บทพิเศษ ๑.๔
แทบขาดใจ
ปี ๒๕๐๒“เฮ้ย ๆ ๆ จับมันเร็ว” เสียงทุ้มใหญ่พูดเสียงดัง หนวดสีเข้มอยู่เหนือปากทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นมาก มือก็เท้าเอวมองเด็กสามคนวิ่งกันให้วุ่น “เอ้าไอกล้า เอ็งจะไปกลัวมันทำไมวะ!”
คนที่นั่งอยู่กับโต๊ะไม้ใกล้ริมคลองมองสี่ลุงหลานกำลังวุ่นกับการจับไอมารวยหรือสุนัขที่ชอบมาคาบรำไปกิน วันนี้ก็มาอีกแล้ว สิงห์ส่ายหน้าปากเจือด้วยรอยยิ้มมือก็วุ่นอยู่กับการประกอบสายเอ็นกับที่เกี่ยวเบ็ดให้เด็ก ๆ ทั้งสามคนที่วันนี้อยากจะมาตกปลากับลุงไฟเขา
“ไอแก้วไปดักตรงนู้นสิ” ไฟชี้ย้ำ ๆ แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี “ไม่ได้เรื่องเลยพวกเอ็งเนี่ย”
“โห่ บ่นอยู่นั่นแหละ ลุงไฟไม่มาจับเองล่ะ” เสียงเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นและก็เป็นเสียงเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ที่มีศึกระหว่างคู่ลุงหลานสองคนนี้บ่อยเสียซะจนคนนอกคิดว่าไฟทารุณเด็ก แต่เป็นแค่การปะทะฝีปากที่มีแต่เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น บ่นกันไปกันมาอยู่อย่างนั้นแหละ สิงห์เองก็ห้ามจนเอือมเช่นกัน อะไรจะกัดกันซะยิ่งกว่าหมาแบบนี้
“อ่าวไอนี่ หาเรื่องข้าหรือวะ” ไฟเท้าสะเอวมองหลานตัวน้อยที่สุดในนี้ที่หน้าตาดูดื้อเป็นอย่างมาก
“ลุงไฟนั่นแหละขี้บ่น เป็นคนไม่ดูเองแล้วใช้เด็กมาจับหมาแทน”
“ไอเด็กนี่ปืนเกลียว” ไฟหงุดหงิด
“ลุงสิงห์” แต่พอเปลี่ยนเป็นใครก็ตามที่ไม่ใช่ลุงไฟ เด็กคนนี้ก็เรียกเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหา กอดผู้เป็นลุงเอาไว้แล้วทำหน้าเศร้า “ดูลุงไฟสิ ว่าต้นสนอีกแล้ว”
ไฟถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ
“พี่ไฟไปจับเองแล้วกัน เหนื่อยอะ อยากตกปลาแล้ว” แก้วที่โตเป็นหนุ่มอายุยี่สิบห้าเดินทำหน้าเซ็งไปช่วยลุงสิงห์ประกอบเบ็ดตกปลา
“ใช่ ๆ” กล้าในวัยยี่สิบสี่พยักหน้าเห็นด้วยและอาสาไปขุดไส้เดือนแทน
แก้วและกล้าเรียนจบมหาลัยกันแล้วและมาเป็นหัวหน้างานที่ไร่แทน แก้วจะดูพืชผักส่วนกล้าจะดูทางคลองที่เอาไว้เพาะพันธุ์ปลาและพวกคอกสัตว์อย่าง วัว หมูและไก่ ส่วนพี่ชายของทั้งคู่อย่างกฤษในวัยสี่สิบเอ็ดปีก็ดูเรื่องการส่งออกแทน
“น้ำมาแล้วจ้า” เด็กสาวอีกคนชื่อหนูอิ่มลูกของอัธ อายุยี่สิบเอ็ดเรียนมหาลัยอยู่แต่กลับมาบ้านช่วงวันหยุดและชอบมาที่นี่เหมือนกัน
“พ่อไปไหนล่ะหนูอิ่ม” สิงห์ถามถึงเพื่อน
“พ่ออัธไปจัดการเรื่องคนขโมยวัวจ้ะ”
สิงห์พยักหน้าพลางถอนหายใจ มีพวกขโมยมาแถวคอกสัตว์บ่อยเหมือนกัน เสืออัธหรือที่ตอนนี้ที่ไม่ให้ใครเรียกเสือนำหน้าแล้ว เลยเรียกอัธเฉย ๆ สิงห์ถือว่าอัธเป็นเพื่อนคนหนึ่งเพราะอายุสี่สิบเจ็ดเท่ากัน ส่วนเสือเอี้ยงหรือพี่เอี้ยงตอนนี้แกไปอยู่ต่างจังหวัดแล้ว
“เด็กพวกนี้อ่อนแอกันนัก”
แก้วถึงกับส่ายหัว “พาลใส่เด็ก”
“ใช่” เด็กน้อยสุดในวัยสิบขวบผสมโรงจนไฟได้แต่เท้าเอว
“พอเลยตัวแสบ ไปช่วยพี่กล้าขุดไส้เดือนไป” สิงห์ยีหัวหลานชายอย่าง ‘ต้นสน’ ที่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สองปีที่แล้ว เห็นบอกว่าจริง ๆ จะไม่มาแล้วหากปราชญ์ยังอยู่ที่นั่น แต่ว่าปราชญ์ในตอนนี้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ต้นสนคงจะเหงาน่าดู ต้นอ้อบอกว่าต้นสนติดหนูปราชญ์มาก ติดขนาดที่ว่าตอนบอกลากัน ต้นสนร้องไห้ไม่หยุดเลย ถึงแม้หนูกรณ์จะไปเล่นด้วยบ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรเท่ากับหนูปราชญ์ ต้นสนเลยขอมาอยู่กับเขาแทนเพราะกลัวจะเอาแต่คิดถึงพี่ปราชญ์ของเจ้าตัวจนไม่เป็นอันทำอะไร
และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะอยากเป็นตำรวจจึงอยากมาเรียนการต่อสู้และให้สอนพิเศษส่วนตัวจากลุงทั้งสอง สิงห์คิดว่าโตไปต้นสนอาจจะเปลี่ยนใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะพากลับพระนครเพื่อเรียนต่อมหาลัยแทน คงต้องรอดูอีกนิดว่าต้นสนยังเลือกจะอยากเป็นตำรวจอยู่ไหม สิงห์ก็ไม่อยากบังคับอะไรมากอยากให้หลานเรียนในสิ่งที่ชอบก็พอ
“ครับผม” พอเป็นลุงสิงห์ก็พูดจาว่าง่าย ก่อนจะวิ่งไปหาพี่กล้าไม่วายยังหันไปแลบลิ้นใส่ลุงไฟ
“อ่าว ๆ เฮ้ย ๆ กล้านักนะ”
“เหนื่อยไหมคะลุงไฟ ดื่มน้ำเสียหน่อย คอแห้งหมดแล้วมั้งมัวแต่บ่นหลาน” หนูอิ่มว่าแล้วยื่นขันเล็กไปให้
สิงห์หัวเราะ “มานั่งนี่มา เอาแต่โวยวายอยู่นั่น”
“ก็ดูหลานสิงห์สิ” ไฟขมวดคิ้วมุ่นยอมนั่งลงและรับน้ำจากหนูอิ่มมาดื่ม
“ทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นไปได้” สิงห์ส่ายหน้า
“ใช่” แก้วกับอิ่มพยักหน้าตาม
“ใช่ ๆ” ไฟเขกหัวไอหลานทั้งสอง
“เนี่ยดูสิ พี่สิงห์” แก้วทำเป็นร้องโอดโอย
“นิสัยไม่ดีเลยลุงไฟ” อิ่มแกล้งเจ็บเสริม
“ไอเด็กพวกนี้” ไฟเท้าเอว
“พอเลย” สิงห์ห้ามทั้งสามก่อนจะสอนหนูอิ่มเรื่องทำเบ็ดตกปลา
เพียงไม่นานทุกคนยกเว้นสิงห์มานั่งเรียงกันริมคลองเพื่อจะตกปลา แล้วก็เป็นอย่างเคยที่คู่ลุงหลานที่นั่งข้างกันบ่นใส่กันตลอด
“ลุงไฟอย่ามาตกปลาใกล้ต้นสนสิ”
“เอ้า ก็ที่ตรงนี้ข้านั่งมาตั้งนาน เอ็งนั่นแหละมาตกปลาใกล้ข้าเอง” ว่าแล้วก็ขยับเบียดหลานไปที
“ลุงสิงห์” ต้นสนทำเป็นงอแงร้องเรียกให้ลุงช่วย ส่วนไฟก็ทำเสียงเรียกล้อเลียน
“โอ๊ะ” ไฟร้องเสียงหลงเมื่อถูกผลักหัวจนเด็ก ๆ ขำกันหมด
“ไปแกล้งหลาน” สิงห์ที่เดินมาผลักหัวว่าก่อนจะนั่งลงบนเสื่อด้านหลังทั้งคู่ “ใครเขาสอนให้นั่งเรียงกันตกปลา ทำไมไม่ห่างสักนิดบ้าง”
พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็ปลีกตัวแยกย้ายแยกกันไป แต่ก็ไม่ห่างกันมาก ตรงนี้จึงเหลือเพียงสามลุงหลาน
“ลุงไฟไปนู่นสิ” ต้นสนยู่ปากทำเป็นชี้แทนนิ้ว
“นู่นไหนล่ะวะ” ไฟยู่ปากตาม
“พี่ไฟอย่าทำเลย ขอร้อง” แก้วที่นั่งไกลออกไปนิดเอ่ยบอก
“อะไรวะ” ไฟส่ายหัว
“ลุงไฟไปนั่งตรงนู้น” ต้นสนยังไม่เลิกบ่น
“เอ๊ะ ข้าจะนั่งตรงนี้มีปัญหารึไง” ไฟขมวดคิ้ว
“ไม่ได้ เดี๋ยวปลาไม่กินเหยื่อของต้นสน”
“ก็ช่างเอ็งสิ”
“ลุงสิงห์” ต้นสนหงายหลังเพื่อซุกอกคนเป็นลุงที่นั่งข้างหลังทันที “ตีลุงไฟให้หน่อย”
สิงห์อดจะหัวเราะไม่ได้ หยิกแก้มหลานอย่างนึกมันเขี้ยว “ก็นั่งด้วยกันเนี่ยแหละ”
พอเห็นคนรักเข้าข้างก็ทำเป็นยักคิ้วใส่หลาน
“ถ้าไอมารวยมากินไส้เดือนล่ะ เพราะลุงไฟเลยนะ”
“หมามันจะกินไส้เดือนทำไมวะ”
ต้นสนหน้าหงิกมือทั้งสองยังถือเบ็ดตกปลาแต่ตัวเอนพิงกับหน้าอกของลุงสิงห์แล้ว “ลุงสิงห์ตัวหอมจัง” ไม่ว่าเปล่ายังซุกแล้วสูดดม
“เฮ้ย ๆ ลามปาม” ไฟถึงกับดึงหัวหลานให้ลุกขึ้น แต่ต้นสนก็เบี่ยงตัวหลบ
“อย่ามาจับหัวต้นสนนะ” ต้นสนหงุดหงิดผละแขนข้างหนึ่งมากอดแขนลุงสิงห์ไว้
“ห้ามหอมเว้ย ของข้าคนเดียว”
“อ้วกกก” ทั้งแก้วและอิ่มพากันทำเป็นอ้วก ส่วนกล้าก็หัวเราะไม่หยุด
“อะไร ๆ ก็ข้าพูดจริง นี่เมียข้า ข้าหอมได้คนเดียว” พูดเสร็จก็หอมแก้มโชว์จนแก้วกับอิ่มทำหน้าเอือมระอาส่วนต้นสนหวงลุงยิ่งกว่าสิ่งใดรีบวางเบ็ดตกปลาแล้วลุกขึ้นไปนั่งตักลุงไม่ให้ลุงไฟยุ่ง
สิงห์กอดหลานไว้ไม่ให้ตก แก้มแดงเล็กน้อย ไม่เคยชินเสียทีกับการถูกหอมต่อหน้าหลาน ๆ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ทุกคนจะรู้กันแล้ว แต่ก็อดเขินอายไม่ได้ที่ยังคงทำตัวหวานหยดย้อยทั้ง ๆ ที่อายุจะห้าสิบกันอยู่แล้ว
“ทำอะไรไม่อายบ้างรึไง” สิงห์ตีแขนคนรัก
“อายทำไม โธ่” ไฟยักไหล่จะเข้าไปหอมก็ถูกกันไว้
“ห้ามหอม” ต้นสนขมวดคิ้วมุ่น
“ตัวโตจะเท่าควายอยู่แล้ว ยังไปนั่งตักอีก”
ต้นสนกะพริบตาหันมองลุงสิงห์ทันที “ต้นสนตัวใหญ่เหรอ”
“ไม่ใหญ่ครับ ยังเล็กอยู่ ลุงสิงห์อุ้มได้เลยนะ” ว่าพลางลูบหัวหลาน
“เห็นไหม” ต้นสนยักคิ้วใส่ลุงไฟ
“นี่ก็เข้าข้างหลานจัง” ไฟโคลงหัวคนรัก
ตกปลากันจนเย็น ทางแก้วกับกล้าก็ออกไปดูงานนานแล้วส่วนอิ่มคงไปหาพ่อตนเอง ตอนนี้สามลุงหลานอยู่บนบ้านกำลังช่วยกันทำกับข้าว สิงห์เอาหมูที่หมักมาทอด ส่วนไฟหุงข้าว ต้นสนทำหน้าที่เด็ดผัก
“อยากกินกะปิจังเลย” ต้นสนว่า
“เผ็ดจะตาย” ไฟส่ายหน้า
“เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เย็น ๆ เราไปตลาดแล้วซื้อของมาทำแล้วกันนะ” สิงห์บอกหลาน
“จ้ะ”
“ซื้อหน่อไม้มาด้วยนะ อยากกินผัดไข่หน่อไม้” ไฟบอกเพราะพรุ่งนี้ทำงานคงกลับดึก
“จืดจะตาย” ต้นสนล้อเลียน
“เดี๋ยวก่อน ๆ” ไฟเอาพัดชี้หน้า
เพียงไม่นานกับข้าวก็เสร็จเรียบร้อย มีปลากับหมูทอด ไข่เจียว แกงเลียงปลาช่อน ทั้งสามพากันช่วยขนกับข้าวไปที่กลางบ้าง สิงห์ตักข้าวใส่จานให้ตนเองและคู่ลุงหลาน ที่คนหนึ่งถือถาดกับข้าวส่วนอีกคนถือขันน้ำ
“ลุงไฟอย่าชนต้นสนนะ เดี๋ยวน้ำหก”
“เดินห่างกันเป็นวา” ไฟส่ายหน้าวางกับข้าวลงกลางโต๊ะ
“ต้นสนจะนั่งข้างลุงสิงห์นะ”
“เออ ๆ” ไฟพยักหน้าอย่างเอือมระอา ไอนี่หวงลุงของมันเสียจริง
ต้นสนกินเยอะเป็นพิเศษเพราะทั้งวันมัวแต่ตกปลาจนลืมกินข้าว กินไปได้นิดเดียวก็เผลอวางไว้จนมดขึ้น ถูกลุงสิงห์ดุเลย
“ค่อย ๆ กิน กลัวใครเข้าแย่ง” ไฟบอกหลาน
“กลัวลุงไฟแย่ง” ต้นสนหัวเราะ
“พรุ่งนี้ลุงสิงห์ไปรับแล้วเลยไปตลาดเลยนะ”
“จ้า” ต้นสนพยักหน้า
“อยากไปด้วยอยู่ ว่าจะซื้อตะปูเพิ่มมาทำโต๊ะนั่งแถวริมคลอง ตะปูมันไม่พอ”
“เดี๋ยวสิงห์ซื้อมาให้ก็ได้”
“บอกลุงชัยแกไปว่าเอาสามนิ้ว ตะปูตอกไม้เฉย ๆ เอาลังหนึ่ง” พอเห็นคนรักพยักหน้าก็เตือนอีกเรื่อง “ไปแล้วก็ระวังด้วยล่ะ โจรมันชุมอีกแล้ว ตลาดแถวนั้นโดนบ่อย”
“ไม่เป็นไร จะรีบซื้อรีบกลับ”
“มีต้นสนอยู่ไม่ต้องห่วง” ต้นสนยิ้มแก้มปริ
“น่าห่วงล่ะสิไม่ว่า”
“วุ๊ ลุงไฟอะ” ต้นสนหงุดหงิดแล้ว
หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ต่างคนต่างไปอาบน้ำ ต้นสนนอนแยกห้อง แม้ว่าช่วงแรกที่มาอยู่จะมานอนกับลุงสิงห์ตลอดแต่ก็เริ่มนอนคนเดียวได้เมื่อปีที่แล้ว
“พรุ่งนี้เช้าถ้าอยากทำบุญกับลุงก็ตื่นเช้า ๆ นะ”
“ครับ” ต้นสนตอบเสียงยานคางเพราะเริ่มง่วงแล้ว สิงห์จึงหอมหัวหลานกางมุ้งให้แล้วเดินกลับห้องตัวเองที่อยู่ข้าง ๆ
ห้องมืดลงแล้ว หน้าต่างก็ปิดเรียบร้อย สิงห์จึงเข้าไปในมุ้งเห็นคนรักกำลังนอนหนุนมืออยู่
“อะไร” สิงห์ถามเสียงเบาเมื่อเห็นดวงตาที่จดจ้องอย่างวาบหวาม ก่อนจะนอนลงพร้อมเหล่มองคนรักที่ยังคงมองไม่หยุด
“ตัวหอมจริงเหรอ” ไฟถาม
“ไม่หอม”
“แต่หลานบอกตัวหอม” ไม่ว่าเปล่ายังก้มไปหอมแก้มดังฟอด
“อือ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ไฟกระซิบเสียงพร่าหนวดสีเข้มขยับคลอเคลียตามซอกคอ
“หนวดมันทิ่ม” สิงห์เอียงหน้าดันอกคนรักที่คร่อมตัวตนไว้
“ก็ทิ่มทุกวัน”
พอได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็หน้าร้อนผลักหัวไปที “เดี๋ยวเถอะ”
ไฟหัวเราะในลำคอสอดตัวเข้ากลางหว่างขาขยับให้ขาคนรักอ้าออกก่อนจะแนบตัวให้ชิดกันขยับบดเบียดจนคนใต้ล่างครางอื้ออึง
ปากบางเผยอรับจูบยามที่ลิ้นร้อนแทรกเข้ามา เกี่ยวกวัดกันอย่างไม่ยอมใคร แขนขาวโอบรอบคอคนด้านบนไว้ จิกกับผมสีเข้มที่เริ่มมีงอกขาวประปราย เปล่งเสียงในลำคอยามที่ถูกคนรักเบียดส่วนล่างจนเนื้อผ้าเกิดเสียงเสียดสีดังทั่วห้อง
กางเกงผ้าลื่นถูกล่นไปอย่างง่ายดายด้วยมือของไฟ ก่อนที่สิงห์จะเม้มปากกลั้นเสียงยามที่ถูกปรนเปรอด้วยปากของอีกฝ่าย
ไฟเลิกเสื้อคนรักให้ขึ้นจนถึงหน้าอกใช้มือลูบอย่างหลงใหล “ขาวเสียจริง”
คนฟังได้แต่หลบตา หอบหายใจแรงยามที่นิ้วอีกฝ่ายเกลี่ยกับหัวสีชมพูที่ชูชันตามแรงอารมณ์
สิงห์กัดปากแน่นเล็บเผลอจิกกับไหล่คนรัก ลิ้นร้อนที่ตวัดแทนนิ้วทำให้หลังของสิงห์แทบไม่ติดเตียง
“อย่ากัด” สิงห์รีบมองคนรักที่เคลื่อนหน้าขึ้นมากัดคอตนเบา ๆ ยิ่งหนวดสีเข้มขยับซุกไซร้ขนแขนก็ขนลุกชัน
ไฟจับแท่งสีเนื้อสัมผัสกับช่องทางโดยที่ยังไม่ได้สอดใส่ เสียงทุ้มครางต่ำอย่างอดกลั้นแขนหนาขึ้นเส้นเลือดจนเห็นชัด เพียงเข้าแค่นิดเดียวคนใต้ล่างก็เผลอร้องครางเสียงดังจนต้องเอามืออุดปากไว้เพราะกลัวหลานได้ยิน
“เจ็บหรือ” ไฟถามเสียงเครียด
สิงห์ส่ายหัว “ตกใจอยู่ ๆ ก็ใส่”
พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็หัวเราะก้มลงหอมแก้มย้ำ ๆ พร้อมกับสอดเนื้อร้อนเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเริ่มขยับเมื่อคนรักปรับตัวได้ เอวหนาเขยื้อนเนิบนาบและเริ่มเร็วขึ้นตามอารมณ์ที่รุนแรงขึ้น
เสียงเตียงดังลั่นห้องพอ ๆ กับเสียงครางของสิงห์ที่ไม่กักเก็บไว้แล้ว จริง ๆ เคยร้องดังกว่านี้แต่ต้นสนก็ไม่ตื่นเลย คงจะโชคดีที่หลานเป็นคนหลับลึก แต่ถึงอย่างนั้นก็ระวังไว้ดีกว่าเพราะกลัวว่าหลานเผลอตื่นกลางดึกแล้วได้ยินเอา
“อื้อ เบา ๆ เดี๋ยวหลานได้ยิน” มือขาวรีบดันหน้าท้องของคนรักไว้ทันทีที่ขยับแรงจนเตียงมันกระทบกับผนังห้องดังเกินไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก“ลุงสิงห์ เป็นอะไรหรือเปล่า ลุงสิงห์”
ยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเคาะห้องพร้อมกับเสียงเรียก ไฟถึงกับครางในลำคอเพราะต้องหยุดกลางคัน
“ไฟ... สิงห์ไม่ได้ล็อกห้อง” สิงห์บอกคนรักอย่างตกใจเพราะไม่เคยล็อกห้องเผื่อหลานมีเรื่องอะไรจะได้เข้าห้องมาได้
“ลุงสิงห์” ต้นสนเปิดประตูเข้ามา แต่เพราะความมืดแล้วก็มุ้งมันทำให้มองไม่ค่อยเห็นด้านใน แต่เห็นใครเหมือนนั่งบนเตียง “ลุงไฟเหรอ ลุงสิงห์ร้องทำไม”
ไฟพรูลมหายใจ หันไปมองหลาน “ไม่มีอะไร เอ็งจะมาขัดทำไม รีบไปนอนไป”
“อ่าว” ต้นสนหน้าบึ้ง “ก็ต้นสนเป็นห่วงลุงสิงห์ ไหนขอดูลุงสิงห์หน่อย ลุงสิงห์เป็นอะไร”
“เฮ้ยอย่า” ไฟรีบเอาผ้าห่มมาคลุมคนรักไว้
“ลุงไม่เป็นไรครับ” กว่าจะเปล่งเสียงได้ก็เกือบใจหาย “ต้นสนไปนอนนะ”
ต้นสนยังไม่ไว้วางใจ “ไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“ครับ” สิงห์ตอบเสียงสั่นมือจับผ้าห่มแน่น
“ถ้าลุงไฟทำอะไรบอกต้นสนนะ”
“ครับลูก”
“ไปได้แล้วไป”
ต้นสนจิ๊ปาก “รู้แล้ว ห้ามทำอะไรลุงสิงห์นะ”
“เออ” ไฟส่ายหัว พอห้องถูกปิดลงก็เริ่มขยับอีกครั้ง
“อ๊ะ บอกว่าเบา ๆ” สิงห์ตีแขนคนรัก
ไฟยอมทำตามกระแทกกระทั้นไม่รุนแรงนักแต่การทำแบบนี้ก็ไม่ต่างกันมาก เตียงมันก็ชนกับผนังอยู่ดี
เดี๋ยวได้ทำกระท่อมเล็ก ๆ กลางนาจะได้ไม่สนว่าใครจะได้ยิน
มือขาวปิดปากตัวเองแน่นเมื่อเริ่มจะเสร็จ คราวนี้เตียงกระทบผนังดังยิ่งกว่าเก่าแต่ทั้งคู่ก็ไม่สนอะไรแล้ว สิงห์หอบหายใจแรงผละมือออกไปโอบบ่าคนรักร้องครางเสียงดังก่อนที่จะปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาตาม ๆ กัน
“เฮ้อ” สิงห์ถอนหายใจลูบหลังคนรักที่นอนทับตัวเองทันทีที่เสร็จ ปากบางขยับจูบตามขมับอย่างรักใคร่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก“ลุงสิงห์ร้องอีกแล้ว ลุงไฟทำอะไร”
ไฟทนไม่ไหวตะโกนเสียงดัง “ข้าทำลูกเว้ย โอ๊ย”
สิงห์หยิกเอวทันที “ตาแก่นี่พูดอะไร”
สุดท้ายสิงห์ก็ต้องใส่เสื้อผ้าลุกไปบอกหลานว่าไม่ได้เป็นอะไร กลับมาแทนที่จะได้นอน ตาแก่ไฟก็ดันคึกขึ้นมาอีกรอบ แต่เปลี่ยนลงไปทำข้างล่างแทน...
พ่ายโลกันตร์
พอถึงเวลาเลิกเรียน เด็ก ๆ ต่างก็เดินกลับบ้าน บ้างก็ขี่จักรยานกลับ ส่วนต้นสนยืนรอลุงสิงห์หน้าโรงเรียน เห็นรถมอเตอร์ไซค์ขี่มาจอดข้างหน้าก็ยกมือไหว้แล้วขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายทันที
“วันนี้นะ ต้นสนได้ทำม้าก้านกล้วยด้วย”
“จริงเหรอ เก่งจังเลย” สิงห์ยิ้ม ไม่ได้ขี่รถเร็วมากค่อนข้างช้าเพราะห่วงหลาน
“แต่เพื่อนบอกต้นสนว่าเหมือนม้าเด็ก”
“ทำไมล่ะ”
“ก็มันเล็ก” ต้นสนพูดเสียงเบา
“ไม่เป็นไรครับ ม้าเด็กก็มีแถมน่ารักเสียด้วย ลุงสิงห์ยังทำม้าเด็กไม่ได้เลย”
หลานยิ้มกว้าง “ใช่ ๆ ม้าเด็กทำยาก”
ต้นสนพูดจาเจื้อยแจ้วตลอดทางเพียงไม่นานก็มาถึงตลาดแถวบ้าน ต้นสนตื่นเต้นทุกครั้งที่มาตลาดเพราะคิดว่าได้มาเที่ยวข้างนอก เดินชมโน่นชมนี่ตามภาษาเด็กที่อยากรู้อยากเห็น ยิ่งเห็นปลาเป็น ๆ ในกะละมังดิ้นไปมาก็ตกใจ แม้บ้านตัวเองจะตกปลาเกือบทุกวันเห็นปลามากมาย แต่พอมาเจอที่อื่นก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้
“ปลาไหลตัวใหญ่มากเลยลุงสิงห์” ต้นสนว่า เพราะที่คลองใกล้บ้านไม่เคยเห็นปลาไหลเลย
สิงห์ได้ของมาครบแล้วก็เหลือแต่ตะปูของคนรัก ว่าแล้วก็เดินนำหลานไปร้านขายเครื่องมือที่มีที่เดียวในจังหวัดนี้
“อ่าวท่านรองมาเอาอะไรครับ” ถึงแม้ว่าสิงห์จะออกจากราชการหลายปีแล้วแต่ชาวบ้านก็ยังรู้จักและเรียกท่านรองมาตลอด
“ตาไฟบอกจะเอาตะปูตอกไม้ สามนิ้วน่ะลุงชัยมีไหม”
“มีครับ ๆ”
“เอาลังหนึ่งนะครับลุง”
“ได้เลย รอเดี๋ยวเดียว” ลุงชัยว่าพร้อมกับเดินไปหาตะปูมาให้
“ต้นสนอย่าจับ” สิงห์ว่าแล้วให้หลานถอยออกจากของในร้าน
“ต้นสนเห็นทองหยอดหน้าร้าน ต้นสนไปซื้อได้ไหม”
สิงห์หันไปมองก็พบว่าไม่ไกลจึงให้เงินไป “ซื้อเสร็จรีบมาหาลุงนะ”
“จ้ะ” ต้นสนยิ้มดีใจวิ่งออกไปหน้าร้านสั่งขนมทองหยอดทันที พลันเสียงร้องก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ ต้นสนเห็นยายขายทองหยอดวิ่งไม่ไหวเลยช่วยพยุง แต่ยังไม่ทันไปไหนต้นสนก็ถูกมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าช่วงท้อง
“ต้นสน!!” สิงห์ที่วิ่งออกมาเพราะเสียงร้องตะโกนของชาวบ้านก่อนจะหยิบเหล็กจากร้านลุงชัยฟาดใส่หน้าโจรคนหนึ่งที่จะวิ่งหนีแล้วหันไปเตะสีข้างของโจรอีกคนที่เอามีดแทงหลานตนเอง พอมันล้มลงก็ใช้เหล็กฟาดหัวจนมันสลบ
“ท่านรอง” ตำรวจนายหนึ่งตกใจก่อนจะเรียกคนอื่นมาจับกุม “พวกมันอีกสองคนอยู่ตรงนี้!”
“ต้นสน” สิงห์เสียงสั่นรีบไปช้อนตัวหลานขึ้นมา
“สิงห์” ไฟที่มาถึงเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากตัวหลาน “ไปเอารถมาเร็ว!”
“ครับ!”
“ต้นสน” ไฟใจหายรีบลงไปนั่งคุกเข่า
“เจ็บ” ต้นสนน้ำตาคลอ
“ทนไว้นะ ไม่เป็นไร อย่าหลับนะต้นสน” ไฟลูบหัวหลานก่อนจะหันมองคนรักที่ตัวสั่นไปหมด และร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว
เพียงไม่นานรถตำรวจก็มาจอด ไฟจึงอุ้มหลานให้ขึ้นไปหลังรถ สิงห์รีบนั่งให้หลานนอนตักทันที ฉีกเสื้อตัวเองเพื่อเอามาคลุมมีดไว้ไม่ให้ขยับมาก
“สิงห์ใจเย็น” ไฟรีบบอกคนรักที่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด น้ำเสียงเหมือนคนจะขาดใจ ได้แต่ภาวนาให้ถึงโรงพยาบาลเร็ว ๆ
พอมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่ได้หายห่วงเลยสักนิด สิงห์นั่งไม่ติดที่ได้แต่เดินวนไปมามือขาวกำแน่น
“สิงห์มานี่มา” ไฟดึงแขนคนรักให้มานั่งข้าง ๆ ก่อนจะกอดปลอบ
“สิงห์ผิดเอง สิงห์ไม่ดูหลาน”
“ไม่เป็นไร ๆ มันเป็นเหตุสุดวิสัย” ไฟลูบผมคนรัก “ไฟเป็นตำรวจมาตรวจกับมือยังปล่อยให้พวกมันหนีไปได้สองคน จนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
แท้จริงแล้วพวกมันมีห้าหกคน แต่ก็เผลอทำให้สองคนหลุดออกมาได้ ถือว่าเป็นงานสะเพร่าของเขาอีกคน
รออยู่หลายชั่วโมงหมอถึงจะออกมา สิงห์และไฟรีบลุกถามทันที
“ต้นสนเป็นไงบ้างครับหมอรัตน์”
หมอรัตน์เปรยยิ้ม “พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ต้องนอนพักที่นี่ก่อนยังกลับบ้านไม่ได้นะครับ”
“ขอบคุณครับหมอ ขอบคุณมากเลยครับ” สิงห์ยกมือขอบคุณก่อนจะคล้ายคนอ่อนแรงนั่งลงพิงกับเก้าอี้ทันที
ไฟคุยกับหมอรัตน์อีกสักพักก็ไปนั่งลงข้างกายพร้อมกับกุมมือคนรักไว้ “สบายใจแล้วนะ ตอนนี้หลานรอดแล้ว”
สิงห์พยักหน้าแม้ใจจะโล่งอกแต่ก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด
ผ่านไปเดือนกว่าได้ ต้นสนออกจากโรงพยาบาลและวิ่งเล่นอย่างเดียว ต่างจากสิงห์ที่ใจหายใจคว่ำที่หลานวิ่งเล่นจนกลัวแผลจะฉีก แม้แผลมันจะปิดสนิทไปแล้วก็ตาม
“อย่าวิ่งสิต้นสน”
ต้นสนหัวเราะเสียงดังก่อนจะวิ่งมาหาลุงสิงห์ “ไม่ต้องห่วงนะ ต้นสนแข็งแรงมาก ๆ เลย”
“ต้องห่วงสิ ถ้าต้นสนเป็นอะไรไปลุงจะอยู่ยังไง” สิงห์ลูบหน้าหลาน
แม้ต้นสนจะปวดและชาตอนที่ถูกมีดแทงแต่ก็ยังรับรู้ ได้ยินเสียงร้องของลุงตนเองตลอด ต้นสนขอร้องลุงสิงห์ไม่ให้บอกพ่อกับแม่เพราะกลัวพวกท่านห่วง แต่ยังไงสิงห์ก็ต้องบอก ต้นอ้อกับเฟื้องรีบมาที่นี่ทันทีที่รู้เรื่อง
สิงห์จะให้หลานกลับไปอยู่พระนคร ต้นสนก็ร้องไห้เสียงดังไม่ยอมกลับท่าเดียว ดูเหมือนจะติดที่นี่เสียแล้ว ต้นอ้อกับเฟื้องก็บอกให้อยู่ที่นี่ เพราะที่นั่นเด็กช่างยังตีกันอยู่เลย มันหนักว่าที่นี่มาก ก็เลยต้องยอม
“ต้นสนสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้” ต้นสนทำหน้าจริงจัง “จะไม่ทำให้ลุงสิงห์ร้องไห้แล้ว”
พูดเสร็จก็ก้มหัวให้ลุงสิงห์ลูบผมก่อนจะทำหน้าหงุดหงิดเมื่อมีคนเดินมาร่วมวง
“ไงไอแสบ วิ่งฉิวเชียว” ไฟว่าพร้อมกับโอบไหล่คนรักไว้
ต้นสนมองมือของลุงไฟ ถึงจะหวงลุงสิงห์มากแต่ต้นสนยอมให้โอบนะเพราะว่าตอนต้นสนเจ็บมีแค่ลุงไฟปลอบลุงสิงห์ได้ ต้นสนมาปลอบไม่ได้
“ฮึ” ต้นสนหันหน้าหนี ก่อนจะวิ่งออกไปกลางทุ่งนาหันมาโบกมือให้ลุงทั้งสองที่ยืนมองอยู่
“ร่าเริงดีจริง”
“ซนเหมือนลิงมากกว่า”
สิงห์ส่ายหัวก่อนจะตกใจที่คนรักหอมแก้ม “ไฟ! ทำอะไร! ไม่อายหรือไง”
“อายทำไม” ว่าแล้วก็หอมอีก
“พอแล้ว” ทั้งคู่หัวเราะออกมาก่อนที่ไฟจะทำหน้าจริงจัง
“นี่สิงห์”
“หื้อ”
ไฟขมวดคิ้ว “นอกจากต้นสนแล้ว ถ้าเกิดสิงห์เป็นอะไรไปอีกคน ไฟก็ทนไม่ได้หรอกนะ”
“อือ สิงห์จะระวังตัวให้มากกว่านี้”
“อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ อย่าเพิ่งไปไหน”
“เข้าใจแล้ว” สิงห์ลูบแก้มคนรักก่อนจะหอมไปทีหนึ่ง
“ลุงสิงห์” ต้นสนเดินจ้ำอ้าวมาทางนี้ทันที “หอมตาลุงนี่ทำไม หอมต้นสนดีกว่า”
“เอ้า อะไรของเอ็ง ห๊ะ” ไฟเท้าเอว
“ลุงสิงห์หอมแค่ต้นสนก็พอ”
“อะไร ๆ คนเขาจะหวานกัน เอ็งนี่ชอบขัดตลอด”
ต้นสนแลบลิ้นใส่ลุงไฟและกอดลุงสิงห์แน่น
“พอเลย” สิงห์แสร้งทำหน้าดุ ก่อนจะโอบทั้งคู่เข้าหาตัว “ลุงรักต้นสนมากเลยนะ รู้ไหมลูก”
“ต้นสนก็รักลุงสิงห์” เด็กน้อยพูดอู้อี้เพราะเขินอาย
เห็นอย่างนั้นก็อดจะหอมหัวไม่ได้ พอหลานซุกอกก็ได้แต่หัวเราะแล้วหันไปหาคนรัก “สิงห์ก็รักไฟเหมือนกันนะ”
ไฟเค้นยิ้มก้มพูดกรอกหูหลาน “ได้ยินไหมวะ ลุงเอ็งก็รักข้า”
“ไม่ต้องเลยลุงไฟ” ต้นสนเงยหน้ามาต่อยอกลุงข้างกายเบา ๆ “โอ๊ย ปล่อยนะลุงไฟ”
ไฟจับหัวหลานให้ซุกกับอกตัวเองส่วนแขนอีกข้างก็โอบเอวคนรักไว้ ก้มลงป้อนจูบให้กับอีกฝ่าย
สิงห์ยิ้มบางยกแขนข้างหนึ่งจับต้นคอคนรักแล้วเอียงหน้ารับจูบที่บดลงมาบางเบา ก่อนจะผละออกในตอนที่ที่ต้นสนดิ้นหลุดออกมา
“ตัวลุงไฟเหม็น” ต้นสนขยี้จมูก
“เหม็นตรงไหนวะ”
“ไม่รู้แหละ เหม็น ๆ” หลานทำท่าปิดจมูกแล้วดึงแขนลุงสิงห์ทันที “หนีลุงไฟกันเถอะลุงสิงห์ ตัวลุงไฟเหม็นเน่า”
“เอ้า อะไรวะ” ไฟได้แต่ยืนงุนงง คนรักถูกลากไปแล้วเลยแกล้งทำเป็นวิ่งไล่หลาน จนเกิดเสียงหัวเราะของทั้งสามคนดังทั่วทุ่งนา
----------------------------------------------------------------------------------------
ถึงจะเป็นบทที่ควรจะหวานแหวว ดันมีเรื่องเครียด55555
ดราม่าจนสุดจริงๆ แต่ว่าตอนที่ต้นสนถูกแทงจะถูกนำไปพูดถึงในเรื่อง เฝ้าคำนึงค่ะ
ไม่ถือว่าสปอยล์หรอกใช่ไหม