::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61  (อ่าน 16622 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 11


พรึ่บ

เสียงถีบผ้าห่มร่วงลงไปที่ปลายเท้าดังขึ้นตามมาด้วยลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศตกกระทบร่างกายช่วงบนที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดบังจนต้องนอนขดตัวคล้ายกุ้งโดนน้ำร้อนลวกแล้วได้แต่บ่นในใจโดยไม่ยอมลืมตาว่า ‘ไอ้เชี่ยปอมละเมออะไรตั้งแต่เช้า’

เอี๊ยดอ๊าด

ต่อมาเป็นเสียงเตียงลั่นพร้อมแรงสั่นสะเทือนที่พอจะเดาได้ว่าไอ้ปอมกำลังลุกขึ้น ครั้งนี้ผมถึงกับปรือตาขึ้นมองนาฬิกาบนโต๊ะก่อนพบว่าเวลาเพิ่งหกโมง สรุปว่ามันไม่ได้ละเมอสินะ แต่ไม่เข้าใจว่าจะตื่นเช้าไปเพื่ออะไร ก็วันนี้มีสอบช่วงบ่ายไม่ใช่เหรอ?

ตุบ!

คราวนี้มาพร้อมกันทั้งภาพทั้งเสียงเมื่อไอ้ปอมก้าวขาลงจากเตียงในขณะที่ยังมีผ้าห่มคลุมช่วงขา มันสะดุดล้มตึงลงบนพื้นอย่างแรงจนผมที่นอนเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ ถึงกับดีดตัวขึ้นนั่ง ไม่ใช่ว่าจะยื่นมือไปช่วยหรอกแค่อยากขำให้ถนัดก็แค่นั้น

“จับกบเหรอครับน้องปอม?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะคลานข้ามฝั่งเตียงไปชะโงกหน้าดูสภาพของเพื่อน ไอ้ปอมตวัดตาจ้องเขม็งเหมือนโกรธกันมาสักสิบชาติ ส่วนมือสากก็คอยลูบก้นบรรเทาความเจ็บไม่ห่าง สมน้ำหน้ากับความซุ่มซ่ามของมันจริงๆ จะรีบอะไรขนาดนั้นวะ

“หุบปากแล้วกลับไปนอนต่อเลยมึง!” ไอ้ปอมกัดฟันกรอดพลางชี้หน้าขู่แบบเอาเป็นเอาตายเชิงว่าถ้าไม่ยอมทำตามจะพุ่งขึ้นมาบีบคอกันอย่างนั้นล่ะ แต่ผมไม่สะทกสะท้านเลยใช้ฝ่าเท้ายันไปที่ไหล่ของมันเบาๆ เป็นการกวนประสาท ลงโทษแม่งสักหน่อยที่มาทำให้ฝันหวานๆ ของผมสลาย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับคีนเชียวนะเว้ย

“ลุกให้ได้ก่อนเถอะน้องปอม” ผมยันเท้าลงไปรัวๆ พลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นใบหน้าบูดเบี้ยวของไอ้ปอมที่มาพร้อมท่าทางกระฟัดกระเฟียดปัดป่ายสิ่งไม่พึงประสงค์ออกห่าง มันไม่ยอมขยับหลบเพราะดูท่าทางสะโพกจะระบมไม่น้อย หวังว่าจะไม่ขอให้ผมทายาพร้อมนวดให้หรอกนะ แบบนั้นผิดผีตายแน่ๆ

“เอาตีนโสโครกของมึงออกไปไกลๆ เลย” มันบ่นหงุงหงิงในลำคอก่อนจะใช้มือฟาดลงบนหน้าแข้งของผมซะเต็มแรง แต่เสียใจด้วยที่มันวืดผ่านลมไปเพราะผมดันหลบได้ไวกว่า อูย เกือบเจ็บตัวแล้วกู ท่าทางไอ้ปอมจะอาฆาตแรงด้วยสิถึงขนาดชูนิ้วกลางให้เลย อุ๊ย กลัวจัง

“สะดีดสะดิ้งนะมึง แล้วนี่จะตื่นเช้าเพื่อ?” ผมเลิกแกล้งเพื่อนแล้วทิ้งตัวนอนราบทั้งๆ ที่ขวางกลางเตียงพร้อมควานมือหาผ้าห่มมาคลุมบรรเทาความหนาว สาบานว่าคราวหน้าจะไม่ขี้เกียจใส่เสื้ออีกแล้ว แต่มันเป็นเพราะว่าเมื่อคืนผมคุยไลน์กับคีนยันตีหนึ่งไง อาบน้ำเสร็จปุ๊บก็มุดเตียงปั๊บ ความคืบหน้าระหว่างเราก็เรื่อยๆ ไม่ได้จีบอะไรมากมายในเมื่อต่างคนต่างเครียดเรื่องสอบ

แต่พี่เซียนแม่ง... คือถ้าแช่งให้มันหายไปจากโลกนี้ได้ไหม ขี้ตื๊อฉิบหาย รำคาญจนต้องบล็อกไลน์บล็อกเบอร์ ส่วนใครเป็นคนให้ช่องทางการติดต่อผมน่ะเหรอ ก็ไอ้เชี่ยว่านไง ไปเชื่อเขาเป็นตุเป็นตะว่าหมอหมามีเรื่องคีนอยากเคลียร์กับผม ก็รู้ว่ามันหวังดีในแบบฉบับเพื่อนแต่แม่งพาความฉิบหายมาให้เต็มๆ จะด่าก็ไม่กล้าได้แต่ร่ำร้องในใจคนเดียว ฟัคยู!

“มีธุระ” อะ กลับมาสนใจไอ้ปอมที่ใช้แขนพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นได้สำเร็จ สีหน้ามันบิดเบี้ยวเล็กน้อยแต่ดวงตากลับเป็นประกายระยับทั้งที่ในห้องมีแค่แสงสลัวๆ ลอดเข้ามาเมื่อพูดถึง ‘ธุระ’ ของมัน

“ธุระอะไรของมึง?” ผมถามก่อนจะพลิกตัวไปหยิบโทรศัพท์เพื่อส่งไลน์ไปอรุณสวัสดิ์คีน วันนี้ว่าจะลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าไปให้เขากินสักหน่อย เอาเป็นเมนูออมเลตชีสเยิ้มกับเบคอนทอดแถมแซนวิชทูน่าใส่ผักเยอะๆ ให้อีกหนึ่งชิ้น แค่คิดถึงรอยยิ้มขอบคุณของเขาก็ฟินแล้วเนี่ย แต่คงรู้สึกดีมากไปหน่อยเมื่อน้องชายเริ่มชูคอขึ้นมา โอย จะหื่นตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้นะเว้ยไอ้กิม ตะปบแม่งลงไปเดี๋ยวนี้เลย!

“เรื่องส่วนตัวบ้างเหอะ” มือที่กำลังตะปบน้องชายกับอีกข้างที่พยายามใช้นิ้วจิ้มตัวอักษรบนโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงถึงกับชะงักกึก ผมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาพลางขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากไอ้หมาปอม อยู่ๆ ก็ดันมีความลับมีเรื่องส่วนตัวโผล่ขึ้นมาเอาตอนนี้ แล้วไอ้ที่เปิดเผยแม้กระทั่งเรื่องชักว่าวครั้งแรกคืออะไรวะ? งงในงงเลยกู

“ด่ากูว่าเสือกตรงๆ เลยดีกว่าปะ?” แต่จะไม่ถามเซ้าซี้ต่อเรื่องความลับนั้นเพราะคนเราต่างก็อยากมีมุมส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง ทุกวันนี้ก็รู้ไส้รู้พุงจนเกือบเข้าขั้นเกลียดขี้หน้ากันอยู่แล้ว ดูอย่างตอนนี้ที่มันเริ่มถอดเสื้อยืดเน่าๆ ออกสิ คิดว่าหุ่นดีนักเหรอวะ แล้วมึงจะรอเดินไปห้องน้ำไม่ได้เลยเหรอไง

“แหม ใครจะกล้าด่าผัวสุดที่รักแบบนั้นอะ” พอมันลอดหัวยุ่งๆ ออกมาจากเสื้อได้ก็รีบเข้ามาซุกซหลังต้นคอกันทันที ได้ยินเสียงสูดหายใจข้างหูก็พาลรู้สึกอยากยกเท้าถีบให้กระเด็น ดีหน่อยที่ผมนอนคว่ำถ้าหงายอยู่ไม่อยากจะคิดเลยว่าสภาพออกมาทิศทางไหน ประกอบจูบงี้เหรอ สยอง

“สัด ขนลุก” ผมดิ้นหนีไม่รู้ทิศทางจนเกือบทำโทรศัพท์ตกเตียง ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ของไอ้ปอมก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า แม่งเอ๊ย อย่าให้ถึงทีกูเอาคืนบ้างนะ

“หึหึ กูจะไปอาบน้ำแล้ว”

“เอาจริงดิ?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจพลางพยักพเยิดหน้าไปทางนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงสิบห้านาที มีธุระเช้าขนาดนี้จริงดิ

“เออ สายแล้วเนี่ย” มันพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะลงมือถอดกางเกงนอนขายาวทิ้ง สภาพคือม้วนเป็นก้อนกลมจนผมต้องส่ายหัวแรง คิดถึงตอนที่พี่แม่บ้านเอาผ้าไปซักดิ โคตรเสียเวลามาแกะปมอีก

“สายห่าอะไรของมึง? เพิ่งจะหกโมงเช้า” อะ คราวนี้ผมก็แค่หยั่งเชิงมันดูว่าจะหลุดตอบอะไรออกมาหรือเปล่า ส่วนข้อความที่พิมพ์ค้างไว้ก็ถูกกดส่งไปหาคีนเรียบร้อย ที่เหลือก็รอแค่ฝ่ายนั้นตื่นแล้วตอบกลับมา หาว โคตรง่วงเลย

“เออน่า เจอกันที่มหา’ลัย” ไอ้ปอมโบกมือบ๊ายบายทั้งที่ในมือยังมีชุดนอน

“เฮ้ย เดี๋ยว...” พอคิดได้ว่าจะถามเรื่องดินสอสองบีสักหน่อยกลับมีอะไรบางอย่างปลิวมาบดบังสายตา ผมนิ่งไปชั่วขณะ กลืนคำพูดต่อไปลงคอ มือค่อยๆ เลื่อนจับเอาของที่คลุมหัวออก

โอ้โห กูนี่ปรี๊ดแตกเลยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนหัวเต็มๆ ตา

กางเกงในเปื้อนคราบน้ำกาม!

“ไอ้เหี้ยปอม เจอตัวเมื่อไหร่มึงตายแน่!” หลังจากนั้นผมก็โยนกางเกงในสีขาวสะอาดแต่เป็นคราบเหลืองๆ ที่เป้าลงพื้นแล้วตามไปกระทืบให้สาแก่ใจ อย่าเผลอเชียวนะไอ้เพื่อนทรยศ วันไหนกูจะเอาถุงเท้ายัดปากมึงให้ได้เลยคอยดู!

หลังจากเสียพลังงานหัวฟัดหัวเหวี่ยงเรื่องไอ้ปอมเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็ตัดสินใจนอนต่อเพราะยังมีคงมีความง่วงหลงเหลืออยู่ ผ้าห่มถูกจัดใหม่ให้เข้าที่ก่อนดวงตาคมจะปิดลงสู่ห้วงนิทราแสนหวาน เอาเป็นว่าผมไม่ได้ฝันอะไรต่อจากเดิมเลยสักนิดเดียว แม่งเอ๊ย มองไปทางไหนก็มีแต่สีดำล้วนๆ หาว ~

นาฬิกาปลุกดังสนั่นเมื่อถึงเวลาแปดโมงเช้าเป็นฝีมือของไอ้ปอมล้วนๆ เนื่องจากปกติแล้วผมไม่เคยต้องใช้อุปกรณ์ช่วยตื่นพวกนี้ มันคิดจะแกล้งกันชัดๆ เพราะรู้ว่าผมเกลียดเสียงเสียดหูที่ทำให้สะดุ้งตกใจมากแค่ไหน วันนี้มึงมีคดีติดตัวสองเรื่องแล้วนะเว้ย ไม่ตายดีแน่ๆ หึ

ผมเหวี่ยงขาลงจากเตียงแต่ยังไม่ยอมขยับลุกเพราะมือดันเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาเช็กความเคลื่อนไหว แต่หน้าจอดันว่างเปล่าไร้ซึ่งการแจ้งเตือนจากคนที่คิดถึง ไอ้เราที่หวังลมๆ แล้งๆ เลยทำได้แค่นั่งถอนหายใจ การจีบคีนยากอย่างที่เจ้าตัวพูดไว้จริงๆ นั่นล่ะ ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ อัธยาศัยดีจนไม่รู้ว่าทำตัวปกติหรือกำลังอ่อยอยู่กันแน่ แล้วรอยยิ้มหวานชวนละลายนั่นก็แทบแจกให้กับทุกคนที่เป็นมิตร โธ่เว้ย งานมโนของผมแหลกเหลวไม่เป็นท่า

เมนูอาหารสุดอลังการที่คิดไว้กลับเหลือแค่แซนวิชทูน่าง่อยๆ มีมะเขือเทศหันแว่นสองชิ้นโปะลงไป ส่วนผักสลัดใบเขียวมันจรลีลงท้องไอ้ปอมไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว อีกอย่างคือไข่ไก่เกลี้ยงตู้เย็นออมเลตชีสเยิ้มเลยเป็นหมันเหลือแต่ไส้กรอกเหี่ยวๆ ที่ใกล้วันหมดอายุเข้าไปทุกที จับทอดแม่ง! พอจัดการทุกอย่างเสร็จก็จัดใส่กล่องทัพเพอร์แวร์พร้อมที่จะเอาไปฝากคนข้างห้อง

ฮ่า... ความรู้สึกตอนได้ทำอาหารให้คนที่เราชอบกินมันมีความสุขแบบชนิดที่ว่ายิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้วเป็นแบบนี้นี่เอง ถึงจะเป็นเมนูง่ายๆ ไม่ได้แสดงฝีมือมากมายก็เถอะ

ผมเขี่ยรองเท้าลงจากชั้นแล้วใส่มันลวกๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องด้วยความทุลักทุเลเพราะสองมือเต็มไปด้วยกล่องอาหารสำหรับสองคน ก็กะว่าไปสิงห้องคีนสักครึ่งวัน เนี่ย หนีบหนังสือใต้จั๊กแร้ด้วย เดี๋ยวกินเสร็จก็อ้อนวอนให้ติววิชานี้ต่อเลยไง... หึหึ ผมแผนสูงใช่ไหมล่ะ

แต่ขายังไม่ทันได้ก้าวออกจากประตูห้องสายตากลับมองเห็นใบหน้าเป้าหมายอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว คีนในตอนนี้ยังคงเป็นชายหนุ่มในชุดนอนสีกรมท่ามีจุกน้ำพุตรงกลางหัว ในมือถือกล่องใส่อาหารหน้าตาคล้ายๆ ของผมกำลังเดินมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มสว่างไสวกว่าดวงอาทิตย์ที่อยู่นอกอาคาร หัวใจเจ้ากรรมเต้นตึกตักแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกปวดหน้าอกไปหมด ดาเมจแรงแบบนี้เคยคิดจะรับผิดชอบกันบ้างหรือเปล่าเนี่ย

“เอ่อ...” แล้วผมก็พูดไม่ออกยามที่ใบหน้าขาวใสมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กล่องอาหารในมือเริ่มสั่นระริกตามจังหวะหัวใจ ยิ่งจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็แทบล้มทั้งยืน นี่ขนาดเขายังไม่ได้อาบน้ำนะ... บ้าจริง ทำไมผมถึงได้หลงใหลคีนนักนะ

“จะเอามื้อเช้าไปให้ใครเหรอ?” กลายเป็นว่าคีนออกปากถามก่อน เขามองหน้าผมสลับกับกล่องอาหารในมือก่อนที่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มจะปรากฏ ตอนนี้แม่งอยากให้เขาโง่ฉิบหาย รู้ทันแบบนี้ก็แย่ดิ แถมอายมากและได้แต่ยกมือถูท้ายทอยจนแสบไปหมดแล้ว ฮือ

“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่เราเอาโจ๊กฮ่องกงมาให้กิมล่ะ” มือขาวๆ ส่งกล่องอาหารที่มีกลิ่นหอมตลบอบอวลมาให้พร้อมเปลี่ยนรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเป็นละมุนเหมือนมีหยดละอองน้ำกระจายอยู่รอบตัว สดชื่น สดใส ชวนใจเต้นแรงอีกครั้ง ผมจ้องมองภาพทั้งหมดบันทึกทุกสิ่งลงในสมองและจดจำว่าเช้าวันนี้โคตรรู้สึกดีมาก

“กิม... เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย? เอาแต่มองหน้าเราตาไม่กระพริบเลย” คีนโบกมือไปมาตรงหน้าผมเป็นการเรียกสติ อาการเหลอหลาแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อโดนจับได้ว่าตัวเองจ้องมองเขาอยู่นาน โธ่เว้ย หลงได้แต่อย่าหื่นใส่สิวะไอ้กิ๊ม เดี๋ยวโดนแจ้งความข้อหาคุกคามทางเพศหรอก

“เอ้อ... ปะ เปล่า พอดีเราก็ทำอาหารเช้าให้คีนเหมือนกัน แต่เป็นแค่แซนวิชกับไส้กรอกง่อยๆ นะ” ผมรีบหลบสายตารู้ทันนั่นโดยการจ้องกล่องใส่อาหารอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนอีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะใสๆ ออกมาเหมือนไม่ถือสาเรื่องเมื่อครู่แถมยังก้าวขาขยับเข้ามาใกล้กันมากกว่าเดิม จังหวะนี้ล่ะที่ผมเงยหน้าขึ้นจนปลายจมูกแทบชนกัน โอ๊ย หัวใจจะวายแต่เสือกเก๊กขรึมทัน

“ใจตรงกันนะเนี่ย” คีนถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่แสดงอาการใดๆ แถมยังคลี่ยิ้มหยอกล้อพลางเหล่สายตามองอีกต่างหาก แต่เป็นผมเองที่ประหม่าจนเผลอบีบกล่องใส่อาหารแทบแหลกคามือ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกสติกลับเข้าร่าง ทำไมพอขอจีบเขาตรงๆ มันเกร็งมากกว่าเก่าวะเนี่ย กลัวตะคริวจะแดกลามไปถึงไข่เหลือเกิน ฮือ

“ตกลงเราจีบคีนจริงๆ เหรอวะ?” ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะช้อนตามองคนตรงหน้าเพื่อยืนยันความคิดยุ่งเหยิงในหัว บางทีก็รู้สึกเหมือนโดนอ่อยโดนจีบซะเอง อะ ผมคิดว่าคีนคงได้ยินหมดแล้วเพราะตอนนี้คิ้วสวยๆ นั่นเลิกขึ้นเหมือนกำลังประหลาดใจ โธ่ ที่รักของพี่กิมทำอะไรก็ดูน่ารักไปซะหมดแบบนี้ก็แย่สิครับ

“ใช่สิ อย่าคิดว่าเราอ่อยเชียวล่ะ” คีนย่นจมูกใส่กันก่อนจะหัวเราะเสียงใสออกมา ตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบของผมสว่างจ้ากว่าที่เคยเป็นจนตาพร่ามองอะไรไม่ชัด และเป็นอีกครั้งที่เผลอให้แรงบีบกล่องอาหาร โอย เหมือนจะได้ยินเสียงร้าวของมันเลย ตั้งสติหน่อยสิวะกิมมิค ฮึบ

“เฮ้ย ไม่เคยๆ ตอนนี้เราไปกินมื้อเช้าดีกว่าเนอะ” ผมโกหกด้วยใบหน้าซื่อๆ ทั้งที่แอบคิดเรื่องโดนคีนอ่อยมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ก็ดูการกระทำน่ารักน่าขยี้ทุกครั้งที่เจอกันสิ ถ้าผมเป็นพวกหน้าด้านคงรุกจีบหนักกว่านี้ไปแล้ว เผลอๆ อาจจะอุกอาจถึงขั้นจับปล้ำ อูย แค่คิดก็ชั่วแล้ว

“อันนี้คือชวนเรากินข้าวด้วยกันแบบเนียนๆ ใช่ไหม?”

อะจ้า รู้ทันแบบนี้มาเป็นแฟนกันเลยดีกว่าไหมคะที่รัก?

“รู้ทันตลอดเลยว่ะ” รู้ดีว่าคีนฉลาดแต่ก็อดพึมพำไม่ได้ โธ่ แกล้งโง่ให้ผมลิงโลดสักวันไม่ได้เหรอคุณ ~ ใจร้ายเกินไปแล้ว

“คิก ห้องเราหรือห้องกิมดี?” ผมชะงักกึกแล้วเผลอกลั้นหายใจเมื่อได้ยินคำถามของคีน ดวงตาคมเบิกค้าง ริมฝีปากสั่นระริกเพราะหัวสมองดันคิดเลยเถิดไปไกลโข เนี่ย เขาชวนกินข้าวหรือชวนแดกตัวเองกันแน่ ฮือ เลิกหื่นสิวะ เรายังคุยกันอยู่หน้าห้องนะเว้ย!

“หะ ห้องเราก็ได้ ไอ้ปอมไม่อยู่แล้ว” อุบ ผมเม้มปากทันทีเมื่อรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไป ดวงตาคมกรอกหลุกหลิกเพราะกลัวว่าคีนจะไม่ชอบใจ ก็ประโยคชวนคิดลึกขนาดนั้น โอย สาบานว่าไม่ได้มีความหมายแฝงนะ

“พูดอย่างกับจะทำอะไรเรา” อะ ขยี้เข้าไปอีกจ้า บางทีผมก็เกลียดคนฉลาดไง เฮ้อ เอาวะ เขาส่งไม้มาขนาดนี้ไม่รับไว้ก็เสียเที่ยวสิ คิดจะจีบมันก็ต้องรุกให้หนัก!

“ก็... ถ้าเราไม่กลัวคีนกระทืบคงปล้ำไปแล้วมั้ง” ถึงจะกล้าพูดแบบนั้นออกไปด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มแต่ภายในใจกลับกังวลแทบตาย เนี่ย กล่องแซนวิชมันใกล้ชะตาขาดแล้วจริงๆ นั่นล่ะ โอย ตื่นเต้นฉิบหายเพราะคีนเอาแต่เงียบใส่แถมไม่ยอมสบตาด้วย จะเขินหรือเปล่านะ

“ทะลึ่งว่ะ” อะ กลายเป็นว่าโดนเบ้ปากใส่ด้วย อยากจับจูบจริงๆ เล๊ย ฮึ่ย

“กับคนที่ชอบเราจะรู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลกนี่” ผมหยอดไปอีกดอกก่อนขยับเข้าไปใกล้เพื่อดูปฏิกิริยาของคีนซึ่งเป็นอันว่าเขาเบี่ยงตัวหนีและเดินผ่านกันเข้าไปในห้องก่อนจะส่งเสียงพูดลอยๆ ให้ได้ยิน

“กินข้าวดีกว่า”

ผมลอบยิ้มเมื่อหมุนตัวกลับไปแล้วพบว่าใบหูขาวๆ ของคีนในตอนนี้มีสีแดงระเรื่อชวนน่ากัดเชียวล่ะ

มื้อเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่ายโดยที่ต่างคนต่างกิน... ซะเมื่อไหร่ ก็ผมดันลอบมองคีนทุกห้านาทีจนเจ้าตัวส่งเท้ามาเตะเข้าที่หน้าแข้งแถมด้วยสายตาดุๆ โธ่ ทางนี้ก็ได้แต่ยิ้มแหยแล้วก้มหัวขอโทษก่อนตักไข่เยี่ยวม้าครึ่งฟองใส่ปากเคี้ยวแก้เขิน ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซึ่งมันเป็นของเขา บทสนทนาคร่าวๆ พอจะเดาได้ว่าปลายสายคือโฮมอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะได้ยินเรียกว่า ‘เจ้าตัวจิ๋ว’ โอ้โห ให้ความรู้สึกโคตรแฟนอะ ผมนี่เผลอกัดกะพุ้งแก้มตัวเองเลยแม่ง แสบไปยันโลกหน้า กลิ่นคาวเลือดคลุ้งขึ้นจมูกเลยจ้า

หลังจากนั้นผมกับคีนก็แยกย้ายกันไปจัดการธุระส่วนตัวสำหรับเตรียมสอบในภาคบ่าย ไอ้ปอมที่หายหัวตั้งแต่เช้าดันส่งข้อความมาว่าให้ ‘สามี’ สุดที่รักแวะซื้อดินสอสองบีด้วย นี่อยากจะเอาหัวมุดโทรศัพท์ไปโผล่อีกฝั่งแล้วต่อยหน้าแม่งสักที หนีเที่ยวดันโยนความรับผิดชอบส่วนของตัวเองมาทางนี่อีก ไอ้เชี่ย!

อะ ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงซึ่งผมเห็นควรว่าต้องแงะตัวออกจากโซฟาสักที ในขณะที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศก็ได้ยินเสียงออดหน้าห้องเดา ด้วยความที่ใจคิดว่าเป็นคีนเลยรีบพุ่งเข้าหาประตูทันที

“กิม ~” เปิดประตูปุ๊บเสียงหวานๆ ก็เอ่ยทักพร้อมด้วยส่งรอยยิ้มละมุนมาให้ แว่นตากลมถูกมือเรียวดันขึ้นเมื่อมันไหลลงต่ำ ผมหลับตาลงก่อนระบายลมหายใจดังพรืด ผิดหวังมากๆ โอ๊ย ไอ้เนิร์ดมาทำไมเนี่ย

“กูกำลังจะออกไปสอบ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้เยื่อใยพลางเอนตัวพิงประตูแล้วกอดอกมองเพื่อนอย่างเฉยชา ลึกๆ รู้ดีอยู่แล้วว่าไอ้ว่านคงมีเรื่องอยากให้ช่วยเพราะปกติมันไม่เคยโผล่มากะทันหันแบบนี้หรอก แค่เห็นขอบตาคล้ำก็เข้าใจแจ่มแจ้ง อ่านหนังสือยันเช้าอดหลับอดนอนอีกตามเคยแถมบ้านอยู่ไกลจากมหา’ลัยอีกคงไม่พ้นขอค้างด้วย เอ้อ ทำไมเรื่องอื่นผมไม่ฉลาดวิเคราะห์แบบนี้บ้างเนี่ย

“อะไรวะ จะไม่ถามสักคำเลยเหรอว่ากูมาทำไม?” มันถามเสียงกระเง้ากระงอดแล้วตวัดสายตามองกันอย่างเคืองๆ ริมฝีปากบางเบะลงเหมือนกำลังโกรธที่เพื่อนสนิทไม่ยอมถามถึงสารทุกข์สุกดิบหลังจากไม่เจอกันมาร่วมสองสัปดาห์ โธ่ กูไม่ใช่ผัวมึงไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้เหอะ

“กูยังไม่หายโกรธมึงนะว่าน” ผมเหล่สายตามองก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มลงกลางหน้าผากไอ้ว่าน มันปัดป่ายมือเป็นพัลวันแล้วจิ๊ปากใส่แต่ดีหน่อยที่ไม่มีการตอบโต้เหมือนทุกครั้ง สงสัยจะสำนึกได้ว่าตัวเองทำผิดจริงๆ

“เค้าขอโทษ ก็คนมันไม่รู้จริงๆ ว่าพี่เซียนจะ...”

“พอๆ เลิกพูดเรื่องนี้ มีอะไรก็ว่ามา” ผมรีบขัดจังหวะเพราะไม่อยากได้ยินคำว่า ‘จีบ’ จากปากไอ้ว่าน คิดแล้วก็ขนลุกซู่เพราะเมื่อวานเจอพี่เซียนมายืนรอถึงหน้าห้อง คือมันก็ปกติที่เด็กคณะผมจะเห็นเขาแต่คราวนี้ทุกคนแตกตื่นเนื่องจากเป้าหมายเปลี่ยนจากคีนเป็นกิม โอ๊ย พ่อคุณแม่คุณวี๊ดว๊ายยิ่งกว่านักร้องเกาหลีบุกมหา’ลัย

“ขอนอนด้วย” อะ คราวนี้ไอ้เนิร์ดพุ่งมากอดแขนแล้วดันผมเข้าห้องเหมือนจะปลุกปล้ำกันอย่างนั้น ทางนี้ซึ่งกำลังอึ้งอยู่เลยปล่อยให้ประตูห้องปิดลงอย่างง่ายดายโดยไม่มีเสียงโวยวาย ทุกวันนี้นอนกับไอ้ปอมก็จะฆ่ากันตายอยู่แล้ว ถ้ามีเพิ่มมาอีกคนไม่อยากคิดสภาพเลยว่ะ

“อะไรนะ?” เมื่อได้สติกลับมาผมเลยถามมันเสียงต่ำแล้วพยายามแงะหัวทุยๆ ออกจากอก อูย ขนลุกขนพองไปหมด อีกอย่างคือเสียวสันหลังเมื่อคิดว่าพี่โซนรู้เรื่องนี้เข้าจะเป็นยังไง เขาคงกระทืบผมจมดินอะ

“พรุ่งนี้สอบเช้าอะ ขี้เกียจกลับบ้าน” ไอ้ว่านมือตุ๊กแกยังคงกล้าหาญเลื่อนมือมาโอบรอบเอวผมแล้วช้อนสายตามองแบบอ้อนๆ ท่าทางของพวกเราตอนนี้ชวนให้คิดว่าคู่แฟนกำลังสวีทหวานใส่กันทั้งๆ ที่จริงแล้วนั้น…

“ไปนอนกับพี่โซน” ผมผลักหัวมันจนหงายไปด้านหลังจนได้ยินเสียงร้องโอดโอยจากร่างเล็ก มันผละมือออกจากรอบเอวก่อนจะบ่นงุ้งงิ้งฟังไม่ได้สรรพ ส่วนผมได้ทีหนีไปหยิบกระเป๋าเป้และกุญแจรถมาถือไว้ในมือเตรียมออกจากห้อง ถ้าช้ากว่านี้อาจจะไม่ได้แดกข้าวเที่ยงแล้วสมองจะไม่ลื่นไหลเป็นอันสอบตกแน่ๆ แค่คิดก็เครียดแล้วเนี่ย

“พี่โซนไปติวที่หอเพื่อนอะ” มันเดินตามกันมาติดๆ ขณะที่ผมโฉบไปใส่รองเท้าหนังที่ชั้นวาง

“งั้นมึงโทรไปขอไอ้ปอมเพราะไม่ใช่ห้องกู” อะ ผมเปิดประตูเดินออกไปนอกห้องแล้วแต่ไอ้ว่านยังคงปักหลักไม่ยอมออกมาสักที มันยืนบิดซ้ายบิดขวาเหมือนคนปวดฉี่ก่อนจะส่งยิ้มหวานหยดย้อยมาให้ ผมรู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอ้วกกับความตอแหลของมันจริงๆ

“ขอให้กูหน่อยนะ น้า เดี๋ยวเย็นนี้เลี้ยงบะหมี่เกี๊ยวหน้าปากซอย” ต่อยหน้าสวยๆ นั่นให้ยับคามือได้ไหม แค่บะหมี่หน้าปากซอยไม่ต้องเลี้ยงก็ได้มั้งครับเพื่อน ขอแลกเปลี่ยนมึงโคตรไม่น่าสนใจเลยไง ผมโบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธก่อนเอื้อมมือไปดึงแขนไอ้ว่านให้ออกจากห้องสักที จะได้ล็อกประตูแล้วออกไปหาข้าวกิน

“มันคุ้มกับการที่กูจะโดนไอ้ปอมด่าไหม?” เล่นละครทำเป็นไม่พอใจอีกนิดหน่อยเดี๋ยวก็ได้รับข้อเสนอที่ดีกว่านี้

“วุ้ย เรื่องเยอะอะ งั้นเลี้ยงโออิชิบุฟเฟ่ต์เลยเอ้า” ถึงปากมันจะบ่นแต่ใจปล้ำอย่างกับป๋าเลี้ยงเด็กเอ๊าะๆ คราวนี้ผมลอบยิ้มอย่างพอใจในขณะที่ขยับเข้าไปล็อกประตูห้องให้เรียบร้อย

“ดิว ขอเวลาหนึ่งนาที” ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาโบกให้ไอ้ว่านดูก่อนจะกดโทรออกรอสัญญาณจากปลายสายพลางเดินนำหน้าไปที่ลิฟท์ ที่ไม่ยอมทิ้งมันไว้ที่นี่ก็เพราะรู้ดีว่ามีสอบช่วงบ่ายเหมือนกันน่ะสิ

“ขี้งก” อะ เชิญมึงด่ากูไปเถอะ ยังไงก็ไม่สะทกสะท้านอยู่แล้วน่า กินฟรีใครๆ ก็ชอบ

ขณะนี้ในห้องสอบกำลังตึงเครียดเนื่องจากว่ามีบางคนพลิกกระดาษคำตอบคว่ำไว้บนโต๊ะแล้วเดินสะบัดก้นออกไปเป็นที่เรียบร้อย ผมเหลือบสายตามองบุคคลเหล่านั้นก่อนจะขมวดคิ้วแน่นพลางเคาะนิ้วลงบนกระดาษตรงหน้า พวกนั้นมันต้มหนังสือกินเหรอวะทำไมถึงได้เก่งขนาดนั้น หรือจริงๆ แล้วแม่งปล่อยว่าง โอ๊ย ปวดหัวเว้ย

“เหลือเวลาอีกสิบนาทีนะคะนักศึกษา”

ระฆังแห่งความตายชัดๆ แม่งเอ๊ย ผมทึ้งหัวอย่างบ้าคลั่งก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเขียนคำตอบ มีอย่างที่ไหนอาจารย์ออกข้อสอบมีคำถามแค่ข้อเดียวแล้วให้กระดาษมาห้าแผ่นเพื่อบรรยายความรู้ทั้งหมดที่ได้รับมาทั้งเทอมนี้ คิดจนสมองจะระเบิดแล้วเว้ย

ในที่สุดก็เสร็จจนได้ ไม่ใช่ข้อสอบนะผมเนี่ยล่ะเพราะเขียนคำตอบจนอาจารย์คุมเดินมาสะกิดไหล่บอกให้วางปากกาแล้วไสหัวออกไปจากห้องซะ แต่ที่แย่กว่านั้นคือผมไม่เห็นแม้แต่เงาของไอ้ปอมด้วยซ้ำ อีกแล้ว มันหายหัวแบบนี้มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ได้ จะจีบเขาก็ทำให้ชัดเจนไม่ได้หรือไง แอบกิน เอ๊ย แอบเดทกันทำไมไม่รู้

ผมลากสังขารเปลี้ยๆ ไปจนถึงลานจอดรถ กะว่าจะชวนคีนไปหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นสักหน่อยแต่กลับได้คำตอบว่าเขาต้องกลับบ้านเพราะมีธุระด่วน เอ้อ ให้มันได้แบบนี้สิ เพื่อนทิ้ง คนที่ชอบดันไม่ว่างอีก ไม่มีใครรันทดไปมากกว่าไอ้กวินท์คนนี้แล้ว…

Rrrrr

เสียงริงโทนที่ดังขึ้นเหมือนจะเตือนว่าผมได้ลืมอะไรบางอย่างไป ชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอนั้นคือเพื่อนสนิทที่อาจจะนั่งรอจนรากงอกไปแล้วอยู่ใต้ตึกคณะแพทย์ เออเนอะ เย็นนี้มีอิหนูเลี้ยงข้าวเรานี่หว่า ลาภปากจริงๆ วุ้ย

“กำลังจะไปรับ”

‘อื้อ ให้พี่โซนไปกินข้าวด้วยได้ปะ?’ ไอ้น้ำเสียงติดอ้อนนี่มันอะไรกันวะ ฟังกี่ทีก็ไม่รู้สึกดี ขนลุกซู่ตลอด

“แล้วแต่มึงเหอะ เป็นเจ้ามือนี่” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะปลดล็อกประตูรถพลางสอดตัวเข้าไปประจำที่คนขับ ดวงตาเหลือบมองเบาะด้านข้างก็เห็นไอ้ตุ๊กตาหมาหูยาวนั่งเสนอหน้าอยู่บนนั้น เฮ้อ คิดถึงคีนอีกแล้วว่ะ

‘งั้นเจอกันที่ห้างเลยนะ กูไปพร้อมพี่โซน’ จ้า จะเกาะล้อรถเมล์ไปกูก็ไม่ว่าอะไรมึงหรอก

“เออๆ”





ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
กว่าจะมาถึงห้างก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงซึ่งเป็นเวลาที่พอเหมาะกับการเขมือบอาหารเย็น ร้านรวงต่างๆ อัดแน่นไปด้วยผู้คนเพราะเป็นเวลาหลังเลิกงานทั้งยังเป็นช่วงต้นเดือน ผมเดินเอื่อยชมนั่นชมนี่ไปเรื่อยเพื่อรอสมาชิกร่วมโต๊ะอีกสองคนที่แวะจ่ายค่าโทรศัพท์ในศูนย์บริการ วันนี้เป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือกินและกินเท่านั้น ผมจะไม่ยอมควักกระเป๋าตังค์ออกมาอย่างแน่นอน

แต่ไอ้ร้านข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินไปถึงกลับขายกล้องถ่ายรูปนี่สิ เอาตามตรงคือความอยากได้อยากมีมันยังไม่เกิดแต่ดันคิดถึงคีนขึ้นมาน่ะสิ โอย แย่ฉิบหายที่สมองดันมีแต่เรื่องของเขาวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ลบยังไงก็ไม่ออก เวลาจะกินข้าวยังนึกถึงอาหารฝีมืออีกฝ่าย จะร้อง อยากฟ้องแม่!

อะ ตัดใจจากร้านขายกล้องถ่ายรูปได้ก็มาเจอไอ้คู่รักหวานชื่นกำลังยืนคุยกระหนุงกระหนิงกันอยู่หน้าร้าน สายตาหวานเยิ้มที่มองอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจจนผมอยากเข้าไปทำลายบรรยากาศฟุ้งๆ นั่น แต่ความเป็นคนดีเลยทำได้แค่เดินเข้าไปสมทบเงียบๆ ปล่อยให้ไอ้ว่านกับพี่โซนรู้ตัวเอง เฮ้อ ชักอยากกลับคอนโดไปนอนมองเพดานแบบแล้วสิ

“พี่โซนเอาแซลมอนเพิ่มปะ เดี๋ยวเค้าไปตักให้” การกระแซะเข้าไปหาแฟนแล้วช้อนตามองกันโต้งๆ กลางที่สาธารณะมันสมควรทำเหรอไง อีกนิดเดียวปากไอ้วานก็จะแตะปลายคางพี่โซนอยู่แล้ว ไม่ต้องแสดงความรักโจ่งแจ้งขนาดนี้ ส่วนไอ้ปอมก็ลึกลับเกินไปอีก ทำไมแต่ละคนไม่มีความพอดีวะ

“ครับ ขอกุ้งเทมปุระกับไข่ออนเซ็นด้วยนะ” ไอ้คนโตกว่าก็ไม่มีห้ามปรามเพราะดันยิ้มหวานก่อนส่งมือหนาๆ ไปลูบหัวแมวในปกครองอย่างเอ็นดู เออ ก็เข้าใจว่าคนรักกันแต่ผมอิจฉาไง คืออยากมีโมเม้นต์แบบนี้บ้าง

“นี่แกล้งผมเหรอ?” แต่ไอ้แมวเอาแต่ใจดันผละตัวออกจากฝ่ามืออุ่นๆ เพื่อแยกเขี้ยวขู่ทาสผู้พักดี ผมเลยได้แต่แอบเบ้ปากเพราะหมั่นไส้ ส่วนมือก็คีบข้าวปั้นจิ้มคิคโคแมน เรามากินมื้อเย็นไม่ใช่มานั่งแหกตาดูหนังรักเว้ย เลิกหวานใส่กันสักที

“เดี๋ยวพี่ไปช่วยถือก็ได้ครับ” จ้า ยังไม่จบอีก ไอ้กิมจะล้มโต๊ะแล้วนะ

“แค่ล้อเล่นน่า แค่นี้ถือได้สบายมากฮะ” รอยยิ้มสดใสคลี่กว้างก่อนที่เจ้าของมันจะลุกขึ้นแล้วเดินดุ๊กดิ๊กไปเอาของตามบัญชาของสามีสุดหล่อที่ขณะนี้วางตะเกียบลงบนจานแล้วเอาแต่มองหน้าผม ไอ้เราก็มัวแต่คิดนั่นคิดนี่เลยยังไม่ได้คีบข้าวปั้นใส่ปาก จิ้มติโคเมนไว้เกือบนาทีป่านนี้เค็มไส้ขาดไปแล้วมั้ง

“เหม่อๆ นะเรา อาหารไม่ถูกปากเหรอ?” อะ คำถามยอดนิยมของคนช่างสังเกตทำให้ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะยกข้าวปั้นขึ้นมาสะบัดไล่คิคโคแมนส่วนเกินทิ้ง อ่า... สีดำเป็นตอตะโกเลยว่ะ ยังกินได้อยู่หรือเปล่าเนี่ย หน้าปลาไหลด้วยสิ เอาไงดี

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเพลินๆ”

“หมั่นไส้ว่านเหรอ?” พี่โซนถามทีเล่นทีจริงโดยมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมเผลอเบิกตาโตเพราะนั่นคือสิ่งหนึ่งที่คิดไว้ ใช่แล้ว หมั่นไส้ท่าทางออดอ้อน ทำตัวเหมือนแมวน้อย ใช้เสียงสองสามสี่ห้ากับแฟน คือมันให้ความรู้สึกหยึ๋ยๆ บอกไม่ถูก

“โห พี่โซนจะรู้ทันเกินไปแล้ว” ผมแสร้งทำหน้าบูดเมื่อโดนจำได้ว่าคิดอะไร พี่โซนหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะคีบกุ้งเทมปุระตัวสุดท้ายให้กัน ทำไมรู้สึกเหมือนคู่รักวะ ถ้าไอ้ว่านเห็นฉากเมื่อครู่คงงอแงใหญ่โตแน่นอน

“บางทีพี่ก็หมั่นไส้มันเหมือนกัน ทำตัวน่ารักแต่ให้ความรู้สึกน่าถีบมากกว่า” ผมเห็นด้วยว่ะ พี่โซนไม่เคยอวยแฟนตัวเองจริงๆ ดีก็ว่าดี แย่ก็ว่าแย่ นี่สิที่เขาเรียกว่ารักถูกวิธี

“พี่รักไอ้ว่านจริงปะเนี่ย?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะไม่จริงจังอะไรเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าพี่โซนรักไอ้ว่านมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมมันได้ถึงขนาดนี้หรอก ซื้อรถใหม่ตามใจคนนั่ง กินอาหารตามความต้องการของอีกคนโดยไม่บ่น ดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องหัวใจ เรื่องเรียนหรือความเป็นอยู่ ถ้าผมเป็นสาวๆ คงยกให้เขาเป็นชายในฝันไปแล้วล่ะ

“หึหึ ก็อย่างที่เห็น แล้วกิมล่ะ เมื่อไหร่จะมีแฟนสักที?”

“ก็เรื่อยๆ ครับ ไม่รีบ” ที่จริงอยากจะตอบว่าเมื่อคีนยอมใจอ่อนให้ต่างหาก แต่มันฟังแล้วเหมือนชีวิตรันทดเกินไปเลยเลือกพูดแบบนั้นแทน ดูเป็นผู้ชายคูลๆ ไปอีก แป้งตรางูเรียกพี่เลยครับ

“พี่ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม?” พี่โซนพยักหน้ารับคำของผมแล้วเปลี่ยนสีหน้าเข้าสู่โหมดจริงจัง ตอนนี้ความกดดันทางสายตาของเขาทำให้เดาทิศทางการสนทนาได้ไม่ยาก คงไม่รอดพ้นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ สินะ ก็คนมันไม่ชอบจะให้ตอบรับไปแดกข้าวร่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ได้เหรอ อึดอัดตายห่า อีกอย่างพี่เซียนทำเหมือนผมเป็นสาวน้อยตัวเล็กๆ เฮ้อ ไม่เข้าใจความคิดหมอหมาเลยเนี่ย

“ถ้าเป็นเรื่องพี่เซียนผมขอไม่ฟังนะครับ” ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมอย่างชัดเจนจนคนฟังถึงกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เออน่า ผมขอรู้ทันคนอื่นสักวันหนึ่งก็แล้วกัน

“ไม่ชอบกันขนาดนั้นเลย?” สีหน้าจริงจังเกินไปของพี่โซนทำให้ผมต้องยกมือขึ้นลูบใบหน้าเพราะกลัวว่าจะเผลอแสดงอาการอะไรออกไป ยังไงอีกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นพี่ชายของเขา ถ้าโกรธแทนกันคงไม่แปลก

“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่พี่เซียนไม่ใช่... พี่โซนเข้าใจผมไหม?” ผมบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแถมขมวดคิ้วแทบเป็นปม ว่าจะปล่อยวางเรื่องนี้ทำเป็นไม่สนใจแต่ที่ไหนได้พอโดนกระตุ้นก็รู้สึกแบบเดิม จ้วงแซลมอนใส่ปากรัวๆ จนโดนพี่โซนรั้งข้อมือไว้ โอย จะลำลักแล้ว

“เอาเป็นว่าพี่จะคอยห้ามพี่ชายตัวเองแล้วกัน ใจเย็นๆ ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น” พี่โซนขยับแก้วชาเขียวให้ผมดื่มตามแซลมอนก่อนจะเลื่อนมือหนามาตบบ่ากันปุๆ เหมือนต้องการให้ผ่อนคลายลง รอยยิ้บางที่ปรากฏทำให้ผมเริ่มใจเย็นขึ้น หายใจสะดวกมากยิ่งขึ้น เฮ้อ ไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เลยเว้ย หมอหมามันก็ดีนั่นล่ะ แต่เป็นคนที่ไม่ใช่ไง...

“ผมนี่อยากกราบแนบอกพี่โซนมาก ขอบคุณจริงๆ ครับ” น้ำตาแทบจะไหลเพราะทุกวันนี้ไม่สามารถสลัดคนที่ชื่อเซียนออกไปได้อย่างเด็ดขาดสักทีเนื่องจากกลัวพี่โซนผิดใจกับไอ้ว่าน แต่พอเรื่องมันกลับกลายเป็นแบบนี้ในอนาคตผมคงปฏิเสธเขาได้อย่างจริงจัง ถ้าวอแวมากไปจะต่อยหน้าแม่งให้ยับเลยคอยดู

“ไม่เป็นไรๆ แต่ระวังโดนว่านตบเอานะ หึหึ” พี่โซนพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วชี้นิ้วไปทางด้านหลังของผม สายตาเย็นยะเยือกของไอ้ว่านกดดันอยู่เหนือหัวจนต้องหันไปคลี่ยิ้มหวานๆ เพื่อประจบประแจ้ง โธ่ กูไม่อยากเป็นเมียน้อยใครหรอกน่า

เราทั้งสามคนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาทีอย่างคุ้มค่าเรียกว่าแดกจนท้องแทบแตกตายเหมือนชูชก กว่าจะเคลื่อนตัวออกจากร้านได้นิ่งกว่าเต่าเพราะรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาถึงคอ โอย อยากอ้วกออกแต่ก็เสียดายเหอะ

ผมและไอ้ว่านแยกย้ายกับพี่โซนตรงบันไดเลื่อนเพราะพวกเราจะลงไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่อ พอดีว่าในตู้เย็นแทบไม่มีของสดเหลืออยู่เลยแล้วพรุ่งนี้ไอ้คนขออาศัยเสือกอยากกินสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าเป็นมื้อเช้า โอ้โห มึงไม่เลี่ยนจนอ้วกแต่เหรอวะ?

Rrrrr

เสียงริงโทนทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบชีสใส่รถเข็น โทรศัพท์ถูกล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อพบว่าชื่อคีนปรากฎบนหน้าจอ โอ๊ย ไม่ซื้อของแม่งแล้ว

“ฮ ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงสั่นๆ ลงไปก่อนจะทิ้งหน้าที่เลือกซื้อของให้ไอ้ว่าน เชื่อเหอะว่าวัตถุดิบทำคาโบนาล่าจะมีแต่ของแปลกๆ ก็มันทำอาหารเป็นที่ไหนกันเล่า

‘เอ่อ ยุ่งอยู่หรือเปล่า?’ น้ำเสียงติดเกรงใจนั่นคงจะขอความช่วยเหลือจากผมสินะ หูย รู้สึกมีค่าในสายตาคีนขึ้นมาเลยว่ะ ภูมิใจจัง

“ไม่ๆ คีนมีอะไรเหรอ?” ผมปฏิเสธรัวๆ พลางเดินเข้าไปในส่วนของผลไม้ ดูนั่นดูนี่ฆ่าเวลาทั้งที่ควรไปเลือกซื้อวัตถุดิบทำอาหารให้เสร็จ ก็ไม่อยากอยู่ใกล้ไอ้ว่านให้มันแซวหรอก

‘คือเราลืมกุญแจห้องไว้ที่บ้านแล้วขี้เกียจกลับไปเอาน่ะ’ คีนหัวเราะเบาๆ ตบท้าย แต่ผมนี่นิ่งสนิทตาเบิกโพลงไปแล้ว คือสมองคิดไปไกลมากว่าเขาต้องขอ...

“.....”

‘จะขอค้างด้วยคืนนี้ ได้...’ เฮ้ย จริงดิ ตามที่คิดไว้เป๊ะเลย โว๊ย เกือบจะกระโดดแหกปากร้องดีใจอยู่แล้วเชียวแต่พอดีว่าตั้งสติทัน เลยทำแค่กำมือแล้วทำท่าเยสๆ สองสามรอบ

“ได้ๆ ไม่มีปัญหาครับ” ผมตอบกลับเสียงรัวผิดกับตอนไอ้ว่านขอลิบลับ ก็ต่างคนต่างความรู้สึกไง หึหึ โอ๊ย ปากนี่ก็จะฉีกกว้างไปถึงไหน ดีใจอะไรขนาดน้าน แค่ขอนอนด้วยไม่ใช่ขอคบเว้ย!

‘ขอบคุณมากเลย ตอนนี้เราอยู่หน้าห้องแล้ว’ เดี๋ยวๆ ผมอยากจะวาร์ปกลับไปเดี๋ยวนี้เลยอะ ทำไงดีวะ...

“รอสักครึ่งชั่วโมงนะ ตอนนี้เราอยู่ห้าง” เวลาที่บอกคีนไปคือหมายถึงตรงดิ่งกลับคอนโดทันทีโดยไม่ซื้อของต่อ ผมรีบสาวเท้าสู่จุดที่ไอ้ว่านยืนหันซ้ายกันขวาอยู่ พรุ่งนี้แดกขนมปังปิ้งทาเนยโรยน้ำตาลก่อนแล้วกัน!

‘อ๋อ ไม่ต้องรีบๆ เราลงไปนั่งรอข้างล่างก็ได้’

โอย คีนเป็นคนดีจนผมใจละลายไปหมดแล้วเนี่ย

“อะ โอเคๆ แต่ยังไงเราจะรีบกลับนะ” ขอหยอดก่อนวางสายสักหน่อยเหอะ ฮึ่ย มีความสุขจัง

“ไอ้เชี่ยว่าน!” ผมใกล้จะถึงตัวไอ้ว่านอยู่แล้วแต่ด้วยความรีบเลยตะโกนเรียกซะก่อน มันหันขวับมาจนผมปลิวสยายก่อนใบหน้าหวานๆ จะกลายเป็นบูดบึ้ง สงสัยจะโกรธที่โดนทิ้งไว้กลางดงชีสคนเดียว ดูในรถเข็นสิ ยังมีแค่แฮมกับเห็ดแชมปิญองเอง ไม่ได้แดกแล้วไม่ต้องเลือกต่อ!

“ตะโกนหาพ่อมึงเหรอ? อายคน!” โห เสียงมึงก็ดังพอกันจนคู่รักที่ยืนเลือกซื้อไส้กรอกหันมามองตาเขียว แต่ช่างแม่งเหอะ ตอนนี้ต้องรีบกลับคอนโดแล้วน่า มัวโอ้เอ้เดี๋ยวไม่ทันครึ่งชั่วโมงพอดี

“ไม่ต้องซื้อของแล้ว” ผมถือวิสาสะจับข้อมือไอ้ว่านแล้วลากมันออกมาจากตรงนั้น ท่าทางของมันดูมึนงงแต่ก็ไม่ได้รั้งไว้ ก็ขนาดตัวเราต่างกันมากโขเลยล่ะ

“เดี๋ยวๆ จะรีบไปไหนเนี่ย?” แต่ปากมันก็ยังพูดได้นี่หว่า เซ็งจัง

“กลับห้อง” ผมตอบสั้นๆ และไม่ยอมหยุดเดินจนเกือบถึงบันไดเลื่อน เสียงแหลมเล็กแทงเสียดหูเข้ามา

“คาโบนาร่ากูล่ะ?” ตาเขียวปั๊ดเชียว ไม่น่าหันไปมองเลยว่ะ

“ไม่ต้องแดก”

“เฮ้ย ไม่เอาดิ!” คราวนี้มันสะบัดมือเร่าๆ ไอ้ผมก็ไม่ยอมปล่อยเพราะรีบ คนที่เดินผ่านไปผ่านมองเลยเหลียวมองกันใหญ่ โอย ชีวิต ผัวเมียทะเลาะกันอีกแล้วสินะ

“คีนรอกูอยู่!” ว่าจะเนียนสักหน่อย สุดท้ายก็ต้องบอกความจริงเพราะไม่อยากให้มันขัดขืนไปมากกว่านี้ อายคนเว้ย

“โอ๊ย ไอ้ส้นตีน เห็นว่าที่ผัวสำคัญกว่าเพื่อน!” ผมนี่ถึงกับสำลักน้ำลายไอค่อกแค่กเมื่อได้ยินคำแทนตัวของคีน คือมึงช่วยดูหน้าตากับหุ่นกูหน่อยไหม ถ้าไปมีผัวจริงๆ แม่คงนอนร้องไห้เป็นปีเพราะรับสภาพลูกชายไม่ได้ ถ้าผมตัวเล็กน่ารักน่าทะนุถนอมแบบมันก็ว่าไปอย่าง ให้เป็นเมียใครก็ยอมอะ

แต่ถ้าคีนอยากรุกผมก็รับได้ไม่มีปัญหา... มั้ง เอาน่า ยังไงเรื่องความรักต้องมาก่อนเรื่องเซ็กซ์อยู่แล้ว ค่อยตกลงกันทีหลัง ตอนนี้จีบให้ติดก่อนเห๊อะ

“ว่าที่เมียเว้ย!” ปฏิเสธไปก่อนเพราะความตั้งใจแรกของผมคืออยากเป็นผัวคีนอะ

“เกลียดมึง!”

เออ ขอให้เกลียดอย่างที่ปากว่าจริงๆ เหอะ เพราะครั้งหนึ่งมึงก็เคยหลงเสน่ห์กูมาก่อนอย่าลืมซะล่ะ หึหึ




------------------------------------

มันก็จะมีความคืบหน้าหน่อยๆ สำหรับหลายๆ คู่เนอะ
ตอนหน้ารับรองว่ายุ่งเหยิงสุดๆ เพราะสมาชิกในห้องพักมีถึง 4 คน จะแบ่งเตียงนอนกันยังไงดีหนอ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2018 22:26:26 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 12



ตอนนี้เราทั้งสามคนนั่งกระพริบตาปริบๆ มองเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาเมื่อห้านาทีที่แล้วพร้อมด้วยอีกหนึ่งบุคคลซึ่งอยู่ในชุดลำลองสีหวานยืนก้มหน้าแก้มแดงอยู่ด้านหลัง ไม่มีใครยอมปริปากพูดก่อนเหมือนกลัวความลับแตก คือไอ้ผมน่ะเฉยๆ เพราะออกตัวว่าจีบไปคีนแล้ว แต่ไอ้ปอมนี่สิอะไรยังไง...

อีกปัญหาหนึ่งคือเราทั้งห้าคนจะจัดสรรที่นอนกันยังไง เตียงได้สองชีวิต โซฟาอีกหนึ่ง... แม่ง จะนั่งหลับก็เกรงใจไงครับ เมื่อยตายห่าแน่ๆ ถ้าฉลาดกว่านี้คงลากคีนกลับบ้านแล้ว อุย อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นสิ นี่ผมหวังดีนะครับ (ให้คีนกลับไปนอนบ้านตัวเองดีกว่าไหม?)

“เอ่อ...” เสียงครางเบาๆ จากคนตัวเล็กทำให้ทุกสายตาหันขวับไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียง โฮมสะดุ้งโหยงก่อนจะคว้าไหล่ไอ้ปอมเป็นที่กำบัง ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะความเขินอายแบบไม่ปิดบัง ผมถึงกับลอบแสยะยิ้มให้เพื่อน ซึ่งมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะอย่างนั้นจนน่าหมั่นไส้ นี่มึงก้าวไวกว่ากูทั้งที่ปากแข็งอย่างกับหินเนี่ยนะ ไอ้ซึนเอ๊ย ระวังตัวไว้เถอะถ้าเผลอเมื่อไหร่จะล้วงความลับให้หมดเปลือกเลย

“อย่ามองโฮมแบบนั้นสิวะ” ไอ้ปอมรีบขยับตัวทำหน้าที่เกาะกำบังอย่างสมบูรณ์พร้อมด้วยแยกเขี้ยวข่มขู่พวกเราที่ยังนั่งกระพริบตาปริบๆ เหมือนลูกหมาไร้เดียงสา มีใครจ้องโฮมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อบ้างล่ะ อย่างมากที่สุดคงแค่ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างที่คีนกำลังทำ

“นั่นเพื่อนเรานะ มองไม่ได้เหรอ?” ไม่รู้ว่าติดนิสัยขี้แกล้งไปจากใครหรือธรรมชาติของคีนเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คำถามเลยเป็นไปในทิศทางทีเล่นทีจริงจนไอ้ปอมถึงกับออกอาการอึกอัก ส่วนโฮมที่โผล่มาแค่ใบหูแดงๆ นั่นบ่งบอกได้ชัดเจนว่ากำลังมีความลับ แอบแดก เอ๊ย แอบเดทกันแน่ๆ ผมเชื่อในลางสังหรณ์

“เอ่อ... เราว่าคนอื่นน่ะ” ไอ้ปอมยิ้มแหยๆ พลางแก้เก้อด้วยการยกมือขึ้นเกาท้ายทอย ผมลอบมองคีนที่ร้องอ๋อด้วยน้ำเสียงหยอกล้อจนรู้สึกอยากบีบ ทำไมถึงได้มีนิสัยขี้แกล้งปนทะเล้นได้ขนาดนี้นะ ไม่รู้หรือไงว่ามันมำให้ใครๆ หลงชอบเขาได้ไม่ยาก ขนาดไอ้ว่านที่เป็นเมียคนอื่นยังเหล่มาทางเขาไม่หยุด อย่าคิดนอกใจพี่โซนนะเว้ย กูฟ้องแน่

“หวงจั๊ง ปากบอกไม่ แต่การกระทำใช่” อะ ผมพึมพำกับตัวเองแต่เหล่สายตามองเพื่อนอย่างขำๆ ไอ้คนโดนกล่าวหาถึงกับหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่พร้อมเดินเข้ามาลอบหยิกต้นแขนกัน แม่งเอ๊ย เจ็บจนน้ำตาไหลอะ

“หุปปากไปไอ้บ๊วย!” มันกัดฟันกรอกเสียงต่ำใส่หูผมก่อนจะชี้หน้าคาดโทษแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าโฮมเหมือนเดิม เนี่ย ท่าทางหวงจนาดนั้นเป็นใครก็อดแซวไม่ได้ ขนาดไอ้ว่านที่ไม่ค่อยรู้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ยังเผลอเบะปากไปด้วยเลย

อยู่ๆ บรรยากาศก็หนักอึ้งเมื่อทุกคนพร้อมใจกันเงียบแล้วมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีสลับไปมา สุดท้ายผมก็วางสายตาไว้ที่คีนเพราะเขาเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องเพื่อนไม่หยุด ชนิดที่ว่าโฮมต้องหันหลังให้และไอ้ปอมถึงกับสำลักอากาศไอแค่กๆ กลอบเกลื่อนท่าทีกระอักกระอ่วนของตัวเอง นายคนินท์ร้ายกาจเกินไปแล้ว

“ตกลงนี่มึงจีบโฮมเหรอ?” ไอ้ว่านที่นั่งเงียบไปนานถามขึ้นมาด้วยเสียงเรียบแต่กลับทำให้คนฟังถึงกับตาค้างอ้าปากพะงาบๆ เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับผี ผมกับคีนสบตากันโดยไม่ได้นัดหมายก่อนที่ต่างคนจะหันหนีไปอีกทางเพราะอยากกลั้นขำ โดนหมัดหนักจากว่าที่หมอเข้าให้แล้วไหมล่ะ โธ่ มันก็รู้สึกสงสารไอ้ปอมกับโฮมอยู่หรอกแต่ความอยากรู้ก็อยู่เหนือกว่าอะไรทั้งหมด

“เฮ้ย ปะ เปล่าเว้ย ก็แบบ...” จำเลยลนลานตอบคำถามของเพื่อนด้วยสีหน้าเหมือนกระตายตื่นตูม เสียงที่เปล่งออกมามีความสั่นระดับที่สามารถพาคลื่นสึนามิพัดเข้าฝั่งทะเลได้อย่างง่ายดาย ดวงตาคมเบิกกว้างเกือบเท่าไข่ห่านแถมยังกรอกกลิ้งคล้ายพยายามหาตัวช่วยซึ่งไม่มีเลยเพราะผมกับคีนก็เอาแต่จ้องมองมันอย่างคาดคั้นเช่นเดียวกัน ถ้าไอ้ปอมจีบโฮมจริงคงไม่มีใครห้ามแน่นอน แต่ทุกคนอยากให้การกระทำของมันชัดเจนก็เท่านั้นเอง

“แบบไหน?” คีนถามพลางกอดอกแล้วทำหน้าจริงจังให้อารมณ์คุณพ่อหวงลูกสาวเป็นอย่างมากจนผมที่ลอบสังเกตถึงกับต้องยกมืออุดปากเพราะจะหลุดขำอยู่ทุกเมื่อเพราะที่จริงแล้วเขาออกจะน่ารักน่าขย้ำมากกว่า พอมาทำท่าทีดุๆ เลยดูไม่เหมาะสมกัน

“เอ่อ... ตอนนี้เรามาตกลงเรื่องที่นอนกันดีกว่าปะ?” ไอ้ปอมชวนเปลี่ยนเรื่องด้วยการแสดงท่าทีกะตือรือร้นเรื่องที่ซุกหัวนอนของพวกเราขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนแรกทำท่าจะไล่ทุกคนออกจากห้องด้วยซ้ำ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวปล่อยให้โฮมยืนบิดกระมิดกระเมี้ยนเป็นเป้าสายตาแทน ไม่เป็นพระเอกขี่ม้าขาวปกป้องเขาแล้วเหรอไง กากจริงๆ เชื่อว่าช่วงนี้ทั้งสองคงไม่กล้าเข้าใกล้กันเกินควรแน่นอน โธ่ แบบนี้ก็ไม่สนุกสิวะ

“สัดนี่ชอบเปลี่ยนเรื่องตลอด” ไอ้ว่านงึมงำก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ใส่ไอ้ปอมที่นั่งอยู่ไม่ไกล เท้าเล็กแตะเข้าที่หน้าแข้งเพื่อนระบายความหมั่นไส้จนได้ยินเสียงซี๊ดปากตอบกลับมา ส่วนผมได้แต่นั่งส่ายหัวปลงตกกับความปากแข็งที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะยอมพูดความจริงสักกที หรือต้องรอให้หมาสักตัวคาบชิ้นปลามันไปแดกซะก่อน

“ในตู้มีที่นอนปิกนิคหกฟุตอยู่ เดี๋ยวเอาไปปูอีกห้องให้” อะ คนอื่นยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะคุยเรื่องที่นอนอกันเลยแต่ไอ้ปอมดันลุกพลวดหนีไปเอาของอย่างที่บอกไว้ในตอนแรกซะแล้ว โฮมก็ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแถมยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบเมื่อรู้ตัวว่าโดนเพื่อนสนิทของตัวเองจ้องมองอยู่ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่งแล้วกัน ปล่อยให้เขาเคลียร์กันเองดีกว่า

“งั้นกูนอนโซฟานะ ไม่มีคู่อย่างคนอื่นเขา” ไอ้ว่านยังไม่วายกระแนะกระแหนก่อนสะบัดก้นเดินเข้าครัวด้วยสีหน้าระรื่นจนผมที่ลุกขึ้นตามถึงกับตะโกนไล่หลังด้วยความเขินอาย ก็ใครใช้ให้คีนหัวเราะเล่า เดี๋ยวจับจูบซะเลยนี่

“จะไปไหนก็ไป!” ไล่เพื่อนจบก็ดะว่าจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำแต่กลับโดนเสียงของโฮมรั้งไว้ซะก่อน

“ระ เราขอนอนกับคีนนะ” น้ำเสียงสั่นๆ กับท่าทางเหมือนลูกนกขี้กลัวทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ทั้งที่เจ้าของห้องตัวจริงพยายามแบกที่นอนปิกนิคหกฟุตอยู่ด้านหลัง

“โอเคๆ งั้นเราหาเสื้อผ้าให้คีนก่อนนะ” แล้วผมก็ผละออกมาจากสถานการณ์เคร่งเครียดนั่นเพื่อพบกับความจริงที่ว่าคีนจะใส่ชุดของตัวเองนอนเว้ย โอ๊ย จะไม่ซักแน่นอน จะเอามาดมจนกลิ่นจางเลย ฮึ่ย แค่คิดก็รู้สึกว่าขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกแล้วแฮะ เลวจริงๆ เล๊ยไอ้กิมมิค

“อยากนอนกับเราจริงๆ เหรอ?”

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากแอบฟังเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่หรอกแต่ตอนที่เดินเข้าห้องดันลืมถามคีนว่าจะเอากางเกงในด้วยไหมพอดีมีตัวใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้เหลืออยู่ แต่พอกลับมาก็ได้ยินเขาคุยกับโฮมซะก่อน ขอเสือกหน่อยแล้วกันเนอะ ยืนพิงกรอบประตูห้องนอนฟังเนี่ยล่ะ

“ทำไมคีนถามแบบนั้นอะ? เราไม่ได้เป็นอะไรกับปอมสักหน่อย” ร่างเล็กมองอีกคนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะยกสองมือเท้าแก้มนุ่มๆ จนมันยู่ยี้ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกำลังยืนมองกระต่ายสองตัวสนทนาเรื่องอาหารในวันพรุ่งนี้ว่าาจะเลือกกินหญ้าขนสดหรือหญ้าแห้งดี ถึงเรื่องที่กำลังคุยจะเครียดแต่บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาทั้งสองกลับน่ารักไปซะหมด โอย นี่ผมหลงคีนหัวปักหัวปำขนาดนั้นเลยเหรอวะ เดือนคณะที่มีคำว่าหล่อเต็มหน้าเนี่ยนะ สมงสมองไปหมดแล้วจ้า

“เหรอ? ก็เห็นแอบหนีเราไปกับปอมทุกที” เอ้อ อันนี้ผมเห็นด้วยกับคีนว่ะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรต่อกันทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ตลอดเลยวะ ขนาดผมชอบคีนยังไม่กล้าออกตัวแรงแบบนี้เลย

“มันไม่ใช่...” โฮมพยายามปฏิเสธแต่กลับโดนคีนขัดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังซะก่อน เอาวะ ความพ่อหวงลูกกลับมาอีกครั้งแล้ว

“ถ้าไม่ใช่แล้วโฮมจะยอมเขาขนาดนี้เหรอ?”

“ปอมแค่ต้องการไถ่โทษที่ลวนลามเราวันนั้น” ไถ่โทษมาเป็นเดือนๆ แล้วเนี่ยนะ กว่ามันจะกลับห้องแต่ละวันก็เกือบเที่ยงคืน ผมไม่คิดว่าคนอย่างโฮมจะโกรธไอ้ปอมได้นานขนาดนั้นนะ

“โฮมไม่ได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยนี่ แค่ปอมขอโทษก็น่าจะพอแล้วมั้ง จริงไหม?” คีนโน้มตัวเขาไปใกล้เพื่อนเพื่อสบตาก่อนที่มือเรียวจะวางลงบนศีรษะทุยพร้อมออกแรงลูบเบาๆ เหมือนกำลังพยายามปลอบประโลมความสับสนในหัวใจของโฮมให้เบาบางลง บางทีความไม่ชัดเจนของไอ้ปอมอาจจะส่งผลร้ายแรงก็ได้

“เรา... ไม่รู้จริงๆ” โฮมส่ายหน้าช้าๆ ตอบกลับก่อนจะซุกหน้าลงกับลาดไหล่กว้างของคีนเหมือนต้องการหาที่พึ่งซึ่งผมเองก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเพราะไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ได้ยังไงเหมือนกันเพราะรู้นิสัยของไอ้ปอมดีว่ามันเป็นคนที่ปากหนักเหมือนมีใครเอาหินมาถ่วงในเรื่องของความรักเนื่องจากเคยผิดหวังมามากเกินไปเลยไม่กล้าที่จะเผยความรู้สึกกับใครตรงๆ

“ค่อยๆ คิด เราไม่ได้จะดุโฮมสักหน่อย แค่เป็นห่วง” น้ำเสียงของคีนอ่อนลงและสายตาที่มองเพื่อนสนิทก็เปลี่ยนไปเป็นห่วงใยตามคำพูดจริงๆ ผมนับถือเขาทั้งสองคนที่สามารถพูดคุยเรื่องนี้โดยไม่ใส่อารมณ์กัน ถ้าเป็นผมกับไอ้ปอมป่านนี้ต่อยกันหน้าแหกกับคำว่า ‘ไม่รู้’ ไปนานแล้ว

ผมปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม หูแว่วได้ยินเสียงเลื่อนประตูกระจกให้เปิดออกพร้อมกับที่เห็นร่างของไอ้ปอมเดินผ่านหน้าไปโดยไม่พูดอะไรกับใครแถมในมือยังมีบุหรี่อีกด้วย เอาเป็นว่ามันเครียดจนต้องหาที่พึงเป็นนิโคตินขนาดนี้แล้วผมคงต้องทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง เฮ้อ ขี้เสือกทั้งมึงทั้งกูจนได้เรื่องสิน่า

ก่อนจะก้าวขาออกจากจุดสตาร์ทผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางเรียบเรียงคำพูดให้เหมาะสมในขณะที่ดวงตามองตรงไปยังบุคคลทั้งสองซึ่งกอดปลอบกันไม่ห่าง นี่คือมิตรภาพระหว่างเพื่อนจริงๆ ใครกำลังไม่สบายใจก็ยังมีอีกคนคอยเคียงข้าง ถึงบรรยากาศของแต่ละคนต่างกันแต่ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน อย่างเช่นผมกับไอ้ปอมเนี่ย ไม่มีโมเม้นต์หวานแหววหรอกแต่ก็ไม่เคยทิ้งให้มันทุกข์ใจอยู่คนเดียว

“เราขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม?” ผมเดินเข้าไปหาทั้งคู่พร้อมกับเอ่ยประโยคขออนุญาต คีนกับโฮมผละออกจากกันแล้วหันขวับมามองอย่างกับเจอผี คือแบบ... เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหมวะ กลัวจะโดนถีบกระเด็นข้อหาเสือกเรื่องคนอื่นเนี่ย

“เอาสิกิม” แต่คำอนุญาตจากคีนทำให้ผมโล่งอกขึ้นเป็นกองแต่กลับพบว่าสายตาที่โฮมใช้มองกันมีแววหวาดระแวงอยู่ คือผมก็ไม่ได้มากดดันเขาเลยนะ แค่อยากช่วยเพื่อนนิดหน่อยเท่านั้นเอง

“อ่า... ไอ้ปอมเป็นคนปากแข็งแต่การกระทำมันแสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดอะไรอยู่นะ”

“กิมได้ยินที่เราคุยกับ... คีนเหรอ?” โฮมกระพริบตาปริบๆ ใส่กันเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะได้ยิน ส่วนคีนก็หรี่ตามองอย่างจับผิดจนทางนี้ได้แต่อ้าปากขอโทษแบบไร้เสียง ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจแอบฟังจริงๆ นะเออแต่เสือกได้ยินตั้งแต่ต้นจนจบเลยจ้า

“เอ่อ... โทษที” แล้วก็ตบท้ายด้วยการยกมือขึ้นถูจมูกแก้เก้อพลางเหลือบสายตามองคู่กรณีก็พบว่าโฮมส่ายหัวเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร สีหน้าเขาดูไม่ดีเลยว่ะ หรือผมควรเรียกไอ้ปอมมาเคลียร์เรื่องนี้ให้จบๆ สักทีเพราะการที่มาค้างด้วยกันแบบนี้มันส่งผลถึงบรรยากาศโดยรวมให้อึดอัด แต่เหลือไอ้ว่านไว้คนหนึ่งเพราะมันคงแช่น้ำสบายอุราไปแล้ว

“ช่างมันเถอะ เราขี้เกียจคิดเรื่องของปอมแล้วอะ” โฮมออกอาการงอแงทั้งน้ำเสียงและใบหน้าพ่วงตามมาด้วยการกระทำที่เอาหัวทุยๆ ไปไถกับลาดไหล่ของคีน รายนั้นทำหน้าเหวอนิดหน่อยก่อนจะเม้มปากแน่นกลั้นขำจนหน้าแดง ตกลงว่าเขาเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ ใช่ไหมแต่ก็บ้าจี้ด้วย อืม... ชักอยากจะลองเอานิ้วไปจิ้มเอวสอบนั่นดูแล้วสิ อูย เลือดกำเดาอย่าเพิ่งไหลน้า

“งั้นโฮมก็ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวเราตามไป” คีนตบบ่าเพื่อนปุๆ แล้วผลักลาดไหล่แคบออกห่างก่อนจะใช้มืออีกข้างบีบแก้มเพื่อน โฮมยู่ปากใส่แต่ก็ยอมลุกขึ้นอย่างว่าง่ายเดินตรงไปยังห้องทำงานซึ่งมีที่นอนปิคนิกปูอยู่ มนตอนนั้นเองที่ผมถือโอกาสเดินอ้อมโซฟาไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อีกคนที่เอาแต่มองเพื่อนอย่างไม่ยอมวางสายตา ดูก็รู้ว่าเป็นห่วงมากแค่ไหน มันก็ไม่ค่อยต่างจากที่ผมเป็นห่วงไอ้สิงห์อมควันที่ระเบียงนั่นหรอก ป่านนี้หนาวตายห่าไปแล้วมั้งเพราะได้ยินเสียงฝนตกจากด้านนอกอย่างชัดเจน

“ปล่อยไปแบบนั้นจะดีเหรอคีน?” ผมออกปากถามเมื่อสายตาของคีนถูกดึงกลับมาอยู่ตรงตำแหน่งที่ควรจะเป็น มือเรียวทั้งสองยกขึ้นลูบใบหน้าเนียนเหมือนต้องการผ่อนคลายความรู้สึกอัดแน่นให้เบาบางลงก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับคำเอื่อยๆ สภาพตอนนี้ไม่เหมือนนายคนินท์คนที่ผมเคยรู้จักเลย ความสดใสร่าเริงลดไปเกือบครึ่ง เป็นอย่างนี้ต้องดึงเข้ามากอดปลอบหรือเปล่าวะ ฮึ่ย สถานการณ์แบบนี้กูยังคิดหากำไรอีกหรือไง โธ่ แย่ๆๆๆ

“ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้น่ะ”

“อ่า นั่นสินะ” บางทีการปล่อยให้เขาลองคิดทบทวนอะไรต่างๆ คนเดียวอาจจะได้คำตอบที่ต้องการไม่มากก็น้อยล่ะนะ

“แล้วไหนเสื้อผ้าที่จะให้เรายืมอะ?” คีนเอียงคอมองกันด้วยสายตาฉงนพลางืนมือเรียวออกมาต้องหน้าแถมด้วยการกระดิกนิ้วขอเสื้อผ้าที่ผมตั้งใจจะไปหยิบให้ โอย ไม่มีหรอกครับคุณ เมื่อครู่ยังไม่ทันได้เดินเข้าห้องก็เปลี่ยนเป้าหมายมายุ่งเรื่องชาวบ้านก่อนไง ตอนนี้ก็ทำได้แค่หลบตาเป็นพัลวันนี่ล่ะ

“เอ้อ... พอดีจะถามว่าเอากางเกงในด้วยไหม?” ผมรีบยกเหตุผลหลักที่เพิ่งระลึกชาติได้ขึ้นมาถาม คนฟังถึงกับเบิกตาโตแล้วขยับถอยหนีจนเกิดช่องว่างระหว่างเราก่อนที่แก้มขาวจะค่อยๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ เอ... ผมว่าอากาศตอนนี้ก็ไม่ได้ร้อนนี่หว่า

“เฮ้ย บ้าเหรอ? จะให้เรายืมกางเกงในกิมเนี่ยนะ” เสียงคีนสูงจนผมเองยังเผลอสะดุ้งไปด้วย แต่พอตั้งสติได้ว่าอะไรเป็นอะไรก็รีบยกมือขึ้นโบกปฏิเสธทันที โอ๊ย เวรแล้วไงทำให้คนที่ชอบเข้าใจผิดเนี่ย

“ไม่ใช่ๆ คือเรามีกางเกงในตัวใหม่ที่ยังไม่ได้ใส่ไง” ผมรีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน ส่วนคีนก็คลายปมที่คิ้วออกให้ได้โล่งใจ เฮ้อ เกือบโดนมองว่าเป็นโรคจิตแล้วไหมล่ะกู

“อ๋อ... งั้นเอามาก็ได้ ไว้เราจะซื้อคืนให้”

“ไม่ต้องหรอกๆ พอดีแม่เราซื้อสีไม่ถูกใจมาน่ะเลยไม่ได้เอามาใส่”

“อ้อ งั้นขอบคุณนะ”

จ้า นึกว่าจะโดนคีนกระโดดถีบขาคู่ซะแล้ว เฮ้อ

ผมอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายในขณะที่สมาชิกร่วมห้องเข้านอนกันหมดแล้วเนื่องจากเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน เอาตามตรงคืออยากแวะไปกู๊ดไนท์คีนสักนิดแต่ฉุกคิดได้ว่าเขาอาจจะมีเรื่องอยากคุยกับโฮมต่อหรือไม่ก็ทบทวนตำราก่อนสอบในวันพรุ่งนี้ ผมก้เลยลากสังขารขึ้นเตียงด้วยอารมณ์หงอยๆ โธ่ นึกว่าจะได้นอนกับ... เออ ช่างแม่งเถอะ

ไอ้ปอมนั่งพิงหัวเตียงใต้แสงไฟสลัวๆ ทำให้ผมที่เพิ่งคลานขึ้นเตียงแทบช็อกเพราะมันดันเงยหน้าจนเห็นแค่ส่วนตาขาว โอ๊ย กูนึกว่าผี ทำไมไม่นอนดีๆ วะเนี่ย หัวใจจะวาย ถ้าเผลอกรี๊ดจนคีนได้ยินกูคงอายไปอีกนานแสนนาน

“เชี่ยปอม ทำไมมึงไม่นอนดีๆ เนี่ย?” ผมทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วตะแคงข้างมองตาขาวๆ ของมันที่โผล่ออกมา แม่ง หลอนกว่าเมื่อครู่พันเท่าเพราะระยะใกล้กว่าเดิมแถมยังได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดคล้ายคนคัดจมูกอีกด้วย หรือจะร้องไห้? บ้าน่า ไม่มีทางหรอก อย่างเก่งก็แค่แพ้ควันบุหรี่ที่ตัวเองสูบมั้ง

“นอนอยู่” มันพึมพำตอบทั้งที่ยังเหลือกตาอยู่ แต่เพิ่มเติมนิดหน่อยตรงที่ฝ่ามือขยับขึ้นวางประสานไว้ตรงหน้าท้อง นี่ถ้ามึงนอนลงในท่านี้กูคิดว่าศพแน่ๆ ไอ้เหี้ย ไฟยิ่งสลัวชวนขนลุกด้วย

“สัด เดี๋ยวก็เมื่อยคอตายห่า” คิดสภาพหัวเตียงต่ำกว่าคอแล้วมันต้องเอนคอลงไปดิ ไอ้ที่เตือนไม่ได้ห่วงสุขภาพมันหรอกแต่ไม่อยากเสียเซลฟ์ที่แอบหลอนลูกตาขาวนั่น มึงช่วยทำตัวให้เหมือนชาวบ้านเขาหน่อยเถอะนะ ไม่ใช่เครียดแล้วจะทำตัวหลอกหลอนคนอื่นแบบนี้ อีกนิดเดียวกูจะไปอันเชิญพระพุทธรูปลงจากหิ้งแล้วเนี่ย

“ซึ้งใจที่มึงห่วงกูจัง” เสียงยานๆ ตอบกลับมาจนผมทนไม่ไหวต้องสละหมอนหนุนเพื่อเอาไปฟาดหน้าแม่ง ไอ้ปอมรีบดีดตัวขึ้นร้องโอดโอยก่อนจะชักสีหน้าบูดบึ้งใส่ มึงคิดว่าเมื่อครู่ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีหนังผีชนโรงอยู่หรือไงวะ

“หมั่นไส้ ลงมานอนดีๆ ได้แล้ว กูเกลียดตาเหลือกๆ ของมึงฉิบหาย” คราวนี้ผมตัดสินใจขว้าท่อนแขนของไอ้ปอมเพื่อกระชากให้ลงมานอนข้างๆ กันสักที มันหัวเราะเสียงเบาก่อนพยักหน้ารีบเป็นเชิงยอมแพ้แล้วค่อยๆ ไถลตัวลงตามแรงฉุด ผมเพิ่งสังเกตว่าชุดนอนแม่งเป็นลายหมีตะมุตะมิ โอ๊ย มึงแอบไปซื้อมาตอนไหนเนี่ย

“นอนแล้วนี่ไงคะสามี” หันมาคลี่ยิ้มหวานๆ พร้อมกับส่งจูบให้กันจนผมต้องใช้มือผลักหน้ามันออกด้วยความขยะแขยงก่อนจะไล่ไปปิดโคมไฟที่หัวเตียง ทั้งห้องมืดสนิทเพราะใช้ผ้าม่านแบบกันแสง ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับและเสียงลมหายใจฟืดฟาด คือวันนี้ใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันเลยไม่มีใครกล้าขยับตัวมากเพราะกลัวอีกฝ่ายถีบกระเด็น

ผ่านไปราวๆ สิบนาทีแต่ผมก็ยังไม่ข่มตานอนเพราะคิดถึงเรื่องของโฮมไม่จบสิ้น ทั้งเป็นห่วงเขาและไอ้ปอมว่าจะแก้ปัญหาคลุมเครือนี่แบบไหน คนหนึ่งสับสนคนหนึ่งปากแข็ง นอนมองเพดานก็ไม่ได้ช่วยให้คิดอะไรออกเลยว่ะ มีแต่ต้องคุยกับเจ้าตัวมั้ง

“ปอม...” ผมลองส่งเสียงเรียกคนที่นอนหายใจรดต้นคอกันอยู่ โอย ใครใช้ให้มึงตะแคงข้างเล่า ขนลุกหมดแล้วเนี่ยแต่ก็ไม่กล้าขยับหนีไปไหนเพราะตอนนี้ก็แทบจะตกเตียงอยู่แล้ว สัดปอมกินที่ฉิบหาย

ฟืด... เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดดังขึ้นในระยะประชิดจนผมเผลอผงะถอยหมิ่นเหม่จะตกเตียงแต่ก็โดนท่อนแขนหนักๆ ของไอ้ปอมวางพาดทับเอวสอบซะก่อนแถมด้วยการกระชับอ้อมกอด ถ้ามึงไม่ได้ละเมอกูต่อยฟันหักนะ

“เรียกทำไม ‘อยาก’ เหรอ?” โอ้โห ไม่ละเมอแถมกระซิบประโยคบ้าๆ ใส่หูอีก เดี๋ยวมึงจะโดนไม่น้อยไอ้เชี่ยปอม!

“ไอ้สัด คิดอะไรของมึงเนี่ย?” ผมยกมือขึ้นต่อยสะเปะสะปะจนกระทบเข้ากับ... เอ่อ คาดว่าน่าจะเป็นหัวไอ้ปอมเพราะได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังแทรกเข้ามา สมน้ำหน้ามัน ชอบพูดอะไรชวนอ้วกไม่หยุด

“อูย ไม่รู้อะ ง่วงแล้ว” มันส่งเสียงร้องงุ้งงิ้งก่อนขยับพลิกตัวจนเตียงสะเทือน ชายผ้าห่มที่อยู่ข้างผมเปิดขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมจากเครื่องปรับอากาศ หูย เปิดอุณหภูมิอย่างกับอยู่ขั้วโลกเหนือ มึงเป็นหมีขาวหรือไงวะ

“ส้นตีน คุยกันก่อน” ผมเอื้อมมือไปสะกิดต้นแขนแต่ดันรู้สึกว่ามันคือปลายจมูกของไอ้ปอม เอ่อ มีน้ำอะไรเยิ้มๆ ติดปลายนิ้วด้วยว่ะ อี๋ สกปรก จะเอาเช็ดผ้าห่มก็รู้สึกผิดปาดเอาที่เสื้อมันแล้วกัน หึหึ

“ไม่เอา ไม่คุย” ไอ้ปอมสะบัดตัวหนีก่อนจะพูดเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเอาหน้าซุกหมอน ทำตัวอย่างกับเมียงอนผัว เฮ้อ เกลียดนิสัยหนีปัญหาของมึงจริงๆ เลย

“ทำไมงอแงวะ?” ผมบ่นแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรมันมากมาย แต่ไอ้แรงขยับตัวข้างๆ มาพร้อมกับท่อนแขนที่พากลงบนเอวสอบก่อนจะรู้สึกถึงการมุดซุกเข้ามาซบอกนี่มันยังไงกัน ฮือ ขนลุกไปหมดแล้วไอ้ป๊อม!

“นอนกัน” ยังมีหน้ามาทำเสียงหวานอีก ทุบหัวแบะดีไหมเนี่ย

“อย่าทำแบบนี้” ผมขู่พลางแงะตัวมันออกแต่พอสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นตรงอกเลยนิ่งไปซะอย่างนั้น นี่มึงน้ำลายย้อยใส่กูเหรอ... เอ้อ โทษที มันคงร้องไห้

“ไม่นอนกูจับจูบนะสามี”

“เชี่ย โอเค ไม่คุยก็ไม่คุย” นอนก็ได้วะ!




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเช้าที่ผมแหกขี้ตาตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากด้านนอก ไอ้ว่านคงจะลุกมาอ่านหนังสือก่อนไปสอบแน่ๆ โอย กูง่วงเนี่ย แต่ก็ไม่สามารถนอนต่อได้อีกแล้วเมื่อสำนึกได้ว่าข้างๆ ห้องยังมีคีนอยู่ หูย รู้สึกกระปรี่กระเปร่าเชียว ไม่ต้องออกกำลังกายสักวันเนอะ ทำอาหารเอาใจว่าที่แฟนดีกว่า ฮึ่ย

แต่พอเดินออกมาด้านนอกกลับฝันสลายเพราะเห็นหลังไวๆ ของคีนเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะได้นั่งสบตากินมื้อเช้าด้วยกันก่อนไปสอบซะอีก สุดท้ายผมก็แพ้ไอ้กระต่ายขนฟูหน้าแบ๊วนั่น ฮือ เซ็ง (คาดว่าพี่สาวของคีนคงเอาคีย์การ์ดมาให้แล้ว)

“เชี่ยกิม มึงจะนั่งทับกูหรือไง?” เสียงแหลมๆ ทำให้ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบหันไปก้มหัวขอโทษไอ้ว่านที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา ก็มันเสียใจเรื่องคีนเลยไม่ทันมอง ดีหน่อยที่แค่หย่อนก้นยังไม่ได้นั่งลงไปเต็มๆ

“โทษที แล้วนี่มึงยังไม่ไปสอบอีกเหรอ?”

“รอพี่โซนมารับอะ” มันขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะหยิบหนังสือบนตักวางไว้ที่โต๊ะด้านหน้า ดูท่าทางเทอมนี้คงได้ท็อปทุกวิชาล่ะมั้ง

“เออ จะแดกอะไรก่อนปะ? เดี๋ยวทำเผื่อ” ผมถามพลางพยักพเยิดหน้าไปทางครัวเป็นสัญญาณว่าจะเริ่มลงมือทำอาหารเช้าแล้ว ไอ้ว่านส่ายหัวปฏิเสธก่อนชี้ไปที่แก้วนมบนโต๊ะ แค่นั้นอิ่มจริงๆ เหรอวะ แต่ก็เหมาะสมกับสภาพร่างกายมันล่ะมั้ง คนแคระในตำนาน

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็ถึงเวลาออกไปสอบ ในตอนแรกผมจะอาสาดึงโฮมขึ้นรถตัวเองเพราะบรรยากาศระหว่างสองคนนั่นทะมึนชอบกลแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่ากูมาคนเดียวซะอย่างนั้น เหงาในเหงาอะ

ในจังหวะที่กำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าประตูมหา’ลัยเสียงริงโทนก็ดังขึ้นส่งผลให้ผมต้องเหลือบสายตาไปดูที่หน้าจอแล้วก็ต้องขมวดคิ้วฉับ นายแม่คนสวยทำไมโทรมาเอาตอนนี้ ปกติก็ติดต่อมาช่วงเย็นๆ ถึงหัวค่ำไม่ใช่เหรอ แปลกว่ะ หรือมีธุระด่วน ขอจอดรถก่อนได้ไหมครับ โธ่ จะจิกรัวๆ ทำไมเนี่ย

Rrrrr

โอย รับแล้วครับคุณน๊าย

“ครับแม่” ผมกรอกเสียงรับสายแม่ไปสั้นๆ พลางปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยออก เครื่องยนต์ถูกดับในเวลาต่อมาก่อนที่ประตูจะเปิดเพื่อให้รองเท้าหนังถูกระเบียบย่ำลงบนพื้นมหา’ลัย

‘รับสายช้าจัง ทำอะไรอยู่หืม?’ เสียงแข็งมาเชียวคุณนาย ผมก็ขับรถไหมล่ะครับ ไม่ได้ปาร์ตี้เมาเหล้าอยู่ที่ไหนซะหน่อย

“ขับรถครับ มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า?” ผมถามกลับอย่างรู้ทันก่อนจะเดินคว้าเอากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบนหลังแล้วปิดประตูรถก้าวขาเข้าคณะอย่างชิวๆ โบกมือทักทายเพื่อนร่วมคณะบ้าง หนึ่งในนั้นมีไอ้น้ำปิงอยู่ด้วย จะบอกว่าวันนี้มันสวยเป็นพิเศษเพราะใส่กระโปรงยาวแต่งหน้าอ่อนๆ จนสาวเกาหลียังอาย

‘เย็นนี้กลับบ้านหน่อยนะ มีเรื่องให้ช่วย’

จ้า เดาเอาไว้ไม่มีผิดเลยว่าต้องเป็นเรื่องนั้นแน่ๆ ให้ช่วยงานน่ะไม่ว่า แต่จับคู่ด้วยอันนี้ไม่เวิร์คมาก ผมชอบผู้ชายครับ อยากตะโกนให้โลกรู้!

“เรื่องสถานที่จัดงานเปิดตัวเครื่องเพชรคอลเล็คชั่นใหม่ใช่ปะครับ?” ผมถามด้วยเสียงเนือยๆ ก่อนจะพุ่งเข้าหาเป้าหมายที่ส่งยิ้มมาให้ คีนในสภาพถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้านี่มันดีจริงๆ เลยว่ะ มีออร่าสมเป็นเดือนคณะไปอีก หูย คือผมแทบลืมเรื่องดราม่ากับแม่เลยไง จับคู่บ้าบออะไรนั่นช่างมันเถอะ ตอนนี้จะละลายแล้ว หัวใจก็เต็นแรงมากเพราะเขาดันกวักมือเรียกอะ

‘ลูกเก่งที่สุดในโลกเลย’ คำชมที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักราวกับถูกใจนั่นทำให้ผมแทบเดินสะดุดก่อนอิฐตัวหนอน แม่งเอ๊ย ถ้าใครได้ยินประโยคนี้คงขำก๊ากแน่ๆ แม่จะอวยลูกยังไงก็ได้แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ

“โธ่ ไม่ต้องชมผมเหมือนเด็กห้าขวบหรอก แม่ส่งรูปสถานที่ให้เลือกก็ได้ครับ ผมยังสอบไม่เสร็จเลย” ผมอ้อนเพราะถ้าเลือกยอมแม่ในวันนี้คงไม่ได้กลับมาค้างที่ห้องไอ้ปอมอีกเลยเพราะเธอจะกักตัวไว้จนกว่าจะปิดเทอม ถึงเวลานั้นยังไงๆ ผมก็ต้องนอนบ้านอยู่ดี การที่ไม่ได้เจอคีนเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆ เอาจริงคือยังไม่ได้เตรียมใจเว้ย อีกอย่างคือยังไม่อยากเจอลูกสาวเพื่อนแม่คนใหม่ นี่ปฏิเสธไปสิบรอบแล้วมั้งไอ้เรื่องฟงแฟนเนี่ย โธ่ ก็ไม่ได้ไร้น้ำยาขนาดนั้นปะ หาเองได้!

‘พรุ่งนี้ลูกไม่มีสอบ’ นี่แอบส่งสปายติดตามตัวผมเหรอ? จะร้องไห้แล้วนะ!

“ใครเอาตารางสอบให้แม่เนี่ย? ผมต้องอ่านหนังสือนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างคีนจนได้แต่ไม่ยิ้มแย้มกระดี๊กระด๊าเหมือนประจำจนคนร่วมโต๊ะ (โฮมกับปอม) ถึงกับขมวดคิ้วมองมาทางนี้ คำอธิบายของผมเลยเป็นการชี้ๆ โทรศัพท์แล้วขยับปากพูดว่า ‘แม่’ ทุกคนเลยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

‘ถ้าไม่กลับบ้านเดือนหน้าแม่จะหักค่าขนมครึ่งหนึ่ง’ โอย เดือนหน้าผมก็นอนตายอยู่บ้านไหมล่ะ มันเข้าช่วงปิดเทอมแล้ว แต่จะไม่มีเงินออกไปเที่ยวเล่นนี่สิ โอย สุดท้ายก็แพ้แม่จนได้

“โธ่... ก็ได้ครับๆ เย็นนี้เจอกัน” รับปากจบก็กดวางสายแล้วไถลหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเอง หมดแรงจะทักทายเพื่อนจริงๆ มีครั้งไหนบ้างที่ผมไฟท์กับแม่แล้วชนะเนี่ย แต่เอาเถอะ เธอก็แค่หวังดีอยากให้ลูกชายมีแฟนน่ารักนิสัยดีก็เท่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นบังคับคลุมถุงชน ถ้าปฏิเสธว่าไม่ชอบคนนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปราวกับสายลม แต่... คนใหม่ก็จะถูกเสนอเข้ามาเรื่อยๆ เฮ้อ ผมอยากได้ ‘คีน’ อะ ทำไงดี

“แม่มึงจับคู่ให้อีกแล้วเหรอไง?” ไอ้ปอมถามอย่างรู้ทันจนผมนับถือที่มันเป็นเพื่อนกันมาหลายปี แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่สถานการณ์ที่มีคันนั่งหัวโด่อยู่ ไอ้สัด!

“มึงจะพูดต่อหน้าคีนทำไมเนี่ย?” ผมลุกขึ้นนั่งหลังตรงแน่วก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ปอม ถ้ากระโดดกัดหัวได้คงทำไปแล้ว โอย หมั่นไส้ที่มันหลบหลังโฮมอีก ตีนกระตุกยิกๆ เลยเนี่ย เกลียด!

“เอ้อ กูขอโทษ แหะๆ” มันยกมือขึ้นลูบท้ายทอยพลางส่งยิ้มแหยๆ มาทางนี้ ซึ่งผมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ ก็มีแต่ต้องอธิบายให้คีนเข้าใจว่าเรื่องที่ขอจีบนั่นไม่ได้ล้อเล่นนะ จริงจังนะ แต่จับคงจับคู่นี่มันส่วนของแม่คนเดียวผมไม่เกี่ยว ไม่ได้อยากไปเลยด้วยซ้ำถ้าไม่โดนบังคับ

“คีน คือมันแบบ...” เชี่ยตรงที่อธิบายไม่ถูกนี่ล่ะ ร้องไห้ได้ไหม แต่พอเจอรอยยิ้มบางๆ จากคีนเท่านั้นล่ะ รู้สึกเหมือนความอึดอัดทั้งหลายพังทลายลงต่อหน้าเลย นึกว่าเขาจะโกรธซะอีก

“แม่เขารักกิมน่าดูเลยนะ”

“อ่า... ก็คงงั้นล่ะ แต่ยังไงเราก็ชอบคีนอยู่ดี” เออ อันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจหยอดแต่เป็นการบอกความรู้สึกให้คันได้รับรู้ทั้งน้ำเสียง แววตาและการกระทำทั้งหมดคือเรื่องจริง ชอบ รัก... ไม่เคยโกหก

“ชอบสาวๆ ไม่ดีกว่าเหรอ? ไม่เสี่ยงโดนกีดกันด้วยนะ” แต่คีนกลับถามผมแบบนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน ซึ่งยอมรับว่านอยด์แต่ก็เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ใช่ ผมไม่ต้องผิดใจกับครอบครัว ไม่ต้องโดนสังคมมองอย่างรังเกียจ แต่หัวใจคนเรามันสามารถบังคับได้หรือไง

“ถึงจะโดนกีดกันแต่เราก็เต็มใจนะเว้ย เตรียมพร้อมผ่านปัญหาเรื่องนี้ไว้แล้วด้วย” ผมบอกเสียงหนักแน่นก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของคีน เชื่อสายตาของเราสิว่าทุกปัญหาจะผ่านพ้นไปได้อย่าฃราบรื่นแน่นอนถ้าตัดสินใจคบกัน... แม่ง มโนไปไกลถึงนู่น เขาเริ่มหวั่นไหวหรือยังเหอะ หมากิมเอ๊ย หนทางอีกยาวไกลจ้า

“รู้สึกเขินเลยแฮะ” คีนพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะในขณะที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อจริงๆ ส่วนผมนี่มือไม้แข็งไปหมดแล้วเพราะโดนดาเมจเข้าเต็มเปา ฮือ ทำไมต้องน่ารักน่าบีบขนาดนี้ด้วยวะ ถ้าไม่เกรงใจจะจับฟัดแล้วเนี่ย

ฟืด สูดลมหายใจเรียกสติหน่อย เดี๋ยวเตลิดไปไกลกว่านี้... ฮึบ!

“แต่เราอยากให้คีนรู้สึกชอบมากกว่า” อะ หยอดเป็นขนมครกจนอีกภายเบิกตาโตก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา โธ่ อุตส่าห์หน้าด้านกล้าจีบในตอนมีคนอื่นอยู่ด้วย ทำไมได้ผลลัพธ์แบบนี้เล่า เขินต่อสิ ไม่ใช่ขำจนตัวงอแบบนี้!

“หูย จะอ้วก” อะ กระทืบกูให้ตายๆ ไปเลยเถอะไอ้ปอมถ้าจะพูดแบบนี้ แม่ง เพื่อนทรยศ เกลียด!

“ฟัคยู!”

วันนี้แปลกที่ผมภาวนาในเวลาสอบยืดเยื้อกว่าปกติเพราะไม่อยากกลับบ้านในเร็วๆ นี้ ยิ่งได้อ่านข้อความที่แม่ส่งมาช่วงพักเบรกก็เผลอทึ้งหัวตัวเองจนแทบหลุดออกจากบ่า เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสถานที่จัดงานเครื่องเพชรอะไรของคุณนายเลยด้วยซ้ำแต่ดันนัดให้ผมไปเจอที่ร้านอาหารสไตล์โอมากาเสะราคาต่อคนประมาณครึ่งหมื่นเพื่อแนะนำลูกของเพื่อนให้รู้จัก จ้า อยากกระโดดคลองมหา’ลัยให้ตัวเงินตัวทองลากไปแดกในน้ำจริงๆ แม่ง

“นั่งซึมอยู่ได้ แม่มึงโทรมาหลายสายแล้วนะเว้ย” เป็นไอ้ปอมที่เดินเข้ามาสะกิดไหล่หลังจากที่มันเห็นผมนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงระเบียง โธ่เว้ย ทำไมวิชานี้ข้อสอบมันง่ายจังวะ แล้วแม่มีตาทิพย์หรือยังไงถึงได้โทรจิกทันที่ที่ผมก้าวขาออกจากห้อง ถอนหายใจรัวๆ แม่ง ขนจมูกปลิวแล้วเนี่ย

“เบื่ออะ กูชวนคีนไปกินข้าวเย็นแทนได้ปะ?” ผมออกอาการงอแง เอาจริงๆ อยากแกล้งลืมนัดของแม่ไปซะแต่มันก็ทำไม่ได้ไง เฮ้อ

“มึงอยากตายก็เชิญ” จ้า อวยพรกูได้น่ารักมากเลยคุณเพื่อน เดี๋ยวเอาตีนยัดปากเลยนี่

“แม่ไม่บังคับกูเรื่องมีแฟนแต่หาคนนั้นคนนี้มาเสนอคืออะไรวะ?” ผมขมวดคิ้วมองหน้าไอ้ปอมที่ยืนค้ำหัวกันด้วยสีหน้าไม่เข้าใจในการกระทำของแม่ ไอ้ที่คิดว่าเขาหวังดีก็ใช่หรอก แต่ปล่อยให้ผมอยู่สบายๆ ไม่ได้หรือยังไง นี่เพิ่งอายุสิบแปดนะเว้ยไม่ใช่สามสิบ ยังมีเวลาหาแฟนอีกเยอะ

“แม่หวังดี ใครที่ผ่าน QC จากเขา ก็มั่นใจว่าจะเข้ากับมึงได้ไง” มันพูดพลางเอื้อมมือมาตบบ่าผมเป็นการปลอบ ซึ่งก้จริงตามนั้น แม่ก็คือแม่ที่รักลูกมากกว่าใครๆ บนโลกนี้

“กูลากคีนไปด้วยเลยดีปะ? เรื่องจะได้จบๆ” อะ ผมไม่เลิกงอแงไง เพราะความรู้สึกมันไม่ไปตามความเข้าใจ อยากลงไปดิ้นๆ ร้องไห้เหมือนเด็กเวลาไม่พอใจชะมัดแต่อายสายตาชาวบ้านเขา เฮ้อ ส่วนคีนก็ปลีกตัวไปทำธุระตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบแล้ว สงสัยมีนัดกับที่บ้านเหมือนเดิม

“ถ้ากล้าก็ทำ กูเชื่อว่าบ้านมึงรับเรื่องนี้ได้แน่นอน” ไอ้ปอมไม่ได้ประชัดผมรู้ดีแต่มันกล้าพูดเพราะความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้เนื่องจาก...

“กูไม่ได้เป็นอะไรกับคีน” นั่นล่ะ ปัญหาสำคัญของผม โธ่ ก้มหน้าร้องไห้เลยไง

“งั้นคิดซะว่าไปแดกอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยมก็แล้วกัน” มันบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เออ อาหารสไตล์โอมากาเสะเป็นระดับพรีเมี่ยมเพราะใช้วัตถุดิบส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น อูนิเอย โอโทโร่เอย เนื้อวากิวงี้ มีแต่ของสุดยอดทั้งนั้น แต่มัน...

“ไม่อิ่มแน่ๆ เลยว่ะ” เพราะของที่ได้กินรวมกันไม่ถึงยี่สิบคำด้วยซ้ำ ฮือ จะร้องไห้กับราคามาก

“เออน่า อย่าเรื่องเยอะ ไปๆ ลุก”

จ๊ะพ่อ ไม่เห็นต้องรุนแรงดึงหูกูเลยเนี่ย!



----------------------------------------------------

ก็จะวุ่นวายหน่อยๆ จนไม่มีเวลาจีบกันแบบนี้ล่ะน่า อุปสรรคความรักคนกากนี่เยอะจริงๆ
ตอนหน้ามาลุ้นกันว่าน้องกิมจะโดนนายแม่จับคู่กับสาวคนไหนหนอ รับรองว่ามีอึ้ง

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 13


“ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะกิมมิค?” คำถามแรกที่เธอเห็นหน้าลูกชายในรอบเดือนทำให้ผมลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก้มลงมองสภาพตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่เห็นว่ามันแย่ตรงไหน ชายเสื้อนักศึกษาอยู่นอกกางเกง รองเท้าแตะแบบสอดนิ้วโป้ง ผมยุ่งเหมือนเพิ่งไปฟัดกับสาวที่ไหนมา โธ่ แค่เจอเพื่อนแม่ไม่เห็นต้องงัดสูทออกมาใส่เลยจริงปะ?

“มันก็ปกติของผมนี่ครับ” ผมไหวไหล่ไม่สนใจสายตาตำหนิของแม่แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวด้านหน้าเค้าน์เตอร์บาร์ในร้านอาหารสไตล์โอมากาเสะ ที่นี่ต้องโทรมาจองคิวล่วงหน้าถึงจะได้กินคือให้ความรู้สึกโคตรพรีเมี่ยมจริงๆ บรรยากาศดี ตกแต่งสวย เพลงบรรเลงแบบฉบับญี่ปุ่นเพราะๆ อืม... ถ้าพาคีนมาดินเนอร์คงฟินน่าดู

เพี๊ยะ!

เสียงฝ่ามือกระทบกับต้นแขนแกร่งทำให้ผมเบ้หน้าพร้อมกับซี๊ดปากทันที พอหันไปหาต้นเหตุก็เจอสายตาดุๆ กับริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีพีชกำลังแยกเขี้ยวใส่ แม่ไม่พอใจการแต่งตัวของผมเพราะกลัวว่าจะไม่ประทับใจอีกฝ่ายแน่ๆ ปกติเคยบ่นเรื่องเสื้อผ้าซะที่ไหนกันล่ะ ‘ใส่อะไรก็ได้ขอแค่มีเงินในกระเป๋าก็พอ’ เนี่ยคำสอนของเธอที่ลูกชายคนนี้จำได้ขึ้นใจ

“ผมเจ็บนะแม่” บ่นเสียงงุ้งงิ้งพลางยกมือขึ้นลูบต้นแขนเพื่อบรรเทาความเจ็บ แม่ไม่เคยอายที่จะดุผมกลางที่สาธารณะเลยสักครั้งเพราะเธอไม่ได้แสดงออกรุนแรงมันเป็นแค่การสั่งสอนเบาๆ ให้รู้ตัวว่าทำผิด โธ่ ก็ถ้าอีกฝ่ายไม่ชอบสภาพผมที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสานสัมพันธ์ต่อไง ดีซะอีก จะได้จีบคีนอย่างสบายใจ ~

“หัดแต่งตัวให้มันดีๆ หน่อย ให้เกียรติคนที่เราจะเจอด้วย” แม่ยังบ่นตามประสาคนเนี๊ยบชั่วคราวแถมมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแสดงออกทางสายตาอย่างชัดเจนว่าอยากเข้ามาช่วยจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ถ้ามันจะยุ่งวุ่นวายแบบนี้ผมกลับไปนอนคอนโดไอ้ปอมแล้วต้มมาม่ากินเองก็ได้

“ถ้าเธอจะไม่ชอบผมเพราะการแต่งตัวก็ช่วยไม่ได้หรอกครับ” ผมหลับตาลงก่อนระบายลมหายใจออกช้าๆ ก่อนจะเบนหน้าหนีคุณแม่คนสวยเพื่อมองพ่อครัวกำลังเตรียมของสำหรับสร้างสรรค์เมนูอาหารเมื่อถึงเวลานัดหมาย อีกเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้นผมจะได้รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีอะไรดีกว่าคนอื่นๆ ที่ผ่านมาหรือเปล่า เฮ้อ ไม่เห็นตื่นเต้นเหมือนตอนอยู่ใกล้คีนเลยว่ะ

“นี่พูดเรื่องอะไรตากิม?” แม่ถามเสียงสูงก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างมาประคองใบหน้าของผมเพื่อบังคับให้สบตากัน คนรอบข้างคงมองเห็นถึงความรักความเอ็นดูของพวกเราแต่ความจริงคือเธอกำลังขมวดคิ้วแล้วบีบแก้มกันต่างหาก เจ็บแล้วเนี่ย กรามจะแตกหรือเปล่า ฮือ

“ก็แม่จะให้ผมมาดูตัวไม่ใช่เหรอครับ?” ผมว่าเสียงอู้อี้ก่อนวางมือทาบทับลงบนอวัยวะเดียวกันเพื่อให้แม่คลายแรงบีบลงบ้าง เธอสะดุดลมหายใจกึกก่อนดวงตากลมโตจะเบิกโพลงด้วยความตกใจแต่เพียงเสี้ยวนาทีก็กลายเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เฮ้ย อะไรเนี่ย ผมไม่ใช่ตัวตลกโบโซ่นะเว้ย

“เดี๋ยวๆ ลูกเพื่อนแม่เป็นผู้ชายค่ะ” เธอผละมือออกจากแก้มของผมก่อนเลื่อนไปปิดปากเพื่อลดเสียงหัวเราะคิกคักที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสังเกตสักนิดจะเห็นว่าตรงหางตาของเธอมีน้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาด้วย โอย ผมอายคนอื่นจนแทบมุดเค้าน์เตอร์หนีแล้วเนี่ย ทำไมครั้งนี้มันผิดคาดไปไกลเลยล่ะ ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยแนะนำลูกเพื่อนที่เป็นผู้ชายให้รู้จักนี่ แต่ทำไม... ช่างแม่งเถอะ หน้าแตกหมอไม่รับอะ เจ็บใจเว้ย

“.....” พอรู้ตัวว่าเข้าใจผิดก็นั่งสงบเสงี่ยมมองจานเปล่าๆ ตรงหน้าเหมือนมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจพลางแอบยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อจนได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจเบาๆ ข้างหู จะโดนด่ากลางร้านอาหารหรือเปล่าวะกู เนี่ย ที่เขาบอกว่าชอบคิดอะไรไปก่อนมันไม่ได้เพิ่งรู้ซึ่งวันนี้ว่าเป็นความจริง ไม่น่าเลยไอ้กิ๊ม เสี่ยงโดนเธอตัดค่าขนมสองเดือนแล้ว

“มองแม่ในแง่ลบตลอดเลยนะ” เสียงบ่นไม่จริงจังนักจากคนข้างๆ ทำให้ผมเหลือบสายตาไปมองสีหน้าของเธอ พอได้เจอรอยยิ้มบางเข้าก็ทำให้ความหนักอึ้งในใจหายวาบ แม่ก็แค่แกล้งหยอกผมเหมือนทุกครั้ง ไม่วี่แววว่าจะโกรธอะไร ฮือ รักจังเลยครับ

“โธ่ ขอโทษครับ ก็แม่บังคับผมมานี่นา” ถึงตาผมบ่นคืนบ้างแต่ก็ไม่ได้พูดเต็มเสียงเพราะกลัวจะโดนฟาดเข้าให้อีกครั้ง แม่ย่นจมูกใส่ก่อนมองสำรวจการแต่งกายอีกรอบ คราวนี้ความรู้สึกมันแตกต่างออกไปเพราะผมเริ่มเข้าใจมากขึ้น เธอแค่ต้องการให้ลูกชายดูดีในสายตาคนอื่นๆ ก็เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการทำให้อีกฝ่ายหมายปอง

“หึ เดี๋ยวจะหล่อแพ้เขานะ” แหนะ อย่ามายุยงผมซะให้ยากเลยแม่ ขี้เกียจจะเอาเสื้อจุกในกางเกงแล้ว แต่งตัวแบบนี้ก็หล่อได้เหมือนกันน่า

“ผมมั่นใจในหน้าตาตัวเอง” ผมยักคิ้วกวนๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มทะเล้นให้แม่ที่กำลังเหล่ตามองมาทางนี้ ดูจากท่าทีแล้วเธอคงหมั่นไส้ลูกชายเต็มประดาเพราะสังเกตจากองศาริมฝีปากที่เปลี่ยนไป เบะเป็นเด็กๆ เลยเนี่ย

“ได้ข่าวว่าเขาเป็นเดือนคณะเชียวนะ” อะ ยังไซโคกันไม่เลิก เอาที่สบายใจเลยจ้า แต่ถ้าเขาหล่อสู้คีนได้ผมจะยอมยัดชายเสื้อเข้าในกางเกงให้เลยเอ้า แต่เชื่อว่าลูกชายเพื่อนแม่คงไม่งานดีขนาดนั้นหรอกมั้ง

“จะหล่อสักแค่ไหน...” ผมพูดยังไม่ทันจบแม่ก็สะกิดให้หันไปมองบุคคลที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาในร้าน ผู้ชายร่างโปร่ง ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลเข้ม การแต่งตัวอยู่ในชุดลำลองเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงขาเดฟสีดำสนิทบวกด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวเรียบๆ ดูยังไงก็หล่อฉิบหายแถมยังคุ้นตา

“น้องเดินมานู่นแล้ว หล่อจนตะลึงเลยใช่ไหมล่ะ?” แม่หัวเราะคิกคักเมื่อเห็นผมนิ่งไม่ยอมพูดอะไรออกไปสักคำ ไอ้ที่บอกว่าตะลึงมันคงน้อยไปเพราะตรงหน้าผม ในสายตาของผมตอนนี้นั้น...

“ฉิบหาย!” คีนตัวเป็นๆ เลยจ้า!

“สวัสดีครับคุณ... อ้าว กิม” เด็กหนุ่มมารยาทงามยกมือไว้คนสูงวัยกว่าด้วยท่าทางนอบน้อมแต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นผมชี้มือสั่นๆ ไปที่ตัวเองพลางอ้าปากพะงาบเพราะกำลังอึ้ง ทำไมโลกกลมพรหมลิขิตแบบนี้วะ พี่ปั๊ปโปเตโต้มาได้ยังไง โอ๊ย เนี่ย อยากให้วันนี้แม่บอกว่าเป็นการดูตัวเหมือนทุกครั้งฉิบหาย จะตอบตกลงทันทีเลยว่าเอาคนนี้!

“หืม รู้จักกันด้วยเหรอคะ?” แม่มองผมสลับกับคีนในขณะที่ขมวดคิ้วสวยน้อยๆ แสดงความสงสัย โธ่ จะไม่รู้จักได้ยังไงครับ จีบแล้วด้วยซ้ำ โอย ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก

“ผมกับคีนเรียนด้วยกันครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจพร้อมกับยืดอกเหมือนผู้ชนะ ส่วนทางด้านคีนถึงกับหลุดยิ้มก็จะพยักหน้าตอบรับคนสูงวัยด้วยท่าทางนอบน้อม ฮือ น่ารัก กิริยามารยาทสมกับเป็นลูกสะใภ้บ้านเราจริงๆ เลยเนอะแม่

“งั้นดีเลย มาๆ คีนนั่งข้างกิมเลยเนอะ” คุณแม่คนงามชักชวนลูกชายเพื่อนให้นั่งข้างๆ ผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนดีใจนักหนาที่ได้เจอ ส่วนผมแอบขยับเก้าอี้ให้เขาอย่างสุภาพโดนลืมไปเลยว่าอาจจะมีใครมองอยู่ โธ่ ก็คนมันลืมตัวไง พึงสำนึกอยู่อย่างเดียวว่าจีบเขา ฮึ่ย เขินจัง

“เอ่อ คุณน้าครับ พอดีว่าแม่ผมติดงานด่วนเลยมาไม่ได้แล้ว” แต่คีนไม่ได้สนใจการกระทำของผมเลยด้วยซ้ำเพราะเขาหันไปคุยกับแม่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก มาคนเดียวแถมไม่สนิทกับใคร ก็นะ...

“อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ไว้น้านัดกับแม่เขาอีกครั้งก็ได้ วันนี้ถือซะว่าเรามากินข้าวด้วยกันเนอะ” จ้า ต้อนรับขับสู้ยิ่งกว่าลูกตัวเองอีก สนใจทาบทามเอามาเป็นสะใภ้เลยไหมครับแม่ คนนี้ผมยินยอมพร้อมใจแต่งงานด้วยแน่นอน อ่า แค่คิดก็เห็นสวรรค์แล้ว ยิ้มตาเยิ้มอยู่คนเดียวจนโดนเชฟมองแบบเหวอๆ เอ่อ ขอโทษที่ทำให้สยองกันนะ แฮ่

“ครับ” คีนตอบรับแม่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะนั่งลงข้างๆ ข้อศอกของเราแตะกันเล็กน้อยทำให้ต่างคนต่างหันมาสบตา ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนหัวใจพองโตชอบกล อยู่ๆ ไอ้ที่คิดว่าอยากพาเขามาดินเนอร์ร้านนี้ก็เป็นจริงเฉยเลย

“โลกกลมเนอะ” ระหว่างที่นั่งรอเมนูแรกจากเชฟเสียงทุ้มก็พูดขึ้นไม่ดังมากนักเพราะมันจะเป็นการรบกวนคนอื่นๆ ในร้าน แต่สายตาของคีนกลับจดจ่ออยู่กับอาหารที่กำลังถูกสร้างสรรค์ โธ่ สนใจผมนี่ครับคุณ

“เราว่าพรหมลิขิตมากกว่า” อะ หยอดหน่อยเผื่อเขาจะหันมาสนใจหน้าผมมากกว่าอาหารนั่น ทำไมใครๆ ก็ตื่นเต้นกับโอมากาเสะเนี่ย เอาจริงมันก็แปลกใหม่ดีเพราะเชฟเขามารังสรรค์เมนูให้เห็นกับตา แต่... ฮึ่ย ช่างมันเถอะ ถ้าเป็นความสุขของคีนผมยอมได้เสมอ ขอแค่อ้าปากคุยด้วยก็ใจเต้นแรงแล้ว

“น้ำเน่าจังเลยกิมเนี่ย” โดนแซะเข้าไปหนึ่งทีแต่ก็คุ้มตรงที่คีนหันมายิ้มทะเล้นให้กัน เออ ดาเมจแรงจนหัวใจผมแทบวายอะ มือนี่จิกขากางเกงจนจะทะลุอยู่แล้วเว้ย การเก็บความรู้สึกต่อหนาคนหมู่เยอะนับวันก็ยากเข้าทุกทีเมื่อความชอบในตัวเขามีเพิ่มขึ้น

“โธ่ เราจีบคีนอยู่นะ”

“นี่ เดี๋ยวคุณน้าก็ได้ยินหรอก” คีนหันมาดุผมด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะเหลือบมองคุณนายที่เอาแต่สนใจเชฟตรงหน้า ผมขยับยิ้มก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธแถมยังแกล้งเขาด้วยการเอื้อมมือไปแตะแก้มขาวๆ นั่นอีกต่างหาก โอย น่ารักจนใจละลายเลยว่ะ

“ไม่หรอกน่า แม่ตั้งใจฟังเชฟอธิบายเมนูจะตายไป” ถ้าเข้าสู่โหมดสนใจอะไรสักอย่างสิ่งรอบตัวก็ไม่สำคัญกับเธอหรอก ปกติผมไม่เคยชอบนิสัยนี้ของแม่แต่วันนี้โคตรรู้สึกดีเลยเพราะจะได้หยอดคีนเยอะๆ เอาให้เขินตายกันไปข้าง (น่าจะเป็นผมที่ตายมากกว่า)

“ดื้อจริงๆ เลย แล้วดีใจปะที่วันนี้ไม่ใช่การนัดจับคู่?” เมนูที่สองซึ่งเป็นเนื้อวากิวย่างชิ้นพอคำถูกคีบใส่ปากหลังจากคีนจบคำถามนั่น ดวงตารีจ้องมองกันอย่างซุกซนแถมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก เดาว่าเขาคงอยากหัวเราะที่ผมคิดเป็นตุเป็นตะเอาเองแน่ๆ ก็นะ... แม่ชอบใช้วิธีนี้จนจำฝังใจแล้วนี่นา

“ไม่เลย โคตรเสียใจอะ วันนี้เป็นวันแรกที่เราอยากให้แม่บอกว่ามันคือการนัดจับคู่” ผมแกล้งทำตาละห้อยพร้อมใช้เสียงหงอยๆ ในการแสดงออก คีนที่ในตอนแรกก็จ้องกันซะดิบดีกลับกันหน้าหนีไปสนใจเชฟตรงหน้าเฉยเลย แต่ผมจะไม่งอแงเพราะเห็นใบหูแดงๆ นั่นก่อน หึหึ แบบนี้เขินแน่นอน เชื่อกิมมิคเหอะ

“กิม... หยุดพูด” หูย เสียงแข็งแต่สั่นแบบนี้ก็ขอแกล้งต่อหน่อยแล้วกันน้า อย่าโกรธผมเลยก็คีตอยากน่ารักเองทำไมล่ะ

“เขินเหรอ?” ผมถามเสียงทะเล้นก่อนขยับเข้าไปกระแซะไหล่ของคีนเป็นการหยอกล้อ เจ้าตัวหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่

“พอแล้วน่า” แหนะ ขมวดคิ้วแถมด้วย โอ๋ๆ น้า แต่ผมยังไม่พอใจอะ

“แก้มแดงแล้ว” อะ ยืนมือไปจิ้มแก้มเขาอีกหน่อยจนโดนดุด้วยสายตา ก็ดันโดนเชฟเหลือบมองด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนแม่หันตามนี่ล่ะ เกือบไปแล้วไหมล่ะชีวิตไอ้กิม

“เดี๋ยวเอาตะเกียบจิ้มตาแม่ง” คีนเวอร์ชั่นดุให้ความรู้สึกเหมือนตอนไอ้ชมจันทร์เกรี้ยวกราดเวลาอาหารหมดเลยว่ะ ยังไงๆ ก็น่าบีบอยู่ดี โอย หัวใจพี่กิมจะวายจริงๆ แล้วครับ

หลังจากนั้นผมก็หันไปสนใจเมนูอาหารที่ถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้าบ้างเพราะไม่อยากให้คีนรู้สึกว่าโดนคุกคามมากจนเกินไป ที่จริงแล้วก็เหลือบมองเป็นระยะ ผมอยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเนื่องจากองศาใบหน้าด้านข้างของเขาดูดีมาก มีเสน่ห์ดึงดูดจนเกือบเผลอเอาจมูกไปแตะเบาๆ ตรงสันกรามนั่น คือแม่งลำบากมากกับการสนใจอย่างอื่นเนี่ย แม่ก็เอาแต่ดื่มด่ำกับของกินไม่หันมาชวนคุยเลย แย่แน่ๆ

“ถ้าจะมองหน้าเราขนาดนี้ไม่ต้องกินอูนิแล้วมั้ง” อยู่ๆ คีนก็พูดขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเพราะมัวแต่จ้องเขา เกือบทำตะเกียบหล่นพื้นด้วยว่ะ โคตรไม่เซียนเลยไอ้กิมเอ้ย แล้วเพิ่งมารู้อีกว่าตรงหน้ามีของโปรดมาเสิร์ฟ หูย อูนิชิ้นโตบนข้าวปั้นเม็ดใส อ่า ถ้าได้กัดสักคำคงฟินไม่รู้ลืมแน่ๆ แต่ว่า...

“มันไม่น่าสนใจเท่าคีน” อะ ถ้าจะโดนต่อยก็ยอม ผมพูดความจริงล้วนๆ เหอะ นั่น... คีนหน้าแดงแล้วเว้ย เยส!

“เราจะกินอูนิของกิม” วิธีแก้เขินของคียคือก้มลงจ้องอูนิในจานของผมเขม็ง ตะเกียบที่ถืออยู่ในมือสั่นกึกๆ โหย คือวันนี้ผมใช้คำว่าน่ารักโคตรเปลือง

“ตามสบายเลย เราเต็มใจยกให้” โปรยคำหวานพร้อมรอยยิ้มละมุนเข้าไปอีกดอกซึ่งนั่นทำให้คีนถึงกับชะงักกึกแล้วตวัดสายตามองผมเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ

“หยอดเก่งจังเลยนะเดี๋ยวนี้” คีนเหล่ตามองผมอย่างจับผิดในขณะที่ผมไหวไหล่เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ยอมรับว่าเดี๋ยวนี้มีความกล้ามากขึ้นเพราะเขาไม่มีท่าทีรังเกียจนี่ล่ะ แถมบางครั้งก็เผลออ่อยกันด้วย ฮึ่ม น่ากัดให้จมเขี้ยว

“ก็อยากให้ชอบเราเร็วๆ นี่”

“หึ ยาก!” แล้วอูนิก็บินเข้าปากคีนไปแบบสวยๆ ในขณะที่ผมลอบอมยิ้มอย่างสุขใจ ขืนมีท่าทางแบบนี้บ่อยๆ ความฝันคงไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะไอ้กิม หึหึ

มื้ออาหารหรูผ่านไปอย่างราบรื่นโดยที่แม่เป็นเจ้ามือจ่ายให้แต่คีนกลับพยายามช่วยจึงโดนดุไปตามระเบียบ ตอนนี้ก็เดินคอตกเป็นกระต่ายหงอยอยู่ตรงหลางระหว่างเราสองคน มันให้บรรยากาศแบบครอบครัวประคบประหงมสะใภ้ของบ้านไม่มีผิด ยิ่งคนที่เดินผ่านไปผ่านมาส่งสายตากรุ้มกริ่มผมก็ยิ่งรู้สึกหัวใจพองโตเหมือนได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้

“น้องคีนเริ่มช่วยงานคุณแม่ที่ร้านแล้วใช่ไหมเอ่ย?” แหมะ เสียงหวานหยดย้อยยิ่งกว่าตอนอ้อนพ่อไปเที่ยวต่างประเทศซะอีก แม่นะแม่ ดูท่าทางจะชอบคนนิสัยแบบคีนเข้าแล้วล่ะ โธ่ คนนี้ของผมห้ามแย่งสิ

“ก็ช่วยนิดหน่อยเวลาตากล้องไม่พอน่ะครับ” คีนก็ใช้รอยยิ้มหวานๆ เปลืองเหลือเกิน ผมนี่แทบตกกระป๋องไปแล้ว กลายเป็นหมาหัวเน่าแล้วเนี่ย ไหนบอกจะพามารู้จักลูกของเพื่อนแม่ไง

“ตากิมก็ช่วยน้าหลอกล่อสาวๆ มาซื้อเครื่องเพชรเหมือนกัน รายนี้เจ้าเล่ห์นัก” ผมแทบเดินสะดุดขาตัวเองล้มหน้าคว่ำ พอจะมีส่วนร่วมในบทสนทนาสักหน่อยก็ดันเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้คีนได้รับรู้ ไอ้ความเจ้าเล่ห์ก็มีแค่ตอนอยากเรียกลูกค้ามาเปย์เครื่องเพชรเท่านั้นล่ะน่า ดูแม่ทำหน้าสิเหมือนผมหลอกล่อสาวไปฟันอย่างนั่นล่ะ

“แม่ครับ ไม่ขายลูกสิ” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากประกอบคำพูดพลางขมวดคิ้วไม่พอใจ แค่ผลตอบรับที่ได้กลับมาคือแม่ดันหัวเราะคิกคักแถมคีนยังเหล่มองด้วยสายตาทะเล้น อะ โดนเข้าใจผิดหรือเปล่าเนี่ย ต้องรีบอธิบายแต่ทำได้แค่อ้าปากเพราะเขาดันแทรกขึ้นมาซะก่อน

“กิมคงเจ้าชู้น่าดูเลยนะครับเนี่ย” อะ ดูเขาพูดสิครับ เพราะแม่คนเดียวเลยเนี่ย โหย แก้ข่าวให้ผมด่วนๆ เลย

“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเจ้าชู้คงมีแฟนไปนานแล้ว แต่นี่เลิกกับคนเก่ามาตั้งแต่สมัยอยู่เกรดสิบก็ยังไม่มีคนใหม่สักที ไม่รู้แอบชอบใครอยู่บ้างหรือเปล่า?” ทุกอย่างเหมือนหยุดชะงักการเคลื่อนไหวเพราะคำพูดของแม่แทงใจผทเข้าอย่างจัง นับตั้งแต่แฟนเก่าที่ไม่มีความผูกพันธ์กันสักนิดจนวันนี้ผมก็ยังไม่เคยจีบใครต่อ ก็ดันมาหลงเสน่ห์เจ้าของไอจี the_kirin.z เข้าซะก่อนไง คำตอบก็อยู่ข้างๆ เรานี่ล่ะครับคุณนาย ถูกใจปะ แต่งเลยไหม นายกวินท์พร้อมแล้วเนี่ย

“โธ่ เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะครับ เอ้อ แล้วนี่แม่ของคีนทำร้านอะไรเหรอ?” ผมรีบชวนเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้อะไรต่อ จะให้ตอบตรงๆ ไปว่าชอบคีนก็ครัวเธอช็อกซะก่อน

“ร้านเวดดิ้งน่ะ ถ้าจะแต่งงานอย่าลืมใช้บริการได้นะ ของชำร่วย การ์ด ชุด จัดสถานที่ ถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง พวงมาลัยบ่าวสาว วางแพลนกำหนดการ รับทำทุกอย่างเลย” คีนโฆษณาร้านด้วยน้ำเสียงสดใส ยอมรับว่าขายเก่งจนเกือบคล้อยตามถ้าไม่ติดว่าผมสังเกตเห็นแววตาทะเล้นกับรอยยิ้มกวนนั่นซะก่อน เขาแกล้งผมอะแม่ ฟ้อง!

“เดี๋ยวเถอะ” ผมทำเสียงดุใส่คีนแต่ในขณะที่กำลังจะยกมือผลักหัวเขานั้นกลับโดนแม่ดึงแขนแล้วตีเพี๊ยะลงมา อูย เจ็บนะ จำลูกตัวเองผิดคนปะเนี่ย!

“ไปดุคีนทำไมหืม? เดี๋ยวแม่ตีเลยนี่” เดี๋ยวอะไรเล่า ตีผมแล้วเนี่ย

“เปล่านะแม่ แล้วนี่จะกลับกันหรือยังครับ ไปกินของหวานต่อไหม?” วันนี้ผมพาพวกเขาเปลี่ยนเรื่องคุยไปกี่ครั้งแล้ววะเนี่ย แต่ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจไม่เซ้าซี้เรื่องเมื่อครู่ เฮ้อ สบายใจ ไม่อย่างนั้นคงโดนแม่ซักจนขาวหลังจากแยกกันแน่ๆ

“แม่จะกลับแล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องบินไปอังกฤษ”

“ห๊ะ ไม่คิดจะบอกผมสักคำเลยเหรอ?” ผมชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองหน้าแม่อย่างตื่นๆ มือข้างหนึ่งจับชายเสื้อของเธอไว้แน่นเพื่อรั้งและคาดคั้นเอาคำตอบทางสายตา

“ยังไม่ชินอีกเหรอคะคุณลูกชาย? แม่มีงานด่วนจริงๆ” อะ ง้อกันด้วยการหยิกแก้มผมเนี่ยนะ ไม่ใช่แบบนี้ดิ แม่กำลังจะปล่อยให้ผมกลับไปนอนเฝ้าบ้านคนเดียวนะเว้ย ไม่แฟร์ๆ แบบนี้ปล่อยให้นอนคอนโดกับไอ้ปอมไม่ดีกว่าเหรอ?

“โอเคครับ เดินทางปลอดภัย” แต่ผมพูดได้แค่นั้นเพราะรู้ดีว่าถ้าแสดงท่าทีงอแงก็โดนแม่สอบสวนทันทีว่ามีเหตุผลอะไรถึงไม่ยอมอยู่บ้านคนเดียวแบบที่ผ่านๆ มา โธ่ ถ้าผมจีบคีนติดเมื่อไหร่สัญญาว่าจะเปิดตัวให้ครอบครัวรู้ทันที

“ค่ะ แล้วนี่น้องคีนจะกลับยังไงคะ?” แม่ตอบรับผมด้วยรอยยิ้มแล้วหันไปสนใจคีนที่เดินเคียงข้างเธออยู่

“น่าจะนั่งแท็กซี่กลับครับ วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” ก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมแถมยังส่งรอยยิ้มละลายหัวใจคนให้อีก โอย เนี่ย มารยาทงาม น่ารัก ทำอาหารเป็น คุณสมบัติภรรยาชัดๆ

“ไม่เป็นไรๆ งั้นให้น้าไปส่ง...”

“ผมไปส่งคีนเองครับ!” อูย ลืมตัวเผลอเสียงดังไปหน่อยอะ แหะๆ โดนแม่กับคีนเหล่มองใหญ่เลย

“จ้าพ่อลูกชาย งั้นแม่ไปก่อนนะ กลับกันดีๆ ล่ะ” สุดท้ายแม่ก็ทำแค่ยิ้มแล้วโบกมือลาเราสองคนก่อนจะแยกเดินไปอีกทาง หวังว่าเธอคงไม่หนักใจกับการแสดงออกของผมหรอกนะ

หลังจากที่ส่งแม่จนลับสายตาไปคีนก็ชวนผมไปที่ร้านขายกล้อง ใบหน้าหล่อเหลาดูมีความสุขทุกครั้งเมื่ออยู่ท่ามกลางสิ่งที่ชอบ เลนส์เอย บอร์ดี้ ขาตั้ง ฟิลเตอร์ กระเป๋า แฟลชนอก ที่ยกตัวอย่างมานี่ทำให้คีนยิ้มเสมอ บางทีผมก็มีความรู้สึกอิจฉาว่ะ อยากอยู่ในสายตาเขาแบบนี้บ้างจัง

ผมคิดสะระตะไปเรื่อยระหว่างที่รอคีนเลือกเลนส์ฟิกซ์ที่สามารถถ่ายรูปบุคคลได้สวยแนวหน้าชัดหลังละลายเพราะมีคุณสมบัติคือรูรับแสงกว้างแต่ไม่สามารถซุมได้ ระยะที่แนะนำให้ซื้อก็ประมาณ 33 มม. หรือ 50 มม. แต่ข้อเสียคือมันไม่สามารถซูมได้และมีราคาค่อนข้างสูง หูย ดูเป็นคนฉลาดแต่เปล่าเลยเพิ่งค้นในกูเกิ้ลเมื่อครู่นี้เองเพราะเตรียมไว้รับมือถ้าโดนเขาชวนคุยไง เนี่ยเรื่องมันเศร้าขอนมเปรี้ยวจี๊ดๆ ผมมาเรียนสาขานี้แต่ดันโง่เรื่องนี้ เจริญพรจ้า

อะ ตอนนี้ผมเปลี่ยนมานั่งเท้าคางอยู่ที่ส่วนรับแขกพลางจิบน้ำเย็นๆ ที่พนักงานสาวเอามาบริการถึงที่ ถ้าไม่ติดว่าร้านเป็นกระจกและมีลูกค้าหลายคนอยู่เธอคงจัดการป้อนให้ด้วยแล้ว ทำไมผมไม่เสน่ห์แรงแบบนี้ใส่คีนบ้างวะ เซ็ง!

ในขณะที่กำลังตีอกชกลมอยู่นั้นอีกคนที่มีความสุขกับการเลือกเลนส์กล้องก็เดินตรงมาทางนี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนในมือมีถุงพลาสติกขนาดกลางสีขาวทึบติดมาด้วยนั่นแสดงว่าภารกิจช็อปในค่ำคืนนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผมเห็นท่าทางของเขาแล้วนึกมันเขี้ยวเลยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้

“น้องคีน ~” หึหึ ส่งเสียงเรียกหวานๆ ด้วยคำที่แม่ใช้เรียกเขา โหย มันให้อารมณ์น่ารักน่าทะนุถนอมมากแต่ผมสังเกตได้ว่าคีนคิ้วกระตุกทุกครั้งกับสรรพนามนี้

“ล้อเลียนเหรอ?” อะ จากที่เขายิ้มดีใจกับของในมือตอนนี้กลับบุ้ยปากใส่กัน ดวงตารีก็หรี่เล็กลงเหมือนต้องการขู่คาดโทษ หูย กลัวแล้วจ้าพ่อกระต่ายตัวน้อย

“เปล่า เราแค่ชอบ ก็แบบ... น่ารักดีมันให้ความรู้สึกเหมือนคีนตัวน้อยๆ” ผมทำหน้าเพ้อฝันในขณะที่ก้าวขาตามคีนออกจากร้าน แอบเห็นว่าพนักงานสาวที่ขายของให้เขาเมื่อครู่มองตามพวกเราตาละห้อยเชียว อย่ามายุ่งนะเฮ้ย ถึงจะเป็นผู้หญิงกูก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่นอน

“คำว่าน่ารักไม่ควรเอามาชมผู้ชายปะ?” เดินได้ไม่กี่ก้าวคีนก็ชะงักกึกแล้วหันมาตวัดสาวตามองผมอย่างเอาเรื่องแต่ไอ้ปากที่กำลังอมยิ้มคืออะไรหืม? ชอบแกล้งกันจริงๆ เลยเจ้าพ่อกระต่าย

“แต่คีนเป็นข้อยกเว้นสำหรับเรา” หวานไหมล่ะ ผมหยอดอย่างกับเคยขายขนมครกมาก่อน สมแล้วที่คีนจะกล่าวหาว่าเป็นคนเจ้าชู้จริงๆ ก็ตอนแรกกับตอนนี้นิสัยผมต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย ก็ถ้าชักช้าหมาสักตัวจะคาบเขาไปแดกก่อนนะสิ มีโอกาสแล้วต้องจัดหนักจัดเต็มไว้ก่อน

“กลับกันเถอะ”

อ้าว หูแดงแล้วย่ำเท้าเดินหนีแบบนี้หมายความว่ายังไงครับคีน มาเคลียร์กันก่อนสิ หึหึ ผมอยากจะร้อง ‘เยสๆๆๆ’ ให้ลั่นห้าง โว๊ย วันนี้สามารถทำให้เขาเขินจนนับไม่ถ้วนได้โคตรภูมิใจเลย!




ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ตอนนี้ภายในรถสีเขียวมิ้นต์มีเพียงเสียงเพลงขับกล่อมพวกเราทั้งสองคนให้ถึงที่หมายโดยปราศจากบทสนทนาเนื่องจากเมื่อครู่คีนเพิ่งโทรคุยกับแม่ของเขาเรื่องที่มาพบกันในวันนี้ ต่อมาก็เป็นสายเรียกเข้าจากโฮมเรื่องการสอบ ต่อมาก็เป็นใครสักคนส่งไลน์มา โอย เอาเป็นว่าผมโดนเมินอย่างสมบูรณ์แบบชนิดที่ว่าฮัมเพลงผิดคีย์เขายังไม่หัวเราะอะ แย่โคตร ทั้งที่บรรยากาศฝนตกเป็นใจแท้ๆ

“ปิดเทอมมีแพลนจะไปไหนหรือเปล่า?” ทนความเงียบระหว่างเราไม่ไหวผมเลยตั้งคำถามลอยๆ แล้วก็ได้แต่ภาวนาว่าคนที่เอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์จะได้ยินมันบ้าง เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนขี้น้อยใจเฉยเลย บางทีความรักก็ทำให้คนอ่อนแอได้จริงๆ เนอะ แต่มันก็สวยงามเสมอในสายตาของใครหลายคน

“อืม... ก็คงกลับบ้านน่ะ” ขอบคุณที่ตอบคำถามโดยที่ไม่มองหน้า! ฮือ ผมต้องทำยังไงวะเนี่ย

“จะไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือนเลยสินะ” ผมแกล้งพึมพำเสียงหงอยก่อนจะแอบลอบมองคีน ครั้งนี้เขาหยุดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์แล้วหันมามองกันด้วยใบหน้ายิ้มๆ โธ่ ไม่ล้อเลียนกันแบบนั้นสิ

“กลัวคะแนนตกเหรอ?”

กระแทกใจเข้าอย่างจังจนแทบกระอักเลือดแต่ผมก็พยายามข่มความรู้สึกไว้แล้วคิดคำพูดเสี่ยวๆ แทน คิดไว้ว่าหยอดทุกวันๆ เดี๋ยวคีนก็ใจอ่อนยอมเป็นเมียคนขายขนมครกเองนั่นล่ะน่า

“รู้ทันแบบนี้อยากรู้ใจด้วยปะ?” อะ ขยิบตาเหมือนโดนผงฝุ่นกระเด็นใส่แถมให้หนึ่งที คีนถึงกลับปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากออกมา โอย เสียเซลฟ์เลยกู อายจนแทบจะเอาหน้าซุกพวงมาลัยหนีเนี่ย

“ไปพัฒนาสกิลการจีบมาจากไหนเนี่ย? ท่าทางกิมเจ้าเล่ห์เหมือนที่คุณน้าบอกไว้จริงๆ ด้วย”

“เราจริงใจกับคีนนะ” คราวนี้ผมตอบเสียงเครียดพลางขมวดคิ้วแน่น คีนก็ไม่ได้มีทีท่าอะไรแต่เป็นทางนี้เองที่รู้สึกไม่สบายใจกับประโยคนั้น เจ้าเล่ห์บ้างล่ะ เจ้าชู้บ้างล่ะ กลัวจะโดนเข้าใจผิดเอาจริงๆ จนไม่สามารถสานต่อความสัมพันธ์ได้นี่สิ

“รู้แล้วๆ ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นเลย” คีนว่าเสียงอ่อนก่อนจะเอื้อมมือมาคลึงระหว่างคิ้วของผมให้คลายออก ชั่วขณะหนึ่งที่หัวใจกระตุกวูบกับสัมผัสอุ่นๆ นั่น ชอบที่โดนสัมผัส ชอบการเอาใจใส่ สรุปง่ายๆ คือชอบทุกอย่างที่รวมกันเป็นนายคนินท์คนนี้ ผมไม่ขับรถแล้วได้ปะวะ อยากดึงเขาเข้ามากอดฉิบหาย

“กลัวคีนไม่เชื่อใจเรา” อะ งอแงใส่เขาแบบไม่มีเหตุผลอีกกู๊ เฮ้อ แล้วนี่ถึงคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมเร็วแบบนี้ อีกเดี๋ยวก็ต้องแยกย้ายกันแล้วสินะ...

“คิดมากน่า แล้วก็ขอบคุณที่ให้ติดรถมาด้วย” คีนเลื่อนมือลงมาตบบ่าผมปุๆ ก่อนจะรวบกระชับสัมภาระในตักเพื่อเตรียมลงจากรถ แต่ผมยังไม่อยากแยกจากเขาเลยออกปากชวนคุยต่อ

“โธ่ ก็อยู่คอนโดเดียวกันนี่นา” ดูเป็นคนดีทั้งๆ ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่คีนผมคงปล่อยให้นั่งแท็กซี่กลับเอง

“ที่อาสามาส่งไม่ใช่เพราะว่าจีบเราอยู่หรอกเหรอ? ว้า แย่จังที่เข้าใจผิด” คีนแกล้งทำเสียงหงอยแต่หน้าตาระรื่นขัดกันฉิบหาย ผมถึงกับไปไม่เป็นจะเถียงอะไรก็ไม่ได้ในเมื่อความจริงเป็นอย่างที่เขาว่า โธ่ รู้ทันเกินไปแล้ว

“คีนอย่าแกล้งเราดิ” ผมบ่นงุ้งงิ้งแต่ข้างในกลับรู้สึกอย่างพุ่งเข้าไปฟัดคีนซะให้เข็ด ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบแกล้งกันนักก็ไม่รู้ หรือเห็นมาผมเป็นรองเขาอยู่เนี่ย แต่ก็ยอมว่ะ เพราะมันทำให้เขายิ้ม

“ก็กิมน่าแกล้ง เราขึ้นห้องดีกว่า ไว้เจอกันวันมะรืน” แหนะ มียักคิ้วหลิ่วตาอีกคนเรา พอสบายใจก็หอบของหนีผมขึ้นห้องเลยเหรอ ใครจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นเล่า ถือวิสาสะเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนซะเลยนี่ คีนหันมาเลิกคิ้วเอียงคอใส่กันด้วย น่าขย้ำชะมัด

“เจอพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ?” ผมโน้มตัวเข้าไปใกล้จนสายตาที่มองเห็นคีนนั้นถึงกับพร่ามัว ลมหายใจอุ่นๆ ตกกระทบใบหน้าของกันและกันชวนให้ก้อนเนื้อในอกทำงานหนัก แต่ในตอนนี้ต่างคนก็ต่างไม่ยอมแพ้จ้องได้เป็นจ้อง ใครหันหนีก่อนจะกลายเป็นไอ้ป๊อด

“ถ้าอยากเจอก็... ทำมื้อเช้ามาให้เรากินดิ แต่ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ได้เจอนะ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่มาพร้อมนิ้วมือเย็นช่ำแตะลงบนแก้มของผมแผ่วเบาก่อนที่ไหล่จะถูกผลักออกห่าง คีนก้าวลงจากรถไปแล้วในขณะที่ทางนี้ได้แต่พึมพำกับตัวเอง

“ใครกันแน่ที่เจ้าเล่ห์วะ” แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ ให้ตายเหอะ

ผมไม่เคยรู้สึกเกลียดการปิดเทอมเลย แต่ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้นเพราะมันทำให้งุ่นง่านนั่งไม่ติด หัวใจพาลจะโบยบินไปหาคีนอยู่นั่น นอนพลิกซ้ายทีพลิกขวาทีทว่าภาพเขาก็ยังไม่หลุดออกจากสมองสักที ใบหน้าหล่อเหลา น้ำเสียงนุ่มนวล เส้นผมสีน้ำตาลปลิดปลิวตามกระแส กลิ่นหอมจำเพาะบุคคลที่ตราตรึงในโสตประสาท ก็มัวแต่เพ้อแบบนี้ผมจะหลับลงไปยังไงล่ะเนี่ย ตีสองแล้วเว้ย ตีสองจ้า!

ไม่ได้เจอหน้ากันหนึ่งอาทิตย์แล้วเนี่ย แค่คุยกันผ่านตัวอักษรหรือโทรฟังเสียงมันก็ไม่พอสำหรับความต้องการของผมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทางคีนก็ดูจะยุ่งกับงานที่ร้านเวดดิ้งพอตัว ไลน์ไปหาทีไรก็บอกว่ากำลังถ่ายรูปอยู่ตลอด มีเวลาให้กันอีกทีก็นู่น ตอนเกือบสี่ทุ่ม ดูเหมือนอุปสรรคความรักมากมายแต่จริงๆ แล้วก็แค่ความคิดของผมเท่านั้นเอง

ส่วนทางด้านพี่เซียนก็มีติดต่อมาบ้างแต่ผมไม่ค่อยตอบกลับแต่ล่าสุดโดนขู่ว่าจะบุกถึงเลยเลยจำใจคุยนิดๆ หน่อยๆ เฮ้อ วุ่นวายฉิบหายชีวิตไอ้กิมเนี่ย อีกอย่างคือพ่อกับแม่ดันหนีไปเที่ยวไต้หวันอี๊ก โธ่ หมาเฝ้าสมบัติดีๆ นี่เอง

“เบื่อเว้ย” ผมบ่นอัดหมอนให้สาแก่ใจก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเผื่อจะทำให้รู้สึกง่วงได้บ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือไถทวิตเตอร์เพลินยันตีห้า ใครว่าผู้ชายไม่ขี้เสือกขี้นินทาวะ บางทีร้ายแรงกว่าผู้หญิงอีก โอย ก็ผมเล่นอ่านเรื่องดราม่าของศิลปินเกาหลีได้เป็นชั่วโมงๆ เชียวนะ พอรู้ตัวอีกทีคือได้ยินเสียงไก่ข้างบ้านขันซะแล้ว ตีห้าจ้า

อะ เพราะยังไม่ง่วงเลยเปลี่ยนไปไถไอจีต่อเพื่อดูความเคลื่อนไหวของคีน ตั้งแต่ช่วงสอบเขาก็ไม่อัปเดตอะไรเลยนอกจากกองหนังสือตั้งใหญ่กับปากกาเน้นข้อความหลายๆ สี ผมเลื่อนหน้าจออย่างรวดเร็วผ่านรูปไอ้ว่านอี๋อ๋อกับพี่โซน รูปไอ้น้ำปิงออกทริปกับครอบครัวที่ประเทศสวีเดน รูปไอ้ปอมกับรถคันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งมาถึงโชว์รูมพ่อมัน แม่งเอ๊ย แต่ละคนชีวิตสุขสบายเหลือเกิน ทำไมมีแต่ผมที่นอนอืดอยู่บ้านวะ

กึก... มือผมชะงักเมื่อหน้าจอปรากฏรูปที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย บรรยากาศในภาพเป็นโทนสีอุ่นในร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น มีเค้าน์เตอร์บาร์ไว้สำหรับทำอาหารโชว์ ตัวอักษรคันจิบนแผ่นไม้ประดับอยู่บนผนัง องศาที่ถูกถ่ายทอดคือมุมเฉียง ท้ายทอยใครบางคนที่ติดมาเพียงเสี้ยวนั้น... กูนี่หว่า

เขาแอบถ่ายรูปผมอะ! โอย ดิ้นจนผ้าห่มร่วงไปอยู่ที่ปลายเท้าแล้วเนี่ย ใจเต้นตุบตับเลยว่ะเฮ้ย พอตั้งสติได้ก็มองหาแคปชั่นต่อ ในจังหวะที่อ่านข้อความเหล่านั้นผมถึงกับเบิกตาโตเพราะไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง โอย เหมือนอยู่ในความฝันที่มีปุยเมฆนุ่มๆ ลอยละล่องอยู่รอบตัวเลยว่ะ

the_kirin.z Once Upon a Time with Secret Boy(?) #อิ่มจังตังค์อยู่ครบ #ไม่แท็กนะครับ

ผมควรคอมเม้นต์อะไรดีวะ คือเขินจนมือไม้สั่นไปหมดแล้วเนี่ย คีนอัปรูปแบบนี้ไม่กลัวคนเปิดประเด็นเหรอวะ ตื่นเต้น อยากรู้ความรู้สึกของเขาด้วย เอาไงดี นัดเจอไหม โอ๊ย จะบ้าตายๆๆๆ แต่... ไอ้ Boy เนี่ย ขอเปลี่ยนเป็น Man ได้ไหมล่ะครับ



----------------------------------------------

มันก็จะจัดเต็มหน่อยๆ หูย เขินแทนคีนเลยฮะ 5555

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 14



รูปและแคปชั่นในไอจีคีนในวันนั้นกลายเป็นประเด็นฮือฮาของเหล่าแฟนคลับของเขารวมไปถึงเพื่อนๆ ผู้อยากกินเผือกร้อนจำนวนมาก ไอ้ปอมนี่ตัวดีถึงขนาดโทรมาถามกันกลางดึกทำให้ผมหัวร้อนอยู่ไม่น้อยเมื่อเหลือบเห็นเวลาบนหน้าจอสี่เหลี่ยม แม่ง ตีสอง มึงควรนอนครับไม่ใช่แหกขี้ตาเพื่อรบกวนคนอื่นแบบนี้ แต่ผมก็รับสายแล้วตอบคำถามมันไปแบบมึนๆ ก็ง่วงอะ จำไม่ได้ด้วยว่าพูดอะไรไปบ้าง

ส่วนมากช่วงปิดเทอมผมจะใช้เวลาไปกับการหาโมเดล Nano Block หรือ 3D Crystal Puzzle แบบใหม่ๆ มาต่อเล่นแต่ปีนี้กลับแตกต่างออกไปเพราะต้องศึกษาเกี่ยวกับกล้องอย่างจริงจัง รุ่นไหนเหมาะสมกับการใช้เรียน ราคาประมาณเท่าไหร่ ควรซื้อเลนส์ไหนเพิ่มบ้าง อุปกรณ์เสริมที่ควรมีล่ะ ทำไมวุ่นวายขนาดนี้วะ โอย ปวดหัว

สุดท้ายผมก็ทิ้งทุกอย่างในมือลงแล้วเอนหลังนอนบนเตียงอย่างเกียจคร้านก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์ที่ไร้การแจ้งเตือนจากคีนมาแล้วสองวันเต็มๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเปิดคลาสสอนการถ่ายภาพให้กับบุคคลที่สนใจเป็นคอร์สระยะสั้นๆ ใช้เวลาสามถึงเจ็ดวันตามลำดับความชำนาญและไหวพริบของแต่ละคน

ผมก็อยากสมัครอยู่หรอกแต่อุปกรณ์ที่ต้องมียังไม่ได้ซื้อสักอย่าง แถมระยะเวลาแค่เจ็ดวันคงไม่สาแก่ใจ กับนายกวินท์แล้วนั้นคาดว่านายคนินท์คงต้องสอนทั้งชีวิตเลยล่ะมั้ง พอคิดได้แบบนั้นก็รีบคว้าโทรศัพท์มาพิมพ์มุกจีบสาวส่งให้คีนอย่างรวดเร็ว หวังว่าเขาคงจะอ่านมันบ้างนะ

กิมมิค : ถ้าเราสมัครเรียนถ่ายรูปบ้างคีนจะคิดค่าสอนเท่าไหร่?

แล้วผมก็ปล่อยโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวก่อนจะหลับตาลงเพื่องีบกลางวันสักเล็กน้อยเพราะช่วงเย็นมีนัดดูหนังกับไอ้ว่านและไอ้ปอมแล้วไหลไปร้านเหล้าต่อ ส่วนข้าวเย็นคงจบลงที่กับแกล้มล่ะมั้ง เปรี้ยวปากกันมานาน แต่จับไม่ทันได้เคลิ้มกลับได้ยินเสียงสั่นครืดๆ ดังขึ้นจนต้องรีบควานมือหาอุปกรณ์สื่อสารอีกครั้ง

คีน : ก็ตามที่เราลงรายละเอียดไว้ในไอจีไง ไม่มีราคาพิเศษนะครับ ~

ผมอ่านข้อความที่เขาส่งมาจบก็ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที ตอบมาแบบนี้ก็เข้าทางให้เล่นมุกโดยไม่ต้องพยายามชักจูงอะไรต่อแล้วน่ะสิ หึหึ

กิมมิค : ถ้าเราอยากให้คีนสอนตลอดชีวิต คิดเท่าไหร่?

ส่งไปแล้ว... และมันคิดว่าอีกฝ่ายอ่านทันทีเหมือนเปิดหน้าแชทค้างไว้ แต่รอเกือบนาทีก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมาจนผมเริ่มใจเสีย หรือเล่นมุกนี้คีนไม่ชอบว่ะ เสี่ยวเกินแน่ๆ เฮ้อ พลาด...

ครืด

เฮ้ย ไม่พลาด!

คีน : ก่อนจะให้เราสอนทั้งชีวิต กิมมีอุปกรณ์หรือยังเหอะ ทำมาพูดดี
คีน : /สติ๊กเกอร์กระต่ายแลบลิ้น/

แต่หน้าแตกละเอียดเลยเว้ย โธ่ ก็คนมันไม่ได้ศึกษาเรื่องกล้องขนาดนั้นเลยไม่รู่ว่าควรเลือกซื้อตัวไหน แบรนด์อะไรนี่หว่า ดูๆ ไปมันก็ความสามารถใกล้เคียงกันหมด โอย กูมาเรียนสาขานี้ทำไม๊ พ่อแม่รู้ว่ากากขนาดนี้คงให้ลาออกไปเลี้ยงควาย แต่ผมชอบถ่ายรูปเพราะมันสามารถบันทึกความทรงจำช่วงเวลานั้นๆ ไว้ได้

กิมมิค : ถ้าอย่างนั้นคีนช่วยไปซื้อกล้องกับเราหน่อยได้ไหม

จุดประสงค์หลักคือซื้อกล้องจริงๆ แต่จุดประสงค์รองคืออยากเจอหน้าคีนจะแย่ นี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว... โธ่ แค่วีดีโอคอลยังไม่มีโอกาสได้คุยเลย งานยุ่งอะไรขนาดนั้นครับว่าที่แฟน

คีน : พรุ่งนี้เราว่าง นัดมาได้เลย

อูย อยากจะโห่ร้องดีใจให้บ้านแตกแต่กลัวว่าแม่ช็อกตายไปซะก่อน เยส! คีนตอบรับผมแล้ว เราจะได้เจอกันแล้วเว้ย ผมกระโดดเหยงๆ ไปรอบห้องด้วยความดีใจจนชนกับเหลี่ยมโต๊ะนั่นล่ะ จุกเลยกู

“เหี้ย เจ็บ!” ผมสบถเสียงรอดไรฟันแล้วลูบช่วงต้นขาที่โดนชนเข้าอย่างจัง จริงๆ ถ้าขยับองศาอีกนิดก็ทิ่มเป้าพอดี โอย เกือบเสียลูกชายไปแล้วไหมล่ะกู

พอความเจ็บเริ่มคลายลงผมก็รีบพิมพ์ข้อความนัดหมายเวลาและสถานที่ส่งไปให้คีนทันที ฝ่ายนู้นตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์โอเคแบบน่ารักๆ เดาว่าพี่สาวคงซื้อให้ล่ะมั้ง

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงที่ผมลากสังขารเปื่อยๆ ลงจากห้อง รู้สึกหิวจนไส้แทบขาด ส่วนเรื่องงีบกลางวันกลับไม่ได้ทำอย่างตั้งใจเพราะเอาแต่นอนยิ้มเหมือนคนเมากัญชาเนื่องจากคิดเรื่องคีน พรุ่งนี้ก็จะได้เจอกันแล้ว โอ๊ย ตื่นเต้นจนใจสั่นเลยเนี่ย ทำไงดีๆ ปากแทบฉีกถึงหูแล้ว

“ตากิม” เสียงหวานๆ ของแม่ดังขึ้นเมื่อผมเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไปจนกลัวว่าเธอจะหาว่าลูกชายเป็นบ้า โธ่ อย่ามองด้วยสายตาจับผิดแบบนั้นสิครับ ผมหุบปากไม่ได้จริงๆ เพราะความสุขมันเอ่อล้นจนเก็บไม่ไหวเนี่ย

“ครับแม่” ผมเดินตรงไปหาแม่ที่ยังมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้า สังเกตจากท่าทางคงกำลังไม่พอใจกางเกงขาสั้นย้วยๆ กับเสื้อกล้ามแขนกว้างนี่สินะ

“ไปเปลี่ยนชุด” อยู่ๆ เธอก็ชี้นิ้วให้ผมเดินกลับไปชั้นบนแถมยังทำตาดุใส่อีกด้วย คือยังงงๆ อยู่ว่าทำไมต้องเปลี่ยนชุดตอนนี้ในเมื่อผมนัดกับเพื่อนตั้งสี่โมง

“หืม จะพาผมไปไหนครับ?” ผมเลือกที่จะตั้งคำถามนี้กับแม่เพราะรู้ว่าเธอไม่เคยเร่งรีบอะไรแบบนี้

“เราต่างหากที่ต้องพาแม่ไป” แม่ยักคิ้วสองข้างอย่างกวนๆ ก่อนจะไขว่ห้างแล้วเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่กลับทำให้ผมอึ้งแดก ก็จำได้ว่าไม่มีนัดกับแม่นี่นา อยู่ๆ ผมจะพาเธอไปไหนเล่า

“ห๊ะ?” ทำหน้าหมางงใส่แม่จนโดนตีเข้าที่หน้าท้องจังๆ หูย มือหนักเหมือนกันนะเนี่ย

“แม่จะเอาขนมไปฝากน้องคีน” เสียงเธอราบเรียบแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนผมเองถึงกับสตั้นไปสามวิ เมื่อครู่คงหูฝาดไปมั้ง ไม่เกี่ยวกับคีนหรอก อาจจะเป็นน้องคิมที่แม่เคยแนะนำให้รู้จักเมื่อต้นปีก็ได้มั้ง...

“แม่... ว่าไงนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งก่อนจะทิ้งก้นลงบนพนักวางแขนโซฟาที่แม่นั่งอยู่ เธอวางแก้วชาแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มผมจนยืดแถมยังส่ายไปมาจนรู้สึกเวียนหัว โอย ตอนนี้อยากอ้วกแล้วเนี่ย

“เราจะไปบ้านน้องคีนกัน” อะ ชัดกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วเพราะแม่กดหัวผมให้รับฟังประโยคนั้นจากปากชิดริมใบหูเลยเชียวล่ะ ดวงตาคมเบิกกว้างเนื่องจากตกใจตามมาด้วยเสียงเต้นตึกตักๆ ในอกด้านซ้าย อืม... หายหิว หายเวียนหัวเลย

“ผม... ผมแต่งตัวยังไงดี?” ความกังวลเกิดขึ้นเมื่อสายตามองสำรวจสภาพตัวเองในตอนนี้ ปกติแล้วผมจะไม่คิดมากเรื่องแต่งตัวแต่เพราะคราวนี้เหตุการณ์ไม่เหมือนกัน จะได้เจอคีนพร้อมกับแม่ของเขาเชียวนะ โอย ตื่นเต้นจนมือไม่สั่นขนาดนี้ต้องทำยังไงล่ะเนี่ย

“ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย ลูกดูแปลกๆ นะ” แม่หันมาจ้องผมด้วยสายตาจับผิด จะให้หลบหลีกก็คงไม่มีประโยชน์ในเมื่อเธอรู้จักนิสัยลูกคนนี้ดี ไม่เคยโกหกใครเนียน แสดงท่าทางนิ่งขนาดไหนก็โดนจับได้เสมอ เนี่ย นิสัยเหมือนคีนไม่มีผิด

“แค่ดีใจที่จะได้เจอเพื่อนครับ” ผมตอบปัดก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมหนีสุดชีวิต แต่คนอย่างแม่คงไม่ปล่อยให้ลอยนวลทั้งที่คำตอบมันไปคนละทางกับการแสดงออกว่าตื่นเต้นเมื่อครู่ เออ คราวนี้ผมพลาดจริงๆ นั่นล่ะ โธ่เว้ย ถ้าเธอรับไม่ได้ต้องทำยังไงต่อไปอะ

“หื้ม เย็นนี้มีนัดกับปอมกับว่านยังไม่เห็นแสดงอาการแบบนี้เลย”

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่ครับ” ผมก็แค่พึมพำเบาๆ และคิดว่าแม่ไม่ได้ยินหรอก แต่พอหันหลังในเธอกลับมีคำถามที่ทำให้ต้องชะงักเท้า ปากสั่น ร่างกายชาวาบ รู้ได้ยังไงกัน

“ลูกชอบคีนเหรอ?”

“ทำไมแม่ถามแบบนั้นครับ?” ผมถามโดนไม่หันไปมองเธอเนื่องจากตอนนี้ไม่สามารถควบคุมสายตาเป็นกังวลหรือความสั่นของริมฝีปากได้เลย

“สายตาลูกมันบอก” น้ำเสียงของแม่ไม่ได้มีแววโกรธเคืองหรือเศร้าเสียใจที่ผมดันชอบผู้ชายด้วยกันเลยสักนิด มันมีแต่ความอ่อนโยนและเป็นห่วง จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจหันไปเผชิญหน้าด้วยท่าทางที่ไม่เปลร่ยนจากเดิม สั่นเหมือนเจ้าเข้าเลยกู

“คือผม...” อ่า พูดไม่ออกแถมยังเม้มปากแน่จนทำให้แม่ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อกอดปลอบ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายและหัวใจที่หวาดกลัว เธอจะเขาใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นของผมต่อคีนไหม หรือมันเป็นแค่เรื่องผิดปกติในสายตาผู้ใหญ่

“กิมจะชอบใครแม่ไม่ว่าหรอก ผู้หญิงหรือผู้ชายได้ทั้งนั้น ขอแค่มั่นใจว่าถ้าเลือกเดินทางนั้นแล้วจะไม่เสียใจและมีความสุขก็พอ” คำพูดของแม่นั้นทำให้ผมรู้สึกคัดจมูกขึ้นมาดื้อๆ แถมยังกระชับกอดร่างบางแน่นขึ้น ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะรับเรื่องแบบนี้ได้ทั้งที่เมื่อก่อนพยายามหาผู้หญิงดีๆ ในกันเสมอมา ผิดคาดจนทำให้น้ำตาผมไหลเพราะดีใจมาก

“.....”

“เอ้า ร้องไห้ทำไมหื้ม โตป่านนี้แล้วยังขี้แยอีกเหรอ? เดี๋ยวคีนไม่รักนะเออ” แม่พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปขยี้หัวกันแรงๆ จนยุ่งเหยิง แต่ผมไม่แคร์เพราะตอนนี้กำลังซึ้งในความรักของเธออยู่ ฮือ ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้นะ

“ขอบคุณครับแม่ แต่แซวแบบนี้ผมยิ่งจะร้องไห้อะดิ” ผมผละตัวออกก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ส่วนแม่หัวเราะจนตาหยีแต่ก็หยิบทิชชู่มาเช็ดปลายจมูกให้ โธ่ ทำอย่างกับผมเป็นเด็กห้าขวบเลย แต่ก็ชอบความดูแลเอาใจใส่แบบนี้เหมือนกันถึงจะรู้สึกเขินนิดหน่อยน่ะนะ

“จ้าๆ ไม่แซวก็ได้ แล้วนี่จีบน้องคีนติดหรือยังเถอะเรา?” อะ แม่เลิกแซวก็อยากขอบคุณอยู่หรอกแต่ไอ้คำถามนี้มันก็แทงใจดำไม่แพ้กันเลยนี่หว่า โหย ผมเลยได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่แม่แบบนี้ไง คีนไม่อ่อนโอนตามแถมยังดูเหมือนไม่หวั่นไหวด้วย จีบยากอย่างที่เขาเคลมไว้จริงๆ นั่นล่ะ

“ก็เหมือนจะยังครับ เฮ้อ” ผมถอนหายใจก่อนจะทิ้งหัวลงบนลาดไหล่แคบแล้วถูไถเบาๆ เพื่อออดอ้อนขอกำลังใจจากแม่ แต่สิ่งที่ได้คือมะเหงกกลางกบาลแถมด้วยคำเย้าแหย่ที่ทำให้ปากคว่ำมากกว่าเก่า โธ่ นี่ลูกนะครับทำไมใจร้ายใส่แบบนี้ล่ะ

“ชักช้าระวังอดนะ แม่ไม่ช่วยด้วย”

“แม่ครับ ~” ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้วเนี่ย

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว จะเอาลูกชายไปฝากเป็นลูกเขยบ้านนู้น เอ๊ะ หรือลูกสะใภ้นะ คิกๆ” อะ สนุกใหญ่เลยคนเรา!

“ผมไปเป็นลูกเขยเขาสิแม่!” ผมมั่นใจสุดๆ นะเรื่องนี้ แต่ก่อนอื่นจีบลูกชายเขาให้ติดก่อนเถอะครับ... ฮึก

ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปยังบ้านของคีนที่อยู่เกือบถึงแถบชานเมืองแต่ก็ไม่ถือว่าไกลจากมหา’ลัยนักโดยมีแม่เป็นคนบอกทาง แต่อยู่คอนโดก็สะดวกมากกว่า ไม่ต้องตื่นเช้าและไม่ต้องฝ่าจราจรติดขัด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากย้ายเข้าพักกับไอ้ปอมเป็นการถาวรเหมือนกันแต่คนที่นั่งข้างๆ ตอนนี้คงไม่ยอมแน่

“ผมยังไม่ได้ถามเลยว่าแม่ทำขนมอะไรไปฝากคีน” ผมเหลือบมองถุงกระดาษขนาดใหญ่บนตักของเธอก่อนจะตั้งคำถามนั่น ก็สงสัยอยู่นานแล้วว่าแม่จะทำอะไรไปฝากว่าที่ลูกสะใภ้บ้าง ใบหน้าสวยหันมายิ้มให้กันแล้วหยิบกล่องขนมสีใสขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ

“กลีบลำดวนกับจ่ามงกุฎค่ะ” ชื่อขนมไทยหลุดจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีพีช ผมถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วแม่ชอบบ่นว่าขนมไทยทำยากและใช้เวลานานแต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป คงถูกใจคีนเข้าขั้นอยากได้มาเป็นลูกชายมากกว่ามั้งเนี่ย ก็ผมมันซนแถมยิ้มไม่เก่งเท่าเขานี่นา ยอมแพ้จ้า

“โห เอาเวลาที่ไหนทำครับเนี่ย?”

“เวลาที่ลูกชายเอาแต่นอนอุตุอยู่บนห้องไงคะ” จ้า แพ้แล้วแพ้อีก เมื่อไหร่จะชนะชาวบ้านเขาบ้างวะเนี่ย สงสัยแต้มบุญหมด

“แม่ไม่บอกให้ผมรู้ตัวก่อนนี่ครับ” ผมบ่นงิ้งงิ้งก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าซอยหมู่บ้านขนาดกลางแห่งหนึ่ง อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงบ้านคีนแล้ว ตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมจังหวะหัวใจได้เลยแถมมือยังชื้นเหงื่อทั้งที่แอร์เย็นจะตายอีกด้วย เฮ้อ เป็นเอามากแล้วไอ้กิม

“ก็ใครจะไปคิดว่าลูกแม่จะพิศวาสลูกชายเพื่อนล่ะหื้ม?” แม่เก็บกล่องขนมใส่ถุงไว้เหมือนเดิมก่อนจะเอื้อมมือนิ่มๆ มาดึงแก้มกันจนยืดแล้วยืดอีก

“โอยๆ ไม่ดึงแก้มสิครับ” ผมร้องโอดโอยเมื่อโดนเพิ่มแรงบีบไปอีกระดับหนึ่งจนโดนแม่ตวัดสายตาดุใส่ และโดนฟาดต้นแขนดังเพี๊ยะแถมด้วย เจ็บซ้ำซ้อนจริงๆ แต่ก็มีความสุขเมื่อเห็นป้ายบ้านเลขที่เป้าหมายด้านหน้า ในที่สุดก็ถึงสถานที่ที่มีกลิ่นคีนเต็มไปหมด อ่า... ความโรคจิตเริ่มทำงานอะ

“ทำเป็นหวง จะเก็บไว้ให้คีนหอมเหรอ?” แม่ไม่ได้ผละมืออกไปแต่กลับส่ายหน้าผมแรงๆ อย่างมันเขี้ยว โธ่ ไม่ได้หวังแบบนั้นสักหน่อย แค่รู้สึกว่าเนื้อจะหลุดแค่นั้นเอง แล้วคนอย่างคีนคงไม่พิศวาสทำอะไรหวานๆ กับผมหรอกน่า

“ผมมากกว่าที่จะทำแบบนั้นกับเขาน่ะ” ผมงึมงำในขณะที่แม่ยอมปล่อยมือ เธอยิ้มบางก่อนจะตบไหล่กันเบาๆ เหมือนพยายามให้กำลังใจ

“ทำหน้าเป็นหมาหงอยเชียว แม่เชื่อว่าสักวันกิมจะทำในสิ่งที่หวังได้สำเร็จ”

“ครับ ผมจะพยายามสุดความสามารถเลย” อ่า... สุดท้ายแม่ก็ต้องเชียร์ผมจนได้สิน่า สักวันผมจะคว้าคีนมาเป็นแฟนให้ได้ ฮึบ!

แต่ความผิดหวังแรกก็เข้ามาเยือนเมื่อคุณป้าบอกว่าคียออกไปสอนถ่ายภาพที่สวนรถไฟกว่าจะกลับก็คงช่วงเย็นๆ ซึ่งผมมีนัดดูหนังกับเพื่อน ตอนนี้ก็เลยได้แต่นั่งเล่นอยู่ในสวนฆ่าเวลาสมาคมแม่บ้านคุยกัน เฮ้อ

ผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้สีขาวแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพมุมสวนด้านหนึ่งที่ประดับด้วยตุ๊กตาดินเผารูปกบสองตัว มีน้ำพุไม้อันเล็กๆ พื้นโรยด้วยก้อนหินสีขาวและมีดอกกุหลาบอยู่ตรงกลางหลายต้น จากการบอกเล่าของคุณป้าคือคีนลงมือจัดส่วนนี้ด้วยตัวเอง ก็นะ... ออกมาน่ารักเหมือนคนทำเลย แต่ผมเนี่ยชักอาการหนักเพราะเอาทุกอย่างมาเพ้อถึงเขาได้ตลอด

กิมมิค : /ส่งรูปสวน/

ผมกดส่งรูปสวนที่เพิ่งถ่ายให้กับคีนก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงคุณป้าใกล้เข้ามา เธอคงเอาน้ำกับขนมออกมาให้แน่ๆ เลย

“น้องกิม ทานขนมกับน้ำก่อนเนอะ” เธอวางจานคุกกี้อัลมอนด์กับน้ำอัญชันมะนาวลงบนโต๊ะแล้วส่งยิ้มหวานๆ ที่คล้ายคลึงกับคีนมาให้ ผมผงกหัวขอบคุณก่อนจะหยิบขนมใส่ปาก โอ้โห รสชาติอร่อยเหมือนมาจากร้านดังเลย (ปกติผมไม่ชอบกินของแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ไอ้ปิมชอบซื้อมาตุนในห้อง)

“คุกกี้อร่อยมากครับคุณป้า” ทั้งที่เคี้ยวยังไม่หมดแต่ก็อดชมไม่ได้เพราะมันอร่อยมากจริงๆ คือฟินจนต้องหยิบชิ้นต่อไปส่งเข้าปาก

“งั้นก็ทานเยอะๆ คนทำได้ยินคำชมคงดีใจจนตัวลอยแน่ๆ” คุณป้าพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ ดูท่าทางเธอมีความสุขกับคำชมมากแต่รูปประโยคเมื่อครู่ฟังแล้วคงหมายถึงคนอื่นมากกว่า บ้านหลังนี้มีแค่สามคน ไม่ใช่คนสวยตรงหน้าก็อาจเป็นพี่ปิ๊งก็ได้มั้ง

“ใครทำเหรอครับ?” ผมถามก่อนจะคว้าแก้วอัญชันมะนาวเย็นๆ มาจิบปิดท้าย มันเป็นจังหวะเดียวกันที่ได้รับคำตอบจากคุณแ้าพอดี โอย เกือบสำลักน้ำตาย

“เจ้าคีนค่ะ รายนั้นชอบทำคุกกี้เก็บใส่โหลเอาไว้น่ะ บางทีก็เอาไปตั้งรับรองลูกค้าที่ร้านเวดดิ้ง”

“อ่า... คีนทำขนมเก่งจังครับ” ผมก้มหน้าชมอีกคนแบบเขินๆ ก็ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่พูดเรื่องคีนต่อหน้าคนอื่นถึงควบคุมการแสดงออกได้ยากทุกที โว๊ย ความลับแตกไปกี่รอบแล้วเนี่ย

“ช... ล่ะสิ”

“ครับ?” เมื่อครู่ได้ยินคุณป้าพูดอะไรสักอย่างแต่มันไม่ชัดเอาซะเลย

“ไม่มีอะไรค่ะ เอ้อ น้องกิมรู้จักชมจันทร์ไหมเอ่ย?” อะ อยู่ๆ ไอ้กระต่ายขนฟูเข้ามาอยู่ในบทสนทนาเราได้ยังไงล่ะเนี่ย ผมต้องรู้จักชมจันทร์อยู่แล้ว ก็นั่นน่ะศัตรูหมายเลขหนึ่งเชียวนะ แค่คิดถึงก็เริ่มหงุดหงิดแล้วสิ

“กระต่ายของคีนใช่ไหมครับ?” ผมแสร้งถามด้วยความใสซื่อ แสดงท่าทีอ่อนโยนรักสัตว์ทั้งที่ความจริงไม่เคยพิศวาสอะไรทำนองนั้นเลยด้วยซ้ำ หมา แมว กระต่าย ปลา ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากเลี้ยงเลย

“อื้ม เล่นกับมันหน่อยไหม?”

เดี๋ยวๆ ขนาดคีนอยู่มันยังกัดผมได้เลย แล้วนี่... ไม่ไหวหรอก ผมโดนตะกุยหน้าแหกแน่ๆ แค่คิดก็สยองแล้ว

“คือผม...” อึกอักเพราะหาคำปฏิเสธแบบสวยหรูไม่ออก ยิ่งโดนสายตาคาดหวังของคุณป้ามองมายิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องเล่นกับชมจันทร์เท่านั้น ไม่อย่างงั้นอาจจะโดนแบนจากครอบครัวนี้ โอย เครียดยิ่งกว่าวอบปลายภาคแล้วกู

“ช่วงนี้คีนไม่ค่อยว่างเล่นกับชมจันทร์น่ะ ดูหงอยๆ ชอบกล ส่วนป้าก็แพ้ขนสัตว์น่ะ เลยช่วยเลี้ยงไม่ได้”

“งั้น... ผมขอเล่นกับชมจันทร์หน่อยนะครับ” ถ้าเป็นแบบนั้นผมกลั้นใจยอมเล่นกับศัตรูก็ได้ ถึงจะไม่ชอบสัตว์แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น

“ค่ะ น้องอยู่ในห้องเจ้าคีนนะ” คุณป้ายิ้มก่อนจะชี้ชวนให้ผมบุกรุกห้องลูกชายตัวเอง เฮ้ย เอาจริงดิ นั่นคือพื้นที่ส่วนตัวในบ้านเลยนะ แต่ถ้าคิดลึกหน่อยขนาดคอนโดผมก็ยังเหยียบมาแล้วนี่ คงคล้ายๆ กันล่ะมั้ง แต่แม่ง โคตรตื่นเต้นเลย กลิ่นคีน!

“ขะ เข้าไปได้เหรอครับ?” ผมไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงและความสั่นไหวของหัวใจได้อีกเลย ส่วนมือก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากุมแนบอก เชี่ย จะสั่นแข่งกันเพื่ออะไรวะเนี่ย เดี๋ยวคุณป้ารู้กันพอดีว่าหวังงาบลูกชายเขา

“ได้สิ ป้าถามคีนให้แล้วค่ะ” แม่ยายเปิดทางขนาดนี้ อย่าให้เสียโอกาสจ้า ไป ไปดมกลิ่นคีนกัน!

ผมนี้ผมกำลังยืนมือสั่นอยู่หน้าประตูห้องนอนของคีน จับลูกบิดมาราวๆ หนึ่งนาทีแต่ไม่กล้าเหยียบเข้าไป มันมีความรู้สึกว่าเรากำลังจะรู้จักคนๆ นี้อีกหนึ่งขั้น หัวใจเต้นตึกตักจนแทบกระดอนมาด้านนอก อ่า... เอาวะ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ได้เล่นกับชมจันทร์พอดี ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้วด้วย

แกรก

สิ่งที่สัมผัสได้อย่างแรกเมื่อประตูเปิดออกคือความเย็นตกค้างจากเครื่องปรับอากาศเมื่อคืนตามมาด้วยเสียงกุกกักฟัดชามอาหารของเจ้าชมจันทร์ที่อยู่ในกรงขนาดใหญ่ การตกแต่งในห้องเป็นโทนสีขาวแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ยกเว้นก็แค่ชุดเครื่องนอนที่เป็นสีดำสนิทตัดกันอย่างลงตัว และที่ขาดไม่ได้คือกลิ่นน้ำหัวเฉพาะตัวของคีนที่ยังหลงเหลือบางเบาแต่ก็หอมจนเผลอสูดดมเข้าไปเต็มปอด

หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศความเป็นคีนแล้วผมก็เดินไปหาชมจันทร์แล้วนั่งยองๆ ลงหน้ากรงพลางมองดูเจ้าขนฟูกินน้ำจากขวด ดวงตาเม็ดลำไยแวววาวจ้องมองมาทางนี้อย่างสนใจ ดูท่าทางคงอยากออกมาวิ่งเล่นด้านนอกใจจะขาดสินะ แต่ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะเปิดประตูให้นี่สิ เอายังไงดี

ขั้นแรกขอหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก่อนแล้วกันว่าคีนตอบอะไรกลับมาบ้าง

คีน : แม่บอกแล้วว่ากิมไปที่บ้าน
คีน : ขึ้นไปหาชมจันทร์หรือยังอะ ถ่ายรูปมาหน่อยสิ

อ่านข้อความที่เขาส่งมาจบรอยยิ้มก็ค่อยๆ ผุดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เพราะผมดันมีความรู้สึกว่าเหตุการณ์แบบนี้คล้ายกับว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ผมมโนจนเผลอกัดปากกลั้นเขินเชียวล่ะ

อะ คีนขอมาขนาดนี้ผมก็เลยจัดให้โดยการเปิดกล้องโทรศัพท์แล้วกดถ่ายรูปเจ้าฟูไปสองสามชอตก่อนจะส่งให้ หลังจากนั้นผมก็ลองหยิบถุงหญ้าแห้งขึ้นมาเปิดแล้วแหย่เข้าไปในกรง โอ้โห รีบพุ่งมางับเชียวนะชมจันทร์ ตอนมันเคี้ยวนี่น่ารักเป็นบ้า อยากบีบๆๆๆ ไม่แพ้ที่อยากฟัดนายคนินท์เลย ให้ตายเถอะ

คีน : เปิดกรงให้ชมจันทร์ออกมาวิ่งเล่นสิ

ผมอ่านข้อความของคีนจบก็อยากเอาหัวโขกเตียงให้ตายๆ ไปซะ ใครมันจะกล้าเปิดกรงทั้งที่เคยมีประสบการณ์โดนกระต่ายกัดวะ

กิมมิค : แค่นั่งป้อนหญ้าให้มันได้ปะ กลัวโดนกัดอีก
คีน : จีบเราแต่กลัวชมจันทร์มันจะรอดปะเนี่ย?

พอโดนคำถามนั่นเข้าไปผมถึงกับมองชมจันทร์เขม็ง ถ้าวานสัมพันธ์อันดีกับกระต่ายไม่ได้ก็จะชวดการเป็นแฟนกับคีนไปง่ายๆ อย่างนั้นเลยเหรอวะ เฮ้ย แต่ผมไม่ชอบสัตว์นี่นา ทำไงดี โอย ปวดหมอง

ครืด

อะ คีนส่งไลน์มาอีกรอบแล้ว

คีน : กิม... เงียบไปเลย เราล้อเล่นนะ ไม่ต้องเปิดกรงก็ได้
กิมมิค : เดี๋ยวเราจะลองเปิดกรงดู
คีน : เฮ้ย ไม่ต้องหรอก กิมไม่ค่อยถูกกับสัตว์ทุกชนิดนี่นา
กิมมิค : คีนชอบอะไรเราก็จะพยายามชอบด้วย ชมจันทร์ก็น่ารักดี
คีน : ทำเพื่อเรามากไปหรือเปล่า?
กิมมิค : เราเต็มใจน่า
คีน : อื้อ... เอาไว้เราจะรีบกลับบ้านนะ
กิมมิค : ครับ

อ่า... แล้วบทสนทนาก็จบลงแค่นั้นเพราะคีนต้องไปสอนถ่ายภาพต่อ ส่วนผมนั่งจองตาสีดำกลมโตของชมจันทร์เพื่อชั่งใจว่าจะยอมเปิดกรงให้มันออกมาวิ่งเล่นได้จริงๆ หรือเปล่า เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีก็ฮึดสู้เอื้อมมือไปปลดกลอนประตูจนได้ นั่นๆ เจ้าฟูกระโดดแล้ว

ผมเผลอผงะถอยหลังตอนที่เท้าของชมจันทร์แตะลงบนพื้นห้อง มันยืนนิ่งทำจมูกฟุดฟิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มคลานต้วมเตี้ยมตรงมาทางนี้ เฮ้ยๆ อย่ากัดนะ กลัวแล้ว ว้าก... เอ๋ ทำไมถึงเอาหัวทุยมาซุกตักกันซะอย่างนั้นล่ะว่ะ แถมยังนอนนิ่งให้ลูบขนอีกด้วย เชื่องสุดๆ ไปเลย

“เหงาเหรอไอ้ฟู? พี่ชายไม่ค่อยว่างเล่นด้วยสินะ” ผมก้มลงคุยกับกระต่ายบนตักก่อนจะไล้มือลูบไปตามความยาวของใบหู ขนสีเทาสลับขาวนุ่มนิ่มคล้ายตุ๊กตาเกรดพรีเมี่ยม อ่า... รู้สึกฟินอย่างบอกไม่ถูกเลยเนี่ย

ไม่มีการตอบรับใดๆ จากชมจันทร์ แน่นอนว่ากระต่ายไม่ส่งเสียงร้องและไม่เข้าใจภาษาคนที่ผมพูดด้วย แต่ทำไมมันถึงนอนนิ่งได้ขนาดนี้วะ จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะตาลำไยยังเปิดอยู่เลยนี่

ผมตัดสินใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกเพื่อถามหาคำตอบของความผิดปกตินี้จากคีน กลัวทำกระต่ายเขาตายคาตักแล้วจะโดนเกลียดขี้หน้าเอาอะดิ

‘ฮัลโหล มีอะไรเหรอกิม?’ เสียงปลายสายดูตกใจที่อยู่ๆ ผมก็โทรหา

“คือ... เราปล่อยชมจันทร์ออกมานอกกรงแล้ว มันไม่ได้วิ่งไปไหนแต่กระโดดขึ้นตักเรา หลังจากนั้นก็นิ่งไปเลย” ผมรัวคำพูดออกไปจนลิ้นแทบพันกัน ความตกใจฉายชัดอยู่ในน้ำเสียงและดวงตาที่เบิกกว้าง มือที่ลูบหูชมจันทร์อยู่นั้นสั่นกึกๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เหม็นตีนกูจนช็อกตายหรือเปล่าเนี่ย ฮือ

‘ชมจันทร์ขยับจมูกปะ?’ น้ำเสียงที่ถามกลับมานั้นช่างราบเรียบจนผมไม่สามารถเดาความรู้สึกของเขาได้เลย ตายแน่ๆ คราวนี้แม่คงไม่ได้ลูกสะใภ้ไปเชยชมแล้วมั้งเนี่ย

“อ่า ขยับนะ” ผมก้มลงไปใกล้จนจมูกแทบชนหัวชมจันทร์ เออว่ะ ยังไม่ตายนี่นาแต่ทำไมนิ่งไปล่ะ ปกติกระต่ายมันต้องกระตือรือร้นมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ

‘มันแค่หลับน่ะ สงสัยตักกิมนอนสบายล่ะมั้ง’ เสียงกลั้วหัวเราะตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีทำให้ผมเผลอยกยิ้มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่หายสงสัยว่าชมจันทร์หลับทั้งที่ลืมตาเหรอวะ บ้าน่า

“แต่มันลืมตานะ” ผมขมวดคิ้วพลางใช้มือเขี่ยๆ หางทรงสามเหลี่ยมมนๆ นั่นเล่นแต่ชมจันทร์ก็ยังนอนนิ่งเหมือนเดิม หลับจริงดิ

‘อื้อ กระต่ายก็หลับแบบนั้นทุกตัวนั่นล่ะ เขาเรียกว่าการระวังภัย’ คำอธิบายสั้นๆ ที่ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้าง จะว่าไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่เอาเถอะ มันคงไม่ได้ตายอย่างมี่คิดไว้หรอก ก็จมูกยังขยับอยู่เลยนี่หว่า

“อ้อ เราก็ตกใจ นึกว่ามันจะเป็นอะไรซะอีก”

‘ขอบคุณที่เล่นกับมันนะ เรากำลังกลับบ้านแล้วล่ะ’ สิ่งที่คีนบอกทำให้ผมยิ้มกว้างอีกครั้งแต่เมื่อสมองประมวลผลว่าเย็นนี้ดันมีนัดกับเพื่อนอีกสองคนก็เลยเปลี่ยนเป็นลอบถอนหายใจแทน ยังไงก็คงอยู่รอเขาไม่ได้หรอก เดี๋ยวไอ้ปอมกับไอ้ว่านจะหาว่าไม่ให้ความสำคัญพวกมันอีก

“โอเค พอดีเรามี...”

‘อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ อย่าเพิ่งหนีกลับนะ’ โธ่ ทำไมคีนเป็นคนแบบนี้เนี่ย แย่งผมพูดขนาดนั้นจะให้ปฏิเสธยังไงในเมื่อใจมันอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว อีกอย่างคือชมจันทร์ไม่ยอมย้ายตัวป้อมๆ ลงไปจากตักสักที

“กะ ก็ได้”

โอ๊ย ฉิบหาย แล้วกูจะโทรไปยกเลิกนัดไอ้สองตัวนั่นด้วยเหตุผลอะไรล่ะเว้ย ตายๆๆ โดนล้อทั้งปีทั้งชาติแน่

ผมนั่งมองชมจันทร์อยู่พักใหญ่จนไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็เห็นหน้าคีนในระยะที่ทำให้ลมหายใจชะงักกึก ใกล้จนมองภาพทุกอย่างเลือนลาง ใกล้ชนิดที่ว่าลมหายใจปะทะข้างแก้ม แต่ไม่ใช่เพราะเขาพิศวาสผมหรอก แค่มาอุ้มชมจันทร์ที่เปลี่ยนไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น โธ่ เล่นซะหัวใจจะวาย

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงใสเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นผมที่นั่งกระพริบตาปริบๆ คือแบบปลายจมูกจะชนแก้มคีนอยู่แล้วจ้า ถ้าหน้าด้านหน่อยนี่ได้หอมไปเต็มๆ เสียดาย!



ต่อด้านล่างจ้า



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“อือ โทษที เผลอหลับจนได้” ผมขยับพิงเตียงให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าเก่าเพราะเผลอไหลจนแทบนอนราบไปกับพื้นก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาให้หายง่วง แม่ง ปวดหลังฉิบหาย

“เมื่อคืนนอนดึกล่ะสิ” คนถามไม่ได้มองกันแต่กลับลูบหัวกระต่ายเล่นแถมยังส่งยิ้มหวานให้มันอีก เจ็บใจนัก ดูเจ้าฟูสิ เคลิ้มหลับตาพริ้มเชียว พออยู่กับกูนอนเปิดตาคืออะไรห๊ะ

“ก็... เล่นเกมเยอะไปหน่อยน่ะ” ที่จริงแล้วผมเอาแต่ศึกษาเรื่องกล้องแล้วก็นอนคิดถึงคีนน่ะนะ เกมแทบไม่ได้แตะด้วยซ้ำ

คีนพยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไรกลับมาแล้วปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมเราทั้งสองไว้ แต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเพราะแค่ได้ยินเสียงลมหายใจผมก็โคตรมีความสุขแล้ว ตอนนี้ก็แอบมองเขาคุยงุ้งงิ้งกับกระต่ายในอ้อมแขน บอกว่ามะรืนจะตัดเล็บให้พร้อมกับล้างเท้าเปื้อนฉี่เหลืองๆ อีก อิจฉากระต่ายก็วันนี้ล่ะวะ

“เอ้อ เรารับสายปอมให้แล้วนะ เห็นโทรมาหลายรอบ” คีนพูดขึ้นในขณะที่ผมหยิบโทรศัพท์บนปลายเตียงมากด ประโยคนั้นทำให้มือชะงักกึกก่อนจะตามมาด้วยดวงตาที่เบิกโตเป็นสองเท่า ไอ้ปอมกับไอ้ว่าน ลืมสนิทเลย!

“เฮ้ย ฉิบหาย เรามีนัดดูหนังกับพวกมันอะ” ผมลนลานจะกดต่อสายหาใครสักคนที่ตอนนี้คงงอนทำหน้าเป็นตูดไปแล้วแต่โดนคีนห้ามไว้ด้วยสายตาซะก่อน

“เราบอกให้แล้วว่ากิมหลับ ปอมเลยบอกว่างั้นก็เจอกันร้านเหล้าเลย”

อ้อ... เข้าใจแล้ว แต่ที่คีนรับโทรศัพท์แล้วบอกว่าผมหลับเนี่ย ไอ้สองตัวนั้นจะคิดไปถึงไหนกันแล้วล่ะเนี่ย โธ่เว้ย โดนซักฟอกแน่ๆ ยกเลิกนัดกินเหล้าอีกรอบได้ปะวะ เครียด

“อ๋อ ขอบคุณนะ”

“ไปล้างหน้าล้างตาดิ เดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน” คีนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องน้ำก่อนจะลุกขึ้นเพื่ออุ้มชมจันทร์ไปใส่กรง ผมอึกอักเพราะยังต้องการคุยกับเขาต่อ เอาไงดี อยากอยู่ด้วยอีกสักหน่อย ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งเดือนนึงเชียวนะ แค่เวลาชั่วโมงหนึ่งกับการกินข้าวด้วยกันมันไม่พอหรอก

“เอ่อ...”

“มีอะไรเหรอ?” มือดันก้นไอ้ชมจันทร์เข้ากรงแต่ก็ยอมหันหน้ามาสบตาคุย ผมเลยได้แต่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน ชวนคนที่ชอบไปร้านเหล้ามันสมควรปะวะ แต่มันมีทางเดียวที่จะได้อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ต้องโดนเพื่อนแบนอะ แค่ผิดนัดดูหนังก็โคตรรู้สึกแย่แล้ว

“คีนไปร้านเหล้ากับเราไหม?” ถามออกไปแล้วเว้ย ดูเหมือนว่าคีนจะงงๆ ที่ผมชวนเพราะเขามีท่าทางตกใจแถมหัวคิ้วสวยยังขมวดเข้าหากันอีก เอ่อ... ปิดประตูกรงก่อนดีไหม ชมจันทร์จะมุดออกมาวิ่งข้างนอกแล้ว

“อยากให้เราไปด้วยเหรอ?” คีนเหมือนจะเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอเลยถามออกมาโดยที่ไม่ยอมมองหน้ากันอีก จังหวะนี่ชมจันทร์ได้ถูกขังอยู่ในกรงเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

“ก็... อืม อยากอยู่ด้วยกันนานๆ น่ะ” ตำตอบจากความรู้สึกของผม จริงๆ ก็ไม่ได้อยากชวนไปนั่งก๊งเหล้าเหมือนเพื่อนสนิทหรอก แต่จะให้ทำไงล่ะวะ ผู้ชายเหมือนกันคงไม่คิดมากหรอกมั้ง

“.....” แต่คีนกลับเงียบไปเลย เอาไงดีเนี่ย

“คิดถึง” ผมพึมพำและหวังว่าคีนจะได้ยินคำๆ นี้

“อะ อื้ม งั้นเราไปด้วยก็ได้”

อ่า... วันนี้เหล้าคงหวานเป็นพิเศษว่าไหม?

หลังจากกินอาหารเย็นฝีมือคุณป้าเสร็จผมก็ขออนุญาตเธอลากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกมาจากบ้าน ร้านเหล้าที่จะไปก็อยู่แถวมหา’ลัยเลยตกลงกันว่าจะค้างคอนโดเอาแถมยังเป็นห้องของคีนอีกด้วย สรุปนี่ผมจีบหรือโดนเขาอ่อยกันแน่วะ เริ่มสับสนในตัวเองขึ้นมาตงิดๆ แต่ในเมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกันขนาดนี้ก็ต้องรีบคว้าไว้ก่อน ความสัมพันธ์อาจคืบหน้ามากกว่าเดิมก็ได้ หึหึ

ผมขับรถด้วยความเร็วไม่เกินเจ็ดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะอยากยืดเวลาอยู่กับคีนสองต่อสองให้มากที่สุดและเหมือนเจ้าตัวจะรู้เพราะเขาเอาแต่เหลือบมองผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มโดยไม่พูดจาสักคำ ออกปากแซวกันตรงๆ ยังไม่รู้สึกเขินมากเท่านี้เลยว่ะ โอย ขี้แกล้งฉิบหายเลย

“เลิกมองเราแบบนั้นสักทีเหอะน่า” ผมบ่นพึมพำในขณะที่ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคีนอีกครั้งหนึ่ง ดูก็รู้ว่ากำลังหัวเราะจนไหล่สั่นแต่ยังกลบเกลื่อนด้วยการยกมือขึ้นลูบแก้ม เจ้าเล่ห์นักนะ

“เรามองตอนไหน? กิมมั่วว่ะ” แหนะ ขนาดตอนว่ากันยังเสียงสั่น ปฏิเสธแบบนั้นใครที่ไหนเขาจะเชื่อเล่า แต่ผมก็พูดอะไรไม่ได้มากเพราะเดี๋ยวจะโดนแซวกลับว่าตัวเองก็แอบมองเขาเหมือนกัน

“ก็... ช่างมันเถอะ” ผมโบกมือปัดๆ แล้วเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนเพลง เออ ก็คนมันทำอะไรไม่ถูกไง เนี่ย ตอนนี้คีนขยับเข้ามาจ้องในระยะใกล้กว่าเดิมอีก ลมหายใจเป่ารดใบหูเลยเหอะ

“ไม่อยากไปร้านเหล้าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เดี๋ยว... นึกว่าจะไม่ถามแบบนี้แล้วซะอีก ไอ้ผมที่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยได้แต่ครางถามด้วยใบหน้าใสซื่อ โอย ได้ตั้งใจขับรถช้าเล๊ย

“หืม?”

“ก็เห็นไม่ยอมขับเร็วเหมือนปกติ”

“อ่า ก็อยากแต่ก็ไม่อยาก” เออ งงตัวเองเหมือนกันนั่นล่ะ เอาง่ายๆ คือยังเรียบเรียงคำพูดไม่ได้ อีกอย่างคือหน้าบางเกินไปแถมปากไม่ยอมขยับพูดอีกด้วย

“พูดอะไรเนี่ย?” คีนขมวดคิ้วทำหน้าเครียดใส่กันจนผมเผลอเม้มปากแล้วรีบรวบรวมความกล้าพูดสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นมากกว่าไปเมาหัวราน้ำที่ร้านเหล้า

“เอ่อ... เราอยากอยู่กับคีนมากกว่าไง” ก็เหมือนจะเคยพูดไปแล้วหรือเปล่าวะตอนอยู่บนห้องนอนสองต่อสองอะ... หรือเขานึกว่าผมแค่หยอดเล่นๆ โธ่ นี่จริงจังมากครับ

“ถ้าจีบติดจะให้อยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนเลย” คีนบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยับออกไปนั่งในท่าปกติ ริมฝีปากบางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ เฮ้ย นี่หลอกให้ผมพูดอีกรอบหนึ่งเพื่อเล่นมุกบ้างใช่ไหม แสบเอ๊ย

“เฮ้ย จริงดิ?” แต่ผมดันตื่นเต้นจริงๆ น่ะสิ การได้อยู่กับคีนแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นอะไรที่ใฝ่ฝันมาตลอดที่แอบชอบ

“อืม ตอนนี้รีบๆ ไปร้านก่อนเหอะ เลยเวลานัดมามากแล้ว”

“ครับ จะรีบเหยียบเดี๋ยวนี้เลย!” ตอนนี้คีนสั่งอะไรผมก็พร้อมทำหมดเลยจ้า ก็จากที่สังเกตน้ำเสียงและแววตาเขาแล้วนั้น ความหวังว่าจะจีบติดคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน สู้เว้ย!


--------------------------------------------------

เอ๊ะ คีนเริ่มหวั่นไหวหรือยังน้า
แต่กิมคงสำลักการอ่อยเกือบจะัตายไปแล้วล่ะ 5555

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไม่รู้ใครรุกใคนกันแน่ :impress2:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 15



ท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองหลวงในตอนนี้มีสีดำสนิทไร้ดวงดาวอย่างเช่นทุกทีแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันสวยกว่าวันไหนๆ ก็ตรงที่มีคีนยืนอยู่ข้างกาย เขามีออร่าสดใสยิ่งกว่าแสงไฟหลายหมื่นดวงด้านล่างคอนโดนั่นอีก ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหลจนอยากได้มาครอบครอง เมื่อไหร่กันล่ะที่ความฝันนั้นจะเป็นจริง

ผมไม่ได้เมาแต่ก็กรึ่มๆ ขากลับจากร้านเหล้าก็ได้คีนช่วยขับรถให้ เขาดื่มแต่น้อยกว่ากันเกือบเท่าตัวเพราะส่วนใหญ่จะกินพวกกับแกล้มมากกว่า พอถึงห้องก็อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ไม่รู้อารมณ์ไหนถึงช่วยกันออกมายืนรับลมยามดึกที่ระเบียง อืม... เกือบตีสองแล้วมั้ง ถ้าผมอยู่คนเดียวคงหลับเป็นตายไปแล้ว

“คิดไว้หรือยังว่าสนใจกล้องแบรนด์ไหน?” คำถามลอยๆ จากคนที่เท้าแขนลงกับราวระเบียงแล้วมองตรงไปด้านหน้าที่เป็นวิวตึกสูงเสียดฟ้าเอ่ยขึ้น ผมซึ่งกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงกับออกอาการสะอึก จะเอาอะไรตอบในเมื่อผมศึกษากล้องแค่แบรนด์เดียวกับที่คีนใช้งานอยู่

“คือเรา... อยากให้คีนแนะนำมากกว่า ศึกษาเองแต่ยังไม่เคยลองจับของจริงมันก็ไม่ค่อยมั่นใจน่ะนะ” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อเมื่อคีนหันมาหรี่ตามองอย่างจับผิด เฮ้ย อันนี้พูดความจริงว่าไม่มั่นใจเพราะไม่เคยจับกล้องถ่ายรูป DSLR ที่เคยผ่านมือมาบ้างก็เป็นพวก Mirrorless ของไอ้ว่านไง ไม่ได้โกหกนะเออ

“จะเอาแบรนด์เดียวกัน รุ่นเดียวกันกับเราไหม?” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะราวกับรู้ทันของคีนมาพร้อมกับการที่เขาขยับเข้ามาใกล้จนหัวไหล่เราทั้งคู่ชนกันเบาๆ ผมก้มหน้านิ่งมองวิวด้านล่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจสัมผัสนั้น เดี๋ยวนี้เขาร้ายจนผมไม่แน่ใจว่าฝ่ายโดนจีบคือใครกันแน่ ชอบมาทำให้เขินอยู่ได้ ถ้าจับปล้ำขึ้นมาจะว่ายังไงล่ะ

“ก็ดีนะ เราจะได้เรียนรู้จากคีนโดยตรง” เขาให้ท่ามาขนาดนั้นเราก็ต้องตอบกลับสักหน่อย แต่ผมไม่ได้สบตาคีนหรอกนะ ถ้าทำคงเขินแย่เพราะแค่หัวไหล่ติดกันก็แทบหัวใจวายตายแล้ว

“โฮมก็ใช้รุ่นเดียวกับเรา ให้รายนั้นสอนก็ได้” คีนผละตัวออกห่างจนเว้นช่องว่างให้อากาศผ่านระหว่างเรา ปลายสายตาของผมเห็นว่าใบหน้าหล่อนั้นประดับด้วยรอยยิ้มทะเล้นที่นานครั้งจะได้เห็น ปกติเป็นแบบอ่อนโยนโลกสดใสมากกว่า รู้สึกสนิทกันเพิ่มขึ้นอีกขั้น

“เราจีบใครก็อยากเรียนรู้จากคนนั้นสิครับ” ผมพลิกตัวเอาสะโพกพิงกับราวระเบียงแล้วท้าวแขนพยุงตัวไว้ก่อนยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้กับคีนเพื่อส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม รายนั้นถึงกับย่นจมูกใส่กันพลางยกมือเรียวมาดีดเหม่งผม เจ็บแต่โคตรมีความสุขว่ะ

“หยอดเก่ง” คราวนี้เขาผละตัวออกจากระเบียงทำท่าจะเดินหนีเข้าห้องแต่ผมไวกว่าเลยสไลด์ตัวไปขวางประตูแถมยังกางแขนด้วย คีนชะงักเท้ากึกมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ นั่นเลยเป็นโอกาสให้ผมขยี้ซ้ำเรื่องเดิม

“แล้วเขินไหม?”

“อืม”

“หมายความว่า...” ไอ้เสียงครางอืมที่มาพร้อมกับหน้านิ่งๆ แบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ โคตรไม่ชัดเจน เขินหรือรำคาญอะ

“เราไปอาบน้ำดีกว่า” แล้วเขาก็ลงทุนมุดลอดช่องว่างระหว่างตัวผมกับประตูหนีไปจนได้ เฮ้ย คือแบบยังมึนอยู่เลย ทำไมคีนเป็นคนแบบนี่เนี่ย มายั่วให้อยากแล้วจากไป คนใจร้าย!

หลังจากตัดพ้อคีนอยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่งผมก็ลากสังขารเพลียๆ ที่ยังคงมีแอลกอฮอล์ไหลเวียนในกระแสเลือดกลับเข้าห้องก่อนลงมือปิดประตูกับผ้าม่านให้เสร็จสรรพ ด้านหน้าเป็นเตียงขนาดควีนไซส์ที่โคตรไม่เหมาะสำหรับผู้ชายสองคนจะนอนเบียดกันเลยด้วยซ้ำ ความฝันของผมอันเป็นต้องพับเก็บ หลับในอ้อมกอดของกันและกันเหรอ? โธ่เว้ย หยิบหมอนกับผ้าห่มแล้วไปจบที่โซฟาเหอะ

คิดได้ว่าควรทำยังไงแต่ร่างกายกับทิ้งลงบนเตียงเพื่อสูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคีน ผมซบหน้าลงกับหมอนหนุนใบโตถูไถแก้มราวกับมันเป็นหน้าท้อง เอื้อมคว้าผ้าห่มเข้าสู่อ้อมกอดบีบนวดอย่างกับเป็นเอวสอบพอดีมือก่อนจะหลับตาลงเพื่อเปิดประสาทรับรู้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พาหัวใจดำดิ่งสู่ความนุ่มนวลเหมือนกำลังขึ้นสวรรค์ โคตรฟิน ฟินจนรู้สึกเคลิ้ม โอย ง่วงฉิบหาย

แกร๊ก

เสียงดังจากทางห้องน้ำทำให้ผมสะดุ้งผุดลุกจากเตียงด้วยสภาพสะลึมสะลือ อาการปวดหัวแล่นริ้วขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ แม่งเอ๊ย ไม่น่ากระดกไวน์สลับกับเหล้าเล๊ย จะตายแล้วๆๆๆ

“ลุกขึ้นมาทำไม ปวดหัวเหรอ?” คนที่เพิ่งก้าวขาเหยียบผ้าเช็ดเท้ารีบปรี่เข้ามาหาเพื่อตรวจดูอาการ มือเย็นๆ แตะลงบนท่อนแขนของผมเป็นสัญญาณให้เงยหน้าขึ้นสบตา

สิ่งแรกที่ทำให้สมองหยุดสั่งการไปชั่วขณะคือผิวเนื้อขาวเนียนตรงหน้าอกของคีนโผล่ให้เห็นเนื่องจากเขาไม่ได้ติดกระดุมชุดนอนสองเม็ดบน สิ่งที่สองคือกลิ่นหอมเย็นของสบู่ที่ผมเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด สิ่งสุดท้ายคือหยดน้ำที่เกาะพราวบนเส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงแต่ทว่ามันกลับดึงดูดความสนใจได้มากทีเดียว แม่งเอ๊ย จับกดลงเตียงเลยได้ไหมเนี่ย ไม่จงไม่จีบมันแล้วขอข้ามขั้นตอนเป็นผัวเมียเลยเถอะ

“กิม... เอายาไหม?” คีนเขย่าไหล่กันเบาๆ เพื่อเรียกสติที่เตลิดไปไกลของผมให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง เมื่อครู่เขาถามว่าอะไรนะ หมายถึงยาแก้ปวดหัวน่ะเหรอ? ถ้าขอเปลี่ยนเป็นจูบสักครั้งน่าจะหายไวกว่าเยอะ

“เปลี่ยนเป็นจูบได้ไหม?” อุบ ไอ้ฉิบหาย ปากไวเท่าความคิดจนต้องยกมือตบแก้มตัวเอง ส่วนคีนผงะถอยหลังไปแล้ว คืนนี้ผมโดนไล่ให้ออกไปนอนข้างนอกแน่ๆ โอย กูคิดเสียงดังได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ฮือ

“แม่ง...” คำสบถเบาๆ ของคีนมาพร้อมกับการที่เขาหมุนตัวหันหลังให้กันก่อนจะเดินห่างออกไปเพื่อจัดการเช็ดผมให้แห้ง ไม่รู้ว่าโกรธหรือยังไงกันแน่ ฮ่วย อยากเขาหัวโขกเตียงให้ตายๆ ไปซะ ไอ้กิมเอ๊ย จีบยังไม่ติดเสือกหื่นใส่อีก

ผมยังปักหลักนั่งอยู่ริมเตียงด้านหนึ่งเหมือนเดิม ส่วนคีนย้ายไปหยิบไดร์เป่าแล้ว บรรยากาศโดยรอบไม่ได้สร้างความอึดอัดให้แก่เราทว่ามันเป็นอารมณ์เขินจนมองหน้ากันไม่ติดมากกว่า จริงๆ อยากเดินเข้าไปขอโทษแล้วบอกว่าเมื่อครู่แค่ล้อเล่นแต่ในใจกลับร้องว่าอยากได้คำตอบ กูควรเอายังไงกับชีวิตดี ปรึกษาใครก็ไม่ได้

“กิม...” อยู่ๆ คนที่นั่งเป่าผมอยู่หน้ากระจกก็เอ่ยเรียกชื่อกันเสียงแผ่ว

“คะ ครับ?” ผมขานรับก่อนจะยืดตัวตรงแน่วพร้อมรับฟังข้อความต่อไปจากคีน ท่าทางตอนนี้คงคล้ายหมารอคอยเจ้านายมาเล่นด้วย โธ่ สงสารตัวเองที่เป็นคนกากจังวะ

“จูบน่ะ... เราให้ไม่ได้หรอกนะ” เขาเว้นจังหวะคำพูดเพื่อสาวเท้าเข้ามาหาผมที่นั่งแข็งเป็นรูปปั้นอยู่บนเตียง แม้แต่ดวงตายังไม่กระพริบสักนิดเพราะกลัวว่าถ้าหากทำแบบนั้นทุกอย่างจะสลายไปต่อหน้า คีนหยุดกึกอยู่ข้างเตียงแล้วเอ่ยประโยคถัดไปด้วยเสียงแผ่ว ผมเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีเลยรีบโบกมือปฏิเสธ

“เฮ้ย เราแค่ล้อ... อุบ” แต่กลับโดนนิ้วเรียวของคนตรงหน้าแตะบนริมฝีปากให้หยุดพูดซะอย่างนั้น โอย หายใจสะดุดจนแทบสำลักอากาศตายเลยกู เขาทำอะไรเนี่ย

“แค่จะบอกว่ายังไม่ถึงเวลาเฉยๆ”

“.....” ห๊ะ... หน้าผมตอนนี้คงตลกมากแน่ๆ เพราะเผลออ้าปากกว้างเลย แต่ดีที่คีนผละนิ้วออกไปแล้ว

“แต่ถ้าเป็นหอมแก้ม... เราอนุญาตนะ” จ้า สติสตังผมหายไปพร้อมการควบคุมร่างกายแล้ว อะไรคือถูกอนุญาตให้หอมแก้มได้วะ เอาจริงดิ ฝันหรือเปล่าเนี่ย ลองตบหน้าตัวเองดูสักครั้งเพื่อยืนยันดีไหม โอ๊ย ไม่ไหวๆ หัวใจเต้นแรงมาก!

“คีน...” ผมเปล่งเสียงได้แค่นั้นในขณะที่มองคนตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจจนลืมว่าคีนมาเหตุผลอะไรในการอนุญาต รู้สึกหวั่นไหวหรือแค่สงสารหมาตาดำๆ กันแน่ แต่ช่างแม่งเหอะ คิดมากก็ปวดหัวลงมือหอมเลยดีกว่า เดี๋ยวอด

“ถ้าไม่ทำเราจะนอนแล้วนะ” เอ้ย! ใครให้เอาความคิดของผมมาพูดขู่กันแบบนี้เนี่ย แถมคีนยังยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีก ไม่เขินบ้างหรือไงที่เชิญชวนให้ผู้ชายหอมแก้มเนี่ย ไอ้ผมเป็นฝ่ายกระทำนี่สั่นไปทั้งตัวแล้ว ฮึ่ย มันเขี้ยว

“ทำๆ ทำสิครับ” ผมละล่ำละลักบอกก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อฝังจมูกลงบนแก้มขาว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโฟมล้างหน้า สัมผัสนุ่มนวลยามกดจูบมันให้ความรู้สึกราวหับขึ้นไปยืนอยู่บนปุยเมฆ โอย หัวใจไอ้กิมจะวายแล้วครับ ทำไมถึงได้ฟินขนาดนี้

ฟอด

ขยับออกห่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจรดปลายจมูกฝังลงไปอีกครั้ง

ฟอด ~

ค้างไว้ยาวนานกว่าเดิมจนได้ยินเสียงร้องประท้วงมาพร้อมกับแรงทุบตรงหัวไหล่จากคนโดนกระทำ ผมผละตัวออกแล้วร้องโอดโอยเพราะรู้สึกเจ็บแต่กลับยิ้มแย้มเมื่อเห็นสีแดงระเรื่อบนแก้มของคีน เขินได้น่ารักเกินไปแล้วรู้ตัวบ้างหรือเปล่านะ

“พอเลย จะมากเกินไปแล้ว” คีนบ่นงุ้งงิ้งก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงแรงๆ จนได้ยินเสียงตึก หลังจากนั้นก็หันมาแยกเขี้ยวใส่กัน โธ่ พ่อยักษ์น้อยของพี่คีน ไม่น่ากลัวแต่น่าฟัด เอ๊ย น่ารักที่สุดเลย ขอหอมอีกทีจะได้ไหมน้า

“อ้าว ก็คีนไม่ได้กำหนดจำนวนครั้งนี่” ผมทำหน้าใสซื่อก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีเลยโดนคีนใช้เท้าถีบเข้าที่ต้นขาจนเสียหลักทรงตัวล้มตึงลงบนเตียง หูย หัวเกือบโดนเหลี่ยมโต๊ะแล้วไหมล่ะ

“อย่ามาเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวไล่ไปนอนข้างนอกเลยนี่”

“อะ ขอโทษๆ ครับ นอนกันเนอะ” ผมรีบลุกขึ้นมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ทั้งก้มหัวปรกๆ ยกมือไหว้แถมด้วยจนคีนหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะทิ้งตัวลง เขาตบเตียงปุๆ เป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้นอนด้วยกันได้ อะ ผมนี่รีบพุ่งเข้าหาหมอนเลยเชียวเพราะกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ อ่า... นุ่มสบายจัง

“ฝันดี” คีนหลับตาลงก่อนบอกฝันดีด้วยเสียงแผ่วๆ ทำให้ผมที่ลอบมองอยู่ถึงกับระบายยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู คงง่วงสุดชีวิตแต่ก็พยายามเคลียร์เรื่องระหว่างเราให้จบสินะ ก็นิสัยดีแบบนี้ไงผมถึงได้ไปไหนไม่รอด หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว

“ฝันดีครับคีน” ก็อยากจะกู๊ดไนท์คิสอยู่หรอกแต่เก็บไว้ตอนเป็นแฟนกันดีกว่าเนอะ

ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับก็วันนี้ ไอ้ฉิบหาย คือตาสว่างยันเช้าเพราะมีคีนนอนข้างๆ แต่ที่หนังกว่านั้นคือใบหน้าหล่อของเขาดันซุกซบอยู่ตรงหัวไหล่ด้วยนี่สิ นายกวินท์อยากแหกปากให้โลกรู้ว่านายคนินท์ในเวอร์ชั่นนี้โคตรเหมือนแมวและผมมีคำว่า ‘อยากฟัดให้จมเขี้ยว’ วนเวียนอยู่เต็มหัวไปหมดเลยเว้ย

ตอนนี้ผมก็เลยนั่งเบลอๆ อยู่ที่โต๊ะอาหารรอคีนชงกาแฟให้ดื่มส่วนอาหารเช้าก็ได้ปาท่องโก๋กับข้าวต้มหมูมากินประทังชีวิตก่อนออกไปห้างช่วงสาย สักพักผมก็ไหลซบหัวลงกับท่อนแขนเปิดปากหาวหวอดแบบนอนลิมิต โอย ตาจะปิดแล้วเนี่ย

“เราว่ากิมไปนอนต่อเหอะ ท่าทางจะไม่ไหวนะ”

“ไม่เป็นไร หาว เดี๋ยวได้กินกาแฟก็ดีขึ้น หาว ~” เออ น้ำตาไหลแล้วเนี่ย กูจะไหวจริงๆ เหรอ ฮือ

“โหย หาวขนาดนี้เนี่ยนะ? เอ้า กาแฟ ยังไม่ได้ใส่น้ำตาลนะ” คีนบุ้ยปากใส่กันและแสดงท่าทางไม่เชื่อคำโกหกนั่น แต่ผมกลับคลี่ยิ้มแม้ตาแทบปิดก่อนเอื้อมมือไปคว้าแก้วกาแฟมาอังแก้มเผื่อความร้อนจะทำให้ตื่นขึ้นบ้าง อูย หน้าสุกแล้วไหมเนี่ย

“ขอบคุณมาก เรากินอเมริกาโน่ขมๆ นี่ล่ะ” ผมหันไปขอบคุณคีนที่ยืนอึ้งกับความบ้าบอในการเอาแก้วร้อนๆ นาบแก้ม เขาหลุดขำก่อนพยักหน้าตอบรับก่อนทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มตักข้าวต้มหมูหอมกรุ่นใส่ปาก ส่วนผมก็เป่ากาแฟให้คลายร้อนก่อนจะค่อยๆ ละเลียดจิบซึมซับสารคาเฟอีนสู่ร่างกาย อ่า รู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย

ระหว่างมื้ออาหารไม่มีบทสนทนาระหว่างเราเพราะต่างคนต่างเอร็ดอร่อย ผมกินปาท่องโก๋กับกาแฟได้แค่นั้นก็รู้สึกอิ่ม ส่วนคีนฟาดข้าวต้มไปสองถ้วยเต็มๆ โอ้โห อนาคตจะเลี้ยงไหวปะเนี่ย

“เมื่อคืนนอนคิดเรื่องกล้องเหรอไง?” อยู่ๆ คีนก็เอ่ยปากถามหลังจากที่เขาวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ ส่วนผมชะงักมือที่กำลังพิมพ์ข้อความตอบไอ้ปอมเรื่องที่จะไปซื้อกล้องวันนี้ มันบอกว่าฝากเปย์ด้วย เอารุ่นเดียวกันนั่นล่ะ

สรุปว่าผมต้องซื้อกล้องสองตัวที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอะนะ พนักงานร้านอาจจะหาว่าบ้าได้ โธ่เว้ย มึงนี่มันขี้เกียจสุดๆ ลาออกไปเลี้ยงควายดีไหมห๊ะ?

“หืม?” กลับมาสู่โลกความเป็นจริงที่ผมยังคงมึนกับคำถาม คือเขาติดว่าสภาพหมีแพนด้าในตอนนี้เกี่ยวกับเรื่องกล้องเหรอ?

“ก็เห็นง่วงเหมือนคนอดนอนขนาดนี้” อะ เขาบอกมาแบบนั้นผมก็ต้องไหลตามน้ำไป ใครจะกล้าพูดตรงๆ ว่านอนไม่เหลับเพราะตื่นเต้นที่นอนข้างกันเล่า เดี๋ยวก็มองหน้ากันไม่ติดพอดี แค่ขอจูบเมื่อคืนก็โคตรน่าเกลียดแล้ว

“หา อ้อ ใช่ๆ คิดเยอะไปหน่อย เราเลือกไม่ถูกว่าจะเอาแบบไหนดีน่ะ”

“อืม... จริงๆ เราก็อยากแนะนำนะ แต่ไม่โปรฯ ขนาดรู้สรรพคุณของทุกแบรนด์ทุกรุ่น เดี๋ยวให้ที่ร้านจัดการดีกว่า”

ถ้าหมายถึงไอ้พนักงานหน้าม่อร้านประจำของคีนก็ลืมซะเถอะ เพราะผมไม่ถูกชะตากับมันมากถึงมากที่สุด คนอะไรมองลูกค้าอย่างกับจะแดกเข้าไปทั้งตัวขนาดนั้นวะ (ได้ข่าวว่านายกวินท์ก็มองนายคนินท์แบบนั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ยังกล้าว่าเขาอีกเนอะ)

“เอ่อ... เราเอาเหมือนของคีนก็ได้” ผมตัดปัญหาด้วยการยึดคีนเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เลือกๆ ไว้บ้างว่าสนใจรุ่นไหน มีอยู่ประมาณสองสามรุ่น

“เราอยากให้กิมเลือกที่เหมาะกับตัวเองนะ อย่างกล้องตัวที่เรามีก็เป็นระดับมืออาชีพเพราะเอาไปถ่ายงานพรีเวดดิ้ง ราคาค่อนข้างสูง ฟังก์ชั่นเยอะ ใช้งานยากถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน” จากคำพูดเมื่อครู่คนฟังสามารถตีความหมายได้สองแบบคืออย่างแรกดูถูกเรื่องเงิน อย่างที่สองคือเป็นห่วงจากใจจริงกลัวว่ามันจะไม่คุ้มค่ากับการใช้งาน ซึ่งอย่างหลังน่าจะเป็นความตั้งใจของคีนมากกว่า อืม...

“เราไม่มีปัญหาเรื่องราคานะ แต่ฟังก์ชั่นการใช้งานนี่...” ผมลองเชิงเขาด้วยการเกริ่นเล็กๆ แล้วลอบมองปฏิกิริยา ซึ่งคำตอบที่ได้คือใบหน้าและดวงตาเป็นกังวล ชัดเจนยิ่งกว่าคีนก็ทีวีระบบ Full HD เลยล่ะ

“นั่นไง เราเลยอยากให้ทางร้านแนะนำหรือไม่ก็โทรปรึกษาอาจารย์ กลัวกิมจะใช้งานลำบากน่ะ”

ผมจะทำยังไงกับความเป็นห่วงของคีนที่เอ่อทะลักออกมาใส่กันดีนะ มันรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แต่ถ้าได้กอดสักทีก็... (ไม่เกี่ยวกันเว้ย! - ปอมตะโกนด่าผ่านโทรจิต)

“ถ้าเราซื้อกล้องแบรนด์เดียวกันกับที่คีนใช้อยู่แต่คนละรุ่นล่ะ จะช่วยสอนให้ได้ไหม?” อะ ลองหาทางหนีทีรอดที่ดูมีความรู้ขึ้นมานิดหน่อย ก็ไม่อยากให้คีนคิดว่าผมเป็นพวกเหลาะแหละ ไม่ยอมเตรียมตัวเรื่องการเรียนให้พร้อมนี่หว่า ถึงมันจะมีส่วนขี้เกียจเล็กๆ ปนอยู่จริง

“คนละแบรนด์เราก็สอนได้เหอะ ถ้ากิมเป็นคนขอน่ะนะ” ไอ้การขยิบตาพร้อมยิ้มหวานก่อนจะลุกสะบัดก้นไปล้างจานเนี่ย... กำลังให้ท่าอยู่ใช่ไหมครับคีน โปรดกรุณาหันมาให้คำตอบไอ้หมาตาดำๆ ที่นั่งกุมอกมือสั่นกึกข้างหลังด้วยเถอะ อ๊าก!

ไอ้สัด บอกได้คำเดียวว่ายับเยินมาก! ซื้อกล้องสองตัวราคาเหยียบแสน ไหนจะโดนพนักงานชักจูงให้ซื้อเลนส์เพิ่ม ขาตั้งกล้อง กระเป๋า ฟิลเตอร์ อุปกรณ์ทำความสะอาดและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายโดยคีนหนีออกไปอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เพราะกลัวคล้อยตามเหมือนกัน โคตรทำร้ายอะ โอย สรุปผมรูดการ์ดไปวันนี้ขึ้นหลักหกอยู่ดี กะปอมเอ๊ย มึงต้องรีบจ่ายเงินกูหนา ไม่อย่างนั้นคุณนายแม่โวยวายยอดบัตรเครดิต

“ขากลับเราขอแวะมหา’ลัยก่อนนะ” คีนหันมาบอกในขณะที่เรากำลังเดินตรงไปร้านไก่ทอดเกาหลีเพื่อกินเป็นมื้อเที่ยง ผมเลิกคิ้วขึ้นมองคนข้างตัวอย่างสงสัย คือจะไปมหา’ลัยช่วงปิดเทอมทำไมวะ หรือพวกดาวเดือนคณะมีงานพิเศษอีก

“มีงานด่วนเหรอ?”

“อ๋อ เปล่าหรอก ว่าจะเข้าไปเขียนใบสมัครประกวดภาพถ่ายน่ะ” คีนพูดเสียงเรียบก่อนจะหันไปคุยกับพนักงานต้อนรับหน้าร้าน วันนี้คนก็ยังเยอะเป็นปกติเหมือนทุกครั้งที่มากิน เออว่ะ ไก่ทอดเกาหลีมันฮิตไม่เลิกจริงๆ

“ที่คณะเราน่ะเหรอ?” ผมถามต่อก่อนจะเอื้อมมือไปรับถุงกล้องอีกตัวมาตั้งไว้ข้างๆ ตัวเองหลังจากปล่อยให้คีนช่วยถือมาตลอดทาง เราเลือกนั่งที่โต๊ะด้านในที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน จัดแจงตัวเองเสร็จก็รับเมนูจากพนักงาน เอาจริงก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะสั่งอะไรกินแต่ก็ขอดูพอเป็นพิธี

“กิมจะสมัครด้วยกันปะ?” คีนอุตส่าห์ลดระดับเมนูลงแล้วใช้คางวางลงบนสันเพื่อมองหน้ากัน ท่าทางโคตรน่ารักน่าฟัดจนผมเผลอเม้มปากไว้ ถ้าไม่ทำก็จะยิ้มปากฉีกน่ะสิ ส่วนดวงตารีสวยก็มีประกายวิบวับเหมือนต้องการหลอกล่อให้ตอบตกลง แต่... ผมเป็นบุคคลที่ไม่มีเซ้นส์ในการจัดองค์ประกอบ สักแต่ว่าชอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูภายหลังก็แค่นั้น ถ้าอยากประกวดคงใช้เวลาฝึกปรืออีกนาน

“โห ไม่ไหวมั้ง” ผมส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานเพื่อทำการสั่งอาหาร เมนูไก่ทอดซอสเกาหลีชุดใหญ่พร้อมด้วยข้าวและซุปครบเซ็ตสำหรับสองคนกิน เพิ่มเติมต๊อกโปกีกับคิมบับอีกอย่างละหนึ่ง

เมนูอาหารถูกเก็บหลังจากที่เราสั่งกันไปเรียบร้อย ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อพิมพ์ข้อความหาไอ้ปอมเรื่องกล้องถ่ายรูป ซื้ออะไรบ้าง ราคาเท่าไหร่ จะมาเอาของวันไหนประมาณนั้น เวลาตอนนี้ก็ย่างเข้าสู่บ่ายโมงหวังว่ามันคงสร่างเมาแล้วมั้ง

“เดี๋ยวเราสอนใช้กล้องกับเทคนิคการถ่ายรูปให้ นะ ลงสมัครด้วยกันเถอะ” คีนโน้มตัวเข้ามาใกล้กันจนผมที่นั่งก้มพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ถึงกับชะงักมือ คือเงาเขาทาบทับร่างกายผม กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ยังปะทะโสตประสาทรับรู้ชนิดที่คิดว่าเอาจมูกแนบลงบนที่ไหนสักแห่งของร่างกายตรงหน้า ยังไม่รวมน้ำเสียงติดอ้อนที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนนั่นอีก นี่กะจะฆ่ากันให้ตายเลยใช่ไหม

เล่นแบบนี้ไอ้กิมก็แย่สิ

“ครับๆ อ้อนขนาดนี้ไม่ยอมสมัครด้วยก็บ้าแล้ว” ผมลดเสียงลงที่ปลายประโยคเพราะกลัวคีนจะไม่ชอบใจที่ไปหาว่าออดอ้อน แต่ดูท่าทางเขาไม่ถือสาแถมยอมรับด้วยรอยยิ้มหวานๆ นั่นอีก แล้วไอ้มือเรียวที่แปะลงข้างแก้มผมทั้งสองข้างก่อนออกแรงส่ายไปมาเบาๆ คืออะไรหรือ... หัวใจจะวายตายตอนนี้ก็ได้นะครับ โว๊ย บ้าบอมาก!

“น่ารักนะเราเนี่ย”

โอ้... โดนคำนี้เข้าไปผมถึงกับรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้าเลยว่ะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมานั่งเขินกับคำชม ‘น่ารัก’ โธ่ นี่มันอาการของคนแพ้คีนชัดๆ แต่ผมก็งัดเอาไม้ตายมาใช้เพราะตอนนี้มีความหน้าหนากว่าปูนซีเมนต์อีก อยากได้อะไรก็ต้องรุกให้หนักๆ จริงไหม

“แล้วเมื่อไหร่จะรักเราสักทีล่ะ?” ผมถามเสียงเรียบและใช้ความใจกล้าทั้งหมดจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ กะว่าถ้าไม่มีใครมาขัดจังหวะก็อยากมองแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่คีนก็คือคีนที่ฉลาดหาทางออกให้ตัวเองด้วยหารถอยหนึ่งก้าว ระบายยิ้มหวาน ส่ายหน้า ก่อนที่น้ำเสียงทะเล้นจะเอ่ยออกมา

“ไม่บอก”

อ่า... ถ้าคีนแลบลิ้นปิดท้ายประโยคด้วยคงให้ความรู้สึกเหมือนเด็กห้าขวบล้อเลียนผู้ใหญ่อะ โว๊ย จับฟัดกลางร้านขายไก่ทอดสักทีดีไหมเนี่ย!

ช่วงประมาณบ่ายสามเราทั้งคู่แวะเขียนใบสมัครประกวดภาพถ่ายที่คณะเสร็จก็ตรงไปส่งคีนที่บ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วคือผมอิดออดไม่ยอมกลับเลยขอให้สอนความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกล้องให้ซะเลย คือโชว์โง่ตั้งแต่เริ่มเลยล่ะ โธ่เว้ย ความประทับใจในตัวผมยังเหลืออยู่ในสายตาของเขาบ้างหรือเปล่า

“ไม่ๆ กิมต้องใช้มือซ้ายประคองใต้เลนส์เพื่อง่ายต่อการปรับระยะถ่ายรูป ถ้าจับผิดวิธีจะทำงานยาก” คีนตีมือกันดังเพี๊ยะก่อนรีบอธิบายเมื่อเห็นผมยกกล้องขึ้นเตรียมถ่ายในท่าทั้งสองมือจับบอดี้กล้องไว้เหมือนตอนใช้โทรศัพท์เก็บรูป เออว่ะ ยุ่งยากตั้งแต่เริ่มเลยแฮะ แต่ผมมีความพยายามในการใกล้ชิด เอ๊ย เรียนรู้มากพอเลยทำให้มันกลายเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ

“ยังไงเหรอ?” ผมแสร้งทำหน้าตาใสซื่อตั้งคำถามกับคีนทั้งที่ก็เคยเห็นวิธีการจับกล้องมาก่อนแล้ว ก็แบบ... มันมีความหวังเล็กๆ ว่าเราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมไง แต่ปัจจุบันก็แทบนั่งเกยตักอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่ามีชมจันทร์นอนอ้วนแทรกอยู่ตรงกลาง ไอ้กระต่ายอ้วนเอ๊ย!

“นี่ แบบนี้ ประคองดีๆ” คีนไม่ได้มีท่าทีเอะใจในคำถามโง่ๆ ของผมเลยเอื้อมมาจับมือกันวางลงบนตำแหน่งที่ควรจะเป็นคือประคองใต้เลนส์กล้อง ความอุ่นร้อนที่ได้รับในเวลานี้กำลังทำให้กล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเลือดอย่างหนัก หูย โดนแต๊ะอั๋งอะ เขินจัง

“กิม... ยิ้มอะไร?” เขาผละมือออกไปแล้วแถมยังขมวดคิ้วมองหน้ากันราวกับต้องการจับผิด ผมนี่ก้มหนีทำเป็นลองดูส่วนประกอบต่างๆ ของกล้องทันที ไอ้แป้นกลมหมุนๆ เปลี่ยนโหมดถ่ายภาพนี่เยอะจังเลยเนอะมีทั้งแบบ Creative Zone (ปรับการตั้งค่าของของกล้องในการถ่ายภาพเอง) และ Basic Zone (กล้องตั้งค่าการถ่ายภาพไว้ให้เรียบร้อย)

“กิม...” เสียงนิ่งๆ ทำให้ผมต้องจำใจเงยหน้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ คีนกำลังจ้องมาทางนี้ด้วยแววตาอ่านไม่ออกก่อนอุ้มชมจันทร์ขึ้นแนบอกแถมลูบหัวเบาๆ ให้คนอย่างไอ้กิมอิจฉากระต่ายเล่น โธ่ เมื่อไหร่จะเลิกเอาเจ้าฟูมาเป็นก้างสักทีล่ะ ตอนนั้นผมก็แค่อยากหอมแก้มเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจูบหรือปล้ำซะหน่อย

“ครับ?”

“ปรับโหมดเป็นภาพถ่ายบุคคลแล้วลองใช้งานกล้องดู”

“หือ?” หมายความว่าให้ผมลองถ่ายรูปใช่ปะวะ สมองยังเบลอๆ มึนๆ อยู่ นี่กูเปิดกล้องเป็นหรือยังเถอะ ไม่ปรานีกันเลยนะคีน!

“ถ่ายรูปเรากับชมจันทร์”

“อะ โอเค” จะเสียงสั่นทำไมเนี่ยก็แค่ถ่ายรูป!

ผมไม่เคยใช้ช่องมองภาพของกล้องรุ่นใหญ่มาก่อนเลยได้แต่จัดองค์ประกอบผ่านหน้าจอ LCD ขนาดสามนิ้ว จำได้ว่าถ้าเราอยากโฟกัสวัตถุให้กดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งจนมีกรอบสีเขียวๆ ปรากฏ หลังจากนั้นค่อยกดเต็มแรงเพื่อบันทึกรูป คือมันอาจจะง่ายในสายตาคนอื่นแต่สำหรับผมนั้นการถ่ายรูปบุคคลที่ได้ชื่อว่าคีนโคตรยาก ก็เล่นโพสต์ท่าก้มมองไอ้ชมจันทร์ด้วยสายตาละมุนและมีรอยยิ้มเอ็นดูแบบนั้น หัวใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะน่ะสิ ดูนุ่มนิ่มจนอยากปั้นๆ แล้วกลืนลงท้องชะมัด

“ถ่ายหรือยังเนี่ย? เราเมื่อยคอแล้วนะ”

ฉิบหาย มัวแต่จินตนาการความนุ่มนิ่มของคีนจนลืมเรื่องถ่ายรูปไปเลย โอ๊ย ไอ้บ๊วยๆๆๆ สมควรแล้วที่ได้รับฉายานี้

“เอ่อ... กำลังจะถ่ายแล้วๆ พอดีมือสั่นนิดหน่อย” มือน่ะสั่นนิดหน่อยแต่ใจนี่สั่นแรงมาก ตื่นเต้นกับกล้องโปรฯ ตัวแรกและภาพแรกที่จะถูกบันทึกลงในนี้

“ลองกดชัตเตอร์ดู มันมีระบบกันสั่นน่า ไม่ต้องกลัวภาพเบลอหรอก” เสียงกลั้วหัวเราะที่มาพร้อมกับการช้อนตามองของคีนทำให้ผมจับกล้องแน่นขึ้นโดยไม่ตอบโต้อะไรกลับไปอีกนอกจากการกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ แม่ง เอียงบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะมัวแต่อายในความโง่ของตัวเอง ลืมได้ไงว่ากล้องมีระบบกันสั่น กูเนี่ยโกหกไม่เนียนเอาซะเลย โดนจับได้เป็นล้านครั้งว่าแอบมองเขาตลอด เฮ้อ ท้อแท้



ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“เราดูโง่จังเนอะ” ผมหัวเราะแหะๆ ตอนนี้ลดกล้องในมือลงเพื่อดูภาพ คือคีนไม่ได้อยู่กลางเฟรมอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ค่อนไปทางซ้ายเหมือนคนถ่ายสายตาเอียง

“เฮ้ย คนไม่รู้ไม่ได้แปลว่าโง่สักหน่อย ต่อไปกิมอาจจะถ่ายรูปสวยกว่าเราก็ได้นะ” คีนพยายามให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่ซึ่งผมก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนส่งกล้องในมือให้เขาดูผลงานชิ้นแรก สอบตกแน่เลยกู เฮ้อ

“งั้นเอารูปนี้ไปพิจารณาก่อนแล้วกันว่าใช้ได้หรือเปล่า?”

กล้องถูกรับไปแลกกับไอ้ชมจันทร์เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผมแทน ดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ไล่งับมือเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน มากสุดก็แค่ดิ้นหนีเมื่อผมแอบขย้ำท้องย้วยๆ เล่น ก็อยากนุ่มนิ่มเหมือนตุ๊กตาทำไมล่ะ มันเขี้ยวพอๆ กับเจ้าของเลย

“โอ๊ะ สวยใช้ได้เลยนี่” คีนเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ สายตาบ่งบอกตามคำพูดไม่มีการอวยเกินความจริงแต่อย่างใด ผมก้มลงมองผลงานตัวเองบนจอ LCD อีกครั้งก็พบว่ารูปถูกขยายให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น

“หน้าชัดหลังเบลอด้วยเหรอเนี่ย?” ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เออน่า ก็คนมันไม่ค่อยได้คลุกคลีกับกล้องถ่ายรูปนี่หว่า วันๆ เอาแต่จับโทรศัพท์เพื่อส่องไอจีคีนเนี่ย แต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอัปเดตอะไรมากนักเพราะเอาเวลาไปสอนพิเศษหมดแล้ว เฮ้อ คิดได้แบบนั้นก็เศร้าเนื่องจากการคุยกันของเราก็ลดลงไปด้วย

“อื้อ โหมดนี้ตัวกล้องจะปรับค่ารูรับแสงไว้ต่ำเพื่อถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ ยิ่งค่าน้อยยิ่งเบลอเยอะ”

อ่อ... ไอ้สัญลักษณ์รูปตัว f น่ะนะ เข้าใจแล้ว ถ้าคีนอธิบายอะไรๆ ก็ง่ายไปหมดนั่นล่ะน่า

ในขณะที่คีนยังจดจ่ออยู่กับกล้องในมือผมก็คิดหามุกเสี่ยวๆ มาหยอดเขาสักหน่อย เพราะคุยกันเรื่องวิชาการนานเกินควรแล้ว

“ถ้าหน้าชัดหลังแฟนได้ปะ?” อะ หยอดไปแถมส่งยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อคีนช้อนตามองด้วยใบหน้าตกใจปนขำ เขาวางกล้องไว้บนตักก่อนขยับเข้ามาใกล้จนผมผงะถอยหลัง เล่นจู่โจมแบบนี้เดี๋ยวก็จับจูบสักทีหรอก น่าตีจริงๆ เล๊ย

“กิมอยู่ด้านหน้าเราไม่ใช่เหรอ?” อ่า... คนเหนือกว่าเขาก็ยักคิ้วกวนๆ ให้แบบนี้สินะ ส่วนผมเหรอ?

“.....” ทำได้แค่กระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้า เฮ้ย คือแบบ... อธิบายความรู้สึกไม่ออก มันอึ้ง ตกใจ ดีใจ สับสน งงงวยกับชีวิตไปหมด

“มีอึ้งด้วย” อะ ส่งนิ้วมาจิ้มแก้มกันเป็นการตอกย้ำเหรอ เดี๋ยวกัดเลยนี่ ขี้แกล้งจังนะคนเรา

“ก็แม่ง... เหมือนเราโดนหยอดกลับเลยว่ะ” ผมหลุบสายตาลงมองไอ้ชมจันทร์แทนที่จะเป็นใบหน้าทะเล้นของคีน โธ่เว้ย ทำไมรู้สึกว่าตัวเองแพ้เขาได้ขนาดนี้ การหยอดก็ล้ำหน้ากว่า ท่าทาง ความกล้ามีครบทุกอย่าง ผมมันไอ้กากจริงๆ นั่นล่ะ

“นั่นสินะ เราคงหยอดกิมกลับจริงๆ นั่นล่ะ” คีนผละออกไปนั่งตัวตรงเหมือนเดิม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางเบาที่ดูยังไงก็ยังฉายแววสนุกสนาน

“หมายความว่า...” ไอ้ผมนี่โดนปั่นหัวจนคิดอะไรไม่ออกแล้วครับ เอาแต่ถามนั่นนี่หาคำตอบ

“กิมกลับบ้านเหอะ ดึกแล้วนะ” อะ โดนไล่ครับ แถมคีนยังใช้มือผลักไหล่เป็นสัญญาณให้ลุกขึ้นอีกด้วย เออ ไอ้เราก็เบลอๆ มึนๆ ส่งชมจันทร์ให้เขาแล้วทำตามอย่างว่าง่าย

“อ่า... นั่นสินะ ต้องกลับบ้าน” ผมพึมพำก่อนจะคว้าถุงกล้องขึ้นมาถือไว้แต่ข้างในกลับว่างเปล่า จนได้ยินเสียงขำของคีนถึงได้สติกลับมา

“เอ้า ไหวปะเนี่ย?”

ก็น่าจะไหวอยู่หรอกครับ โดนหยอดซะขนาดนั้น

ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วโดยมีเจ้าของบ้านออกมาส่งพร้อมน้องชายขนฟูสุดที่รัก ถุงกล้องถ่ายรูปสองตัวถูกเก็บเรียบร้อยอยู่ในรถแล้วแต่ผมก็ยังไม่อยากไปไหนเลยกะว่าจะชวนคีนคุยต่ออีกหน่อย

หาว ~

อะ ไม่คุยแล้วก็ได้ถ้าคีนจะหาวได้น่ารักขนาดนั้น ยอมแพ้ครับ กลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะ แต่จะให้ผมปล่อยเขาไปง่ายๆ ก็ใช่เรื่องเนอะ หึหึ

“คีน...” ผมเรียกชื่อพร้อมกับมองหน้าด้วยดวงตาบ่งบอกความต้องการ แต่ดูเหมือนว่าคีนจะง่วนอยู่กับการลูบขนไอ้ฟูอย่างเมามัน สนใจกันบ้างสิ

“ว่า?” โธ่... ตอบรับสั้นได้อีก

“เราขอหอมแก้มคีนก่อนกลับบ้านได้ไหม?” หวังว่าประโยคนี้จะเรียกความสนใจจากเขาได้บ้างนะ อืม... ตวัดสายตามองกันจนผมเกือบวิ่งหางจุกตูดขึ้นรถเลยเขียวถ้าไม่ติดว่าแก้มคีนขึ้นสีแดงระเรื่อน่ะนะ

“ไม่คิดว่าขอกันแบบนี้เราจะเขินบ้างเหรอ?” คีนยกกระต่ายขึ้นบังหน้าแดงๆ ของตัวเองไว้ ท่าทางน่ารักแบบนั้นทำให้ผมหลุดยิ้ม แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็ต้องบุ้ยปากใส่ ก็ไอ้ชมจันทร์มันดีดดิ้นจนเท้ามาเตะเข้าจมูกผมน่ะสิ เดี๋ยวพ่อเอาไปย่างกินเลยนี่!

“ก็...” อะ ต่อบทสนทนาดีกว่าเดี๋ยวอดกันพอดี แต่ยังไม่ได้เริ่มพูดคำต่อไปก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นตรงแก้มขวา

ฟอด ~

“.....” กูอึ้งจนยืนตัวแข็งเป็นฟอสซิลไปแล้วครับ โดนคียหอมแก้มอะ โว๊ย อยากจะกรีดร้องให้หมู่บ้านแตกแต่ทำได้เม้มปากกลั้นยิ้ม ตายๆ หัวใจจะวายแล้วครับคุณคนินท์ แบบนี้คิดเข้าข้างตัวเองได้ใช่ไหมว่ามีใจให้กัน

“ขับรถดีๆ ล่ะ ถึงบ้านเมื่อไหร่ก็ไลน์มาบอกเราด้วย” ขโมยหอมแก้มคนอื่นเสร็จก็ไล่ให้กลับบ้านแถมยังมีน้ำใจออกแรงดันหลังให้ผมขึ้นรถอีก ไอ้เราก็ยังคงอึ้งอยู่เลยไหลไปตามน้ำซะเฉยๆ เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือให้ทรงตัวเลยเนี่ย ใจเหลวกายเหลวหมดแล้วจ้า

“อะ...” คือหัวชนขอบประตูครับ ไม่ได้จะพูดอะไร ส่วนคีนก็หันหลังเตรียมเดินกลับเข้าบ้านแต่เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรได้เลยหมุนตัวมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

“เอ้อ อีกอย่างนึง... ฝันดีนะ” ยิ้มหวานพร้อมขยิบตาให้... อ่า แผ่นดินไหวแต่พี่ไม่ไหวแล้วครับ

ขออนุญาตเกลียดความเจ้าเล่ห์ของคีนได้ไหมล่ะโอ๊ย ทำแบบนี้ขอเป็นแฟนเลยดีหรือเปล่า จะทนไม่ไหวแล้วครับ!




----------------------------------------------

มีความหวานจนมดจะขึ้นแล้วจ้า
น้องกิมได้กำไรสุดๆ แล้วตอนนี้

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอยๆๆ!เขินแทนกิม :-[

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 16



สภาพของผมหลังโดนคีนจู่โจมหอมแก้มในเช้าวันรุ่งขึ้นคือมีอาการเหม่อลอย บางครั้งขมวดคิ้วบางครั้งอมยิ้มจนแก้มแทบแตกจนไอ้ปอมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับต้องยกมือขึ้นมาโบกไวๆ เพื่อเรียกสติให้กลับคืน ก็ไม่ได้บ้าแค่คิดว่าตกลงแล้วฝ่ายนั้นรู้สึกกับตัวเองยังไงกันแน่ ทำไมถึงได้ยอมใกล้ชิดเกินคำว่าเพื่อน พอเอ่ยปากถามก็ได้รับการเฉไฉตอบ เฮ้อ ไม่อยากมโนไปเองไง

“กิมมิค ให้กูพาไปหาหมอไหม?” ไอ้ปอมเอ่ยปากถามทั้งที่ยังเคี้ยวหมูตุ๋นในปาก ผมทำหน้ายี้เมื่อมีเศษถั่วงอกหล่นลงในชามก๋วยเตี๋ยว กูขอซื้อตำแหน่งรองเดือนคณะกลับเหอะ สงสารแฟนคลับตาดำๆ ของมันฉิบหาย สกปรกโสโครกห่างไกลจากหน้าตามาก

“มึงเคี้ยวให้เสร็จแล้วค่อยพูดก็ได้” ผมส่งทิชชู่ให้มันเช็ดปากก่อนดึงมือกลับมาหยิบตะเกียบเพื่อส่งอาหารมื้อเที่ยงใส่ท้องบ้าง วันนี้พวกเรากะว่าจะไปหัดถ่ายรูปที่สวนรถไฟเพื่อพัฒนาฝีมือง่อยๆ โทรชวนไอ้ว่านอีกคนแต่ได้คำตอบว่าอยู่กับผัวด้วยเสียงกระเส่าราวกับว่ากำลังขย่มพี่โซน โคตรซึ้งใจเลยจ้า ทางนี้ก็ได้นั่งห่อเหี่ยวทำใจเพราะไม่มีคนช่วยรีดน้ำเหมือนเขาไง รันทดเนอะ

“มึงเป็นเชี่ยอะไร? เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวทำหน้าเครียด กูชักกลัวๆ” อะ กูเพิ่งบอกไปว่าให้เคี้ยวเสร็จก่อนค่อยพูด แล้วทำไมมึงยังทำแบบเดิมวะ คราวนี้หมูหล่นจากปากเป็นชิ้นๆ จนน้ำก๋วยเตี๋ยวกระเซ็นไปทั่วบริเวณโดยรอบ ผมอยากจะคว้าแก้วน้ำมาสาดหน้ามันให้จบๆ ไป ไม่ดงไม่แดกแม่งแล้วเนี่ย แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ขาดที่ระบายสิ่งที่คิดมากมาตลอดทั้งคืนน่ะสิ ฮึบ ต้องใจเย็น สูดหายใจลึกๆ ยุบหนอพองหนอ

“กูยังไม่เล่าให้ฟังเหรอ?” ผมถามกลับเพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อคืนตอนตกลงกันเรื่องสถานที่ถ่ายรูปนั้นเล่าเรื่องคีนไปหรือยัง สติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่

“เล่าอะไร มึงเมาน่องไก่เหรอ?” คำตอบแบบนี้พร้อมกับการขมวดคิ้วมองเหมือนผมเป็นคนบ้าแสดงให้เห็นว่ามันยังไม่รู้เรื่อง โอเค ตอนนั้นผมคงช็อกจนพูดอะไรไม่ออก เออว่ะ ขนาดไอ้ปอมไปรับถึงหน้าประตูบ้านยังเผลอถามมันอีกว่าโผล่มาที่นี่ได้ไง โอย ไอ้กิมเอ๊ย ควรเข้าพบจิตแพทย์จริงๆ นั่นล่ะ

“เรื่องมันลึกลับซับซ้อนว่ะ” ผมวางตะเกียบลงเพราะตอนนี้ความอยากอาหารแทบไม่เหลือ สมองเอาแต่วนเวียนหาคำตอบเรื่องคีนแบบไม่หยุดหย่อน จะกินน้ำก็คิด หยิบทิชชู่ก็คิด มองน่องไก่ในชามก็คิด ขยี้หัวแม่ง

“กูต้องเชิญโคนันมาไขคดีให้ไหม?” ไอ้ปอมทำหน้าเซ็งๆ พลางเคาะตะเกียบลงบนขอบชามของผมด้วยท่าทางกวนตีน มึงจะขโมยน่องไก่ก็บอกมาเหอะไม่ต้องมาทำเนียน! กูรู้ทันเหอะ

“กูไม่เล่นนะปอม” ผมทำหน้าตาขึงขังก่อนใช้มือปัดตะเกียบของมันออก ถึงจะไม่กินแต่ก็ยัวงหวงของเว้ย แล้วโคนันน่ะมันคือการ์ตูน ช่วยอะไรกูไม่ได้หรอก

“แล้วใครเขาจะเล่นกับมึงห๊ะ?” เอ้า แล้วมันเกรี้ยวกราดใส่เพื่ออะไร ในขณะที่กำลังอ้าปากจะด่ากลับก็เห็นน่องไก่อันเป็นที่รักของผมลอยละลิ่วไปตกลงในชามฝั่งตรงข้ามอย่างสวยงาม ตอนนี้เหลือแค่เส้นเล็กอืดๆ กับถั่งงอกแคระลอยอยู่บนผิวน้ำซุป รักกูมากมั้งเพื่อน แดกๆ ให้หมดไปไป๊ รำคาญ!

“กินเสร็จค่อยเล่า” ผมดันชามที่เหลือแค่เส้นกับผักให้ไอ้ปอมจัดการ มันทำแค่คลี่ยิ้มหวานรับและรีบกินทุกอย่างที่ขวางหน้า แม่ง อร่อยจนกูอยากเอาคืนเลยว่ะ

สารถีเฉพาะกิจนั่งฮัมเพลงรักด้วยหน้าตาสดใสเพราะก่อนหน้านี้มันได้รับสายจากโฮม แต่พอถามว่า ‘พวกมึงไปถึงขั้นไหนกันแล้ว’ กลับได้คำตอบเพียงแค่ ‘อย่าคิดมาก เพื่อนกัน’ ผมนี่อยากจะลากมันลงไปกระทืบๆๆๆ สักร้อยที คนบ้าอะไรปากแข็งยิ่งกว่าฟอสซิลล้านปีอีก เมื่อไหร่ที่เขาโดนหมาตัวอื่นคาบไปแดกผมขอหัวเราะให้ฟันหักหมดปากเลยแล้วกัน

“ปวดขี้เหรอ?” ไอ้ปอมหันมาถามในขณะที่รถจอดติดไฟแดง ใบหน้าของมันติดกวนๆ จนผมต้องใช้มือดันหัวด้วยความหมั่นไส้ แค่เครียดเว้ยไม่ได้ปวดขี้ เดี๋ยวตดอัดแม่งเลย

“เออ จะขี้ใส่รถมึงนี่ล่ะ” รำคาญเว้ย ชอบขัดจังหวะการคิดทบทวนของกูตลอดเลยมึงเนี่ย เห็นไหมว่าต้องเริ่มใหม่อีกแล้ว เซ็ง

“เฮ้ย ไม่จริงจังดิ กูแค่ล้อเล่นเอง ไหนๆ มีอะไรจะเล่า พร้อมฟังแล้วครับ” ผมคงเผลอทำหน้าตึงไปหน่อยไอ้ปอมเลยละล่ำละลักพูดซะยาวยืดแถมยังเอื้อมมือมาตบบ่าเพื่อให้กำลังใจกันอีก เออ ขอบคุณ แต่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยว่ะ หรือผมควรโทรไปหาแม่ที่ไต้หวันดีนะ โธ่ คู่รักนั่นหนีเที่ยวอีกแล้ว

“คือ...” ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะหุบปากฉับ คือมันไม่รู้ต้องเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนดี บอกไปเลยว่าโดนคีนหอมแก้มก็ไม่ใช่ปะวะ ในเมื่อผมเป็นฝ่ายกรพทำก่อน... แม่ง ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ขอแวะร้านขายยาก่อนได้ไหม

“เงียบทำไมวะ? กูลุ้นเนี่ย” อะ ทำเหมือนกับว่าจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอย่างนั้นล่ะ เพลียกับความโอเวอร์แอคติ้งของมันจริงๆ ตาเบิกกว้าง มือบีบไหล่ผมแน่น เฮ้อ ไอ้ปอมหนอไอ้ปอม มึงช่วยลดความบ้าลงหน่อยเถอะ ไม่รู้จะสงสารแฟนคลับมันยังไงแล้วเนี่ย

“เอ่อ...” ไม่ต้องมองค้อนกูขนาดนั้นก็ได้ปะวะ คนมันเริ่มไม่ถูกไง อย่ากดดันสะ... สิ เฮ้ย!

“ไม่เล่ากูจูบนะ” ไม่ขู่เปล่าแต่ยื่นหน้าทำปากจู่เข้ามาจริงๆ ด้วย ถ้าจูบกูต่อยมึงอัดกระจกรถแน่

“ควายเถอะ คีนหอมแก้มกู!” ผมตะโกนออกไปเพราะกลัวว่าไอ้ปอมจะทำหูหนวกแล้วแกล้งจูบกันจริง ก็มันไว้ใจไม่ได้ วันไหนครึ้มอกครึ้มใจนี่เดินเข้ามากอดกันเฉยๆ บางทีเอาหน้าถูอกด้วย โอย สยอง!

“ห๊ะ มึงอย่ามาตอแหล!” เอ้า กลายเป็นว่ามันตกใจจนตาเหลือกแถมยังเป็นจังหวะที่ไฟจราจรเปลี่ยนสี ผมก็เลยต้องตบแก้มมันเพื่อเรียกสติให้ออกรถ ถ้าขืนชักช้าเดี๋ยวโดนคันหลังด้าบุพการีเอา

“ล้อเล่นแน่ๆ” มันพึมพำพลางเหลือบมองกันอย่างไม่เชื่อ ผมเข้าใจความรู้สึกไอ้ปอมดีเพราะไม่ว่าใครได้ฟังก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น

“จริงๆ ไอ้สัดปอม กูโดนเขาหอมแก้ม” ผมยืนยันเสียงหนักแน่นโดยจ้องไอ้ปอมตาไม่กระพริบ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวๆ ออกมา ไม่รู้ว่าโล่งใจหรือจะด่า

“แล้วมึงจะเครียดทำไมเนี่ย มันต้องดีใจสิวะ” รอยยิ้มยินดีผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ มันผละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยมาลูบหัวกันด้วยความเอ็นดูซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ ชอบให้คนอื่นลูบหัวแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคีนคงรู้สึกดีกว่านี้แน่ๆ

“เออ ไอ้ดีใจมันก็ใช่ แต่มึงไม่คิดเหรอว่าเพราะอะไรเขาถึงกล้าทำแบบนั้น?” ไอ้ปอมชะงักมือก่อนจะถอนกลับไปจับพวงมาลัยเหมือนเดิม สีหน้าของมันดูเข้มขึ้นมากกว่าปกติ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเหมือนคนกำลังเครียดหรืออีกความหมายคือหงุดหงิด ผมคิดว่าเป็นอย่างหลังนะ มีลางสังหรณ์ตุๆ

“คีนชอบมึงไง ทำไมแค่นี้คิดไม่ได้วะ?”

นั่นไง โดนด่าว่าโง่ตรงๆ ยังไม่จุกขนาดนี้เลยไอ้หมาปอม!

“คิดได้ แต่ไม่มั่นใจ” ผมตอบเสียงแผ่วแล้วก้มหน้าลงซบกับมือตัวเองเพื่อปิดซ่อนความอ่อนแอในดวงตา ตอนแรกก็ว่าจะไม่ดราม่าแต่พอได้คุยได้ระบายกับเพื่อนดันรู้สึกจุกยังไงไม่รู้ว่ะ ดีใจก็ไม่สุด เสียใจก็ไม่สุด

“ก็ถามเขาไปตรงๆ” น้ำเสียงดุของไอ้ปอมอ่อนลงทำให่ผมใจชื้นขึ้นนิดหน่อยแต่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา

“ถามแล้ว” ผมตอบกลับ เริ่มขยับฝ่ามือลูบไล้ทั่วใบหน้าเผื่อบางที่จะทำให้คลายความวุ่นวายในสมองลงได้บ้าง แต่ทำไมไอ้ปอมไม่ถามต่อวะ อุตส่าห์เว้นจังหวะให้มีส่วนร่วม

“.....” อะ ปากเงียบแต่หน้าตาแสดงความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ โอเค มันยังหูผึ่งตั้งใจฟังอยู่แต่ไม่รู้จะพูดอะไรแทรกสินะ

“แต่ไม่ได้คำตอบว่ะ กูควรทำไงดี?” เสียงเหมือนหมาหงอยโดนเจ้านายทิ้งเลยกู เฮ้อ เพลียหัวใจจัง

“คีนอาจจะเริ่มชอบมึงเข้าแล้ว แต่คงมีเหตุผลที่ยังไม่บอกตรงๆ” มันพูดปลอบใจด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีแววล้อเล่นใดๆ อืม ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นหรือแค่ให้ความหวังเล่นๆ ผมเดาใจคีนไม่ออกหรอก เขาฉลาดแต่ไอ้กิมดันโง่ไง

“กูไม่อยากดีใจเก้อ” ผมถอนหายใจแล้วซบหน้าลงกับคอนโซลรถ โว๊ย ตอนนี้อยากเปลี่ยนเส้นทางไปหาคีนมากกว่าเพราะไม่อยากวุ่นวายใจแบบนี้ เดี๋ยวไอ้การพัฒนาฝีมือถ่ายรูปจะไม่เป็นตามหวัง

“แต่เคสนี้กูให้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ว่าเขาชอบมึง ลองคิดสิว่าผู้ชายที่ไหนเขาจะกล้าหอมแก้มเพศเดียวกันวะ”

เออว่ะ ผู้ชายที่ไหนจะพิศวาสเพศเดียวกันนอกจาก...

“มึงไง กูเป็นเหยื่อประจำ” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเบนหน้าไปมองไอ้ปอมด้วยรอยยิ้มกวน ตอนนี้ความกังวลคลายลงมากกว่าครึ่งเลยมีกะจิตกะใจแกล้งเพื่อน มันอ้าปากพะงาบๆ ดวงตาเบิกกว้างคงกำลังช็อกแน่นอน

“โอ๊ย นั่นกูเมาไม่รู้เรื่อง!” พอได้สติก็โวยวายลั่นรถเลยวุ้ย ผมนี่ขำจนปวดท้องไปหมดแถมยังโดนหมัดหนักๆ ต่อยลงบนต้นแขนอีกด้วย แต่ก็ถือว่าคุ้มที่สามารถสลัดความคิดเรื่องคีนได้เกือบจะทั้งหมด

“ไว้กูจะลองหาโอกาสถามเขาอีกครั้ง” ผมบอกเพื่อนหลังจากควบคุมการหัวเราะของตัวเองได้ ส่วนตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าคือต้องลงจากรถไปเผชิญสวนรถไฟแล้ว

“ดีมาก ตอนนี้สิ่งที่มึงควรทำคือตั้งใจฝึกถ่ายรูป” มันทำหน้าเคร่งขรึมในขณะที่กดปุ่มดับเครื่องยนต์เมื่อจอดรถเสร็จเรียบร้อย ผมเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ก่อนขยับตัวรอดช่องว่างระหว่างเบาะไปหยิบกล้องที่ด้านหลัง แม่งเอ๊ย หนักฉิบหาย ใช้สายสะพายคอจะหักไหมเนี่ย

“ครับเมีย” ผมตอบเสียงประชดแต่กลับเรียกสายตาหวานๆ กับท่าทางสะดีดสะดิ้งของเพื่อนได้เป็นอย่างดีแถมยังปรี่เข้ามาเกาะแขนพร้อมกระพริบตาปริบๆ ใส่ อืม ขนลุกชอบกลว่ะ ไม่ไหวจะเคลียร์

“ฮึ่ย เรียกเค้าว่าเมียเดี๋ยวก็จับทำผัวจริงๆ ซะหรอก” มันดัดเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วก้มลงคลอเคลียกับต้นแขนของผม ถ้าเปลี่ยนเป็นคีนจะโคตรยินดีเลยแต่กับไอปอมนี่ ขอเขกหัวหน่อยเถอะ!

“โอ๊ย เจ็บนะสามีขา เดี๋ยวจับปล้ำเลย!”

“แรดมากครับคุณกะปอม”

แล้วเราทั้งสองก็พากันหัวเราะลั่นรถ เออว่ะ หายเครียดไปเลย

ความทุลักทุเลในการผลัดกันเป็นนายแบบฝึกถ่ายรูป Portrait นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเพราะไอ้ปอมลงนอนบนพื้นหญ้าแล้วเกิดอาการคันคะเยอทั้งตัว เดือดร้อนผมต้องลากมันไปโรงพยาบาลโดยด่วน แม่งเอ๊ย เสือกลืมว่าตัวเองแพ้ น่าจะปล่อยให้ตายคาสวนรถไฟจริงๆ

“ขับรถไหวปะ?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นไอ้ปอมยังคงพยายามเกาแขนตัวเองไม่หยุดในขณะนั่งรอรับยา รอยแดงเถือกปรากฏเด่นชัดจนน่ากลัว จริงๆ ก็อยากตีมือห้ามมันนะ แต่ก็เข้าใจอาการแพ้ว่าทรมานมากแค่ไหน

“ไหวน่ะไหว แต่โคตรคันเลยว่ะ” อะ เกาจนแขนเป็นจุดๆ เพราะแตกเลือดแล้ว โธ่เว้ย

“ลูบๆ เอาเหอะมึง เดี๋ยวแขนเป็นแผล” ผมเอื้อมมือไปรั้งไว้แล้วมองด้วยสายตาเป็นห่วง เพราะถ้าเกิดเป็นแผลขึ้นมาจะรักษายากแถมแสบเวลาโดนน้ำด้วย เออ ก็เป็นห่วงมันนั่นล่ะ แต่ไม่อยากพูดตรงๆ เดี๋ยวได้ใจ

“เออ จะพยายาม” มันตอบส่งๆ เพราะมือยังคงเกายุกยิกไม่หยุดเพียงแต่ย้ายตำแหน่งเท่านั้น ผมส่ายหน้าปลงกับความเป็นปอม เอาเถอะ ถือว่าเตือนแล้วไม่ฟังก็ช่างเถอะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพราะคิวรับยายังอีกยาวไกล แอปฯ ไอจีถูกเปิดขึ้นพร้อมกับแอคเค้าท์ของคีนเด้งอยู่คนแรกบนหน้าจอ รูปที่เขาเลือกโพสต์คือที่ผมลงมือถ่ายไปเมื่อวาน แคปชั่นด้านล่างมีข้อความว่า ‘Everything has changed’ อะไรเปลี่ยนไปล่ะ... ความรู้สึกของเขาที่มีต่อกันหรือเปล่านะ แม่ง สุดท้ายก็คิดวนเวียนอยู่เรื่องเดิมอีกแล้ว เซ็ง

ตอนนี้ไอ้ปอมแสดงสีหน้ายุ่งเหยิงเพราะอาการคันเหมือนกำเริบมากกว่าเก่า ตามเนื้อตัวเริ่มมีผื่นแดงเพิ่มขึ้น เมื่อไหร่เขาจะเรียกรับยาเนี่ย สงสารเพื่อนว่ะ

“ให้กูโทรหาโฮมไหม?” ผมเบี่ยงเบนความสนใจของไอ้ปอมด้วยเรื่องของโฮม มันชะงักมือที่กำลังเกายิกๆ เหลือบสายตามองกันด้วยความตื่นตระหนก

“เฮ้ย จะโทรทำไมเนี่ย?” มันเอื้อมมือมาตะปบโทรศัพท์ของผมแล้วกำไว้แน่นไม่ให้ขยับหนี แววตาสั่นไหวเหมือนไม่ต้องการให้เรื่องนี้รู้ถึงหูอีกคน

“เผื่อมึงอยากสำออยใส่เขาไง” ผมยิ้มกริ่มก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อคาดคั้นความลับที่มันปิดบังเอาไว้ ก็รู้ๆ นิสัยปากแข็งของไอ้ปอมอยู่แต่อยากแกล้งไง เอาให้ลืมเรื่องคันไปเลย

“ไปเที่ยวอิสตันบูลนู่น” เสียงพึมพำดังขึ้นในขณะที่เจ้าของมันได้แต่ก้มหน้าก้มตามองปลายเท้า ใบหูเริ่มขึ้นสีระเรื่อทั้งที่ไม่มีรอยยิ้มใดๆ เออเว้ย เอาไปโกหกเด็กข้างบ้านเหอะว่าพวกมึงไม่ได้เป็นอะไรกันเกินเพื่อนเนี่ย ถ้าเชื่อผมคงมีเขางอกอะ

“ไหนว่าเป็นแค่เพื่อน ทำไมถึงรู้ว่าโฮมไปไหน?” ผมซักไซ้ต่อแถมยังแกล้งกระแซะไหล่ไอ้ปอมจนมันตวัดสายตาดุๆ มามองกัน

“โซเชี่ยลก็มีปะวะ? มึงนี่วุ่นวายจัง มาช่วยกูเกาดีกว่า” บ่นง้องแง้งแล้วก็เฉไฉด้วยการเกาท้ายทอยแกรกๆ เออ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญปากแข็งต่อไปเหอะ รำค๊าญ!

“ไม่ช่วย งั้นเรื่องโฮมก็ช่างหัวมึงแล้วกัน” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินไปรับยาเพราะเขาเอ่ยเรียกชื่อไอ้ปอมแล้ว ปล่อยให้มันทำหน้าตาเศร้าสร้อยอยู่ตรงนั้นไปคนเดียว หึ สมน้ำหน้าแม่ง ถ้ามีใครเข้ามาจีบโฮมแบบจังๆ ผมขอเชียร์ฝ่ายนู้นสุดใจเลย

ขับรถไปส่งไอ้ปอมพักผ่อนเสร็จผมก็เรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้านบ้าง แต่ระหว่างทางดันบอกให้ลุงจอดหน้าปากซอยที่มีร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง อยู่ๆ ก็คิดไอ้กระต่ายอ้วนขนฟูนั่นขึ้นมาซะอย่างนั้น หรือที่จริงแล้วก็แค่อยากเจอคีนแต่ผมก็ยังไม่พร้อมเจอสถานการณ์กระอักกระอ่วน เฮ้อ เอาไงดีน้อ

ขายาวก้าวเข้าร้านตรงหน้าด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ มองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาของเกี่ยวกับกระต่ายซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ผู้หญิงที่คาดว่าเป็นเจ้าของร้านส่งรอยยิ้มมาทางนี้เหมือนเชิญให้เลือกดูได้ตามสบาย โธ่ ช่วยแนะนำผมหน่อยเถอะ ชีวิตนี้ไม่ชอบสัตว์เว้ย

“เอ่อ... พี่ครับ” ผมเอ่ยเรียกเจ้าของร้านที่ยังคงส่งยิ้มหวานๆ มาให้กันไม่ขาดสาย เธอรีบปรี่เข้ามาหากันทันทีจนผมผงะถอยหลัง แม่ง ตกใจหมดเลย นี่รอให้คุยด้วยอยู่ใช่ไหม โว๊ย คนสมัยนี้เดายากชะมัด

“มีอะไรให้ช่วยเหรอ?” เธอกระพริบตาปริบๆ มองผมเหมือนสิ่งมีชีวิตมาจากต่างดาว ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ประหลาดนะ เสื้อผ้าก็ปกติทั่วไป กางเกงในก็ใส่ เป้าไม่ตุง หรือว่าขี้ตาติดอยู่ ฮ่วย หมดความมั่นใจ!

“มะ มีครับ คือช่วยแนะนำของเล่นกระต่ายให้หน่อยได้ไหม?” ผมเลือกใช้น้ำเสียงนุ่มๆ กับใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ภายใน เธอก็ดูอยากให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพราะดวงตาเป็นประกายวิบวับเชียว... แม่ง อย่ามองเหมือนจะแดกกันเข้าไปทั้งตัวสิวะ ชักกลัวแล้วเนี่ย

“เพิ่งเริ่มเลี้ยงเหรอ?” น้ำเสียงฟังดูทั้งประหลาดใจและสนใจในคราวเดียวกัน สงสัยจะคิดว่าคนหน้าตาขรึมๆ อย่างผมไม่น่าเลี้ยงสัตว์ตะมุตะมิล่ะมั้ง แหม... กระต่ายของ(ว่าที่)แฟนก็เหมือนของเราจริงไหม?

“ก็... ประมาณนั้นครับ” ผมอมยิ้มเมื่อคิดไปถึงเจ้าของกระต่าย ป่านนี้จะทำอะไรอยู่นะ หลังจากหอมแก้มกันไปเมื่อคืนวันนี้เรายังไม่ได้คุยกันสักประโยค หรือว่าซื้อของเสร็จจะพุ่งไปบ้านเขาดีนะ แต่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วค่อยว่ากันใหม่เถอะ ไม่อยากรบกวน

“อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?”

ห๊ะ... จะไปรู้ได้ไงว่าไอ้ชมจันทร์อายุเท่าไหร่ ซื้อของเล่นให้กระต่ายมันจำกัดช่วงวัยด้วยเหรอวะ โอ๊ยงง

“หมายถึงกระต่ายเหรอครับ?” ผมถามย้ำให้แน่ใจ

“เปล่าจ้า หมายถึงเรานั่นล่ะ?” เธอส่ายหัวแล้วใช้นิ้วป้อมๆ จิ้มลงบนหน้าอกของผม โอย กลัวจ้า ไปซื้อร้านอื่นยังทันไหมเนี่ย

“เอ่อ...” ผมอึกอักพร้อมกับถอยหลังเตรียมหนี แต่เธอกลับหัวเราะร่าจนต้องชะงักเท้า ตกลงกูโดนเจ้าของร้านแกล้งเหรอวะ

“ล้อเล่นๆ น่า ของเล่นกระต่ายอยู่ทางด้านโน้น เดินตามพี่มาสิ” เธอชี้ไปอีกฝั่งของร้านซึ่งสังเกตได้ชัดเจนว่าเป็นโซนกระต่ายจากบรรดาชั้นวางหญ้าแห้งหลากหลายชนิด กรงสัตว์เลี้ยงหลากสี ของเล่น อาหารเยอะแยะไปหมด

ผมเดินตามเธอไปจนถึงจุดหมาย มองอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าอย่างสนใจ คนเรานี่ช่างคิดช่างประดิษฐ์แถมยังเอาใจใส่พวกมันถึงขนาดต้องสร้างนั่นสร้างนี่เยอะแยะ

“มีไม้ลับฟัน บ้านโพรงทำด้วยหญ้า ไม้กระดก ชิงช้า แค่นี้แหละ” เธอแนะนำของเล่นกระต่ายพลางชี้ไปทีละชิ้นๆ ผมพยักหน้ารับพลางคิดว่าควรซื้ออะไรไปให้ชมจันทร์ดี ไม้ลับฟันเหมือนจะเคยเห็นว่ามีแล้ว บ้านโพรงคงไม่เหมาะ ชิงช้าก็กลัวว่าไอ้ฟูนั่งแล้วหัวทิ่ม งั้นเอาเป็นไม้กระดกดีกว่า

“ไม้กระดกราคาเท่าไหร่ครับ?” ผมถามพร้อมกับนั่งยองๆ ลงไปดูของจริงตรงหน้า ใช้มือทดลองจิ้มให้มันกระดกหน้าหลัง อืม... ใช้ได้ๆ หวังว่าชมจันทร์จะชอบมันนะ

“สามร้อยห้าสิบจ้า แต่กับน้องพี่ลดให้เหลือสามร้อยถ้วน” เธอคลี่ยิ้มหวานก่อนจะเอียงหัวมาซบต้นแขนของผม อ่อยชนิดที่ว่าถ้าทุบหัวลากเข้าหลังร้านได้คงทำไปแล้ว ไอ้ฉิบหาย รู้สึกขนลุกซู่แต่ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ พลางขยับตัวหนีอย่างมีมารยาท

“งั้นเอาไม้กระดกอันนึงครับ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับความหงุดหงุดของเธอ ในใจได้แต่ภาวนาว่าอย่าโกรธจนขึ้นราคาเท่าเดิมเลยเพราะในกระเป๋าตังค์ตอนนี้มีเงินสดแค่สามพันเอง

“ดูขนมกับอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มไหมเอ่ย?” อะ เปิดโหมดการขายเต็มที่เหมือนลืมเลือนเรื่องที่ตัวเองโดนผู้ชายปฏิเสธซึ่งๆ หน้า ตอนแรกผมกะว่าจะซื้อแค่ไม้กระดกแต่พอคิดถึงสีหน้าของคีนตอนได้รับของแล้วมัน... ต้องเปย์เพิ่มว่ะ!

“อ่า งั้นรบกวนด้วยนะครับ”

สุดท้ายไอ้ไม้กระดกง่อยๆ ดันงอกลูกหลานเป็นนมแพะอัดเม็ด ขนมเหนียวหนึบช่วยขจัดก้อนขนและหญ้าแห้งอัดแท่ง ส่วนเจ้าของร้านก็ใจดีแถมกระบอกใส่น้ำให้อีกหนึ่งอัน ดูไปดูมาเหมือนเลี้ยงกระต่ายเองเลยว่ะ โธ่ คีนจะประทับใจหรือหัวเราะความเข้าทางชมจันทร์ของผมกันนะ

การได้เดินเข้าบ้านในระยะห้าร้อยเมตรก็เป็นอะไรที่ไม่เลวแถมยังได้ออกกำลังกายอีกต่างหาก ผ่านร้านอาหารตามสั่งเลยแวะซื้อคะน้าหมูกรอบราดข้าวไข่ดาวสุกเป็นมื้อเย็นแถมด้วยน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องอีกสองถุง พอถึงบ้านก็วางสัมภาระทั้งหมดลงบนโซฟาแล้วเลือกของเกี่ยวกับกระต่ายมาตั้งเรียงบนโต๊ะรับแขกเพื่อถ่ายรูป

แชะ แชะ แชะ แชะ แชะ

ผมลั่นชัตเตอร์กล้องไปราวๆ ห้าครั้ง ก่อนจะเลือกรูปที่ดูสวยที่สุดส่งเข้าโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็เปิดแอปฯ สำหรับการแชทขึ้นมาและถ่ายทอดเรื่องราวบทนี้ให้อีกคนได้รับรู้ พร้อมข้อความบอกเล่า

กิมมิค : เห็นของพวกนี้แล้วคิดถึงชมจันทร์เลยซื้อมา

ผมนั่งมองข้อความที่ส่งไปหาคีนอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะอ่านในตอนนี้ โทรศัพท์ถูกวางไว้บนโต๊ะ แผ่นหลังกว้างเอนซบพนักพิงเพื่อผ่อนคลายความเมื่อล้าที่สะสมมาทั้งวัน แค่ออกไปถ่ายรูปไม่นึกว่ามันเหนื่อยขนาดนี้ หรือเพราะตกใจเรื่องไอ้ปอมวะ แม่งเอ๊ย แพ้หญ้าจนตัวแดงอย่างกับกุ้ง

ห้านาทีก็แล้ว สิบนาทีก็แล้ว โทรศัพท์ผมยังคงเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวจนต้องตัดสินใจหนีไปอาบน้ำให้สดชื่นก่อนจะกลับมานั่งกินข้าวมื้อเย็นพลางดูละครหลังข่าวไปด้วย วันนี้กะว่าจะนอนดึกเพราะไอ้ว่านส่งรายชื่อเกมใหม่มาให้ลองเล่นชื่อ Identity V อะไรสักอย่างที่ต้องวิ่งหนีฆาตกรทำนองนั้นซึ่งฮิตมากในฝั่งประเทศจีน

“แม่ง หมูกรอบมีแค่สี่ชิ้น” ผมบ่นงุ้งงิ้งเมื่อเห็นหมูกรอบนอนอยู่บนข้าวเพียงสี่ชิ้น นอกนั้นเป็นใบคะน้าเกือบทั้งสวน โธ่ อยากกินก้านผักอะเข้าใจไหม คราวหน้าจะซื้อมาทำแดกเองแล้วเว้ย ขายแพงฉิบหายเลยป้า!

ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมชะงักคำบ่นต่อไปได้อยู่หมัด มือขวาทิ้งช้อนลงในกล่องข้าวก่อนโน้มตัวลงเพื่อมองหน้าจอสี่เหลี่ยม ไอ้เชี่ย แจ้งเตือนว่าคีนอัปไอจีไม่ใช่ตอบไลน์กันสักหน่อย ฮือ เสียใจ แต่ก็ยังกดเข้าไปดูเผื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับผม เนี่ย ความมโนชนะเลิศเห็นไหมล่ะ...

the_kirin.z จีบเราหรือจีบชมจันทร์กันแน่นะ?

โอ้โห เอารูปผมไปอัปฯ ลงไอจีแบบนี้ก็ได้เหรอวะ คือไม่ได้หวงแต่มันก็เขินไง ทำอะไรปรึกษากันบ้างปะเนี่ย แล้วทำไมไม่ตอบไลน์หื้ม เดี๋ยวมือลั่นคอมเม้นต์ว่าจีบคีนเลยนี่!

กิมมิค : อ่านแล้วไม่ตอบเนอะคนเรา

ผมส่งข้อความไปแหย่คีนหลังจากที่กดหัวใจในไอจีให้เขาเรียบร้อยแล้ว รอไม่นานอีกฝ่ายก็อ่านมันและตอบกลับมา

คีน : ทีกิมหายไปทั้งวันเรายังไม่ว่าอะไรเลย ปกติต้องทักมาทุกวันนี่

เออว่ะ วันนี้ผมไม่ได้สวัสดียามเช้าเขาไปจริงๆ ด้วย เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องความรู้สึกระหว่างเราที่เกิดขึ้นจากการหอมแก้ม ทำไมถึงยอมเป็นฝ่ายกระทำและโดนกระทำวะ

กิมมิค : โทษที วันนี้เราไม่ว่างเลย

จริงๆ โคตรว่าง แต่ไม่พร้อมคุยก็เท่านั้นเอง

คีน : แหย่เล่นเฉยๆ ไม่ต้องเครียดน่า
คีน : แล้วนึกยังไงซื้อของให้ชมจันทร์เยอะแยะเนี่ย?

โดนถามแบบนั้นผมก็เลยเหลือบตามองบรรดาอุปกรณ์กระต่ายที่ซื้อมา เอาจริงๆ ก็หาเหตุผลไม่ได้หรอกว่าทำไม ก็เห็นแล้วมันนึกถึงไง

กิมมิค : เข้าทางกระต่ายไง เคยได้ยินปะ?

ผมคิดมุกได้สดๆ ร้อนๆ เลยกดพิมพ์ส่งไปให้คีนแล้วลงมือกินข้าวให้หมดก่อนที่มันจะเย็นชืดไปมากกว่านี้ แถมเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่สามทุ่ม อีกไม่นานคงสลบเหมือดแทนที่จะได้เล่นเกม

คีน : โอย เรานั่งขำจนปวดท้องไปหมดแล้ว กิมคิดได้ยังไงเนี่ย ชมจันทร์ช่วยจีบไม่ได้หรอกนะ

นั่นสินะ ชมจันทร์ก็เป็นแค่กระต่ายที่ทำตัวน่ารักไปวันๆ แต่คีนก็ให้ความสำคัญกับมันมากโดยไม่ต้องพยายามอะไร ต่างจากผมที่ทุ่มเทแต่ไม่รู้ถึงผลลัพธ์เลย อยากรวบรวมความกล้าถามถึงความรู้สึกของเราแต่ก็ต้องถอดใจเมื่อไม่สามารถกลั่นกรองคำถามออกจาหัวได้ โว๊ย ทำไมเรื่องความรักถึงดูยากเย็นขนาดนี้นะ แต่จะให้ถอยหลังกลับสู่จุดเริ่มต้นก็ทำไม่ไหวหรอกในเมื่อเดินมาไกลจนเกือบถึงปลายทางแล้ว

กิมมิค : เออเนอะ ลืมคิดไปเลย 5555

แสร้งทำตัวร่าเริงทั้งที่ปากไม่รับรู้รสชาติของคะน้าหมูกรอบอีกแล้ว กูควรเลิกกินมันแล้วกลับมานั่งจดจ่อเรื่องค่นอย่างนั่นใช่ไหม โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลย ฝ่ายที่เผลอใจไปชอบเขาก่อนก็เจ็บก่อนทุกทีแถมคิดมากจนหัวแทบระเบิดอีก เฮ้อๆ ขอถอนหายใจสักสิบรอบ

คีน : โทรคุยกันหน่อยไหม?

ผมแทบหยุดหายใจเมื่อได้อ่านข้อความล่าสุดของคีน ช้อนพลาสติกในมือล้วงตุบลงบนพื้นเพราะตกใจ อยู่ๆ ชวนโทรคุยกันแบบนี้ต้องไม่ปกติแน่นอน เอาวะ ตอนนี้ต้องไม่คิดมากสิ เขาอาจจะขี้เกียจพิมพ์ก็ได้

กิมมิค : คิดถึงเราขนาดนั้นเชียว?
คีน : หลงตัวเองจัง
กิมมิค : นิดนึงๆ คีนมีอะไรด้วยหรือเปล่า?
คีน : เราโทรไปได้ไหม?

คำถามเดิมโดยไม่บอกเหตุผลทำให้ผมนั่งเงียบแล้วอ่านข้อความนั้นซ้ำไปมาอย่างชั่งใจ ริมฝีปากหยักถูกเม้มจนขึ้นสีขาว ตอนนี้ในสมองคิดนั่นกลัวนี่ไปซะหมด เอาไงดีวะ โทรหรือไม่โทร เขาอยากคุยเรื่องหอมแก้มหรือเปล่า เพิ่งนึกรังเกียจเหรอ โอ๊ย

กิมมิค : เดี๋ยวเราโทรไปหาเอง ขอเวลาห้านาที

ขอเวลาทำใจน่ะนะ เฮ้อ

ผมนั่งถอนหายใจอยู่ร่วมสิบรอบก่อนย้ายตัวเองเข้าห้องนอน กระโดดขึ้นเตียงดึงผ้าห่มคลุมโปงคล้ายกับว่าเป็นหลุมหลบภัย แต่ไอ้โทรศัพท์เจ้ากรรมที่ติดมือมาด้วยนี่สิ ต้องโทรไปหาคีนจริงๆ เหรอวะ แล้วจะชวนคุยอะไรดี ถ้าถามเรื่องนั้นเขาจะตอบไหมหรือเฉไฉไล่ผมอีกหนอ เอาไงดี



ต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ครืด

ผมแทบทิ้งโทรศัพท์เพราะอยู่ๆ มันก็สั่นขึ้นมา แสงไฟจากหน้าจอทำให้เห็นว่ามีการแจ้งเตือนเข้าของข้อความจาก... คีน! ไอ้ฉิบหาย นี่ผมพิรี้พิไรอยู่กี่นาทีแล้วเนี่ย เขาถึงได้ส่งไลน์ตามขนาดนี้ โธ่เว้ย ช่างแม่งเถอะ คุยกันให้จบวันนี้ล่ะ

‘กว่าจะโทรมาได้ เราจะหลับรอแล้ว’ ประโยครับสายของคีนนั้นทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากแน่นเพราะน้ำเสียงของเขาฟังแล้วให้ความรู้สึกน้อยใจ โอย ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

“โทษทีครับ เรามัวแต่เก็บของเพลิน” ผมโกหกไปแล้วว่ะ แย่จริงๆ เลยไอ้บ๊วย

‘เราล้อเล่น’ เสียงกลั้วหัวเราะจากปลายสายทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะดึงผ้าห่มลงเพราะรู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้น หลุบหลบภัยไม่ได้ดีเสมอไป จำไว้ๆ

“อ้อ นึกว่างอนจริงๆ ซะอีก” ผมบ่นพึมพำไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่เหมือนจะดังไปหน่อยเพราะคีนดันตอบกลับมาเรื่องเดียวกันเป๊ะ

‘หึ ไม่งอนหรอก แต่กิมโกรธเราหรือเปล่า?’

หัวใจผมนี่เกือบหล่นอยู่ที่ตาตุ่มเลยเพราะคำถามของคีน เขาคิดว่าโดนโกรธอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่สิ ผมแค่กำลังสับสนและคิดมากเท่านั้นเอง

“ห๊ะ เราจะโกรธคีนเรื่องอะไร?” ผมถามกลับก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเพราะไม่รู้จะไปต่อยังไงดี อุตส่าห์ไม่ดราม่าแต่สุดท้ายก็เข้าเรื่องจนได้ เฮ้อ ไม่หนีๆ ท่องไว้ เคลียร์ให้จบซะ

คีนเงียบไปร่วมสองนาทีซึ่งระหว่างนั้นผมก็ได้แต่ฟังเสียงลมหายใจของเขาสลับกับการทำสมองให้ว่าง ควบคุมสติไม่ฟุ้งซ่าน เตรียมรับมือสิ่งที่กำลังจะเกิดหลังจากนี้

‘ก็หลังจากที่เราหอมแก้ม... กิมก็ไม่คุยกับเราเลย บอกให้ส่งไลน์หาตอนถึงบ้านเมื่อคืนก็เงียบ’ อะ คีนรัวมาเป็นประโยคยาวๆ แต่ผมสามารถจับใจความสำคัญได้ในทันที โอ๊ย ฉิบหายแล้วจริงๆ นี่ผมลืมแม้กระทั่งส่งไลน์หาคืนเมื่อคืนอย่างนั้นเหรอ ไม่ได้มีแค่ตัวเองที่คิดมากสินะ ขอโทษ...
“เรา...” แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก ซุกหน้าลงกับหัวเข่าที่ชันขึ้นอย่างหมดแรง แม่งเอ๊ย ทำไมต้องมีช่วงเวลากระอักกระอ่วนแบบนี้ด้วย โคตรไม่ชอบเลย

‘ไม่ชอบเราแล้วเหรอ?’ น้ำเสียงหงอยๆ ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างนั้นกับการกระทำงี่เง่าของตัวเอง โธ่ น้องคีนสุดที่รักของพี่กิม

“เฮ้ย ชอบดิ ยังชอบเหมือนเดิม” ผมรีบละล่ำละลักคอบกลับแบบไม่ต้องคิด ถ้าไม่ชอบแล้วจะมานั่งกังสลทำไมเนี่ย คีนนะคีน เดี๋ยวตีด้วยปากเลย!

‘มะรืนนี้ไปถ่ายรูปด้วยกันไหม?’ อ้าา ทำไมอยู่ๆ เปลี่ยนเรื่องวะ คืออะไรยังไง ผมงงอะ โว๊ย ขยี้หัวจนยุ่งไปหมดแล้ว อยากเจอคีนนะ แต่ก็ไม่รู้ต้องทำตัวหรือแสดงสีหน้ายังไงเลยคิดว่าปฏิเสธก่อนดีกว่า เอาวะ ฮึบ

“เราน่าจะไม่...”

‘กิมกำลังสับสนเรื่องของเราใช่ไหม?’

“.....” ใบ้แดกเลยจ้า ช็อกจนตาเหลือกแล้วเนี่ย ใครคาบข่าวไปบอกคีนวะ หรือไอ้ปอมจะเอาคืนที่ผมแกล้งจะโทรไปหาโฮม ถ้าเจอจะถอนหญ้าเขวี้ยงใส่แม่ง โมโห!

‘มะรืนนี้มาเจอเราสิ แล้วจะบอกทุกอย่าง’

อะ... คดีพลิกแบบหัวใจเต้นแรงสิบริกเตอร์เลยว่ะ โอ๊ย รีบเตรียมตัวตั้งแต่คืนนี้เลยจะเร็วไปไหมนะ ส่วนเรื่องที่จะถอนหญ้าปาใส่ไอ้ปอมก็ยกเลิกเนอะ ไว้ค่อยซื้อน้ำแดงไปเซ่นไหว้แล้วกัน หึหึ

ตลอดทั้งคืนนั้นผมแทบไม่ได้นอนเพราะมัวแต่คิดไปสะระตะว่าคีนจะให้คำตอบในรูปแบบไหน จะรักชอบหรือปฏิเสธอย่างไม่ใยดีกันนะ แต่จากรูปการแล้วคงมีข่าวดีมากกว่าข่าวร้ายอย่างที่ไอ้ปอมได้บอกไว้นั่นล่ะ ฮึ่ย แค่มโนก็รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจชะมัด ถ้าเจอสถานการณ์จริงหวังว่าคงไม่ช็อกตายซะก่อนนะไอ้บ๊วย

เช้านี้ผมอยู่ในสภาพไม่ต่างจากซอมบี้เท่าไหร่เพราะในขณะที่กำลังจะข่มตานอนนั้นกลับได้ยินเสียงใครบางคนกดออดที่หน้าบ้านไม่หยุดหย่อน อยากจะเปิดประตูระเบียงแล้วปาหมอนใส่ชะมัด โอ๊ย แต่พอเห็นหน้าเขาเท่านั้นล่ะ ตื่นครับ ตื่นทุกอย่างตั้งแต่ตายันตีนเลยแม่ง ไอ้พี่เซียนจะโผล่มาทำไมเนี่ย ตายๆ นี่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจในการจีบกันอีกเหรอ แง๊  วิ่งลงไปที่ประตูรั้วแทบไม่ทัน

“กิมครับ” ผมยอมรับว่าเสียงพี่เซียนหวานจนสามารถละลายใจคนฟังได้อย่างไม่มีข้อกังขา แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้แล้วนั้น... มันมีแต่สร้างความรำคาญให้

“มาทำไมวะพี่?” ผมถามพลางทำหน้าตายุ่งเหยิงมองเขาด้วยความหงุดหงิด สภาพเหมือนคนบ้าแบบนี้เขายังจะยิ้มแสดงความเอ็นดูอีกเหรอวะ รู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้

“คิดถึง”

ไอ้บ้า ผมเกือบทรุดลงกับพื้นเพราะเข่าอ่อนขึ้นมาดื้อๆ พี่จะมาบอกคิดถึงด้วยสายตาอ้อนๆ ไม่ได้นะเว้ย ความจริงแล้วไม่ได้อยากใจร้ายกับเขาแต่ในเมื่อเราเองก็มีคนที่ชอบ เลือกทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยดีกว่า

“เก็บเอาไว้บอกคนอื่นเถอะครับ” ผมพูดเสียงเบาแต่หน้าตาบ่งบอกความจริงจัง ส่วนพี่เซียนก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

“แต่พี่ชอบกิมนี่ครับ”

เออครับ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำก็ได้น่า

“ผมไม่ได้ชอบพี่ไงครับ” ผมก็ย้ำคำเดิมกลับไปเช่นกันเพราะต้องการให้พี่เขาได้ตัดใจสักที

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะ”

“แล้วทำไมยังมาที่นี่อีกครับ?” ผมเปลี่ยนท่าทางจากมึนๆ เป็นเคร่งขรึมก่อนหันหลังยืนพิงกับประตูรั้วเพราะไม่อยากเห็นดวงตาเศร้าของพี่เซียน เขาไม่ผิดที่รู้สึกชอบกันและไม่ผิดที่อยากเจอหน้าผม

“แค่อยากจะมาบอกว่า... ยอมแพ้แล้วครับ”

“ห๊ะ?” ยอมแพ้ง่ายขนาดนี้เชียวเหรอวะ ชอบกูจริงปะเนี่ย ยังไม่รู้สึกถึงการโดนจีบขนาดนั้นเลยนี่หว่าเพราะเขาไม่ได้ตามตื๊อกันขนาดนั้น มีเพียงแค่ส่งข้อความ โทรหาเป็นครั้งคราว หรือมีทักทายวอแวนิดหน่อยเท่านั้น หรือว่าอีกฝ่ายเป็นคีนกันนะถึงได้มีผลลัพธ์แบบนี้

“ถ้าคีนทิ้งเมื่อไหร่ก็อย่าลืมรับพี่ไว้พิจารณาบ้างนะครับ”

“เอ่อ...” กูยังไม่ทันได้คบกันก็แช่งแล้วเหรอวะ เฮ้ย กลับมาก่อนสิ พูดแบบนี้แล้วขับรถหนีไปดื้อๆ เนี่ยนะ โว๊ย ฟัคยู จะไม่คิดสงสารพี่เซียนอีกแล้วเว้ย ไอ้หมอหมากวนตีน!




-----------------------------------------------

ตากิมจะได้คำตอบแล้วนะ มาลุ้นไปพร้อมกันเนอะ หึหึ

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เอ๊ะๆๆ หมอพูดแบบนี้ต้องรู้อะไรดีๆมาใช่ม่ะแสดงว่ากิมจะสมหวัง?ลุ้นๆ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 17


ผมยืนหมุนอยู่หน้ากระจกมาร่วมช่วงโมงเพราะไม่มั่นใจว่าควรใส่ชุดไหนออกไปเจอกับคีนดี ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ก็แหม... เขาบอกว่าจะสารภาพความรู้สึกด้วยนี่หว่า มันก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาจริงไหม เนี่ย เสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีซีดหล่อหรือยังว้า พอคิดไม่ต้องก็จัดการคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปแล้วส่งให้เพื่อนๆ ช่วยพิจารณา

ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ได้ยินเสียงสั่นครืดๆ ของโทรศัพท์กระหน่ำมาไม่ขาดสาย เชื่อไหมว่าไม่มีคำแนะนำอะไรนอกจากด่า แม่งเอ๊ย ซื้อหวยไม่ถูกตรงๆ แบบนี้บ้างวะ

กะปอม : มึงจะแต่งตัวไปเดตหรือไง เต็มยศขนาดนั้น
กะปอม : ไปถ่ายรูปเสื้อยืดก็พอมั้ง
ต้นว่าน : เพื่อนกูเป็นเอามากว่ะ
ต้นว่าน : เปลี่ยนชุดเหอะ มึงดูจริงจังเกินไป

โห อยากจะมุดโทรศัพท์ออกไปตบหัวพวกมันคนละทีเมื่ออ่านข้อความจบ แค่ใส่เสื้อเชิ้ตนี่มันต้องในโอกาสออกเดตอย่างเดียวเหรอวะ โอย รู้แบบนี้กูไม่ปรึกษาพวกมึงก็ดีหรอก ช่วยอะไรไม่ได้เลยเว้ย

กิมมิค : เรื่องกู!

ส่งข้อความเสร็จผมจัดการปิดแจ้งเตือนกลุ่มทันทีเพราะไม่อยากอารมณ์เสียก่อนไปเจอคีน อะ กลับมาเช็คสภาพตัวเองก่อนออกจากบ้านสักหน่อย หมุนไปหมุนมาอยู่สามรอบก็ตกลงว่าชุดนี้ล่ะดีที่สุดแล้ว เดินเอเชียทีคคงไม่ร้อนจนต้องถอดเสื้อมั้ง
ผมวิ่งลงบันไดด้วยอารมณ์เริงร่าแต่ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นอย่างมีความสุข ดูท่าทางคงสนิทสนมกันมาทั้งที่เจอกันเป็นครั้งที่สอง เดี๋ยวๆ ผมควรจะคิดว่าคีนมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงก่อนสิวะ!

เชี่ย คิดจนลืมมองบันได เกือบตกลงไปหน้าแหกแล้วไหมล่ะ โอย ขวัญเอ๊ยขวัญมา ในตอนที่กำลังจะก้าวลงอีกขั้นคุณนายแม่กลับหันขวับมาสบตาพอดี หูย ทำหน้ายุ่งใส่ทำไมเนี่ย

“ตากิม ลงมาได้สักที น้องคีนมารอนานแล้วค่ะ” แม่ทำเสียงดุใส่ผมแต่หันไปยิ้มหวานกับคีน เปลี่ยนอารมณ์ไว้เหลือเกิน แล้วนี่ตกลงว่าคนไหนลูกชายเธอกันแน่ล่ะเนี่ย ดูท่าทางในอนาคตผมคงกลายเป็นหมาหัวเน่าเข้าสักวัน

“จริงๆ ผมนัดกิมให้ไปรับที่บ้านครับ แต่พอดีว่าพี่ชายผ่านมาทางนี้ก็เลยติดรถมานี่ครับ” คีนอธิบายอย่างใจเย็นพลางยิ้มหวานให้ผู้หญิงคนเดียวของบ้าน เธอพยักหน้ารับเข้าใจดี ส่วนผมได้แต่แอบเบะปากใส่แม่ ดูจะเห่อว่าที่ลูกสะใภ้จังนะครับ ถ้าจีบไม่ติดคงโดนตัดออกจากกองมรดกแน่ๆ เรื่องนี้ต้องถึงหูพ่อ!

แต่ไอ้พี่ชายที่มาส่งคีนมันคือใครวะ? ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยแฮะ ไว้ค่อยไปถามตอนเดินทางก็ได้

“ผมเป็นคนตรงเวลานะแม่ ไม่ปล่อยให้คีนรอนานหรอก” ผมเหวี่ยงกระเป๋ากล้องถ่ายรูปขึ้นพาดไหล่ก่อนจะเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวอีกตัว เหลือบมองคีนที่เอาแต่ยิ้มหวานด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ลุ้นว่าเมื่อไหร่เขาจะให้คำตอบกัน ตอนนั่งรถ กินข้าว ถ่ายรูป หรือขากลับบ้าน โอย นี่กูอยู่ในช่วงวัยว้าวุ่นเหรอวะ คิดเยอะจั๊ง

“จ้าๆ แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะหื้ม?” แม่หันมองหาพวกเราสลับกันไปมาก่อนจะหยุดที่ผม อ่า ต้องเป็นคนตอบสินะ

“เอเชียทีคครับ ไปถ่ายรูปน่ะ” ผมตอบพลางคลี่ยิ้มปิดท้าย จะหอมแก้มแม่ตอนนี้ก็เกิดความรู้สึกเขินๆ คีนขึ้นมาแฮะ ถ้าเป็นเวลาปกติคงทำไปแล้วเพราะมันคือการไถ่โทษที่ไม่ได้บอกเธอล่วงหน้าว่าจะไปไหน นี่ล่ะกฎของบ้าน วิธีง้อสุดมุ้งมิ้ง

“ลูกแม่ใช้กล้องเป็นแล้วเหรอ?”

อ้าว ถามแบบนี้ผมเสียใจนะแม่ แต่ไม่เป็นไรครับ คนสอนเขาอมยิ้มแก้มจะแตกแล้ว โคตรน่ารักเลยว่ะ แล้วดูแต่งตัวดิ เสื้อยืดสีชมพูพาสเทลกับกางเกงขาสามส่วนสีขาวนี่ยังไงครับ แต่งตัวแบบนี้กะให้ผมหลงหัวทิ่มเลยสินะ ปกติไม่เคยเห็นอะไรทำนองนี้เลย วันนี้โคตรพิเศษ

“ต้องเป็นสิแม่... ก็คีนเขาเป็นคนสอนเลยนะ” ผมพูดด้วยหน้าตาใสซื่อเหมือนคนไม่คิดอะไรทั้งที่จริงๆ แล้วตั้งใจทำให้คีนเขิน แต่ผิดคาดไปเยอะที่เจ้าตัวทำหน้าดุใส่เมื่อความจริงเปิดเผย

“แหม ได้ครูดีสินะ” แม่จิ้มแก้มผมอย่างหยอกล้อซึ่งทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของคีนทั้งหมด เขากลั้นหัวเราะจนหน้าแดง บรรยากาศตอนนี้เหมือนมีความสุขลอยวนอยู่รอบตัวจนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงอนาคต ถ้าเราเป็นแฟนกันแล้วก็อยากให้มานั่งคุยเล่นที่บ้านกันแบบนี้ รู้สึกอบอุ่นดี

แต่ตอนนี้ขอเอาคืนคีนสักหน่อยเถอะ ผมจะแซวให้เขาเขินหนักๆ เลยคอยดู!

“ก็ประมาณนั้นครับ ดีต่อใจ” ผมเน้นประโยคหลังแล้วจ้องมองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาหวานเยิ้มอย่างที่ชอบทำตอนเขาไม่เห็น อีกแค่นิดเดียวก็จะได้เห็นคีนเขินอยู่แล้วเชียวแต่ดันโดนแม่ตีป้าบลงมาบนต้นแขน โอ๊ย พังหมดแล้วครับ

“อย่ามาจีบกันต่อหน้าแม่ค่ะ อิจฉา”

แม่อิจฉาแต่ผมนกอะ ฮือ ทำอะไรไม่ได้นอกจากกรีดร้องอยู่ในใจเงียบๆ ส่วนคีนเกิดอาการอึกอักจนแสดงออกมาทางสีหน้า ดวงตารีมองสบกันเหมือนต้องการคาดคั้นเรื่องที่แม่พูดไปเมื่อครู่ ตอนนี้มีแต่ความฉิบหาย ผมลืมบอกคีนไปว่าเธอรู้เรื่องนี้แล้ว จะโกรธไหมวะ

“เอ่อ... คุณน้ารู้เรื่องด้วยเหรอครับ?” คีนอ้อมแอ้มถามแม่แต่สายตากลับมองผมอย่างดุดัน ผมไหวไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น หูย บรรยากาศหวานฟุ้งแต่มาคุแปลกๆ ว่ะ

“รู้ค่ะ ก็เจ้ากิมมองน้องคีนตาเยิ้มขนาดนั้น”

อะ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากเอามือขึ้นปิดหน้าด้วยความอาย

“แม่อย่าเอาผมมาขายดิ” ผมโอดครวญเสียงหลงพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเมื่อเจอสายตาขำๆ ของคีนมองมาทางนี้ ทั้งที่เขาก็กังวลอยู่แต่ไม่วายอวดรอยยิ้มทะเล้นให้กันอีก เฮ้อ หลงรักจนหาทางออกไม่เจอแล้วเนี่ย เป็นคนใจร้ายจังเนอะ

“แม่กำลังช่วยจีบน้องคีนอยู่นะ ไม่ดีเหรอ?” แม่เหล่มองคีนสลับกับผมที่ตอนนี้อ้าปากหวอไปซะแล้ว ช่วยกันแบบนี้จะสำเร็จเหรอครับ ไม่ใช่ว่าทำให้เขากลัวจนวิ่งหนีไปนะ โอย อยู่ๆ ก็เครียดขึ้นมา

“โธ่ พอแล้วครับแม่ เดี๋ยวคีนโกรธผม” ผมห้ามแม่เพราะคิดว่าคีนคงกระอักกระอ่วนจนพูดอะไรไม่ออก เขาเอาแต่นั่งยิ้มบางๆ เดาอารมณ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อันที่จริงก็อยากหาน้ำหาขนมมาเคี้ยวแก้เก้อแต่พอเหลือบมองนาฬิกาแล้วก็จำใจนั่งที่เดิม ใกล้จะสี่โมงเย็นแล้วเดี๋ยวรถจะติด

“น้องคีนโกรธตากิมหรือเปล่าคะ?” แม่ไม่ตอบผมแถมเมินไปถามคีนแทนอีกต่างหาก ฝ่ามือเรียวจับประคองใบหน้าของว่าที่ลูกสะใภ้อย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยมองด้วยความเอ็นดูจนอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธอคงหลงคนตรงหน้าไม่ต่างจากผม ประมาณว่าเป็นรักแรกพบ ถ้าพ่อมาเห็นจะหึงหวงหรือเปล่านะ แอบถ่ายรูปไว้แบ็คเมล์ดีไหมเนี่ย

“มะ ไม่โกรธครับ แต่ไม่คิดว่าเขาจะคุยเรื่องนี้กับคุณน้า” คีนตอบเสียงตะกุกตะกักแถมยังหน้าแดงอีกต่างหาก ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเขาไม่กล้าสบตากับผมเหมือนกำลังเขินอย่างหนัก ส่วนแม่ถึงกับคลี่ยิ้มอ่อนโยนพลางขยับมือที่จับแก้มมาลูบหัวแทน จะเอ็นดูกันอะไรขนาดนั้นหืม ลืมลูกชายคนนี้ไปแล้วเหรอครับ แต่ผมไม่ได้น้อยใจกลับดีใจมากกว่าที่ครอบครัวเข้าใจเรื่องระหว่างเรา

“เราจริงจังกับคีนถึงได้กล้าบอกเรื่องนี้กับแม่” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่หันมายกนิ้วโป้งให้ รอมฝีปากเคลือบลิปสติกขยับโดยไม่มีเสียงพูดได้ประมาณว่าภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มากขนาดไหน ก็คนนี้ผมรักจริงหวังแต่งนี่ครับ

คีนทำเพียงแค่ช้อนตามองกันแต่ไม่ได้ตอบโต้ออกมาเป็นคำพูด นิ้วมือเรียวยาวแอบชี้หน้าผมเป็นการคาดโทษ ถ้าเดาไม่ผิดตอนอยู่แค่สองต่อสองคงโดนสวดยับแน่ๆ เพราะเขาอาจจะคิดว่าแม่เอาเรื่องนี่ไปบอกคุณป้าด้วยหรือเปล่า

“เอาล่ะๆ รีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวรถจะติดเอาเนอะ” แม่แก้ไขสถานการณ์ชวนขัดเขินด้วยการส่งมือทั้งสองข้างตบลงบนขาของผมและของคีนพร้อมๆ กัน เพื่อกระตุ้นให้ลุกขึ้นจากโซฟาได้แล้ว เราพยักหน้ารับแทบจะพร้อมกันทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

“ครับ สวัสดีครับคุณน้า” คีนยกมือไหว้ลาคนสวยก่อนจะเดินนำผมออกไป

“ไปนะแม่” ผมก้มลงหอมแก้มแม่เป็นการบอกลาก่อนรีบวิ่งตามหัวใจตัวเองออกไปบ้าง และได้แต่หวังว่าเหตุการณ์ต่อไปจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ พุ่งเข้าใส่นะ

แน่นอนว่าสารภีขับรถต้องเป็นผมอยู่แล้ว บรรยากาศในรถตอนนี้ถือว่าผ่อนคลายพอสมควรเพราะเปิดเพลงคลอไปด้วย คีนไม่ได้เอ่ยหรือแสดงท่าทางไม่พอใจเลยสักนิดทว่าการกระทำที่เอาแต่มองวิวด้านนอกก็ทำให้เกิดความขัดเขินแปลกๆ อยู่เหมือนกัน นี่เขาไม่ได้โกรธกันใช่ไหม

ผมแตะเบรกชะลอความเร็วลงเมื่อด้านหน้าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง รถหยุดสนิทแล้วแต่หัวใจกลับเต้นโครมครามเพราะคีนหันมาสบตากันพอดีเพลงที่เปิดอยู่ก็ดันหวานแหววจนรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวแต่ก็ไม่มีใครหลบใครเหมือนกำลังวัดใจว่าฝ่ายไหนจะเปิดปากพูดอะไรก่อน

“เอ่อ...” ไอ้สัด พูดไม่ออกว่ะ ผมเป็นฝ่ายหลบตาก่อน เออ จะหาว่าขี้แพ้ก็ได้ในเมื่อคีนโน้มหน้าเข้ามาใกล้เพราะเสียหลัก หูย ใจหายใจคว่ำนึกว่าจะได้จูบกันแล้ว

“อ่า... กิมพูดก่อนก็ได้” อะ แล้วทำไมโยนให้ผมแบบนั้นเล่า

“คีนไม่ได้โกรธเรื่องที่เราบอกแม่ใช่ไหม?” ผมอยากตบปากตัวเองสักสิบครั้งที่ขุดเรื่องเดิมๆ มาถาม ถ้าเกิดมันไปกระตุ้นต่อมโกรธของคีนขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ โธ่เว๊ย ถามอะไรไม่รู้จักคืดอีกแล้ว เฮ้อ ไฟแดงนานจังวะ เพลงก็ดันเข้าสู่ช่วงอกหักรักคุดอีก จะบิ้งอะไรขนาดน้าน!

“เราไม่ได้โกรธหรอก แต่มันรู้สึก...” คีนก้มหน้าลงพร้อมกับหยุดพูดไปซะเฉยๆ ทำให้ผมที่กลั้นใจลุ้นแทบตายถึงกับลอบถอนหายใจก่อนยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเพื่อลดความประหม่า เขารู้สึกแย่หรือเปล่านะเพราะเรื่องระหว่างเรายังไม่ชัดเจนแต่ผู้ใหญ่ดันรู้แถมแม่ๆ ยังเป็นเพื่อนกันอีกด้วย ถ้าสุดท้ายคำตอบคือความรู้สึกไม่ตรงกันคงลำบากแย่

“.....” ผมเงียบเพราะยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่หูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากคนด้านข้างจนสติกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมเหลือบมองใบหน้าของคีนที่ตอนนี้กำลังระบายยิ้มบาง ดวงตาของเขาฉายแววลำบากใจอยู่เล็กน้อยแต่ไม่ได้เครียดขึงเหมือนวินาทีแรกที่รู้ว่าแม่ของผมรับรู้เรื่องพวกนั้น

“ทำไมกิมต้องทุ่มเทขนาดนั้นทั้งที่เราก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง” คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยมาพร้อมกับหัวทุยที่ซบลงบนลาดไหล่ของผม ไม่แน่ชัดว่าจุดประสงค์คือต้องการหลบสายตาหรือแค่อยากหาที่พักใจสำหรับเรื่องราวทั้งหมดของเรา ผมรู้ดีว่าผู้ชายรักกับผู้ชายมันไม่ง่ายเลย ไหนจะต้องกังวลครอบครัว สังคม เพื่อนฝูง หน้าที่การงานในอนาคตอีก ก็ไม่แปลกที่เขาอยากรู้เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เป็นแบบนี้

“ใช่ คีนเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง... ที่เรารัก” ผมพูดพร้อมคลี่ยิ้มบาง สายตาที่มองจ้องคีนนั้นมีความจริงจังแฝงอยู่และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรับรู้เพราะเบนหน้าหนีซะแล้ว คงเขินล่ะมั้ง หึหึ โอย ภูมิใจจัง

“กิม...” เสียงสั่นๆ เรียกชื่อผมก่อนชี้นิ้วไปตรงหน้า หืม จะให้ดูอนาคตของเราเหรอ

“ครับ?” ผมขานรับแต่ตายังมองใบหน้าด้านข้างของคีนซึ่งมันมีเสน่ห์เอามากๆ อ่า อยากหอมแก้มจัง คงนุ๊มนุ่มน่าดู ฮึ่ย มันเขี้ยว

“ไฟเขียวแล้ว” อะ เสียงหัวเราะในลำคอนี่มันยังไงวะ โอ๊ย หน้าแตกยับเยินมากครับ นึกว่าเขาซึ้งกับคำพูดเมื่อครู่ซะอีก ที่ไหนได้แค่จะบอกว่าไฟเขียวแล้วเนี่ยนะ เรื่องนี้ห้ามบอกใครเด็ดขาด กูอาย!

สิ่งที่พวกเราเจอตอนนี้คือรถติดเพราะถึงช่วงเวลาเลิกงานแล้ว ผมนั่งเคาะนิ้วไปตามจังหวะเพลงฆ่าเวลาเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะ ตอนนี้เขากำลังสนุกสนานกับการดูคลิปรีวิวกล้องตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมนี่ถึงกับเบะปากเพราะมันเป็นภาษาอังกฤษล้วน ถ้าไม่ตั้งใจฟังนี่จบเห่เลย

“จะเปย์กล้องตัวใหม่เหรอ?” ผมถามเพราะอยากชวนคุย เรื่องอะไรจะปล่อยเวลาที่เราได้อยู่ไกลกันผ่านไปเฉยๆ แต่รออยู่นานอีกฝ่ายก็ยังนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน โธ่ นี่ผมกลายเป็นอากาศธาตุตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย งอนได้ไหม? อะ เสียงแว่วๆ มาจากจิตใต้สำนึกว่าเขาไม่ง้อหรอก

ในเมื่อเขาไม่สนใจผมเลยเลือกหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป กดเข้าแอปฯ ไอจีเพื่ออัพเดทมันลงไปพร้อมแคปชั่นคล้ายๆ คนน้อยใจ ดูสิจะสนใจกันได้หรือยัง

‘สนใจแต่โทรศัพท์ มองหน้ากันสักนิดได้ไหมครับ?’

รูปก็ไม่ได้ถ่ายติดหน้าคีนเพราะผมโฟกัสแค่ช่วงหน้าอกกับโทรศัพท์ในมือเท่านั้น ทว่าโดนรวมก็รู้ว่าเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน เออว่ะ เขาไม่ได้ตั้งแจ้งเตือนโพสต์ไอจีเหมือนผมนี่หว่า โอย ลืมไปเลยว่าไม่ใช่ตัวเองที่ติดตามคนที่ชอบแทบทุกฝีก้าว ทำใจ กลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อดีกว่า เฮ้อ

ไม่ไกลเกินห้าร้อยเมตรคือจุดหมายปลายทางของเรา ผมลอบมองหน้าปัดรถยนต์ที่ตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม หิวก็หิว นอยด์ก็นอยด์ที่สุดท้ายแล้วคีนก็ดูคลิปนั้นจนจบแถมยังตอบไลน์คนอื่นๆ อย่างสนุกสนานไม่ยอมอ้าปากคุยกับผมสักนิด ตกลงว่าเขาเขิน แกล้งกัน หรือโกรธเนี่ย ชักเริ่มทำตัวไม่ถูก

“นั่งหน้าบูดมาตลอดทางเลยนะ” อยู่ๆ เสียงทุ้มติดขำก็เอ่ยขึ้นเมื่อรถจอดอยู่ในบริเวณเอเชียทีคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมชะงักมือที่กำลังจะกดปุ่มดับเครื่องยนต์แล้วมองคนข้างตัวอย่างไม่เชื่อสายตา ก็เห็นว่าสนใจแต่โทรศัพท์ไม่ใช่เหรอวะ?

“ตาฝาดหรือเปล่า?” ผมแกล้งถามในขณะที่เอื้อมมือกดปุ่มดับเครื่องได้สำเร็จ ในใจพะว้าพะวงอีกทั้งยังตื่นเต้นอีกต่างหาก ไม่แน่ว่าคีนอาจจะสังเกตกันอยู่ตลอดเวลาหรืออีกทางหนึ่งคือตั้งเตือนการอัปเดตไอจีของผม อะ โรคหลงตัวเองกำเริบนิดนึง ก็คนมันหวังไง อยากเป็นที่รักของเขาบ้าง

“อยากให้เราสนใจล่ะสิ” อะ โดนไปอีกหนึ่งดอกจนรู้สึกว่าอากาศในรถเริ่มอบอ้าวขึ้นมา ผมเงอะงะเปิดประตูแล้วลอบสูดลมหายใจแรงๆ เพื่อประคองไม่ให้สติแตก นี่สรุปว่าคีนรู้ตลอดว่าผมงอแงให้เขาสนใจสินะ น่าอายโคตรๆ โอ๊ย ไอ้กากบ๊วยเอ๊ย ไม่ใช่เด็กสามขวบเรียกร้องหาความรักจากแม่นะ จะให้ลบรูปในไอจีทิ้งตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วมั้ง

“ระ รู้ด้วยเหรอ?” ผมถามเสียงสั่นก่อนจะยกมือปาดเหงื่อ แล้วทำไมกูไม่ลงจากรถสักทีวะเนี่ย นั่งทำเอ็มวีอยู่ทำไม๊

“อื้อ ก็เราตั้งแจ้งเตือนไอจีของกิมไว้นี่”

“ห๊ะ...” ตอนนี้รู้สึกเหมือนหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลมเลยว่ะ จริงดิ ตั้งแจ้งเตือนไอจีผมเนี่ยนะ แบบนี้สรุปว่าเขาเริ่มรู้สึกดีๆ กับตัวเองได้แล้วหรือยังนะ โอย ตื่นเต้น

“รีบไปถ่ายรูปกันดีกว่าเนอะ” คีนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนที่มือนุ่มจะวางลงบนหัวของผมแล้วออกแรงขยี้เบาๆ แม่ง หัวใจเต้นแรงมาก ทำไงดีวะ แทบอยากจะหันไปดึงเขามาฟัดให้จมเบาะ ไม่ถ่ายรูปแล้วได้ปะ โอ๊ย!

คีนอ่อยใช่ไหม? ผมเข้าใจถูกใช่ปะ? น่าจับปั้นเป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องฉิบหาย น่ารักเกินไปแล้วเว้ย!

เชี่ย เชี่ย เชี่ย

ผมนั่งสบถคำนี้มาร่วมสิบนาทีตั้งแต่เริ่มหย่อนก้นนั่งในร้านแห่งหนึ่งในเอเชียทีค ข้างๆ คีนมีผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเข้ามาคุยอย่างสนิทสนมและถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัวกันอย่างไม่เคอะเขิน ยิ้มหัวเราะราวกับผมคือส่วนเกินในชีวิต อะไรวะ มันคือใครเนี่ย!? รู้แค่ว่าเป็นเด็กมอปลายแน่ๆ เพราะเรียกเขาว่าพี่

“พี่คีน อาทิตย์หน้าไปพัทยากันปะ?” เจ้าเด็กที่ชื่อ ‘นุ่ม’ เอ่ยชวนคีนด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแถมยังขยับเข้าไปซบหน้าลงกับลาดไหล่กว้าง เขาคลี่ยิ้มบางเหมือนเอ็นดูนักหนาแถมยังเอื้อมมือลูบหัวมันอีกด้วย นี่แกล้งผมกันหรือเปล่า จะด่าจะว่าจะห้ามก็ไม่ได้ในเมื่อสถานะระหว่างเราก็แค่เพื่อน โอย อยากอาละวาดให้หม้อชาบูกระจุยฉิบหาย สนิทกันเกินหน้าเกินตาแล้วเว้ย

“เราไปกับใครหื้ม?” ทางนี้ก็อ่อนโยนเหลือเกิน น้ำเสียงนุ่มนวล สายตาเอ็นดูแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกอิจฉาเด็กนุ่มตะหงิดๆ เลยเอาไปลงกับหมูสไลด์ในหม้อชาบู จ้วงมันขึ้นลงจนกว่าเนื้อจะขาวจนน้ำกระเซ็นใส่ตัวเอง! แม่ง อะไรก็ขัดใจไปหมด โว๊ย แดกแม่งคนเดียวก็ได้

“เพื่อนๆ ฮะ ทริปถ่ายรูปน่ะ ไปกับผมน้า นะ” นุ่มแทบจะเอาตัวเองขึ้นไปอยู่บนตักคีนแล้ว แต่คนโดนตื๊อก็ยังคงเฉยๆ ต่างจากผมที่เคี้ยวกุ้งทั้งเปลือกด้วยความหงุดหงิด... ไม่ใช่หรอก แต่เป็นความหึงหวงต่างหาก ถ้าไอ้เด็กนี่จะมาไม่นี้ก็คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากพยายามจีบรุ่นพี่ ที่สำคัญคือมันหน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมไง ไม่เหมือนผมที่ตัวใหญ่อย่างกับควายแถมหน้าตาไม่ได้หล่อเกาหลีอีก

“พี่คงไปไม่ได้ครับ ติดงานถ่ายพรีเวดดิ้งน่ะ” ในขณะที่เขาตอบคำถามนุ่มก็แอบเหลือบมองผมที่กำลังคีบผัดกาดขาวใส่ปากด้วยสายตาทะเล้นราวกับรู้ว่าตัวเองกำลังถูกหึงหวง เดี๋ยวเถอะ จะเอาคืนให้เข็ด คราวนี้ไม่หอมแก้มแล้วเถอะ เป้าหมายคือปากช่างเจรจาคำหวานใส่น้องมันนี่ล่ะ

“โธ่ อยากให้ไปด้วยกันจัง เสียดายอ่า” น้องทำเสียงกระเง้ากระงอดดูน่ารัก ในสายตาของคีนก็ไม่ต่างกันเพราะรายนั้นเอาแต่หัวเราะด้วยความเอ็นดูคนข้างหายเหลือเกิน ผมเบนสายตาหนีภาพตรงหน้าก่อนพยายามสงบจิตใจด้วยการคีบลูกชิ้นลงหม้อแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปส่งไปอวดเพื่อนรักสองคน

“ไว้คราวหน้าเนอะ”

“ก็ได้ฮะ แล้วช่วงนี้ไม่ว่างเหรอ? ไม่ค่อยตอบไลน์ผมเลย น้อยใจอะ”

แม่ง ถึงขนาดตามตื๊อในไลน์ด้วยเหรอวะ ตะเกียบในมือแทบหักสองท่อน ไอ้ผมก็ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคีนมากกว่าที่มหา’ลัยเลยสักนิด หนุ่มฮอตอย่างเขาคงมีคนเข้าหาเยอะพอควร ขนาดผมหน้าตาขรึมๆ ยังเคยมีสาวหลงเข้ามาจีบเลย

“โอ๋ๆ นะครับนุ่ม พี่ไม่ว่างจริงๆ นั่นล่ะ”

มีโอ๋ด้วย! ไอ้เด็กนี่ก็ยิ้มตาปิดเชียว มันน่าเตะไหมเล่า เห็นผมเป็นอากาศธาตุกันจังวะ

“หึ ไม่ใช่ว่าแอบไปมีแฟนแล้วเหรอ?” นุ่มกระพริบตาปริบๆ จ้องมองคีนอย่างคาดคั้น ผมเองก็เผลอชะงักมือที่กำลังจะหยิบแก้วน้ำเหมือนกัน อยากรู้คำตอบ

“คิดมากน่า” กลายเป็นว่าคีนบอกปัดแต่ผมก็แปลความหมายได้ว่ายังไม่มี ก็ใช่สิวะ เราเป็นเพื่อนกันไง ผมก็แค่ชอบเขา จีบเขา จนถึงวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าสำเร็จหรือเปล่า

“งั้นนุ่มมีหวังใช่ปะ?” เจ้าเด็กตัวเล็กตอกย้ำว่าตัวเองกำลังจีบคีนด้วยคำถามนั้น ผมเผลอกัดกรามแน่นก่อนระงับอารมณ์หึงหวงด้วยการหยิบแก้วน้ำขึ้นกระดกอึกๆ พลางยกมือเช็ดมุมปากไปด้วย ส่วนทางด้านคีนก็ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ระบายยิ้มเหมือนเดิม

“เป็นพี่น้องกันดีกว่าไหมครับเจ้าตัวเล็ก?”

“พี่น้องจูบกันไม่ได้นี่ครับ” เสียงงอนๆ บ่นงุ้งงิ้งแถมยังเบะปากใส่พี่คีนสุดที่รักของตัวเองอีกด้วย เด็กตัวแค่นี้แก่แดดจั๊ง จับเขกหัวสักทีดีไหม

“เรายังเด็ก ไม่ต้องคิดเรื่องมีฟงมีแฟนตอนนี้หรอก”

“นี่คือการปฏิเสธของพี่คีนใช่ไหม?” ไอ้เด็กคนนี้มันฉลาดรู้ทันดีจังวะ ถึงจะไม่ค่อยชอบความขี้ตื๊อของนุ่มสักเท่าไหร่ แต่ผมก็นับถือที่น้องกล้าถามคีนออกมาตรงๆ

“ทำนองนั้น” คีนไหวไหล่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางยกมือขึ้นขยี้หัวเจ้านุ่มจนยุ่งเหยิง แทนที่ผมจะดีใจแต่กลับรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ ถ้าเขาปฏิดสธกันด้วยใบหน้าแบบนี้บ้างผมจะทำยังไงล่ะ เข้มแข็งได้เท่าเจ้าเด็กคนนี้หรือเปล่า

“ใจร้ายอะ แต่เป็นพี่น้องก็ได้” คนที่ทำหน้ามุ่ยเมื่อครู่ตอนนี้กลับยิ้มหวานก่อนจะโผเข้ากอดคีน ผมสังเกตเห็นว่าเขาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกแถมยังส่งยิ้มทะเล้นมาทางนี้อีก สนุกมากไหมเนี่ยที่เป็นคนฮอตให้ผมหึงหวงน่ะ

“ดีมากครับ”

หลังจากนั้นนุ่มก็หันมาสนใจถามไถ่ผมว่าเป็นใคร พูดคุยกันอีกนิดหน่อยเจ้าเด็กนั่นก็ขอตัวกลับไปที่โต๊ะ สายตาสุดท้ายที่น้องมองคีนเต็มไปด้วยความชื่นชมมากกว่าความรัก ซึ่งว่ากันตามจริงคงเป็นช่วงวัยที่ยังไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นสักเท่าไหร่ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เอา

พวกเราเริ่มต้นกินชาบูกันอย่างจริงจังในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หมึก หมูสามชั้น ลูกชิ้น ผักนานาชนิดก็ถูกกวาดจนเกลี้ยงโดนฝีมือคีน ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดสภาพเพราะยัดทุกอย่างเข้าไปจนท้องแทบแตก หายใจรวยรินเหมือนมันขึ้นมาจุกที่อก ตอนนี้อยากอ้วกออกจังวะ แต่ก็เสียดาย

“คีน...” ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าแก้วน้ำถูกวางลงบนโต๊ะแล้ว คีนเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่ามีอะไรแต่เพียงแค่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มรู้ทัน เฮ้ย ผมยังไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการอะไรเลยนะเว้ย

“จะถามว่าน้องเขาเป็นใครใช่ไหม?” อะ คือแบบอัจฉริยะข้ามคืนมาก สมแล้วที่เป็นคนอยู่ในใจของผม ไม่ได้รู้สึกอึดอัดที่เขาตามทันแต่กลับชอบซะอีก ดูเหมือนถูกใส่ใจดี

“รู้ทันอีกแล้ว” พึมพำเบาๆ พร้อมกับยกมือเกาแก้มแก้เก้อไม่กล้าสบตาคีน ก็มันรู้สึกอายยังไงไม่รู้ทั้งที่คิดว่าเก็บอาการดีแล้วซะอีก ผมจะโกหกอะไรเขาบ้างได้ไหมเนี่ย

“โห ก็กิมเล่นทำหน้าตาหงุดหงิดขนาดนั้น” คีนเบ้ปากใส่ก่อนจะใช้นิ้มเรียวๆ จิ้มเข้ามาที่แก้มของผมแบบไม่อายใคร แต่กูเนี่ยเขินจนแทบมุดใต้โต๊ะ เพิ่งรู้ว่าเขามีโมเม้นต์แบบนี้ด้วย ฮึ่ย ไม่น่าหลงอิจฉาไอ้นุ่มเลย

“เราแค่... หึง” ปลายประโยคแผ่วเพราะมีแค่ลมที่หลุดออกไป ผมรวบรวมความกล้าเพื่อช้อนตามองคีนที่ไม่หือไม่อือเพราะกำลัง... หน้าแดง! โอย คือเขินใช่ไหม ทำไมน่ารัก อยากฟัดๆๆๆๆ

“อื้อ เรารู้แล้ว...” ตอบกลับเสียงแผ่วไม่แพ้กันเลยแฮะ แถมยังเม้มปากแน่นจนกลายเป็นสีขาวอีก

“นุ่มเป็นเด็กที่เรียนถ่ายรูปกับเราน่ะ” ประโยคตามหลังมาทำให้ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก แต่ก็ยังคงสงสัยว่าจริงๆ แล้วนุ่มจีบคีนจริงใช่ไหม เพราะจากที่ฟังน้องมันพูดแค่ละคำคือการหยอดดีๆ นี่เอง แต่สกิลคงไม่เทียบเท่าผม

“น้องจีบคีนเหรอ?”

“อ่า... มันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดที่กิมจีบเราหรอก คล้ายๆ เด็กติดพี่มากกว่า” คีนอึกอักเล็กน้อยแต่ก็อธิบายให้ผมเข้าใจได้ง่าย อารมณ์เด็กติดพี่ โหยหาความรักจากคนที่ตัวเองปลื้มสินะ เชื่อว่าใครหลายๆ คนคงรู้สึกเหมือนเจ้านุ่ม แม่กระทั่งผมเองก็เคยผ่านอะไรจำพวกนี้มาบ้างเหมือนกันตอนเรียนมอสี่

“ชอบไหม?” อะ ผมหลุดถามอะไรวะ คือแบบมันไม่มีประธานหรือกรรมสักอย่าง เหมือนพูดลอยๆ มากกว่า โอย สติเว้ยสติ

“หืม ถามถึงกิมหรือนุ่ม?” แต่เหมือนว่าคีนจะเป็นพวกตีความได้ไว ส่วนไอ้คนตั้งคำถามอย่างผมนี่ต้องทบทวนใหม่ว่าเมื่อครู่พูดอะไรไปบ้างวะ ถึงขั้นเอามือนวดขมับแล้วเนี่ย สงสัยกินชาบูเยอะเลยรู้สึกเบลอๆ ง่วงนอน

“กะ ก็ต้องนุ่มสิ” เออ ผมจะถามคีนว่าชอบนุ่มหรือเปล่าไง

“ชอบ...” คีนตอบด้วยใบหน้าเปลี่ยนยิ้ม แต่ผมกลับ...

“.....” ขมวดคิ้วแน่น เม้มริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ มือที่จับขาอ่อนอยู่กำลังสั่นระริก ตกลงว่าเขาชอบนุ่มในเชิงชู้สาวใช่ไหม

“แต่ชอบในฐานะน้องไง อย่าขมวดคิ้วสิ” อะ คีนแม่งจงใจแกล้งกันแน่ๆ เพราะเขาหัวเราะออกมาหลังจากที่ผมอ้าปากพะงาบ ดวงตาคมเบิกกว้าง ฮึ่ย ระวังโดนเอาคืน!

“ขี้แกล้ง” ผมชี้หน้าคาดโทษแต่คีนกลับไหวไหล่แสดงความไม่กลัวออกมาชัดเจน คนอะไรน่ามันเขี้ยวเป็นบ้า ถ้าได้กอดได้ฟัดเมื่อไหร่จะเอาให้น่วมเลยคอยดู

“นิดนึงน่า ก็กิมชอบทำหน้าเครียด”

“แล้วคีนชอบเราบ้างหรือเปล่า?” อันนี้ผมจริงจังมากและหัวใจก็เต้นแรงมากเช่นกัน แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะแตะนิ้วลงบนริมฝีปากตัวเอง

“ยังไม่ถึงเวลาให้คำตอบ อย่ารีบสิ” แล้วอะไรคือการขยิบตาตบท้ายประโยควะ คนเจ้าเล่ห์เอ๊ย!

ตอนนี้เราทั้งสองคนออกมาเดินย่อยอาหารพร้อมกับพูดคุยถึงเรื่องคอนเซ็ปต์การถ่ายรูปส่งเข้าประกวดในครั้งนี้ หัวข้อ ‘Colorful of Night’ สามารถตีความได้หลากหลายแต่สำหรับผมคือสีสันของแสงไฟในยามค่ำคืน จุดที่เหมาะแก่การลั่นชัตเตอร์คงเป็นภาพร้านรวงต่างๆ หรือริมแม่น้ำ แต่เด่นสุดคงเป็นชิงช้ายักษ์นั่น



ต่อด้านล่างน้า


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ทำไมรูปมันมืดขนาดนี้วะ?” ผมพึมพำเมื่อเห็นสิ่งที่แสดงบนหน้าจอ LCD แทบจะดำสนิท ลั่นชัตเตอร์ไปกี่รอบก็ยังเป็นเหมือนเดิมจนเกือบอารมณ์เสียขว้างกล้องทิ้ง แต่เสียดายที่ราคามันแพงและยังใช้งานไม่คุ้มเลยยั้งมือไว้ได้ทัน ใจเย็นหนอไอ้กิม มึงอย่าเพิ่งใจร้อนเดี๋ยวจะทำให้คีนรู้สึกแย่ที่ชวนเราออกมาถ่ายรูป

“เราขอดูหน่อยสิ” คีนขยับเข้ามาใกล้จนผมที่กำลังงอแงกับกล้องในมือถึงกับชะงักเพราะได้กลิ่นหอมจากตัวเขา รู้สึกได้ว่าช่วงไหล่ของเราแตะกันเล็กน้อยและไม่มีใครหลักหนีสัมผัสนั้นราวกับมันเป็นเรื่องปกติ ฮือ ไม่อยากถ่ายรูปแล้ว อยากฟัดคนมากกว่าไง

“ถ่ายกี่รอบก็เหมือนเดิมว่ะ” แต่ผมก็ต้องเก็บอาการเพราะตอนนี้ถือว่าเราทั้งสองคนกำลังทำงานกันอยู่ ตั้งสติจดจ่อกับรูปมืดๆ ตรงหน้าก่อนสิวะไอ้บ๊วย ไม่ใช่เอาแต่ลอบมองแก้มเขาแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกแบบนี้ มึงจะโรคจิตเกินไปแล้วจ้า

“กิมใช้โหมด Manual ถ่าย แต่ไม่ปรับค่ารูรับแสง ISO แล้วก็ Speed Shutter มันจะถ่ายได้ยังไงกันเล่า” คำบ่นกลั้วเสียงหัวเราะนั้นมาพร้อมกับแรงดีดหน้าผากของผมดังป๊อกทำให้สติที่ล่องลอยกลับเข้ามามาเผชิญความจริงที่ว่าตัวเองโคตรโง่ ใช้โหมดถ่ายรูปจังผิดประเภทเหรอวะ โอ๊ย หรือปีการศึกษาใหม่กูควรซิ่วไปเป็นเฟรชชี่คณะอื่นเนี่ย

“อ้าวเหรอ? เราปรับไม่เป็น” ผมหัวเราะแห้งๆ ตบท้าย อายจนไม่กล้ามองหน้าคีนเลยให้ตายเถอะ

“จริงๆ ใช้โหมดถ่ายภาพกลางคืนก็ได้มันจะตั้งค่าอัตโนมัติให้อยู่แล้ว แต่ให้สมชื่อเด็กเรียนสาขานี้ก็ต้องหัดปรับให้เป็น” คีนอธิบายก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างดึงชายเสื้อของผมให้เดินตามไปหาที่นั่ง แผ่นหลังกว้าง ผมสีน้ำตาลที่พลิ้วตามลม ช่วงขายาวๆ ก้าวไปด้านหน้า ไม่ว่าอะไรก็สามารถดึงดูดสายตาผมได้ทั้งนั้น สมแล้วที่เขาได้ตำแหน่งเดือนคณะไป

“นั่นสินะ มันต้องทำยังไงบ้างเนี่ย?”

เดินตามหลังนานไปแล้วมั้ง ตอนนี้ขอเดินเคียงข้างคงไม่ว่ากันหรอกนะ

“เราสอนคร่าวๆ นะ คืองี้... ถ้าต้องถ่ายรูปตอนกลางคืนควรปรับค่ารูรับแสงให้เลขน้อยที่สุด อย่างกิมใช้เลนส์ Kit ที่แถมมากับกล้อง ก็คือ f4 เนอะ” คีนหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตัวยาวแล้วเริ่มสอนทฤษฎีการตั้งค่าโดยใช้ระบบ Manual แบบคร่าวๆ ให้ฟังพร้อมกับที่มือเรียวกดนั่นนี่บนกล้องไปด้วย อืม ท่าทางสมกับเป็นครูสอนถ่ายภาพจริงๆ โคตรมีเสน่ห์ รู้แล้วว่าทำไมนุ่มถึงได้ตื๊อเขานักหนา

“กิม ฟังอยู่ปะ?”

แฮะ โทษที มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ

“ฟังๆ แล้วยังไงต่อ?” ผมเปลี่ยนท่าทีเป็นสนใจกล้องในมือคีนแทนที่จะเป็นใบหน้าหล่อๆ ของเขา

“ต่อมาคือค่า IOS หรือ ค่าความไวแสงเนี่ย ต้องลองปรับดูตามความเหมาะสม ทดลองถ่ายไปปรับไปก็ได้ แต่เราไม่แนะนำให้ตั้งตัวเลขสูงๆ นะ เดี๋ยวมันจะเกิด Noise ในรูป”

“อ้อ... โอเคครับ พอจะเข้าใจ”

“ส่วนเรื่อง Speed Shutter...” เขายังคงสอนต่อไปเรื่อยๆ ผมก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาคนเพิ่งหัดใช้กล้องโปรฯ ระดับกลาง ทดลองปรับการตั้งค่านั่นนี่ไปเรื่อยจนได้ภาพที่พอใจ หลังจากนั้นคีนก็ขอปลีกตัวไปจัดการงานของเขา ส่วนผมก็มุ่งมั่นกับไอ้ชิงช้ายักษ์ตรงหน้านี่ล่ะ มุมไหนมันจะสวยจนกรรมการตะลึงวะ

กว่าจะได้กลับบ้านก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม คีนเดินกลับมาหากันด้วยสีหน้าพอใจ เดาว่าคงจะได้รูปที่ต้องการใช้ส่งประกวดแล้ว ส่วนผมก็ค่อยให้เขาช่วยเลือกภาพจากจำนวนที่ลั่นชัตเตอร์ไปเกือบร้อย มันต้องมีสักหนึ่งล่ะน่าที่ใช่ได้ ฮึบ

ผมใช้สมาธิในการขับรถมากกว่าปกติเพราะไม่ค่อยได้ออกมาเตร็ดเตร่ช่วงกลางคืนบ่อยนักจึงไม่คุ้นชิน เพลงที่เปิดคลอในตอนนี้ช่างเข้ากับบรรยากาศด้านนอกซึ่งมีฝนตกปรอยๆ คือมันก็โรแมนติกดีแต่คีนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนอกจากกล้องในมือเลย คงจะเช็ครูปที่ถ่ายมาแน่ๆ โธ่ เวลานี้ควรใช้พูดคุยกันให้คุ้มค่าไม่ใช่เหรอ อีกไม่กี่นาทีก็ต้องแยกย้ายบ้านใครบ้านมันแล้วนะ

“คีน” ผมตัดสินใจเรียกชื่อเขาเมื่อเราเงียบใส่กันมาร่วมสิบนาที ลอบมองปฏิกิริยาคนข้างๆ แล้วก็มีการชะงักนิดหน่อย ก่อนที่ใบหน้าหล่อจะเอียงมาทางนี้พร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ใครจะหาว่าผมทำตัวงอแงก็ได้ มันอยากคุยกับเขานี่

“หืม?” คีนลดกล้องในมือลง ยืดตัวขึ้นแล้วหันมามองหน้าผมอย่างตั้งใจ ถ้าเขาขยับเข้ามาใกล้อีกนิดนี่ผมสติแตกจริงๆ นะเว้ย บรรยากาศยิ่งพาไปให้คิดเรื่องอกุศลอยู่ด้วย ฮึ่ย แต่ไอ้สิ่งที่คิดจะพูดต่อไปก็มีความเขินเกิดขึ้นนิดๆ ล่ะน่า แบบว่า...

“นอนค้างที่บ้านเราปะ?” เออ ก็จะชวนค้างที่บ้านไง เนี่ย ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่คงหลับตาปี๋หลังพูดจบเพราะลุ้นคำตอบจากคีน ผมรู้สึกภูมิใจตัวเองนะที่กล้าพูดในสิ่งที่คิดมากขึ้น คงได้แรงกระตุ้นมาจากน้องนุ่มล่ะมั้ง

“ทำไมถึงชวน?” แล้วทำไมคันต้องเอียงคอถามด้วยเล่า รู้ไหมว่ามันน่าปล้ำ เอ๊ย น่ารักพอๆ

“ก็... ดึกแล้ว ขับรถนานๆ มันอันตรายไง ฝนเริ่มตกหนักด้วย” ผมชี้มือชี้ไม้ไปทางด้านนอกรถให้คีนมองดูสถานการณ์ด้านนอกรถซึ่งตอนนี้ฝนเทกระหน่ำจนแทบมองไม่เห็นทาง อีกอย่างคืออากาศเย็นลงทุกทีจนอยากหาอะไรอุ่นๆ มาซุก ถ้าได้กอดเขาตอนนี้คงฟินน่าดู อ่า... เลิกคิดฟุ้งซ่านสิวะ เดี๋ยวก็ลงข้างทางหรอกกู!

“ไม่ใช่ว่าอยากนอนกับเราเหรอ?” คีนถามเสียงทะเล้นก่อนที่มือนิ่มๆ จะคว้าจับที่แก้มของผมแล้วออกแรงดึง ที่จริงมันก็เจ็บแต่ผมไม่ได้โวยวายเพราะตกใจมากกว่า ทำไมกลายเป็นคนยั่วเก่งขึ้นมาว่ะ แค่อ่อยนิดๆ หน่อยๆ ไอ้กิมก็จะตายแล้วครับ ไม่ต้องอัปสกิลขนาดนี้ก็ได้ สงสารใจผมหน่อยเถอะ เนี่ย เต้นแรงจนแทบทะลุอกเลย

“เฮ้ย! มะ ไม่ใช่ เราไม่ได้คิดลามกเว้ย” ปฏิเสธเขาแต่เสือกลนลานเหมือนทำความผิด เออ ผมเผลอจินตนาการไปถึงตอนที่ตัวเองคร่อมคีนไว้แล้วเถอะ โอย พอเรื่องหื่นนี่เก่งเชียวนะไอ้บ๊วย ถ้าพ่อแม่รู้คงดีใจพิลึก

“เราก็หมายถึงนอนร่วมเตียงกันเฉยๆ เถอะ” คีนหัวเราะคิกคักราวกับถูกใจที่ทำให้ผมลนลานพูดความคิดตัวเองออกมาจนหมดเปลือก ฮื่อ! กลัวถูกปล้ำหน่อยเหอะจ้า

“พูดกำกวมแกล้งเรานี่หว่า” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับที่รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว ไม่ได้มีอารมณ์นะ แต่อายที่ปล่อยไก่ออกไปเมื่อครู่ไง คนทั้งโลกเขารู้หมดแล้วว่านายกวินท์นิสัยเป็นยังไง... หื่น หื่น หื่น!

“ตกลง”

เดี๋ยว จะมาพูดอะไรลอยๆ ไม่มีประธานกรรมใส่ผมตอนนี้ไม่ได้นะเว้ย สมองประมวลผลไม่ทันแล้ว

“ห๊ะ?”

“เราจะค้างบ้านกิมไง” คีนพูดพร้อมคลี่ยิ้มหวานให้ หัวใจของผมเต้นตึกตักเหมือนประสบความสำเร็จก้าวแรกในชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

“เยส!” ไอ้ฉิบหาย ลืมตัว! ตะครุบปากแทบไม่ทันเลยเว้ย อีกคนก็หัวเราะคิกคักราวกับถูกใจนักหนา

“ดีใจออกนอกหน้าเกินไปแล้ว”

โธ่ ก็คนมันมีหวังนี่นา

ตอนนี้กลายเป็นผมที่มีท่าทีกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นคีนนั่งอยู่บนเตียงของตัวเอง ความคิดอกุศลเริ่มทำงานจนต้องส่ายหัวสลัดทุกอย่างออกไป สูดหายใจเข้าลึกๆ กำหนดจิตใจให้ผ่อนคลาย

“เอ่อ คีนจะอาบน้ำก่อนเราไหม?” ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูก ส่วนคีนน่ะเหรอ ท่าทางสบายๆ เหมือนอยู่บ้านไปอี๊ก

“อื้ม เดี๋ยวเราอาบก่อนแล้วกัน” คีนยิ้มก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางยกมือสูงแล้วบิดขี้เกียจจนเห็นหน้าท้องขาวๆ ที่มีมัดกล้ามเล็กน้อยปรากฏสู่สายตา ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคออย่างยากลำบาก หันหนีภาพตรงหน้าด้วยหัวใจเต้นตุบตับ เวรเอ๊ย น้องชายจะแข็งตอนนี้ไม่ได๊

“โอเค สะ เสื้อผ้าก็เลือกได้ตามสบายเลยนะ” โอ้โห ไอ้เชี่ยเอ๊ย เสียงสั่นยิ่งกว่าแผ่นดินไหวอีก นี่ขนาดตั้งสติก่อนสตาร์ทแล้วนะ ผมแอบยกมือไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้คีนจับพิรุธได้เลยเนี่ย สาธุๆ

“ครับ ขอบคุณนะ”

จ้า ไม่ต้องเดินมาแตะไหล่ให้ผมสะดุ้งเล่นๆ แล้วเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะก็ได้นะ คืออายจนไม่รู่จะเอาหน้าลอดหว่างขาดีหรือเปล่า ฮือ

หลังจากที่นอนคว่ำบนเตียงเพื่อให้น้องชายสงบลงเกือบครึ่งชั่วโมง ตัวต้นเหตุก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าสดชื่น เขาไล่ผมไปอาบต่อก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาเพื่อเช็ดหัวให้แห้ง ไอ้เราก็เด็กดีลุกขึ้นตามคำสั่ง ตรวจตราสภาพเป้าเรียบร้อยก็หยิบเสื้อผ้าสับขาวิ่งผ่านหน้าเขา เฮ้อ

ใช้เวลาอาบน้ำอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงเพราะจัดการอะไรๆ ด้วยมือตัวเองด้วย แม่งเอ๊ย พอเห็นคีนในสภาพที่ผ่อนคลายไม่มีท่าทีอึดอัดก็รู้สึกอยากกอดเขาซะอย่างนั้น

“อ้าว หลับไปซะแล้ว” คำแรกที่ผมอุทานเมื่อเห็นร่างสูงทิ้งตัวลงนอนยาวเหยียดอยู่บนเตียง ดวงตารีปิดสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเข้าสู่นิทราไปแล้ว ก็นะ... คีนเล่นเดินรอบเอเชียทีคขนาดนั้นไม่เหนื่อยก็แปลกแล้ว

ผมจัดการตัวเองจนเรียบร้อยก็คลานขึ้นเตียงเบาๆ เพราะกลัวคีนจะตื่น นั่งนิ่งมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วระขายยิ้มอ่อนโยนออกมา อ่า... น่ารักซะจริงๆ เลย เนี่ย ไม่กล้าปลุกมาทวงเรื่องที่ยังไม่ได้บอกกัน ไว้พรุ่งนี้ก็ได้เนอะ

ด้วยความเคยชินก่อนนอนที่ต้องเล่นโทรศัพท์ผมเลยหยิบมันขึ้นมา ไฟหน้าจอสว่างวาบเผยให้เห็นแจ้งเตือนอัปเดตรูปในไอจีของคีน นิ้วเรียวแตะลงบนนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระทึกก่อนต้องอ้าปากค้างเมื่อเจอเข้ากับรูปบางอย่างพร้อมแคปชั่นกระชากหัวใจ

the_kirin.z ชอบองค์ประกอบทุกอย่างในรูป รวมถึง ‘คุณ’ ด้วย

สมองของผมเหมือนหยุดทำงานไปชั่วขณะเพราะมันขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก ดวงตาคมเบิกค้างจ้องมองรูปตัวเองยืนหันหลังให้กับกล้องส่วนด้านหน้าเป็นเจ้าชิงช้ายักษ์นั่น คีนแอบถ่ายเมื่อไหร่กัน แล้วไอ้วิธีบอกชอบผ่านไอจีนี่คิดได้ยังไงวะ โอ๊ย คือแม่งทำอะไรไม่ถูก อยากปลุกเขาให้ลุกขึ้นมากอด อยากให้รับรู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหนที่เรารู้สึกเหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคืออยากถามว่า ‘เราพร้อมที่จะเป็นแฟนกันได้หรือยัง?’ ต่างหาก

กูจะรอให้ถึงตอนเช้าไหวไหมเนี่ย โอ๊ย แต่ตอนนี้ขอโกยหมอนกับผ้าห่มไปนอนบนโซฟาก่อนแล้วกันเพราะกลัวว่าตัวเองอาจเผลอทำอะไรคีน อย่างเช่นการขโมยจูบ... สัดเอ๊ย เลิกฟุ้งซ่าน สงบจิตสงบใจ หลับซะ!



----------------------------------------

แบบนี้มันต้องฉลอง! น้องกิมคนกากาของเราสมหวังแล้วน้า
แต่ๆ ยังไม่ได้เป็นแฟนหรอก ก็น้องคีนน่ะขี้แกล้งจะตายไป 55555

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คีนนนนนน...ทำไมทำกับกิมแบบนี้เดี๋ยวก็หัวใจวายตายก่อนขอเป็นแฟนเหรอ นี้ขนาดบอกเป็นตัวหนังสือนะยังคิด"หื่น"ขนาดนี้ถ้าเป็นคำพูดไม่จับปล้ำเลยเหรอกิน :z1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
จ้า ไม่บอกต่อหน้า แต่ต้องประกาศให้โลกได้รู้เนาะคีนเนาะ
ขนาดแค่หอมแก้ม ยังนอนไม่หลับ นี่บอกชอบเลยนะ
กิมจะรอดไหมคืนนี้ สภาพไม่น่าไหว ตาเป็นแพนด้าแน่นอน

ตลกกิม บ้าบอมาก ไม่ค่อยปกติ แต่ก็ดีกว่าปอมเยอะ
หรือกิมบลัฟเพื่อนให้เสียนะ 55555

ปอมเอ้ยย จะเล่นจะจริง ก็ให้แน่นะ ระวังโฮมหนี

ว่าน จะล้ำหน้าเพื่อนมากไม่ได้นะ รอก่อน 

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 18

Keen’s Part



ผมไม่เคยคิดเลยว่าการบอกชอบใครสักคนผ่านโซเชี่ยลจะทำให้เขินได้มากขนาดที่ว่าต้องแกล้งทำเป็นหลับ นอนตัวแข็งทื่อแทบไม่กล้าหายใจเพราะกลัวว่ากิมจะรู้ มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบและชื้นเหงื่อด้วยความตื่นเต้นกับผลตอบรับของอีกฝ่าย
เสียงประตูห้องน้ำที่เปิดออกทำให้ผมยิ่งรู้สึกเกร็งมากยิ่งขึ้น ยิ่งสัมผัสได้ถึงจังหวะการย่ำเท้าของอีกฝ่ายหัวใจก็พลันเต้นระรัวจนแทบกระดอนออกมาด้านนอก จริงๆ อยากลืมตามองแต่ก็อายเขินกว่าจะทำแบบนั้น โอย คนอื่นเขาได้สารภาพความรู้สึกแล้วต้องโล่งอกไม่ใช่เหรอ ดูอย่างผมนี่สิเหมือนคนใกล้ตายเลย... หายใจไม่ทั่วท้อง
เวลาผ่านไปนานเกือบสิบนาทีแล้วที่กิมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ไม่มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจใดๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่าอาจจะใช้วิธีบอกชอบผิดไปหรือเปล่า ต้องพูดต่อหน้าไหม? อ่า... ก็เพิ่งเคยรู้สึกกับคนอื่นมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก กิมเก่งมากเลย
พรึ่บ!
ผมลืมตาขึ้นเมื่อเสียงแรกที่ได้ยินคือการที่กิมรวบเอาหมอนและผ้าห่มเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องนอนด้วยท่าทางรีบร้อนจนแทบสะดุดขาตัวเองล้มหน้าทิ่มพื้น ผมลุกพรวดมองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกสับสน เขาโกรธอย่างนั้นเหรอ? โธ่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกยอมบอกชอบต่อหน้าเลยดีกว่า แล้วคราวนี้จะแก้ปัญหายังไงดี?
ต้องตามไปง้อสินะ แต่ขอรวบรวมความกล้าอีกสิบนาทีแล้วกัน
หลังจากนั่งเรียบเรียงคำพูดจนเข้าที่เข้าทาง ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงพร้อมจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความมั่นใจ เอาวะ ถึงจะเขินแค่ไหนก็ต้องทำให้กิมหายงอน ก็ชอบเขาไปแล้วนี่นา เรื่องง้อถือว่าเล็กน้อยมาก
ผมก้าวขาด้วยความมั่นใจไปที่ประตู ในขณะที่กำลังจะเอื้อมมือจับลูกบิดก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพำดังมาจากด้านนอกเลยลองเอาหูแนบแอบฟัง จับใจความได้ประมาณว่า ‘คืนนี้กูต้องตายแน่ๆ’ ซึ่งมันสามารถแปลความหมายได้ทั้งดีและไม่ดี ผมเริ่มขมวดคิ้ว ชั่งใจ ลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเผชิญหน้ากับกิม
“คีนแม่ง... โคตรหน้าฟัด”
“อะ...” ผมชะงักกึกเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัดเจน มือที่จับลูกบิดประตูให้เปิดออกไหลลงไปอยู่ข้างตัวเพราะหมดแรง ดวงตารีเบิกโต ปากอ้าพะงาบๆ กลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไปจนหมดเกลี้ยง ที่แท้กิมก็ไม่ได้โกรธแต่กำลังสติแตกต่างหาก เดาได้จากสภาพหัวกระเซอะกระแซงจากการขยี้อย่างแรง นี่ผมเห็นแค่ด้านหลังเขานะ ถ้าเจอหน้ากันจังๆ จะเป็นยัง...

“เฮ้ย ยะ ยังไม่หลับเหรอคีน?” อยู่ๆ กิมก็หันหน้ามาทางนี้ก่อนที่ดวงตาคมจะเบิกโต ริมฝีปากหยักอ้ากว้าง นิ้วมือเรียวยาวชี้มาทางนี้เหมือนเห็นผมเป็นผีก่อนเอ่ยถามประโยคนั้นออกมา

ผมตอบรับด้วยการคลี่ยิ้มแหยๆ พลางคิดในใจว่ากิมจะหันหน้ามาเจอกันตอนนี้ทำไมเนี่ย นี่ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันเหอะ ให้ตายๆ ถ้าหันหลังกลับเข้าห้องโดยไม่พูดอะไรมันดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่านะ? แค่คิดไว้เท่านั้นล่ะ เพราะความจริงขาของผมดันก้าวเข้าไปหาเขาน่ะสิ อยากโดนฟัดใช่ปะเนี่ย โอย เกลียดตัวเอง

“ก็... อื้ม แล้วทำไมกิมขนหมอนกับผ้าห่มมานอนตรงนี้ล่ะ?” ผมถามไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้สึกว่ากิมจ้องมาทางนี้ไม่วางตา บรรยากาศรอบตัวของเราเต็มไปด้วยความขัดเขินต่างคนต่างอ้อมแอ้มไม่กล้าเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นในไอจี

“คือ...”

คืออะไรเล่า พูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไปแถมยังหลบหน้ากันแบบนั้นจะให้คิดยังไง

ผมก้าวขาเข้าไปใกล้กิมจนสามารถเอื้อมมือแตะไหล่กันได้ เขาสะดุ้งเฮือกก่อนจะช้อนสายตาหวานเชื่อมมองมาทางนี้ ครั้นอยากถอยออกกลับโดนมืออุ่นคว้าช่วงเอวสอบไว้แล้วซุกใบหน้าเข้ากับท้องของผมพลางถูไถเบาๆ เหมือนต้องการอ้อน แต่ไอ้อาการหูแดงคือเขินถูกไหม? ทำไมน่ารักแบบนี้...

“ทะ ทำอะไรเนี่ย?” ผมถามกลับเสียงตะกุกตะกักในขณะที่ก้มมองกิมด้วยใบหน้าร้อนผ่าว เขายังคงถูไถหัวทุยไปกับช่วงท้องไม่ยอมสบตากันสักทีแถมแรงกอดรัดยังเพิ่มขึ้นมากว่าเดิมซะอีก ตอนนี้ผมเหมือนจะขาดอากาศหายใจได้ทุกเวลา รู้สึกดีมากเกินไปแล้ว

“เขินว่ะ” น้ำเสียงอู้อี้ที่ตอบกลับมานั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่าว่าแต่เขาเขินเลย ทางนี้ก็มีอาการไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ยิ่งคิดว่าตัวเองกล้าหาญสารภาพความรู้สึกด้วยวิธีแบบนั้นไปได้ยังไงยิ่งอยากมุดดินหนี ป่านนี้ในไอจีคงมีคอมเม้นต์แซวเยอะแยะแล้วมั้ง

“เขินอะไร?” ผมแกล้งถามพร้อมกับแกล้งตบมือปุๆ ลงบนศีรษะทุยอย่างหยอกล้อหวังว่าเขาจะตอบกลับด้วยท่าทางเขินอายเหมือนทุกครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือกิมผละใบหน้าออกห่างเพียงชั่วครู่ก่อนอ้าปากงับเข้าที่ท้องผมจังๆ จนเผลอหลุดร้องออกมา มันบ้ามากที่ดันรู้สึกสยิวขึ้นมา

“ยังจะแกล้งถามกันอีก คีนอยากให้เราตบะแตกหรือไง?” คราวนี้เขายอมปล่อยกันให้เป็นอิสระก่อนจะเงยมองหน้าด้วยสายตาดุดันแต่พราวระยับไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ผมถอยหลังหนึ่งก้าวเผลอเม้มปากแน่นเมื่อสมองประมวลผลความหมายที่กิมต้องการสื่อได้ ไม่ฟัดก็ปล้ำ... ไม่ได้เด็ดขาด เราไม่ควรข้ามขั้นความสัมพันธ์ดิ ความรักต้องค่อยเป็นค่อยไป ถ้าหวือหวามากก็จืดจางเร็ว ส่วนตัวผมคิดแบบนี้นะ

“กะ ก็ถามดู เผื่อเราเข้าใจไม่ตรงกัน” ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นแล้ว แต่ผลที่ได้กลับตรงข้ามแถมยังมีอาการหลบสายตาของกิมอย่างเห็นได้ชัดอีก ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนเขินยากพอสมควรที่ไหนได้พอเป็นเรื่องของคนที่เราชอบกลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย แก้มร้อนชะมัด

“ให้เราจับคีนจูบไหมล่ะ? คราวนี้เข้าใจกันแน่ๆ” ไม่รู้ว่าผมมัวแต่เขินหรือกิมฝีเท้าเบากันแน่เพราะกว่าจะสัมผัสได้ว่าเขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ก็ตอนที่นิ้วเรียวแตะลงมาที่ปลายคางก่อนออกแรงดับใบหน้าของผมให้เงยขึ้นสบตา อืม... หัวใจเต้นเร็วชะมัด ตอนนี้รู้สึกว่ามือไม้เกะกะมาก ควรเอาไว้ตรงไหนดี กำหมัดแล้วต่อยคนตรงหน้าสักทีดีไหม?

“กิมไม่กล้าทำหรอก” ผมไม่ได้ท้าทายแต่ลึกๆ รู้ดีว่ากิมขี้เกรงใจขนาดไหน ฮึบ คืนนี้ต้องรอด

“ก่อนหน้านี้อาจจะใช่ แต่ตอนนี้...” เขาจบคำพูดแค่นั้นก่อนจะยกยิ้มมุมปากที่ทำให้ผมหวาดหวั่น ท่าทางแบบนี้กิมต้องกล้าจูบแน่ๆ ทำไงดี ก็ไม่ได้รับเกียจ แต่เรื่องแบบนี้กับผู้ชายก็ไม่เคยนี่นา

Rrrrr

เฮ้อ เสียงระฆังช่วยชีวิตไว้ได้ทัน ผมลอบยิ้มอย่างโล่งใจแต่อีกคนดูหัวเสียขึ้นมาทันตา ก็นะ โน้มเข้ามาใกล้ขนาดที่ว่าปลายจมูกแตะกันแล้วนี่ อีกนิดเดียวก็จะ... จูบ

“แต่ตอนนี้รับโทรศัพท์ก่อนไหม?” ผมต่อประโยคเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมกับมองกิมด้วยสายตาขำๆ เมื่อเขาผละออกไปแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิงเหมือนรังนกแถมสบถด่าคนที่โทรมายาวยืด โอย ผมขำจริงๆ นะ แต่ต้องกลั้นไว้เพราะกลัวว่าเขาจะเมินมันแล้วทำอย่างอื่นที่ตั้งใจแทน

“โธ่เว้ย ไอ้เชี่ยที่ไหนโทรมาตอนนี้เนี่ย!” กิมผละออกไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะรับแขก ในขณะที่ผมยืนขำกับท่าทางหัวเสียนั่น เขาคงตั้งใจจะจูบกันจริงๆ นั่นล่ะ ร้ายเกินไปแล้ว

“คีนห้ามหนีครับ” เขาหันมาบอกผมเสียงเข้มทั้งๆ ที่คุยสายอยู่กับปอม (ได้ยินเรียกชื่อ) ก็แค่จะเดินเข้าครัวไม่ได้วิ่งหนีออกไปไหนซะหน่อย ขอทำใจสักครู่เถอะ ตอนนี้แทบสำลักความตื่นเต้นปนเขินตายอยู่แล้ว

“โอ๊ะ... แค่จะไปหาน้ำดื่มน่า เราไม่หนีไปไหนหรอก” ผมแสร้งร้องกวนๆ ก่อนคลี่ยิ้มทะเล้นแล้วเดินผ่านหน้าเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดีแต่ในใจนี่แอบลุ้นแทบตายว่าจะโดนฉุดระหว่างทางหรือเปล่า แต่ก็รอดพ้นมาได้เพราะกิมเปิดประตูระเบียงออกไปคุยกับเพื่อนด้านนอกแล้ว

ผมอยู่ตะลึงกับภาพตรงหน้าเกือบหนึ่งสามนาที ถามตัวเองในใจว่านี่ตู้เย็นหรือตู้แช่เบียร์ในร้านขายของชำกันแน่เพราะมีเกือบทุกยี่ห้อ เหลือบสายตามองชั้นบนก็เจออาหารจำพวกไส้กรอก ชั้นล่างสุดมีผลไม้กลิ้งไปมาประมาณสามชนิด ด้านประตูเต็มที่ด้วยขนมขบเคี้ยวและลูกอม มีแซมๆ พวกครีมบำรุงผิวอีกนิดหน่อย อืม... น้ำเปล่าอยู่ที่ไหนนะ?

“คีนครับ”

อะ มาแต่เสียงผมคงไม่ตกใจ ทว่าอ้อมกอดอุ่นจากทางด้านหลังมันน่ากลัวมากรู้ไหม? กลัวว่าสักวันหนึ่งจะขาดมันไม่ได้น่ะสิ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องแย่มากแน่ๆ เลย

“หืม อยากได้อะไรครับ?” ผมไม่ได้ขัดขืนเพราะลึกๆ ก็ชอบความอบอุ่นของเขามากกว่าที่คิด เสียงที่ถามออกไปถึงจะติดทะเล้นแต่ความจริงแล้วนั้นเขินแทบตาย ปากก็เม้มไว้เพื่อกลั้นยิ้มจนรู้สึกเจ็บไปหมด อ่า... ตอนนี้คงไม่ต้องหาน้ำเปล่าแล้วมั้ง

“คือ... เป็นแฟนกันไหม?” น้ำเสียงอ้อมแอ้มแต่กลับดังชัดเจนในความรู้สึกของผม อ่า... สัมผัสได้ด้วยเพราะกิมกระชับกอดแน่นขึ้น

“.....” ผมเอาแต่เงียบเพราะตั้งรับเรื่องนี้ไม่ทันน่ะ ก็เพิ่งสารภาพความรู้สึกไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงบวกกับใบหน้าที่เห่อร้อนจนแทบไหม้ ขอคบ... แฟนคนแรก... โอย ไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ช่วยที

เฮ้อ หลังจากสติแตกไปครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าผมก็อยากตอบรับคำขอคบอยู่หรอก แต่ในความเป็นจริงคือช่วงนี้รับงานเยอะแล้วกลัวจะไม่มีเวลาให้กับกิมเพราะผมไม่เคยมีแฟนเลยกังวลเรื่องนี้เป็นพิเศษเนื่องจากเหตุผลหลักๆของการเลิกกันระหว่างคู่รักก็คือ... นั่นล่ะ อย่างที่เกริ่นไป เอาไงดี

“.....” ส่วนกิมก็เงียบและมองผมนิ่งด้วยสายตาคาดหวัง โธ่ เจ้าหมายักษ์ของคีน รอหน่อยเนอะ

และมันไม่ควรเกิดเดตแอร์นานๆ ว่าไหม?

“กิมรีบเหรอ?” คือ... ไม่ได้กวนตีนแต่ถามจริงๆ เพราะอยากรู้ความคิดของอีกฝ่าย ผมน่ะคบกันตอนไหนก็ได้เนื่องจากรู้ดีว่าตัวเองไม่เปลี่ยนใจแน่นอนแต่กิมอาจรู้สึกถึงความไม่มั่นคงหรือเปล่า

“ก็เปล่า แต่เราใจตรงกันแล้วนี่นา” เสียงหงอยแบบนี้ก็ได้เหรอกิม แต่ผมไม่ใจอ่อนแน่ๆ ถึงจะเป็นว่าที่แฟนคนแรกก็อยากดูแลให้ดีที่สุด ไม่ใช่ทิ้งขว้างด้วยคำว่า ‘ไม่เคยมีมาก่อนนี่ เลยทำตัวไม่ถูก’ ข้ออ้างของคนไม่ใส่ใจความรักมากกว่ามั้ง ผมคิดว่านะ

“ขอเวลาอีกหน่อยนะ ช่วงนี้เรามีงานถ่ายพรีเวดดิ้งเยอะน่ะ กลัวจะทำหน้าที่แฟนให้กิมได้ไม่ดี” ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับกิมแล้วอธิบายพร้อมรอยยิ้มบางๆ มือข้างหนึ่งเอื้อมแตะข้างแก้มของเขาเบาๆ เพื่อปลอบประโลมความรู้สึก เป็นโชคดีที่อีกฝ่ายเข้าใจอะไรได้ง่ายและไม่งอแงจนผมทำตัวไม่ถูก

“อ่า... คีนว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้นครับ” กิมคลี่ยิ้มพลางหัวเราะเบาๆ คล้ายกับว่าเขาได้คำตอบที่ทำให้สบายใจแล้ว ก่อนหน้านี้คงคิดว่าผมจะปฏิเสธเพราะอายคนอื่นล่ะมั้ง หึหึ เจ้าคนคิดมาก แต่ทำตัวน่ารักแบบนี้ก็ต้องชมหน่อยสินะ

“เด็กดี ~” ผมถือวิสาสะเอื้อมมือออกไปขยี้หัวกิมเบาๆ ด้วยความเอ็นดูก่อนจะหลุดขำเมื่อเขาหลับตาพริ้มทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ทะเล้นจริงๆ เล๊ย น่าตีมาก!

“เราขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?” อยู่ๆ กิมก็คว้ามือผมไปจับเอาไว้แล้วเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หืม?” ผมครางรับ เอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“ค่ามัดจำน่ะ” หน้านิ่งแต่ตาเป็นประกายเชียวนะ อันตรายแน่ๆ

“เราต้องเป็นคนจ่ายเหรอ?” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองพร้อมกับเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ตามหลักคนที่จ่ายค่ามัดจำควรจะเป็นกิมหรือเปล่านะ แต่ช่างเถอะ ว่าไงว่ากัน

“อื้ม คีนต้องจ่าย” กิมพยักหน้ารับอย่างแข็งขันจนผมหลุดหัวเราะอีกแล้ว จริงจังมากกว่านี้ได้อีกไหมเนี่ยคนเรา

“อะ ว่ามา เราต้องจ่ายเป็นอะ...” ผมตั้งคำถามแต่ยังไม่ทันจบก็โดนริมฝีปากอุ่นๆ ทาบทับลงมาในตำแหน่งเดียวกันอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ตกใจมาก ทำอะไรไม่ได้นอกจากแสดงความรู้สึกผ่านทางดวงตาที่เบิกโต

“อื้อ!” ผมครางด้วยความตกใจเมื่อริมฝีปากถูกขมเม้มเบาๆ ก่อนที่คนกระทำจะผละออกไปแถมยังยิ้มกริ่มให้กันอีก ไอ้คนฉวยโอกาส

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ หึหึ” ยังมีหน้ามาบอกว่าแค่นั้นแค่นี้อีกหรือไง เล่นทีเผลอมันต้องโดนเอาคืน!

“อยู่นิ่งๆ ให้เราเตะเดี๋ยวนี้เลย!”

และแล้วค่ำคืนนั้นผมก็ได้เตะก้นกิมจนหนำใจจนเจ้าตัวร้องโอดโอยว่ามันคงช้ำเป็นจ้ำม่วงๆ หมดแล้ว ก็สมควรนี่ ชอบฉวยโอกาสดีนัก เอ้อ ส่วนเรื่องที่นอนนั้น... แยกกันคนละห้องน่ะดีมากๆ เลย เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่ายเนอะ

ราตรีสวัสดิ์ (ไม่มีกู๊ดไนท์คิสหรอก หึหึ)

ปกติแล้วผมเป็นคนตื่นเช้าตามนิสัย ทว่าแปลกที่วันนี้ในเวลาเกือบสิบโมงก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม อาจจะเป็นเพราะเตียงของกิมนุ่มกว่าของตัวเองเลยหลับสบายหรือเพราะอ้อมกอดอุ่นๆ ที่คอยเติมเต็มกันอยู่ เดี๋ยวนะ... ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาแอบย่องเข้ามาในห้องกันล่ะ? เออ ช่างเหอะ แบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

อ่า... สุดท้ายคนที่ตื่นก่อนก็เป็นกิมเพราะผมดันเผลอหลับต่ออีกครึ่งชั่วโมง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้กลิ่นหอมของอาหารเช้า อืม จะว่าไปตอนนี้หิวมากๆ เลยล่ะ รีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จดีกว่า

“ตื่นแล้วเหรอ?” คำถามแรกดังขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงห้องครัว สภาพกิมในชุดผ้ากันเปื้อนสีดำสวมทับเสื้อกล้ามขาวคว้านแขนลึกดูมีเสน่ห์เหลือล้นเอามากๆ อยากวิ่งไปหยิบกล้องเพื่อถ่ายภาพที่นานครั้งจะได้เห็น แต่อย่าเลย... เดี๋ยวผมเผลออัปฯ รูปเขาลงไอจีจะงานงอก ไม่ใช่ว่ากลัวคนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา ก็แค่หวง นั่นว่าที่แฟนเชียวนะ!

“อื้อ โทษทีนะ สายไปหน่อย” ผมรีบเบนหน้าหนีลุคพ่อบ้านแสนอบอุ่นปนเซ็กซี่นั่นก่อนที่จะไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้ กิมก็ทำตัวตามปกติเพราะกำลังง่วนอยู่กับการจัดจานอาหารเช้า อืม ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะเรียก...

“ไม่เป็นไรๆ นั่งลงสิ เราทำไข่กระทะให้กิน” เอ้อ นั่นล่ะ ไข่กระทะ อาหารเช้าที่ผมใฝ่ฝันอยากลองชิมสักครั้งในชีวิตซึ่งกิมได้เนรมิตมันขึ้นมาอย่างกับอยู่ในใจกัน เอ่อ... ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นแล้วนี่นา อื้อ แค่คิดก็เขิน

“โห แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว” ผมนั่งลงตามที่ถูกเชิญชวนก่อนจะโบกมือไวๆ เพื่อบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องลำบากทำอาหารเช้าให้ก็ได้ ปกติได้กาแฟสักแก้วก็อยู่ท้องแล้ว ส่วนมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นนั้นไม่ขอพูดถึงดีกว่าเพราะบางคนอาจล้มละลายได้เลย

“ไม่ได้ๆ เดี๋ยวว่าที่แฟนของเราขาดสารอาหาร” น้ำเสียงจริงจังมาก แต่หน้าตานี่ทะเล้นสุดๆ หมั่นไส้จนอยากเตะแต่ผมก็ทำได้แค่พึมพำออกไป

“ไม่เรียกแบบนั้นดิ”

“อายเหรอ? ขอโทษนะ” ทำหน้าหมาหงอยอีกแล้ว

“เปล่าๆ เราแค่รู้สึกไม่ชินน่ะ” อยู่ๆ ก็เป็นว่าที่แฟนของใครขึ้นมา ความรู้สึกมันคันยุบยิบในหัวใจชอบกล

“.....” กิมไม่ยอมพูดอะไรแต่หันหลังให้ผมเพื่อถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะเดินไปหยิบแก้วเงียบๆ เอ่อ บรรยากาศมันมาคุว่าไหม?

“มันเขินไง...” เพราะกลัวกิมจะโกรธผมเลยตัดสินใจหลับหูหลับตาพูดความจริง ฮื่อ คนเราต้องเขินไอ้คำเรียกแทนตัวเองแบบนั้นด้วยเหรอวะเนี่ย ไม่เข้าใจๆๆๆ ผมฟุ้งซ่านเกินเหตุก็เลยยกมือขึ้นบีบแก้มตัวเองเผื่อจะเรียกสติกลับเข้าร่างได้บ้าง โอย ไม่กล้าสบตากับกิมเลย

“ระ เราไปหยิบของที่ซื้อให้ชมจันทร์นะ!” อะไรคือการที่กิมวางแก้วน้ำส้มดังตึงจนมันหกเลอะบนโต๊ะแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปจากครัวล่ะ เดี๋ยวสิ!

“จะไล่เรากลับบ้านแล้วเหรอ?” ผมตะโกนถามเพราะเป็นห่วงไข่กระทะบนโต๊ะ ยังไม่ได้กินเลยนะ ไม่ใช่ว่าอยากยื้อเวลาเพื่ออยู่กับกิมสองต่อสองสักหน่อย

กิมชะงักเท้าไม่ได้เดินต่อแต่ก็ไม่หันกลับมามอง ผมลอบสังเกตอยู่เงียบๆ ก็พบว่าเขากำหมัดแน่นเชียว กำลังข่มอารมณ์เรื่องอะไรอยู่นะ?

“เปล่า เราแค่...” แล้วก็เงียบไป โธ่ ผมลุ้นจนเหนื่อยแล้วเนี่ย หิวก็หิวด้วย

“แค่?” ผมย้ำคำท้ายประโยคเพื่อกระตุ้นให้เขาพูดต่อ ส่วนมือก็เริ่มจับช้อนส้อมขึ้นมาจัดการไข่กระทะ

“รู้สึกว่าคีนน่ารักเกินไปจนกลัวว่าจะอดใจไม่ไหวน่ะ” ความหมายที่ต้องการสื่อชัดเจนจนผมแทบทำช้อนส้อมหลุดมือ ความรู้สึกที่ใบหน้าร้อนวูบวาบกลับมาอีกแล้ว กิมโคตรใจร้ายเลยเพราะทำเราเขินจนเหนื่อย!

“งะ งั้นจะไปไหนก็ไปเลย!” ไล่กิมไปซะก่อนที่หัวใจของผมจะกระเด็นกระดอนออกมาด้านนอกนั่นล่ะ ดีแล้ว

หลังจากได้สัมผัสรสชาติของไข่กระทะเสร็จ กิมก็หอบข้าวของที่เขาซื้อให้ชมจันทร์ขึ้นรถก่อนหันมาชวนผมไปเดตแบบหน้าตาเฉย จะปฏิเสธก็สงสารหมาตัวโตที่เอาแต่จ้องรอคอยอย่างมีความหวัง เอาเถอะ เรื่องนอนเอาไว้ทีหลังก็ได้ ฮึบ

คือ... กิมก็ไม่ได้บอกก่อนว่าจะพาไปเดทที่ไหน แต่มาโผล่โรงพยาบาลแบบนี้ทำให้ผมได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ?

“กิมจะพาเรามาเดทที่โรงพยาบาล?” ผมถามในขณะที่กิมจอดรถสนิทและดับเครื่องยนต์เป็นที่เรียบร้อย ตอนแรกเข้าพยักหน้ารับแต่เหมือนตั้งสติได้เลยส่ายหน้าจนคอแทบเคล็ด เอ่อ... เบาๆ ก็ได้มั้ง เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลย

“เฮ้ย ไม่ใช่ๆ คืองี้ เมื่อคืนไอ้ปอมมันโทรมางอแงว่าท้องเสียแล้วไม่มีคนมาเฝ้าน่ะ” กิมละล่ำละลักอธิบายพลางโบกมือไปมา ผมพยักหน้าเข้าใจแต่ต้องกลับมาขมวดคิ้วใหม่อีกรอบเพราะว่า...

“อ้าว ทำไมไม่บอกเราตั้งแต่เมื่อคืนล่ะ?” ถ้าบอกก็จะไปเยี่ยมปอมพร้อมกับเขา ปล่อยให้เพื่อนเหงาได้ไงเนี่ย น่าตีจริงๆ เลย

“ก็เราไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้อยู่กับคีนสองต่อสองนี่นา” กิมตอบเสียงเบาแต่ดวงตาที่จ้องมากลับสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่าอยากใช้เวลาอยู่กับผมจริงๆ อืม ก็ถือว่าคุ้ม แต่มันดูใจร้ายกับปอมไปหน่อยน่ะสิ

“เจ้าเล่ห์ไม่เลือกเวลาจริงๆ เลย” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งหมัดหนักๆ ลงบนต้นแขนของกิมด้วยความหมั่นไส้ ไม่ชอบไอ้รอยยิ้มหวานแต่ซ่อนความเจ้าเล่ห์นั่นเลย รู้สึกว่าตังเองไม่ปลอดภัยยังไงชอบกล

“โอ๊ย หมัดหนักจัง” กิมร้องโอดโอยหน้าตาบูดบึ้งเกินความจริง ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าพร้อมหัวเราะเบาๆ กับความเล่นใหญ่นั้น เฮ้อ ทะเล้นไม่พอ บางทียังทะลึ่งด้วยอีก ร้ายเกินไปแล้ว

“สำออย เดี๋ยวจะโดนหนักกว่านี้” ผมแกล้งขู่พลางทำใบหน้าขึงขัง กิมเลยเปลี่ยนท่าทางเป็นเรียบร้อยก่อนจะรีบเปิดประตูรถทันที หึหึ แบบนี้ค่อยพูดง่ายหน่อย น่ารักจริงๆ เลย

“หูย เราว่ารีบไปหาไอ้ปอมกันดีกว่าเนอะ ป่านนี้คงแหงาตายแล้วมั้ง”

เอาตัวรอดเก่งจริงๆ เล๊ย เปลี่ยนจากหมาเป็นปลาไหลคงเหมาะกว่า เฮ้อ

เราทั้งสองคนเดินขึ้นอาคารผู้ป่วยอย่างไม่เร่งรีบ ระหว่างทางก็คุยเรื่องสัพเพเหระรวมถึงการรับน้องในช่วงเปิดเทอม ปีนี้ต้องกลายเป็นพี่สันทนาการเต็มตัวแล้วสินะ ผมคงไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากรอเทรนด์น้องที่ต้องเข้าประกวดเดือน ส่วนกิมรายนั้นคงเลือกเป็นฝ่ายพยาบาลเพราะไม่ชอบความวุ่นวายล่ะมั้ง

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออกด้วยฝีมือของกิมและปิดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาโผล่หน้าเข้าไปไม่ถึงสิบวินาที ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ คือเห็นปอมแก้ผ้าเหรอ?

“โอ๊ะ... ท่าทางเราคงไม่ต้องเข้าไปเยี่ยมไอ้ปอมแล้วมั้ง?” กิมขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะใช้แผ่นหลังพิงเข้ากับประตู้ห้องพัก ความเป็นห่วงเพื่อนในตอนแรกจางหายไปจากดวงตาทันที แปลก...

“หือ ทำไมเหรอ?”

“มีพยาบาลส่วนตัวมาเฝ้าแล้วน่ะ”

อ้าว ไหนบอกว่าไม่มีใครว่างไง...

“คนที่บ้านเหรอ?”

“เปล่า เพื่อนคีนนั่นล่ะ” เดี๋ยวนะ...

“โฮม?” ผมถามสั้นๆ นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่โฮมยอมเหยียบโรงพยาบาลทั้งที่เกลียดนักหนา ทั้งกลิ่นทั้งบรรยากาศล้วนเป็นของแสลงสำหรับเขา มันต้องมีอะไรในกอไผ่อย่างแน่นอน แต่เราทุกคนไม่อาจล่วงรู้ได้เลย

“ใช่แล้ว หึหึ สองคนนี้มันยังไงกันแน่นะ?” กิมใช้นิ้วเคาะขมับทำท่าคิดไม่ตก ส่วนผมก็ได้แต่ไหวไหล่เพราะไม่รู่ความเป็นมาเรื่องนี้จริงๆ จากที่โฮมโดนปล้ำจูบก็ง้อจนมาถึงปัจจุบันนี้ ยาวนานจนคิดว่าปอมจีบเพื่อนตัวเอง

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าทางโฮมจะชอบปอมนะ” นั่นคือสิ่งที่ผมพอจะจับสังเกตเพื่อนตัวเองได้ในระยะนี้ ปกติช่วงหยุดยาวชวนโฮมไปที่ไหนก็ไม่เคยปฏิเสธ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนมีธุระไม่เว้นวันซะอย่างนั้น หึหึ เอาเถอะ ถ้าเขามีความสุขดีก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่พวกเราอยากเห็นความชัดเจนระหว่างสองคนนี้

“เพื่อนเรามันก็ชอบโฮมนั่นล่ะ แต่ฟอร์มจัดไปหน่อย”

ฟอร์มจัดหรือมองเพื่อนผมเป็นตัวเลือกกันแน่นะ?

“โฮมฮอตนะ” ผมแกล้งแหย่ดูปฏิกิริยาของกิม ซึ่งเขาไม่มีท่าทางเดือดร้อนแทนเพื่อนแถมยังขยับเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนเสียวสันหลังอีก

“เราว่าคีนฮอตกว่า” ก้มลงกระซิบชิดรอมใบหูจนผมต้องผงะถอยหลังหนีแล้วจ้องมองกิมอย่างคาดโทษ เดี๋ยวจะโดนเอาคืนไม่น้อย ชอบแกล้งกันดีนักนะ

“อย่านอกเรื่องดิ” ผมต่อยเข้าที่อกของกิมเบาๆ พร้อมกับทำหน้าดุใส่ เขาดูจะตกใจมากกว่ากลัวเพราะหน้าตาดูเหลอหลาชอบกล ก็... น่ารักดี

“โทษๆ” กิมยกมือขึ้นเหนือศีรษะทั้งสองข้าง ถอยหลังออกไปห่างๆ เหมือนว่าจะกลัวโดนต่อยอีกครั้ง

“ระวังปอมจะได้กินแห้วทั้งสวนนะ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมา ก็เขาบอกว่าเราไม่ต้องเข้าไปเยี่ยมปอมแล้ว อืม... อยากกินชีสทาร์ตจังเลย

“เราก็ว่างั้น ช่างมันเหอะ มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่าเนอะ” กิมสาวเท้าตามกันมาจนตีคู่มากับผมก่อนจะพาดแขนหนักๆ ลงบนลาดไหล่ อยากแต๊ะอั๋งกันน่ะเข้าใจ แต่ไอ้การกระชับอ้อมกอดแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของต่อหน้าผู้หญิงที่เดินสวนกันนี่... ขี้หวงชะมัด

“ได้สิ ถ้ากิมเลี้ยงมื้อเที่ยง” ถ้าเลี้ยงข้าวกันจะคุยอะไรผมก็ยอมทั้งนั้นล่ะ หึหึ

“ไม่มีปัญหาครับที่รัก”

อ่า ยังไม่ได้ตกลงคบกันแต่พูดจาและแสดงออกเหมือนเป็นแฟนกันแบบนี้ก็ได้เหรอกิม? ไอ้คนเจ้าเล่ห์เอ๊ย ทว่าผมดันติดใจความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาซะแล้วสิ มีความสุขจังเนอะ

กิมเป็นสารถีที่ดีแต่เป็นนักร้องที่ห่วยแตกมากๆ เพราะแค่ฮัมเพลงยังเพี้ยนผิดคีย์ ผมซึ่งเป็นผู้ฟังก็ดันเส้นตื้นหลุดขำตลอดทางจนรู้สึกปวดท้อง โอย ดีนะที่ตอนจีบเขาไม่ได้อยากดีดกีต้าร์พร้อมซิงอะซอง ไม่อย่างนั้นคงได้ผลลัพธ์ต่างจากทุกวันนี้เพราะสร้างมลพิษทางเสียงให้ผมไปแล้ว

กว่าจะถึงที่หมายเราใช้เวลาอยู่บนถนนราวๆ สองชั่วโมงซึ่งพอก้าวขาลงจากรถเสียงท้องก็ดังโครกครากประท้วงว่าหิวทันที จะโทษกิมที่ทำไข่กระทะให้ในปริมาณน้อยมันดูใจร้ายไปหน่อย เอาเป็นว่ามื้อเที่ยงขอจัดเต็มแบบบุฟเฟ่ต์ได้หรือเปล่านะ

“กินอะไรดี?” ผมแสร้งถามในขณะที่เราเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า ไม่มีคำตอบกลับมาเพราะกิมกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างลงในโทรศัพท์ อาจจะตอบไลน์เพื่อนอยู่ล่ะมั้ง

“เมื่อกี้คีนถามอะไรเราปะ?” ไม่นานนักกิมก็ถามกลับหลังจากที่ยัดเครื่องมือสื่อสารลงในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อย ผมพยักหน้ารับกำลังจะอ้าปากพูดซ้ำประโยคเดิมแต่ต้องชะงักเมื่อตรงหน้าปรากฏร่างผู้ชายที่คุ้นตาโบกมือให้ อ่า... มันใช่เวลาทักทายกันไหมล่ะครับเนี่ย เฮ้อ



ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ไม่คิดว่าจะเจอเราที่นี่” เขาเป็นฝ่ายเดินเข้าหากันถึงที่ในขณะที่ผมแทบอยากจะหันหลังหนีแล้วลากกิมไปให้พ้นสายตาของเขา ไม่อยากให้เรื่องราวยุ่งเหยิงเลยแต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ในเมื่อ... นั่นคือว่าที่พี่เขยของผมเอง

“ผมก็ไม่คิดว่าจะเจอพี่ซันที่นี่เหมือนกัน” ผมพึมพำไม่เต็มเสียงนักก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ว่าเกลียดขี้หน้าแต่ไม่อยากให้เขาเจอกับกิมมากกว่า มันมีประเด็นไง... โธ่ วันนี้เรามาเดทแน่เหรอเนี่ย

“ยังไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวานเหรอ?” พี่ซันมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนพ่อกำลังจับผิดลูกสาวหนีเที่ยวไปนอนค้างบ้านผู้ชาย ผมบุ้ยปากพลางยกมือขึ้นกอดอก เออ เถียงไม่ได้ แต่พี่เป็นหมอไม่ใช่นักสืบไม่ต้องคอยล้วงความลับคนอื่นเขาหรอกน่า

“รู้ได้ไงครับ?” ผมถามกลับเสียงเข้มก่อนเหลือบมองคนข้างตัวที่บัดนี้หัวคิ้วแทบผูกโบว์ ดวงตาคมจ้องพี่ซันเหมือนเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ เอ่อ... อย่าแผ่จิตสังหารแบบนั้นเลย คนอื่นๆ ชักเริ่มมองมาทางนี้แล้ว อาจจะเป็นเพราะมีแต่หนุ่มตัวสูงยืนคุยกันก็ได้

“ก็เสื้อผ้าตัวใหญ่กว่าคีนตั้งหนึ่งไซส์” พี่ซันยิ้มทะเล้นก่อนจะเอื้อมมือมาดึงเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ ก็นะ มันเป็นของกิมนี่ ทั้งตัวก็มีแต่กลิ่นของเขาทั้งนั้น อืม เขินแฮะ ไม่น่าคิดถึงเรื่องนี้เลย

“ไม่ต้องสังเกตขนาดนั้นก็ได้น่า” ผมแงะเสื้อออกจากมือของพี่ซันก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดตามประสาน้องคนเล็กของบ้าน พี่เขยก็เหมือนพี่แท้ๆ นั่นล่ะ บางทีรู้สึกว่าสนิทมากกว่าคุณนายปิ๊งซะอีก

พี่ซันหัวเราะจนไหล่สั่นซึ่งผมเห็นแล้วหมั่นไส้เลยส่งหมัดไปต่อยต้นแขนเบาๆ แต่ผลลัพธ์คือเขาดันชะงักเมื่อเห็นกิม... ก็ยืนอยู่ตั้งนานแล้วปะวะ ทำไมความรู้สึกช้าจังเลยเนี่ย

“โอ้ แล้วนี่... เพื่อนที่ให้พี่ไปส่งบ้านเขาเมื่อวานน่ะเหรอ?” ชี้หน้ากิมแต่หันมาถามผม ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงคิดว่าพี่ซันหาเรื่องไปแล้วมั้ง

“ใช่ครับ” ผมตอบสั้นๆ ความอยากหนีออกจากตรงนี้ปะทุขึ้นอีกครั้ง พี่ซันต้องไม่สนใจกิมสิ บ้าจริง ต้องทำยังไงดี

“พี่ว่าหน้าเราคุ้นๆ นะ”

ไม่ได้นะ!

“พี่ซัน!” ผมรีบเรียกพี่ซันด้วยเสียงที่ดังพอสมควรจนคนบริเวณนั้นหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว เอ่อ ขอโทษทีครับ ไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาท แต่ผมจำเป็นที่จะต้องดักคอเขาจริงๆ

“ว่า?”

“ผมหิวแล้ว ขอตัวไปหาอะไรกินก่อนนะ” จะหนีแล้ว ไม่ให้กิมคุยกับพี่ซันหรอก!

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ ขอนึกก่อนว่าเคยเห็นหน้าเพื่อนคีนที่ไหน” ผมคว้าจับข้อมือกิมในขณะที่พี่ซันก็ไม่ยอมแพ้เพราะเขาเกี่ยวคอเสื้อกันไว้ โอย จะฆ่าผมเหรอไง ถ้าพี่ปิ๊งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อไหร่ หึหึ ฟ้องยับแน่!

“ไม่ต้องคิดแล้วน่า แยกย้ายๆ” ผมปัดมือสะเปะสะปะเพื่อไล่พี่ซัน คล้ายๆ ว่าปลายนิ้วแตะโดนจมูกเขาด้วยล่ะเพราะได้ยินเสียงจิ๊ปาก สมน้ำหน้า อยากเกี่ยวคอเสื่อผมก่อนทำไมเล่า

“ไอ้เด็กคนนี้!” อะ พี่ซันขึ้นเสียงแล้วต้องรีบเผ่นให้ไว

“บายๆ” ผมโบกมือไวๆ ก่อนจะลากกิมที่ยังดูมึนงงออกจากตรงนั้นโดยไม่อธิบายอะไรสักคำจนเกือบถึงร้านอาหารที่ตั้งใจอยากกินในตอนแรกก็ได้ยินเสียงพึมพำจากคนด้านหลัง

“เอ่อ...”

ผมชะงักเท้าก่อนจะหักเลี้ยวแล้วลากกิมไปยืนที่มุมหนึ่งในร้านหนังสือต่างประเทศเพราะมีลูกค้าค่อนข้างน้อย ผมปล่อยมือที่จับข้อแขนของเขาออก ระบายยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นใบหน้าเครียดขึงจ้องมองอยู่ฝั่งตรงข้าม

“พี่ซันเป็นแฟนพี่สาวของเราน่ะ” ผมอธิบายในสิ่งที่คิดว่ากอยากถาม และมันก็คือสิ่งที่ถูกต้องเพราะหัวคิ้วของเขาคลายปมขมวดออกแล้ว แถมยังมีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าอีกด้วย เฮ้อ โล่งอก นึกว่าจะโดนว่าที่แฟนโกรธเอาซะแล้ว

“อ๋อ เราว่าพี่เขาหน้าคุ้นๆ นะ” เขากรอกตาไปมา คงกำลังคิดว่าพี่ซันหน้าคล้ายๆ ใครล่ะสินะ หึ กิ๊กเก่ากิมไง ทำเป็นจำไม่ได้เหรอ

“อื้ม ไม่แปลกหรอกที่กิมจะรู้สึกแบบนั้น” ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์ที่แปลกๆ ไป ทำไมต้องหงุดหงิดเมื่อกิมเริ่มคิดถึงเรื่องของเขาคนนั้นนะ

“หืม?” กิมเอียงคอเล็กน้อยเลยทำให้ใบหน้าขรึมๆ ดูตลก

“พี่ซันเป็นพี่ชายของพี่เซียนน่ะ” เพราะแบบนี้ไงเลยไม่อยากให้พี่ซันนึกออกว่ากิมเป็นใคร ถึงตอนนี้พี่เซียนจะถอยออกไปจากวงโคจรของเราแต่เขาก็พร้อมกลับเขามาเสมอถ้ายังปักใจกับคนๆ เดิม เฮ้อ สรุปคือผมหวงกิมแล้วสินะ อาจจะหึงด้วย

“ห๊ะ... โลกแม่งโคตรกลม” กิมสบถด้วยใบหน้าเหยเก มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบแขนเหมือนตอนเจอสิ่งลี้ลับ ผมก็เคยคิดว่าโลกนี้มันกลมจนน่าโมโห พี่ซันคือคนรักของพี่สาว พี่เซียนคือคนที่ชอบกิม ส่วนพี่โซนดันเป็นแฟนกับว่าน... เรื่องมันพัวพันอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง ยกมาทั้งครอบครัวตัว ซ เลยด้วย

“อืม พี่ซันเคยเห็นรูปกิมในโทรศัพท์พี่เซียนเลยคุ้นๆ หน้า” ผมเล่าเรื่องที่รู้มาให้เขาฟังต่อด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ ก็เมื่อก่อนพี่ซันเคยช่วยพี่เซียนคิดวิธีจีบกิมน่ะสิ ถ้าเขารู้ว่าน้องชายแท้ๆ อกหักเพราะผมทั้งสองครั้งคงเหม็นหน้ากันแน่นอน

“อ๋อ... เฮ้ย ทำไมไอ้พี่เซียนมีรูปเรา?” ทางนี้ก็ความรู้สึกช้า เพราะเพิ่งจะโวยวายเอาตอนที่พวกเราเดินออกจากร้านหนังสือ มือหนาคว้าจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้แน่นเพื่อคาดคั้นคำตอบ คงคิดไม่ถึงว่ารูปตัวเองจะไปอยู่ในโทรศัพท์หมอหมาใช่ไหมล่ะ เมื่อก่อนผมไม่รู้สึกอยากยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของใคร แต่ปัจจุบันนี้อยากลบภาพกิมชะมัด หวงแล้ว หวงมากด้วย

“แอบถ่ายคนที่ตัวเองชอบไง” ผมตอบเสียงเรียบ ผละตัวออกจากการเกาะกุมของกิมแล้วเดินนำเข้าออกจากตรงนั้นอย่างไร้จุดหมาย เฮ้อ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ บางทีก็เข้าใจยากเหมือนกันเนอะ

“แต่รูปเรามันไม่ได้น่าเก็บสะสมเลยนะเว้ย”

โธ่ ยังสงสัยไม่เลิกอีกหรือไง เดี๋ยวเอากำปั้นยัดปากเลยดีไหมเนี่ย

“กิมพูดอย่างกับไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดี” ผมสงสัยมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้วว่าคนอย่างกิมมองตัวเองแบบไหน ถึงเขาจะมีหน้าตาเคร่งขรึมแต่ผู้ชายด้วยกันก็มองว่าโคตรหล่อนะเออ โอ๊ะ เผลอคิดถึงเรื่องราวสมัยนั้นได้ยังไงกัน จุ๊ๆ ห้ามบอกเจ้าตัวให้รู้ว่าผมจำเขาได้ตั้งแต่ตอนนั้นนะ เป็นความลับ หึหึ

“ถือว่าคีนชมเราได้ปะ?” ไอ้หน้ายิ้มแป้นนี่ชวนหมั่นไส้จริงๆ เลย เดี๋ยวเจอผมหยอดมุกบ้างจะทำหน้าแบบไหนกันนะ แค่คิดก็สนุกแล้ว

“ไม่ได้ เพราะที่เราพูดแบบนั้นเพราะชอบกิมต่างหาก” ตอนแรกก็คิดว่าจะแกล้งเขา แต่พอพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกไปดันรู้สึกเขินเองซะอย่างนั้น ส่วนกิมก็อ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆ ไปแล้ว โอย ไม่น่าเลย ทีหลังจะใช้วิชาเดินหนีน่าจะดีกว่าเยอะ

“จูบทีได้ไหม? น่ารักฉิบหาย” กิมตะลึงไปแค่สิบวิฯ ก่อนจะกลับมายิ้มกรุ้มกริ่ม เลื่อนใบหน้าลงต่ำจนแทบจะจูบกันจริงๆ กลางห้าง ดีหน่อยที่ผมมีสติมากพอในการเอาตัวรอดเลยก้าวถอยหลังแล้วแกล้งมองไปทางนู้นทีทางนี้ทีแก้เขิน

“เราหิวมาก อยากกินบุฟเฟ่ต์” มันเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้าปะ? ไม่เลย แค่ชวนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเท่านั้นเอง

“จัดไปครับ” กิมบอกเสียงกลั้วหัวเราะพลางตีมือลงบนกระเป๋ากางเกงนูนๆ ท่าทางเหมือนเสี่ยกำลังหลอกล่ออีหนูเลยว่ะ แต่ยอมเขาสักวันคงไม่เสียหายหรอกมั้ง

“น่ารักจัง ไว้ถึงบ้านเมื่อไหร่จะให้รางวัลแล้วกันนะ”

ถ้าผมไม่ลืมคำพูดของตัวเองไปซะก่อนน่ะนะ ~



-------------------------------------------------


เฮ้ยยยย เขาได้จูบกันแล้วนะ ห้ามว่ากิมกาก 555555
แทบจะจุดพลุยินดีกับนาง

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ทำไมคีนน่าเอ็นดูแบบนี้เอามาฟัดแก้มทีดิ(โดนกิม :z6:)แกล้งเขาแต่ตัวเองเขินเองนี้คือไรน่ารักจริงๆเลย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
รูปถ่ายใบที่ 19



ความนุ่มที่ประทับลงมาบนริมฝีปากทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมากกว่าปกติ ยิ่งสัมผัสได้ถึงเรียวลิ้นเปียกชื้นความวูบโหวงก็เกิดขึ้นในช่องท้อง เคลิบเคลิ้มและหวานละมุนจนอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ แต่ใครๆ ก็รู้ว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ไม่นานนักสวรรค์ของผมก็จางหายไปต่อหน้าต่อตา โธ่ เสียดายฉิบ... หะ อะไรวะเนี่ย!

ผมเบิกตาโตเมื่อพบว่าสิ่งที่ประทับจูบลงมาเน้นๆ นั่นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คีนอยู่ตรงหน้าก็จริงแต่ระหว่างเรานั้นมีไอ้กระต่ายอ้วนฟูขั้นกลาง มันทำจมูกฟุดฟิด แลบลิ้นเล็กเลียปากเป็นครั้งคราว ดวงตากลมโตเป็นเม็ดลำใยมองตรงมาทางนี้ด้วยความสนใจ โอย แสบจริงๆ เลยนะนายคนินท์!

แต่คนอย่างนายกวินท์จะโวยวายอะไรได้ ก็เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะให้อะไรเป็นรางวัลที่เลี้ยงบุฟเฟ่ต์นี่นา เออ จูบชมจันทร์ก็ฟินได้เหมือนกันล่ะวะ เพราะคีนเอาแต่หัวเราะคิกคักแถมยังยิ้มกว้างอย่างมีความสุขซะด้วย โอเค ผมยอมแพ้โดยไม่มีข้อแม้เลย

อาทิตย์สุดท้ายของการปิดเทอมเป็นช่วงที่คีนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเพราะมีงานถ่ายพรีเวดดิ้งแทบทุกวัน พอเสร็จจากงานหลังกล้องก็ต้องกลับมาเลือกรูปและแต่งรูปอีก ส่วนผมเป็นคนว่างๆ ที่อาสาช่วยเขาแบกของบ้าง เป็นสารถีบ้าง หาข้าวหาน้ำให้กินบ้าง เหตุผลหลักที่เอาตัวเข้าไปวุ่นวายคืออยากอยู่ใกล้ๆ ว่าที่แฟนให้มากที่สุดนั่นเอง

ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ก็เรานั้นยังคงคอนเซ็ปศึกษาดูใจกันไปเรื่อยๆ จนกว่าคีนจะเอ่ยปากว่าพร้อมเลื่อนสถานนะแล้ว ไม่มีอะไรพิเศษขึ้นกว่าเดิม แต่มีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตรงที่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น กินข้าว ดูหนัง แม้กระทั่งกอดคอกันเมาในร้านเหล้า เออว่ะ ทำไมกูรู้สึกมันมาแนวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออีกแล้ว ไม่อยากเป็นดากานดากับไข่ย้อยเหอะ!

“ไอ้กิม จะนั่งขมวดคิ้วอีกนานปะ?” เสียงทุ้มแหบของใครบางคนดึงผมให้หลุดจากภวังค์พร้อมด้วยมือที่ทาบทับลงมาบนแก้มดังเพี๊ยะ เจ็บสัดๆ มึงวอนโดนตีนแล้วไอ้หมาปอม!

“เดี๋ยวกูถีบตกเก้าอี้!” ผมเหวเสียงดังก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งผลักหัวไอ้ปอมเพื่อเอาคืน ที่ได้มานั่งขมวดคิ้วหน้าย่นอยู่แบบนี้ก็เพราะว่ากิจกรรมรับน้องกำลังดำเนินอยู่โดยมีหัวหน้าสันทนาการเป็นน้ำปิง ดูรวมๆ ก็สนุกครื้นเครงดีถ้ามันไม่เอาคีนไปเป็นตัวล่อเด็กปีหนึ่งแบบนั้น เชี่ยเอ๊ย กูหวงของกูมึงไม่เข้าใจ!

“เกรี้ยวกราดใส่กูอีก หวงเขาล่ะสิ๊” ไอ้ปอมหรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนขยับเข้ามาใช้ไหล่กระแซะหยอกล้อกัน ผมถอนหายใจหนักๆ พยักหน้ารับแบบไม่มีข้อโต้แย้ง มีว่าที่แฟนเป็นคนฮอตต้องใจดีขนาดไหนวะ ขี้หึงแบบกูนี่ไหวเหรอ เขาจะไม่รำคาญเอาใช่ไหม ก็มันรักมากนี่หว่า

“เออ หวงจนอกจะแตกตายอยู่แล้วเว้ย” ผมกัดฟันพูดก่อนยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิง สายตาจ้องมองอยู่ที่จุดหมายเดียวคือคีนซึ่งกำลังเต้นเพลงไก่ย่างด้วยท่าทางน่ารักน่าขย้ำ เฟรชชี่ทั้งหนุ่มทั้งสาวต่างให้ความสนใจเขากันทั้งนั้น แล้วไอ้ฝ่ายพยาบาลง่อยๆ ก็ได้แต่นั่งตบยุงหึงหวงอยู่ตรงนี้ โว๊ย อยากเดินเข้าไปบีบคอไอ้น้ำปิงฉิบหาย เมื่อไหร่พี่ว้ากจะลงเนี่ย!

“เป็นอะไรกับเขาเหรอถึงได้หวงขนาดนี้? หึหึ”

เจ็บจนจุกเลยไอ้สัด!

“มึง...” ผมยกมือสั่นๆ ขึ้นชี้หน้าไอ้ปอมพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่มัน ถ้าพูดอะไรผิดหูอีกครั้งเดียวต้องมีคนยับแน่ๆ แม่งเอ๊ย กูก็อยากมีสิทธิ์ในตัวคีนจะตายห่าแล้วแต่เขายังไม่ยอมไง อย่าตอกย้ำ!

“โอ๋ กูหยอกเล่นน่า คีนเขาก็ชอบมึงนี่ คงไม่เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นง่ายๆ หรอก” ไอ้ปอมรีบประจบสอพอด้วยน้ำเสียงหวานๆ แถมยังส่งมือมาลูบต้นแขนเพื่อให้ผมคลายความหงุดหงิดลง เนี่ย จะไม่ให้หมั่นไส้มันได้ยังไงวะ ถีบตกเก้าอี้เลยได้ไหม เฮ้อ

“กูไม่ไว้ใจคนอื่น” ผมปัดมือเพื่อนทิ้งก่อนจะสบหน้าลงกับท่อนแขนที่วางพาดอยู่บนโต๊ะ กวาดอุปกรณ์ปฐมพยาบาลให้ออกไปไกลๆ เพื่อกันของตก สายตายังคงจับจ้องคีน เขาดูมีความสุขกับกิจกรรมรับน้อง เฮฮาตามประสาคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มไม่แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเหมือนผมกับไอ้ปอม

“เออน่า อย่าคิดมาก” อะ ไอ้ปลอบน่ะเข้าใจ แต่ไม่ต้องเอื้อมมือมาลูบหัวกันแบบนี้ก็ได้เหอะ เห็นสายตาของพวกเพื่อนในคณะแล้วรู้สึกขนลุกชอบกล ไม่ต้องสร้างคู่จิ้นใหม่นะเว้ย กับหมาปอมนี่ไม่ไหวจริงๆ อ้วกจะแตก ใครรุกใครรับนี่ตัดสินไม่ได้เลย

“เออ จะพยายาม” ผมบอกปัดทั้งที่ในใจตระหนักดีว่าทำไม่ได้แน่นอน เฮ้อ

กว่าจะเลิกรับน้องได้ผมก็แทบคลานกลับบ้านเนื่องจากต้องแบกเด็กผู้หญิงสองสามคนไปห้องพยาบาลเพราะเกิดเป็นลมระหว่างทำกิจกรรม ส่วนทางด้านคีนก็โดนรุมขอถ่ายรูปไม่หยุดหย่อน อยากจะเข้สไปลากออกมาจากวงล้อมแต่ต้องตัดใจเมื่อคิดได้ว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์ถึงขนาดนั้น เฮ้อ ยืนพิงต้นไม้รอจนเหน็บแดกขาแล้วเนี่ย ทำไมลานจอดรถไม่มีเก้าอี้บ้างวะ

ผ่านไปอีกสิบนาทีคีนก็ยังถูกรุมล้อมด้วยบรรดาสาวๆ รุ่นน้องปีหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังกลายเป็นสีส้มเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเข้าไปทุกที ไอ้รอนานไม่ใช่ปัญหาแต่ยุงเยอะนี่สิ... คันฉิบหาย จับแดกแทนข้าวเย็นเลยดีปะ?

“ขอตัวก่อนนะครับ พี่มีธุระจริงๆ” ผมได้ยินเสียงปฏิเสธของคีนดังขึ้นอย่างชัดเจน อารมณ์ของเขาตอนนี้ค่อนข้างไม่ปกติเพราะดูจากสีหน้าแล้วคงเหนื่อยล้าเนื่องจากการทำกิจกรรมมาทั้งวัน เออ ผมสายตาดีน่า มองจากตรงนี้ก็รู้แล้วว่าเขารู้สึกยังไงบ้าง

อะ ผมผละตัวออกจากต้นไม้ก่อนจะปัดเศษผงที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออกเมื่อคีนก้าวมาทางนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ทั้งที่ปกติคงยิ้มให้เมื่อเห็นว่ายังมีคนยืนรออยู่ไม่ไกลแบบนี้ เออ ท่าทางหงุดหงิดจริง สาวๆ พวกนั้นทำอะไรมากกว่าขอถ่ายรูปหรือเปล่านะ

“นึกว่ายุงหามไปแล้วซะอีก” คำแรกที่เขาทักขึ้นมาเมื่อเราเผชิญหน้ากันทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาซะเฉยๆ ก็คีนดันเล่นมึกทั้งที่หน้าตาเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตายคามืออย่างนั้นล่ะ โธ่ ไม่ต้องฝืนร่าเริงขนาดนั้นก็ได้

“ระดับเราแล้ว ยุงไม่กล้าเข้าใกล้หรอก” ผมเลือกที่จะรับมุกเพราะไม่อยากให้คีนหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมากว่าเดิม แต่ดูจากหัวคิ้วที่ขมวดและสายตาที่จ้องเขม็งนั้น... กูทำอะไรพลาดไปเนี่ย เวรแล้ว

“เหรอ? เกาจนแขนแดงหมดแล้ว” คีนจิ้มนิ้วลงมาบนหลังมือของผมที่ยังคงเกาแขนเพราะโดนยุงรุมกัดหลายจุด ตอนนี้ถ้าฝนตกลงมาคงได้แสบไปทั้งตัวนั่นล่ะ

“แหะๆ นิดหน่อยเอง รีบไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ” ผมส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คีนก่อนจะชวนเขาเปลี่ยนเรื่อง

“อื้อ” คีนพยักหน้าตอบรับก่อนรวบมือของผมไปจับเอาไว้แน่นแล้วกระตุกให้ออกเดินไปพร้อมกันโดยไม่มีอาการขัดเขินใดๆ ถึงแม้ว่าจะได้ยินเสียงรุ่นน้องซุบซิบตามหลังมาก็ตาม ส่วนผมในตอนนี้คือ... หัวใจใกล้วายเต็มทนแล้วครับ โอ๊ย ทำตัวไม่ถูก เขินจนหน้าร้อนไปหมด โดนแต๊ะอั๋งแค่นี้ทำไมฟินเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งวะ

อาทิตย์นี้สัญญาว่าจะไม่ล้างมือเด็ดขาด!

ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุที่กำลังโรยตัวลงมาระหว่างเราทั้งที่เครื่องเสียงในรถบรรเลงเพลงรักหวานซึ้งจนมดจะขึ้น คีนไม่ชวนคุยเหมือนทุกทีและที่น่าแปลกคือเอาแต่มองออกไปด้านนอก ไม่จับโทรศัพท์เล่นหรือหยิบกล้องในกระเป๋าออกมาเช็ครูปถ่ายกิจกรรมวันนี้เลยสักนิด มันแปลกมากแต่ผมก็ไม่กล้าถามอะไร

ฟ้ามืดแล้วแถมฝนยังเทกระหน่ำทำให้อุณหภูมิภายในรถต่ำลง ผมใช้จังหวะที่ติดไฟแดงปรับแอร์แต่เหมือนใจจะตรงกับคีนมากไปหน่อยตอนนี้มือของเราเลยสัมผัสกันเบาๆ ไม่มีใครผละหนีมีเพียงแค่ดวงตาสองคู่ที่มองสบกันภายใต้ความเงียบ

“หนาวล่ะสิ เราก็จะปรับแอร์เหมือนกัน” ผมทำลายความเงียบระหว่างเราด้วยการพูดหยอกเย้าคีนพร้อมส่งรอยยิ้มให้ ปฏิกิริยาตอบรับที่หวังจะได้รับจากเขาดันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่มีความร่าเริงเลยสักนิดสาเหตุคืออะไรกันนะ หรือเพราะป่วย?

“อื้อ” ตอบรับก่อนจะผละมือออกจากกัน คีนกลับมาอยู่ในท่วงท่าเดิมคือหันหน้ามองหยาดฝนด้านนอก ผมคิดสะระตะถึงเรื่องที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้จนเริ่มปวดหัว โธ่เว้ย สมองกลวงๆ ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่ได้เลย

“คีน... เอ่อ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมรวบรวมความกล้าถามคีนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพลางลอบมองใบหน้าด้านข้างที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วแสดงความมึนงง ถ้ารถไม่ติดและฝนไม่ตกขนาดนี้อะไรๆ คงดีขึ้นมั้ง เคยได้ยินคำว่าบรรยากาศพาไปปะ? ตอนนี้ผมแม่งโคตรรู้สึกแบบนั้นเลย

“หือ ปกตินี่”

โอ้โห ผมนี่อยากตะโกนอัดหน้าเขามาว่า ‘ปกติกับผีน่ะสิ’ แต่ทำได้แค่เอื้อมมือไปแตะต้นขาของเขาเพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าอย่าเก็บเรื่องไม่สบายใจไว้คนเดียว คีนไม่หือไม่อือแถมยังนั่งนิ่งเม้มปากราวกับเป็นรูปปั้น คงมีแค่เสียงถอนหายใจที่บ่งบอกว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิต

“ถึงเราจะกากแต่ก็ช่างสังเกตนะ วันนี้คีนเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา โกรธอะไรหรือเปล่า?” ผมเอียงคอมองอีกฝ่ายจนหัวซบลงบนพวงมาลัย มือทั้งสองข้างปล่อยลงบนตัก มันสั่นเล็กน้อยเพราะกำลังลุ้นกับคำตอบ ซึ่งพอจะเดาได้ว่าคียคงไม่ตอบอะไรเหมือนเคย คงไม่อยากให้ผมรู้สึกแย่ตามไปด้วยล่ะมั้ง โธ่ คนดีของกิม

“เปล่าๆ เราจะไปโกรธอะไรกิม แค่รู้สึกเหนื่อยน่ะ” คีนคลี่ยิ้มบางๆ พร้อมกับการส่ายหน้าปฏิเสธ ผมขยับเปลี่ยนท่าทางเป็นนั่งตัวลงแล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งไปแตะพวงแก้มขาวซีด พยายามประคองให้เขาหันมาสบตากัน โกหกไม่เนียนเลยนะคุณคนินท์

“ใจหรือกาย?” ผมถามเสียงเรียบพลางจ้องมองดวงตารีอย่างคาดคั้น ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรหรือทุกข์ใจกับปัญหาอะไร ถ้าระบายออกมาสักนิดเราอาจจะหาทางออกร่วมกันได้

“กิม...” เสียงเรียกชื่อกันแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดเจน แม่ง จะบีบแตรรถอะไรกันนักหนาเนี่ย เพิ่งไฟเขียวเว้ย! ผมรีบออกรถพร้อมๆ กับได้ยินคีนหัวเราะในลำคอ เอาวะ ถือว่าบรรยากาศดีขึ้นมานิดหน่อย

ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาสู่บรรยากาศเดิมๆ คือต่างคนต่างเงียบ ผมแทบไม่มีสมาธิขับรถเพราะมัวแต่สังเกตสีหน้าของคีนตลอดทาง แม่ง ดีแค่ไหนที่ไม่เสยก้นรถคันหน้า เฮ้อ ทำยังไงให้เขายอมพูดดีวะ จะถึงคอนโดแล้วสิ

“ไม่สบายใจอะไรก็ระบายกับเราได้นะ พร้อมรับฟังเสมอ” ผมเลือกที่จะบอกเขาไปแบบนั้นเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าอมทุกข์ ดวงตาเหม่อลอยไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ทำตัวน่ารักแบบนี้อีกแล้ว” คีนพึมพำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแก้มกันจนยืดออก โธ่ เจ็บนะ แต่ยอมถ้ามันทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“เราก็น่ารักกับคีนคนเดียวล่ะน่า” ผมหยอด

“ไม่จริง วันนี้กิมยังใจดีกับรุ่นน้องอยู่เลย” แต่ผลลัพธ์คือคีนไม่ขำหรือเขินแต่กลับทำหน้ามุ่ยใส่ หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้บรรยากาศมาคุวะ?

“ตอนไหน?” ผมถามพาซื่อเพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าไปแสดงความใจดีกับไอ้พวกเด็กปีหนึ่งสายตาแพรวพราวนั่นเมื่อไหร่ แต่ละคนจ้องคีนอย่างกับจะกลืนลงท้อง วางตัวเป็ศัตรูขนาดนั้นผมคงไม่ญาติดีด้วยหรอก

“ก็ที่แบกรุ่นน้องไปห้องพยาบาลไง”

เดี๋ยวๆ ทำไมคีนถึง...

“มันเป็นหน้าที่ อีกอย่างไอ้ปอมก็เจ็บแขนด้วย” ผมรีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน มือที่สาวพวงมาลัยก็วืดไปหนึ่งจังหวะเพราะอึ้งไม่หาย สรุปที่คีนทำหน้าบึ้งตึงเพราะผมแบกน้องผู้หญิงไปห้องพยาบาลเนี่ยนะ เอาจริงๆ จำหน้าพวกเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ โอย ถ้ายิ้มตอนนี้จะโดนถีบตกรถไหมเนี่ย ก็มันดีใจแปลกๆ ที่โดนหวง

“อืม... นั่นล่ะที่เป็นสาเหตุให้เรารู้สึกงุ่นง่านอยู่ตอนนี้” คีนหลุบดวงตาลงต่ำเมื่อพูดประโยคเมื่อครู่จบ มือทั้งสองข้างบีบกันแน่นอยู่บนตักเหมือนคนทำอะไรต่อไม่ถูก ส่วนผมอยากเปิดไฟเลี้ยวแล้วจอดข้างทางเพื่อดึงเขาเข้ามากอดให้เต็มรักด้วยโทษฐานทำตัวน่ารักเกินเหตุ แต่ในความเป็นจริงทำได้แค่จับพวงมาลัยแน่นเพื่อระบายอารมณ์พุ่งพลานข้างใน ยุบหนอ พองหนอ สงบสติหนอ

“.....” ผมไม่ได้ตั้งใจเงียบแต่ไม่รู้จะพูดอะไรต่างหาก โว๊ย ควบคุมการเต้นของหัวใจยังลำบากขนาดนี้ ถ้าหันไปคุยแล้วเจอคีนทำท่าทางน่ารักอยู่มันเสี่ยงจะจีบเขาปล้ำน่ะสิ ฮึบ เย็นไว้ๆ ไอ้กิมเอ๊ย

“ตัวเองเสน่ห์แรงไม่รู้หรือไง?” อยู่ๆ คีนก็ส่งหมัดมาต่อยเข้าที่ต้นแขนกันดังปึก ผมแทบจะแหกปากร้องเพราะโคตรเจ็บแต่ความจริงคือนั่งกัดฟันทนเอา

“เราเนี่ยนะ? ไม่ใช่แล้ว คีนเข้าใจผิดแน่ๆ” ผมปฏิเสธเสียงสูงพลางส่ายหัวจนคอแทบเคล็ด ไหนล่ะข้อพิสูจน์ของคนเสน่ห์แรง วันนี้นั่งอยู่โต๊ะฝ่ายพยาบาลทั้งวันยังไม่เห็นมีใครเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะด้วย ถ้าไอ้ปอมว่าไปอย่าง เดี๋ยวคนนั้นจะเป็นลม คนนี้ปวดท้อง พี่คะ พี่ขาขอยาหน่อย เหอะๆ ถ้าวันไหนผมหมั่นไส้มันขึ้นมาจะฟ้องโฮมให้หมดเลยแม่ง

“เราได้ยินรุ่นน้องกลุ่มที่มาขอถ่ายรูปเมื่อกี้พูดถึงกิม” แล้วคีนก็เงียบไปเหมือนกำลังคิดว่าควรจะพูดต่อดีหรือเปล่า เฮ้ย ผมลุ้นจนฉี่แทบราดแล้วนะ เมื่อไหร่จะตืดไฟแดงอีกสักรอบ อยากตั้งใจคุยตั้งใจเคลียร์ให้จบๆ สักที อยากให้คีนยิ้มเหมือนเดิมเนี่ย โธ่ ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กินเลย รันทดจังชีวิต

“คงนินทาว่าเราหน้าดุมั้ง” ผมเสริมเพราะไม่เชื่อสิ่งที่คีนได้ยินมาสักเท่าไหร่ คนหน้านิ่งขรึมแถมทำตัวไม่เป็นมิตรคงไม่มีใครมาหลงชอบแบบเขาหรอกน่า เต้นเพลงไก่ย่างนิดหน่อยมีแฟนคลับเป็นสิบแล้ว หึงเว้ยหึง เพราะไอ้น้ำปิงคนเดียวเลย ถ้ากูรู้ว่ามึงคบผู้ชายคนไหนจะแกล้งให้เข็ด คอยดู!

“ใช่ น้องนินทาว่ากิมน่าดุแต่น่าค้นหา”

“เฮ้ย...” ผมกำลังช็อค น่าค้นหาเนี่ยนะ เอาอะไรคิดวะเนี่ย ดีหน่อยที่ไม่เหยียบเบรกจนคีนหน้าทิ่ม

“ถ้ารวบรวมความกล้าได้เมื่อไหร่จะเข้าไปจีบ”

“ห๊ะ...” ผมร้องเสียงหลง ปากกระตุกเบี้ยวขึ้นด้านบนข้างหนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เอาจริงดิ จีบคนแบบกูเนี่ยนะ ชาติหน้าคงติดหรอก ก็ผมชอบคีนนี่นา...

“เราพูดตรงๆ เลยนะว่าโคตรหงุดหงิดที่รู้ว่าน้องคิดยังไงกับกิม” ประโยคนี้คีนให้เสียงที่เข้มขึ้น มือเรียวบางตะปบลงบนหน้าขาของผมก่อนจะออกแรงบีบเค้นให้รับรู้อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน จริงๆ ควรจะหาวิธีปลอบในคีนใจเย็นลงก่อนใช่ไหม? แต่ผมดันเสือกดีใจจนต้องกลั้นยิ้มนี่สิ โอย บ้าบอ!

“.....”

“เราหวง... เราหึง... เรางี่เง่า...”

เชี่ย โคตรน่าปล้ำ! ผมจะทำพวงมาลัยหักคามืออยู่แล้วเว้ย

“คีน...” ผมเรียกชื่อเขาเสียงสั่น พยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บไม้เก็บมือให้อยู่ตำแหน่งเดิม ไม่วอกแวกมองแต่ถนนเบื่องหน้า ตั้งสมาธิขับรถ กำหนดจิตให้สงบ ฟู่ ไม่ไหวแล้วเว้ย อยากจอดรถ!

“เราขอโทษว่ะ แต่มันรู้สึกไปเอง ควบคุมอะไรไม่ได้เลย”

พอกันที ตบไฟเลี้ยวจอดข้างทางแม่ง!

“เป็นแฟนกันไหม?” ผมถามขึ้นเมื่อรถจอดสนิทอยู่ริมฟุตบาท มือหนาเอื้อมจับอวัยวะส่วนเดียวกันของคีนมาทาบทับลงบนหัวใจที่เต้นแรงแทบกระเด้งออกมาด้านนอก สายตาของเราทั้งคู่สอดประสานไม่มีใครเบนหนีไปก่อน ผมลุ้นจนแทบนั่งไม่ติดเบาะ ถ้าตอนนี้ปวดขี้อยู่คงตดแตกเพราะความตื่นเต้นแน่ๆ โอย โคตรโสโครกเลยกู เซ็นเซอร์ทันปะวะ?

“.....” คีนเลือกที่จะเม้มปากไม่ส่งเสียงตอบรับอะไรเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะทำอะไรต่อ โธ่ มันก็มีแค่สองทางเลือกเอง เป็นแฟนกับไม่เป็น... ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจแต่คิดว่าพร้อมสำหรับทุกการตัดสินใจของเขา 

แต่... ขอใช้แผนโน้มน้าวจิตใจหน่อยแล้วกัน เผื่อจะช่วยให้คีนตัดสินใจได้เร็วขึ้นเนอะ

“ถ้าเราเป็นแฟนกัน ความรู้สึกหึงหวงมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ต้องมานั่งขอโทษเพราะรู้สึกผิดแบบนี้ไง” ผมชักแม่น้ำทั้งร้อยมารวมเป็นเรื่องเดียวกัน กระชับมือที่จับไว้เพื่อกระตุ้นให้คีนคิดตาม หลงเคลิ้มไปกับคำพูดบ้าๆ บอๆ ของผมหน่อยเถอะ อยากมีแฟนจะแย่แล้ว ฮือ

“ตรรกะอะไรของกิมเนี่ย? เห็นแก่ตัวชะมัดเลย” เขาขมวดคิ้วแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา คีนโน้มตัวเข้าใกล้จนหน้าผากของเราแตะกันเบาๆ คล้ายต้องการส่งถ่ายความรู้สึกในหัวใจให้เชื่อมโยง รักที่ไม่ต้องพูดว่ารักสินะ

“เราก็หวงคีน หึงคีนไม่แพ้กัน ยิ่งไอ้ปอมถามว่ามีสิทธิ์อะไรไปรู้สึกแบบนั้นกับเขานี่จี๊ดเลย อยากกระทืบให้ตาย” ผมพูดติดตลกแต่สายตาที่จ้องมองอีกฝ่ายกลับจริงจังไม่มีแววล้อเล่น คนรักกันชอบกันแต่ไม่มีสิทธิ์ในตัวเขามันก็น่าหงุดหงิดใช่ไหมล่ะ จะหึงจะหวงแต่ละทีเหมือนเด็กเก็บกดแสดงออกไม่ได้ อึดอัดแทบบ้า

“อย่าทำแบบนั้น เดี๋ยวโฮมก็อกหักกันพอดี” โธ่ สถานการณ์แบบนี้ยังห่วงเพื่อนอีกเหรอคีน แล้วอะไรคือการเอาหน้าผากมาชนๆ กันแบบนี้ จะทำตัวน่ารักไปถึงไหนหืม ปล้ำเลยดีไหม ข้ามขั้นตอนเลย ฟงแฟนไม่เป็นมันแล้วจ้า

“โอเคๆ เห็นแก่โฮมก็ได้ แต่ตอนนี้เราจะขาดใจแล้วนะ” ผมถือวิสาสะสอดแขนโอบรอบเอวของคีนไว้หลวมๆ พลางใช้เสียงออดอ้อนพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาบวกกับใช้มารยาผู้ชายทำตาละห้อยเป็นหมาหงอยใกล้จะขาดใจจริงๆ ก็นะ... วิธีไหนช่วยทำให้เขาเอ็นดูได้มากที่สุดก็ต้องทำ

“หืม เป็นอะไร? ให้เราพาไปโรงพยาบาลไหม?” คีนไม่ได้ขัดขืนอ้อมกอดของผมแต่กลับแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยพร้อมยกมือขึ้นแตะตรงนั้นตรงนี้เพื่อตรวจหาความผิดปกติบนร่างกาย ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เกี่ยวกับอะไรพวกนั้นเลยสักนิด ที่ป่วยน่ะคือหัวใจต่างหาก... อยากมีคนดูแล

“คีนไม่ยอมเป็นแฟนกิมสักที” อ้อนเข้าไปจนกว่าคีนจะยอมตอบรับนั่นล่ะ ไหนๆ ก็ผ่านช่วงเวลาที่เขายุ่งกับงานถ่ายรูปพรีเวดดิ้งมาแล้วคงไม่มีเหตุผลไหนให้ปฏิเสธได้แล้วมั้ง

“กิม... เจ้าเล่ห์นักนะ” คีนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนใช้นิ้วเรียวดีดลงบนหน้าผากของผมดังป๊อก ยอมรับว่าเจ็บแต่โคตรคุ้มเพราะเขาหน้าแดงเว้ย แถมยังอมยิ้มแบบเขินๆ อีก โหย น่ารัก อยากฟัดแล้ว

“นะครับ รับรักเราหน่อยนะ” ผมหลับหูหลับตาขยับเข้าไปซบลาดไหล่กว้างแล้วถูไถหน้าผากอย่างออดอ้อน อายก็อายแต่ต้องทำเพื่อความสัมพันธ์อันสดใส ถึงจะโดนล้อยันแก่ก็ไม่สนหรอก คนเขาอยากมีแฟนจนตัวสั่นไง หึหึ

“ไม่” แต่คำปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเด็ดเดียวของคีนทำให้ผมชะงักการกระทำ จังหวะการหายใจสะดุดจนเผลอไอออกมาเบาๆ ร่างกายแทบไร้เรี่ยวแรงแต่ต้องแสร้งทำตัวงอแงเพื่อไม่ให้เขาลำบากใจที่พูดแบบนั้น ก็พอจะรู้ว่าแกล้งล่ะน่า ใจร้ายที่สุด

“โธ่ คีนครับ ~”

“กิมงอแงแล้วน่ารักดี” นั่น กลายเป็นสนุกเขาล่ะ ไอ้การที่หัวเราะไปด้วยขยี้หัวกันไปด้วยเนี่ย มีความสุขนักใช่ไหม เดี๋ยวเจอเอาคืนแน่คีน

“เอาแต่ชมไม่เห็นจะรักสักที” ผมรวบมือทั้งสองข้างของคีนไว้ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปกดจูบที่ริมฝีปากไวๆ แล้วผละออกมาพูดตัดพ้อ เขาดูจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็ปรับสีหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว

“ใจร้อนจังนะ ถึงคอนโดเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

โว๊ย อยากว๊าปตอนนี้เลยได้ไหมล่ะ!

กว่าจะถึงที่หมายจริงๆ ก็ปาไปเกือบสามทุ่ม เสียเวลาแวะกินข้าวที่หน้าปากซอยคอนโดอีกครึ่งชั่วโมงเท่ากับว่าเราเหยียบพื้นห้องตอนเข็มสั้นชี้เลขสิบพอดี อยากทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วหลับยาวจนถึงเช้าวันเสาร์แต่ผมกลับทำไม่ได้เพราะยังมีเรื่องค้างคา จะอาบน้ำก็ยังกังวลกลัวอีกฝ่ายติดต่อมา โธ่ คีนต้องลืมเรื่องที่พูดทิ้งท้ายไว้ในรถแน่ๆ

ผมนอนหงายอยู่บนเตียงปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ เพราะคิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรต่อไป ทางด้านมนุษย์ปอมที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ตรงระเบียงห้องนอนนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักกับคนในโทรศัพท์ไม่หยุดหย่อนจนน่าอิจฉา เมื่อตอนเย็นมันยังบ่นหงุงหงิงเรื่องโฮมโดนรุ่นพี่ปีสามแทะโลมอยู่เลย แล้วดูปัจจุบันสิ... มีความสุขจนเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ไม่คิดมากก็ดีไปอีกแบบ

ปึก!

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินของอะไรบางอย่างตกกระทบพื้น รีบยันตัวลุกขึ้นหาสาเหตุแต่กลับต้องกุมขมับด้วยความหงุดหงิด ก็ไอ้ปอมเล่นเขินเกินเบอร์แล้วไปกระชากต้นกุหลาบตกลงมาจากระเบียงน่ะสิ โอย กูอุตส่าห์เลี้ยงมันให้ออกดอกขนาดนั้น มึงมันตัวซวย ตัวทำลายล้างชัดๆ

“มึง... กูขอโท๊ษ ~” เสียงมาก่อนตัวเลยเหอะ แต่ผมนั่งทำหน้าอึนใส่มันอยู่บนเตียงแล้ว จะลุกไปโวยวายก็เปลืองพลังงานเปล่าๆ เฮ้อ อยากถีบไอ้ปอมสักสามสี่ครั้ง รำคาญ

“สัด ชอบหางานให้กูทำตลอดเลยนะ” ผมสบถก่อนพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ จนรู้สึกว่าขนจมูกกระดิก เหลือบมองไอ้ปอมด้วยสายตาคาดโทษ มันเคยจำบ้างไหมว่ากุหลาบที่ริมระเบียงต้นนั้นผมต้องลงทุนลงแรงใส่น้ำใส่ปุ๋ยมานานเท่าไหร่กว่าจะออกดอกและแข็งแรงได้ขนาดนั้น น่ากระทืบให้จมดิน

“ไม่ได้ตั้งใจ” มันบอกเสียงอ่อยก่อนจะเคลื่อนร่างควายๆ ไปเกาะประตูกระจกแล้วกระพริบตาเพื่ออ้อนให้ผมใจอ่อน ถ้าน่ารักได้สักครึ่งของโฮมก็พออภัยอยู่หรอกแต่นี่เห็นแล้วขัดหูขัดตาชะมัด หงุดหงิดขึ้นอีกเท่าตัวแม่ง



ต่อด้านล้างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“เขินห่าอะไรขนาดนั้นวะ กุหลาบมันไม่รู้เรื่องกับมึงปะ?” ผมย่างสามขุมเข้าไปตบกะโหลกไอ้ปอมด้วยความหมั่นไส้ เมื่อไหร่จะเลิกสร้างเรื่องให้คนอื่นตามเก็บสักทีวะ เดี๋ยวมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ดูไม่น่าฝากชีวิตไว้ด้วยอีก

“โหย ไม่เอาไม่ดุ เดี๋ยวกูปลูกใหม่ให้ก็ได้” ไอ้ปอมร้องงุ้งงิ้งทำท่าจะเดินกลับไปโกยดินที่หกเลอะเทอะลงในกระถางแต่ผมกลับรีบเอื้อมมือไปรั้งไหล่มันเอาไว้ เดี๋ยวก็เลอะเทอะจนต้องอาบน้ำใหม่อีกรอบหรอก

“ไม่ต้องๆ มึงกลับเข้าไปข้างใน เดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมโบกมือไวๆ เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบของเพื่อนก่อนจะดันหลังให้มันกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับโทรศัพท์ เออ ดีหน่อยที่เลิกคุยกันได้สักที ผมอิจฉาไง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก

“แดกยาลืมเขย่าขวดปะเนี่ย?” ไอ้ปอมหรี่ตามองอย่างจับผิด ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงบังคับให้มันจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองไปแล้ว เอาตามตรงคืออยากหาอะไรทำให้ตัวเองเลิกคิดฟุ้งซ่านน่ะ ขืนอยู่เฉยๆ คงประสาทแดกตายก่อนได้คำตอบจากคีน

“กูไม่ได้ป่วยไง” ผมกัดฟันพูดทำท่าง้างมือเตรียมตบหัวเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้จะเอาให้มึนจนเดินไม่ได้เลยแม่ง ทำดีด้วยก็หาว่ากูแดกยาลืมเขย่าขวด พอใจร้ายก็งอแงบอกว่าเกรี้ยวกราดงั้นงี้ มึงนี่มันเรื่องเยอะจริงๆ เชี่ยปอม

“ครับพ่อๆ ทำเสร็จก็รีบอาบน้ำด้วย มันดึกแล้ว”

ขอบคุณที่ยังห่วงใยกูนะเพื่อนรัก ซึ้งจนน้ำตาแทบไหลเชียว

“อืม ถ้ามึงจะนอนก็ปิดไฟได้เลย”

“ไม่ๆ กูว่าจะแดกเบียร์สักกระป๋องแล้วค่อยนอน” มันยิ้มทะเล้นก่อนจะกระโดดโหยงๆ เหมือนกระต่ายออกไปจากห้องนอน แม่ง เวลานอนยังแดกเบียร์อีก เจริญๆ เถอะพ่อคุณ ไอ้ขี้เมาเอ๊ย

ผมนั่งยองๆ ลงหน้ากระถางต้นไม้พลาสติกที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ดินสีดำปนน้ำตาลกระจายไปทั่วบริเวณ แค่เห็นสภาพก็รู้สึกขี้เกียจแล้ว เอาเป็นว่าขอนั่งดูท้องฟ้าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนลงมือทำเถอะ เฮ้อ

แต่สุดท้ายผมก็เหลือบมองระเบียงห้องข้างๆ ที่มีแสงไฟลอดออกมาจากด้านในบ่งบอกให้รู้ว่าคีนยังไม่นอน เฮ้อ คำตอบจะได้เมื่อไหร่วะ ช่างแม่งเถอะ ตอนนี้ขอจัดการดอกกุหลาบที่น่าสงสารนี่ก่อนแล้วกัน เริ่มจากโกยดินกลับลงกระถางเป็นอย่างแรก แม่งเอ๊ย มือดำปี๋แถมยังเจอไส้เดือนตัวยาวอีก

“ทำอะไรน่ะ?” อยู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมที่กำลังตั้งใจจัดการต้นกุหลาบถึงกับสะดุ้งเฮือก พอเงยหน้าขึ้นดูก็เจอเข้ากับคีนที่อยู่ในสภาพหัวเปียกและกำลังขยี้หัวอยู่ไม่ไกล มืออีกข้างจับกางเกงยีนส์ที่พาดไว้บนราวตากผ้า

“เฮ้ย ตกใจหมดเลย” ผมพ่นลมหายใจหนักๆ เมื่ออีกฝ่ายคือคนไม่ใช่ผีอย่างที่แอบกลัว คีนชักมือที่กำลังเช็ดผมแล้วเลิกคิ้วมองกันเหมือนยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่เพียงครู่เดียวเขาก็หลุดขำก่อนจะก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ

“โทษที เราออกมาเก็บกางเกงน่ะ ไม่นึกว่าจะเจอกิมมานั่งก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ระเบียง” โธ่ ขอโทษพร้อมหัวเราะแบบนี้ผมก็เสียเซลฟ์หมดสิครับคุณ อายจนจะเอาหน้าจิ้มเศษดินที่อยู่บนพื้นแล้วเว้ย ทำไมกูถึงขวัญอ่อนได้ถึงขนาดนี้

“ไอ้ปอมทำกระถางกุหลาบตกน่ะ เราเลยมาจัดการให้มันเข้าที่เข้าทาง” ผมชี้ไปที่ต้นไม้ในกระถางซึ่งยังเอียงกะเท่เร่อยู่เหมือนเดิม คีนขยับเข้ามาเท้าแขนลงบนระเบียงพลางชะโงกหน้ามาดูผลงานของไอ้ปอมก่อนหัวเราะเบาๆ

“ใกล้เสร็จหรือยัง?” เขาหันมาถามผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กๆ ดวงตารีแววระยับเหมือนกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง ถ้าให้เดาคงมีเรื่องอยากคุยด้วยล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นก็คงชวนไปซื้ออาหารไอ้ชมจันทร์เพราะเขาบ่นๆ ว่าใกล้จะหมดแล้ว

“ทำไมเหรอ?” ผมถามแล้วเบือนหน้าหนีเหมือนไม่ใส่ใจมากนักเพราะลึกๆ แอบหวังว่าคีนจะชวนคุยเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ เดี๋ยวแสดงออกทางสีหน้ามากไปอาจทำให้เขาไปไม่เป็นก็ได้ ใจเย็นไว้ไอ้กิม อย่ารีบร้อยเดี๋ยวเสียงเรื่องกันพอดี หันมาจัดต้นกุหลาบให้เข้าที่เถอะ สงสารมันเนี่ย

“ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ก็บอกนะ” เขาไม่ได้ตอบคำถามแถมยังขยับตัวออกห่างจากระเบียงไปนั่งกินลมชมวิวอยู่บนเก้าอี้พลาสติกที่วางอยู่อีกฝั่ง คือผมถามอะไรต่อไม่ได้แล้วใช่ไหม? โอเค จัดการงานเสร็จค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย

ผมหยิบไม้กวาดออกมาจัดการเศษดินที่เหลืออยู่ใส่ที่โกยขยะ หลังจากนั้นก็หยิบบัวรดน้ำแต่คิดได้ว่าฝนเพิ่งตกไปเลยวางไว้ที่เดิมแล้วเปลี่ยนเป็นเช็ดมือกับกางเกงนักศึกษาเพื่อเตรียมตัวคุยกับคีนต่อ รายนั้นก็นั่งหลับตาฮัมเพลงงุ้งงิ้งสบายใจเชียวนะ หัวชื้นๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นไข้หรอก

“เสร็จแล้ว” ผมเอ่ยบอกคนที่ยังหลับตาอยู่ก่อนขยับตัวเข้าใกล้ระเบียงด้านข้าง เท้าแขนลงบนนั้นมองตรงไปที่เป้าหมาย คีนค่อยๆ ขยับตัวบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวเล็กน้อย คือภาพทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากจนผมอยากเก็บเขาไว้ในห้อง ปิดล็อกประตูขังไม่ให้คนอื่นได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หวงว่ะ น่ารักเกินไปแล้ว

“โห หน้าเลอะดินเต็มเลย” อยู่ห่างกันขนาดนั้นยังเห็นรอยดินบนหน้าผมอีกเหรอ? ก็ไหนบอกว่าสายตาสั้นไม่ใช่หรือไง แกล้งกันอีกแน่ๆ ถ้าจะยิ้มและแอบหัวเราะแบบนั้น เดี๋ยวเถอะคีน

“จริงเหรอ? เดี๋ยวเราค่อยอาบน้ำ” แต่ผมดันเลือกไหลตามน้ำไปซะอย่างนั้น เฮ้อ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองว่าจะยอมเขาทำไม หรือเพราะรัก? หูย น้ำเน่าไม่เลิกเลยกูเนี่ย

“กิมว่างแล้วใช่ปะ?” คีนถามก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาหาผมและหยุดอยู่ไม่ไกล แค่เอื้อมมือไปด้านหน้าก็สามารถสัมผัสแก้มใสๆ ได้แล้ว ถ้าเขามาใกล้อีกหน่อยจะจุ๊บปากเยินเลยคอยดูเถอะ ก็ใครใช้ให้ยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นเล่า

“อื้ม ว่างแล้วครับ มีอะไรเหรอ?” ผมถามก่อนเทคตัวขึ้นไปนั่งบนขอบระเบียง หันหน้าไปทางคีนที่ตอนนี้ก็จ้องมองมาเหมือนกัน ดวงตาของเขายังคงพราวระยับจนผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะโดนแกล้งอีกหรือเปล่า

“เราแค่...” คีนพูดแค่นั้นก็เงียบไปทำให้ผมลุ้นจนเผลอขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น ลำตัวแตะสัมผัสกับลาดไหล่กว้างทำให้เราสบตากันนิ่งอีกครั้ง

“เราแค่จะชวนกิมมาเป็นแฟนกันน่ะ ตกลงไหม?” คีนคลี่ยิ้มหวานเมื่อพูดจบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะประคองใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน บรรยากาศรอบตัวเราตอนนี้เหมือนมีความหวานละมุนโรยตัวอยู่ใกล้ๆ เสียงหัวใจสองดวงเต้นดังตึกตักประสานกันช่างไพเราะยิ่งนัก โธ่ ผมโรแมนติกไม่ได้ครึ่งของเขาเลยเหอะ น่ามันเขี้ยวนักน้า

“อยากให้เราฟัดคีนใช่ไหม?” ผมกัดฟันพูดแล้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสั่นระริก พยายามอย่างมาในการควบคุมตัวเองไม่ให้กระโจนใส่คีนตอนนี้ คนบ้าอะไรน่ารักชะมัด เนี่ย มีแฟนแบบนี้ใครมันจะอยากให้คนอื่นได้รู้จักกันเล่า เดี๋ยวก็หลงรักเขากันแย่ ผมคงอกแตกตาย โอย

“ตอบไม่ตรงคำถามเหอะ” คีนย่นจมูกใส่ก่อนตบแปะลงมาบนแก้มของผมเป็นการลงโทษ แต่ใครจะยอมให้กระทำฝ่ายเดียวกันล่ะหืม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติให้คงอยู่กับตัวเองแล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของเราทั้งคู่ชนกัน ลมหายใจอุ่นเป่ารดสลับเคล้าคลอเสียงหัวใจเต้นเป็นอะไรที่ไม่สามารถบรรยายได้จริงๆ อีโรติกหรือโรแมนติกชักไม่ชัวร์

“ถ้าเราตอบตกลงจะมีโปรโมชั่นพิเศษบ้างปะ?” ผมกระซิบถามข้างใบหูของคีนก่อนจะผละตัวออกมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ แทนที่จะได้เห็นริ้วแดงๆ บนแก้มของเขากลับกลายเป็นว่าโดนสะบัดบ๊อบใส่ซะงั้น เอ้า อย่าเพิ่งหนีสิครับ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย โธ่ ตอนนี้เห็นแต่ท้ายทอยอะ

“ไม่ตอบงั้นเราเข้าห้องแล้วนะ” นั่น มีการย้ำด้วยว่าจะหนีแถมยังก้าวขาจริงๆ ซะด้วย ไอ้ผมก็ตาลีตาเหลือกกลัวเขาเปลี่ยนใจเลยกระโดดลงจากระเบียงเพื่อรั้งช่วงไหล่กว้างไว้ ไม่ได้การแล้ว เล่นตัวมากได้แดกแห้งแน่นอน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน เป็นครับ ตกลงครับ!” ผมรีบรัวคำตอบใจคีนโดยไม่สนใจว่าเสียงจะดังเกินไปหรือเปล่า เวลานี้การได้เป็นแฟนกันคือที่สุดของที่สุดแล้วเว้ย โอ๊ย หัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าเก่าก็ตอนที่เขาหันมายิ้มเจ้าเล่ห์และยักคิ้วให้กันนี่ล่ะ แสบนัก!

“ก็แค่นี้ ส่วนโปรโมชั่นพิเศษ เราให้เป็น... แล้วกันเนอะ” พอได้คำตอบสมใจก็กระซิบโปรโมชั่นพิเศษที่ผมให้ผมได้แต่ยืนอึ้งแล้วปล่อยคีนเดินเข้าห้องไปซะเฉยๆ โว๊ย ไอ้คนขี้อ่อยเอ๊ย

ใครใช้ให้กระซิบว่า ‘ดีพคิส’ ล่ะวะ ก๋ากั๋นเกินไปแล้ว!



----------------------------------------

เขาเป็นแฟนกันแล้ว สงสัยต้องเลี้ยงโต๊ะจีน 555555
ปล. กี่ตอนจบดีนะ?

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยย น่ารัก หยอกกันไปมา
โมเมนท์คนหึง คนหวงแต่แสดงออกไม่ได้
ตอนนี้จะได้จัดเต็มละนะ

กิมเหมือนหมาตัวโตจริงๆ เลย
คีนก็ชอบแหย่ ชอบตามใจนะนั่น
คู่นี้ เค้าเรียกแพ้ทางกันมาก

ปอมคืออะไร ทำหวงโฮม แอบคบกันหรือเปล่า

อยากได้ 40 ตอนเลยค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ สนุกดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด