีปากได้เลย
“สายตาลูกมันบอก” น้ำเสียงของแม่ไม่ได้มีแววโกรธเคืองหรือเศร้าเสียใจที่ผมดันชอบผู้ชายด้วยกันเลยสักนิด มันมีแต่ความอ่อนโยนและเป็นห่วง จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจหันไปเผชิญหน้าด้วยท่าทางที่ไม่เปลร่ยนจากเดิม สั่นเหมือนเจ้าเข้าเลยกู
“คือผม...” อ่า พูดไม่ออกแถมยังเม้มปากแน่จนทำให้แม่ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อกอดปลอบ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายและหัวใจที่หวาดกลัว เธอจะเขาใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นของผมต่อคีนไหม หรือมันเป็นแค่เรื่องผิดปกติในสายตาผู้ใหญ่
“กิมจะชอบใครแม่ไม่ว่าหรอก ผู้หญิงหรือผู้ชายได้ทั้งนั้น ขอแค่มั่นใจว่าถ้าเลือกเดินทางนั้นแล้วจะไม่เสียใจและมีความสุขก็พอ” คำพูดของแม่นั้นทำให้ผมรู้สึกคัดจมูกขึ้นมาดื้อๆ แถมยังกระชับกอดร่างบางแน่นขึ้น ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะรับเรื่องแบบนี้ได้ทั้งที่เมื่อก่อนพยายามหาผู้หญิงดีๆ ในกันเสมอมา ผิดคาดจนทำให้น้ำตาผมไหลเพราะดีใจมาก
“.....”
“เอ้า ร้องไห้ทำไมหื้ม โตป่านนี้แล้วยังขี้แยอีกเหรอ? เดี๋ยวคีนไม่รักนะเออ” แม่พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปขยี้หัวกันแรงๆ จนยุ่งเหยิง แต่ผมไม่แคร์เพราะตอนนี้กำลังซึ้งในความรักของเธออยู่ ฮือ ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้นะ
“ขอบคุณครับแม่ แต่แซวแบบนี้ผมยิ่งจะร้องไห้อะดิ” ผมผละตัวออกก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ส่วนแม่หัวเราะจนตาหยีแต่ก็หยิบทิชชู่มาเช็ดปลายจมูกให้ โธ่ ทำอย่างกับผมเป็นเด็กห้าขวบเลย แต่ก็ชอบความดูแลเอาใจใส่แบบนี้เหมือนกันถึงจะรู้สึกเขินนิดหน่อยน่ะนะ
“จ้าๆ ไม่แซวก็ได้ แล้วนี่จีบน้องคีนติดหรือยังเถอะเรา?” อะ แม่เลิกแซวก็อยากขอบคุณอยู่หรอกแต่ไอ้คำถามนี้มันก็แทงใจดำไม่แพ้กันเลยนี่หว่า โหย ผมเลยได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่แม่แบบนี้ไง คีนไม่อ่อนโอนตามแถมยังดูเหมือนไม่หวั่นไหวด้วย จีบยากอย่างที่เขาเคลมไว้จริงๆ นั่นล่ะ
“ก็เหมือนจะยังครับ เฮ้อ” ผมถอนหายใจก่อนจะทิ้งหัวลงบนลาดไหล่แคบแล้วถูไถเบาๆ เพื่อออดอ้อนขอกำลังใจจากแม่ แต่สิ่งที่ได้คือมะเหงกกลางกบาลแถมด้วยคำเย้าแหย่ที่ทำให้ปากคว่ำมากกว่าเก่า โธ่ นี่ลูกนะครับทำไมใจร้ายใส่แบบนี้ล่ะ
“ชักช้าระวังอดนะ แม่ไม่ช่วยด้วย”
“แม่ครับ ~” ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้วเนี่ย
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว จะเอาลูกชายไปฝากเป็นลูกเขยบ้านนู้น เอ๊ะ หรือลูกสะใภ้นะ คิกๆ” อะ สนุกใหญ่เลยคนเรา!
“ผมไปเป็นลูกเขยเขาสิแม่!” ผมมั่นใจสุดๆ นะเรื่องนี้ แต่ก่อนอื่นจีบลูกชายเขาให้ติดก่อนเถอะครับ... ฮึก
ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปยังบ้านของคีนที่อยู่เกือบถึงแถบชานเมืองแต่ก็ไม่ถือว่าไกลจากมหา’ลัยนักโดยมีแม่เป็นคนบอกทาง แต่อยู่คอนโดก็สะดวกมากกว่า ไม่ต้องตื่นเช้าและไม่ต้องฝ่าจราจรติดขัด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากย้ายเข้าพักกับไอ้ปอมเป็นการถาวรเหมือนกันแต่คนที่นั่งข้างๆ ตอนนี้คงไม่ยอมแน่
“ผมยังไม่ได้ถามเลยว่าแม่ทำขนมอะไรไปฝากคีน” ผมเหลือบมองถุงกระดาษขนาดใหญ่บนตักของเธอก่อนจะตั้งคำถามนั่น ก็สงสัยอยู่นานแล้วว่าแม่จะทำอะไรไปฝากว่าที่ลูกสะใภ้บ้าง ใบหน้าสวยหันมายิ้มให้กันแล้วหยิบกล่องขนมสีใสขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ
“กลีบลำดวนกับจ่ามงกุฎค่ะ” ชื่อขนมไทยหลุดจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีพีช ผมถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วแม่ชอบบ่นว่าขนมไทยทำยากและใช้เวลานานแต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป คงถูกใจคีนเข้าขั้นอยากได้มาเป็นลูกชายมากกว่ามั้งเนี่ย ก็ผมมันซนแถมยิ้มไม่เก่งเท่าเขานี่นา ยอมแพ้จ้า
“โห เอาเวลาที่ไหนทำครับเนี่ย?”
“เวลาที่ลูกชายเอาแต่นอนอุตุอยู่บนห้องไงคะ” จ้า แพ้แล้วแพ้อีก เมื่อไหร่จะชนะชาวบ้านเขาบ้างวะเนี่ย สงสัยแต้มบุญหมด
“แม่ไม่บอกให้ผมรู้ตัวก่อนนี่ครับ” ผมบ่นงิ้งงิ้งก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าซอยหมู่บ้านขนาดกลางแห่งหนึ่ง อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงบ้านคีนแล้ว ตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมจังหวะหัวใจได้เลยแถมมือยังชื้นเหงื่อทั้งที่แอร์เย็นจะตายอีกด้วย เฮ้อ เป็นเอามากแล้วไอ้กิม
“ก็ใครจะไปคิดว่าลูกแม่จะพิศวาสลูกชายเพื่อนล่ะหื้ม?” แม่เก็บกล่องขนมใส่ถุงไว้เหมือนเดิมก่อนจะเอื้อมมือนิ่มๆ มาดึงแก้มกันจนยืดแล้วยืดอีก
“โอยๆ ไม่ดึงแก้มสิครับ” ผมร้องโอดโอยเมื่อโดนเพิ่มแรงบีบไปอีกระดับหนึ่งจนโดนแม่ตวัดสายตาดุใส่ และโดนฟาดต้นแขนดังเพี๊ยะแถมด้วย เจ็บซ้ำซ้อนจริงๆ แต่ก็มีความสุขเมื่อเห็นป้ายบ้านเลขที่เป้าหมายด้านหน้า ในที่สุดก็ถึงสถานที่ที่มีกลิ่นคีนเต็มไปหมด อ่า... ความโรคจิตเริ่มทำงานอะ
“ทำเป็นหวง จะเก็บไว้ให้คีนหอมเหรอ?” แม่ไม่ได้ผละมืออกไปแต่กลับส่ายหน้าผมแรงๆ อย่างมันเขี้ยว โธ่ ไม่ได้หวังแบบนั้นสักหน่อย แค่รู้สึกว่าเนื้อจะหลุดแค่นั้นเอง แล้วคนอย่างคีนคงไม่พิศวาสทำอะไรหวานๆ กับผมหรอกน่า
“ผมมากกว่าที่จะทำแบบนั้นกับเขาน่ะ” ผมงึมงำในขณะที่แม่ยอมปล่อยมือ เธอยิ้มบางก่อนจะตบไหล่กันเบาๆ เหมือนพยายามให้กำลังใจ
“ทำหน้าเป็นหมาหงอยเชียว แม่เชื่อว่าสักวันกิมจะทำในสิ่งที่หวังได้สำเร็จ”
“ครับ ผมจะพยายามสุดความสามารถเลย” อ่า... สุดท้ายแม่ก็ต้องเชียร์ผมจนได้สิน่า สักวันผมจะคว้าคีนมาเป็นแฟนให้ได้ ฮึบ!
แต่ความผิดหวังแรกก็เข้ามาเยือนเมื่อคุณป้าบอกว่าคียออกไปสอนถ่ายภาพที่สวนรถไฟกว่าจะกลับก็คงช่วงเย็นๆ ซึ่งผมมีนัดดูหนังกับเพื่อน ตอนนี้ก็เลยได้แต่นั่งเล่นอยู่ในสวนฆ่าเวลาสมาคมแม่บ้านคุยกัน เฮ้อ
ผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้สีขาวแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพมุมสวนด้านหนึ่งที่ประดับด้วยตุ๊กตาดินเผารูปกบสองตัว มีน้ำพุไม้อันเล็กๆ พื้นโรยด้วยก้อนหินสีขาวและมีดอกกุหลาบอยู่ตรงกลางหลายต้น จากการบอกเล่าของคุณป้าคือคีนลงมือจัดส่วนนี้ด้วยตัวเอง ก็นะ... ออกมาน่ารักเหมือนคนทำเลย แต่ผมเนี่ยชักอาการหนักเพราะเอาทุกอย่างมาเพ้อถึงเขาได้ตลอด
กิมมิค : /ส่งรูปสวน/
ผมกดส่งรูปสวนที่เพิ่งถ่ายให้กับคีนก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงคุณป้าใกล้เข้ามา เธอคงเอาน้ำกับขนมออกมาให้แน่ๆ เลย
“น้องกิม ทานขนมกับน้ำก่อนเนอะ” เธอวางจานคุกกี้อัลมอนด์กับน้ำอัญชันมะนาวลงบนโต๊ะแล้วส่งยิ้มหวานๆ ที่คล้ายคลึงกับคีนมาให้ ผมผงกหัวขอบคุณก่อนจะหยิบขนมใส่ปาก โอ้โห รสชาติอร่อยเหมือนมาจากร้านดังเลย (ปกติผมไม่ชอบกินของแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ไอ้ปิมชอบซื้อมาตุนในห้อง)
“คุกกี้อร่อยมากครับคุณป้า” ทั้งที่เคี้ยวยังไม่หมดแต่ก็อดชมไม่ได้เพราะมันอร่อยมากจริงๆ คือฟินจนต้องหยิบชิ้นต่อไปส่งเข้าปาก
“งั้นก็ทานเยอะๆ คนทำได้ยินคำชมคงดีใจจนตัวลอยแน่ๆ” คุณป้าพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ ดูท่าทางเธอมีความสุขกับคำชมมากแต่รูปประโยคเมื่อครู่ฟังแล้วคงหมายถึงคนอื่นมากกว่า บ้านหลังนี้มีแค่สามคน ไม่ใช่คนสวยตรงหน้าก็อาจเป็นพี่ปิ๊งก็ได้มั้ง
“ใครทำเหรอครับ?” ผมถามก่อนจะคว้าแก้วอัญชันมะนาวเย็นๆ มาจิบปิดท้าย มันเป็นจังหวะเดียวกันที่ได้รับคำตอบจากคุณแ้าพอดี โอย เกือบสำลักน้ำตาย
“เจ้าคีนค่ะ รายนั้นชอบทำคุกกี้เก็บใส่โหลเอาไว้น่ะ บางทีก็เอาไปตั้งรับรองลูกค้าที่ร้านเวดดิ้ง”
“อ่า... คีนทำขนมเก่งจังครับ” ผมก้มหน้าชมอีกคนแบบเขินๆ ก็ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่พูดเรื่องคีนต่อหน้าคนอื่นถึงควบคุมการแสดงออกได้ยากทุกที โว๊ย ความลับแตกไปกี่รอบแล้วเนี่ย
“ช... ล่ะสิ”
“ครับ?” เมื่อครู่ได้ยินคุณป้าพูดอะไรสักอย่างแต่มันไม่ชัดเอาซะเลย
“ไม่มีอะไรค่ะ เอ้อ น้องกิมรู้จักชมจันทร์ไหมเอ่ย?” อะ อยู่ๆ ไอ้กระต่ายขนฟูเข้ามาอยู่ในบทสนทนาเราได้ยังไงล่ะเนี่ย ผมต้องรู้จักชมจันทร์อยู่แล้ว ก็นั่นน่ะศัตรูหมายเลขหนึ่งเชียวนะ แค่คิดถึงก็เริ่มหงุดหงิดแล้วสิ
“กระต่ายของคีนใช่ไหมครับ?” ผมแสร้งถามด้วยความใสซื่อ แสดงท่าทีอ่อนโยนรักสัตว์ทั้งที่ความจริงไม่เคยพิศวาสอะไรทำนองนั้นเลยด้วยซ้ำ หมา แมว กระต่าย ปลา ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากเลี้ยงเลย
“อื้ม เล่นกับมันหน่อยไหม?”
เดี๋ยวๆ ขนาดคีนอยู่มันยังกัดผมได้เลย แล้วนี่... ไม่ไหวหรอก ผมโดนตะกุยหน้าแหกแน่ๆ แค่คิดก็สยองแล้ว
“คือผม...” อึกอักเพราะหาคำปฏิเสธแบบสวยหรูไม่ออก ยิ่งโดนสายตาคาดหวังของคุณป้ามองมายิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องเล่นกับชมจันทร์เท่านั้น ไม่อย่างงั้นอาจจะโดนแบนจากครอบครัวนี้ โอย เครียดยิ่งกว่าวอบปลายภาคแล้วกู
“ช่วงนี้คีนไม่ค่อยว่างเล่นกับชมจันทร์น่ะ ดูหงอยๆ ชอบกล ส่วนป้าก็แพ้ขนสัตว์น่ะ เลยช่วยเลี้ยงไม่ได้”
“งั้น... ผมขอเล่นกับชมจันทร์หน่อยนะครับ” ถ้าเป็นแบบนั้นผมกลั้นใจยอมเล่นกับศัตรูก็ได้ ถึงจะไม่ชอบสัตว์แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น
“ค่ะ น้องอยู่ในห้องเจ้าคีนนะ” คุณป้ายิ้มก่อนจะชี้ชวนให้ผมบุกรุกห้องลูกชายตัวเอง เฮ้ย เอาจริงดิ นั่นคือพื้นที่ส่วนตัวในบ้านเลยนะ แต่ถ้าคิดลึกหน่อยขนาดคอนโดผมก็ยังเหยียบมาแล้วนี่ คงคล้ายๆ กันล่ะมั้ง แต่แม่ง โคตรตื่นเต้นเลย กลิ่นคีน!
“ขะ เข้าไปได้เหรอครับ?” ผมไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงและความสั่นไหวของหัวใจได้อีกเลย ส่วนมือก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากุมแนบอก เชี่ย จะสั่นแข่งกันเพื่ออะไรวะเนี่ย เดี๋ยวคุณป้ารู้กันพอดีว่าหวังงาบลูกชายเขา
“ได้สิ ป้าถามคีนให้แล้วค่ะ” แม่ยายเปิดทางขนาดนี้ อย่าให้เสียโอกาสจ้า ไป ไปดมกลิ่นคีนกัน!
ผมนี้ผมกำลังยืนมือสั่นอยู่หน้าประตูห้องนอนของคีน จับลูกบิดมาราวๆ หนึ่งนาทีแต่ไม่กล้าเหยียบเข้าไป มันมีความรู้สึกว่าเรากำลังจะรู้จักคนๆ นี้อีกหนึ่งขั้น หัวใจเต้นตึกตักจนแทบกระดอนมาด้านนอก อ่า... เอาวะ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ได้เล่นกับชมจันทร์พอดี ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้วด้วย
แกรก
สิ่งที่สัมผัสได้อย่างแรกเมื่อประตูเปิดออกคือความเย็นตกค้างจากเครื่องปรับอากาศเมื่อคืนตามมาด้วยเสียงกุกกักฟัดชามอาหารของเจ้าชมจันทร์ที่อยู่ในกรงขนาดใหญ่ การตกแต่งในห้องเป็นโทนสีขาวแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ยกเว้นก็แค่ชุดเครื่องนอนที่เป็นสีดำสนิทตัดกันอย่างลงตัว และที่ขาดไม่ได้คือกลิ่นน้ำหัวเฉพาะตัวของคีนที่ยังหลงเหลือบางเบาแต่ก็หอมจนเผลอสูดดมเข้าไปเต็มปอด
หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศความเป็นคีนแล้วผมก็เดินไปหาชมจันทร์แล้วนั่งยองๆ ลงหน้ากรงพลางมองดูเจ้าขนฟูกินน้ำจากขวด ดวงตาเม็ดลำไยแวววาวจ้องมองมาทางนี้อย่างสนใจ ดูท่าทางคงอยากออกมาวิ่งเล่นด้านนอกใจจะขาดสินะ แต่ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะเปิดประตูให้นี่สิ เอายังไงดี
ขั้นแรกขอหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก่อนแล้วกันว่าคีนตอบอะไรกลับมาบ้าง
คีน : แม่บอกแล้วว่ากิมไปที่บ้าน
คีน : ขึ้นไปหาชมจันทร์หรือยังอะ ถ่ายรูปมาหน่อยสิ
อ่านข้อความที่เขาส่งมาจบรอยยิ้มก็ค่อยๆ ผุดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เพราะผมดันมีความรู้สึกว่าเหตุการณ์แบบนี้คล้ายกับว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ผมมโนจนเผลอกัดปากกลั้นเขินเชียวล่ะ
อะ คีนขอมาขนาดนี้ผมก็เลยจัดให้โดยการเปิดกล้องโทรศัพท์แล้วกดถ่ายรูปเจ้าฟูไปสองสามชอตก่อนจะส่งให้ หลังจากนั้นผมก็ลองหยิบถุงหญ้าแห้งขึ้นมาเปิดแล้วแหย่เข้าไปในกรง โอ้โห รีบพุ่งมางับเชียวนะชมจันทร์ ตอนมันเคี้ยวนี่น่ารักเป็นบ้า อยากบีบๆๆๆ ไม่แพ้ที่อยากฟัดนายคนินท์เลย ให้ตายเถอะ
คีน : เปิดกรงให้ชมจันทร์ออกมาวิ่งเล่นสิ
ผมอ่านข้อความของคีนจบก็อยากเอาหัวโขกเตียงให้ตายๆ ไปซะ ใครมันจะกล้าเปิดกรงทั้งที่เคยมีประสบการณ์โดนกระต่ายกัดวะ
กิมมิค : แค่นั่งป้อนหญ้าให้มันได้ปะ กลัวโดนกัดอีก
คีน : จีบเราแต่กลัวชมจันทร์มันจะรอดปะเนี่ย?
พอโดนคำถามนั่นเข้าไปผมถึงกับมองชมจันทร์เขม็ง ถ้าวานสัมพันธ์อันดีกับกระต่ายไม่ได้ก็จะชวดการเป็นแฟนกับคีนไปง่ายๆ อย่างนั้นเลยเหรอวะ เฮ้ย แต่ผมไม่ชอบสัตว์นี่นา ทำไงดี โอย ปวดหมอง
ครืด
อะ คีนส่งไลน์มาอีกรอบแล้ว
คีน : กิม... เงียบไปเลย เราล้อเล่นนะ ไม่ต้องเปิดกรงก็ได้
กิมมิค : เดี๋ยวเราจะลองเปิดกรงดู
คีน : เฮ้ย ไม่ต้องหรอก กิมไม่ค่อยถูกกับสัตว์ทุกชนิดนี่นา
กิมมิค : คีนชอบอะไรเราก็จะพยายามชอบด้วย ชมจันทร์ก็น่ารักดี
คีน : ทำเพื่อเรามากไปหรือเปล่า?
กิมมิค : เราเต็มใจน่า
คีน : อื้อ... เอาไว้เราจะรีบกลับบ้านนะ
กิมมิค : ครับ
อ่า... แล้วบทสนทนาก็จบลงแค่นั้นเพราะคีนต้องไปสอนถ่ายภาพต่อ ส่วนผมนั่งจองตาสีดำกลมโตของชมจันทร์เพื่อชั่งใจว่าจะยอมเปิดกรงให้มันออกมาวิ่งเล่นได้จริงๆ หรือเปล่า เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีก็ฮึดสู้เอื้อมมือไปปลดกลอนประตูจนได้ นั่นๆ เจ้าฟูกระโดดแล้ว
ผมเผลอผงะถอยหลังตอนที่เท้าของชมจันทร์แตะลงบนพื้นห้อง มันยืนนิ่งทำจมูกฟุดฟิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มคลานต้วมเตี้ยมตรงมาทางนี้ เฮ้ยๆ อย่ากัดนะ กลัวแล้ว ว้าก... เอ๋ ทำไมถึงเอาหัวทุยมาซุกตักกันซะอย่างนั้นล่ะว่ะ แถมยังนอนนิ่งให้ลูบขนอีกด้วย เชื่องสุดๆ ไปเลย
“เหงาเหรอไอ้ฟู? พี่ชายไม่ค่อยว่างเล่นด้วยสินะ” ผมก้มลงคุยกับกระต่ายบนตักก่อนจะไล้มือลูบไปตามความยาวของใบหู ขนสีเทาสลับขาวนุ่มนิ่มคล้ายตุ๊กตาเกรดพรีเมี่ยม อ่า... รู้สึกฟินอย่างบอกไม่ถูกเลยเนี่ย
ไม่มีการตอบรับใดๆ จากชมจันทร์ แน่นอนว่ากระต่ายไม่ส่งเสียงร้องและไม่เข้าใจภาษาคนที่ผมพูดด้วย แต่ทำไมมันถึงนอนนิ่งได้ขนาดนี้วะ จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะตาลำไยยังเปิดอยู่เลยนี่
ผมตัดสินใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกเพื่อถามหาคำตอบของความผิดปกตินี้จากคีน กลัวทำกระต่ายเขาตายคาตักแล้วจะโดนเกลียดขี้หน้าเอาอะดิ
‘ฮัลโหล มีอะไรเหรอกิม?’ เสียงปลายสายดูตกใจที่อยู่ๆ ผมก็โทรหา
“คือ... เราปล่อยชมจันทร์ออกมานอกกรงแล้ว มันไม่ได้วิ่งไปไหนแต่กระโดดขึ้นตักเรา หลังจากนั้นก็นิ่งไปเลย” ผมรัวคำพูดออกไปจนลิ้นแทบพันกัน ความตกใจฉายชัดอยู่ในน้ำเสียงและดวงตาที่เบิกกว้าง มือที่ลูบหูชมจันทร์อยู่นั้นสั่นกึกๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เหม็นตีนกูจนช็อกตายหรือเปล่าเนี่ย ฮือ
‘ชมจันทร์ขยับจมูกปะ?’ น้ำเสียงที่ถามกลับมานั้นช่างราบเรียบจนผมไม่สามารถเดาความรู้สึกของเขาได้เลย ตายแน่ๆ คราวนี้แม่คงไม่ได้ลูกสะใภ้ไปเชยชมแล้วมั้งเนี่ย
“อ่า ขยับนะ” ผมก้มลงไปใกล้จนจมูกแทบชนหัวชมจันทร์ เออว่ะ ยังไม่ตายนี่นาแต่ทำไมนิ่งไปล่ะ ปกติกระต่ายมันต้องกระตือรือร้นมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ
‘มันแค่หลับน่ะ สงสัยตักกิมนอนสบายล่ะมั้ง’ เสียงกลั้วหัวเราะตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีทำให้ผมเผลอยกยิ้มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่หายสงสัยว่าชมจันทร์หลับทั้งที่ลืมตาเหรอวะ บ้าน่า
“แต่มันลืมตานะ” ผมขมวดคิ้วพลางใช้มือเขี่ยๆ หางทรงสามเหลี่ยมมนๆ นั่นเล่นแต่ชมจันทร์ก็ยังนอนนิ่งเหมือนเดิม หลับจริงดิ
‘อื้อ กระต่ายก็หลับแบบนั้นทุกตัวนั่นล่ะ เขาเรียกว่าการระวังภัย’ คำอธิบายสั้นๆ ที่ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้าง จะว่าไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่เอาเถอะ มันคงไม่ได้ตายอย่างมี่คิดไว้หรอก ก็จมูกยังขยับอยู่เลยนี่หว่า
“อ้อ เราก็ตกใจ นึกว่ามันจะเป็นอะไรซะอีก”
‘ขอบคุณที่เล่นกับมันนะ เรากำลังกลับบ้านแล้วล่ะ’ สิ่งที่คีนบอกทำให้ผมยิ้มกว้างอีกครั้งแต่เมื่อสมองประมวลผลว่าเย็นนี้ดันมีนัดกับเพื่อนอีกสองคนก็เลยเปลี่ยนเป็นลอบถอนหายใจแทน ยังไงก็คงอยู่รอเขาไม่ได้หรอก เดี๋ยวไอ้ปอมกับไอ้ว่านจะหาว่าไม่ให้ความสำคัญพวกมันอีก
“โอเค พอดีเรามี...”
‘อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ อย่าเพิ่งหนีกลับนะ’ โธ่ ทำไมคีนเป็นคนแบบนี้เนี่ย แย่งผมพูดขนาดนั้นจะให้ปฏิเสธยังไงในเมื่อใจมันอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว อีกอย่างคือชมจันทร์ไม่ยอมย้ายตัวป้อมๆ ลงไปจากตักสักที
“กะ ก็ได้”
โอ๊ย ฉิบหาย แล้วกูจะโทรไปยกเลิกนัดไอ้สองตัวนั่นด้วยเหตุผลอะไรล่ะเว้ย ตายๆๆ โดนล้อทั้งปีทั้งชาติแน่
ผมนั่งมองชมจันทร์อยู่พักใหญ่จนไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็เห็นหน้าคีนในระยะที่ทำให้ลมหายใจชะงักกึก ใกล้จนมองภาพทุกอย่างเลือนลาง ใกล้ชนิดที่ว่าลมหายใจปะทะข้างแก้ม แต่ไม่ใช่เพราะเขาพิศวาสผมหรอก แค่มาอุ้มชมจันทร์ที่เปลี่ยนไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น โธ่ เล่นซะหัวใจจะวาย
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงใสเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นผมที่นั่งกระพริบตาปริบๆ คือแบบปลายจมูกจะชนแก้มคีนอยู่แล้วจ้า ถ้าหน้าด้านหน่อยนี่ได้หอมไปเต็มๆ เสียดาย!
ต่อด้านล่างจ้า