พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พ่ายโลกันตร์▪๒๔๘๐ | อัพบทพิเศษ ๑.๓/๑.๔/๑.๕ ครบ {จบบริบูรณ์}  (อ่าน 28760 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อ่านไป ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพื่ออำนาจและชื่อเสียงพร้อมความร่ำรวย เป็นสิ่งที่ยั่วยวนทำให้ข้าราชใช้อำนาจในทางที่ผิดๆ  สงสารไฟ กับสิงห์ ที่รู้ว่าเพื่อนโดนหลอกใช้
 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทที่ ๒๕

จบลงและเริ่มเดินหน้าใหม่

 

ทุกคนตอนนี้อยู่ที่ห้องรับแขกของสิงห์ทั้งหมดไม่ว่าจะทางสารวัตรโขม จ่าธงหรือหมอรัตน์ที่มาช่วยดูพ่อแทนและเสือเอี้ยง เห็นว่าเสืออัธไปบุกบ้านของอธิบดีทัพแล้วเอาของมีค่าไปแจกจ่ายคนในชุมชนเลยมาช้ากว่าใคร ทุกคนต่างอยู่ในชุดสีดำพร้อมผ้าปิดปากตามที่สิงห์ขอก่อนมา

“จากที่กฤษเล่ามาว่าพวกมันรู้แล้ว และก่อนที่จะปล่อยตัวกฤษพวกมันก็ได้ขนของพร้อมไปพระนครแล้ว” ภพเอ่ยบอก “เป็นไปได้ว่าจะไปช่วยอธิบดีวารินก่อนแล้วค่อยหนี”

“มันไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่” สิงห์ขมวดคิ้ว “อย่างเจ้าสัวเหวยหรือจะหนี มันมีคนที่เก่ง ๆ เยอะ ถ้าเป็นมัน... มันก็จะจัดการพวกตำรวจที่รู้ทั้งหมดเพื่อปิดปากจะได้ไม่เสียผลประโยชน์”

“หรือจะไปช่วยอธิบดีวารินและพากลับมาสิงห์บุรี” จ่านิดว่า

“มันจะไป ๆ มา ๆ ทำไมล่ะ” จ่าธงเหนื่อยหน่าย

“เราต้องแยกเป็นสองกลุ่มไปทางพระนครกลุ่มหนึ่ง ไม่คิดว่ามันจะใช้วิธีนี้ เพราะคนของเราส่วนมากมาที่นี่กันหมดไม่มีใครไปช่วยทางพระนคร” สารวัตรโขมเอ่ย

“แล้วถ้าเกิดมันเป็นแค่หลอกล่อให้เราไปล่ะครับ มันปล่อยตัวกฤษมาง่ายขนาดนี้เพื่อจะให้เรารู้ว่ามันจะไปพระนครมันไม่เปิดเผยไปหน่อยหรือครับ” หมวดกล้าขมวดคิ้ว

“แต่ว่ายังไงเราก็มีหลักฐานแถมรองอนงค์ก็เปิดเผยต่อนักข่าวไปแล้ว วันนี้ก็ลงหนังสือพิมพ์ เกิดไปช่วยแล้วจะได้ประโยชน์อะไร” หมวดไฟเสริมเพราะพ่อเขาเพิ่งจะคุยกับทางนักข่าวก่อนที่จะไปพระนคร

สิงห์กอดอกลองคิดแบบที่เจ้าสัวเหวยคิด ถ้าเกิดมันอยากจะทำจริง ๆ ก็คงบอกเลยว่าแผนที่ล่อเราไปก็มีเหตุเพื่อที่จะได้จัดการเราที่เหลือที่นี่ หรือมันอาจจะไปจริง ๆ แต่ถึงขั้นปล่อยตัวกฤษมาง่าย ๆ แปลว่ามันต้องไม่เกรงกลัวเราเลย

สิงห์ยกนาฬิกาขึ้นดู นับจากเวลาที่มันส่งตัวกฤษมาก็ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว “กฤษ ตอนที่พวกนั้นเตรียมตัวกะเวลาได้ไหมว่ากี่ชั่วโมง”

กฤษที่เหม่อเล็กน้อยก็นึกตาม ตั้งแต่มันพูดกับไอมั่นว่าจะไปพระนครถ้ารวมตอนมาถึงนี่ก็นานพอตัว “คิดว่าสามสี่ชั่วโมงนี่แหละครับ”

“นานอยู่นะ” จ่าธงว่า

“นาน แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะพอต่อการกักตุนของ ถ้ามันจะหนีมันต้องเอาของมันไปแน่นอนคนอย่างมันไม่ยอมเสียของไป อย่างพวกนี้ต้องใช้เวลาทั้งวันหรือสองวันถึงจะกักตุนของเสร็จเพื่อหนี และพื้นที่ที่มันอยู่ก็เป็นหมู่บ้านเป็นที่ที่มันอยู่มาตลอด มันจะยอมทิ้งไปหรือ” สิงห์พูดขึ้นทุกคนเลยพยักหน้าตาม

“ในฐานะที่ผมอยู่มาตลอดก็คงอย่างที่คุณสิงห์ว่า พวกมันต้องใช้เวลา” กฤษพูดต่อก่อนจะทำหน้าเครียด “แต่... มันพูดกับผมว่าเห็นผมไปหาคุณสิงห์ที่บาร์ เหมือนมันรู้ว่าคุณสิงห์ส่งผมไปเป็นสาย บางทีมันอาจจะไหวตัวทันนานแล้วและพร้อมจะหนีก็ได้ครับ”

“อืม อย่างไม่กี่วันก่อนหลวงรวีชัยก็บอกกับผมว่าเจ้าสัวเหวยไม่เชื่อใจผม ก็เข้าเค้ากับสิ่งที่กฤษพูด พวกมันไม่เชื่อใจผมตั้งแต่แรกยิ่งมารู้เรื่องที่อธิบดีวาริน...” สิงห์เงียบไปครู่ “เดี๋ยวนะ เจ้าสัวมันรู้เรื่องที่อธิบดีวารินถูกคุมตัวได้ยังไง”

“เห็นว่าไอวารินมันโทรศัพท์มา ผมก็เห็นว่ามันฟังจากวารินอยู่แต่มันกลับไม่คุยอะไรเลยเหมือนฟังเอาเฉย ๆ”

สิงห์กัดปากที่ห้องวารินมันมีโทรศัพท์แน่ ๆ แต่ถ้าคุยได้อย่างนี้มันรู้ก่อนว่าเราจะไปจับหรือ? ก็ไม่ใช่ เพราะเรื่องนี้เก็บเป็นความลับไว้เพื่อมันจะได้บอกคนอื่นไม่ได้ แต่ทำไมโทรศัพท์บอกเจ้าสัวเหวยได้กัน

“มันรู้ว่าเราจะไปคุมตัวมันเหรอ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เปิดเผยหรือบอกมันก่อนเลยนะเพราะสารวัตรนนท์ก็ไปคุมตัวทันที” สารวัตรโขมขมวดคิ้วมุ่น

“ผมขอเวลา” สิงห์ผละออกและไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ ๆ ต่อสายหาเลขของโทรศัพท์วังเพราะนนท์คงจะอยู่วังแล้ว

(วังศุลภานันท์ค่ะ ไม่ทราบว่าท่านใดโทรศัพท์มาคะ)

เสียงนี้สิงห์จำได้ดีว่าเป็นป้าบัว “ป้าบัวครับ ผมสิงห์เอง”

(อ่าวคุณสิงห์นี่เอง มีอะไรหรือเปล่าคะ)

“ท่านชายนนท์อยู่ไหมครับ”

(ยังไม่เสด็จกลับเลยค่ะ)

“อ่อ ขอบคุณมากครับ” สิงห์วางสายที่วังก่อนจะโทรศัพท์หาที่กรม นานพอตัวก่อนจะได้ยินเสียงรับเป็นคนอยู่เวรเลยถามไถ่ก่อนจะพบว่านนท์เพิ่งจะกลับมาที่กรม

(มีอะไรหรือเปล่า)

“นนท์ลองไปเช็กที่ห้องวารินหรือยังว่ามีอะไรน่าสงสัยไหม”

(ยังเลย หลังจากหมวดภพโทรศัพท์มาบอกเรื่องของเจ้าสัว ฉันก็คิดว่ามันแปลก ๆ เลยไปถามวารินแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ฉันเพิ่งจะกลับมาที่กรมเพื่อมาตรวจที่ห้องอธิบดีเนี่ยแหละ)

“ตอนนี้วารินอยู่ไหน”

(ก็อยู่ที่เรือนจำ ถูกสั่งจำคุกแล้ว แต่มันดูไม่กลัวเลยถามอะไรก็บอกว่าไม่ได้ทำบางทีก็เงียบ แต่เพราะว่าหลักฐานค้ำคอศาลเลยตัดสินจำคุก)

“คงเพราะมันบอกเจ้าสัวแล้วน่ะสิ”

(ว่าแล้วว่ามันแปลก ๆ วางก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะโทรศัพท์บอกอีกที)

“ได้ ฝากด้วยนะ”

“เป็นยังไงบ้างครับ” หมวดภพถาม

“ต้องรอก่อน”

“จะว่าไปแล้ว เรื่องของหลวงรวีชัยเป็นยังไงจัดการกันหรือยัง” ไฟถาม

“เรียบร้อยแล้ว” เสือเอี้ยงว่า

 

ช่วงสายของวัน กลุ่มเสือเอี้ยงนับสิบคนและสิงห์กำลังเดินทางไปหาหลวงศรีรวีชัยที่เรือน พอมาถึงก็จัดการยิงสองคนที่ข้างหน้าทันทีจนคนบนเรือนต่างตกใจ ถ้าให้เทียบแล้ว ลูกน้องของหลวงรวีชัยมีแค่ไม่กี่คนเพราะส่วนมากที่เห็นเยอะ ๆ ก็เป็นพวกของเสือเอี้ยงทั้งนั้น

พอวันนี้เสือเอี้ยงไม่ยอมก้มหัว มันก็แค่เหยื่อที่รอกำจัดอยู่ในกับดัก

ไม่มีคำว่าปราณีให้ใครเด็ดขาด ลูกน้องของหลงรวีชัยถูกฆ่าตายหมดโดยเสือเอี้ยง สิงห์ถอนหายใจเมื่อมองศพพวกนี้

“ไปจับมันมา” เสือเอี้ยงสั่งลูกน้องให้จับเสี่ยตะวันที่จะแอบหนีและหลวงรวีชัยมาอยู่กลางเรือน

“นี่มันอะไรกัน ทำอะไรของพวกมึง” หลวงรวีชัยโกรธจัดมือกำไม้เท้าแน่น

“กูต้องถามมึงมากกว่าไอคุณหลวงที่หลอกใช้กูมาตลอดแบบนี้ มึงกล้ามากนะ” เสือเอี้ยงหน้าทะมึน

“พูดอะไรของมึง” หลวงรวีชัยดูตกใจไม่น้อยก่อนจะหันมองหลานตน “หมายความว่าไงไอสิงห์!”

สิงห์เบื่อที่จะเล่นบทจงรักภักดี “คุณหลวง...” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะต่อยหน้ามันไปสองที “นี่คือสิ่งที่มึงทำกับกูมาตลอด และนี่—คือสิ่งที่มึงทำกับชาวบ้าน”

เพียงสองหมัดเลือดก็กบปาก คนถูกต่อยแทบสลบก่อนจะเป็นลูกน้องเสือเอี้ยงที่พยุงมันให้นั่งคุกเข่าดี ๆ

“ทำไม...” เสียงมันแหบแห้ง

“มึงจำใส่หัวเอาไว้นะ ว่ากูไม่เคยนับถือมึงเหมือนลุง คนที่กูนับถือมีแค่หลวงธารานันท์เท่านั้น” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็ขอลากเสี่ยตะวันออกไปเพื่อจัดการ ส่วนทางหลวงรวีชัยให้เสือเอี้ยงจัดการไป

“เดี๋ยว... สิงห์”

“มองหน้ากูนี่ไอสวะ” เสือเอี้ยงตบหน้ามัน “ทำกูแสบมากนะ”

“อย่า... ไว้ชีวิตกูเถอะ”

“ได้” เสือเอี้ยงยิ้มร้าย “กูจะทรมานมึงจนกว่าจะตายเอง ดีไหม”

“ไม่ ๆ ไม่ ไม่!!!!”

สิงห์เงยหน้ามองข้างบนไม่รู้ว่ามันทำอะไรแต่ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยเลยมองเสี่ยตะวันที่ดูน่าสมเพชเสียซะจนอยากจะอ้วก

“ตอนนี้ไม่มีใครปกป้องมึงได้แล้วเสี่ยตะวัน”

“กูไปทำอะไรให้มึงวะ มึงถึงกัดกูไม่ปล่อยอย่างนี้”

สิงห์ส่ายหน้า “ก็เปล่า แต่มึงทำผิดกฎหมายและยังร่วมมือกับเจ้าสัวเหวย เพราะฉะนั้นกูต้องจับมึง”

มันเบิกตาก่อนจะชี้นิ้วสั่น ๆ “มะ...มึงไม่ได้เลิกเป็นตำรวจจริง ๆ ด้วย!”

“ใช่ กูยังเป็นตำรวจเหมือนเดิม” สิงห์ว่าแล้วก็ให้เกื้อใส่กุญแจมือ “ถือว่ากูยังปราณีนะที่ไม่ฆ่ามึง ทั้ง ๆ ที่หมายจับให้ฆ่าได้เลย”

มันสั่นอย่างแรงเอาแต่ก้มหน้าเมื่อได้ยินคำว่าฆ่า

“ถ้ามึงยอมช่วยเปิดเผยเรื่องเจ้าสัว กูจะไม่ฆ่ามึง”

คราวนี้พยักหน้าเร็ว ๆ โดยไม่คิด เมื่อคิดว่าทางตัน

“ดี”

“ไอสิงห์”

สิงห์เงยหน้ามอง “ว่าไง”

“เอาตัวไอห่านี่ไปด้วยเลยแล้วกัน เผื่อจะเป็นหลักฐานอะไรได้บ้าง”

“มึงไม่จัดการแล้วหรือ?”

เสือเอี้ยงยักไหล่ “ไหน ๆ กูกับมันก็จะได้เข้าคุกแล้ว กูไปจัดการมันในคุกดีกว่า”

สิงห์พยักหน้าเขาจะไม่ยุ่งอะไรแล้วเพราะถือว่าจับพวกนี้หมดแล้ว ก่อนที่จะมีคนของเสือเอี้ยงส่วนหนึ่งรวมถึงจ่าเกื้อที่ส่งตัวทั้งสองคนไปให้รองอนงค์


 

“ตอนนี้จ่าเกื้ออยู่กับท่านรองเพราะเป็นคนส่งตัวพวกเสี่ยตะวันกับหลวงรวีชัยไป คิดว่าพวกนั้นถูกตัดสินจำคุกหมดแล้ว ก็เหลือแต่เจ้าสัวเหวย” สิงห์ว่า

“ดันยากตรงที่ว่าไม่รู้ว่ามันจะไปพระนครหรือไม่ไปกันแน่” จ่าธงถอนหายใจ

“เอาเป็นว่าทางกรมนครบาลคงจะช่วยอะไรบ้าง เพราะยังไงคนที่นั่นคงรู้กันหมดแล้วว่าวารินร่วมมือกับโจร ไม่น่าจะนิ่งนอนใจ” หมวดภพพูด

“เรื่องที่เราจะต้องไปช่วยที่นั่นคงต้องเลิกคิดไว้ก่อน เราบุกไปดูเลยดีกว่า” สิงห์ว่าอย่างนั้น

“บุกไปเลยหรือ” ไฟขมวดคิ้ว

“ใช่ เพราะยังไงเราก็พอรู้เกี่ยวกับลูกน้องของพวกมันที่ตอนนี้มีเกือบสี่สิบคน ทางที่ดีฆ่าให้ตายดีกว่าเพราะตัวลูกน้องมันแต่ละคนไม่ใช่เล่น ๆ”

“ถ้านับพวกเรากับกลุ่มเสือเอี้ยงก็มีแค่ยี่สิบแปดคนเองนะครับ” จ่าตาลว่า

“สามสิบสองคน” สารวัตรโขมพูดขึ้น “ที่สถานีอ้อยขวางยังมีตำรวจอยู่อีกสี่คน”

“ก็ยังน้อยไปอยู่ดีนะครับ” จ่าเฉิ่มเอ่ย

“ทางเราพอจะสู้กับมันอยู่แล้วถ้ารวมกับลูกน้องเก่าของพ่อผมที่กลับใจอีกห้า-หกคน ยังต้องนับด้วยว่าพวกมันอาจจะส่งคนไปพระนครจริง ๆ ถึงเวลานั้นพวกของมันก็จะลดลงพอที่เราจะสู้ได้” สิงห์ว่าก่อนจะหันมองกฤษ “ไม่มีใครมาเพิ่มแล้วใช่ไหม”

“ไม่มีครับ จากที่ผมรู้จักและสอดส่องมาตลอดก็สี่สิบคนรวมไอมั่นกับเจ้าสัวก็สี่สิบสองคนเท่านั้น”

“เอาแบบนี้เราต้องส่งคนไปดูลาดเลาก่อน” สิงห์เอ่ยก่อนจะหันมองคนที่พอเป็นสายที่ดีได้ “หมวดกล้า เทิด พอไหวไหม”

“ไหวครับ”

“ก็เหมือนกับที่ไปเป็นสายพวกเสี่ยเผิงที่เยาวราช” หมวดกล้าดูมั่นใจ

“จากนั้นเราจะส่งคนไปคอยสนับสนุนสองคนนี้ในเวลาที่เกิดเหตุร้ายให้รีบหนีกันออกมาก่อนและมาวางแผนกัน ไม่ต้องเข้าไปลึกมาก พอดูคร่าว ๆ ไว้”

“ครับ”

“คุณสิงห์” กฤษเรียก

“ว่าไง”

“ผมวางแผนที่คร่าว ๆ ได้นะครับ จะได้ไม่มีใครไปเสี่ยง”

“แบบนั้นก็ดี แต่ยังไงเราก็ต้องส่งคนไปสอดส่องดูก่อนว่าพวกมันทำอะไรกันอยู่”

กฤษพยักหน้าก่อนจะไปวาดผังของที่พักของพวกมัน รอเพียงไม่นานกฤษก็วาดเสร็จและบอกว่าหลังไหนเก็บอาวุธ หลังไหนเก็บฝิ่น หรือบ้านไหนของเจ้าสัวเหวยที่อาศัย ซึ่งที่ของมันนี้เป็นถนนยาวและมีบ้านเจ้าสัวเหวยกั้นสุดซอย ยังมีอยู่อีกสามหลังและโกดังสองหลังรวมคอกม้าหน้าทางเข้าด้วยอีกหนึ่ง

ระหว่างนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสิงห์เลยต้องไปรับก่อน

(สิงห์)

“เป็นไง”

(หูโทรศัพท์ของวารินโดนยกออกมาวางไว้ ฉันคิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ฉันเข้ามาคุมตัว แต่ไม่เห็นเพราะเอกสารบังหมดเลย)

“ก็ดีที่มันรู้จากตอนนั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าสัวเหวยมันรู้จากวารินได้ไง ยังพอจัดการได้”

(แล้วจะไปกันหรือยัง)

“อืม กำลังวางแผน”

(ระวังตัวด้วยนะ)

“เข้าใจแล้ว” สิงห์วางสายและเดินกลับมาบอกว่าเจ้าสัวรู้ได้ยังไงก่อนจะเริ่มวางแผน “ผมเคยไปที่นั่นบ้างก็พอจำได้ แต่ไม่รู้ว่าข้างในบ้านไหนเก็บอะไรหรือมีใครอยู่ ดีที่กฤษรู้ ถ้าคิดแผนทางบุก ผมจะแยกเป็นสี่กลุ่มให้เข้าล้อมทุกทิศ” ว่าเสร็จสิงห์ก็ใช้หมากรุกวางเป็นแสดงฐานกลุ่มแทน “กลุ่มแรกตัวเบี้ย มีสารวัตรโขมและทีมสถานีอ้อยขวางแล้วก็ลูกน้องของพ่อผมไปทางตะวันตกหรือทางเข้าของหมู่บ้านเพื่อบุกก่อน และนี่คือกลุ่มที่สองกลุ่มขุนจะอยู่ภายนอกเพื่อสนับสนุนและซุ่มยิงพวกมันจากด้านนอกทางทิศใต้โดยมีหมวดภพ จ่าเฉิ่ม จ่านิด จ่าตาล”

“และเรือ จะให้เสืออัธและลูกน้องอีกสิบคนบุกทางน้ำที่อยู่ทางทิศเหนือ เพื่อต้อนให้พวกมันไปทางพลซุ่มยิง ทุกคนจะต้องรอสัญญาณการบุก ได้ไหม”

เสืออัธเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะพยักหน้า

“ส่วนม้า กลุ่มของผมที่มีหมวดไฟ เสือเอี้ยงและคนของเสือเอี้ยงอีกหกคนจะเข้าทางตะวันออกหรือข้างหลังของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ที่เจ้าสัวเหวยอาศัยอยู่”

สิงห์มองแผนที่อีกรอบก่อนจะพูดต่อ “เทิดกับหมวดกล้าถ้าเข้าไปสอดส่องได้ ถ้าเกิดว่าพวกมันรวมตัวกันอยู่ตรงไหนมากที่สุดให้มาบอกผมเผื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนแผน ผมจะรอทางแม่น้ำกับกลุ่มเสืออัธ”

“ครับ”

“ที่ผมให้พวกคุณใส่ชุดสีดำและเอาผ้ามาปิดปากเพื่อจะได้กลมกลืนกับเวลากลางคืนและรู้ว่าใครเป็นพวกใครได้” สิงห์ว่าก่อนจะหันมองเทิดและหมวดกล้า “พวกคุณสองคนไปเลยแล้วกันแล้วก็ผมฝากสารวัตรช่วยสนับสนุนเขาหน่อย”

“ได้”

“ดีที่มีคลังอาวุธที่ปล้นมาจากพวกทหารญี่ปุ่นอยู่ในโกดังพวกคุณไปเอามาใช้ได้และกลุ่มขุนเริ่มไปที่ป่าใกล้หมู่บ้านพวกคุณรออยู่ที่นั่นไว้ก่อน”

“ครับ!!!”

“งานนี้ต้องรอดทุกคน คำสั่งเดียวของผมคือห้ามตาย ไม่ว่าใครก็ตาม ทราบ!” สารวัตรโขมเอ่ยเสียงดัง

“ทราบครับ!!!”

“ไม่มีคำว่าตำรวจหรือโจร มีแต่พวกพ้องเข้าใจนะ” สิงห์เสริมและทุกคนก็พยักหน้าส่วนเสืออัธก็ถูกพี่ชายตบหัวให้พยักหน้าตาม “เอาล่ะ แยกย้าย!”

ทุกคนต่างออกไปกันหมดกลุ่มหมวดภพไปโกดังเพื่อไปเอาปืนสไนไม้และบอกลูกน้องคนอื่นให้ตามสารวัตรโขมไป สิงห์หันมองหมอรัตน์ที่เพิ่งจะลงมาจากชั้นสอง

“ฝากดูพ่อผมด้วยนะหมอ”

หมอพยักหน้า “ผมก็ขอให้พวกคุณปลอดภัยนะ”

“กฤษพักที่นี่นะ”

“ครับ ต้องรอดนะครับคุณสิงห์”

สิงห์พยักหน้าและเป็นอีกกลุ่มที่ออกไปบ้าง


 
*มีต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2020 15:54:12 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อ


พอมาถึงที่หมายทุกคนจะอยู่ห่างแค่ลำน้ำกั้น แต่ก็พอให้มองไปข้างในได้ ตอนนี้ทางท่าน้ำอีกฝั่งทุกคนกำลังหลบแถวต้นไม้ ดีที่เป็นช่วงเวลากลางคืนมันเลยมืดมิด ยังดีที่พอมองทางอีกฝั่งที่เป็นพวกเราได้ ทุกกลุ่มต่างมีไฟฉายเพื่อกะพริบส่งเป็นสัญญาณ

กะพริบครั้งแรกคือทางโล่ง

กะพริบสองครั้งคือจัดการหมดแล้ว

กะพริบสามครั้งคือต้องการความช่วยเหลือ

เปิดแช่ไว้คือไปช่วยไม่ได้

“พวกมันเดินกันแถวโกดังบ่อยนะ” ไฟว่า

“คงจะเตรียมขนของจริง ๆ แต่ว่าบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่ฝั่งทางป่า แม้แต่กฤษก็ไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านอะไร น่าสงสัย”

“จากที่เห็นไม่มีคนยืนเฝ้าด้วยซ้ำ” เสือเอี้ยงเอ่ย

“นั่นเทิด” ไฟชี้เห็นเทิดกำลังหลบอยู่หลังบ้าน ส่วนหมวดกล้าน่าจะไปอีกฝั่ง

ทางหมวดกล้าอีกฝั่งที่อ้อมป่าไปก็เข้าไปสอดส่องบ้านหลังที่ใกล้กับบ้านเจ้าสัวเหวยแต่กลับไม่มีคนคุมอยู่เลย เหมือนมันจะวุ่นวายแค่กับโกดังกันซะส่วนใหญ่และมีคนเฝ้าทางเข้าอยู่ฝั่งเขาห้าคน

ส่วนบ้านที่อยู่ฝั่งนี้ติดกับคอกม้าหรืออยู่ระหว่างกลางของคอกม้าหน้าทางเข้าและบ้านที่ไม่มีคนคุม เป็นที่พักของพวกมันและมีคนอยู่ข้างใน แต่ไม่แน่ชัดว่ากี่คน ส่วนบ้านที่อยู่ฝั่งขวาของเจ้าสัวเหวย เงียบผิดปกติ

หมวดกล้าพรูลมหายใจเพราะทางบ้านเจ้าสัวก็มีคนเฝ้าอยู่สามคนจากด้านหน้า และข้างหลังอีกสอง ตอนนี้เขาเห็นนับยี่สิบกว่าคนได้ เขาลองมองทั่วบ้านก็ไม่มีอะไรให้ส่องเลยลองแง้มหน้าต่างเกือบทุกบาน

“ดีล่ะ” พอเห็นว่าบานหนึ่งเปิดได้หมวดกล้าก็เปิดบานนั้นออกช้า ๆ และปีนเข้าไป ข้างในมืดและเหม็นอับจนแทบจะอ้วก เรียกว่าทั้งอับทั้งเน่าเลยก็ว่าได้นี่ขนาดปิดหน้าครึ่งหนึ่งกลิ่นยังแรงขนาดนี้ หลังนี้เป็นชั้นเดียวและมีห้องซ้าย ขวา

หมวดกล้าหยิบมีดออกมาเพื่อระวังไว้ เขาไปห้องทางฝั่งซ้ายก่อนจะพบว่ามันถูกล็อกด้วยกุญแจด้านนอก ถ้าอย่างนั้นอาจจะมีของสำคัญ ว่าแล้วก็ไปดูอีกฝั่งก็พบว่าล็อกกุญแจเหมือนกัน

แต่นั้นก็ไม่ระคายต่อมือของเขา หมวดกล้าเตรียมพร้อมเสมอเพราะเป็นสายบ่อย รวมถึงลวดที่เตรียมมาไว้ก่อนเผื่อจะได้ไขอะไรแล้วก็ได้ไขจริง ๆ

แกรก

พอเปิดมาก็ยิ่งกลิ่นฟุ้งจนต้องยกแขนปิดจมูกเสียงโซ่ลากขึ้นและเสียงคนทำให้หมวดกล้าต้องรีบส่องไฟ ก่อนจะเบิกตาโต

“อย่าทำฉันเลย”

“ฮืออออ”

“หนูกลัว”

หมวดกล้าตะลึงได้แค่ชั่วครู่เท่านั้นต้องดึงผ้าออกและยกนิ้วชี้เป็นการให้เงียบและคนพวกนั้นก็เงียบทันที

“ไอชั่ว” หมวดกล้าสบถเมื่อเห็นสภาพของผู้หญิงและเด็กโดนโซ่ขังที่ข้อเท้าบ้าง เชือกมัดบ้าง นอนคลุกอยู่กับขี้ เยี่ยว รวมถึงศพของคนที่น่าจะเสียชีวิตไปนานพอควร

“ฟังนะ ทุกคนอย่าส่งเสียงและอยู่นี่ห้ามไปไหนเด็ดขาด”

พวกนั้นพยักหน้าเร็ว ๆ คงคิดว่าเขาเป็นพวกมันและกลัวที่จะเถียงอะไร “ไม่ต้องกลัวนะ ผมเป็นตำรวจและผมจะมาช่วยทุกคน”

“จริงเหรอ”

“ช่วยเราจริง ๆ เหรอ”

ทุกคนต่างร้องระงมอีกครั้งหมวดกล้าจึงต้องบอกให้หยุด “ทุกคนต้องอยู่เงียบ ๆ และรอพวกเราที่นี่ เข้าใจหรือเปล่า เราจะใส่ชุดดำปิดหน้า ถ้าใครไม่ใช่แบบนี้แปลว่าไม่ใช่พวกเรานะ ระวังด้วย”

พอเห็นว่าทุกคนพยักหน้า หมวดกล้าก็ไปอีกห้องหนึ่งและพบว่าเหมือนกัน รวมทั้งสองห้องมีอยู่สิบสี่คน และผู้เสียชีวิตอีกสาม ห้องซ้ายหนึ่ง ห้องขวาสอง

เขาจำเป็นต้องล็อกอีกรอบเผื่อพวกมันเข้ามาก่อนจะรีบไปบอกทางพลซุ่มยิงว่ามีคนถูกจับไว้และวิ่งกลับข้ามฝั่งไปหาเทิด

“บ้านหลังนั้นมีแต่คนถูกจับไป” หมวดกล้าที่วิ่งหลบตามกล่องที่พวกมันขนออกมาว่าอย่างนั้น “ไปกันเถอะ”

เทิดพยักหน้าและทั้งคู่ก็ค่อย ๆ เดินลงน้ำดำน้ำไปหาคุณสิงห์อีกฝั่งหนึ่ง

“เป็นไงบ้าง”

หมวดกล้าขึ้นมาก่อนและอธิบายให้ฟัง

“ไอเหี้ย มันไม่ใช่คนแล้ว” เสือเอี้ยงโกรธจัด

“แล้วเทิดล่ะ” สิงห์ถามอีกคน

“โกดังสองโกดังนี้พวกมันกำลังขนอาวุธและฝิ่น รวมถึงของกลางอื่น ๆ ที่เคยเห็นว่าวารินเก็บไว้ในคลัง แต่ที่จริงเอามาไว้ที่นี่ พวกมันขนเกือบจะเสร็จจากที่นับดูมีคนเกือบยี่สิบคนได้อยู่ในโกดัง ส่วนบ้านที่อยู่หน้าทางเข้าก็เป็นที่พัก มีคนอยู่ข้างในแต่นับไม่ได้ว่ากี่คน”

คนฟังพยักหน้าตาม แปลว่าไม่มีใครไปพระนคร มันก็แค่พูดให้เราไขว้เขว จากฟังคร่าว ๆ คิดว่าแผนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไร เว้นแต่ว่าคนที่อยู่บ้านฝั่งของหน้าทางเข้านั้น ทางที่ดีน่าจะจัดการไว้ก่อน

“หมวดกล้า เทิด ขอกำลังอีกรอบ ไปจัดการคนหน้าทางเข้าที่บ้านหลังนั้นและอย่าให้ใครเห็น จัดการได้แล้วส่งสัญญาณให้ทีมสารวัตรโขมเริ่มแผนบุกได้เลย และทั้งคู่คอยสนับสนุนทางทีมสารวัตรโขมที่จะบุกด้วย”

“ครับ”

ทั้งคู่รีบลงน้ำและดำน้ำเพื่อว่ายไปทางบ้านหน้าทางเข้า ต่างคนต่างพกมีด หลังนี้มีสองชั้นคล้ายห้องแถว เทิดให้หมวดกล้าขึ้นชั้นสองส่วนตนดูข้างล่าง จากที่ดูแล้วข้างล่างมีสองคนเลยจัดการได้ง่าย ทางหมวดกล้าก็จัดการอีกสามคนที่อยู่ข้างบนได้ พอเห็นว่าเทิดส่งสัญญาณ หมวดกล้าเลยส่องไฟแรกเพื่อเป็นการให้ทีมสารวัตรบุก

“สัญญาณมาแล้ว บุก!!” สารวัตรโขมว่าเสียงดังก่อนที่เขาและลูกน้องสิงห์คนหนึ่งที่มีรถกันคนละคันจะเป็นคนขับรถและให้คนที่เหลือวิ่งตามหลังรถไป พวกนั้นจะได้ไม่เห็น เพื่อให้ไฟรถบดบังสายตาและมองด้านหลังยาก

ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ

เพียงไม่นานการปะทะก็เกิดขึ้น พวกมันเพ่งความสนใจไปที่หน้าทางเข้าและมีบางจำพวกวิ่งไปข้างหน้าเพื่อจะสู้ด้วย

ฝั่งทางขุนหรือทีมหมวดภพส่องสไนไม้ไปทางหน้าคอกม้าและเลือกจัดการกันคนละตัว “เตรียม! ยิง!” เพียงเท่านั้นคนหน้าทางเข้าคอกม้าก็ถูกยิงหมดจากทีมขุนเพื่อเปิดทางให้สารวัตรโขม

“เสืออัธไปเลย” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นกลุ่มเสืออัธก็ลงน้ำและดำน้ำไปก่อนจะโผล่ขึ้นและยกปืนยิงพวกมันที่หลบโกดัง

“พวกเราไป” สิงห์สั่งกลุ่มตัวเองและลงน้ำอ้อมไปทางบ้านเจ้าสัวเหวย มือข้างหนึ่งยกเหนือหัวเพื่อไม้ให้ไฟฉายโดนน้ำพอถึงที่ ก็กระพริบไฟฉายสามครั้งให้ทางขุนเพื่อขอความช่วยเหลือ

“สัญญาณจากผู้กองครับ” จ่านิดชี้

หมวดภพส่องกล้องก็พบว่ามีคนเฝ้าอยู่สี่คนถ้าเห็นจากตรงนี้ “จากที่เห็นมีสี่คน เตรียมนะ ผมจะยิงคนไกลสุด”

“ครับ” นักซุ่มต่างเลือกคนที่จะยิงก่อนจะรอฟังหมวดภพ

“ยิง!”

สิงห์เห็นว่าคนอื่น ๆ ล้มกันไปแล้วเหลือแค่อีกฝั่งหนึ่งที่หมวดภพไม่เห็น เลยใช้มือสั่งหมวดไฟที่ตอนนี้เตรียมรอ

“ไป”

หมวดไฟพยักหน้าก่อนจะขึ้นน้ำและใช้มีดปาดคอ ก่อนจะสอดส่องทางหน้าต่างเพื่อมองข้างในแต่กลับไม่พบใคร

ทุกอย่างกำลังไปได้ดีก่อนจะมีเสียงระเบิดดังขึ้นจากหน้าทางเข้า

“สารวัตร” สิงห์ตกใจเมื่อเห็นไฟฉายกะพริบขอความช่วยเหลือ

“เดี๋ยวกูไปช่วยเอง พวกมึงไหวนะ” เสือเอี้ยงถาม

“เออ ฝากมึงด้วย” สิงห์พยักหน้าก่อนที่เสือเอี้ยงจะให้ลูกน้องตนอีกสองคนสนับสนุนสิงห์และที่เหลือไปกับตน

“แยกเป็นสองกลุ่มนะ” สิงห์ว่าแล้วให้ไฟกับลูกน้องเสือเอี้ยงไปอีกทางหนึ่งส่วนตนก็เข้าอีกทาง

ไฟที่เข้ามาได้ก็ไม่พบใครก่อนจะเบิกตากว้างยังไม่ทันเตรียมตัวก็ถูกชกที่หน้า

“เฮ้ย!” ลูกน้องเสือเอี้ยงยิงอีกฝ่ายก่อนที่มันจะหลบได้แล้วหักแขนฉกปืนมายิงลูกน้องเสือเอี้ยงทันที

“ไอมั่น”

“ว่าไงผู้หมวด” มั่นยิ้มอย่างน่ารังเกียจและชูปืนเพื่อจะยิง

ไฟสบถก่อนจะหลบปืนแล้วเตะปืนทิ้งใช้แขนบังหมัดและชกกลับผลัดกันโดนและไม่โดนจนสิงห์เข้ามา

“ไปดูว่าเจ้าสัวอยู่ข้างบนไหม” สั่งคนที่มาด้วยก่อนจะยิงไอมั่นแต่มันก็หลบได้แล้วปาหมอนบนโต๊ะไม้ใส่ ไม่ทันตั้งตัวมันก็วิ่งมาถีบกลางอกจนสิงห์กระเด็นติดกำแพง

“หัวหน้าเก่า ไม่เจอกันนานฝีมือตกนะ”

“มึง!” ไฟลุกขึ้นมาชกแต่มันก็เบี่ยงหลบและจับแขนไว้ใช้เข่ากระแทกท้องสองทีจนไฟล้มลง

สิงห์กวาดขาให้มันล้มก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วต่อยหน้าไปหลายทีและมันก็หยุดมือได้แล้วหยิบมีดที่เหน็บข้างเอวฟันท้อง

“สิงห์!”

คนถูกฟันหลบวูบเฉียดเล็กน้อยแต่ก็พอเป็นแผลได้ ไอมั่นกระโดดลุกขึ้นอย่างง่ายดายก่อนจะกวาดแขนไปข้างหลังเพื่อฟันใส่ไฟ แต่ไฟก็หลบได้แล้วหมุนตัวใช้จระเข้ฟาดหาง พอมั่นมันตั้งตัวไม่ได้ก็วิ่งไปเหยียบเข่าใช้ศอกกระทุ้งหัวมันจนล้มไป

มันสะบัดหัวไปมาก่อนที่จะก้มตัวแล้ววิ่งใส่ไฟกอดเอวไว้แล้วยกขึ้นเพื่อกระแทกลงกับโต๊ะไม้จนมันหัก

“ไฟ!” สิงห์วิ่งเข้ามาก่อนจะถูกไอมั่นชกที่ท้อง มันดันมีดใส่เข้ามาเลยจำต้องหลบอีกรอบแล้ววิ่งตรงไปยังกำแพงก่อนจะเหยียบกำแพงกระโดดกลับหลังใช้มือทั้งสองข้างจับคอมันแล้วทุ่มกับพื้น

“อั่ก” มั่นถึงกับมึนก่อนจะหมุนตัวเมื่อสิงห์จะกระทืบก่อนที่จะใช้มีดฟันข้อเท้าจนสิงห์คุกเข่า “ตายซะมึง”

ไฟที่เพิ่งจะลุกขึ้นได้รีบวิ่งไปถีบหน้าด้านข้างจนมันกระแทกกับกำแพงก่อนที่จะเตะมีดทิ้งแล้วใช้เท้าเตะปลายคาง เห็นมันล้มอย่างนั้นจึงรีบหยิบมีดเตรียมจะแทง

ปัง

“ไฟ!” สิงห์ร้องเสียงหลงเมื่อคนรักถูกยิงที่ท้อง หันไปมองก็พบกับเจ้าสัวเหวยที่เดินลงมาพร้อมลากคอลูกน้องเสือเอี้ยงที่ตายแล้วลงมาด้วย

“มาเร็วจังนะพวกมึง” เจ้าสัวเหวยชูปืน

“ไฟ” สิงห์รีบเข้าไปดูคนรักเห็นเลือดไหลออกมาก็ต้องใจหาย “อย่าเป็นอะไรนะ” ว่าแล้วก็ใช้ผ้าปิดปากของทั้งคู่มากดห้ามเลือดเอาไว้

“เจ้าสิงห์” คนถูกเรียกแทบไม่สนใจสิ่งใดนอกจากคนรักแต่เจ้าสัวเหวยก็ไม่ได้คาดคั้น มันผลักลูกน้องเสือเอี้ยงออก “เก่งนะที่มากันถึงตรงนี้”

“หุบปาก” สิงห์ตะคอกเสียงดังตาแดงจัดมือก็สั่นมาก

“ฉันให้โอกาสเอาไหม” เจ้าสัวเหวยคลี่ยิ้ม “เจ้าสิงห์มากับฉัน แล้วฉันจะไม่ยิงมันซ้ำ”

สิงห์นิ่งไปมือยังคงกดเลือดอยู่อย่างนั้น

“ไม่...อย่า” ไฟพูดเสียงแหบแห้ง เหงื่อไหลเต็มขมับ

“เดี๋ยวมีคนมาช่วยนะ ไฟกดแผลไว้” มือของสิงห์สั่นไปหมดเสียงก็สั่น น้ำตายังไหลอย่างนั้น “ทนไว้นะ อย่าเป็นอะไร”

“อย่าไป...สิงห์” ไฟยกมือลูบหน้าคนรัก

“ไม่เป็นไร ๆ สิงห์จะไม่เป็นไร ไฟทนไว้นะ” สิงห์สะอึกสะอื้น ค่อย ๆ ลุกออก

“สิงห์... อย่า”

สิงห์กัดปากแน่นแล้วยกมือจับหลังหัวเดินไปหาเจ้าสัวเหวย

“ก็แค่นั้น ไอมั่นลุก!” เจ้าสัวเหวยสั่งลูกน้องคนสนิทที่ยังมึน ๆ และเดินตาม “เดินไปทางแม่น้ำซะ” มันชี้ปืนสั่ง

“เฮ้ยหยุด” เพียงไม่นานเสืออัธก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับเทิดและหมวดกล้า

“อย่าเข้ามา” ไอมั่นรีบล็อกคอสิงห์ไว้

“ดูไฟด้วยไม่ต้องห่วงฉัน” สิงห์ตะโกนก่อนจะถูกลากออกไปทางแม่น้ำ

“ไอไฟ!” เสืออัธรีบมาดูเมื่อเห็นเลือดไหลชุ่มผ้าก็รีบเอาผ้าตัวเองมากดทับไว้อีกก่อนจะตะโกนบอกคนด้านนอก “รีบพาไฟไปโรงพยาบาลเร็ว!”

“อัธ...” ไฟจับแขนอีกฝ่ายแน่น

“อะไร จะตายห่าอยู่แล้วไม่ต้องพูด” เสืออัธว่าอย่างนั้นมือก็ยังคงกดแผลไว้

“ช่วยสิงห์...ขอร้อง”

เสืออัธสบถ “เอาตัวมึงให้รอดก่อน ไอสิงห์มันหนังเหนียวอยู่แล้ว”

“เดี๋ยวผมตามผู้กองเอง” หมวดกล้าว่าอย่างนั้นก็วิ่งไปกับเทิดก่อนที่คนด้านนอกจะพาไฟออกไป

“คุ้มกันด้วย” เสืออัธตะโกนบอกคนอื่นแล้วแบกไฟไปขึ้นรถ จ่าธงรีบวิ่งมาดูก็ตกใจก่อนจะขึ้นรถไปด้วยเพื่อจะเป็นคนขับรถให้ส่วนเสืออัธก็เป็นคนกดแผลห้ามเลือดไว้ตลอดทาง

ทางด้านสิงห์ที่ตอนนี้ต้องเป็นคนลากเรือลงแม่น้ำ ก่อนจะเป็นเจ้าสัวขึ้นไปก่อนตามด้วยสิงห์และมั่น

“ผู้กอง!” หมวดกล้าชูปืนก่อนจะรีบหลบเมื่อเจ้าสัวยิงใส่

“อย่าตามมา ไม่อย่างนั้นกูจะยิงมัน” มั่นตะโกนเสียงดัง

สิงห์เริ่มสงบลงก่อนจะยกมือขึ้นเป็นการส่งสัญญาณแล้วก็ถูกเจ้าสัวใช้ปืนกระแทกหัว “อั่ก”

“อย่าตุกติก”

สิงห์เลยนั่งนิ่ง ๆ แล้วจ้องเขม็งอย่างไม่เกรงกลัว

“เห็นสัญญาณ” จ่านิดเอ่ยบอกจ่าเฉิ่มที่ตอนนี่ซุ่มกันอยู่สองคน ส่วนคนอื่นก็ไปช่วยข้างล่างหมด

“ทางแม่น้ำเหรอ” จ่าเฉิ่มส่องกล้องไปทางนั้น

“ฉันจะยิงมั่นเอง” จ่านิดว่า

“ได้ เตรียมนะ” จ่าเฉิ่มสั่งแทนจ่านิดก็กลั้นหายใจรอ “ยิง!”

มั่นถูกยิงตกน้ำเหลือเจ้าสัวเหวยที่แค่เฉี่ยว

“อะไรวะ”

“โธ่เว้ย สั่นไปหน่อยเพราะผู้กองถูกจับเป็นตัวประกัน” จ่าเฉิ่มต่อยกับพื้นระบายอารมณ์

สิงห์เห็นทางโล่งเลยใช้เท้าถีบมันจนตกน้ำก่อนจะต้องล่วงน้ำลงไปด้วยเพราะเจ้าสัวมันพลิกเรือลง

“หายไปแล้ว” จ่านิดที่ยังส่องเอ่ยบอก

ทางสิงห์ที่ตอนนี้กำลังสู้กับมัน ฟ้าที่ใกล้จะสว่างพอให้เห็นบ้างแต่ก็ยังมืดอยู่ดี สิงห์ซัดหน้ามันแล้วถีบอีกรอบจนมันจมไปก่อนที่เขาจะถูกดึงขา สิงห์ใช้เท้าถีบอยู่หลายรอบแต่ก็ออกแรงไม่ได้เยอะเพราะเท้าเจ็บอยู่และไหนจะแรงดันน้ำจนขยับเหมือนคนอ่อนแรง

“โธ่เว้ย” สิงห์สบถก่อนจะถูกดึงลงไปแล้วเป็นเจ้าสัวที่ขึ้นมากดหัวสิงห์เอาไว้

หมวดกล้ายกปืนจ่อไว้เพื่อเตรียมยิงแต่ก็ต้องหงุดหงิดเพราะมันอยู่ไม่นิ่ง เทิดเองก็พร้อมเช่นกัน

ทางสิงห์ที่เริ่มไม่มีลม มือไม้อ่อนแรงจนไม่มีแรงทุบ อากาศกำลังจะหมด... ก่อนจะหยิบปืนที่แอบไว้ในเสื้อหนังออกมาและเป็นปืนของจัน เขายกมันขึ้นเพื่อเล็งหัวคนที่กดตน แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็แปลกที่มั่นใจว่าจะโดนหัวมัน

ปัง!

เจ้าสัวเหวยโดนยิงหัวทันทีอย่างแม่นยำจนคนที่เห็นต่างตกใจ แต่สิงห์ก็กำลังจมใต้น้ำเพราะไม่มีแรงเหลือพอจะว่ายขึ้นไปข้างบนแล้ว

“ผู้กอง!” เทิดลงไปนานแล้วเพื่อรอช่วย หมวดกล้าก็ลงไปช่วยเช่นกัน

เพียงไม่นานก็เจอเลยพาขึ้นเหนือน้ำ เทิดรีบว่ายพาเจ้านายขึ้นบก คนที่ส่องกล้องอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ส่องไปทางทีมอื่นก็พบว่าจัดการหมดแล้วและกำลังช่วยคนที่ถูกจับออกมาและพาบางคนที่บาดเจ็บไปหาหมอแล้ว

“ผู้กอง ๆ” หมวดกล้าก้มเอาหูแนบอกก่อนจะรีบปั๊มหัวใจ

“เป็นไงบ้าง” สารวัตรโขมที่เพิ่งวิ่งมา ถามขึ้น

“จัดการหมดแล้วครับ แต่ผู้กองจมน้ำคงจะกินน้ำเข้าไป” ว่าแล้วก็ช่วยต่อ “ตื่นสิผู้กอง”

เหมือนแสงริบหรี่แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ อย่างน้อยจบเรื่องนี้แล้วสิงห์ก็ควรจะได้รับอิสระหรือความสุขบ้าง

หมวดกล้ายังคงช่วยอยู่อย่างนั้น ส่วนเทิดก็จับหน้าให้เจ้านายหงายขึ้นและเป่าปากทุก ๆ การปั๊มสามสิบครั้ง

“ฟื้นสิ” หมวดกล้าตะโกน

สารวัตรโขมรีบไปเตรียมรถมาถ้าทั้งสองปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จจะได้รีบพาไปโรงพยาบาล

“ผู้กอง”

“แค่ก ๆ ๆ” คนหมดสติสำลักน้ำออกมา กะพริบตาอยู่หลายครั้งเมื่อยังคงมึนหัว

“คุณสิงห์”

“ผู้กอง”

เสียงแว่วเข้ามาทำให้สติเริ่มขึ้นแต่ก็ยังคงแสบคอและปวดหัว

“รีบพาขึ้นรถ เร็ว!” สารวัตรโขมตะโกนเรียกเลยช่วยกันอุ้มไปหลังรถ

คนที่พิงอยู่กับหลังรถหอบหายใจ เหมือนกับหลับและฝันไปรอบหนึ่ง สิงห์หรี่ตาเมื่อมีแสงส่องตา เขายกมือขึ้นบังเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แสงอาทิตย์เริ่มขึ้น ก่อนที่จะปล่อยแขนลงแล้วมองเช้าของวันเต็มตา

“นี่ครับ ผมเก็บมาให้... เห็นคุณสิงห์กำปืนนี้แน่นเลย” เทิดยื่นปืนที่เป็นของจันให้

สิงห์ยิ้มบางพยักหน้าเป็นการขอบคุณและรับปืนของเพื่อนสนิทมาถือไว้ ก้มหน้ามองพร้อมกับลูบเบา ๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลกระทบปืน

ขอบคุณเพื่อนที่ช่วยชีวิต...


*มีต่ออีก ๆ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*สุดท้ายแล้ว


ผ่านไปสองอาทิตย์ทุกอย่างก็คลี่คลาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวการปราบปรามโจรใหญ่ของสิงห์บุรีและข่าวการที่อธิบดีของกรมภูธร เขต ๑ และอธิบดีของกรมนครบาลร่วมมือกับโจรชื่อดังอย่างเจ้าสัวเหวย โดยมีหลวงศรีรวีชัย เสี่ยตะวันและลูกน้องของอธิบดีทัพทั้งเจ็ดคนสารภาพออกมา ส่วนอธิบดีวารินที่คิดว่าตนจะถูกช่วยแน่ ๆ แต่กลับผิดคาดเมื่อพวกนั้นถูกจัดการไป เลยต้องสารภาพออกมาในที่สุด

รองอนงค์ลาออกเพื่อจะบวชเลยเป็นสารวัตรโขมที่เลื่อนขั้นเป็นอธิบดีกรมภูธรแทน ส่วนกรมนครบาลก็เป็นสารวัตรนนท์ที่ถูกแต่งตั้งเป็นรองอธิบดี สารวัตรอิฐเป็นอธิบดี หมวดกล้าเป็นสารวัตร ส่วนจ่าเฉิ่ม จ่าตาล จ่านิดเข้าร่วมเป็นลูกน้องในทีมของสารวัตรกล้า ส่วนสิงห์หลังจากที่เปิดเผยว่าอยู่ในทีมลับชาวบ้านในอ้อยขวางต่างก็ยินดีต้อนรับสิงห์กลับที่สถานี แต่ว่ามีการแต่งตั้งใหม่โดยให้สิงห์เป็นรองอธิบดีของจังหวัดสิงห์บุรีแทน

แต่ว่าผู้เสียชีวิตจากการสู้กันก็มีอยู่ไม่น้อย จ่าคม หมู่เริง ที่เป็นคนในสถานีอ้อยขวาง รวมถึงคนของเสือเอี้ยงสามคนและลูกน้องเสี่ยพันธ์อีกสามคน ทุกคนถูกจัดงานศพที่เดียวกันคือสิงห์บุรี ทุกโลงต่างมีธงชาติประดับไว้

กลุ่มเสือเอี้ยงถูกจำคุกที่เรือนจำและให้ครอบครัวที่เกี่ยวข้องมาช่วยพิธีศพแทน

และอีกศพหนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะต้องทำ... ก็จัดในวันเดียวกัน

สิงห์ตาคลอลูบโลงศพอีกโลงหนึ่ง “ทิ้งไปอีกคนแล้วนะ ทนมาตั้งนาน ทำไมถึงหลับนิ่ง ๆ ไปล่ะ”

นนท์เห็นแล้วสะท้อนใจก่อนจะลูบหัวลูกชายที่มาด้วยกัน “คนในโลงศพนั้น...” ปราชญ์ชี้ผู้เป็นพ่อเลยส่ายหน้า ลูกชายเลยก้มหน้าพูดไม่ออก

“ไม่ต้องห่วงนะ หลับให้สบาย สิงห์บอกแล้วว่าจะอยู่ต่อไป สิงห์ยังมีคนข้างกายมากมาย ไม่ต้องห่วงนะ... ไม่ต้องห่วงเลย... ฮึก” สิงห์กัดฟันน้ำตาไหลออกมาอย่างเก็บไม่มิด

พิมพ์อรเม้มปากเดินไปกอดลูกชายไว้ “ไม่เป็นไรลูก เขาไปสบายแล้ว”

สิงห์ร้องระงม เหมือนใครมาบีบหัวใจจนเจ็บไปหมด

อยากเจอ... อยากเจอไฟ...

พิธีศพเริ่มขึ้น ทุกศพถูกเผาพร้อมกันท่ามกลางลานกว้าง สิงห์ อธิบดีโขม รองนนท์ จ่าธง หมวดภพ จ่าเกื้อและครอบครัวของลูกน้องเสือเอี้ยงอีกสามคน ก่อไฟที่โลงพร้อมกัน

ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไร่อัครเดชถูกยึดไปเพราะเป็นของที่ทำขึ้นจากการปล้นหรือผิดกฎหมาย สิงห์ไม่คัดค้าน หลวงธารานันท์เซ็นชื่อที่ดินให้สิงห์เป็นคนดูแลแทน สิงห์จึงจำต้องอยู่ที่นั่นและรับดูครอบครัวของผู้ที่ถูกจับและคนที่เสียชีวิตจนเกิดเป็นไร่อัครเดชขึ้นมาจริง ๆ

๔ ปีให้หลัง ต้นอ้อที่อายุ ๒๗ กับเฟื้องที่อายุ ๒๙ แต่งงานกัน และอยู่ที่พระนคร รวมถึงแม่พิมพ์อรกับลุงสมานที่ตอนนี้อยู่พระนครเช่นกัน สร้างไร่ต้นตาลกับโรงสีเป็นชื่ออัครเดชกันเอง โดยที่สิงห์มารู้ทีหลังจนห้ามไม่ได้

ส่วนสิงห์ในวัยสามสิบหกปีกำลังถือสังฆทานไปถวายวัด ก่อนจะคลานเข่ากราบหลวงพ่ออนงค์

“มาทำบุญให้เขาหรือโยม”

“ขอรับหลวงพ่อ” สิงห์ยกมือพนมไหว้ก่อนจะเริ่มกรวดน้ำและนั่งคุยกับท่านอีกสักพัก

“คนเราเมื่อเสียคนสำคัญไปแล้ว ก็มีแต่อมทุกข์ โศกเศร้า เสียใจ แต่อย่าได้จมปรักกับความเศร้ามากนัก ชีวิตยังมีต่อ ยังต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง”

สิงห์ยิ้มรับ “ขอบพระคุณขอรับหลวงพ่อ กระผมจะทำตามดั่งที่ท่านสอน”

พระอนงค์คลี่ยิ้ม “คิดซะว่าคนที่เรารักนั้นหลับสบายอยู่บนฟ้าแล้ว”

“ขอรับ ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวลา” สิงห์กราบอีกสามครั้งก่อนจะคลานเข่าลุกออกจากศาลาวัด

นอกจากนั้นสิงห์ยังต้องแวะไปโรงเรียนเก่าของเขาที่ตอนนี้แม่ฤดีเป็นครูใหญ่แล้ว สิงห์เตรียมอาหารเที่ยงให้แกด้วย

เขามองต้นไทรที่เป็นที่นั่งตอนที่ไฟมาทักเขาครั้งแรก เรานั่งกินข้าวด้วยกัน ไฟเอาแต่กินของไม่เผ็ดเพราะกินเผ็ดไม่ได้ สิงห์ยิ้มบางมองเด็ก ๆ ที่นั่งกินข้าวใต้ต้นไทร ยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึง...

“อ่าวสิงห์ มาทำอะไรเหรอลูก”

สิงห์มองหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในชุดราชการครูก็ยกมือไหว้

“เอากับข้าวมาให้แม่น่ะครับ”

“โธ่ลูก ลำบากแย่เลย” ฤดีเดินมารับของพร้อมโอบกอดก่อนจะผละออกมาลูบใบหน้า “กินอะไรมารึยัง”

“ว่าจะกลับไปกินที่บ้านน่ะครับ”

“แล้วเป็นไงบ้าง ไร่ไปได้ด้วยดีไหม”

“ดีครับ ส่งออกได้เยอะอยู่เหมือนกัน”

“ดีแล้ว” ฤดีคลี่ยิ้ม “ไว้ว่าง ๆ ก็มาหาแม่บ้างนะ อยู่คนเดียวแล้วเหงา”

“ครับผม เอาเป็นว่าไม่กวนแม่แล้วดีกว่า ไปก่อนนะครับ” สิงห์ยกมือไหว้ก่อนชะงักเมื่อถูกเรียก

“สิงห์”

“ครับ?” เขาหันกลับมองแม่

“เรื่องมันผ่านมาแล้ว สิงห์ก็อย่ามัวแต่นึกถึงมันนะ”

ได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็ยิ้มออกมา “ครับแม่ ไปก่อนนะครับ”

สิงห์ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขี่ไปทางบ้านของตน หลวงธารานันท์เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้วสิงห์เลยจำต้องดูแลเต็มที่ เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านเรือนไทย เขาเห็นคนงานมากมายก็ยิ้มบางก่อนจะขึ้นบนบ้าน

เตรียมจัดกับข้าวทอดปลา ทอดไข่และน้ำพริกที่ตำเก็บเอาไว้ใส่ถาด รวมถึงข้าวเหนียวอีกหกกระติ๊บ

“จะถือไหวไหมเนี่ย” สิงห์เห็นแล้วถอนหายใจก่อนจะถือถาดข้างหนึ่งและถือกระติกน้ำสองอันอีกข้าง

มองเห็นเด็ก ๆ อย่างกล้าแก้วนั่งเล่นกันบนแคร่ สองคนนี้จะได้ไปเรียนเทอมหน้า

“กับข้าวมาแล้ว”

“ข้าว ๆ ๆ ๆ ๆ” เด็กทั้งสองต่างวิ่งมาช่วยถือไปวางบนแคร่ น่าเสียใจที่ยายพรแกก็เสียไปเช่นกันเพราะอายุมากแล้วเขาเลยดูแลเจ้าพวกนี้แทน

“แล้วกฤษไปไหนล่ะ”

“พี่กฤษไปดูคนงานตรงนู้น” แก้วชี้สุดลูกหูลูกตา ตรงนู้นมันตรงไหน... ตอนนี้กฤษเป็นหัวหน้าคนงาน ในนี้ก็มีทั้งเทิดและเสืออัธที่มาช่วย ส่วนเสือเอี้ยงยังคงติดคุกนานกว่าใคร

สิงห์นั่งลงบนแคร่มองเด็ก ๆ กินข้าวกันด้วยความเอ็นดูก่อนจะหันมองไร่ตัวเองที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาก

“พี่สิงห์ไม่กินเหรอ” กล้าถามขึ้นก่อนจะยีหัวเด็กน้อยแล้วยกถาดเล็กอีกถาดที่เอามาด้วยรวมถึงกระติกน้ำอีกกระติก

“กินสิ กินแถวคลองจะไปดูปลา”

“ไปด้วย!”

“ไม่ต้องเลยไอกล้า อยู่นี่แหละเดี๋ยวตกน้ำ” แก้วเขกหัวน้อง

สิงห์หัวเราะก่อนจะเดินเลียบไปด้านข้าง อยู่ไกลเล็กน้อยเพราะเป็นคลองติดกับคลองอื่น ได้ยินเสียงผิวปากเป็นเพลงมาแต่ไกล สายลมเอื่อย ๆ พัดทำให้อากาศไม่ร้อนมากนัก แถมตรงนี้ยังมีต้นไม้คอยให้ที่ร่ม

แผ่นหลังกว้างที่ไม่ได้ใส่เสื้อพร้อมกับผ้าขาวม้าพาดบ่า ในมือมีเบ็ดตกปลาทำมือกับกระป๋องเล็กที่น่าจะใส่ไส้เดือนไว้

สิงห์วางถาดลงบนโต๊ะเล็กที่ทำเอาไว้โดยเฉพาะก่อนจะนั่งลงบนเสื่อข้างกายอีกคนที่ตกปลาอยู่

“มาแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ก่อนจะผละแขนข้างหนึ่งมากอดเอวหอมแก้มสิงห์ไปฟอดหนึ่ง

“รำไปไหนล่ะ เพิ่งจะซื้อมาไม่ใช่หรือทำไมเอาไส้เดือนมาแทน ดูซิมือเปื้อนหมด”

“ก็ไอมารวยมันคาบไปกินหมดเลยน่ะสิ” ชายหนุ่มหงุดหงิดเสียเต็มประดา ไอมารวยหมาแถวบ้านที่ชอบมาคาบถุงรำไปกิน จึงจำต้องไปขุดดินเอาไส้เดือนมา

“ทีหลังก็เอาไว้ใกล้ตัวสิ หมามันจะรู้ได้ไงว่ารำเป็นของไว้ตกปลา” ปากก็บ่นไปแต่มือก็แกะปลาทอดพร้อมกับปั้นข้าวเหนียวจ่อปากคนข้างกาย

คนถูกป้อนงับเข้าปากแต่ก็ยังบ่น “ไฟก็ไล่มันแล้วนะ มันไม่ยอมแถมยังขู่ใส่อีก”

สิงห์ส่ายหัวพลางยิ้มไปด้วย แกะให้ตัวเองกินบ้างก่อนจะเอาอีกคำให้คนรัก “คนอะไรทะเลาะกับหมา”

“ก็มันนั่นแหละผิด” ไฟขมวดคิ้วยุ่ง

สิงห์อมยิ้มเมื่อมองหน้าคนรักก่อนจะหอมแก้มสากเพื่อเป็นการปลอบ “เอาหน่า ไว้ทีหลังสิงห์จะช่วยไล่”

ไฟยิ้มขึ้นได้ก่อนจะยักไหล่ “หอมรอบเดียวไม่พอหรอก”

“จะเอาอะไรเยอะแยะ หื้อ” สิงห์ใช้หลังมือผลักหัวก่อนจะยื่นข้าวเหนียวพร้อมไข่ทอดใส่ปากอีกคน ถาดนี้ไม่มีน้ำพริกเพราะน้ำพริกให้เด็ก ๆ หมดแล้ว ไฟน่ะกินเผ็ดไปคงน้ำหูน้ำตาไหล

“เอาทั้งคืนเลยได้หรือเปล่าล่ะ” ไฟเคี้ยวข้าวพร้อมสายตาที่มองคนรักด้วยความกรุ้มกริ่ม

คนถูกมองอดไม่ได้ที่จะผลักหัวอีกรอบ “ทะลึ่งนัก”

ต่างคนต่างพูดคุยกัน หัวเราะและยิ้มไปพร้อมกัน ในตอนนั้นไฟถูกส่งทันเวลาพอดีแต่ต้องรักษาตัวเดือนหนึ่งเลยไม่ได้เข้าร่วมพิธีศพ ส่วนศพที่ทำเขาใจหายก็เป็นศพของพ่อที่นอนหลับนิ่ง ๆ หมอรัตน์เองก็เปรยให้ฟังว่าพ่อพันธ์แทบจะไม่กินไม่พูดแล้วก็เสียอย่างที่เห็น

ไฟถูกแต่งตั้งเป็นอธิบดีของจังหวัดสิงห์บุรี วันนี้เป็นวันหยุดที่ไฟขอหยุดเองจนเขาต้องบ่นไปหลายที เพราะดันเอาเขามาด้วยไม่ได้ทำงานทำการกันพอดี

สิงห์ทำบุญให้พ่อและจันทุกวันจนหลวงพ่ออนงค์ต้องพูดอย่างนั้นเพราะคิดว่าเขาคงยังคงทุกข์ ยอมรับว่ามีนึกถึงบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่เพราะก็มีไฟอยู่ข้างกาย

ส่วนไฟนั้นมาอยู่ที่บ้านเขาเต็มตัว จะให้แม่มาด้วยแม่ก็บอกไม่เอาและให้ไฟมาอยู่กับเขาแทน

ไม่แปลกที่แกจะเหงา เลยไปนอนที่บ้านนั้นบ้างเป็นบางครั้ง จ่าธงพักการเป็นตำรวจอยู่บ้านกับเมีย เวลาที่แม่ฤดีกินข้าวแกก็กินกันสามคน

ทางกรมตำรวจขอให้พระอนงค์ศึกให้มาช่วยที่กรมแต่พระอนงค์จำต้องบวชอีกสองพรรษาถึงจะศึก

ผ่านอะไรมาหลายอย่าง จนสิ้นหวังไปแล้วเกือบหลายครั้ง ทุกวันนี้เขาคงต้องบอกว่าขอบคุณไฟจริง ๆ ที่ยังคงให้อภัยและไม่ทิ้งไปไหน มีแต่เขาที่เอาแต่เดินหนี

สิงห์ถอนหายใจกับข้าวหมดแล้วเลยขยับไปนั่งใกล้ ๆ และพิงหัวกับไหล่คนรัก “ขอบคุณนะไฟ ที่ไม่ทิ้งสิงห์ไปไหน”

คนถูกขอบคุณยิ้มร่า “ขอบคุณเหมือนกันที่สิงห์ยังอยู่ตรงนี้”

ทั้งคู่ยิ้มออกมาเป็นยิ้มที่ความสุขจากใจจริง ในตลอดสี่ปีมานี้สิงห์ไม่เคยหยุดยิ้มได้เลย ความสุขนี้คล้ายทดแทนกับสิ่งที่หายไปเมื่อครั้งอดีต มีไร่อัครเดชที่สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของคนที่สนิทและรู้จักกัน มีพ่อแม่ที่ดี มีน้องสาวที่มีผู้ชายที่ดีดูแลแล้วและมีคนรักที่อยู่ด้วยกัน เป็นเสมือนเพื่อน ครอบครัว สิงห์ไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย

สิงห์น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่ได้แต่ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจแต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข จนคนให้พักพิงสัมผัสได้

ไฟเลิกคิ้ว “เราไปตกปลากันที่ห้องไหม”

“ตาบ้านี่” สิงห์ถึงกับหัวเราะแล้วผลักไหล่คนรักที่นับวันยิ่งเป็นตาแก่ลามก “ในหัวมีแต่เรื่องนี้รึไง”

“ได้ไหมล่ะจ๊ะ” ไฟว่าพร้อมกับโอบเอว

“เดี๋ยวเถอะ”

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เขาก็จะให้คำมั่นว่าจะไม่ทอดทิ้ง มีเรื่องอะไรจะหันหน้าเข้าหา จะพูดจะบอก จะประคับประคองชีวิตคู่ไปด้วยกันแบบนี้

ขอบคุณผู้คนที่เข้ามา ขอบคุณผู้คนที่จากไป ขอบคุณที่ทำให้สิงห์และไฟมีวันนี้ได้

ขอบคุณจริง ๆ




จบบริบูรณ์

---------------------------------------------------------------------------

จบแล้วววว

ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ เราดันร้องไห้ตอนแต่งจบ ใจหายอยู่เหมือนกัน

เพราะเรื่องนี้อยู่กับเรามาหลายปี แก้แล้วแก้อีก เครียดแล้วเครียดอีก แต่ก็จบอย่างสำเร็จ และจบตามที่คิดเอาไว้

เรารักทุกตัวละครมาก ๆ ผูกพันกับทุกคนเลย พอมาถึงวันนี้ก็อดจะร้องไห้ไม่ได้

เป็นเรื่องแรกที่แต่งจนจบ ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันแต่งนิยายจบกับเขาด้วย

ขอบคุณมาก ๆ นะคะ สำหรับนักอ่านที่ติดตามมาตลอด แค่คนเฟบ คนเม้น คนให้กำลังใจเราก็ดีใจมากแล้ว

แล้วก็ขอบคุณตัวละครทุกคนที่บุกบ่าฝ่าฟันมาเยอะ หวังว่าบางคนจะรับบทเรียน และบางคนที่เพิ่งจะมีความสุขก็ขอให้สุขไปนาน ๆ

ขอบคุณไฟและสิงห์ที่มาเป็นตัวละครให้เรา

ขอบคุณนักอ่านที่คอยให้กำลังใจมาตลอด

ขอบคุณมากๆค่ะ

แล้วเดี๋ยวเราจะมีตอนพิเศษ แต่ยังบอกไม่ได้ว่ามีกี่ตอน (รวมถึงจะแก้คำผิดด้วย)

จนถึงตอนนี้ก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2020 14:46:16 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
และแล้วก็จบเสียที คนเราทำยังไงก็ได้อย่างนั้น คนทำไม่ดีก็รับกรรมกันไป แอบสะกิดใจตอนสิงห์ร่ำไห้ แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นไฟ
ขอบคุณไรท์ที่มาก สำหรับนิยายดีๆ มาให้อ่าน ขอบคุณอีกครั้ง
 :3123: :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทพิเศษ ๑.๑

หลานคนแรก


 

ปี ๒๔๙๒

บ้านไม้หลังใหญ่มีผู้คนครึกครื้นเป็นพิเศษ ต่างคนต่างก็มีของเล่นสำหรับเด็กมากันให้วุ่น สิงห์กับไฟเพิ่งจะมาถึงอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศ ในมือของสิงห์ถือปลาตะเพียนกับซองเงินต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว

อธิบดีไฟถึงกับต้องบอกคนรักให้ใจเย็น ๆ เพราะรีบร้อนจนออกจากงานทั้งยังชุดราชการ

“นั่นท่านรองสหัส” ผู้คนในบ้านต่างซุบซิบและตื่นตะลึงที่เจอคนคนนี้ ใครเล่าจะไม่รู้จัก สิงห์ สหัส บุคคลที่ปราบปรามกองโจรมาแล้วหลายจังหวัด ทั้งพระนคร อ่างทอง หรือสิงห์บุรีเองก็ตามจนออกหนังสือพิมพ์ดังไปทั่วรวมถึงมีหนังสือเล่าเกี่ยวกับประวัติของคนผู้นี้จนมีแต่คนชื่นชอบ รวมถึงอธิบดีไฟที่ดูสง่าผ่าเผย เป็นหนึ่งบุคคลที่มีอิทธิพลมาก ๆ ในภาคกลางและยังเป็นหนึ่งในสี่บุรุษที่รู้จักกันอย่าง สี่ผู้หมวดในยุคนั้น นนท์ สิงห์ ไฟ จัน

“อ่าวสิงห์ มาทำไมไม่บอกแม่ก่อนลูก” พิมพ์อรอยู่ในวัยชราแล้ว ทว่า ก็ยังคงแข็งแรงเดินมาแตะไหล่ลูกที่ดูร้อนรน

“ขอโทษครับแม่ ก็ข่าวว่าหลานกลับบ้านแล้วเลยมาหา” สิงห์พูดไปตัวเองก็สอดส่องหาหลานไป เห็นน้องสาวกับน้องเขยกำลังนั่งอยู่กลางเรือนโดยมีญาติ ๆ ของฝั่งเฟื้องกับเพื่อนแม่เพื่อนลุงสมานทั้งนั้นและล้อมรอบอะไรอยู่ “สิงห์ขอไปหาหลานนะครับแม่”

พิมพ์อรคลี่ยิ้มที่ลูกสาวคงโทรศัพท์บอกพี่ชาย “ใจเย็นลูก ใจเย็น”

สิงห์รีบค้อมตัวไปหาหลาน ต้นอ้อเห็นพี่ชายก็ยิ้มกว้าง “พี่สิงห์ มาแล้วหรือคะ”

“ต้นอ้อ” สิงห์ยิ้มเมื่อเห็นน้องก่อนจะขอโทษขอโพยให้แขก และแขกเองก็ไม่ว่าและต่างคนต่างเดินออกให้คุณลุงเขามาดูหลาน “ละ...หลาน หลานพี่เหรอ”

สิงห์ถึงกับยืนนิ่งเมื่อเห็นหลาน น้ำตาเริ่มคลอ เพราะวันที่ต้นอ้อคลอดเขามีงานเร่งและกว่าจะได้มา เด็กคนนี้ก็จวนจะหนึ่งขวบอยู่แล้ว

“พี่สิงห์มาอุ้มหลานสิ” ต้นอ้ออุ้มลูกขึ้นเดินมาหาพี่ชาย

“มาครับพี่สิงห์ เดี๋ยวผมถือของให้” เฟื้องที่ตอนนี้ดูโตกว่าตอนเจอไปมากเดินมาถือของให้

“พี่อุ้มได้จริงเหรอ” สิงห์มือไม้พันกันยุ่งกลัวว่าจะแตะหลานไปแล้วจะบุบสลาย

“อุ้มได้สิคะ พี่นี่ก็” ต้นอ้อหัวเราะแม้น้ำตาจะคลอตามพี่ชาย ที่เราทั้งคู่ก็คงคิดเหมือนกันว่ามันมีวันนี้ได้แล้ว จากวันที่โหดร้ายมาเป็นวันอย่างนี้ ยากที่จะเชื่อเลย “เร็ว ๆ หลานร้องหาแล้ว”

อธิบดีไฟมองทางคนรักที่ดูจะเก้ ๆ กัง ๆ ตนนั่งอยู่กับลุงสมานและแม่พิมพ์อรอมยิ้มมองภาพตรงหน้า

“หลานลุง” สิงห์เอ่ยเสียงเบา ค่อย ๆ รับหลานชายเข้าอ้อมอก พลันเสียงร้องไห้ก็ค่อย ๆ หยุดร้องแถมยังมองเขาตาแป๋ว “น่าชังจังเลย” สิงห์น้ำตาไหลโยกเด็กน้อยไปมาปากก็ทำท่างับมือที่ปัดป่าย

เขามีหลานแล้ว มีหลานจริง ๆ ไม่ได้เพ้อฝันอีกแล้ว

“ต้นอ้อ” สิงห์เอ่ยเรียกน้องสาวพร้อมกวักมือ น้องสาวเดินเข้ามาก่อนจะกอดกับพี่ชาย สิงห์โอบน้องด้วยมือข้างเดียวก่อนจะก้มมองหลานชายที่หัวเราะดูมีความสุข “ตั้งชื่อหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ เรียกพี่สิงห์มาเพราะจะให้ตั้งชื่อให้”

สิงห์ตกใจ “จะดีหรือ”

“ดีสิคะ พี่เฟื้องก็อยากให้พี่สิงห์ตั้งให้”

สิงห์มองน้องเขยที่พยักหน้า ตนเลยก้มมองหลานแล้วนึกอยู่สักพัก “ต้นสนไหม แสดงถึงความสง่างามและความกล้าหาญ”

“ชื่อเพราะจัง”

“มาจากต้นคำหน้าของคุณแม่และส.เสือจากคุณลุง” สิงห์หัวเราะเมื่อน้องเขยพูดอย่างนั้น “ไว้ชื่อแบบผมจะตั้งลูกคนที่สอง”

ต้นอ้อหน้าแดง “เดี๋ยวเถอะพี่เฟื้อง”

“ส่วนชื่อจริงก็ให้คุณพ่อเขาตั้งนะ” สิงห์ว่าแล้วพยักหน้าเล่นกับหลาน “ว่าไงครับ ต้นสน... ต้นสนของลุง”

“ไหนขอดูหน้าหลานหน่อย” ไฟเดินมาหาบ้าง ต้นอ้อกับเฟื้องเลยปลีกตัวออกไปคุยกับแขก “หน้าตาเหมือนสิงห์เลย”

สิงห์ยิ้ม “หล่อได้ลุง”

“น่าตีเหมือนลุง”

สิงห์ถึงกับตีคนรักเบา ๆ “นิสัย... ลองอุ้มหลานไหม”

คนตัวสูงถึงกับทำตัวไม่ถูก “เอาจริงเหรอ ทำลูกเขาตกขึ้นมาจะทำยังไง”

“เอาหน่า แขนไฟใหญ่กว่าหลานจะตายอุ้มแค่นี้ไม่ตกหรอก” สิงห์ว่าพร้อมกับยื่นหลานให้

ไฟร้องโอดโอยในตอนที่อุ้มหลาน โยกตัวได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าหลานคนนี้ก็ร้องลั่น “อ่าว ๆ ๆ จะร้องทำไม ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเอ็งเลยนะเนี่ย”

สิงห์หัวเราะก่อนจะเอาหลานคืนแล้วเอ๋ ๆ “สงสัยจะกลัวลุงไฟ”

“ห๊ะ?” ไฟถึงกับงุนงง

“กลัวเหรอครับ อ่อ ๆ อยู่กับลุงสิงห์ดีกว่าเหรอ ชอบลุงใช่ไหม” สิงห์คุยไปทั่วจนคนรักแอบหมั่นไส้ลึก ๆ น่าหยิกทั้งหลานทั้งลุง

“เจอคนเห่อหลานแล้ว วันนี้ดูท่าจะไม่ปล่อยแน่เลย” สมานหัวเราะ

“ไปถ่ายรูปครอบครัวกันดีไหมครับ” เฟื้องเสนอเมื่อญาติ ๆ แต่ละคนเริ่มกลับเพราะอยากให้ความส่วนตัวแก่ครอบครัว

“เอ้อดี ๆ จะได้อัดกรอบรูปเก็บไว้ประดับบ้าน” สมานเห็นด้วย

“พี่สิงห์เราไปถ่ายรูปกันไหม” ต้นอ้อถามไถ่

“เอาสิ” สิงห์เต็มใจทันที เพราะตนก็อยากเก็บรูปหลานไว้เหมือนกัน

ทุกคนต่างเก็บของและเตรียมออกจากบ้านเพื่อไปร้านถ่ายรูป ในระหว่างนั้นก็มีเด็กผู้ชายสวมแว่นเดินมาทางนี้พร้อมกับปลาตะเพียนในมือดูจะระวังเป็นอย่างมากในการถือ สิงห์จำได้แม่นทันทีว่าเป็นใคร

“ปราชญ์ ไม่เจอกันนานเลย” สิงห์คลี่ยิ้มให้

คุณชายปราชญ์ตกใจไม่น้อยก่อนจะรีบก้มไหว้ “สวัสดีครับลุงสิงห์ สวัสดีครับลุงไฟ”

สิงห์ได้เจอปราชญ์ในวันงานแต่งงานของเฟื้องและต้นอ้อ เด็กคนนี้ดูโตขึ้นมากเลยจากเด็กที่เขาเลี้ยงในวันนั้นตอนนี้เป็นคุณชายเสียแล้ว

“เอาของเล่นมาให้น้องหรือครับ” สิงห์ถามพร้อมกับย่อตัวลงเล็กน้อย

“ใช่ครับ ปราชญ์นั่งทำกับป้าบัวเมื่อคืนนี้” ปราชญ์ยิ้มตาหยีก่อนจะหุบยิ้มเมื่อมองปลาตะเพียนที่ทำด้วยใบตอง “แต่มันคงจะเหี่ยว แถมไม่สวยเลย”

“โธ่ลูก” คนเป็นลุงอดเอ็นดูไม่ได้จึงเอื้อมมือไปหยิบปลาตะเพียนให้หลานชาย “ของที่ปราชญ์ตั้งใจทำให้ น้องต้องชอบอยู่แล้ว” เขาไม่พูดเปล่ายังให้ปราชญ์ดูด้วยว่าน้องหัวเราะสดใสขนาดไหนตอนเล่นปลาตะเพียน

“พ่ออยู่ไหม” ไฟถามถึงเพื่อน

“เด็จพ่ออยู่ที่กรมตำรวจครับลุงไฟ”

“นั่นสินะ” ไฟพยักหน้าลืมไปเลยว่าไม่ใช่วันหยุด “ลุงจะไปถ่ายรูปกัน ปราชญ์ไปด้วยกันไหม”

“ได้ไงเล่าเอาลูกคนอื่นเขาไปข้างนอกเนี่ย” สิงห์ถึงกับตีแขนคนรักก่อนจะมองปราชญ์ที่ดูจะตื่นเต้นเลยได้แต่ถอนหายใจ “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถ้าอย่างนั้นปราชญ์บอกกับที่วังไว้แล้วมาหาลุงนะ ลุงจะรอ”

ปราชญ์ดีใจ “ปราชญ์ไปได้จริง ๆ หรือครับ”

“ได้สิจ๊ะ” ต้นอ้อที่ได้ยินรีบบอกทันทีเพราะกลัวว่าเด็กจะเกรงใจจนไม่กล้า เพราะปราชญ์น่ะเป็นเด็กขี้เกรงใจ แต่ก็อ่อนโยน พูดจานอบน้อมเสมอ ยิ่งโตยิ่งดูสง่าสมเป็นคุณชาย

“ขอบคุณครับ” ปราชญ์ก้มหัวแล้วรีบวิ่งไปที่วังเพื่อบอกคนในวังไว้

รออยู่ไม่นานปราชญ์ก็มา เฟื้องกับต้นอ้อนั่งรถคันของตัวเองพร้อมกับแม่และพ่อสมานส่วนสิงห์และไฟไปรถของตัวเองพ่วงด้วยหลานชายอย่างต้นสนที่ดูท่าจะไม่ปล่อยจริง ๆ

“ปราชญ์อายุเท่าไหร่แล้วตอนนี้” สิงห์ถามหลานอีกคนที่นั่งสงบเสงี่ยมแม้หัวจะชะโงกมองทางน้องจนเขาหัวเราะ

“อายุสิบสามครับ”

“โอ้ สิบสามแล้วหรือ สูงขึ้นเยอะเลยนะ” สิงห์ยิ้มก่อนจะยื่นหลาน “อุ้มน้องไหม”

ปราชญ์โบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไรครับ ลุงสิงห์อุ้มเถอะครับ น้องคงอยากอยู่กับลุงสิงห์นาน ๆ จะได้เจอกันที”

สิงห์ไม่คาดคั้นจึงอุ้มหลานต่อไป “แล้วรู้ชื่อน้องหรือยัง”

ปราชญ์ส่ายหัว “ยังเลยครับ น้าต้นอ้อบอกว่ารอลุงสิงห์ตั้งชื่อให้”

“ลุงตั้งแล้ว ตั้งไม่นานนี้เอง”

“แล้วน้องชื่ออะไรหรือครับ”

“ต้นสน น้องชื่อต้นสน”

เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย “ชื่อเพราะมากเลยครับ”

“ฮ่า ๆ ใช่ไหมล่ะ ลุงสิงห์ตั้งให้ซะอย่าง” สิงห์หัวเราะจนไฟอดยิ้มไม่ได้

“เห่อหลานจริง ๆ เลย” ไฟว่าพร้อมกับหยิกแก้มคนรัก

“ก็ดูสิ หลานคนแรกเลยนะ” คนอุ้มหลานยิ้มแก้มแทบปริเอียงหัวเล็กน้อยเวลาคนรักยกมือขึ้นลูบผม

ปราชญ์หูแดงขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อรู้สึกถึงอะไรแปลก ๆ ออกจากตัวของทั้งคู่เวลาหยอกล้อกัน เด็กหนุ่มเม้มปากมองนกมองฟ้านอกหน้าต่างทำเป็นไม่เห็น

“จะไปไหนหรือ” สิงห์ถามทันทีเพราะไฟตีรถขึ้นไปบอกเฟื้องที่เป็นคนขับอีกคันว่าให้ไปที่นั่นก่อน

“เดี๋ยวก็รู้” ไฟยิ้มบาง

เพียงไม่นานก็มาถึงกรมตำรวจนครบาล ตามที่ไฟอยากจะมา

“มาหานนท์เหรอ”

ปราชญ์หันมองด้วยความสงสัยทันที เขาแทบไม่ได้มาที่ทำงานของเสด็จพ่อเลย พอเห็นแล้วก็อดตะลึงเสียไม่ได้ ตำรวจเดินเต็มเลย

“พามันไปถ่ายรูป”

“จะบ้าเหรอไฟ นนท์ทำงานอยู่ไหมจะไปลากออกมาได้ยังไง ลากลูกเขามายังไม่ได้บอกอีกด้วยเนี่ย”

“เถอะหน่า ตอนนี้ช่วงเที่ยงคงพักกินข้าวกัน” ไม่ว่าเปล่าก็ออกไปตามให้แทนจนสิงห์ได้แต่กุมขมับ

“เด็จพ่อจะไปด้วยหรือครับ”

“ไม่รู้สิ” สิงห์ถอนหายใจ และแล้วทั้งคู่ก็เดินตีคู่กันมา สิงห์เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของเพื่อนก็อดจะหัวเราะไม่ได้ ไฟคงลากมา ลากที่ลากจริง ๆ

“เด็จพ่อ” ปราชญ์เอ่ยเสียงเบาแล้วเขยิบจนชิดเบาะอีกฝั่ง

“มากับเขาจริง ๆ ด้วยสินะ” นนท์พูดเสียงเรียบจนเด็กหนุ่มต้องนั่งตัวเกร็ง

“พวกฉันชวนมาเองแหละ” สิงห์พูดขึ้น “นี่เห็นหลานฉันรึยัง”

นนท์มองทันที “ฉันคงทำงานมากไปจนไม่รู้เรื่อง”

“ลองอุ้มดูสิ”

“จะดีหรือ”

สิงห์พยักหน้าก่อนจะยื่นหลานให้

ปราชญ์อดจะตาโตไม่ได้เมื่อมองพ่อที่ตอนนี้ดูอ่อนโยนเป็นอย่างมาก จากที่ต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวเลยต้องวางตัวเป็นอย่างมากหลังจากเสด็จปู่สิ้นพระชนม์ไปหลายปีก่อน

“ชื่ออะไรหรือ”

“ต้นสนน่ะ ฉันตั้งเอง”

“อืม ชื่อเหมาะสม”

“ยิ้มแย้มหน่อยสิวะ หลานมันอยากเห็นลุงนนท์ยิ้ม” ไฟอดจะพูดไม่ได้แล้วก็อดจะอิจฉาไม่ได้ ทีเขาอุ้มนะดันร้องขึ้นมาเสียได้เจ้าหลานคนนี้

นนท์ก้มมองก่อนจะหัวเราะออกมาหลังจากแทบไม่ได้มีอารมณ์นึกขันมาตลอด “มีวันนี้กันจนได้นะ”

ลูกชายอย่างปราชญ์อดยิ้มตามไม่ได้เพราะช่วงที่เกิดเรื่องตนก็พอรู้มาบ้าง วันที่คุณยายพิมพ์อรกับน้าต้นอ้อมาที่วังเขานึกว่ามาเยี่ยมเยียนกัน พอโตขึ้นมาหน่อยปราชญ์ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมา ยิ่งเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงสองคนนี้ถึงดูทุกข์มากและไม่ค่อยยิ้มแย้มเสียเลย แถมยังไม่ให้ลุงไฟรู้เสียอีกว่าพวกท่านอยู่ที่นี่ อยู่ที่บ้านป้าบัว...

หลังจากเรื่องจบปราชญ์เลยได้อ่านประวัติของลุงสิงห์จึงปะติดปะต่อกับที่ว่าในวังมีคนมาเพิ่มเพราะเสด็จพ่อประสงค์จะช่วยเหลือด้วย ที่วังจึงมีคนเยอะแถมที่ไร่ต้นตาลกับโรงสีพี่เฟื้องเองก็เยอะพอกัน

ไม่แปลกใจที่เสด็จพ่อเองก็ดูมีความสุขออกมา ปราชญ์น่ะไม่ได้เห็นเสด็จพ่อแย้มยิ้มมากขนาดนี้มานานแล้ว

“แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง”

นนท์มองเด็กในอ้อมแขนปากยังเจือด้วยรอยยิ้มแต่ก็แฝงความอัดอั้น “ก็ดี”

สิงห์ที่มองอยู่นิ่งไปมองทางหนูปราชญ์ที่มองผู้เป็นพ่ออยู่ก็เลยเงียบไว้

“ทีหลังปราชญ์ก็นวดให้พ่อมันหน่อย สงสัยทำงานหนักเกินไป” ไฟพูดขึ้น

“ไม่หรอกครับ คือ...” ปราชญ์ดูไม่มั่นใจ

“ถึงแล้ว” นนท์พูดขัดก่อนจะลงรถไปก่อน ปราชญ์เองก็เช่นกัน

“นนท์มันไม่สนใจลูกมันเลยรึไง” ไฟหัวเสีย

“คงมีปัญหาอะไรอยู่นั่นแหละ เราเองก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรต่อ”

“กับเมียใหม่ล่ะ แล้วไหนจะลูกอีกคน”

“เอาเถอะ ๆ ไว้ถ้านนท์อยากเล่าเดี๋ยวก็เล่าให้ฟังเองนั่นแหละ” สิงห์รีบปลอบคนรักแล้วลงรถไปอุ้มหลานแทน

“มาแล้วเหรอลูก อ่าวท่านชาย” พิมพ์อรตกใจ

“ทะ..ท่านชายนนท์” เฟื้องกุลีกุจอรีบลุกขึ้นก้มหัวเดินมาทางนี้ “เสด็จมาที่นี่มีประสงค์อันใดหรือขอรับ”

นนท์มองคนที่เปรียบเสมือนน้องชายที่ไม่ว่ากี่ปี ๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม “อย่าเป็นทางการนักเลย ฉันแค่อยากมาเห็นหน้าหลานนายน่ะแล้วก็จะได้ถ่ายรูปกับเพื่อนด้วย”

“อะ ขอรับ เชิญเลยขอรับ”

นนท์ส่ายหัวยิ้ม ๆ แล้วไปนั่งโซฟาอีกตัวด้านในร้านพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน พูดคุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยก็ถึงเวลาถ่ายรูป เป็นการถ่ายรูปแค่สิงห์ พิมพ์อรและต้นอ้อรวมถึงหลานต้นสนก่อนแล้วค่อยรวมลุงสมานและเฟื้อง

“นนท์ ปราชญ์มาเร็ว” สิงห์กวักมือเรียกแล้วก็เป็นทั้งคู่ที่เดินเข้าไปถ่ายรูปด้วย “ต่อไปเอาสองคนนี้ครับ”

“หื้อ?” นนท์ถึงกับงุนงง

“เร็ว ๆ อุ้มหลานด้วย” สิงห์ให้เพื่อนอุ้มหลานแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งก่อนจะให้หนูปราชญ์ยืนข้าง ๆ

พอถ่ายเสร็จเรียบร้อยก็ถึงตาหนูปราชญ์ที่อุ้มน้องถ่ายเก็บเป็นที่ระลึกไว้

“ต้นสนมาหาลุงมา” สิงห์อุ้มหลานแล้วพยักหน้ากับไฟให้พานนท์มายืนเรียงกันสามคนเหมือนดั่งวันที่ถ่ายรูปสี่คน แม้จะขาดไปคนแต่ก็เพิ่มหลานเข้ามาด้วย ไฟกอดไหล่สิงห์เหมือนที่นนท์ทำก่อนจะทำเป็นโอบกอดอากาศข้างซ้ายมือตัวเองที่ไม่มีใครอยู่...

ทั้งสามคนยิ้มกว้างออกมาและได้เก็บรูปนั้นกันไว้อีกใบ

“ถ้าพี่ ๆ เขายังอยู่ด้วยกันคงจะดีเนาะ” ต้นอ้อพูดขึ้นเมื่อมองพวกพี่ชายกำลังวุ่นกับการถ่ายรูป

“ถึงจะไม่อยู่เป็นกายแต่ก็ยังคงอยู่ในนี้” พิมพ์อรชี้กลางอกพลางยิ้มบาง

“เขาคงมองเราและยิ้มอยู่บนฟ้านั่นแหละ คนเห่อหลานอีกคนคงจะเป็นคุณจันเขาล่ะ” เฟื้องยิ้มเมื่อนึกถึงพี่จัน เพราะตอนมาดูคุณชายปราชญ์พี่จันก็เห่อซะจนแทบไม่วางหลานเช่นกัน แย่งหลานกับพี่สิงห์ไปมาจนกลัวหลานจะเฉามือเสียก่อน

“เฮ้อ เนี่ยแหละหนาชีวิตคน” สมานนึกสะท้อนใจ

หลังจากเสร็จสิ้นเรียบร้อยหมดทุกอย่าง ก็พากันไปกินข้าวเที่ยง เฟื้องเหงื่อแตกพลั่ก ๆ เมื่อคิดว่าตัวเองจะได้กินข้าวกับท่านชายนนท์ ถึงจะเคยทำแบบนี้สมัยที่ดูแลคุณชายปราชญ์แต่ว่าตอนนี้มันก็ต่างกันมากโข เพราะท่านชายนนท์ก็กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวของวังแล้ว จะกดดันก็ไม่แปลก

“พี่เฟื้องก็” ต้นอ้อหัวเราะเมื่อเห็นสามีตนเองอยู่ไม่สุข

“พี่ตื่นเต้น” เฟื้องกระซิบบอกภรรยา

สิงห์มองแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “เฟื้อง ใจเย็นไว้”

“แม่ให้ผมอุ้มให้ไหมครับ แม่จะได้กินข้าว” ไฟรีบถามแม่พิมพ์อรเมื่อแกอุ้มหลานที่คงเหนื่อยจนหลับไปเสียแล้ว

“ไม่เป็นไรลูก”

“เอาเถอะแม่ ได้โอกาสเขาล่ะตอนหลานหลับเนี่ย อย่าให้ตื่นเลยไฟไม่ได้อุ้มหรอก” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมา พิมพ์อรเลยยื่นหลานให้ไฟอุ้มแทนที่ตอนนี้กำลังพัดลมเย็น ๆ ให้หลานไปด้วย ดูเป็นภาพที่เห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ สิงห์ลูบเหงื่อคนรักให้ก่อนจะตักข้าวรองมือป้อนอีกคนเพื่อไม่ให้ตกใส่หลาน

ปราชญ์หูแดงอีกแล้วเมื่อมองความใส่ใจเล็ก ๆ นั้นของทั้งคู่ เขาที่นั่งข้างพ่อได้แต่มองพ่อว่าเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไง แต่ก็พบกับรอยยิ้มที่ดูมีความสุขเป็นอย่างมากเวลามองเพื่อนของตน

นนท์เองรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาเลยหันมองข้างกาย “มีอะไรหรือ”

“เปล่าครับ ปราชญ์แค่สงสัยว่าทำไมเสด็จพ่อถึงยิ้มกว้างเพียงนี้”

“พ่อมีความสุขไง” นนท์ลูบผมลูกชายแล้วก้มกระซิบกันสองคน “ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าพวกเขาเจออะไรกันมา”

ปราชญ์พยักหน้าและเข้าใจอย่างดีแล้ว “เสด็จพ่อคงรักสหายมากเลยใช่ไหมครับ”

“อืม ใช่... เพราะพวกเขาอยู่ข้างพ่อไม่ไปไหนและเราก็ฝ่าฟันอะไรกันมาเยอะ”

“ดีจังเลยครับ ปราชญ์เองก็อยากมีสหายดี ๆ แต่ว่าเสด็จพ่อก็เคยป้อนข้าวลุงไฟกับลุงสิงห์ใช่ไหมครับ”

นนท์ถึงกับไอออกเสียงจนเฟื้องรีบประคองน้ำให้ ตกใจใหญ่คิดว่าอาหารไม่ถูกปากจนนนท์ต้องยกมือห้าม นนท์ยิ้มจนตาหยีและปราชญ์ก็งุนงงว่าทำไมเสด็จพ่อยิ้มแต่ลึก ๆ ก็ดีใจที่เสด็จพ่อยิ้มให้เขาหลังจากที่คุยกัน

“ไม่เคยหรอก แต่พวกเขาเป็นคนพิเศษต่อกันมากกว่านั้น” นนท์กระซิบและให้ลูกดูสิงห์ที่คอยป้อนข้าวคนรักที่อุ้มหลาน

“เหมือนคนรักกันเลย...” ปราชญ์พูดขึ้นเมื่อมองดู แต่ผู้ชายกับผู้ชายหรือ?

“ปราชญ์โตขึ้นอีกนิดก็คงรู้เองนั่นแหละ พ่อน่ะไม่อยากปิดกั้นเรื่องแบบนี้หรอกนะ”

ปราชญ์เงยหน้ามองพ่อ “ที่โรงเรียนเคยมีครูคนหนึ่งถูกต่อว่าเพราะเขามีคนรักเป็นผู้ชาย ผมถามคุณครูใหญ่ ท่านก็บอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควร”

“ฟังพ่อนะลูก” นนท์วางมือบนศีรษะลูกชาย “ชีวิตเราก็คือชีวิตของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น เราจะเลือกทางไหน รักใคร ตราบใดที่ไม่เดือดร้อนคนอื่นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ควร การไม่ควรจริง ๆ คือการที่ไปยุ่งและตราหน้าคู่ชีวิตคนอื่นเขาว่าไม่สมควรต่างหากล่ะ”

สิงห์มองสองพ่อลูกแล้วยิ้มบางสะกิดคนรักให้ดูตามแล้วก็ยิ้มกันสองคน

“ไม่ใช่รักต้องห้ามหรือครับ”

“ไม่เลย”

ปราชญ์หันมองลุงสิงห์และลุงไฟอีกครั้งรวมถึงมองคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่ไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลก แถมดูมีความสุขกันขนาดนี้ เพราะมีครอบครัวที่ดีที่พร้อมยอมรับและเห็นว่าเป็นแค่ความรักของคนคนหนึ่งสินะ

พอกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็ต้องรีบกลับไปส่งนนท์ที่กรมตำรวจ โดยให้ปราชญ์นั่งรถไปกับเฟื้องแทน

“ที่วังเป็นไงบ้าง” สิงห์ถามเพื่อน

“ฉันกำลังจะมีลูกอีกคน”

ไฟเกือบเหยียบเบรก “พลาดอีกหรือวะ!”

“ไฟใจเย็น”

นนท์หน้าเครียด “ไม่—ไม่ได้พลาด”

“แล้วทำไม...” สิงห์ฟังเรื่องนนท์มาบ้างจากไฟจึงไม่เข้าใจเพื่อนสักเท่าใด

“น้องแหวนเป็นผู้หญิงที่ดีมากจนฉันเผลอใจ... มันผิดต่อปิ่นหรือเปล่าที่ฉันรู้สึกดีที่มีน้องแหวนข้างกาย ฉันผิดใช่ไหม”

ทั้งคู่ที่ฟังต่างตกใจส่วนสิงห์ก็ยื่นแขนไปจับบ่าเพื่อน ที่ไม่ค่อยยิ้มและไม่คุยกับปราชญ์เพราะนนท์คงรู้สึกผิดต่อลูกชายอยู่แน่ ๆ

“นายควรจะเริ่มต้นใหม่ได้แล้วนนท์”

นนท์น้ำตาคลอ “ฉันยังคิดถึงปิ่นแต่ฉันก็เผลอรักน้องแหวน ฉันควรจะทำยังไงดี ไม่อยากให้ปราชญ์ต้องรับรู้ พ่อแบบฉันมันแย่”

ต่างคนต่างก็หนักใจเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก พวกเขาทั้งคู่ผ่านพนอุปสรรคมาได้แล้ว เหลือแต่เพื่อนที่ยังคงมีปัญหาอยู่ร่ำไป

“นายมีลูกอีกคนอย่างหนูกรณ์ไปแล้วและตอนนี้กำลังจะมีอีก มันไม่มีทางอื่นนอกจากยอมรับและลองเปิดใจดู ฉันว่าครูปิ่นคงอยากให้นายเดินหน้าต่อนะ ปราชญ์เองก็เริ่มโตขึ้น เป็นพี่ชายคนแล้ว ลองคุยกับลูกดู ปราชญ์ไม่ใช่เด็กที่ไม่รับฟังอะไร ยิ่งนายไม่พูดไม่จาเอาแต่เศร้าให้ลูกเห็นคิดหรือว่าลูกจะสบายใจ ดูอย่างวันนี้สิ ปราชญ์มีความสุขแค่ไหนที่เห็นพ่อตัวเองยิ้มน่ะ”

สิงห์เคยเจอลูกชายของหม่อมแหวนในวันงานแต่งงานของน้องสาวแล้วและหนูกรณ์ก็นิสัยดี พูดเพราะ แถมติดหนูปราชญ์แจ วันงานก็มีเด็กสองคนที่เดินด้วยกันตลอด ลูกของนนท์กับหม่อมแหวนชื่อ หม่อมราชวงศ์ อิตธิกรณ์ หรือคนชอบเรียกว่าชายกรณ์ และปราชญ์เองพอมีน้องก็ไม่เหงาอีก เวลาโบที่ปกเสื้อน้องชายยับก็เห็นปราชญ์คอยจัดและดูแลตลอด

หม่อมแหวนก็เป็นผู้หญิงเรียบร้อยที่คอยดูแลเด็กทั้งสองอีกที ตอนหนูปราชญ์ทำพลาดเธอก็ช่วยเหลือเปรียบเสมือนเป็นลูกของตนเอง คงเหลือแต่นนท์ล่ะนะที่ยังคงคิดมากและรู้สึกผิดต่อภรรยาเก่าและลูกชายคนแรกอยู่

“ฉัน...” นนท์กุมมือทั้งสองและบีบกันแน่น

“ลองเก็บไปคิดดู พร้อมแล้วค่อยคุยกับลูก”

นนท์พยักหน้า “ขอบคุณมากนะ ต้องให้พวกนายคอยบอกว่าต้องทำอะไรตลอด ฉันน่ะคิดอะไรเองไม่ได้เลย”

“ก็รู้ตัวนี่หว่า โอ๊ะ!” ไฟถึงกับกุมหัวไหล่เมื่อคนรักหยิกก่อนจะจอดรถที่หน้ากรม

“อย่าคิดมากนะ มีอะไรโทรศัพท์บอกได้เสมอ”

“ขอบคุณอีกครั้งนะ”

“เออ ๆ ไปได้แล้วท่านชาย เดี๋ยวสายหรอก” ไฟโบกไม้โบกมือ “ป่ะ กลับบ้านเรากัน”

“เดี๋ยวสิ ยังไม่หายคิดถึงหลานเลย”

ไฟถอนหายใจก่อนจะโยกหัวคนรัก “หมายถึงว่าบ้านแม่พิมพ์อรเนี่ยแหละ” เพราะที่บ้านนั้นเคยเป็นบ้านของพวกเขาตอนมาทำงานที่กรมนครบาลเลยอดลืมไม่ได้จนพูดอย่างนั้น

สิงห์ถึงกับอายที่อาการเห่อหลานกำเริบอีกรอบ


*มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2020 00:09:20 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากด้านบน


ทั้งครอบครัวนั่งกินข้าวรอบค่ำกัน โดยที่สิงห์เอาแต่หันมองทางห้องนอนน้องสาวเพราะอยากเจอหลาน

“คอจะหักแล้วนั่น” ไฟอดล้อไม่ได้

“หลานจะกินนมแม่นอนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นกับหลานก็ได้สิงห์” พิมพ์อรว่าแล้วก็หักผักรวมไว้กับข้าวแล้วใส่น้ำพริกกิน

“ก็พรุ่งนี้สิงห์จะต้องกลับแล้วไงแม่”

“กลับเร็วจังล่ะ มายังไม่ทันผายลมเลย” สมานขมวดคิ้ว

“ติดงานน่ะสิพ่อ ยังมีคดีที่ยังสืบไม่เสร็จด้วยไม่อยากค้างคา”

“พักบ้างนะสิงห์”

“เดี๋ยวผมว่าจะพักเหมือนกัน น่าจะเกษียณตัวเองแล้วหันมาดูไร่เต็มตัว”

“ดีแล้ว อยู่กับธรรมชาติซะบ้าง” แม่พูดพร้อมแกะปลาให้สิงห์อย่างเคยชิน

“พี่สิงห์ พี่นอนห้องเดิมได้เลยนะพี่ ผมทำความสะอาดให้แล้ว”

สิงห์ถึงกับตาโต “โธ่เฟื้อง พี่ทำเองก็ได้”

เฟื้องเดินมาร่วมวงหลังจากเก็บของและอาบน้ำแล้ว “ได้ไงล่ะพี่ เดินทางมาเหนื่อย ๆ”

สิงห์ถอนหายใจ “เอาเถอะ ๆ ขอบใจนะ”

“ยินดีครับ”

“แล้วไม่มีใครใช้เลยหรือห้องนั้น” ไฟถามเพราะเป็นห้องเก่าของเขาและสิงห์

“เก็บไว้เวลาไฟกับสิงห์มากันไงลูก” พิมพ์อรตอบให้

“แต่มีต้นสนแล้วก็ยกให้หลานไปเลยก็ได้นะแม่ ถ้าโตเป็นหนุ่มอีกนิดก็ฝึกให้นอนคนเดียวได้แล้ว”

“ยังคงวนมาเรื่องหลาน” ไฟหัวเราะ

“บ้านเรามีตั้งสี่ห้อง ให้อีกห้องหนึ่งก็ได้”

“เอ้า ก็เผื่อมีหลานอีกคนไงแม่” พอสิงห์พูดอย่างนั้นเฟื้องถึงกับสำลัก

“พี่ก็พูดไป”

“หรือเอ็งไม่อยากมี” ไฟเท้าขา

“ก็อยาก...” เฟื้องตอบเขิน ๆ

“ถ้าเป็นแบบนี้ก็ส่งไปเรียนที่นู่นคนนึงเป็นไง” สมานเสนอ

“ไม่ดีหรอกพ่อ เผื่อหลานอยากอยู่กับพ่อแม่” สิงห์เอ่ยแต่ใบหน้ากลับเหงาหงอย

“ก็ดีนะพ่อ แต่ต้องดูก่อนเหมือนกันว่าถ้าต้นสนโตขึ้นจะอยากไปไหม ไม่อยากบังคับลูก ส่วนอีกคนนี่ก็ไม่รู้จะมีตอนไหนเหมือนกัน อยากให้ต้นอ้อพักก่อน”

พอพ่อเขาอนุญาตสิงห์ก็ตาเป็นประกายจนมองได้ชัด “อือ เอาแบบนั้นก็ได้”

ทุกคนต่างส่ายหัวแล้วก็หัวเราะให้ลุงที่เห่อหลานผู้นี้ จวบจนกินข้าวกันเสร็จสิงห์ก็อาสาล้างจานกับไฟข้างล่าง

“ดาวสวยเสียจริงวันนี้” ไฟที่ก้มล้างจานจากน้ำสะอาดพูดขึ้นเมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า

สิงห์พยักหน้าแล้วคลี่ยิ้ม “วันนี้มีแต่เรื่องดี ๆ ได้เจอครอบครัวแล้วก็ได้เจอเพื่อน ได้ถ่ายรูปด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ได้ปรึกษากันหลังจากไม่ได้ติดต่อกันนาน มันทำให้หวนนึกถึงวันเก่า ๆ”

“ว่าแล้วก็คิดถึงจริง ๆ นั่นแหละ” ไฟยิ้มแล้วเขยิบไปนั่งใกล้ ๆ คนรัก อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มไปที

“อะไรเนี่ย เดี๋ยวคนเห็น”

“มืดขนาดนี้จะมีใครล่ะ”

“ทางวังนู่นไง”

“ก็ปล่อยไปสิ เขาจะข้ามสะพานมาที่นี่ทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ” ไม่ว่าเปล่ายังกอดเอวแล้วคลอเคลียคอขาว

“อื้อไฟ เข้าห้องก่อนสิ” สิงห์เอียงหลบให้วุ่น

“ตรงนี้ก็ได้บรรยากาศดีนะหรือไปตรงศาลาริมแม่น้ำดีล่ะ— โอ๊ย ๆ” ไฟถึงกับก้มตามมือเรียวที่ดึงหูตัวเอง

“ทะลึ่ง” สิงห์ว่าไปที “เดี๋ยวก็หนีไปนอนอีกห้องซะหรอก ถ้าไม่ฟัง”

ไฟถึงกับรีบถอยห่างทันที เอาแต่ขมักเขม่นนั่งล้างจานอย่างเดียวจนสิงห์อดยิ้มไม่ได้

ทั้งคู่ขึ้นห้องทันทีเมื่อเสร็จหมดแล้ว สิงห์ก็ยังอดไม่ได้จะไปห้องน้องสาวก่อนแล้วหอมหัวหลานชาย บอกฝันดีสามพ่อแม่ลูกเสร็จถึงจะเข้าห้องตัวเอง

พอเห็นคนรักที่นั่งพิงหัวเตียงรอพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย สิงห์มองแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หาวแล้วบิดขี้เกียจคลานขึ้นไปนอนพร้อมหันหลังใส่

“อ่าว” ไฟรอเก้อ “สิงห์”

“นอนกันเถอะ ไฟขับรถมาไกลก็พักซะนะ”

“สิงห์” ไฟเรียกเสียงอ่อนพร้อมกับกอดจากด้านหลัง “วันนี้สิงห์ติดหลานทั้งวันเลย ลืมไฟแล้วหรือไง”

คนฟังได้แต่หัวเราะในใจ “ค่อยกลับสิงห์บุรีแล้วจะให้ เดี๋ยวจะไปรบกวนพ่อกับแม่แล้วก็หลานด้วย” ไฟยังไม่ละเลิกความพยายามสอดมือเข้าไปในเสื้อขาวจนสิงห์ถึงกับสะดุ้ง “เดี๋ยวเถอะไฟ”

“นะสิงห์ ที่รักของไฟ”

สิงห์ไม่รู้จะเขินหรือหัวเราะดี อยู่กันมานานก็อดจะขำไม่ได้กับคำเรียกของคนรัก “ที่รงที่รักอะไร นอนไปเลย”

“นะ ๆ ๆ” ว่าแล้วก็จุ๊บคอหลายทีในตอนที่พูดไปด้วย

“อืม นอนได้แล้วไฟ อื้อ! อย่าดูดสิ เดี๋ยวคนที่กรมก็สงสัยอีกเหมือนวันนั้นหรอก” สิงห์รีบปิดคอตัวเองเพราะวันนั้นไฟก็ทำแบบนี้จนเกิดรอยแดงพอไปทำงานลูกน้องก็ตกใจกันใหญ่นึกว่าหัวหน้าตัวเองโดนอะไรกัด ถึงมันจะมีแค่สองสามรอยแต่ก็เห็นชัดอยู่

“คนใจร้าย” ถ้ามีคนมาเห็นว่าอธิบดีไฟที่โหดจนขึ้นชื่อมาทำหน้างอใส่คนรักแบบนี้ พูดกับใคร ใครเขาก็ไม่เชื่อ

สิงห์ถอนหายใจ ตบหลังมือคนรักเบา ๆ ก่อนจะเอียงคอไปมองหน้าคนด้านหลัง ไฟยอมหลับตาลงแล้วแต่คิ้วนี่สิขมวดอยู่นั่นจนจะเป็นปมอยู่แล้ว “ดูทำตัวเข้า อายุก็ขนาดนี้แล้ว” ถึงจะบ่นแต่ก็หันหน้าเข้าหาแล้วนวดคิ้วให้คลายลง

ดวงตาเรียวคมมองใบหน้าคนรัก สำรวจผิวกร้านแดด หน้าผากกว้าง ขนตายาวที่แผ่ออกมาเวลาหลับ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากอิ่ม หากไฟลืมตาตื่นขึ้นมาสักนิดจะเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่สะท้อนใบหน้าตนเองและมีความลึกซึ้งซ่อนอยู่

มือที่นวดคิ้วให้เริ่มเกลี่ยที่แก้มสาก ก่อนที่ปากบางจะขยับไปจูบที่ริมฝีปาก จูบย้ำ ๆ คล้ายต้องมนตร์ จนไฟได้แต่ขบกรามแน่น

“ไหนบอกให้นอนไง—” พอลืมตาตื่นใจชายหนุ่มก็เต้นแรง ยามที่ดวงตาของสิงห์หวานเยิ้มในเวลาที่มองตน “สิงห์...”

“ไม่นอนแล้ว” เสียงพร่าเอ่ยพูดเพียงเท่านั้นก็โอบรอบคออีกฝ่ายพร้อมกับพรหมจูบด้วยแรงอารมณ์

ไฟที่แทบตั้งตัวไม่ทันนิ่งชะงักไปเพียงครู่ถึงจะตอบรับจูบนั้นและอุ้มอีกฝ่ายให้คร่อมบนตัว

เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันพร้อมกับเสียงจูบที่ดังทั่วห้อง สิงห์ดูดดึงปากคนใต้ล่างบั้นท้ายก็ขยับเขยื้อนไปโดนกับสิ่งอยู่ภายใต้กางเกงของคนรัก มือก็จัดการปลดกระดุมเสื้อ จนไฟได้แต่หัวเราะในลำคอ

“คนบอกให้นอนดันมีอารมณ์ซะเอง” ไฟพูดขึ้นเมื่อสิงห์ลุกขึ้นนั่งเพื่อถอดเสื้อตัวเอง

“เพราะไฟนั่นแหละ”

“ไม่เกี่ยวเลย” ไฟส่ายหัวก่อนจะเป็นคนขึ้นคร่อมเองซุกไซร้ตามลำคอหยอกล้อและต่างคนต่างหัวเราะออกมาก่อนที่สิงห์จะรีบปิดปากตัวเอง “จุ๊ ๆ เบา ๆ เดี๋ยวหลานตื่น”

สิงห์หน้าแดงใช้แขนอีกข้างตีคนรัก “รีบทำ”

“ใจร้อนจังเลย” ไฟยิ้มและถอดเสื้อตัวเองบ้างเผยกล้ามเนื้อที่ผ่านอะไรมามากมาย เมื่อสิงห์เห็นแผลที่ตนเคยยิงไหล่อีกฝ่ายเมื่อวันที่ไฟบุกไปที่บ้านก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอดไม่ได้จะยกมือขึ้นไปลูบแผลเป็นนั้น

เห็นกี่ทีก็อดถามไม่ได้ว่าเจ็บอยู่ไหม แต่ไฟก็ตอบว่าไม่เจ็บ พอขอโทษก็บอกว่าไม่เป็นไรเสมอ แต่นั่นก็เป็นตราบาปสำหรับสิงห์ไปแล้ว

เสื้อผ้าของทั้งคู่ปลดเปลื้องจนหมด สิงห์ต้องกลั้นเสียงไว้ในยามที่นิ้วของคนรักสอดเข้ามา มือขาวปิดปากแน่นในยามที่นิ้วอีกคนขยับ

“เจ็บไหม”

สิงห์ส่ายหน้า มันต้องการมากกว่านั้น “อยากได้ของไฟ”

ไม่ว่าจะกี่ปี ๆ ไฟบอกได้เลยว่าสิงห์น่ะทะลึ่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก ไฟตามใจอีกฝ่ายจับแก่นกายรูดรั้งอยู่สองสามครั้งแล้วค่อย ๆ สอดเข้าไป

“อื้ออ” สิงห์ปิดปากตัวเองแน่นกว่าเดิมแล้วใช้มืออีกข้างจิกไหล่คนด้านบน

“ถ้าเจ็บบอกเลยนะ จะได้หยุด” ไฟยังคงห่วงเรื่องนี้พอใส่จนสุดก็ดึงมือคนรักออกจากปากเพื่อป้อนจูบ

ไฟดูดดึงริมฝีปากพร้อมกับขยับกระแทกอย่างช้า ๆ และเพิ่มความเร็วขึ้นจนเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นเสียยิ่งกว่าเสียงครางของคนสองคน เพราะต่างก็เก็บเสียงตัวเองไม่ให้คนอื่นได้ยิน

สิงห์เอียงหน้าซุกกับหมอนปล่อยเสียงออกมาดังอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ ไฟก้มลงหอมแก้มคนรักก่อนจะก้มตัวอีกจนปากชิดกับหู สิงห์ขนลุกซู่ยามที่ได้ยินเสียงหอบหายใจอีกฝ่ายระยะใกล้ ยิ่งโดนกระแทกจุดสำคัญสิงห์ก็ผละออกจากหมอนแล้วกอดลำคอคนด้านบนไว้แน่น

“อะ อื้อ” สิงห์อดจะปลดปล่อยเสียงไม่ได้ ปากก็ขยับงับหูคนด้านบน ต่างก็แลกเปลี่ยนเสียงหอบด้วยความอดกลั้น

ไฟคำรามในลำคอผละลุกขึ้นยืดตัวตรงพร้อมกับจับขาอีกฝ่ายให้แยกออกยิ่งกว่าเดิม กระแทกกระทั้นจนเตียงเขยื้อนหนัก

สิงห์ได้แต่อดกลั้นเสียงและตอดรัดเท่านั้น อีกนิดก็จะถึงฝั่งฝันและไฟเองก็รู้ดีจึงก้มลงจูบปิดปากเพื่อไม่ให้มีเสียง

“อืม” ไฟคำรามต่ำในขณะที่ปากยังคงพัวพันกับคนใต้ล่างและเอวที่ยังคงขยับโหมรุนแรง

สิงห์ขยุ้มผมอีกฝ่ายแน่นแรงอารมณ์เกือบจะถึงสุดขีด “อื้อ!!” น้ำสีขาวขุ่นพ่นออกมาในที่สุดจนเปื้อนหน้าท้องตัวเองและเพียงไม่นานนักก็ได้รับความอุ่นจากในช่องทางที่ตามมาติด ๆ

ทั้งคู่หอบหายใจแรงถึงจะไม่ได้ร้องเสียงดังแต่ช่วงจังหวะก็มีเสียงเล็ดลอดบ้าง ไหนจะเตียงที่ขยับตามจนกระแทกผนังห้อง บ้านนี้เป็นไม้ยังไงก็ได้ยิน

พอนึกได้อย่างนั้นสิงห์ถึงกับเอามือปิดหน้า หูก็แดงจนไฟที่มองอยู่หัวเราะออกมา

“หัวเราะอะไรเล่า เขาได้ยินกันหมดบ้านแล้วมั้ง” สิงห์ขมวดคิ้วมุ่น

“ไม่ได้ยินหรอก” ไฟว่าพร้อมกับก้มจูบตามลำคอ

“อือ พอแล้วไฟ”

“อีกรอบนะ”

“ไม่ได้ อื้อ! ไฟ! อย่าขยับ อ๊ะ”

สิงห์ลืมนึกไปว่ารอบเดียวสำหรับไฟคงไม่มีวันนั้น


ช่วงเช้านี้ทำให้สิงห์รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นจริง เพราะต้นอ้อน่ะยิ้มแปลก ๆ ให้เขาตั้งแต่เข้าตรู่เลย ไหนจะมากระซิบพูดจนเขาต้องเขกหัวน้องสาวที่เป็นผู้หญิงพูดจาอะไรอย่างนี้ ไอที่พูดว่า ‘ถ้าพี่สิงห์ท้องได้ ป่านนี้มีลูกมีหลานเต็มบ้านแล้ว’ ใครได้ยินจะไม่เขินอายบ้างล่ะ

ให้ตายสิยัยน้องคนนี้




------------------------------------------------------------------------------------

เอาตอนพิเศษมาเสิร์ฟคับผม แล้วก็มีข่าวมาแจ้งว่ามีภาคต่อ ๆ ๆ(แอคโค่)

จะว่าภาคต่อก็ไม่เชิงหรือเปล่า เป็นคู่ที่สองแล้วกัน คิดว่าฟิลกู๊ดนะเรื่องที่สอง(หรือเปล่า) เพราะคู่ไฟสิงห์นี่ปวดตับตั้งแต่ตอนแรกยันเกือบตอนท้าย เลยอยากให้เรื่องนี้หวาน ๆ ไม่อมทุกข์
คิดว่ามีบางคนน่าจะรู้แล้วว่าคู่ไหน เพราะเราเองก็เปรย ๆ มาตั้งแต่ย้อนอดีตของเรื่องนี้ว่าคนไหนจะได้มีแววต่อ
มันจะมีตอนหนึ่งที่สิงห์เพ้อฝันและอยากมีหลานชาย (น่ะ ๆ คนนี้หรือเปล่า) และใครกันที่มีบทเยอะเหมือนกันในภาคย้อนอดีต ทุกคนก็จะได้รู้แล้ว หากเข้าลิงค์นี้ (จิ้มเลย)
ตอนพิเศษยังมีอีกแน่นอนค่ะ รอติดตามได้เลย ยังไงก็ฝากเรื่องที่สองด้วยนะคะ ชื่อเรื่อง 'เฝ้าคำนึง' ตามลิงค์ที่ให้เลยค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2020 00:08:42 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
รอภาคต่อค่ะ เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ เต็มอิ่มกัับตอนพิเศษ เสียดายจันไม่นาตายเลยย รอนะคะ

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทพิเศษ ๑.๒

เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : จัน จันธิพัฒน์





ปี ๒๔๖๖

-          ร้อยตำรวจตรี จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์ (จัน)

ภายในกระท่อมเล็ก ๆ สามแม่ลูกกำลังช่วยกันทำกับข้าวของวันนี้ เด็กหนุ่มในวัยสิบเอ็ดปีกำลังใช้พัดเพื่อก่อไฟต้มข้าว ส่วนทางคนเป็นแม่ก็กำลังหั่นผัก เด็กสาวอีกคนคอยเด็ดใบโหระพา

“จัน ไปตักน้ำให้แม่หน่อยลูก” ดวงหรือเริงรันย์ บอกลูกชายคนโตที่หน้าดำจากการถูกเถ้าถ่าน

“จ้ะแม่” จันตอบรับเสียงใสออกไปหยิบติหมา ตรงไปยังแม่น้ำไกลจากกระท่อมเล็กน้อย ก่อนจะก้มตักน้ำขึ้นมา

“จัน ไอจันโว้ย” เสียงเรียกฝั่งตรงข้ามทำให้เด็กหนุ่มต้องเงยหน้ามอง

“อ่าวลุง มีไรรึ”

“พ่อมึงอยู่ไหมวะ”

“พ่อษาอยู่จ้ะ แต่คุยกับคนอื่นอยู่ยังเข้าไปพบไม่ได้ ลุงมีอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวจันบอกพ่อให้ก็ได้”

ลุงคนนั้นดูคิดหนักก่อนจะรีบวิ่งอ้อมมาทางฝั่งนี้ ใบหน้าตื่นตระหนก มือเหี่ยวย่นจับไหล่ทั้งสองข้างของจันไว้

“ฟังลุงนะไอจัน รีบพาแม่กับน้องออกไปซะ”

จันไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะลุง”

“ตำรวจจะมาจับพ่อมึงไง นี่กูเห็นว่าพ่อมึงคอยช่วยชาวบ้านนะ ถึงมาบอก”

เด็กน้อยเบิกตามือที่ถือติหมาหล่นลง “ตำรวจมาหรือ”

“ใช่สิวะ เร็วรีบพาแม่กับน้องออกไป”

“เดี๋ยวสิลุง ตำรวจจะจับแค่พ่อไม่ใช่หรือ”

“กูไม่รู้เว้ย กูไปแล้ว เดี๋ยวซวยไปด้วย”

“ลุง! ลุงเดี๋ยวก่อน!” จันเริ่มกลัว ใจดวงน้อยเต้นระงมก่อนที่เท้าเล็กจะรีบวิ่งกลับไปทางบ้าน

ปัง!

เท้าทั้งสองหยุดชะงัก เหงื่อกาฬไหลเต็มขมับ เห็นคนในเครื่องแบบอยู่ไกล ๆ กำลังสู้อยู่กับลูกน้องของพ่อ

“แม่! เดือน!” จันนึกถึงแม่กับน้องสาวก็รีบรุดไปที่กระท่อม เห็นทั้งสองกำลังกอดกัน “หนีกันเถอะแม่”

ดวงที่ร้องไห้ส่ายหน้า “จะหนีไปล่ะลูก ถ้าออกไปก็โดนลูกหลงพอดี” จันเม้มปาก เสียงปืนดังอยู่ตลอดจนเด็กน้อยต้องลงไปกอดกับแม่ “ไม่ต้องห่วงนะ พ่อมีพี่ชายเป็นตำรวจ เขาช่วยเราได้”

พอได้ยินอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ผ่านไปสักพักเสียงปืนก็สงบลงแล้ว จันลุกไปดูทางหน้าต่างเห็นพ่ออยู่ไกล ๆ โดยมีตำรวจล้อมรอบอยู่

“มอบตัวซะนะ ษา” ผู้กองอนงค์บอกน้องชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ทั้ง ๆ ที่โดนยิงท้องและแขนไป

“ฆ่าคนอื่นทำไม” จิตษาพูดเสียงเบา ยิ่งมองเห็นลูกน้องล้มตายเกลื่อนก็ได้แต่เจ็บแค้นในใจ

“กูบอกไว้แล้วว่าถ้าไม่ขัดขืนกูจะไม่ทำอะไร และมึงก็คุยกับกูแล้ว!” ผู้กองอนงค์ตะคอกอย่างอดกลั้น น้ำสีใสคลอเพียงเล็กน้อย “กูบอกแล้วว่าจะไม่ฆ่า มึงจะสู้กลับทำไม!”

“ใจเย็นก่อน” ธงจับบ่าคนข้างกาย

“ไม่ใช่พวกมึงเหรอที่มายิงพวกกูก่อน” จิตษาเงยหน้ามองพี่ชายตัวเอง แววตามีทั้งผิดหวัง เสียใจ และแค้นเคืองที่เสียลูกน้องไป

อนงค์ตัวสั่นเทิ้ม หายใจแรงด้วยความคุกรุ่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะมีลูกน้องตนอย่างหมวดทัพ ยิงใส่คนที่นี่ก่อน ทั้ง ๆ ที่สั่งไว้แล้วว่าอย่าเพิ่งทำอะไร มาที่นี่เพื่อมาจับเป็นเท่านั้นและคุยกับจิตษาไว้แล้ว

“กู...” คล้ายน้ำท่วมปาก

“เหอะ” จิตษาเค้นเสียง “มึงสั่งลูกน้องมึงยังไงวะ ถึงฆ่าคนอื่น ฆ่าแม้กระทั่งคนในครอบครัวมัน”

อนงค์กัดฟันกรอด เงยหน้ามองหมวดทัพที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อน มันมองหัวหน้าตนก่อนจะกางมือ “ผมผิดหรือผู้กอง ที่ทำก็แค่ป้องกันตัว พวกมันถือปืนกันให้ว่อนแล้วแบบนี้จะไว้ใจได้ยังไง”

“คนชั่วอย่างมึงไม่มีวันตายดีหรอก” จิตษาหันมองคนด้านหลังอย่างหมวดทัพ

“มึงทำเกินหน้าที่ที่กูสั่ง!” ผู้กองอนงค์จ้องเขม็ง

“เกินหน้าที่? อย่างไรเล่า พวกมันก็โจรทั้งนั้นแถมจับตายได้ ตายไปสักคนสองคนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”

“ไอทัพ!” อนงค์โกรธจัด

“ทัพมึงออกไปก่อน” จ่าธงรีบดับไฟ

ทัพเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มมองจ่าธงอย่างหาเรื่อง “เป็นแค่จ่าริอาจมาสั่งกู”

“ออกไป” อนงค์สั่งแทน มันถึงจะเดินออกไป

“พาลูกกับเมียกูหนีไปด้วย ถ้ามึงยังเห็นใจสักนิด”

“กูพยายามแล้วษา กูอุตส่าห์มากับพี่ธงแค่สองคน แต่ไอทัพ...”

“ช่างมันเถอะ กูไม่โกรธมึงหรอก แต่ช่วยดูแลเมียกับลูกกูด้วย” คำขอร้องครั้งสุดท้ายของจิตษาทำให้คนเป็นพี่ได้แต่กล้ำกลืน

ส่วนทางด้านจันที่ตอนนี้กำลังตกใจกับศพของคนหลายคนที่มักคุ้นดี เด็กน้อยใจสั่นรีบจับแขนแม่ “แม่ พวกน้าถูกฆ่าหมดเลย”

ดวงตกใจ “จริงหรือ! ไหนพี่อนงค์บอกว่าจะไม่ฆ่าไง”

อนงค์... ชื่อนี้จันจำขึ้นใจ คนนี้หรือที่เป็นพี่ชายของพ่อแล้วยังเป็นตำรวจที่ใคร ๆ ก็รู้จัก จันเองครั้งหนึ่งเคยชื่นชมและอยากเป็นตำรวจเหมือนดั่งผู้กองอนงค์ แต่ว่าตอนนี้... เด็กน้อยกลับค่อย ๆ หมดศรัทธาลง

“หนีกันเถอะแม่”

ดวงที่กลัวเช่นกันแต่ก็ห่วงลูกทั้งสองจึงตัดสินใจด้วยตัวเอง เธอกอดลูกสาวพร้อมกับหอม “ไปกับพี่จันนะเดือน”

เดือนในวัยเก้าขวบได้แต่กลั้นเสียงร้องมาตลอด เด็กน้อยส่ายหน้า “แม่ไปด้วย”

“ไม่ได้ลูก แม่จะรออยู่ที่นี่ก่อน” ดวงลูบหัวลูกพร้อมน้ำตาก่อนจะหันทางลูกชายที่เริ่มร้องไก้ออกมา “มานี่มาลูก”

“แม่” จันร้องไห้หนักเข้าไปกอดผู้เป็นแม่

“แม่รักลูกทั้งสองคนมากนะ”

ทั้งสามต่างสะอึกสะอื้นร่ำไห้กันอยู่ภายในกระท่อม ก่อนที่จันจะพาน้องออกไป

“ต้องรอดนะลูก” เธอบอกลูก ๆ ของเธอ “จันดูแลน้องด้วย”

จันพยักหน้าก่อนจะให้น้องขี่หลังและพาออกไป วิ่งมาไกลจนข้ามไปอีกฝั่งก็หันกลับไปมอง เห็นแม่ที่กำลังวิ่งมาทางนี้ จันยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกก็ต้องนิ่งงันเมื่อได้ยินเสียงปืน ใจเด็กน้อยก็คล้ายถูกบีบรัด มองจากตรงนี้จันเห็นร่างแม่กำลังล้มจนตกแม่น้ำไป ต้นไม้บดบังใบหน้าของคนที่ยิง จันมองเห็นเพียงแต่ชุดตำรวจ และคนคนนั้นก็กำลังตรงมาทางนี้

“เดือนกอดพี่แน่น ๆ นะ”

“ฮือออ แม่ จะไปหาแม่ พี่จันช่วยแม่ด้วย” เดือนเบะปากร้องเสียงดัง

“ไม่ได้ เราต้องหนี” จันบอกน้องแล้วจะวิ่งออก

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน เสียงปังดังก้องอยู่ในหู ภาพเบื้องหน้าคล้ายช้าลง เพียงอีกนิดเดียวก็จะพ้นพวกนั้นแล้วแท้ ๆ

“เดือน อย่าหลับนะเดือน” จันบอกน้องเสียงสั่น ไม่มีแม้เสียงตอบรับ ลมหายใจที่โรยรินก็หายไปแล้ว “เดือน..”

จันปากสั่นแขนที่อุ้มน้องเริ่มอ่อนล้าเมื่อร่างไร้วิญญาณเริ่มทิ้งตัว ก่อนที่จะตกใจเมื่อปืนนัดที่สองยิงอีกระลอกเฉียดขาไปเล็กน้อยแต่ก็พอให้เป็นแผล เด็กน้อยร้องลั่นก่อนจะหงายหลังล่วงลงน้ำไปพร้อมกับศพน้อง

ก่อนที่ดวงตาจะจมลง ภาพพร่ามัวก็เหม่อมองไปทางคนยิงสองสามคน ที่ถูกตำรวจคนอื่นจับคว่ำหน้ากับพื้นจนไม่รู้หน้าคาตาว่าเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเห็นหน้าใครบางคนที่จันเคยเห็นมาคุยกับพ่อช่วงหัวค่ำจนจดจำได้ดี โดยที่ไม่รู้เรื่องเด็กน้อยก็คิดไปเสียแล้วว่า ผู้กองอนงค์

เป็นคนที่สั่งฆ่าแม่กับน้อง

“ไอทัพ มึงทำอะไรลงไป! พวกมึงด้วย!” จ่าธงตะคอกเสียงดังกดหัวพวกมันจมดิน ไอทัพคิดอะไรถึงฆ่าเมียจิตษาแล้วยังสั่งตำรวจอีกสองนายยิงเด็กสองคนนั้นอีก

“ผู้กอง!” ลูกน้องคนอื่นเรียกเสียงดังเมื่อผู้กองกระโดดลงน้ำเพื่องมหาร่างเด็กกับน้องสะใภ้ แต่จนแล้วจนเล่า ก็ไม่พบ เพราะน้ำไหลเชี่ยวกรากคงพัดศพไปไหนต่อไหน

“โธ่เว้ย!!!” อนงค์ที่เพิ่งขึ้นบกต่อยพื้นดินด้วยความเจ็บใจ “ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” ได้แต่กล่าวขอโทษซ้ำ ๆ แม้ตำรวจนายอื่นจะกลับแทบหมดแล้ว แต่อนงค์ก็ยังดำน้ำหาลูกและเมียของน้องชาย จนป่านนี้แล้วอนงค์ก็ยังไม่รู้ชื่อของเด็กสองคนนี้ด้วยซ้ำ...

ความผิดนี้ อนงค์จำไม่ลืม

ส่วนจันที่ถูกน้ำพัดไปก็ติดกับผักบุ้งจนคนมาเห็นและส่งโรงพยาบาล เด็กน้อยที่หลับไปนานค่อย ๆ ลืมตาตื่น หันมองรอบกายก็พบกับใครบางคนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ

“อ่า...” เสียงแหบแห้งขานเรียกก่อนที่บุคคลนั้นจะเงยหน้ามองและรีบลุกไปหยิบแก้วน้ำมาให้

“ดื่นน้ำเสียหน่อยนะ” รอยยิ้มอบอุ่นส่งมาให้ พร้อมกับมือที่คอยประคองหัวเด็กน้อย “เอาอีกไหม”

จันส่ายหน้าก่อนจะถูกดึงตัวอย่างเบา ๆ ให้นั่งพิงเตียง ความเจ็บแปลบที่ขากลายเป็นเครื่องช่วยเตือน ความทรงจำอันโหดร้ายก่อนหน้านี้ย้ำเตือนขึ้น ก่อนที่จันจะมือสั่น ดวงตาเบิกโพลง น้ำสีใสไหลออกมา

“แม่ เดือน!” จันร้องเสียงหลงจะลุกออกก็ถูกกดตัวไว้ “ปล่อย! ปล่อยกู!”

จากเด็กที่พูดจาไพเราะ ใจดีกับผู้อื่น เปลี่ยนไปจนน่าใจหาย แขนเล็กปัดป่ายไปมาและใช้กำปั้นน้อย ๆ ทุบตีคนที่กดตัวเองไว้

“ใจเย็น ๆ ก่อนสิ” คนเฝ้ารีบเตือนสติ

“ไม่! ปล่อย!” จันตะคอกเสียงดังจนคนด้านนอกเข้ามาดู

“ท่านรอง มีอะไรครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นและวิ่งเข้ามา ก่อนที่จะช่วยกดเด็กคนนี้

ใช้เวลานานพอควรกว่าเด็กคนนี้จะสงบและเผลอหลับไปด้วยความเพลีย

เพียงไม่นานก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็สงบลงและเงียบนิ่ง แม้ดวงตายังมีน้ำสีใสไหลตลอดเวลา แต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงร้อง

“คนที่เสียไปแล้ว เราคงไปช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มพูดและเช็ดตัวให้ “ฉันน่ะสงสารเธอมากเลยนะ ที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

แม้หูจะฟังแต่กลับไม่ได้หันมอง คนพูดก็ไม่ได้คิดมากอะไร จึงพูดต่อไปอย่างนั้น

“จริง ๆ แล้วฉันเป็นตำรวจนะ”

เพียงเท่านั้นจันก็สนใจทันที ดวงตาฉายแววโกรธแค้นจนคนถูกมองสัมผัสได้และชื่นชอบเสียด้วย

“แต่ฉันมาแค่คุยธุระ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดเมื่อสองวันก่อนหรอก” ใช่แล้ว เด็กคนนี้หลับไปเกือบสองวัน “ได้ข่าวว่าเธอเป็นลูกชายของนายจิตษาใช่ไหม”

จันไม่ตอบและมือเล็กกำกันแน่น คนถามจึงลูบมือนั้นให้คลายลง

“ผู้กองอนงค์... สั่งฆ่าทุกคนที่นั่น และฉันก็ไม่เห็นด้วยเลยสักนิด” ใบหน้าชายหนุ่มเศร้าหมอง “ฉันอยากชดใช้ให้เธอแทนเขานะ เพราะสิ่งที่ผู้กองอนงค์ทำ มันแย่จริง ๆ ทำให้เด็กอย่างเธอต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายขนาดนี้”

จันเริ่มกำมืออีกรอบแต่กำมือของชายตรงหน้าที่สอดเข้ามาจับไว้

“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้มาช่วยเธอ ทั้ง ๆ ที่เป็นตำรวจแท้ ๆ” ชายหนุ่มส่ายหน้า ถอนหายใจ “เธออยากให้ชดใช้อย่างไร บอกฉันได้เลยนะ”

“ฆ่ามัน”

“หื้อ?”

“ฆ่าไออนงค์” จันพูดเสียงแข็งแววตาไม่มีความล้อเล่น

“ฆ่าหรือ...” คนฟังได้แต่ยิ้มในใจแม้ใบหน้านั้นจะทำเป็นคิดหนัก “ฉันทำไม่ได้หรอก ผู้กองอนงค์มีลูกมีเมีย และฉันเองก็เป็นถึงตำรวจตำแหน่งสูง คงทำให้ไม่ได้”

จันได้ยินคำว่าลูกเมียก็พุ่งความสนใจ “มันมีลูกมีเมียด้วยหรือ”

“ใช่ ลูกของผู้กองอายุเท่ากับจันเลยนะ เห็นว่าจะไปเรียนนายร้อยด้วยหากโตอีกนิด”

“เรียนนายร้อย?”

“มันคือโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จันสนใจหรือ”

เด็กน้อยขมวดคิ้ว ถึงแม้จะหมดความศรัทธาแต่ก็อยากไปหาประสบการณ์ตามความอยากรู้อยากเห็น

“ลูกไออนงค์ก็จะไปเรียนใช่ไหม” จันถามย้ำ

“ใช่สิ”

“ถ้าฆ่าลูกกับเมียมัน มันคงรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม”

มุมปากของผู้ใหญ่ยกยิ้มเล็กน้อย “ใช่ รู้สึกเจ็บปวดที่สูญเสีย เหมือนตายทั้งเป็น”

ดวงตาของจันแข็งกร้าว ภายในมีแต่ความกรุ่นโกรธ “กูจะฆ่าพวกมัน จะฆ่าคนในครอบครัวมัน”

“ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น ให้ฉันช่วยได้นะ และฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหยื่อของเธอ”

จันมองคนข้างกาย “เป็นตำรวจจะช่วยได้ยังไง”

“ไม่ต้องห่วง ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอและฉันจะไม่ห้าม นี่มันเรื่องของเธอเองที่จะแก้แค้น ไม่ใช่ฉัน แต่ฉันอยากให้เธอได้เรียนรู้และฝึกฝนตัวเองเสียหน่อย จะได้สู้กับคนอื่นได้”

“ยังไง”

“ไปเรียนนายร้อยไหม ฉันเห็นเธอสนใจ”

จันนิ่งไป ขมวดคิ้ว “ไปได้เหรอ”

“ได้สิ และเธอก็จะได้เจอลูกของผู้กองอนงค์ เธออาจจะใช้เวลาที่เรียนด้วยกันทำให้ลูกของผู้กองไว้ใจก็ได้นะ”

“ทำให้ไว้ใจหรือ”

“ทำให้ไว้ใจมาก ๆ และฆ่าทิ้ง เหมือนที่ผู้กองทำให้นายจิตษาไว้ใจและสั่งฆ่าไง”

ความเป็นจริงทุบหัวอีกครั้ง จันก็โกรธจนตัวสั่น ยังจำได้ดีว่าแม่ตนนั้นไว้ใจอนงค์มากแค่ไหน เนี่ยน่ะเหรอคนที่จะช่วย

“พาไปหน่อย”

“ไปไหน”

“ไปเรียนนายร้อย”

ชายหนุ่มยิ้มบาง ใช้นิ้วเกลี่ยมือเล็กและลูบหัว “เธอต้องเรียนก่อน ฉันจะพาไปอยู่ด้วยนะ ไปไหม” ดูเหมือนจันจะคิดมาก เลยพูดหว่านล้อมอีกนิด “ฉันไม่มีลูกเลย และฉันเห็นเธอตัวคนเดียว ใจฉันก็เจ็บปวด เธออยากมาเป็นลูกชายของฉันไหม”

จันมอง พลันใจก็อุ่นขึ้นมาคล้ายถูกปลอบประโลม “จัน... จันเป็นลูกได้จริงเหรอ” เพราะสูญเสียจึงอยากจะหาที่พักพิง ไม่แปลกที่เด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้จะต้องการความอบอุ่น

“จริงสิ ฉันอยากให้เธอเป็นลูกฉันนะ”

จันเริ่มร้องไห้มือน้อยกำมือของอีกฝ่ายเบาลงแล้ว

“ไหนเรียกฉันว่าพ่อสิ”

“พะ...พ่อ”

“อืมเด็กดี” ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อย “ฉันชื่อวารินนะ ยินดีที่ได้พบกัน”

จันพยักหน้าก่อนจะกอดคนตรงหน้า “พ่อ..พ่อริน”

หมวดทัพที่เพิ่งเข้ามาคุยนั้นดูจะไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ เพราะว่าเด็กคนนี้จำหน้าตนที่ฆ่าแม่กับน้องตัวเองไม่ได้ ทัพได้แต่นึกขัน ขนาดคนฆ่าอยู่ตรงหน้า มันดันโง่ไม่รู้เรื่อง

หลังจากจันไปอยู่กับวาริน ก็เปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘สินกรรม’ จึงชื่อ จันธิพัฒน์ สินกรรม ไม่มีใครรู้ว่าเป็นลูกใคร รู้แค่ว่าเป็นลูกบุญธรรมของรองอธิบดีวาริน

ถ้าเกิดวารินไม่รู้เรื่องว่ามีเด็กถูกยิงมาติดผักบุ้งใกล้กับที่พักของหมวดทัพ บางทีจันอาจจะลอยหายไปไหนไกลจนไม่ต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ก็เป็นได้...


*มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2020 02:39:46 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากด้านบน


ปี ๒๔๗๓

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

“แม่กับน้องกูถูกจับตัวไป” จันพูดขึ้นมือทั้งสองกำกันแน่น ในงานเลี้ยงนี้ดูครึกครื้น ผิดกับใจของจัน

ไฟตาโต ตกใจไม่น้อย “จริงหรือวะ”

“อืม”

“แล้วเจอตัวหรือยัง พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ไฟถามอย่างร้อนรนแต่จันกลับไม่ได้รู้สึกดีด้วยเลย

“ยังไม่เจอ กูไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นไงกันบ้าง ไม่รู้สักนิด” จันกัดฟัน มือกำแน่นจนแดงเถือก

ไฟที่ฟังได้แต่เห็นใจก่อนจะตบบ่าเพื่อน “ไม่เป็นไรนะ สักวันต้องเจอแน่นอน กูสัญญาว่าจะช่วยมึงตามหาแม่กับน้อง”

จันอยากจะพูดว่าไม่ต้องตามหาหรอก เพราะยังไงก็ไม่มีวันเจออีกแล้ว...

“จริง ๆ กูมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อสิงห์ มาเรียนที่นี่ด้วยกัน”

จันเงยหน้าอย่างสนใจ

“สิงห์น่ะมีแม่กับน้องสาวที่ดีมาก ๆ เลย แต่รู้ไหมว่าพ่อสิงห์น่ะ ทำร้ายพวกเขาตลอด”

“ทำไมล่ะ” จันขมวดคิ้ว

“เรื่องนี้ อย่าไปบอกใครนะ กูไว้ใจมึงที่สุดแล้ว และเห็นว่ามึงมีน้องเหมือนกันเลยบอก”

จันพยักหน้าไฟจึงเล่าต่อ “พ่อเพื่อนกูน่ะ เป็นโจร มันชั่วถึงขนาดที่ว่าทำร้ายลูกกับเมียตัวเอง สิงห์เลยมาเรียนนายร้อย เพื่อจะมาจับพ่อตัวเองเนี่ยแหละ”

คนฟังคล้ายกับมีอะไรมาปลดล็อก “แล้วมึงเป็นลูกตำรวจไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีเพื่อนเป็นลูกโจร”

ไฟยิ้มบาง “กูไม่สนหรอกว่าจะเป็นลูกใคร เพราะคนที่ชั่วมีแต่พ่อของสิงห์ และกูเองก็อยากให้สิงห์มีเพื่อน ให้สิงห์ได้ออกไปดูโลกกว้าง อยากพาออกจากขุมนรก อยากจะช่วยแม่กับน้องสิงห์ออกมาจากไอชั่วนั่น”

จันมองด้วยตาสั่นระริกก่อนจะก้มหน้าลง “มึงดูห่วงเพื่อนมึงมากเลย”

“แน่นอนสิ” ไฟยิ้มกว้างก่อนจะกอดไหล่เพื่อน “กูเองก็ห่วงมึงนะจัน ถึงจะเพิ่งมาเป็นเพื่อนกัน แต่มึงก็เป็นเพื่อนที่กูไว้ใจและสนิทใจที่สุดแล้ว กูจะช่วยทั้งมึงและสิงห์เอง แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูก็จะไปกับพวกมึงจนสุดปลายทาง”

คล้ายกับมีอะไรมาผัดผ่านดวงใจที่แห้งเหี่ยวไปนาน ความสุขนั้นเป็นยังไง จันเหมือนจะจำมันได้อีกครั้งหลังจากเจอเพื่อนคนนี้

 

ปี ๒๔๗๘

“ไอไฟตื่นสิวะ” จันตบหน้าเพื่อนตัวเองเบา ๆ แม้ทั้งหมดจะเป็นแผนของตัวเองที่ไฟจะต้องถูกฆ่าวันนี้ แต่ทำไม...

ทำไมถึงเสียใจ

“ไอไฟมึงอย่าทิ้งกูนะเว้ย” น้ำตาของชายหนุ่มคลอ ดวงใจสั่นไหว เขาได้ยินรอบข้างหมด พี่อนัสพูดว่าให้ตามหมอ

ใช่แล้วเขาได้ยิน และเขารู้ว่าต้องทำ แต่ร่างกายกลับไม่ทำเพราะความแค้นที่มีมานาน จันสับสนอยู่ในหัว เขาควรจะต้องสะใจสิที่มันจะตาย ไออนงค์จะได้รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น เขาควรจะต้องดีใจที่แก้แค้นให้ครอบครัวได้

แต่ทำไม...

“หมวดไฟ หมวดจัน” ชาวบ้านที่มาช่วยรีบเข้ามาหา ผ่านไปไม่นานไฟก็ถูกหามส่งโรงพยาบาล

โล่งใจ...

นั่นคือสิ่งที่จันรู้สึกเมื่อเพื่อนพ้นขีดอันตราย

ชายหนุ่มถอนหายใจขอร้องพี่อนัสให้เฝ้าเพื่อนไว้ก่อนส่วนตนก็ออกจากโรงพยาบาลและไปยังบ้านพัก หยิบปืนและกระสุนที่ปลุกเสกไว้ที่ไฟเป็นคนให้

มาถึงผาหินใกล้ทะเลเห็นคนสองคนที่ยืนรออยู่ จันจึงเดินเข้าไปหา

“ไหนเงินวะ กูต้องเสียลูกน้องไปเยอะ กูคิดเพิ่มอีกสองเท่านะเว้ย” เสือเม็ดเอ่ยว่า

จันเค้นเสียง “ทำงานก็พลาด แล้วมึงก็ยังหนีปล่อยให้ลูกน้องจัดการ แบบนี้มันน่าให้ไหม”

เสือเม็ดสบถ “แต่กูก็สั่งให้มันทำแล้ว เพราะงั้นเอาเงินมา”

จันจ้องเขม็ง “ได้” ไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรจันก็หยิบปืนขึ้นมายิงหัวพวกมันสองคนทันที

 

 

ปี ๒๔๘๐

“ดีใจเสียจริงที่พวกนายกลับมาอย่างปลอดภัย โจรใต้เห็นบอกว่าน่ากลัวแต่ก็ยังถูกพวกนายจัดการได้ สมแล้วที่ฉันไว้ใจส่งไปที่นั่น”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” ไฟยืดอกตรง

“ไปพักเสียเถอะ ส่วนหมวดจันฝากเอาแฟ้มคดีเสือเม็ดมาด้วยแล้วกัน”

“ขอรับ” จันผงกหัว เงยหน้ามองพ่อบุญธรรมที่ส่งสายตามาอย่างรู้ความนัย จันก็เดินออกไปพร้อมกับไฟ

“ถ้าเกิดหายขึ้นมานะซวยแน่” ไฟชี้หน้าเพื่อนข้างกาย

“โธ่ มึงก็ไม่ทักกูเรื่องนี้มึงก็ลืมเหมือนกันนั่นแหละ” จันว่าไปทีแต่ไฟก็ยักไหล่และไล่เขาให้ไปเอาแฟ้มคดีของเสือเม็ด

จันวิ่งมาเอาของใช้ส่วนตัวและแฟ้มคดีขึ้นไปยังห้องทำงานของ รองอธิบดี

“สุดท้ายก็พลาดงั้นหรือ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงวารินก็เปิดประเด็นหลังจากที่จันล็อกห้องเรียบร้อย

“ครับ” จันก้มหน้า

“อุตส่าห์ส่งมือดีข้องเจ้าสัวไปช่วยด้วย ก็ถูกจัดการได้ง่าย”

จันไม่ได้ตอบอะไร

“เอาเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่จะทำ จะพลาดก็ไม่แปลก ฉันหวังว่าเธอจะฆ่าหมวดไฟได้นะ เพราะยังไงฉันก็อยากกำจัดเสี้ยนหนามอย่างอนงค์เหมือนกัน”

จันเม้มปาก เขาเพิ่งรู้หลังจากไปอยู่กับพ่อริน ว่าท่านนั้นคบหากับโจรภาคกลางไปทั่ว และคอยช่วยเหลือพวกนั้น จันไม่อยากจะคิดร้ายต่อผู้มีพระคุณที่ทำให้มายืนอยู่ในจุดนี้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าพ่อรินนั้น ช่วยเขาจริง ๆ หรือยากจะใช้เขากัน

 

 

ปี ๒๔๘๑

“ลูกโจรยังไงก็โจร เคยเกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งผิดกฎหมายแต่ยังเข้ารับราชการได้ หึ น่าขันสิ้นดี”

จันที่ฟังอยู่แทบจะทนไม่ไหวเผลอเบรกรถกะทันหัน

“ทำอะไรของมึงวะ!” สารวัตรทัพเดือดดาล จับหัวตัวเองที่โขกเบาะหน้าเต็ม ๆ

“ขอโทษทีครับ พอดีตัวเหี้ยมันตัดหน้าไปเมื่อกี้” จันก้มหัวก่อนจะยักคิ้วให้สิงห์ที่ส่ายหน้าเอือม

“ทีหลังก็ขับดูทางดี ๆ สิวะ”

“ครับสารวัตร!” จันรับสั่งเสียงดังด่อนจะบึ่งรถด้วยความเร็วจนหลังสารวัตรกระแทกกับเบาะ

“มึง!”

จันไม่สนเสียงบ่นของสารวัตรทัพสักนิด เพราะตอนนี้เขาโกรธมันที่ปากมาก ยอมรับเลยว่าสิงห์คล้ายเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลูกโจร มีน้องสาวเหมือนกัน ต้องอยู่กับสิ่งผิดกฎหมายมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับใฝ่ฝันที่จะเป็นตำรวจเหมือนกัน

เวลาเขาอยู่กับสิงห์ เหมือนอยู่กับตัวเอง เข้าใจหัวอกเดียวกัน ถึงแม้ว่าที่เขาจะมาที่นี่ด้วยเพราะไอทัพมันสั่งให้ช่วยใส่ร้ายสิงห์ เขาเกือบจะไม่ทำ แต่พอมารู้ว่าสิงห์กับไฟนั้นมีความพิเศษต่อกันที่มากกว่าเพื่อนกลับต้องคิดใหม่

ความแค้นเขายังมีอยู่และยังไม่หาย เห็นไฟเล่าให้ฟังว่าอนงค์ก็เอ็นดูสิงห์เหมือนลูกคนหนึ่ง จันจึงตอบรับที่จะช่วยทันที

หลังจากหยุดจอดเพื่อดักรถของเสี่ยพันธ์ แต่กลับไม่ถูกจัดการและรถคันนั้นแท้จริงไม่ได้ขนของอะไร แค่เตี๊ยมกันเพื่อใส่ร้ายสิงห์โดยเฉพาะ และคงมีอีกเป็นแน่

จันมองทั้งสองทะเลาะกันเรื่องเดิม ๆ ก่อนจะขึ้นรถไปขับแทน เพราะสารวัตรทำเป็นพูดว่าไม่ไว้ใจให้สิงห์ขับเพราะกลัวเปลี่ยนเส้นทาง

ในระหว่างนั้นก็มีเสียงทะเลาะกันอีกรอบ จันมองทั้งคู่ผ่านกระจกหลังพอเห็นว่าสิงห์และจ่าคมที่มาด้วยเพ่งความสนใจไปแค่สารวัตรทัพ จันที่เห็นรถของเสี่ยพันธ์อยู่ไม่ไกลขับเลี้ยวไปทางซ้าย จันจึงจอดรถลง

“ตามไม่ทันเลยครับ พวกมันไปทางไหนแล้วไม่รู้” ว่าแล้วก็ชี้ทางแยกสองทาง

“ไม่ทันก็กลับ”

“ลองไปทางขวาดู” สิงห์เอ่ยแทรก

“โอ้ ผู้กองรู้ด้วยหรือ” และทั้งคู่ก็ซัดสาดคำพูดใส่กันอีกครั้งจนจันได้แต่ถอนหายใจ

และผ่านไปได้ไม่นาน สิงห์ก็ถูกต้องสงสัยว่าช่วยเหลือพ่อตัวเองขนอาวุธและยา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะอยู่ในแผนทำให้สิงห์ถูกใส่ร้าย แต่ก็ไม่คิดว่าทางกรมภูธรจะทำเรื่องเร็วขนาดนี้ จันที่บอกคนอื่น ๆ ว่ามีธุระที่พระนครแต่แท้จริงอยู่ที่บ้านเสี่ยพันธ์

“จัน...” สิงห์ตกใจมองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ห้องรับแขก “มาที่นี่ทำไม ไหนว่าไปพระนคร”

จันเงยหน้ามองเพื่อนก่อนจะยิ้มบาง “กูก็มาหามึงไง”

“เข้ามาได้ยังไง ไม่ได้ถูกยิงตรงไหนไหม” สิงห์นึกห่วงเพื่อนเลยรีบเข้าไปดู

จันหันหน้าหนีเพื่อนซ่อนความไหวหวั่น เผลอดีใจที่เพื่อนเป็นห่วงจนเกือบจะเลิกสนใจงานของตัวเองจริง ๆ “กูแค่จะมาบอกอะไรมึงสักหน่อยน่ะ”

“บอกอะไรหรือ?”

จันหันมองเพื่อนและยิ้มขัน “กูเองที่เป็นสายตัวจริง”

คนฟังเบิกตา “พูดอะไร กูไม่เล่นนะจัน”

“กูก็พูดจริง ใช่ไหมครับเสี่ยพันธ์”

สิงห์รีบหันหลังไปมองก็พบกับพ่อตนที่เดินยิ้มเข้ามา “ใช่แล้วล่ะ จะให้รู้จักนะ นี่คือจันลูกบุญธรรมของรองวาริน รองวารินเนี่ยหรือที่คนทั่วไปเขาบอกว่าคนคุ้มกะลาหัวให้เสี่ยพันธ์ จันถูกสั่งให้มาช่วยเหลือพ่อในการขนอาวุธ”

“ไม่จริง” สิงห์ส่ายหน้าดวงตาเริ่มแดง “ไม่จริงใช่ไหมจัน”

จันมองตาเพื่อน ก่อนจะเสหน้าหลบ ทำเป็นยิ้มหัวเราะแม้จะเจ็บปวดตามเพื่อนก็ตาม “เรื่องจริง และกูก็เป็นสายให้พ่อรินมาตั้งนานแล้ว”

สิงห์กัดฟันกรอด มือกำแน่นก่อนจะกระชากคอเสื้อเพื่อนแล้วต่อยมัน “มึงทำแบบนี้ทำไม! กูไปทำอะไรให้มึง! มึงเห็นกูเป็นเพื่อนบ้างไหมวะ!!!”

จันได้แต่ยอมถูกเพื่อนต่อยเผื่อว่าจะเป็นการไถ่โทษที่หลอก

“พอใจมึงหรือยัง! กูจะถูกพักราชการแล้ว กูบากบั่นเพื่อยืนในจุดนี้มาตั้งนาน มันพังไปแล้ว! มึงเห็นไหมจัน! กูก็แค่ลูกโจรที่แม่งยังเป็นโจรอยู่วันยันค่ำ! พอใจมึงรึยัง!!!” สิงห์ปากระดาษราชการใส่หน้าเพื่อน ก่อนจะร้องไห้ออกมา

จันกัดปากจนเลือดซิบ ดวงตาคลอด้วยน้ำแต่ก็ทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ต่างจากความรู้สึกที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน

จันต้องพักรักษาตัวเองเกือบเดือนไม่อย่างนั้นคนคงสงสัยว่าไปต่อยกับใครมา

 

 

ปี ๒๔๘๒

ตลอดปีที่ผ่านมาจันพยายามจะฆ่าฤดีแม่ของไฟแต่กลับไม่เคยทำได้ ทุกครั้งที่ตั้งใจจะฆ่าพอทำจริงกลับพลาดทุกครั้งเพราะความลังเลของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เลิกหมายหัวเพื่อนสนิทอย่างไฟ เขารู้ตัวดีแน่ว่าฆ่าไฟไม่ได้อีกแล้ว

ความอยากแก้แค้นก็ค่อย ๆ เริ่มหายไปเมื่อเห็นเพื่อนต้องมาบาดหมางกัน ยิ่งเห็นว่าไฟเหมือนคนใจลอยไม่มีสมาธิทำงานก็ดันห่วงขึ้นมา

มันทำให้เขาไม่รู้จะอยู่ต่อไปอีกทำไม อยากจะหายไป อยากจะไปหาครอบครัวตัวเองใจจะขาด

อยากจะหลับไปตลอดกาล...

แต่เขาคงไม่กล้ายิงตัวเองขนาดนั้น อย่างน้อยเขาก็อยากให้สิงห์เป็นคนทำ ถึงมันจะทำให้สิงห์ต้องแบกรับอะไร แต่มีสิงห์แค่คนเดียวที่เข้าใจเขาดียิ่งกว่าใคร ว่าการมีชีวิตของเขาในตอนนี้มันหนักหนาสำหรับเขามาก

จันถอนหายใจดวงตาปริ่มน้ำในตอนที่เขียนความจริงทั้งหมดของวารินและโจรภาคกลาง บอกความจริงเรื่องที่ตัวเองเข้าไปเป็นสายให้

คนที่หลอกใช้เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้เขามีที่พักพิงยามที่ไม่เหลือใคร จันทั้งรักทั้งเกลียดผู้ชายคนนี้

 

‘กระผม ร้อยตำรวจตรี จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์ ขอบอกความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับรองอธิบดีวาริน นายวารินนั้นได้ร่วมมือกับโจรทั่วทั้งภาคกลางในการส่งของผิดกฎหมายและยังปลอมแปลงเอกสารโดยสั่งเสมียนบัญชีให้ทำลายหลักฐานการยักยอกของกลางในคลัง รวมถึงส่งกระผมนายจันให้ไปเป็นสายในกรมตำรวจเพื่อช่วยเหลือเจ้าสัวเหวย เสี่ยพันธ์และหลวงศรีรวีชัย โจรร้ายของจังหวัดสิงห์บุรี กระผมในฐานะตำรวจคนหนึ่ง ขอยอมมอบตัวและเปิดเผยความจริงเรื่องนี้ให้กับสาธารณชนได้รู้ความชั่วช้าของนายวาริน และขอให้ทุกท่านได้รับทราบว่า ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโจรภาคกลางแต่อย่างใด ผู้กองสิงห์บริสุทธิ์คือเรื่องจริง และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตำรวจมาตลอด ได้โปรดทุกท่านจงเปิดใจรับผู้กองสิงห์ใหม่ ด้วยความเคารพ จาก ร้อยตำรวจตรี จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์’

 

จันเซ็นชื่อและปั๊มนิ้วมือตัวเองก่อนจะส่งให้ชื่อ รองอนงค์ คนที่เขาแค้นมาตลอด

ไม่รู้ว่าจดหมายนี้จะส่งไปถึงตอนไหนเพราะเขาบอกกับทนายว่าให้เปิดอีกทีหลังจากเขาตายและส่งให้อัยการในวันที่วารินต้องถูกขึ้นศาล รวมถึงเปิดเผยต่อหน้านักข่าวให้ลงหนังสือพิมพ์

เขาก็จะได้ช่วยเหลือเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตแล้ว...



พ่ายโลกันตร์




ปี ๒๔๙๓

สิงห์หัวเราะออกมาเมื่อกำลังมองดูรูปภาพเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยเด็ก และที่โรงเรียนนายร้อย รวมถึงกรมตำรวจที่ไปปฏิบัติงาน จนไฟที่เพิ่งกลับจากทำงานเข้ามานั่งข้างกายพร้อมกับหยิบรูปขึ้นมาดู

“สมัยไหนเนี่ย” ไฟนึกขัน เปิดรูปดูเรื่อย ๆ

“คิดถึงสมัยก่อนเนอะ” สิงห์ยิ้มกับคนรัก มองรูปหลากหลายวัย

“นั่นสินะ” ไฟยิ้มบาง เปิดเห็นรูปเพื่อนสนิทที่ลาลับไปแล้วก็ได้แต่ใช้นิ้วเกลี่ยเบา ๆ “คิดถึงมันจัง”

สิงห์มองตาม “ใช่ คิดถึงมันมากเลย”

“ตอนนี้คงอยู่กับครอบครัวแล้วมั้ง”

“อยู่กับพวกเขาบนฟ้า คงมีความสุขไปแล้วล่ะ” สิงห์ยิ้มแม้ใจจะเจ็บปวด เพราะมันคือตราบาปไปชั่วชีวิต และเขาก็ไม่เคยลืมเลือนว่าเขาทำพลาดอะไรไป เพราะอย่างนั้นเขาจึงคิดตลอดว่าถ้าจันยังอยู่มันก็คงจะดี แต่ก็ไม่กล้าพูดกับไฟเพราะรู้ว่าเจ็บปวดไม่แพ้กัน ต่างคนต่างรู้แต่ก็ไม่พูดออกมา จนตอนนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่าหากจันไม่ตัดสินใจจะจบชีวิต บางทีตอนนี้อาจจะมีลูกมีเมีย พบเจอกัน ดื่มเหล้าเมามาย คุยเรื่องเก่า ๆ และกอดคอกันไปจนแก่จนเฒ่า

แต่ทั้งหมดก็สายไปเสียแล้ว

สิงห์ได้แต่นึกคิดและบอกตัวเองเสมอว่า ถ้าเจอใครคิดจะจบชีวิตอย่างจัน เขาก็อยากจะอยู่ข้างกายและให้กำลังใจอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง แม้ไม่สนิทหรือไม่เคยคุย ก็อยากให้พวกเขารู้ไว้ว่า ชีวิตของคุณมีค่าเสมอ ได้โปรดใช้ชีวิตอยู่ต่อไป

ดูกันอยู่นานสิงห์ก็หยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาเป็นรูปที่พวกเขาถ่ายกับต้นสนพร้อมกับนนท์ด้วยเมื่อปีที่แล้ว

แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อรูปมันมีอะไรแปลก ๆ “รูปเสียหรือ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย”

ไฟก้มมองก่อนจะตกใจ “จริงด้วย ทำไมมันเป็นสีขาว ๆ แบบนี้ล่ะ” ไฟลองเช็ดรูปก็พบว่ามันไม่เกี่ยวกับเปื้อนอะไร

“ดันมาเป็นตรงที่ไฟกำลังเหมือนโอบจันด้วยนะ” พอสิงห์พูดคำนั้นจบ ไฟก็นิ่งไปก่อนจะหยิบรูปตั้งแต่สมัยเรียนนายร้อยที่เขายืนกันสี่คนเหมือนกับปัจจุบันเป๊ะ ๆ

สิงห์ที่มองดูถึงกับขนลุกวาบไปทั้งตัว ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่ง

“ไฟทำเป็นโอบจัน เหมือนรูปเก่าอันนี้” ไฟว่าเสียงเบา

สิงห์กลืนน้ำลาย “พรุ่งนี้เช้าไปทำบุญกันไหม”

“ไปสิ” ไฟตอบทันที

พอรุ่งเช้าทั้งคู่ก็มาทำบุญ หลวงพ่ออนงค์ยังไม่ศึกและกำลังนั่งให้พรอยู่หลังจากถวายของเสร็จแล้ว

“เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ”

ไฟพนมมือตอบ “สบายดีขอรับหลวงพ่อ”

“อืมดีแล้ว ว่าแต่ทำไมถึงมาทำบุญให้โยมจันเยอะเพียงนี้” หลวงพ่อถาม เพราะของที่เอามาถวายเยอะเป็นพิเศษ ถึงจะมาทุกเช้าแต่ก็แค่ถวายอาหาร แต่นี่ทั้งข้าวของเครื่องใช้

“คือ” สิงห์ยิ้มแหย “พอดีเมื่อวานกระผมกับไฟดูรูปกันอยู่เลยคิดว่าจันมาทักทายน่ะขอรับ”

“นี่ขอรับ” ไฟยื่นรูปให้ดูทั้งเก่าและใหม่ “รูปปัจจุบันนี้กระผมทำเป็นโอบจันเหมือนรูปสมัยก่อน ตอนแรกที่ได้รูปมันไม่มีอะไรเลยขอรับ แต่เมื่อวานกระผมและสิงห์พูดถึงจัน พอดูรูปนี้อีกทีก็มีอะไรขาว ๆ อยู่ในรูปแล้ว”

“มันจะงมงายเกินไปหรือเปล่าขอรับ” สิงห์ขมวดคิ้ว เขาไม่อยากงมงายกันแต่ก็อดคิดแบบนี้ไม่ได้

หลวงพ่อมองพลางยิ้มบาง “เขาแค่มาลา” พูดเสร็จก็เงยหน้ามองตรงไปข้างหลังของทั้งคู่ที่หน้าศาลาวัด “มาลาเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้น”

พอได้ยินอย่างนั้นทั้งคู่ก็ขนลุกขึ้นอีกรอบแต่กลับทำให้สบายใจขึ้นและน้ำตาคลอขึ้นมา

“ต่อไปนี้ก็อย่าโทษตัวเองที่เคยทำผิดพลาดอะไรในอดีต เรื่องมันผ่านมานานแล้ว อยู่กับปัจจุบันและใช้ชีวิตต่ออย่างมีความสุขแทนคนที่จากไป”

“ขอรับหลวงพ่อ” สิงห์กับไฟยิ้มทั้งน้ำตาพูดบอกลาเพื่อนในใจ

คุยอะไรกันอยู่นานทั้งไฟและสิงห์ก็ขอตัวกลับ ส่วนพระอนงค์ก็เดินไปริมน้ำติดกับวัด หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา เป็นจดหมายที่ส่งมาให้หลังจากทำการคุยกับอัยการเรื่องส่งวารินไปที่ศาล

พระอนงค์ยิ้มบางพลางลูบจดหมายอย่างเบามือ มองชื่อ จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์ ที่เป็นอีกฉบับไว้ให้สำหรับอนงค์โดยเฉพาะ

‘ถึงลุงอนงค์ กระผมจันลูกของพ่อจิตษา เรื่องอดีตผมยังแค้นลุงอยู่แต่ผมก็ไม่อยากจมอยู่แต่กับความแค้นแล้ว ผมหวังว่าลุงจะเป็นพ่อที่ดีของไฟ อย่าทำมันเสียใจ ดูแลให้ดี ๆ เข้าอกเข้าใจลูก และปกป้องด้วยชีวิต ตอนนี้ผมไม่โกรธอะไรลุงแล้ว น้องสาวของผมชื่อเดือน ชื่อจริง เดือนดารา เศิกสรรค์ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ฝากลุงทำหลุมศพให้น้องสาวผมหน่อย และขอโทษที่เคยคิดจะฆ่าครอบครัวของลุง ขอให้ลุงมีความสุข อย่าได้โทษตัวเอง ด้วยรัก จาก จันธิพัฒน์ เศิกสรรค์’

สุดท้ายก็ได้รู้ชื่อของหลานตัวเองเสียที

 


------------------------------------------------------------------------------

 

น้ำตาไหลเป็นทางเลยทีเดียวกับตอนนี้ แต่ละช่วงปีคืออยู่ในบทย้อนอดีตทั้งนั้น ซึ่งปูเรื่องมาทางนี้แล้วค่ะ

แล้วก็ดีใจที่ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวพวกนี้ เราคิดไว้ว่าจะต้องมีเปิดเผยเรื่องของจันด้วย ก็เลยเอาเป็นตอนพิเศษแทน

สำหรับใครที่สงสัยว่าปีพวกนี้คือบทที่เท่าไหร่บ้าง เผื่ออยากจับจุดที่ตัวเองพลาดไป55555 เราจะมาบอกให้ทราบกันค่ะ

-          ปี ๒๔๖๖ ไม่มีเกิดขึ้นในย้อนอดีต แต่ปีถัดมาคือปี ๒๔๖๗ เป็นปีที่สิงห์กับไฟเจอกันครั้งแรก(บทที่ ๓ ย้อนวัย : พบกันครั้งแรก) ซึ่งในปี ๒๔๖๗ อาจารย์ประจำชั้นของสิงห์และไฟได้มีการพูดถึงโจรชื่อดังอย่างไอษา ที่ผู้กองอนงค์จับได้จนเป็นที่เลื่องลือ แท้จริงแล้วก็คือพ่อของจันหรือน้องชายต่างสายเลือดของอนงค์นั่นเองค่ะ และได้เปิดเผยในบทที่ ๑๙ : เรื่องราวของจัน ไปแล้ว

-          ปี ๒๔๗๓ คือปีเดียวกับ บทที่ ๗ ย้อนวัย : โรงเรียนนายร้อยฯ ซึ่งก่อนหน้าที่ไฟจะแนะนำจันให้รู้จักกับสิงห์ก็ได้คุยกันเรื่องสิงห์ ตามที่เปิดเผยเรื่องราวออกมา

“ใช่เพื่อนที่มึงบอกว่าเข้ามาเรียนด้วยกันหรือเปล่าวะ”

“เออคนนั้นแหละ”

“ไว้ชวนไปทำความรู้จักหน่อยดิ” นี่คือประโยคที่คุยกันของสองคนนี้ตอนเปิดบทที่ ๗  เพราะไฟเคยเล่าให้จันฟังเรื่องสิงห์ไปแล้วนั่นเองค่ะ

-          ปี ๒๔๗๘ คือปีเดียวกับ บทที่ ๙ ย้อนวัย : ต่างแยกย้าย ช่วงเกือบท้าย ๆ บท จะเป็นปีที่ไฟกับจันถูกรองอธิบดีวารินสั่งให้ไปประจำที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งจันตั้งใจจะฆ่าไฟโดยจ้างเสือเม็ดและลูกน้องเจ้าสัวอีกคนให้ไปอยู่ภาคใต้ แต่ก็พลาด และในย้อนวัยนั้น ตามบทบอกว่าเสือเม็ดและลูกน้องถูกฆ่าตายปริศนา ซึ่งแท้จริงจันฆ่าปิดปากนั่นเอง และถูกเปิดเผยว่าจันจ้างฆ่าใน บทที่ ๒๐ : ความจริง จ่าธงเป็นคนบอกนั่นเองค่ะ

-          ปี ๒๔๘๐ คือปีเดียวกับ บทที่ ๑๐ ย้อนวัย : ให้ทั้งชีวิต ถ้าใครตงิดใจเล็กน้อยก็จะเห็นว่า วารินสั่งให้จันเอาแฟ้มคดีมาให้ ทั้ง ๆ ที่ไฟถือว่าต้องมาคุยเรื่องนี้ด้วยเพราะงานก็เป็นของไฟเหมือนกันแต่กลับพูดแค่จันเหมือนจะคุยกันแค่สองคน เราจึงเอามาเปิดเผยในบทพิเศษนี้ว่าคุยอะไรกันและจันคิดอะไรอยู่ค่ะ

-          ปี ๒๔๘๑ คือปีเดียวกับ บทที่ ๑๑ ย้อนวัย : กลับบ้านเกิด เป็นช่วงที่จันมาประจำได้หลายเดือนและอยู่ในชื่อ สามบุรุษแห่งอ้อยขวาง แต่ว่าตอนนั้นทัพกับสิงห์มีปัญหากัน จันที่ถูกวารินส่งตัวมาช่วยเสี่ยพันธ์ก็เลยเข้าร่วมด้วย และในปีเดียวกันนั้น แต่ข้ามบทมาเป็นบทที่ ๑๒ ย้อนวัย : ชีวิตที่จบสิ้น สิงห์ก็ถูกสงสัยและจะถูกพักราชการ ในระหว่างที่สิงห์กำลังตามหาความจริง จันก็ได้เปิดเผยว่าตัวเองเป็นสายที่แท้จริง เพราะอย่างนั้นสิงห์จึงไม่อยากพบหน้าไฟ เพราะความจริงที่จันช่วยพ่อตัวเองเกินที่จะทำใจรับค่ะ

-          ปี ๒๔๘๒ คือปีเดียวกับ บทที่ ๑๔ ย้อนวัยสุดท้าย : ฆ่าเพื่อน เป็นปีที่จันพยายามจะทำลายครอบครัวอนงค์แต่ก็ทำไม่สำเร็จด้วยความลังเลค่ะ เพราะงั้นจึงอยากจะบอกความจริงและเอาหลักฐานให้กับรองอนงค์ ซึ่งบางคนอาจจะไม่สังเกต ในบทที่ ๒๔ : เริ่มแผนการ ตอนที่นนท์กับสารวัตรอิฐไปคุมตัวรองวาริน ได้มีการพูดถึงหลักฐานและลายเซ็นรวมถึงรอยนิ้วมือที่ปั๊มลงกระดาษ ซึ่งอยู่ในประโยคและคำอธิบายนี้ค่ะ

“เราตรวจกันมาแล้วว่าไม่ใช่เอกสารที่ปลอมแปลง ทุกอย่างล้วนเป็นของจริง และคุณเคยส่งลูกชายบุญธรรมอย่างหมวดจันเพื่อเข้าไปเป็นหนอนบ่อนไส้ในข้าราชการให้กับทางเสี่ยพันธ์และหลวงศรีรวีชัย” ว่าแล้วก็ชูจดหมายฉบับหนึ่งกางออกก็จะเห็นตรารอยนิ้วมือประทับกับชื่อที่เซ็น “หมวดจันได้ยอมรับและส่งจดหมายนี้ให้กับทางรองอนงค์ ว่าคุณร่วมมือกับโจรภาคกลางจริง ๆ”


ยาวมากก จริง ๆ ไม่รู้ว่ามีนักอ่านท่านใดสังเกตรายละเอียดที่เราใส่ไว้ไหม แต่ยังไงเราก็อยากเปิดเผยให้ได้รู้กันกับความจริงนี้

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ตอนพิเศษยังไม่หมดเลย เพราะเราพยายามเก็บรายละเอียดที่ตัวเองใส่ลงไปในเรื่อง 55555

รอติดตามตอนพิเศษได้อีกนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2020 02:53:12 โดย IMYean. »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เฮ้ยย!!สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบ ผูกเรื่องราวได้ดี ดีใจนะที่กลับมารักกันไปไหนมาไหนด้วยกันอีก ก็เพราะต่างรักกันมากนี้แหละถึงผ่านอุปสรรคมาได้ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านกัน อ่านไปลุ้นไปสืบไปหาเบาะแส กว่าจะรู้อะไรเป็นอะไร มันส์ดีค่ะ 55555  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทพิเศษ ๑.๓

เรื่องราวที่ไม่ได้เปิดเผย : สิงห์ สหัส




 
๖ พฤษภาคม ปี ๒๔๘๑

-          ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช (สิงห์)

ณ อยุธยา กรมตำรวจภูธร เขต ๑


“ด้วย ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ตำแหน่งรองผู้กำกับการจังหวัดสิงห์บุรี ถูกต้องสงสัยว่าได้ช่วยเหลือบิดาในการค้าอาวุธสงครามและยาฝิ่น กรมตำรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช ได้เป็นบุคคลที่น่าสงสัยและอาจร่วมมือกับบิดาของตนเอง จึงเห็นควรลงโทษให้พักราชการอย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” สิ้นเสียงพูดก้องทั่วห้องเอกสารก็ถูกตราประทับเหมือนกับเหล็กมาทุบกลางอก

สิงห์ที่หายหน้าไปนานออกมารับโทษในวันนี้อย่างเงียบ ๆ อดีตผู้กองหนุ่มตะเบ๊ะให้กับคนที่เคยเอ็นดูและดูแลตนมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเดียวกับที่อ่านเอกสารและลงตราประทับในการให้เขาพักราชการ

แววตานั้นที่เคยอ่อนโยนกลับเรียบนิ่ง สิงห์เข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นโจรเต็มตัวต่อสายตาลุงอนงค์เสียแล้ว

พอเดินออกมาข้างนอกก็เจอกับนนท์ แต่กลับเหนื่อยเหลือเกินที่จะพูด เหนื่อยที่จะยืนหยัดต่อไป

“ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ได้”

“มันเกิดไปแล้วและฉันก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง”

เพราะจัน เพื่อนสนิทของพวกเรากำลังหักหลังอยู่ เขาไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับใคร สิ่งที่เขาตั้งใจทำมาทั้งหมดมันสูญเปล่า ไม่รู้เลยว่าทำไมจันต้องทำแบบนี้ ก่อนมาก็เอาเอกสารพักราชการปาใส่หน้าเพื่อนไปทีด้วยความโมโห

เขาจะบอกกับทุกคนยังไง ว่าคนที่เป็นสายให้พ่อเขาจริง ๆ คือไอจัน

“มันต้องแก้ได้สิ” นนท์ว่าพลางยกมือให้ใครบางคน

สิงห์หันไปมองก่อนจะเบิกตาโต “ไฟ..” สิงห์ทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากเห็นหน้าไฟเพราะกลัวว่าจะเผลอบอกไปแล้วไฟจะไปหาจันและอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

“สิงห์มาอยู่กับไฟนะ ไม่ต้องห่วง ไฟจะไม่ให้ใครมาทำอะไรสิงห์” ไฟลูบหัวคนรักที่ตัวสั่นจากการร้องไห้อยากจะกอดแต่ก็ถูกดันออก

“พอแล้ว... หยุด” สิงห์พูดเสียงสั่น

“สิงห์เชื่อไฟนะ ไฟปกป้องสิงห์ได้” ไฟพยายามจะเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดมือออก

“บอกให้หยุดไง!” สิงห์ตะคอกจนไฟนิ่งค้างไป “เลิกยุ่งกับสิงห์เถอะ ตอนนี้สิงห์เป็นโจรเต็มตัวแล้ว”

ใช่แล้ว ต่อให้พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว ลุงอนงค์ก็คงจะเกลียดเขา ผิดหวังในตัวเขา

“อย่าพูดอย่างนั้นได้ไหม” ไฟจะเอื้อมมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้แต่ก็ถูกปัดอีกครั้ง “สิงห์...”

ขอโทษ สิงห์ได้แต่ขอโทษที่ต้องทำอย่างนี้

“มาเอะอะเสียงดังอะไรกันตรงนี้ ไม่อายคนหรือไง” ลุงอนงค์เดินออกมายิ่งทำให้สิงห์ไม่กล้าสู้หน้า “นึกว่าจะดีใจที่ได้ออกจากการเป็นตำรวจไปแล้วซะอีก” สิงห์กัดปากแน่นไม่คิดเลยว่าคนที่เอ็นดูตนจะพูดคำนี้ออกมา

สองพ่อลูกทะเลาะกันเสียงดัง ซัดสาดคำที่ไม่เห็นแก่ใจของอีกฝ่าย สิงห์อึดอัดจนไม่อยากอยู่ตรงนี้ ยิ่งเห็นไฟยืนกราดปกป้องตนเองก็เหมือนถูกบดขยี้ซ้ำ ๆ ว่า ต่อให้ทำดีและยืนหยัดมากแค่ไหนก็ล้มเหลวลงได้

“กูเป็นคนทำให้มึงเกิดมา รักมึง ห่วงมึงมาตลอด มึงกลับปากพล่อยชี้หน้าพ่อตัวเองเพราะคนอื่นหรือไงวะไอไฟ!” อนงค์กำมือแน่นจนสั่นไปหมด “กูผิดหวังในตัวมึงมากนะ กับครอบครัวตัวเองไม่เห็นหัวเลยหรือไง!”

ไฟหันหนีน้ำสีใสไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะหลับตากลั้นใจพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจบอกตอนนี้ได้ “ขอบคุณที่ทำให้ผมเกิดมา ผมจะตอบแทนทุกอย่างอยู่แล้วไม่ต้องห่วง และผมรักพ่อกับแม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเรียนเรื่องงานผมยอมพ่อได้เสมอ แต่ยกเว้นเรื่องเดียว... แค่เรื่องเดียวเท่านั้น” ไฟหันมองพ่อตนเอง “ขอผมรักคนคนนี้ต่อไปได้ไหมพ่อ ผมขอร้อง”

อนงค์จ้องลูกตัวเองไม่วางตาแล้วผันหน้าไปมองคนข้างหลังที่ยังคงก้มหน้าร้องไห้ “สิงห์ไปคุยกับฉันที่ห้อง แค่คนเดียว คนอื่นห้ามมา”

“พ่อ” ไฟเรียกเสียงอ่อนอย่างท้อใจ

“นนท์ ฝากด้วย” อนงค์สั่งลูกน้องตนเองก่อนจะเดินออกไปก่อน

“สิงห์” ไฟรีบจับแขนคนรักที่กำลังเดินตามพ่อไป

“ขอโทษ แต่ปล่อยสิงห์เถอะนะ” สิงห์ร้องขอพอมือคนรักคลายลงก็รีบเดินออกไป

“สิงห์!”

สิงห์เม้มปากกลั้นเสียงร้องไห้ก่อนจะเดินตามลุงอนงค์ไป เข้ามายังในกรมตำรวจก่อนจะเปลี่ยนไปยังห้องหนึ่งที่น่าจะเป็นห้องประชุมของคนที่นี่ ก่อนที่อนงค์จะหยุดแล้วหันมาหาดวงตาฉายแววเศร้า

“ลุงขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่”

ดวงตาของสิงห์เบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้เหมือนเกลียดกันเหมือนดั่งตอนที่อ่านใบพักราชการ

“ไม่คิดเลยว่าไฟมันจะรักสิงห์มากขนาดนี้” ลุงอนงค์ถอนหายใจ

“หมายความว่าไงครับลุง ทำไม...”

“เมื่อกี้ลุงใส่อารมณ์ไปหน่อย แต่คงบอกว่ามันเป็นความรู้สึกจริง ๆ แต่เพราะลุงมีเหตุผลนะ ที่รู้สึกอย่างนั้น”

“เพราะอะไรหรือครับ”

“คงรู้แล้วใช่ไหมว่าใครที่มันอยู่เบื้องหลังจริง ๆ”

สิงห์เงียบไปก่อนจะตอบเสียงเบา “ครับ”

“รู้ไหมว่ามันเข้ามาเป็นสายตั้งแต่ตอนเรียนนายร้อย”

“จริงหรือครับ” เรื่องนี้ไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมถึงดูไม่ออกเลยล่ะ

“มันพยายามจะฆ่าไฟตั้งแต่ที่ไปประจำด้วยกัน คนว่าจ้างเสือเม็ดก็ไอจัน” อนงค์ว่าดวงตาคุกรุ่น

สิงห์เหมือนถูกความจริงกระแทกหน้า ตอนนี้ทุกอย่างเลวร้ายไปหมด ถ้าไฟรู้ไฟจะทำยังไงกับจัน

“พวกมันคงจะอยากให้สิงห์ออกจากราชการสินะ คงเพราะไอทัพไม่ชอบสิงห์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไอพันธ์ก็คงจะให้ลูกชายออกไปดูงานแทนการเป็นตำรวจ” อนงค์ว่าเสียงเรียบก่อนจะเอามือทาบกับประตูไว้ “แต่ที่สิงห์ออกราชการมันเป็นเพราะลุงกับท่านอธิบดีตัดสินกันเอง เวลานี้คงเหมาะสมที่สุดแล้ว ให้พวกมันคิดว่าสิงห์ออกเพราะไอทัพส่งเรื่อง”

พูดเสร็จก็เปิดประตูเข้าไปด้านใน ก่อนที่สิงห์จะตกใจเมื่อเห็นภพและเกื้อลูกน้องของพ่ออยู่ที่นี่ รวมถึงจ่าธงและท่านอธิบดีหลวงศักดิ์กมล

“สองคนนี้เป็นลูกน้องลุง และเป็นตำรวจที่ไปเป็นสายให้กับทางเรา” อนงค์อธิบาย “ที่นี่คือห้องประชุมสำหรับทีมลับ”

“ภพ เกื้อ” สิงห์มองทางสองคนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ผมร้อยตำรวจตรี ศิริกันต์ หรือหมวดภพ”

“ผมจ่าสิบเอก จ่าเกื้อครับผม” พอทั้งคู่แนะนำตัวทำเอาสิงห์ไปต่อไม่ถูก

“ผมก็ว่าพวกคุณคงรู้จักกันและมีเหตุผลบางอย่างที่ไปเป็นลูกน้องพ่อผม แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นตำรวจทั้งคู่”

“ขอโทษนะครับที่ต้องปิดบัง” หมวดภพว่า

“ไม่เป็นไรครับ ยินดีเสียอีกที่คนใกล้ตัวไม่ได้เป็นโจรไปซะหมด” สิงห์ยิ้มขึ้นได้ก่อนจะหันมองจ่าธง “จ่าธงก็รู้หรือครับ”

“เพิ่งรู้เมื่อวันที่ผู้กองบอกถูกพักราชการนั่นแหละ เลยมาถามท่านรองอนงค์จึงรู้ความจริง” จ่าธงบอกและพูดเป็นทางการแทนเพราะท่านอธิบดีอยู่

“ท่านอธิบดี” สิงห์ก้มหัวให้

“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ ที่ทำอะไรโดยไม่บอกก่อน” หลวงศักดิ์กมลว่า

“ไม่เป็นไรขอรับ กระผมยินดีเสมอหากท่านยังเห็นว่ากระผมพร้อมจะเป็นตำรวจ”

“เธอพร้อมมานานแล้ว และฉันยินดีที่จะให้งานใหญ่นี้กับเธอ” หลวงศักดิ์กมลเค้นยิ้ม “ต่อไปนี้ฉันจะขอคืนยศเดิมให้เธอและขอสั่งการให้ร้อยตำรวจเอก สหัส อัครเดช เป็นหัวหน้าปฏิบัติการกวาดล้างโจรภาคกลางและทำหน้าที่สายลับให้กับทางรองอนงค์ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”

สิงห์เหมือนเห็นแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง เขาตะเบ๊ะรับทันที “รับทราบครับ!”

“เอาล่ะ ฉันจะเริ่มอธิบายแผนการให้” อนงค์ว่า “ตอนนี้เรารู้ตัวการใหญ่อย่างเจ้าสัวเหวยที่ถือว่าเป็นโจรรายใหญ่ที่สุดของสิงห์บุรี แต่เหนือกว่ามันนั้นยังมีอีกคนที่คอยช่วยเหลือมันมาตลอด รวมถึงโจรคนอื่นอย่างเสี่ยพันธ์ และข้าราชการอย่างหลวงศรีรวีชัย”

“ผู้กองสิงห์คงรู้ว่ามีสายตำรวจช่วยเสี่ยพันธ์อยู่อย่างสารวัตรทัพกับหมวดจัน และรองอธิบดีที่หนาหูเหลือเกินว่าเป็นคนคุ้มกะลาหัวให้แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าคนนั้นเป็นใครรวมถึงผู้กองสิงห์ด้วยใช่ไหม” หลวงศักดิ์กมลชี้ถาม

“ครับ พอได้ยินบ้างแต่พ่อ... เสี่ยพันธ์ ไม่เคยเปิดเผยให้ผมรู้เลยครับ”

“อืม เพราะอย่างนั้นฉันถึงส่งหมวดภพไปเป็นสายโดยหลอกมันว่าหมวดภพนั้นอยู่เรือนจำและฆ่าเพื่อนร่วมห้องขังใส่เอกสารปลอมแปลงไป ให้หมวดภพช่วยเหลือมันเพื่อให้มันไว้ใจและหมวดภพก็รู้มาว่ารองอธิบดีคนนั้นคือใคร” อนงค์อธิบายเสริม

“ซึ่งรองอธิบดีคนนั้น... คือรองอธิบดีวาริน”

สิงห์ตกใจทันที “ท่านรองวารินน่ะหรือครับ”

“ใช่ครับ” หมวดภพพยักหน้า

“ผู้กองอาจจะเห็นว่าดูน่านับถือ แต่ที่จริงไม่ใช่เลย รองวารินน่ะช่วยโจรมาตั้งนานแล้ว” จ่าธงว่า

“ไม่อยากจะเชื่อเลยครับ”

“แต่ถึงเราจะรู้ เราก็ยังไม่มีหลักฐานมากพอ และตอนนี้เสี่ยพันธ์เหมือนโดนหลอกอยู่กราย ๆ ผู้กองน่าจะเข้าใจว่าโดนรองวารินและพวกเจ้าสัวหลอกเรื่องอะไร”

สิงห์นึกสักพักก่อนจะเข้าใจได้ทันที “ที่จริงแล้วรองวารินช่วยเจ้าสัวและหลวงศรีรวีชัย คุณหลวงหลอกเสี่ยพันธ์ว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าสัว และเจ้าสัวก็เหมือนอยากจะกำจัดเสี่ยพันธ์ ตามที่ผมเคยเล่าให้ท่านรองฟัง”

สิงห์เคยเล่าเรื่องสมัยเด็กกับลุงอนงค์ตอนที่ไปพบเจ้าสัวเหวย

“เพราะอย่างนั้นฉันจึงห่วงความปลอดภัยของเธอ เลยส่งจ่าเกื้อไป ถือว่าเป็นเพื่อนคลายเหงาด้วย” อนงค์ว่า

“เป็นอย่างนั้นเองหรือ” สิงห์ยิ้มอย่างนึกขอบคุณ

“เราต้องหาสายเพิ่มเพื่อช่วยเหลือทางเรา แต่ตอนนี้ยังนึกใครไม่ออกเลย บางทีไปขอก็กลัวว่าจะเป็นพวกของวารินหรือไม่ก็ของเจ้าสัวเหวย” อนงค์ถอนหายใจ

“ผมจะลองหาให้ครับ” สิงห์ว่าด้วยใบหน้าจริงจัง

“ผู้กองนึกใครได้หรือ”

“ลูกน้องพ่อผมบางคน”

“แต่มันก็อันตรายเกินไปอยู่ดีนะครับ” จ่าเกื้อว่าเพราะแต่ละคนไม่ได้จะช่วยหรือกลับใจง่ายขนาดนั้น

“ผมจะลองดู”

“ถ้าอย่างนั้น ฝากผู้กองคอยรับคำสั่งจากฉันและนำทีมด้วย”

“ครับท่านรอง”

พอประชุมกันเสร็จเรียบร้อยลุงอนงค์ก็ขอคุยกับสิงห์เพียงสองคน “สิงห์”

“ครับ”

อนงค์มีสีหน้าหนักใจ “เรื่องนี้อย่าบอกไฟนะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็รู้ใช่ไหมว่าไฟมันเป็นคนอารมณ์ร้อน มันคงไม่ยอมแน่หากรู้ว่าสิงห์ต้องเข้าไปเป็นสายเพราะมันอันตราย รวมถึงเรื่องจันถ้าไฟมันรู้แล้วไปอาละวาด เดี๋ยวแผนจะเสียกันไปหมด”

สิงห์คิดหนักก่อนจะถูกจับบ่า

“ถือว่าเห็นแก่ลุงและเห็นแก่ไฟ ลุงรู้ว่าพวกเอ็งรักกัน... แต่ลุงก็ไม่อยากให้ไฟมันรับรู้เรื่องนี้ ไม่ต้องทำเพื่อลุงก็ได้ แต่ถ้ารักไอไฟก็ทำเพื่อมัน ทำยังไงก็ได้ให้ไฟคิดว่าสิงห์ร่วมมือกับพวกมันจริง ๆ เพราะไม่อย่างนั้นพวกมันจะไหวตัวทัน ยิ่งกับไอจันที่เป็นเพื่อนกัน คงดูได้ง่ายถ้าเกิดไฟมันรู้แล้วนิ่งเงียบไป รวมถึงเสี่ยพันธ์และลูกน้องบางคนที่รู้ว่าสิงห์กับไฟเป็นเพื่อนกันมานาน ต้องทำให้พวกมันตายใจให้ได้ เข้าใจไหม”

น้ำหนักที่บีบลงมาทำเอาสิงห์ไม่สามารถปฏิเสธได้ ก็พอเข้าใจเหตุผลจึงพยักหน้า “ได้ครับ”

“ขอบคุณมากนะ”

“ครับ...”

สิงห์ได้แต่ถอนหายใจ หลังจากนั้นการตบตาก็เกิดขึ้นหลังจากออกจากห้องประชุม...

พอกลับถึงสิงห์บุรี เข้าไปในบ้านก็พบกับพ่อและจันที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“พอใจหรือยัง ตอนนี้ไม่ใช่ตำรวจแล้ว เป็นแค่ลูกโจรที่ช่วยเหลือพ่อตัวเอง”

เสี่ยพันธ์คลี่ยิ้ม “ก็ดีแล้วหนิ จะได้ช่วยงานพ่อจริง ๆ จัง ๆ เสียที”

สิงห์กัดฟันกรอดหันมองเพื่อนสนิทที่หันหน้าหนี พอรู้ว่าจันมันคิดจะฆ่าไฟก็ยิ่งโกรธจัดจนไปดึงตัวมันออกมาคุยกันเพียงสองคน

“ปล่อยกู” จันสะบัดแขนออกทันที

สิงห์จ้องเขม็งพร้อมชี้หน้ามัน “มึงทำร้ายกูได้ แต่อย่าทำคนที่กูรัก ไม่อย่างนั้นกูจะไม่เอามึงไว้เหมือนกัน”

จันนิ่งไปก่อนจะปั้นหน้ายิ้ม “ทำได้หรือ”

“กูทำได้แน่ แต่จะทำเพราะมึงคิดจะทำร้ายก่อน และกูหวังว่าความเป็นเพื่อนที่พวกกูมีให้มึงจะหลงเหลือในตัวมึงบ้าง ตอนนี้กูไม่สามารถยืนอยู่ข้างไฟได้แล้ว มีแต่มึงเท่านั้น คนที่หักหลังเพื่อนตัวเอง แต่มีเสี้ยวหนึ่งที่กูยังไว้ใจฝากไฟไว้ให้มึงดูแล”

คนฟังถึงกับดวงตาสั่นระริกแต่ก็กักเก็บมันได้ ถึงอย่างนั้นก็พอให้สิงห์ดูออก

“ตอนนี้กูต้องบอกว่าทั้งรักและเกลียดมึงเลยว่ะเพื่อน” ว่าเสร็จก็เดินออกไปปล่อยให้คนทรยศได้แต่ยืนกล้ำกลืนอยู่คนเดียว

 

 

 

๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๑

เรือนไทยของ หลวงศรีรวีชัย

สิงห์นั่งร่วมอยู่กับคุณหลวง เหตุผลที่มาก็เพราะมาคุยงานได้ส่วนหนึ่ง และมาส่งข่าวให้กับสารวัตรโขมด้วย เพราะเหมือนว่าท่านรองจะยังไม่บอกเรื่องที่เขาเป็นสายให้กับสารวัตรโขมรู้

“สิงห์” เขาได้ยินที่ไฟพูดและรู้ว่ามา ถือว่าจะได้ตบตาไปด้วยเลยว่าเขาเปลี่ยนเป็นโจรเต็มตัวแล้ว

“ฉันว่าฉันพูดกับสารวัตรให้เข้าใจแล้วนะ” คุณหลวงจ้องเขม็ง

“กระผมก็คิดว่ากระผมพูดกับคุณหลวงชัดแล้วเหมือนกันขอรับ” สิ้นคำพูดนั้นคุณหลวงก็ทุบโต๊ะยืนขึ้นเอาไม้เท้าชี้หน้าและคิดว่าคุณหลวงจะทำอะไรทั้งจ่าธงกับหมวดไฟที่เหม่อไปชั่วขณะกลับมาคุมสติหยิบปืนจ่อทางคุณหลวงทันที

สิงห์ยกปืนขึ้นจ่อฝั่งทางตำรวจเหมือนกันเพื่อประกาศชัดว่าเลิกเป็นตำรวจจริง ๆ ให้หลวงรวีชัยตายใจ

“วางปืนลงซะ” น้ำเสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมานานเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ทำให้ไฟยิ่งไม่เข้าใจจนลดมือลง

“สิงห์ทำไม...”

สิงห์มองคนตรงข้ามด้วยแววตาเรียบนิ่งแล้วลดมือลงก่อนจะหันไปทางคุณหลวง “กระผมว่าคุณหลวงอย่าไปสนใจพวกเขาเลยขอรับ ถ้าพวกเขาไม่สนใจก็ช่างพวกเขาไป ทางเราก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักกับแค่ตำรวจยศน้อยไม่กี่คน”

“สิงห์” น้ำเสียงที่ดูเจ็บปวดทำให้สิงห์ไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้อีก

“รีบตัดสินใจเถอะขอรับ กระผมต้องรีบไปเตรียมของ ยังไงต้องขอตัวกลับก่อน”

“จะไปแล้วหรือ” คนที่หงุดหงิดเมื่อกี้หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเมื่อแขกกิตติมศักดิ์ที่สุดกำลังจะกลับ

“ไว้เราค่อยมาคุยกันใหม่นะขอรับ” สิงห์ว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไปกับลูกน้องสามสี่คนที่มาด้วย ก่อนจะส่งสายตาหาหมวดภพที่ยังคงอยู่ด้านบนเพื่อส่งข้อความให้สารวัตรโขม

หมวดภพรีบเดินเข้าไปหาแทนเจ้านาย “คุณหลวงขอรับ ปล่อยพวกเขาไปก่อนเถอะ”

“หึ” หลวงรวีชัยเค้นเสียงก่อนจะโบกมือเป็นเชิงปล่อย

หมวดภพเห็นอย่างนั้น ระหว่างที่กำลังลงบันไดก็สอดกระดาษบางอย่างใส่ในมือสารวัตรโขมและเดินไปที่รถมองหมวดไฟกับผู้กองสิงห์ที่ดูมีปากเสียงกันอยู่ ก่อนที่จะสั่งให้ลูกน้องคนอื่นไปกักตัวไว้ไม่ให้หมวดภพไปยุ่งกับผู้กอง

จ่าเกื้อมองหัวหน้าตนเองผ่านกระจกหลังอย่างนึกห่วง เพิ่งจะเคยเห็นผู้กองสิงห์ร้องไห้ก็วันนี้ บอกได้เลยว่าคุณสิงห์นั้นเข้มแข็งมาก แทบไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น แต่ตอนนี้กลับน้ำตาไหลพรั่งพรูจนคนมองตกใจ แม้อีกคนจะกลั้นเสียงร้องไห้ไว้แต่ก็รู้ว่าเจ็บปวดกับสิ่งที่ทำ

คงหนักใจมากที่ต้องแบกรับเรื่องนี้

 

 

๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒

หลังจากทำหน้าที่ส่งของเสร็จ สิงห์ก็มาถึงบ้านด้วยร่างกายที่อ่อนเพลีย จากการไม่ได้นอนมาหลายวัน อยากจะเดินขึ้นห้องแต่ก็หยุดชะงักเมื่อเห็นใครนั่งอยู่ห้องรับแขก

สิงห์ถอนหายใจ “มึงมาทำไม”

“กู... มีเรื่องจะคุยด้วย”

“กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง”

“เดี๋ยวสิงห์” จันรีบลุกขึ้น “กูขอร้อง”

สิงห์มองแววตาเพื่อนที่เหมือนเป็นคนเดิมที่รู้จักมานาน เขาพยักพเยิดไปข้างนอก ก่อนที่ทั้งคู่จะไปนั่งคุยกันที่โต๊ะหน้าบ้าน

“มีอะไร”

“กูพยายามจะฆ่าไอไฟกับน้าฤดี” เพียงได้ยินเท่านั้นสิงห์ก็เดือดดาลรีบขย้ำคอเสื้อคนข้างกายทันที

“ไอจัน มึงทำอะไรพวกเขา!”

จันยกมือทั้งสองขึ้น “ใจเย็นก่อน กูแค่จะบอกว่า... กูทำไม่ได้”

สิงห์ขมวดคิ้วมือค่อย ๆ คลายแต่ก็ยังคงไม่ปล่อย “เพราะอะไร”

“กูแม่ง... กูเห็นน้าฤดีเหมือนแม่กู เขาดีกับกูมากเลย ไอไฟมันก็เพื่อน ไอห่านี้ไม่เคยสงสัยในตัวกูเลยสักนิด โงฉิบหาย” ถึงปากจะด่าแต่ดวงตาก็คลอไปด้วยน้ำสีใส

สิงห์ปล่อยเพื่อนแล้วนั่งมองมันที่ปลดปล่อยความอัดอั้นออกมา

“ถ้าอย่างนั้นกูจะบอกอะไรมึงให้” พอเห็นว่ามันหันมองก็พูดต่อ “ที่จริงกูมาเป็นสาย กูไม่ได้ถูกพักราชการจริง ๆ”

จันเบิกตา “มึงบอกกูทำไม”

“เพราะกูเชื่อว่ามึงจะไม่บอกพวกมัน”

“มึงไม่รู้อะไรสิงห์”

“กูไม่รู้หรือ ใช่ กูคงไม่รู้อะไร”

“มึงไม่คิดว่ากูจะเอาไปบอกพ่อมึงหรือ ไม่คิดว่ากูจะเอาไปบอกพวกเจ้าสัวหรือไง”

สิงห์ยังคงไม่สะทกสะท้าน “จริง ๆ มึงควรจะคุยกับไฟ เผื่อจะช่วยกันแก้ไข แต่อย่าบอกเรื่องกู”

“ไม่ได้...” จันบีบมือแน่น “ยังไงกูต้องฆ่าใครสักคน”

“เพื่ออะไรวะ”

“เพื่อพ่อริน”

“พ่อริน? ไอวารินเหรอ”

“ใช่”

“เหอะ กูว่ามึงคงโดนหลอกใช้”

จันไม่สนว่ามันจะเป็นยังไง “สิงห์” มือทั้งสองข้างรีบจับแขนเพื่อน “มึงต้องฆ่ากูนะ”

“อะไรของมึงวะไอจัน”

“มึงต้องฆ่ากู ไม่อย่างนั้นกูคงไปฆ่าใครสักคนในครอบครัวไออนงค์”

“เลิกคิดอะไรแบบนั้น”

จันทำหน้าเครียด “กูอยากไปให้พ้นจากความรู้สึกนี้ กูอึดอัด กูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วสิงห์”

“มึงต้องเข้าตาราง ยอมรับผิดและช่วยเหลือกู”

“ไม่ได้ กูทำไม่ได้”

“มันไม่ได้ยุ่งยากเลย ถ้ามึงเห็นกูเป็นเพื่อน”

“มึงเข้าใจกูดีนะสิงห์” จันมองด้วยสายตาอ้างว้าง คล้ายคนไม่มีจุดหมายในชีวิตอีกแล้ว “กูเหนื่อย กูอยู่ไม่ไหวแล้วสิงห์ มึงเข้าใจกูใช่ไหมทำไมกูเป็นแบบนี้”

สิงห์มองเพื่อนนิ่งก่อนจะเสหน้าหลบ “กูไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจ เลิกคิดแบบนั้น ชีวิตมึงก็มีค่าสำหรับกูเหมือนกัน” พูดเสร็จก็เดินหนีมันไม่สนเสียงเรียกใดใด

“สิงห์! ไอสิงห์!”

๗ มิถุนายน ๒๔๘๒

แต่ถึงอย่างนั้น...

ปัง

“ไอจัน!!” เสียงของไฟเหมือนแก้วที่แตกพร้อมจะบาดลึกลงในหัวใจของคนยิง สิงห์น้ำตาไหลอยู่ข้างเดียว เป็นข้างที่ไฟไม่เห็น

ได้ยินเสียงเหมือนคนมาทางนี้จึงรีบเช็ดน้ำตาลวก ๆ ทำเป็นไม่สนว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีอะไรครับนาย”

สิงห์เหมือนคนใจสลายที่ไม่สามารถแสดงออกได้ว่าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายังคงแสดงละครตบตาที่นึกทึ่งตัวเองที่ทำได้ขนาดนี้ “ไอหมวดไฟกับสารวัตรนั่นเผลอยิงมาเลยเกิดปะทะนิดหน่อย ส่วนมันถูกลูกหลง”

“ถูกลูกหลงเหี้ยอะไร!!” ไฟตะโกนเสียงดังยิ่งทำให้สิงห์อยากจะหนีไปจากตรงนี้ “มึงเป็นเหี้ยอะไรวะสิงห์! ทำแบบนี้ทำไม!”

“รีบไปเถอะ” สิงห์สั่งลูกน้องคนอื่น ๆ และเดินออกไปก่อนใคร ขาก้าวไม่หยุดจนแทบจะวิ่งแล้วถ้าไม่ติดว่ามีพวกไอมั่นมองอยู่ สิงห์ต้องระวังตัวไว้ตลอดแม้ตอนนี้อยากจะปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองขนาดไหน

พอมาถึงที่บ้านก็สั่งภพว่าห้ามใครเข้าพบ สิงห์ล็อกประตูอย่างแน่นหนา ก่อนที่ทั้งร่างจะทรุดลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง น้ำตามากมายไหลออกมาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ปากอยากจะตะโกนแต่กลับต้องกลั้นเสียงร้องไห้อยู่คนเดียวภายในห้องที่แสนจะกว้างเกินไปสำหรับสิงห์ ทั้งหนาว ทั้งมืด เหมือนห้องมันบีบเข้าหาตัวเอง เสียงจันลอยเข้าหู มือไม้สั่นเมื่อเห็นภาพเลือดและปืนที่ถือไว้

สิงห์เป็นอย่างนี้ หลอนทั้งเสียงทั้งภาพตลอดหลายเดือน จนหมวดภพเป็นห่วง จะบอกคุณพิมพ์อรกับคุณต้นอ้อก็ไม่ได้ มีทางเดียวก็คือบอกจ่าธงที่น่าจะปลอบคุณสิงห์ได้ ภพให้จ่าเกื้อแอบพาจ่าธงเข้ามาในบ้านและขึ้นไปหาคุณสิงห์

เมื่อสิงห์เห็นใครก็เผลอโผเข้ากอด เสียงร้องไม่มีให้ได้ยินเลยสักนิด แต่ดวงตาบอบช้ำ ใบหน้าทรุดโทรม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายก็ซูบผอมจนน่าห่วง

“ลุงอยู่นี่นะ ไม่เป็นไร ๆ” จ่าธงลูบหัวหลาน ปลอบอยู่หลายวันเลยก็ว่าได้สิงห์ถึงจะยอมกินข้าวและออกจากห้อง

 
*มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
*ต่อจากด้านบน



เมษายน ๒๔๘๓

“ลุงสมานคงรู้ใช่ไหมว่าไม่สามารถช่วยแม่ผมได้” สิงห์ยืนคุยกับตาสมานที่เคยส่งจดหมายหาแม่ตนว่าจะพาหนี ตาสมานเป็นเพื่อนกับลุงสมหมายที่เป็นลูกน้องพ่อ ตอนที่ลุงสมหมายต้องไปเฝ้าแม่ตามคำสั่งพ่อทุกครั้งที่แม่ออกไปจ่ายตลาด จึงได้คุยกับตาสมานบ้าง

ทั้งคู่หลงรักกันมานาน และที่สิงห์โมโหดเพราะแม่ไม่บอกอะไรเลย มันจะเกิดอันตรายขึ้นได้ ยิ่งมาเจอว่าตาสมานแอบเข้ามาโดยได้รับความช่วยเหลือจากลุงสมหมายและกฤษเพื่อจะพาแม่หนี แต่ก็ถูกภพจับได้เสียก่อน สิงห์จึงพาตาสมานเข้าห้องตนเองทันที

“แต่ลุงอยากช่วยพิมพ์อรกับหนูต้นอ้อออกมา”

สิงห์ถอนหายใจ “มันอันตราย”

“แล้วจะให้ลุงทำไง คอยดูแต่ภายนอก ทั้งที่คนรักถูกโดนทุบตีอย่างนั้นหรือ”

“ผมเข้าใจลุง แต่ลุงต้องใจเย็น ๆ ก่อน ถ้าเกิดว่าตอนที่ลุงแอบเข้ามา ดันเป็นคนอื่นที่เห็นล่ะจะทำยังไง ป่านนี้ลุงโดนพวกไอมั่นพาไปทรมานเค้นถามแล้ว”

ตาสมานสบถกับตัวเอง

“ผมอยากให้ลุงรอก่อน รอผมวางแผน ลุงรอได้ใช่ไหมเพราะผมก็อยากให้แม่กับน้องพ้นไปจากนรกนี่เหมือนกัน”

สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม สิงห์เลยขอเรียกประชุมลับ ๆ โดยขอร้องนนท์ให้มาช่วยวางแผนอีกแรง ในห้องพักของสารวัตรโขมจึงมีหมวดภพ นนท์ จ่าธงและหมอรัตน์ รวมถึงลุงสมหมายกับกฤษที่เปลี่ยนตัวเองอยากกลับตัวกลับใจ

“ผมจะบอกแผนคร่าว ๆ นะ” สิงห์ว่าด้วยสีหน้าจริงจัง “เราจะทำให้คุณพิมพ์อรกับต้นอ้อ เหมือนถูกฆ่าตายแล้ว เพื่อความปลอดภัย จะได้หลบไปอยู่ที่อื่นได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะตามจับอีกแล้ว ผมอยากจะให้จ่าธงไปหาศพผู้หญิงสองคนมากับผู้ชายอีกหนึ่งคนมีอายุหน่อย ขอที่ไม่มีญาตินะ ไว้เราจะขอขมาพวกเขาด้วย ถึงมันจะไม่ดีแต่ก็หาวิธีอื่นไม่ได้ ต้องใช้ศพจริงเพื่อความสมจริง ฝากหมอรัตน์ปลอมแปลงเอกสารเรื่องศพให้ด้วย”

หมอรัตน์ถอนหายใจ ไม่ค่อยจะอยากสนับสนุนแต่ก็ต้องทำ “ได้ครับ”

“ผมจะให้ลุงสมานทำเป็นเข้าไปช่วย เสี่ยพันธ์จะได้ไม่สงสัย ถ้าเผื่อฉุกเฉินอะไรผมจะให้หมวดภพรอช่วยที่นั่นด้วย และลุงสมหมายกับกฤษแกล้งปลอมตัวไปเป็นชาวบ้านทำเป็นบอกตำรวจว่าฉันเป็นคนทำ จะได้มีการลงข่าวและพวกเจ้าสัวจะได้รู้ว่าผมเป็นโจรเต็มตัวจริง ๆ”

“ครับ” ทั้งคู่ตอบรับทันที

“ผมจะทำเป็นว่าลุงสมานถูกฆ่าที่บ้านนั้น ส่วนคุณพิมพ์อรกับต้นอ้อขับรถหนีไปสองคน ผมจะบอกพวกเธออีกทีว่าให้ขับไปทางตลาด รวมถึงให้จ่าเกื้อแกล้งสั่งคนอื่น ๆ ให้ขับรถตามทีหลัง ชาวบ้านจะได้เห็นและเอาไปเล่าปากต่อปากได้ว่าคุณพิมพ์อรกับลูกสาวได้ทำการหลบหนีเสี่ยพันธ์ ขอฝากลุงสมหมายทำหน้าที่ขับรถไล่ตามไปก่อนนะ ขับช้า ๆ ไว้ก่อน เสร็จจากตรงนั้นไว้ช่วงเช้ามืดถ้าตำรวจรู้ก็ไปปลอมตัวเลย”

พอลุงสมหมายพยักหน้าสิงห์ก็พูดต่อ “สารวัตรโขมผมอยากจะให้คุณไปรอเปลี่ยนรถกับคุณพิมพ์อรพร้อมกับนนท์ที่ทางลัดทางหนึ่งจะได้ไม่มีใครเห็น”

“ได้”

“ผมจะให้จ่าเกื้อทำเป็นยิงปืนใหญ่ใส่รถคันนั้น เดี๋ยวนนท์จะเปิดเกียร์ค้างไว้ทำให้รถไหลไปเอง พวกลูกน้องพ่อคนอื่นที่ไปด้วยจะได้ไม่สงสัยกัน ศพนั้นก็ตบตาได้เป็นอย่างดี”

“ถ้าเกิดไม่สำเร็จแล้วเกิดเหตุฉุกเฉินล่ะ” หมอรัตน์ถามอย่างสงสัย

“ผมจะให้จ่าธงรออยู่ที่ป่าข้างไร่ผม ตรงนั้นไม่มีใครรู้ว่ามีทางทะลุมาได้ เผื่อว่าลุงสมานบาดเจ็บจะให้ส่งไปหาคุณทันที ถ้าเกิดแผนล่มที่บ้านก็จะให้ภพช่วยในเรื่องนี้ได้ รวมถึงจ่าเกื้อที่ยังคงไม่ไปตามแผน เพราะยังไงผมจะให้ลุงสมหมายรอในรถไว้ รอให้คุณพิมพ์อรขับไปไกลพอที่จะเปลี่ยนรถได้ทัน”

“นี่ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณยังไม่ถูกพักราชการนะ คุณคงเป็นคนหนึ่งที่น่ากลัวจริง ๆ” สารวัตรโขมว่าอย่างนึกทึ่งในการวางแผน

“อ้อ ลืมบอกเลยครับ เดี๋ยวผมว่าจะฝากสายลับคนหนึ่งไว้กับสารวัตรโขม เพราะจะให้ผมหรือหมวดภพกับจ่าเกื้อออกไปข้างนอกบ่อยจะเป็นที่จับตามองเอา”

“ใครหรือครับ”

“เทิดครับ”

“เขาจะร่วมมือหรือครับ”

สิงห์ขมวดคิ้ว “ผมต้องลองคุยกับเขาก่อน แต่เทิดก็ถือว่าเป็นสายลับได้ดี ยังไงเขาก็ไม่ชอบพวกคดโกงคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าสารวัตรโขมอยากรู้อะไรก็อาจจะสั่งเขาได้”

สารวัตรโขมพยักหน้า “ผมเองก็อยากได้เขามาเป็นพวกเหมือนกัน”

พอพูดคุยอะไรกันเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่มตามแผนจริง ๆ

 

๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๓

สิงห์กระดิกนิ้วกับโต๊ะรอสัญญาณของหมวดภพ เขามองแม่กับน้องที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน

“สิงห์อยู่ที่นี่คนเดียวได้หรือลูก” พิมพ์อรถามอย่างนึกห่วง

“ไม่เป็นไรครับแม่ ยังมีหมวดภพกับจ่าเกื้ออยู่” เพราะเขาได้เล่าให้ฟังหมดแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไงและแม่กับต้นอ้อดูจะไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่เขาไม่บอกอะไรกับไฟเลย

“อย่างน้อยก็ให้ไฟเขารู้หน่อยก็ได้นะลูก”

“นั่นสิคะพี่สิงห์ พี่ไม่สงสารพี่ไฟเหรอ”

สิงห์หลุบตาลง “มันจำเป็นน่ะ”

“แต่—”

ปัง

ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง “พ่อ..”

“ละ..ลุงไม่ได้ตั้งใจ ลุงแค่ตกใจ” ลุงสมานว่าอย่างนั้นก่อนจะปาปืนทิ้ง

สิงห์หลับตาเพื่อตั้งสติก่อนจะรีบทำตามแผนทันที “ภพพาพ่อไปหาจ่าธงข้างป่า ต้องเอาไปส่งหาหมอรัตน์ด่วน ส่วนลุงสมานไปแอบหลังรถ แม่ ต้นอ้อรีบลงไปขึ้นรถแล้วขับรถหนีไปซะ”

“สิงห์” เธออยากบอกลาลูก แต่ก็ทำไม่ได้

“รีบไปเถอะครับ เร็ว!” สิงห์สั่งเสียงแข็งก่อนที่ทุกคนจะดำเนินตามแผนของตัวเอง เขาเดินเข้าไปในห้องตัวเองก่อนจะขนศพผู้ชายออกมาจากห้อง กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งก่อนจะลาดเลือดปลอมลงบนศพอีกที

ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอก สิงห์จึงลงไปข้างล่างเห็นทุกคนวุ่นวายพากันไปหยิบอาวุธ เขาส่งซิกให้จ่าเกื้อที่นั่งบนหลังรถพร้อมกับตะโกนสั่งคนอื่นให้หาปืนใหญ่ที่ต้องเอาไปหลบซ่อนเพื่อให้หาเจอได้ยากเล็กน้อยจะได้ชะลอเวลา ก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุงสมหมายที่นั่งเป็นคนขับ

“เกิดอะไรขึ้น” ไอมั่นวิ่งมาพร้อมกับขมวดคิ้ว

“มึงไปเก็บศพไอคนข้างบนให้หน่อย”

“ศพ? ศพใคร”

“ชู้ของพิมพ์อร มันจะพาหนี แต่กูฆ่ามันไปแล้วส่วนพ่อกูถูกมันยิง ภพพาไปส่งหมออยู่ ตรงนี้เลยเหลือแต่มึง”

มั่นยังคงนึกสงสัย “คุณน่ะเหรอฆ่าชู้คุณพิมพ์อร”

สิงห์ปรายตามอง “หรือมึงอยากจะโดนกูอัดลูกปืนไปด้วยเลยดี ถ้ายังมาถามเจ้านายมึงอยู่อย่างนี้แล้วไม่ทำตามที่กูสั่งสักที”

มั่นสบถเสียงเบาแล้วสั่งลูกน้องตนเองขึ้นไปข้างบนเพื่อจะเก็บศพ แม้จะสงสัยว่าศพที่เพิ่งถูกฆ่าทำไมถึงส่งกลิ่นเหม็นขนาดนี้

ทางนนท์ตอนนี้อยู่กับรถอีกคันที่มีศพปลอมกับสารวัตรโขมที่เอารถตนมาด้วยเพื่อรอเปลี่ยนรถ

“นั่นมาแล้ว” สารวัตรโขมชี้ก่อนจะโบกมือให้รถคุณพิมพ์อร

พอรถจอดลง เธอก็รีบลงมาทันที “ขอบคุณนะคะที่ช่วย”

“ยินดีครับ รีบไปเถอะครับ” สารวัตรโขมผายมือก่อนจะลากศพนั้นไปไว้อีกรถ

พิมพ์อรกับต้นอ้อหันหนีทันทีพร้อมกับขอขมาในใจ

“ขึ้นรถเถอะครับ ผมจะพาไปที่วัง” นนท์บอกและเป็นคนขับรถให้ทั้งสามคนก่อนจะหันมองทางสารวัตร “ฝากสารวัตรบังคับพวงมาลัยให้มันตรง ๆ นะครับ”

“ได้เลย พวกคุณรีบไปเถอะ” พอนนท์ขับรถออกไปแล้วสารวัตรโขมจึงรอบังคับพวงมาลัยอีกสักพักพอมันเริ่มไหลลงเร็วขึ้นก็รีบไปขึ้นรถตัวเองแล้วขับหนีไป

เพียงไม่นานสมหมายก็ขับมาถึงจุดที่คุณสิงห์บอกก่อนจะจอดไกลจากระยะเล็กน้อย จ่าเกื้อจึงยกปืนใหญ่ขึ้นบ่าเอียงคอหรี่ตาเล็งไปทางรถคันนั้นและยิงทันทีจนมันเกิดระเบิดขึ้น ลูกน้องคนอื่นรีบลงไปดูศพ พอเห็นว่าเป็นศพจริงกับรถที่เป็นของเสี่ยพันธ์จึงเชื่อกันสนิทว่าในนั้นคือศพของพิมพ์อรกับต้นอ้อจริง ๆ และพากันกลับที่ไร่ ลูกน้องของมั่นบางคนที่ไปด้วยก็บอกหัวหน้าตัวเอง จึงทำให้ไอมั่นไม่ได้สงสัยอะไรมากอีก

วันที่ไฟบุกมาที่บ้าน สิงห์กลัวว่าพวกของไอมั่นจะเผลอยิงเลยรีบออกมา ยิ่งเห็นว่าถูกรุมทำร้ายก็อยากจะหยิบปืนยิงหัวพวกมันทุกคนที่กล้าทำคนรักของเขา แต่ก็ต้องทำตัวเหมือนไม่ใส่ใจ เพราะเขาเห็น...

ไอมั่นกำลังยืนดูอยู่

เขาต้องรีบให้พวกนั้นออกไปเพราะไฟดันเผลอพูดความลับระหว่างเราขึ้นมา ยังดีที่ไม่มีใครเอะใจ สิงห์อยากจะพาคนรักไปโรงพยาบาลตอนนี้แต่ก็ทำไม่ได้

“เลิกทำแบบนี้ได้ไหม”

“เลิกทำอะไร? คำพูดคลุมเครืออย่างนี้ใครจะไปเข้าใจกัน” สิงห์หันมาถามพลางเลิกคิ้ว

“มึงก็รู้ดียู่แก่ใจ” ไฟพูดติดขัดดวงตาหรี่ลงร่างกายคล้ายจะทรุดอยู่ตลอดเวลา

สิงห์ทำเพียงมองใบหน้าที่บวมช้ำไม่ได้ตอบอะไรออกไป ทว่าแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้นไฟก็ล้มลงมาด้านหน้าแต่สิงห์ก็เบี่ยงตัวหลบจนไฟหน้าคะมำลงไปกับพื้นอย่างแรงจนฝุ่นข้างล่างคลุ้งไปหมด

ส่วนคนที่มองอยู่ได้แต่ส่ายหัว “มึงมันโง่ไอไฟ” สิงห์ว่าเสียงเบาแล้วหันมองรถที่อีกคนเป็นคนขับเข้ามา “ไอเกื้อ!”

คนถูกเรียกรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหลังจากที่หลบตามพุ่มหญ้าอยู่นานคล้ายนายสิงห์จะรู้ว่ามันแอบดูอยู่ “แฮะ ๆ ครับนายสิงห์”

“เอามันไปทิ้งที่หน้าโรงพักซะ”

“ต้องพาไปรักษาก่อนไหมครับ”

“ไม่ต้อง ถ้าโดนยิงแค่นี้แล้วตายก็ปล่อยมันไป ก็ถือว่าสาสมที่มายิงลูกน้องกู” สิงห์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ขอให้จ่าเกื้อรับรู้ว่าต้องไปส่งโรงพยาบาลเพราะตอนนี้ไอมั่นมันยังคงยืนมองไม่ห่าง ถ้าไม่พูดอย่างนั้นเดี๋ยวพวกมันจะสงสัยเอาได้

 

 

๑๘ พฤษภาคม ๒๔๘๓ เวลา ๐๐:๒๐ น.

สิงห์ถอนหายใจก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ จ่าธงบอกว่าไฟจะไปพระนครวันนี้แล้วและคิดว่าคงจะมาหาเขาถึงที่นี่

และดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แม้สิงห์อยากจะบอกลาอย่างปกติแต่ก็ยังคงตบตาว่าไม่ได้รอและกลายเป็นพวกไม่มีหัวจิตหัวใจ

ในตอนที่ไฟในห้องดับลงเพราะคนรักไปปิดมันก่อนจะออกทางหน้าต่าง สิงห์จึงขยับร่างกายตามใจ เขาหยิบผ้าปิดปากและหมวกของคนรักที่ไม่ได้เอาติดไปด้วย กอดมันไว้แนบอกและมองไฟจากในที่มืดด้วยความรู้สึกผิด

ไฟยิ้มอย่างเหนื่อยไปทั้งกายและใจหันไปมองคนรักด้วยน้ำตาที่คลอเล็กน้อย “ไฟรักสิงห์นะ และยังคงรักเสมอ”

สิงห์ก็รักไฟ และยังคงรักเสมอเหมือนกัน

“ไปครั้งนี้คงนาน ฝากดูแลแม่ด้วยนะ ท่านอยู่บ้านคนเดียว” สิงห์ไม่เอ่ยปากแต่ตอบรับในใจแล้วว่าจะดูแลให้ “ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะไม่บุกมาเหมือนอาทิตย์ก่อนอีกแล้ว จะพยายามใจเย็น”

สิงห์ยังเงียบอยู่อย่างนั้น แม้จะยิ้มทั้งน้ำตา “น่าแปลกนะ มึงเคยเตือนเรื่องนี้ตั้งหลายรอบ กูก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ดูตอนนี้สิ แม่งเหมือนหมาที่เพิ่งมาคิดได้ ถึงแม้ว่ากูยังไม่รู้เลยว่ากูจะทำได้จริงหรือเปล่า”

ทำได้สิ ไฟต้องทำได้อยู่แล้ว

“สิงห์... ถ้าวันไหนกูเกิดตายขึ้นมามึงจะร้องไห้หรือเปล่า”

คำถามนั้นทำเอาสิงห์ชะงัก มือกำผ้ากับหมวกของคนรักแน่น ปากพรหมจูบลงไปและบอกในใจว่า จะไม่มีวันให้ไฟเป็นอะไรเด็ดขาด

 “กูแค่ถามไปอย่างนั้นแหละ คงเพราะในชีวิตกูเคยมีแต่มึงมาคอยช่วยแล้วก็มีแต่คิดว่ามึงยังรอกูกลับจากปฏิบัติหน้าที่กูเลยรอดมาได้ตลอด แต่ว่าพอไม่มีมึงมาห้ามไม่ให้ใจร้อน ไม่มีมึงที่รอกินข้าวด้วยกัน ชีวิตกูก็ขาดแสงสว่างไป กูยอมรับว่าชีวิตกูอยู่ได้เพราะมีแต่มึง”

สิงห์ก็อยู่ได้เพราะมีไฟ... ไฟคือแสงสว่างของสิงห์เหมือนกัน

“เพราะฉะนั้นกูจะตามหาความจริงด้วยตัวเอง วันนี้อาจจะไม่ใช่วันของกูเพราะกูไม่ได้เข้มแข็งพอ หากพบกันอีกกูจะไม่ให้มึงมาไล่กูได้อย่างนี้แน่นอน”

สักวันก็อยากจะบอกความจริงทุกอย่างเหมือนกัน แต่ก็กลัวเหลือเกินกับสิ่งที่ทำเกินตัว ยิ่งมีความผิดฆ่าเพื่อนตัวเองปากมันก็ดันแข็งขึ้นมา

“กูไปก่อนนะสิงห์ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ... รักมึงนะ”

รักไฟเหมือนกัน รักมาก และขอให้เดินทางปลอดภัย

เสียงคนกระโดดลงพื้นและวิ่งออกไปทำให้สิงห์เผลอส่งเสียงออกมา เขายังกำผ้าในมือและเดินไปทางหน้าต่าง มองเห็นแผ่นหลังคนรักอยู่ไกล ๆ ก่อนจะหายเข้าไปในป่า

“ไฟ...” สิงห์เม้มปากคุกเข่าลงตรงนั้นที่ไปกอดลาอีกฝ่ายไม่ได้

 

ปี ๒๔๘๗

สิงห์รู้แล้วว่าไฟกลับมาแต่เขาก็ยุ่งเหมือนกัน พอจ่าธงบอกว่าไฟจะไปจับเสี่ยโก้ที่บาร์ สิงห์เลยไปที่นั่น ทำเป็นไปนั่งคุยกับลูกน้อง แต่ที่จริงอยากไปเจอ ตอนเห็นหน้าคนรักดวงใจก็เต้นระส่ำ พอเห็นว่าไฟดูใจเย็นขึ้นก็ยินดีกับอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็จำต้องแสดงละครต่อไป

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ เทิดบาดเจ็บจนต้องพักรักษา สิงห์เลยปลอมตัวไปเป็นสายให้สารวัตรโขมแทน แล้วเขาก็เจอกับคนรัก แต่เพราะไฟไม่รู้ว่าเขาคือใคร จึงเผลอตัวเขียนข้อความในสิ่งที่อยากพูดกับอีกฝ่าย

“คุณนี่ลายมือสวยมากเลยนะครับเหมือน...” เสียงนั้นเงียบไปและสิงห์ก็รู้ดีว่าไฟหมายถึงใคร “ขอโทษทีครับ”

ภายใต้ผ้าปิดปากสิงห์ยิ้มบางก่อนจะก้มเขียนอีกรอบในสิ่งที่อยากจะบอก

‘ดูแลตัวเองด้วย’

เขาเห็นคนรักดูตกใจแต่ก่อนจะได้คุยอะไรคนอื่น ๆ ก็ออกมา

“แล้วคุณจะไปด้วยกันไหมครับ” สิงห์ยกกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นแทนการตอบ “ถ้างั้นผมไปก่อนนะ”

สิงห์นิ่งไปมองสำรวจคนรักให้เต็มตาก่อนจะพยักหน้า และขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามหลังเพื่อคุ้มกันอีกที

 

วันนี้ต้องมาขอความร่วมมือกับหลวงธารานันท์ สิงห์ออกจะเบื่อหน่ายเสือเอี้ยงที่กระแนะกระแหนใส่คนอื่น แต่ที่มันพูดก็ไม่ผิดนัก ในเมื่อตกลงอะไรไม่ได้ก็เตรียมจะกลับที่ของตัวเอง

“เดี๋ยวก่อนสิงห์” หลวงธารานันท์เอ่ยเรียก

สิงห์จึงพยักหน้าบอกหลวงรวีชัยเป็นเชิงว่าให้ไปก่อน “ขอรับ”

“อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลยนะลูก” หลวงธารานันท์ดูเศร้าสร้อย “พ่อไม่อยากให้ลูกต้องแบกรับเรื่องพวกนี้ บางทีลูกควรจะบอก—”

“พอเถอะขอรับ” สิงห์สั่งเสียงแข็ง “กระผมต้องขอบคุณ คุณหลวงที่หวังดีแต่กระผมเลือกแล้ว”

“อย่างน้อยคนที่สำคัญกับลูกก็ควรจะรู้”

สิงห์หันหน้าหนี “อย่ายุ่งกับชีวิตกระผมเลยขอรับ” เขาบอกไปแล้วว่าเหตุผลที่ทำเพราะอะไร แต่ตอนนี้เรื่องมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

“พ่อเห็นเอ็งเหมือนลูกนะสิงห์”

“ในเมื่อคิดอย่างนั้น ก็อย่ายุ่งกับกระผม ถือว่าลูกขอแล้วกันขอรับ” สิงห์หันมองก่อนจะเดินออกไปไม่ฟังเสียงเรียกของหลวงธารานันท์เลยสักนิด ได้แต่ขอโทษคนที่เปรียบเสมือนพ่อในใจ ถึงจะอยากบอกไฟมากเหมือนกันแต่ก็ยังทำไม่ได้ เขาไม่มีความกล้ามากพอ

 

 

สิงห์นัดกฤษมาคุยเรื่องเจ้าสัวเหวย เพราะเขาได้ส่งกฤษกับลุงสมหมายเข้าไปเป็นสายด้านใน แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมาเห็นพวกเขา

“หมวดไฟ?” ภพรีบลดปืนลง “มาอยู่ที่นี่ได้ไง”

ไฟกัดฟันก่อนจะทำเป็นจับกฤษไว้ “ผมต่างหากที่ถามพวกคุณว่ามาทำไมกัน ผมกำลังจะจับคนที่ให้การเท็จเรื่องคดีที่ผมทำอยู่ พวกคุณรู้จักเขาหรือไง”

“เปล่า ไม่รู้จัก” สิงห์ตอบทันที ใบหน้าที่ดูตกใจเมื่อกี้หายไปแล้ว ไฟมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงหรือว่าจะรู้แล้วว่ากฤษปลอมตัวไปเป็นชาวบ้าน

พอเห็นกฤษหนีไปได้ก็นึกโล่งอก เกื้อกับภพรีบวิ่งไปยืนบังจนไฟหงุดหงิด เขาจึงเอ่ยบอกเสียงเรียบ เผื่อไฟจะหันมาสนใจเขาแทน “จะไปขวางภารกิจสำคัญของเขาทำไม นาน ๆ ที จะได้เห็นคนทำงานเป็นสักที ไม่ใช่เอาแต่หัวร้อนกับเรื่องไร้สาระ”

ไฟหันมองก่อนจะเดินไปผลักให้สิงห์ติดกำแพง “สนุกมากรึไง!”

สิงห์ใช้มือกวักไล่ให้ลูกน้องทั้งสองออกจากตรงนี้ถึงจะพูดกับคนตรงหน้า “ก็แค่ลูกน้องกูเผลอไปยืนบังมึงเอง จะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร”

“เหอะ” ไฟยิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเอง “กูแม่งโง่ฉิบหายที่ดูพวกมึงไม่ทัน ว่าโกหกอะไรกูบ้าง”

สิงห์นิ่งไปทันตา แต่ก็ยังคงเล่นละครตบหน้า “คิดเองเออเองอีกแล้วนะผู้หมวด ไหนบอกจะตามจับไง นี่หรือตามจับ หรือตามตัดพ้อไอเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี่นะเหรอ”

“มึงเหนื่อยไหมสิงห์”

พอเห็นว่าไม่ตอบอะไรไฟจึงพูดต่อ “ตอนนี้กูไม่มั่นใจอะไรในตัวเองแล้ว ว่ากูจะคิดว่ามึงเลือกเดินทางไหนกันแน่ ทุกครั้งที่กูคาดหวัง ก็จะเป็นมึงที่มาทำลายความหวัง ที่กูถามว่าเหนื่อยไหม กูก็ไม่รู้ว่ากูอยากได้คำตอบแบบไหน คำตอบที่บอกกว่าเหนื่อยจริง ๆ หรือคำพูดที่ทำลายความรู้สึกกูเพิ่มเพื่อให้กูตัดสินใจ ว่าจะไม่เชื่อในตัวมึงอีกแล้ว”

ต่างคนต่างเงียบไปกับความคิดของตัวเอง ใบหน้าของคนรักดูเจ็บปวด มือที่บีบไหล่เขานั้นค่อย ๆ คลายลงและปล่อยลงในที่สุด

“กูเข้าใจแล้ว” ไฟพยักหน้า “ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก เพราะมึงแสดงให้กูเห็นหมดแล้ว”

สิงห์ยังคงไว้ใบหน้าเรียบนิ่งพอไฟเดินออกไปจนลับตาเขาก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ได้แต่ขอโทษไฟในใจ ถึงจะขอโทษเป็นพัน ๆ ครั้ง ก็ยังไม่พอเลยด้วยซ้ำกับความผิดครั้งนี้

 




 ------------------------------------------------------------------------------

ตอนแรกว่าจะไม่เอาลง แต่สุดท้ายก็เอาลง5555555 เพราะอยากให้รู้จริงๆ

ให้คิดว่าตอนเราอ่านแต่พาร์ทของไฟเลยไม่รู้ว่าสิงห์คิดอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น ซึ่งตอนนี้ก็ได้รู้แล้วนะคะ

ซึ่งแต่ละเหตุการณ์นั้นก็น่าจะคุ้นเคยกันบ้าง

-          ๖ พฤษภาคม ๒๔๘๑ (ตรงกับบทที่ ๑๓ ย้อนวัย : อดีตที่จบสิ้น)

เป็นวันที่สิงห์ถูกพักราชการ ตอนนั้นคุณนักอ่านจะรู้แค่ว่าสิงห์เข้าไปคุยกับรองอนงค์ แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน เราเลยส่งช่วงนี้ลงไปค่ะ

-          ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๑ (ตรงกับบทที่ ๑๓ ย้อนวัน : อดีตที่จบสิ้น)

ซึ่งวันที่นี้ไม่มีในนิยาย แต่เป็นหลังจากวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ตามที่ในนิยายบอกว่าสารวัตรโขมจะมาบรรจุที่สถานีอ้อยขวาง และได้ไปพบปะกับคุณหลวงเพื่อขอให้สารวัตรโขมช่วยเหลือหลวงรวีชัย ตามที่บอกไปว่าสารวัตรรู้ว่ามีทีมลับแต่ยังไม่รู้ว่าสิงห์ก็อยู่ในทีมลับและเพิ่งรู้วันนั้นเองค่ะ ตามนิยายถ้าใครสังเกตจะเห็นว่าสารวัตรโขมนั้นคิดว่าสิงห์กลายเป็นโจรเต็มตัวจริงๆ

-           ๒๘ มีนาคม ๒๔๘๒ (ปีนี้ ตรงกับบทที่ ๑๔ : ฆ่าเพื่อน)

ไม่มีวันที่นี้ในนิยาย และไม่มีบอกในบท แต่ว่าเป็นปีเดียวกับที่จันถูกฆ่า นั่นเป็นครั้งแรกที่จันบอกสิงห์เรื่องที่ว่าฆ่าเพื่อนไม่ลงค่ะ

-          ๗ มิถุนายน ๒๔๘๒ (ตรงกับบทที่ ๑๔ : ฆ่าเพื่อน)

ทุกคนคงรู้ดีว่าวันนั้นตรงกับวันอะไร...

-          เมษายน ๒๔๘๓ (ตรงกับบทที่ ๑ : ศัตรูที่เกลียดไม่ลง)

ไม่มีเดือนนี้ในบท แต่ว่าเป็นเดือนก่อนที่จะจัดฉากว่าสิงห์สั่งฆ่าแม่กับน้องตัวเอง หลังจากนั้น ตามบทที่มี คือวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๓ เป็นวันเริ่มดำเนินแผนนั่นเองค่ะ

-          ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๘๓ เวลา ๐๐:๒๐ น. (ตรงกับบทที่ ๒ : ยังคงรัก)

ถ้าจำได้ไฟจะแอบไปหาสิงห์ และหน้าต่างเปิดไว้ไม่มีใครเฝ้าข้างล่างด้วย ก็เป็นเพราะสิงห์เองนั่นแหละค่ะที่รออีกฝ่าย แต่ต้องแสดงละครตบตาว่าไม่ได้รอ ทุกคนน่าจะจำได้ว่าไฟเอาผ้าปิดปากกับหมวกถอดไว้ แต่ก็ไม่ได้เอากลับ เพราะลืมนั่นเอง5555 แต่สิงห์ก็กอดผ้าพวกนั้นไว้ และบอกลาไฟเหมือนกันค่ะ แม้จะในใจก็เถอะ

-          ปี ๒๔๘๗ ปัจจุบัน (ตรงกับบทที่ ๑๖ : ผลชันสูตร บทที่ ๑๗ : ทีมลับ และ บทที่ ๑๘ : สัตว์เดรัจฉาน)

บทที่ ๑๖ คือตอนที่สารวัตรโขมถูกลอบฆ่า แล้วเทิดบาดเจ็บจากงานอื่นพอดีสิงห์เลยมาแทน และบอกความจริงไปแล้วในบทที่ ๒๑ : กำจัดปลาน้อยอีกครั้ง

บทที่ ๑๗ คือตอนที่สารวัตรโขมต้องไปปกป้องหลวงธารานันท์หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันค่ะ ถ้าใครจำได้หลวงธารานันท์จะพูดกับสิงห์เหมือนรู้และให้บอกไฟ แต่สิงห์ก็เริ่มกลัวและไม่กล้าค่ะ จากที่ทำเรื่องเลวร้ายมาตลอดแม้บางอย่างที่ทำมันจำเป็นก็ตาม

บทที่ ๑๘ ทุกคนน่าจะจำได้ว่าสิงห์ดูตกใจที่เห็นไฟ ช่วงนี้ใครหลายคนน่าจะเดาออก ว่าสิงห์ไม่ได้ตั้งใจทำ และมีแผนการอยู่

ในตอนนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากเล่าในพาร์ทของสิงห์ที่คุณนักอ่านไม่ได้รู้ มันเยอะมากเลย จริงๆก็มีที่ยังไม่ได้เปิดเผยอีกแต่คิดว่าพอแค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวมันจะยาวจนเกินไป จบแล้วก็ต้องพักสมอง อ่านเรื่องไม่เครียดแหละเนาะ55555


ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทพิเศษ ๑.๔

แทบขาดใจ

 


ปี ๒๕๐๒

“เฮ้ย ๆ ๆ จับมันเร็ว” เสียงทุ้มใหญ่พูดเสียงดัง หนวดสีเข้มอยู่เหนือปากทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นมาก มือก็เท้าเอวมองเด็กสามคนวิ่งกันให้วุ่น “เอ้าไอกล้า เอ็งจะไปกลัวมันทำไมวะ!”

คนที่นั่งอยู่กับโต๊ะไม้ใกล้ริมคลองมองสี่ลุงหลานกำลังวุ่นกับการจับไอมารวยหรือสุนัขที่ชอบมาคาบรำไปกิน วันนี้ก็มาอีกแล้ว สิงห์ส่ายหน้าปากเจือด้วยรอยยิ้มมือก็วุ่นอยู่กับการประกอบสายเอ็นกับที่เกี่ยวเบ็ดให้เด็ก ๆ ทั้งสามคนที่วันนี้อยากจะมาตกปลากับลุงไฟเขา

“ไอแก้วไปดักตรงนู้นสิ” ไฟชี้ย้ำ ๆ แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี “ไม่ได้เรื่องเลยพวกเอ็งเนี่ย”

“โห่ บ่นอยู่นั่นแหละ ลุงไฟไม่มาจับเองล่ะ” เสียงเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นและก็เป็นเสียงเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ที่มีศึกระหว่างคู่ลุงหลานสองคนนี้บ่อยเสียซะจนคนนอกคิดว่าไฟทารุณเด็ก แต่เป็นแค่การปะทะฝีปากที่มีแต่เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น บ่นกันไปกันมาอยู่อย่างนั้นแหละ สิงห์เองก็ห้ามจนเอือมเช่นกัน อะไรจะกัดกันซะยิ่งกว่าหมาแบบนี้

“อ่าวไอนี่ หาเรื่องข้าหรือวะ” ไฟเท้าสะเอวมองหลานตัวน้อยที่สุดในนี้ที่หน้าตาดูดื้อเป็นอย่างมาก

“ลุงไฟนั่นแหละขี้บ่น เป็นคนไม่ดูเองแล้วใช้เด็กมาจับหมาแทน”

“ไอเด็กนี่ปืนเกลียว” ไฟหงุดหงิด

“ลุงสิงห์” แต่พอเปลี่ยนเป็นใครก็ตามที่ไม่ใช่ลุงไฟ เด็กคนนี้ก็เรียกเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหา กอดผู้เป็นลุงเอาไว้แล้วทำหน้าเศร้า “ดูลุงไฟสิ ว่าต้นสนอีกแล้ว”

ไฟถึงกับอ้าปากพะงาบ ๆ

“พี่ไฟไปจับเองแล้วกัน เหนื่อยอะ อยากตกปลาแล้ว” แก้วที่โตเป็นหนุ่มอายุยี่สิบห้าเดินทำหน้าเซ็งไปช่วยลุงสิงห์ประกอบเบ็ดตกปลา

“ใช่ ๆ” กล้าในวัยยี่สิบสี่พยักหน้าเห็นด้วยและอาสาไปขุดไส้เดือนแทน

แก้วและกล้าเรียนจบมหาลัยกันแล้วและมาเป็นหัวหน้างานที่ไร่แทน แก้วจะดูพืชผักส่วนกล้าจะดูทางคลองที่เอาไว้เพาะพันธุ์ปลาและพวกคอกสัตว์อย่าง วัว หมูและไก่ ส่วนพี่ชายของทั้งคู่อย่างกฤษในวัยสี่สิบเอ็ดปีก็ดูเรื่องการส่งออกแทน

“น้ำมาแล้วจ้า” เด็กสาวอีกคนชื่อหนูอิ่มลูกของอัธ อายุยี่สิบเอ็ดเรียนมหาลัยอยู่แต่กลับมาบ้านช่วงวันหยุดและชอบมาที่นี่เหมือนกัน

“พ่อไปไหนล่ะหนูอิ่ม” สิงห์ถามถึงเพื่อน

“พ่ออัธไปจัดการเรื่องคนขโมยวัวจ้ะ”

สิงห์พยักหน้าพลางถอนหายใจ มีพวกขโมยมาแถวคอกสัตว์บ่อยเหมือนกัน เสืออัธหรือที่ตอนนี้ที่ไม่ให้ใครเรียกเสือนำหน้าแล้ว เลยเรียกอัธเฉย ๆ สิงห์ถือว่าอัธเป็นเพื่อนคนหนึ่งเพราะอายุสี่สิบเจ็ดเท่ากัน ส่วนเสือเอี้ยงหรือพี่เอี้ยงตอนนี้แกไปอยู่ต่างจังหวัดแล้ว

“เด็กพวกนี้อ่อนแอกันนัก”

แก้วถึงกับส่ายหัว “พาลใส่เด็ก”

“ใช่” เด็กน้อยสุดในวัยสิบขวบผสมโรงจนไฟได้แต่เท้าเอว

“พอเลยตัวแสบ ไปช่วยพี่กล้าขุดไส้เดือนไป” สิงห์ยีหัวหลานชายอย่าง ‘ต้นสน’ ที่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สองปีที่แล้ว เห็นบอกว่าจริง ๆ จะไม่มาแล้วหากปราชญ์ยังอยู่ที่นั่น แต่ว่าปราชญ์ในตอนนี้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ต้นสนคงจะเหงาน่าดู ต้นอ้อบอกว่าต้นสนติดหนูปราชญ์มาก ติดขนาดที่ว่าตอนบอกลากัน ต้นสนร้องไห้ไม่หยุดเลย ถึงแม้หนูกรณ์จะไปเล่นด้วยบ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรเท่ากับหนูปราชญ์ ต้นสนเลยขอมาอยู่กับเขาแทนเพราะกลัวจะเอาแต่คิดถึงพี่ปราชญ์ของเจ้าตัวจนไม่เป็นอันทำอะไร

และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะอยากเป็นตำรวจจึงอยากมาเรียนการต่อสู้และให้สอนพิเศษส่วนตัวจากลุงทั้งสอง สิงห์คิดว่าโตไปต้นสนอาจจะเปลี่ยนใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะพากลับพระนครเพื่อเรียนต่อมหาลัยแทน คงต้องรอดูอีกนิดว่าต้นสนยังเลือกจะอยากเป็นตำรวจอยู่ไหม สิงห์ก็ไม่อยากบังคับอะไรมากอยากให้หลานเรียนในสิ่งที่ชอบก็พอ

“ครับผม” พอเป็นลุงสิงห์ก็พูดจาว่าง่าย ก่อนจะวิ่งไปหาพี่กล้าไม่วายยังหันไปแลบลิ้นใส่ลุงไฟ

“อ่าว ๆ เฮ้ย ๆ กล้านักนะ”

“เหนื่อยไหมคะลุงไฟ ดื่มน้ำเสียหน่อย คอแห้งหมดแล้วมั้งมัวแต่บ่นหลาน” หนูอิ่มว่าแล้วยื่นขันเล็กไปให้

สิงห์หัวเราะ “มานั่งนี่มา เอาแต่โวยวายอยู่นั่น”

“ก็ดูหลานสิงห์สิ” ไฟขมวดคิ้วมุ่นยอมนั่งลงและรับน้ำจากหนูอิ่มมาดื่ม

“ทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นไปได้” สิงห์ส่ายหน้า

“ใช่” แก้วกับอิ่มพยักหน้าตาม

“ใช่ ๆ” ไฟเขกหัวไอหลานทั้งสอง

“เนี่ยดูสิ พี่สิงห์” แก้วทำเป็นร้องโอดโอย

“นิสัยไม่ดีเลยลุงไฟ” อิ่มแกล้งเจ็บเสริม

“ไอเด็กพวกนี้” ไฟเท้าเอว

“พอเลย” สิงห์ห้ามทั้งสามก่อนจะสอนหนูอิ่มเรื่องทำเบ็ดตกปลา

เพียงไม่นานทุกคนยกเว้นสิงห์มานั่งเรียงกันริมคลองเพื่อจะตกปลา แล้วก็เป็นอย่างเคยที่คู่ลุงหลานที่นั่งข้างกันบ่นใส่กันตลอด

“ลุงไฟอย่ามาตกปลาใกล้ต้นสนสิ”

“เอ้า ก็ที่ตรงนี้ข้านั่งมาตั้งนาน เอ็งนั่นแหละมาตกปลาใกล้ข้าเอง” ว่าแล้วก็ขยับเบียดหลานไปที

“ลุงสิงห์” ต้นสนทำเป็นงอแงร้องเรียกให้ลุงช่วย ส่วนไฟก็ทำเสียงเรียกล้อเลียน

“โอ๊ะ” ไฟร้องเสียงหลงเมื่อถูกผลักหัวจนเด็ก ๆ ขำกันหมด

“ไปแกล้งหลาน” สิงห์ที่เดินมาผลักหัวว่าก่อนจะนั่งลงบนเสื่อด้านหลังทั้งคู่ “ใครเขาสอนให้นั่งเรียงกันตกปลา ทำไมไม่ห่างสักนิดบ้าง”

พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็ปลีกตัวแยกย้ายแยกกันไป แต่ก็ไม่ห่างกันมาก ตรงนี้จึงเหลือเพียงสามลุงหลาน

“ลุงไฟไปนู่นสิ” ต้นสนยู่ปากทำเป็นชี้แทนนิ้ว

“นู่นไหนล่ะวะ” ไฟยู่ปากตาม

“พี่ไฟอย่าทำเลย ขอร้อง” แก้วที่นั่งไกลออกไปนิดเอ่ยบอก

“อะไรวะ” ไฟส่ายหัว

“ลุงไฟไปนั่งตรงนู้น” ต้นสนยังไม่เลิกบ่น

“เอ๊ะ ข้าจะนั่งตรงนี้มีปัญหารึไง” ไฟขมวดคิ้ว

“ไม่ได้ เดี๋ยวปลาไม่กินเหยื่อของต้นสน”

“ก็ช่างเอ็งสิ”

“ลุงสิงห์” ต้นสนหงายหลังเพื่อซุกอกคนเป็นลุงที่นั่งข้างหลังทันที “ตีลุงไฟให้หน่อย”

สิงห์อดจะหัวเราะไม่ได้ หยิกแก้มหลานอย่างนึกมันเขี้ยว “ก็นั่งด้วยกันเนี่ยแหละ”

พอเห็นคนรักเข้าข้างก็ทำเป็นยักคิ้วใส่หลาน

“ถ้าไอมารวยมากินไส้เดือนล่ะ เพราะลุงไฟเลยนะ”

“หมามันจะกินไส้เดือนทำไมวะ”

ต้นสนหน้าหงิกมือทั้งสองยังถือเบ็ดตกปลาแต่ตัวเอนพิงกับหน้าอกของลุงสิงห์แล้ว “ลุงสิงห์ตัวหอมจัง” ไม่ว่าเปล่ายังซุกแล้วสูดดม

“เฮ้ย ๆ ลามปาม” ไฟถึงกับดึงหัวหลานให้ลุกขึ้น แต่ต้นสนก็เบี่ยงตัวหลบ

“อย่ามาจับหัวต้นสนนะ” ต้นสนหงุดหงิดผละแขนข้างหนึ่งมากอดแขนลุงสิงห์ไว้

“ห้ามหอมเว้ย ของข้าคนเดียว”

“อ้วกกก” ทั้งแก้วและอิ่มพากันทำเป็นอ้วก ส่วนกล้าก็หัวเราะไม่หยุด

“อะไร ๆ ก็ข้าพูดจริง นี่เมียข้า ข้าหอมได้คนเดียว” พูดเสร็จก็หอมแก้มโชว์จนแก้วกับอิ่มทำหน้าเอือมระอาส่วนต้นสนหวงลุงยิ่งกว่าสิ่งใดรีบวางเบ็ดตกปลาแล้วลุกขึ้นไปนั่งตักลุงไม่ให้ลุงไฟยุ่ง

สิงห์กอดหลานไว้ไม่ให้ตก แก้มแดงเล็กน้อย ไม่เคยชินเสียทีกับการถูกหอมต่อหน้าหลาน ๆ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ทุกคนจะรู้กันแล้ว แต่ก็อดเขินอายไม่ได้ที่ยังคงทำตัวหวานหยดย้อยทั้ง ๆ ที่อายุจะห้าสิบกันอยู่แล้ว

“ทำอะไรไม่อายบ้างรึไง” สิงห์ตีแขนคนรัก

“อายทำไม โธ่” ไฟยักไหล่จะเข้าไปหอมก็ถูกกันไว้

“ห้ามหอม” ต้นสนขมวดคิ้วมุ่น

“ตัวโตจะเท่าควายอยู่แล้ว ยังไปนั่งตักอีก”

ต้นสนกะพริบตาหันมองลุงสิงห์ทันที “ต้นสนตัวใหญ่เหรอ”

“ไม่ใหญ่ครับ ยังเล็กอยู่ ลุงสิงห์อุ้มได้เลยนะ” ว่าพลางลูบหัวหลาน

“เห็นไหม” ต้นสนยักคิ้วใส่ลุงไฟ

“นี่ก็เข้าข้างหลานจัง” ไฟโคลงหัวคนรัก

ตกปลากันจนเย็น ทางแก้วกับกล้าก็ออกไปดูงานนานแล้วส่วนอิ่มคงไปหาพ่อตนเอง ตอนนี้สามลุงหลานอยู่บนบ้านกำลังช่วยกันทำกับข้าว สิงห์เอาหมูที่หมักมาทอด ส่วนไฟหุงข้าว ต้นสนทำหน้าที่เด็ดผัก

“อยากกินกะปิจังเลย” ต้นสนว่า

“เผ็ดจะตาย” ไฟส่ายหน้า

“เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เย็น ๆ เราไปตลาดแล้วซื้อของมาทำแล้วกันนะ” สิงห์บอกหลาน

“จ้ะ”

“ซื้อหน่อไม้มาด้วยนะ อยากกินผัดไข่หน่อไม้” ไฟบอกเพราะพรุ่งนี้ทำงานคงกลับดึก

“จืดจะตาย” ต้นสนล้อเลียน

“เดี๋ยวก่อน ๆ” ไฟเอาพัดชี้หน้า

เพียงไม่นานกับข้าวก็เสร็จเรียบร้อย มีปลากับหมูทอด ไข่เจียว แกงเลียงปลาช่อน ทั้งสามพากันช่วยขนกับข้าวไปที่กลางบ้าง สิงห์ตักข้าวใส่จานให้ตนเองและคู่ลุงหลาน ที่คนหนึ่งถือถาดกับข้าวส่วนอีกคนถือขันน้ำ

“ลุงไฟอย่าชนต้นสนนะ เดี๋ยวน้ำหก”

“เดินห่างกันเป็นวา” ไฟส่ายหน้าวางกับข้าวลงกลางโต๊ะ

“ต้นสนจะนั่งข้างลุงสิงห์นะ”

“เออ ๆ” ไฟพยักหน้าอย่างเอือมระอา ไอนี่หวงลุงของมันเสียจริง

ต้นสนกินเยอะเป็นพิเศษเพราะทั้งวันมัวแต่ตกปลาจนลืมกินข้าว กินไปได้นิดเดียวก็เผลอวางไว้จนมดขึ้น ถูกลุงสิงห์ดุเลย

“ค่อย ๆ กิน กลัวใครเข้าแย่ง” ไฟบอกหลาน

“กลัวลุงไฟแย่ง” ต้นสนหัวเราะ

“พรุ่งนี้ลุงสิงห์ไปรับแล้วเลยไปตลาดเลยนะ”

“จ้า” ต้นสนพยักหน้า

“อยากไปด้วยอยู่ ว่าจะซื้อตะปูเพิ่มมาทำโต๊ะนั่งแถวริมคลอง ตะปูมันไม่พอ”

“เดี๋ยวสิงห์ซื้อมาให้ก็ได้”

“บอกลุงชัยแกไปว่าเอาสามนิ้ว ตะปูตอกไม้เฉย ๆ เอาลังหนึ่ง” พอเห็นคนรักพยักหน้าก็เตือนอีกเรื่อง “ไปแล้วก็ระวังด้วยล่ะ โจรมันชุมอีกแล้ว ตลาดแถวนั้นโดนบ่อย”

“ไม่เป็นไร จะรีบซื้อรีบกลับ”

“มีต้นสนอยู่ไม่ต้องห่วง” ต้นสนยิ้มแก้มปริ

“น่าห่วงล่ะสิไม่ว่า”

“วุ๊ ลุงไฟอะ” ต้นสนหงุดหงิดแล้ว

หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ต่างคนต่างไปอาบน้ำ ต้นสนนอนแยกห้อง แม้ว่าช่วงแรกที่มาอยู่จะมานอนกับลุงสิงห์ตลอดแต่ก็เริ่มนอนคนเดียวได้เมื่อปีที่แล้ว

“พรุ่งนี้เช้าถ้าอยากทำบุญกับลุงก็ตื่นเช้า ๆ นะ”

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงยานคางเพราะเริ่มง่วงแล้ว สิงห์จึงหอมหัวหลานกางมุ้งให้แล้วเดินกลับห้องตัวเองที่อยู่ข้าง ๆ

ห้องมืดลงแล้ว หน้าต่างก็ปิดเรียบร้อย สิงห์จึงเข้าไปในมุ้งเห็นคนรักกำลังนอนหนุนมืออยู่

“อะไร” สิงห์ถามเสียงเบาเมื่อเห็นดวงตาที่จดจ้องอย่างวาบหวาม ก่อนจะนอนลงพร้อมเหล่มองคนรักที่ยังคงมองไม่หยุด

“ตัวหอมจริงเหรอ” ไฟถาม

“ไม่หอม”

“แต่หลานบอกตัวหอม” ไม่ว่าเปล่ายังก้มไปหอมแก้มดังฟอด

“อือ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ไฟกระซิบเสียงพร่าหนวดสีเข้มขยับคลอเคลียตามซอกคอ

“หนวดมันทิ่ม” สิงห์เอียงหน้าดันอกคนรักที่คร่อมตัวตนไว้

“ก็ทิ่มทุกวัน”

พอได้ยินอย่างนั้นสิงห์ก็หน้าร้อนผลักหัวไปที “เดี๋ยวเถอะ”

ไฟหัวเราะในลำคอสอดตัวเข้ากลางหว่างขาขยับให้ขาคนรักอ้าออกก่อนจะแนบตัวให้ชิดกันขยับบดเบียดจนคนใต้ล่างครางอื้ออึง

ปากบางเผยอรับจูบยามที่ลิ้นร้อนแทรกเข้ามา เกี่ยวกวัดกันอย่างไม่ยอมใคร แขนขาวโอบรอบคอคนด้านบนไว้ จิกกับผมสีเข้มที่เริ่มมีงอกขาวประปราย เปล่งเสียงในลำคอยามที่ถูกคนรักเบียดส่วนล่างจนเนื้อผ้าเกิดเสียงเสียดสีดังทั่วห้อง

กางเกงผ้าลื่นถูกล่นไปอย่างง่ายดายด้วยมือของไฟ ก่อนที่สิงห์จะเม้มปากกลั้นเสียงยามที่ถูกปรนเปรอด้วยปากของอีกฝ่าย

ไฟเลิกเสื้อคนรักให้ขึ้นจนถึงหน้าอกใช้มือลูบอย่างหลงใหล “ขาวเสียจริง”

คนฟังได้แต่หลบตา หอบหายใจแรงยามที่นิ้วอีกฝ่ายเกลี่ยกับหัวสีชมพูที่ชูชันตามแรงอารมณ์

สิงห์กัดปากแน่นเล็บเผลอจิกกับไหล่คนรัก ลิ้นร้อนที่ตวัดแทนนิ้วทำให้หลังของสิงห์แทบไม่ติดเตียง

“อย่ากัด” สิงห์รีบมองคนรักที่เคลื่อนหน้าขึ้นมากัดคอตนเบา ๆ ยิ่งหนวดสีเข้มขยับซุกไซร้ขนแขนก็ขนลุกชัน

ไฟจับแท่งสีเนื้อสัมผัสกับช่องทางโดยที่ยังไม่ได้สอดใส่ เสียงทุ้มครางต่ำอย่างอดกลั้นแขนหนาขึ้นเส้นเลือดจนเห็นชัด เพียงเข้าแค่นิดเดียวคนใต้ล่างก็เผลอร้องครางเสียงดังจนต้องเอามืออุดปากไว้เพราะกลัวหลานได้ยิน

“เจ็บหรือ” ไฟถามเสียงเครียด

สิงห์ส่ายหัว “ตกใจอยู่ ๆ ก็ใส่”

พอได้ยินอย่างนั้นไฟก็หัวเราะก้มลงหอมแก้มย้ำ ๆ พร้อมกับสอดเนื้อร้อนเข้าไปอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเริ่มขยับเมื่อคนรักปรับตัวได้ เอวหนาเขยื้อนเนิบนาบและเริ่มเร็วขึ้นตามอารมณ์ที่รุนแรงขึ้น

เสียงเตียงดังลั่นห้องพอ ๆ กับเสียงครางของสิงห์ที่ไม่กักเก็บไว้แล้ว จริง ๆ เคยร้องดังกว่านี้แต่ต้นสนก็ไม่ตื่นเลย คงจะโชคดีที่หลานเป็นคนหลับลึก แต่ถึงอย่างนั้นก็ระวังไว้ดีกว่าเพราะกลัวว่าหลานเผลอตื่นกลางดึกแล้วได้ยินเอา

“อื้อ เบา ๆ เดี๋ยวหลานได้ยิน” มือขาวรีบดันหน้าท้องของคนรักไว้ทันทีที่ขยับแรงจนเตียงมันกระทบกับผนังห้องดังเกินไป

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ลุงสิงห์ เป็นอะไรหรือเปล่า ลุงสิงห์”

ยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเคาะห้องพร้อมกับเสียงเรียก ไฟถึงกับครางในลำคอเพราะต้องหยุดกลางคัน

“ไฟ... สิงห์ไม่ได้ล็อกห้อง” สิงห์บอกคนรักอย่างตกใจเพราะไม่เคยล็อกห้องเผื่อหลานมีเรื่องอะไรจะได้เข้าห้องมาได้

“ลุงสิงห์” ต้นสนเปิดประตูเข้ามา แต่เพราะความมืดแล้วก็มุ้งมันทำให้มองไม่ค่อยเห็นด้านใน แต่เห็นใครเหมือนนั่งบนเตียง “ลุงไฟเหรอ ลุงสิงห์ร้องทำไม”

ไฟพรูลมหายใจ หันไปมองหลาน “ไม่มีอะไร เอ็งจะมาขัดทำไม รีบไปนอนไป”

“อ่าว” ต้นสนหน้าบึ้ง “ก็ต้นสนเป็นห่วงลุงสิงห์ ไหนขอดูลุงสิงห์หน่อย ลุงสิงห์เป็นอะไร”

“เฮ้ยอย่า” ไฟรีบเอาผ้าห่มมาคลุมคนรักไว้

“ลุงไม่เป็นไรครับ” กว่าจะเปล่งเสียงได้ก็เกือบใจหาย “ต้นสนไปนอนนะ”

ต้นสนยังไม่ไว้วางใจ “ไม่เป็นอะไรแน่นะ”

“ครับ” สิงห์ตอบเสียงสั่นมือจับผ้าห่มแน่น

“ถ้าลุงไฟทำอะไรบอกต้นสนนะ”

“ครับลูก”

“ไปได้แล้วไป”

ต้นสนจิ๊ปาก “รู้แล้ว ห้ามทำอะไรลุงสิงห์นะ”

“เออ” ไฟส่ายหัว พอห้องถูกปิดลงก็เริ่มขยับอีกครั้ง

“อ๊ะ บอกว่าเบา ๆ” สิงห์ตีแขนคนรัก

ไฟยอมทำตามกระแทกกระทั้นไม่รุนแรงนักแต่การทำแบบนี้ก็ไม่ต่างกันมาก เตียงมันก็ชนกับผนังอยู่ดี

เดี๋ยวได้ทำกระท่อมเล็ก ๆ กลางนาจะได้ไม่สนว่าใครจะได้ยิน

มือขาวปิดปากตัวเองแน่นเมื่อเริ่มจะเสร็จ คราวนี้เตียงกระทบผนังดังยิ่งกว่าเก่าแต่ทั้งคู่ก็ไม่สนอะไรแล้ว สิงห์หอบหายใจแรงผละมือออกไปโอบบ่าคนรักร้องครางเสียงดังก่อนที่จะปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาตาม ๆ กัน

“เฮ้อ” สิงห์ถอนหายใจลูบหลังคนรักที่นอนทับตัวเองทันทีที่เสร็จ ปากบางขยับจูบตามขมับอย่างรักใคร่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ลุงสิงห์ร้องอีกแล้ว ลุงไฟทำอะไร”

ไฟทนไม่ไหวตะโกนเสียงดัง “ข้าทำลูกเว้ย โอ๊ย”

สิงห์หยิกเอวทันที “ตาแก่นี่พูดอะไร”

สุดท้ายสิงห์ก็ต้องใส่เสื้อผ้าลุกไปบอกหลานว่าไม่ได้เป็นอะไร กลับมาแทนที่จะได้นอน ตาแก่ไฟก็ดันคึกขึ้นมาอีกรอบ แต่เปลี่ยนลงไปทำข้างล่างแทน...

 


พ่ายโลกันตร์




พอถึงเวลาเลิกเรียน เด็ก ๆ ต่างก็เดินกลับบ้าน บ้างก็ขี่จักรยานกลับ ส่วนต้นสนยืนรอลุงสิงห์หน้าโรงเรียน เห็นรถมอเตอร์ไซค์ขี่มาจอดข้างหน้าก็ยกมือไหว้แล้วขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายทันที

“วันนี้นะ ต้นสนได้ทำม้าก้านกล้วยด้วย”

“จริงเหรอ เก่งจังเลย” สิงห์ยิ้ม ไม่ได้ขี่รถเร็วมากค่อนข้างช้าเพราะห่วงหลาน

“แต่เพื่อนบอกต้นสนว่าเหมือนม้าเด็ก”

“ทำไมล่ะ”

“ก็มันเล็ก” ต้นสนพูดเสียงเบา

“ไม่เป็นไรครับ ม้าเด็กก็มีแถมน่ารักเสียด้วย ลุงสิงห์ยังทำม้าเด็กไม่ได้เลย”

หลานยิ้มกว้าง “ใช่ ๆ ม้าเด็กทำยาก”

ต้นสนพูดจาเจื้อยแจ้วตลอดทางเพียงไม่นานก็มาถึงตลาดแถวบ้าน ต้นสนตื่นเต้นทุกครั้งที่มาตลาดเพราะคิดว่าได้มาเที่ยวข้างนอก เดินชมโน่นชมนี่ตามภาษาเด็กที่อยากรู้อยากเห็น ยิ่งเห็นปลาเป็น ๆ ในกะละมังดิ้นไปมาก็ตกใจ แม้บ้านตัวเองจะตกปลาเกือบทุกวันเห็นปลามากมาย แต่พอมาเจอที่อื่นก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้

“ปลาไหลตัวใหญ่มากเลยลุงสิงห์” ต้นสนว่า เพราะที่คลองใกล้บ้านไม่เคยเห็นปลาไหลเลย

สิงห์ได้ของมาครบแล้วก็เหลือแต่ตะปูของคนรัก ว่าแล้วก็เดินนำหลานไปร้านขายเครื่องมือที่มีที่เดียวในจังหวัดนี้

“อ่าวท่านรองมาเอาอะไรครับ” ถึงแม้ว่าสิงห์จะออกจากราชการหลายปีแล้วแต่ชาวบ้านก็ยังรู้จักและเรียกท่านรองมาตลอด

“ตาไฟบอกจะเอาตะปูตอกไม้ สามนิ้วน่ะลุงชัยมีไหม”

“มีครับ ๆ”

“เอาลังหนึ่งนะครับลุง”

“ได้เลย รอเดี๋ยวเดียว” ลุงชัยว่าพร้อมกับเดินไปหาตะปูมาให้

“ต้นสนอย่าจับ” สิงห์ว่าแล้วให้หลานถอยออกจากของในร้าน

“ต้นสนเห็นทองหยอดหน้าร้าน ต้นสนไปซื้อได้ไหม”

สิงห์หันไปมองก็พบว่าไม่ไกลจึงให้เงินไป “ซื้อเสร็จรีบมาหาลุงนะ”

“จ้ะ” ต้นสนยิ้มดีใจวิ่งออกไปหน้าร้านสั่งขนมทองหยอดทันที พลันเสียงร้องก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ ต้นสนเห็นยายขายทองหยอดวิ่งไม่ไหวเลยช่วยพยุง แต่ยังไม่ทันไปไหนต้นสนก็ถูกมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าช่วงท้อง

“ต้นสน!!” สิงห์ที่วิ่งออกมาเพราะเสียงร้องตะโกนของชาวบ้านก่อนจะหยิบเหล็กจากร้านลุงชัยฟาดใส่หน้าโจรคนหนึ่งที่จะวิ่งหนีแล้วหันไปเตะสีข้างของโจรอีกคนที่เอามีดแทงหลานตนเอง พอมันล้มลงก็ใช้เหล็กฟาดหัวจนมันสลบ

“ท่านรอง” ตำรวจนายหนึ่งตกใจก่อนจะเรียกคนอื่นมาจับกุม “พวกมันอีกสองคนอยู่ตรงนี้!”

“ต้นสน” สิงห์เสียงสั่นรีบไปช้อนตัวหลานขึ้นมา

“สิงห์” ไฟที่มาถึงเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากตัวหลาน “ไปเอารถมาเร็ว!”

“ครับ!”

“ต้นสน” ไฟใจหายรีบลงไปนั่งคุกเข่า

“เจ็บ” ต้นสนน้ำตาคลอ

“ทนไว้นะ ไม่เป็นไร อย่าหลับนะต้นสน” ไฟลูบหัวหลานก่อนจะหันมองคนรักที่ตัวสั่นไปหมด และร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว

เพียงไม่นานรถตำรวจก็มาจอด ไฟจึงอุ้มหลานให้ขึ้นไปหลังรถ สิงห์รีบนั่งให้หลานนอนตักทันที ฉีกเสื้อตัวเองเพื่อเอามาคลุมมีดไว้ไม่ให้ขยับมาก

“สิงห์ใจเย็น” ไฟรีบบอกคนรักที่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด น้ำเสียงเหมือนคนจะขาดใจ ได้แต่ภาวนาให้ถึงโรงพยาบาลเร็ว ๆ

พอมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่ได้หายห่วงเลยสักนิด สิงห์นั่งไม่ติดที่ได้แต่เดินวนไปมามือขาวกำแน่น

“สิงห์มานี่มา” ไฟดึงแขนคนรักให้มานั่งข้าง ๆ ก่อนจะกอดปลอบ

“สิงห์ผิดเอง สิงห์ไม่ดูหลาน”

“ไม่เป็นไร ๆ มันเป็นเหตุสุดวิสัย” ไฟลูบผมคนรัก “ไฟเป็นตำรวจมาตรวจกับมือยังปล่อยให้พวกมันหนีไปได้สองคน จนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

แท้จริงแล้วพวกมันมีห้าหกคน แต่ก็เผลอทำให้สองคนหลุดออกมาได้ ถือว่าเป็นงานสะเพร่าของเขาอีกคน

รออยู่หลายชั่วโมงหมอถึงจะออกมา สิงห์และไฟรีบลุกถามทันที

“ต้นสนเป็นไงบ้างครับหมอรัตน์”

หมอรัตน์เปรยยิ้ม “พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ต้องนอนพักที่นี่ก่อนยังกลับบ้านไม่ได้นะครับ”

“ขอบคุณครับหมอ ขอบคุณมากเลยครับ” สิงห์ยกมือขอบคุณก่อนจะคล้ายคนอ่อนแรงนั่งลงพิงกับเก้าอี้ทันที

ไฟคุยกับหมอรัตน์อีกสักพักก็ไปนั่งลงข้างกายพร้อมกับกุมมือคนรักไว้ “สบายใจแล้วนะ ตอนนี้หลานรอดแล้ว”

สิงห์พยักหน้าแม้ใจจะโล่งอกแต่ก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

 

ผ่านไปเดือนกว่าได้ ต้นสนออกจากโรงพยาบาลและวิ่งเล่นอย่างเดียว ต่างจากสิงห์ที่ใจหายใจคว่ำที่หลานวิ่งเล่นจนกลัวแผลจะฉีก แม้แผลมันจะปิดสนิทไปแล้วก็ตาม

“อย่าวิ่งสิต้นสน”

ต้นสนหัวเราะเสียงดังก่อนจะวิ่งมาหาลุงสิงห์ “ไม่ต้องห่วงนะ ต้นสนแข็งแรงมาก ๆ เลย”

“ต้องห่วงสิ ถ้าต้นสนเป็นอะไรไปลุงจะอยู่ยังไง” สิงห์ลูบหน้าหลาน

แม้ต้นสนจะปวดและชาตอนที่ถูกมีดแทงแต่ก็ยังรับรู้ ได้ยินเสียงร้องของลุงตนเองตลอด ต้นสนขอร้องลุงสิงห์ไม่ให้บอกพ่อกับแม่เพราะกลัวพวกท่านห่วง แต่ยังไงสิงห์ก็ต้องบอก ต้นอ้อกับเฟื้องรีบมาที่นี่ทันทีที่รู้เรื่อง

สิงห์จะให้หลานกลับไปอยู่พระนคร ต้นสนก็ร้องไห้เสียงดังไม่ยอมกลับท่าเดียว ดูเหมือนจะติดที่นี่เสียแล้ว ต้นอ้อกับเฟื้องก็บอกให้อยู่ที่นี่ เพราะที่นั่นเด็กช่างยังตีกันอยู่เลย มันหนักว่าที่นี่มาก ก็เลยต้องยอม

“ต้นสนสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้” ต้นสนทำหน้าจริงจัง “จะไม่ทำให้ลุงสิงห์ร้องไห้แล้ว”

พูดเสร็จก็ก้มหัวให้ลุงสิงห์ลูบผมก่อนจะทำหน้าหงุดหงิดเมื่อมีคนเดินมาร่วมวง

“ไงไอแสบ วิ่งฉิวเชียว” ไฟว่าพร้อมกับโอบไหล่คนรักไว้

ต้นสนมองมือของลุงไฟ ถึงจะหวงลุงสิงห์มากแต่ต้นสนยอมให้โอบนะเพราะว่าตอนต้นสนเจ็บมีแค่ลุงไฟปลอบลุงสิงห์ได้ ต้นสนมาปลอบไม่ได้

“ฮึ” ต้นสนหันหน้าหนี ก่อนจะวิ่งออกไปกลางทุ่งนาหันมาโบกมือให้ลุงทั้งสองที่ยืนมองอยู่

“ร่าเริงดีจริง”

“ซนเหมือนลิงมากกว่า”

สิงห์ส่ายหัวก่อนจะตกใจที่คนรักหอมแก้ม “ไฟ! ทำอะไร! ไม่อายหรือไง”

“อายทำไม” ว่าแล้วก็หอมอีก

“พอแล้ว” ทั้งคู่หัวเราะออกมาก่อนที่ไฟจะทำหน้าจริงจัง

“นี่สิงห์”

“หื้อ”

ไฟขมวดคิ้ว “นอกจากต้นสนแล้ว ถ้าเกิดสิงห์เป็นอะไรไปอีกคน ไฟก็ทนไม่ได้หรอกนะ”

“อือ สิงห์จะระวังตัวให้มากกว่านี้”

“อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ อย่าเพิ่งไปไหน”

“เข้าใจแล้ว” สิงห์ลูบแก้มคนรักก่อนจะหอมไปทีหนึ่ง

“ลุงสิงห์” ต้นสนเดินจ้ำอ้าวมาทางนี้ทันที “หอมตาลุงนี่ทำไม หอมต้นสนดีกว่า”

“เอ้า อะไรของเอ็ง ห๊ะ” ไฟเท้าเอว

“ลุงสิงห์หอมแค่ต้นสนก็พอ”

“อะไร ๆ คนเขาจะหวานกัน เอ็งนี่ชอบขัดตลอด”

ต้นสนแลบลิ้นใส่ลุงไฟและกอดลุงสิงห์แน่น

“พอเลย” สิงห์แสร้งทำหน้าดุ ก่อนจะโอบทั้งคู่เข้าหาตัว “ลุงรักต้นสนมากเลยนะ รู้ไหมลูก”

“ต้นสนก็รักลุงสิงห์” เด็กน้อยพูดอู้อี้เพราะเขินอาย

เห็นอย่างนั้นก็อดจะหอมหัวไม่ได้ พอหลานซุกอกก็ได้แต่หัวเราะแล้วหันไปหาคนรัก “สิงห์ก็รักไฟเหมือนกันนะ”

ไฟเค้นยิ้มก้มพูดกรอกหูหลาน “ได้ยินไหมวะ ลุงเอ็งก็รักข้า”

“ไม่ต้องเลยลุงไฟ” ต้นสนเงยหน้ามาต่อยอกลุงข้างกายเบา ๆ “โอ๊ย ปล่อยนะลุงไฟ”

ไฟจับหัวหลานให้ซุกกับอกตัวเองส่วนแขนอีกข้างก็โอบเอวคนรักไว้ ก้มลงป้อนจูบให้กับอีกฝ่าย

สิงห์ยิ้มบางยกแขนข้างหนึ่งจับต้นคอคนรักแล้วเอียงหน้ารับจูบที่บดลงมาบางเบา ก่อนจะผละออกในตอนที่ที่ต้นสนดิ้นหลุดออกมา

“ตัวลุงไฟเหม็น” ต้นสนขยี้จมูก

“เหม็นตรงไหนวะ”

“ไม่รู้แหละ เหม็น ๆ” หลานทำท่าปิดจมูกแล้วดึงแขนลุงสิงห์ทันที “หนีลุงไฟกันเถอะลุงสิงห์ ตัวลุงไฟเหม็นเน่า”

“เอ้า อะไรวะ” ไฟได้แต่ยืนงุนงง คนรักถูกลากไปแล้วเลยแกล้งทำเป็นวิ่งไล่หลาน จนเกิดเสียงหัวเราะของทั้งสามคนดังทั่วทุ่งนา





----------------------------------------------------------------------------------------

ถึงจะเป็นบทที่ควรจะหวานแหวว ดันมีเรื่องเครียด55555

ดราม่าจนสุดจริงๆ แต่ว่าตอนที่ต้นสนถูกแทงจะถูกนำไปพูดถึงในเรื่อง เฝ้าคำนึงค่ะ

ไม่ถือว่าสปอยล์หรอกใช่ไหม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2020 13:29:07 โดย IMYean. »

ออฟไลน์ IMYean.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 

บทพิเศษ ๑.๕

ของขวัญล้ำค่า

 



ปี ๒๕๐๓

ไม่รู้ว่าไฟเป็นอะไร ถึงได้มีเรื่องเครียดตลอดเวลา บางทีก็กลับดึก ส่วนคนงานก็มีเสียงบ่นมากมายว่างานหนัก สิงห์พยายามจะพูดคุยเรื่องนี้แต่กลับไม่มีใครฟังเลยทั้งวัน ต้นสนก็ไม่พูดด้วย บอกว่าทำการบ้านอย่างเดียว

สิงห์ได้แต่นั่งเศร้าคนเดียวที่ริมคลอง ยังดีที่มารวยสุนัขที่ชอบคาบรำไปกินกลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้แล้ว มันติดสิงห์มากและเชื่อฟังสิงห์ที่สุด ตอนนี้มันก็เป็นเพื่อนคลายเหงาชิ้นดี

“แกว่าทุกคนเบื่อฉันไหม ฮึ มารวย” ถามสุนัขที่ทำเพียงแลบลิ้นห้อย ๆ ให้ ไม่มีเสียงตอบรับใดใด

“ทุกคนเบื่อฉันแน่ ๆ เลย” พูดเสร็จก็ถอนหายใจพลางเหยียดขาไปกับโต๊ะนั่ง มองคลองด้วยสายตาเหม่อลอย

สิงห์ออกไปเดินทั่วไร่ แต่มีเขตกั้นจนนึกสงสัยว่าก่อสร้างอะไรอยู่ เขาไม่ได้สั่งด้วยซ้ำ แต่คนงานก็ห้ามเข้า บอกว่าแก้วสั่ง เห็นอย่างนั้นจึงไปหากฤษน่าจะบอกอะไรได้บ้าง “กฤษ ตรงนั้นเขาสร้างอะไรอยู่”

กฤษที่สั่งคนงานอยู่ถึงกับสะดุ้ง “คุณสิงห์...”

“ว่าไง” เมื่อเห็นไม่ตอบจึงถามย้ำ

“คือ..” กฤษโกหกไม่เก่งด้วยสิ ยิ่งเจ้านายตนเค้นถามด้วยสีหน้าจริงจัง กฤษไม่รู้จะพูดยังไง

“พี่กฤษ” เสียงใสของหญิงสาวทำเอากฤษโล่งอก เห็นอิ่มวิ่งมาไกล ๆ “ไปช่วยพี่กล้าดูเรื่องปลาหน่อยสิ”

“ได้สิได้ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“อ่าว เดี๋ยวสิ” สิงห์ตะโกนเรียกแต่กฤษก็เดินหนีไปแล้ว หันมองหนูอิ่มที่หันมาหา “หนูอิ่ม รู้ไหมว่าเขาสร้าง—”

“หนูไปก่อนนะคะ พ่ออัธเรียกไปทำกับข้าวพอดี”

คนฟังถึงกับเท้าเอว ไหนล่ะไออัธ ไม่เห็นหัวเลยจะมาเรียกตอนไหนในเมื่อยืนอยู่ด้วยกันตรงนี้

“เป็นอะไรกันหมดนะเจ้าพวกนี้”

จนตกเย็นแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องที่ไร่ สิงห์ก็แทบไม่ได้คุยกับใครเลย คนขี้เหงาได้แต่ขึ้นบนบ้าน ที่จริงต้องไปรับต้นสนเหมือนปกติ แต่ว่าต้นสนอยากให้ไฟไปรับแทน สิงห์ไม่รู้ว่าตนไปทำอะไรให้หลานน้อยใจหรือเปล่า

“อ่าว ของหมดหรือ” สิงห์ถอนหายใจ ต้องออกไปซื้อของเข้าครัว พลันได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามาจอดจึงเดินออกไปหาคนรักกับหลาน “กลับมาแล้วหรือ”

ต้นสนเงยหน้ามองยกมือไหว้เสร็จก็ขึ้นเรือนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้าเป็นอย่างปกติคงเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังแล้ว สิงห์ทำหน้าเศร้าก่อนจะหันมองคนรักที่ดูเหนื่อยจากงานมาก

“ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็ว สิงห์ยังไม่ได้ทำกับข้าวเลย” บอกคนรักที่เดินขึ้นเรือน

“ไม่ต้องทำหรอก” ไฟพูดเพียงเท่านั้นก็เดินเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนชุด

“เป็นอะไรกันหมด”

“ลุงไฟ สอนการบ้านหน่อย” ต้นสนวิ่งออกมาพร้อมสมุด สองลุงหลานออกมานั่งคุยกันกลางบ้าน สิงห์ขมวดคิ้วถอนหายใจแล้วไปเอาน้ำมาให้ทั้งคู่

พอคนรักไปในครัวแล้วไฟก็พรูลมหายใจ “อยากกอดปลอบจังเลยเว้ย”

ต้นสนทำหน้าเบื่อหน่าย “เป็นความคิดใครล่ะ”

“ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ไอเจ้าแก้วกับหนูอิ่มคิดต่างหาก”

“แต่ลุงไฟก็ยอมทำตาม” ว่าแล้วก็ปล่อยการบ้านไว้อย่างนั้น ต้นสนน่ะเรียนเก่งอยู่แล้ว ลุงไฟสอนไม่รู้เรื่องหรอก

“วันเกิดของเด็กสมัยใหม่นี่ทำข้าปั่นป่วนไปหมด”

“ถ้าลุงสิงห์รู้จะโกรธหรือดีใจนะ”

ไฟกลืนน้ำลาย “ลุงเอ็งเวลาโกรธน่ากลัวจะตาย”

ถึงจะไม่ชอบเห็นด้วยกับลุงไฟ แต่เรื่องนี้ต้นสนพยักหน้าทันที

“ข้าว่าข้าต้องเตรียมแอบเปิดหน้าต่างไว้แล้ว”

“อะไรของลุงไฟ”

ไฟเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ใบหน้าเคร่งเครียด “ถ้าโดนโกรธขึ้นมา ข้าอาจจะได้นอนนอกห้องก็ได้”

หลานถึงกับยิ้มขำ “ก็ดีสิ”

“เอ๊ะ เอ็งนี่ ไม่เข้าข้างข้าเลย”

“ก็ลุงไฟไปทำให้ลุงสิงห์โกรธเอง”

“เอ้า ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็อาจจะโดนโกรธเหมือนกัน”

ต้นสนชะงักแล้วหันหน้าหนี พูดอู้อี้ “มะ..ไม่โดนหรอก”

“น้ำครับ” ทั้งคู่ถึงกับสะดุ้งแล้วเปลี่ยนไปทำหน้านิ่งทันที

ไฟกระแอ่มไอ “ขอบคุณ”

เสียงนิ่งไปไหมวะ

สิงห์มองลุงหลานที่นั่งพูดเรื่องการบ้านที่เหมือนไม่ใช่การบ้าน เขาเดินไปนั่งเยื้องเล็กน้อยแล้วเอาเอกสารของกำนันมาอ่าน เห็นว่าอยากให้เขาไปให้ความรู้กับชาวบ้านเรื่องทำไร่ทำนา สิงห์ไม่เกี่ยงเลยและพร้อมยินดีที่จะช่วยเหลือ

อ่านทำความเข้าใจเพียงครู่เดียวก็เสร็จเรียบร้อย สิงห์ก็ไปเอาปืนของตนกับจันออกมาเช็ดทำความสะอาดอย่างเคย

สองลุงหลานถึงกับขนหลังลุกวาบ มองหน้ากันด้วยความหวาดหวั่น

“กลัวไรก็แค่เช็ดปืน” ลุงไฟกระซิบหลาน

“ลุงไฟนั่นแหละกลัว ต้นสนไม่ได้กลัว”

สิงห์เอากระสุนออกมาจนหมดและทำความสะอาด เสียงซุบซิบด้านหลังทำให้คนได้ยินเปรยยิ้มบาง ๆ เพราะได้ยินตั้งแต่ตอนจะเอาน้ำมาให้แล้ว ต้องบอกว่าแสดงละครกันเก่งเสียจริง แต่ผิดแผนเพราะสองลุงหลานคู่นี้ที่อาการปิดไม่มิด

สอนการบ้านอะไรแทบไม่เห็นได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการเรียนเลย อย่างไฟน่ะหรือจะสอนการบ้านต้นสน ป่านนี้ลืมเนื้อหาที่เคยเรียนสมัยเด็กไปหมดแล้ว อีกอย่างเนื้อหาการเรียนก็เพิ่มมากขึ้น มีบางวิชาที่ต้นสนได้เรียนในสมัยนี้แต่สมัยเราไม่มี ที่ต้นสนถือมาก็เป็นวิชาที่สิงห์จำได้ว่าไม่เคยเรียน แต่สิงห์ก็เคยทำความเข้าใจเพื่อมาสอนต้นสน ไฟน่ะยังไม่รู้เรื่องเลย

แล้วไอเสียงซุบซิบเหมือนแมลงหวี่ด้านหลังทำเอาเขาอยากจะหันไปเขกหัวเสียจริง เจ้าแก้วกับหนูอิ่มคงร้องไห้แล้วมั้งที่แผนพัง สิงห์จำวันเกิดตัวเองได้อยู่และเมื่อเช้าเพิ่งทำบุญไป แต่ไม่คิดว่าที่ทุกคนทำเป็นไม่คุยด้วยจะเป็นแผนเกี่ยวกับวันเกิดเขา

ไอเราก็อายุมากขึ้น คงตามเด็ก ๆ ไม่ทัน

ปึก!

เสียงวางปืนลงทำเอาทั้งสองเผลอตกใจ สิงห์ปรายตามอง “ไม่ทำการบ้านหรือต้นสน”

“อะ...ทะ..ทำครับ” ต้นสนรีบก้มหน้าทำการบ้านทันที เขียนอย่างว่องไวโดยไม่ต้องมีใครสอน

ไฟมองคนรักอย่างตื่น ๆ แล้วแสร้งก้มชี้สมุด

“ไฟ”

“จ๊ะ! แฮ่ม ว่าไง” เกือบหลุดแล้วไอไฟเอ้ย

สิงห์มองคนรักสักพักก่อนจะยิ้มบาง “หิวไหม จะไม่ให้ทำกับข้าวจริงหรือ”

“ไม่ต้องหรอก”

ต้นสนถึงกับกลอกตาที่ลุงไฟทำเสียงเข้ม

“แต่เพิ่งกลับจากทำงานคงเหนื่อยแย่ ต้นสนก็เพิ่งกลับจากโรงเรียน ถ้าไม่ทำอะไรเดี๋ยวได้เป็นลมเป็นแล้งกันหมดหรอก”

หลานเงยหน้ามองลุงไฟที่ดูลุกลี้ลุกลน จะให้บอกยังไงว่า ตอนนี้คนงานพากันทำกับข้าวอยู่และจัดงานเงียบ ๆ เพื่อวันเกิดสิงห์ที่นาน ๆ ครั้งจะจัดที

“ไม่เป็นไร ไฟไม่หิว”

สิงห์พยักหน้า เหมือนจะไม่คาดคั้นอะไรก่อนที่จะหันกลับมาอีกครั้งทำเอาสองลุงหลานผวา “อ้อ ลืมเลย”

ไฟเบิกตาเล็กน้อยตอนที่คนรักเดินเข้ามาใกล้ สิงห์ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นแล้วก้มหอมหัวหลานไปที ก่อนจะหันมาหอมแก้มคนรัก “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”

ไฟมองคนรักเดินเข้าไปในห้อง คนที่อยู่ด้านนอกก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว เมื่อไรจะจัดงานเสร็จ” ตาแก่ลามกคงไม่ได้ชื่อนี้เพราะโชคช่วย ถ้าการถอนหายใจทำให้ชีวิตสั้นลง ต้นสนคงไม่อยู่แล้ว

“ตาแก่หื่นกาม”

“ว่าใครห๊ะ” ไฟเขกหัวหลาน

“ว่าลุงไฟนั่นแหละ”

“ก็เมียข้าน่าเอ็นดูขนาดนี้ ใครจะทนไหว”

ต้นสนถึงกับกุมขมับ “สงสารลุงสิงห์จริง ๆ เลย”

“สงสารข้าสิวะ จะกอดก็ไม่ได้กอด อยากหอมก็ไม่ได้หอม”

“วันเดียวเองไหมลุงไฟ”

“ตั้งวันหนึ่ง”

“โธ่เอ้ย” ต้นสนส่ายหน้าแล้วนั่งทำการบ้านต่อ ปล่อยให้ตาแก่บ่นคนเดียว

เพียงไม่นานกล้าก็วิ่งขึ้นมาบนบ้าน “จัดเสร็จแล้ว”

ไฟกับต้นสนพากันลุกขึ้นทันที สิงห์ที่นั่งอ่านหนังสือหันมองก่อนจะตกใจที่ลุงหลานคู่นี้เดินมาจับตัวเขาไว้

“ปิดตา” ไฟบอก

“ปิดทำไม”

“นี่ ๆ” ต้นสนวิ่งไปเอาผ้ามาให้

“เถอะหน่า” ไฟบอกเสร็จก็หยิบผ้ามาปิดตาคนรักไว้

“เดินตกบันไดขึ้นมาทำไง”

“ไม่ตกหรอก” ไม่ว่าเปล่ายังอุ้มคนรักขึ้น

“ไฟ” สิงห์ร้องเสียงหลงคว้าลำคอหมับ “เดี๋ยวตก”

“ไม่เชื่อใจหรือไง”

สิงห์เม้มปาก ก็รู้แหละว่าจะพาไปไหนแต่มันก็อดตื่นเต้นเสียไม่ได้ ครั้งแรกเลยที่จัดงานเพื่อตัวเองขนาดนี้ “ไม่ใช่หนุ่ม ๆ นะ อุ้มไหวหรือไง”

“อุ้มทั้งวันยังได้” ไฟกระซิบข้างหูแล้วหอมแก้มไปทีจนคนถูกอุ้มเขินอาย

“หลานอยู่ไม่อายหรือไง”

“โอ๊ย พวกมันวิ่งออกไปกันหมดแล้ว”

“อ่าวเหรอ” เพราะถูกปิดตาเลยไม่รู้เรื่อง ก็ว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงใคร แรงสะเทือนในตอนที่คนรักพาเดินไปที่จัดงาน พอคิดได้ว่าจะมีใครบ้างเห็นแบบนี้หน้าก็เห่อร้อนนำไปก่อนแล้ว

“ไฟ”

“หื้อ”

“ขอบคุณนะ”

“รู้แล้วหรือ”

“อือ” สิงห์ยิ้มบางกระชับแขนกอดรอบคอก่อนจะหอมแก้มคนรัก “ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”

ไฟยิ้มกว้าง “นานหนจะมีที ก็อยากทำอะไรพิเศษ ๆ ให้บ้าง”

“แต่ดันเก็บอาการไม่เก่ง”

“โธ่” ไฟทำหน้าเศร้า

“ฮิ้ววววว”

“อุ้มกันมาเลยเว้ย” เสียงทุกคนดังขึ้นจนสิงห์ถึงกับเอาหน้าซุกคนรักเพื่อหลีกหนี แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องลงมายืนพื้นดี ๆ

“อย่าเพิ่งลืมตานะ” ไฟว่าและแกะผ้าออกให้ “เอาล่ะลืมตาได้”

เปลือกตาเปิดขึ้นแสงจ้าก็เข้าตา สิงห์หรี่ตาเล็กน้อยพอปรับได้ก็อดมองค้างไม่ได้ ไฟหลากสีมากมายกระจ่างขึ้นตรงหน้า แถมยังมีโต๊ะนั่ง กับข้าวหลายอย่าง เครื่องดื่มหลายชนิด ของขวัญที่วางบนโต๊ะ คนงานทุกคนก็อยู่ที่นี่กันหมด

เห็นภาพเบื้องหน้าที่เป็นเสมือนครอบครัวคนสำคัญอยู่กันพร้อมหน้า สิงห์ดวงตาคลอ พูดอะไรไม่ออก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครื้มก่อนจะก้มหน้าปลดปล่อยความดีใจออกมา

“ลุงสิงห์ไม่ร้องไห้นะ ต้องยิ้มสิ” ต้นสนวิ่งมาบอก

“ครับ... ลุงไม่ร้องแล้ว” สิงห์เม้มปากเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วกอดหลาน “ขอบคุณนะลูก”

ต้นสนหัวเราะเอิ้กอ้ากแล้วดึงแขนลุงสิงห์ให้ไปร่วมวง สิงห์ตกใจเมื่อเห็นแม่กับน้องสาวและน้องเขยมาร่วมงานด้วย

“แม่” สิงห์เข้าไปกอดเธอแน่น “มาทำไม่บอก”

“ไปอยู่กับคุณฤดีมา”

“โธ่” สิงห์โยกตัว

“สุขสันต์วันเกิดนะลูก”

“ขอบคุณครับแม่” สิงห์ยิ้มแล้วผละออกมาไหว้แม่ของตน “ขอบคุณที่เลี้ยงดูผมมานะ”

“จ้ะ แม่รักสิงห์นะ”

สิงห์พยักหน้า “สิงห์ก็รักแม่ครับ”

สองแม่ลูกกอดกันสักพักสิงห์ก็เดินไปกอดน้องสาวต่อ

“สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่สิงห์” ต้นอ้อลูบหลังพี่ชายที่ร้องไห้ไม่หยุด

“ขอบคุณนะ” สิงห์ลูบผมน้องพลางหันมองหลานสาวอีกคนที่เฟื้องโอบไหล่ไว้อยู่ “แล้วนี่ ใครเอ่ย”

“ลุงสิงห์” ฟ้าใสโผล่เข้ากอดผู้เป็นลุงแน่น

“มาด้วยเหรอเจ้าตัวดื้อ” สิงห์ยีหัวหลานพร้อมกับหอมหน้าผาก

“ฟ้าใสเอาของขวัญมาให้ลุงสิงห์ด้วยนะ พี่ต้นสนต้องตกใจแน่”

อยากจะถามเหมือนกันว่าพี่ชายของหนูจะตกใจไปทำไม “ขอบคุณนะคะเด็กดี”

“ค่ะ หนูรักลุงสิงห์มาก ๆ เลยน้า ลุงสิงห์ไปหาหนูบ้างสิ” ฟ้าใสหน้างอ เธออยากมาเล่นกับลุงสิงห์บ้าง

“ไว้ปิดเทอมมาอยู่กับลุงไหม”

ฟ้าใสยิ้มกว้างก่อนจะเงยหน้ามองพ่อ “ได้ไหมจ๊ะพ่อ”

เฟื้องยิ้ม “ได้สิลูก เดี๋ยวพ่อมาส่ง”

ฟ้าใสกระโดดดีใจแล้วกอดแขนลุงสิงห์แน่นทันที

“ฟ้าใส” ต้นสนตะโกนเสียงดังจะวิ่งมากอดน้องแต่น้องกลับยกมือห้าม

“พี่ต้นสนห้ามกอดฟ้าใส ตอนนี้ฟ้าใสให้ลุงสิงห์กอดได้คนเดียว”

ต้นสนที่คิดถึงน้องอยากพาน้องไปเล่นถึงกับห่อเหี่ยว “ฟ้าใสไม่คิดถึงพี่ต้นสนเหรอ”

“ฟ้าใสคิดถึงแต่ฟ้าใสไม่กอดพี่ต้นสน”

“คิดถึงแล้วต้องกอดสิ”

“ไม่ได้ ๆ วันนี้ให้ลุงสิงห์ เนาะ” ฟ้าใสพยักหน้ากับผู้เป็นลุงที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย

สุดท้ายเด็ก ๆ ก็พากันไปนั่งเล่นวงเด็กน้อยเขา สิงห์นั่งกับญาติผู้ใหญ่

“สุขสันต์วันเกิดนะลูก” แม่ฤดีอวยพรพร้อมให้ของขวัญ

“ขอบคุณครับแม่”

“ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะ” พ่ออนงค์ที่สึกมาอยู่กับภรรยายิ้มให้ลูกชายอีกคน

“ขอบคุณครับพ่อ”

พ่อสมานไม่ได้มาเพราะต้องดูงานที่นั่น จริง ๆ เฟื้องจะดูงานแทนแต่พ่อสมานก็อยากให้เฟื้องมาดูแลสาว ๆ เพราะคนแก่คงทำอะไรไม่ค่อยไหวแล้ว

“เดี๋ยวแวะไปก้งเหล้าด้วยนะมึง” อัธเดินมากระซิบ ตอนนี้กริ่ม ๆ เลยก็ว่าได้

“เออ เดี๋ยวไป อย่าแดกกันหมดก่อนล่ะ”

อัธหัวเราะชอบใจ “ถ้ามึงช้าก็หมดล่ะวะ” พูดเสร็จก็สวัสดีคนเฒ่าคนแก่แล้วเดินไปนั่งกับเทิดและกฤษ รวมถึงคนงานบางคนที่นั่งกงเหล้ากันอยู่

“ลุงธงบอกจะมาหา ไอเราก็ไม่เห็น เห็นอีกทีก็นู่นไปนู่นแล้ว” อนงค์ชี้พี่ชายตนที่เดินร่วมวงเหล้าทันทีที่มาถึง

สิงห์หัวเราะ “ปล่อยแกไปเถอะครับ” แม่ฤดีกับแม่พิมพ์อรไปนั่งคุยกับสาว ๆ แม่บ้าน พ่ออนงค์กับเฟื้องเลยไปนั่งวงเหล้ากัน

“ไอไฟไปไหนวะ” อัธถามถึงเพื่อนอีกคนที่หายหน้าหายตา

สิงห์ก็เพิ่งสังเกตว่าคนรักไม่ได้อยู่ที่นี่ “นั่นสิ”

“ช่างมัน มาดื่ม ๆ” อัธว่าพร้อมเทเหล้าใส่แก้วก้ง สิงห์ดื่มจนหมด แสบร้อนคอจนต้องหาของกลับแก้มกิน

“ไอหลานรัก เป็นไงบ้างวะ” ลุงธงเมาเยอะกว่าใคร แกโอบไหล่หลาน ตัวเอนไปมา

“สบายดีลุง”

“เหรอ ดี ๆ วันนั้นนะไอไฟกลับมาบ้าน มันบอกเอ็งไม่ค่อยสบาย ข้าก็นึกห่วงหลาน ว่ามันจะเป็นอะไร แต่มันบอกเมื่อคืนจัดหนัก” สิงห์ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีรีบอุดปากลุงธงไว้

“เอาล่ะ ๆ เมาแล้วลุงธง”

“ไม่เมา ๆ ข้าไหว”

“ไปซื้อเหล้าเพิ่มนะ เอาไรไหม” เทิดว่า

สิงห์รีบจับลุงธงที่จะหงายหลังตกโต๊ะทันที “พี่เทิดฝากไปส่งลุงธงด้วยสิ แกเมาแล้ว”

เทิดพยักหน้าแล้วเข้ามาแบกแก “โอ๊ย หนักแท้ ลุงธงกลับบ้าน ๆ”

“เฮ้ย ยัง ๆ ยังไม่กลับ”

“กลับ ๆ เมียตามแล้ว”

“มา เดี๋ยวผมช่วย” กฤษรีบไปประคอง จะเอาคนเมากลับบ้านคงไปคนเดียวไม่ไหว

“ฝากด้วยนะกฤษ” สิงห์บอกอย่างนึกห่วง

“เล่นกินเหล้าแต่หัววันไม่เมาก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว” อนงค์ส่ายหน้า

คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยอยู่ ๆ ไฟในงานก็ดับ สิงห์ขมวดคิ้วคิดว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าก่อนจะตกใจเมื่อเห็นตะเกียงไฟกะพริบขึ้นท่ามกลางความมืด มันอยู่ไกลเล็กน้อย ถึงจะมีตะเกียงแต่ก็มองไม่ชัดว่าเป็นใคร

“ท่านเทพครับ!!!” เสียงตะโกนดังอันคุ้นหูทำสิงห์อดจะสะดุ้งไม่ได้ ทุกคนในงานพากันเงียบเหมือนรู้งาน แรงผลักเบา ๆ ตรงไหล่เป็นพ่ออนงค์ที่พยักพเยิดให้ไป

สิงห์เดินออกไปยืนมองคนรักที่ยืนถือตะเกียงอยู่คนเดียว

“ผมจะบอกท่านเทพว่า ไฟรักสิงห์นะ!!”

“ฮิ้วววว” เพียงไม่นานเสียงคนก็เงียบลงอีกครั้งเพื่อให้ไฟพูด

“อยู่ด้วยกันจนมาถึงวันนี้แล้ว ก็อยู่กันไปอีกนาน ๆ นะ!!” คำตะโกนนั้นเหมือนดังก้องอยู่ในหูสิงห์ตลอดเวลา ทำเอาปากยิ้มแทบไม่หุบ “วันนี้เป็นวันที่ดีมาก ๆ เลย เป็นวันที่ท่านเทพส่งคนรักผมมาเกิด ขอบคุณที่เกิดมานะคุณสหัส!!”

สิงห์เอามือปิดปากตัวเองทันที น้ำตาไหลออกมาด้วยความสุขล้นปรี่

“เราผ่านอะไรกันมามากมาย แล้วผมก็จะบอกว่าอยากจะเดินเคียงคุณสหัสต่อไปแบบนี้จนชั่วชีวิต ท่านเทพจงอวยพรให้เราด้วย!!”

ตะเกียงนั้นค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น ไฟเดินมาหยุดตรงหน้า ใบหน้าคมคายเด่นชัดขึ้นจากแสงสว่างเพียงเล็กน้อย

“ขอบคุณที่เกิดมาจริง ๆ นะ” ไฟพูดพลางยิ้มบางก้มกอดคนรักที่ร้องไห้โฮออกมา “ไฟรักสิงห์นะ รักมาก ๆ เลย”

สิงห์พยักหน้าอย่างเดียว พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“ยิ้มหน่อยคนดี” ไฟผละออกมาเกลี่ยน้ำตาให้

เจ้าของวันเกิดยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “ขอบคุณนะ”

ไฟพยักหน้าเกลี่ยแก้มเบา ๆ แล้วก้มลงจูบกลีบปากคนรัก นิ่งค้าง ทว่าแนบแน่น

พลันไฟก็สว่างขึ้นจนคนเขาโห่กันอีกรอบ สิงห์รีบผละออกทันทีแต่โดนกอดเอวไว้

“ไม่เคยเห็นคนพลอดรักหรือไง”

“ลุงไฟหน้าหนา” แก้วส่ายหน้าก่อนจะก้มบอกน้อง “ต้นสนอย่าเป็นแบบนี้นะ”

“ทำไมเหรอ”

“ก็ลุงไฟหน้าหนา” อิ่มเสริมทัพ

“ก็ไปสอนน้อง” กล้าส่ายหน้า

“ดูดิไม่อายฟ้าอายดิน” แก้วบ่นอุบอิบแม้น้ำตาจะคลอเหมือนกันเพราะดีใจกับทั้งคู่ที่มีวันนี้ได้

ต้นสนพยักหน้า “ใช่ไม่อายฟ้าอายดิน” แม้จะไม่รู้ว่าหน้าหนาคืออะไรก็เถอะ

“ใครมันคิดวะท่านเทพเนี่ย” อัธตะโกนถามพลางหัวเราะ

“มันทำไมล่ะวะ กูคิดเอง” ไฟเท้าเอว

“โธ่ ท่านเทพคงบอกมึงไปพลอดรักกันไกล ๆ” อัธหัวเราะไม่หยุด

ไฟเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มก่อนจะหอมแก้มคนรัก “ทำมันตรงนี้แหละ อายทำไม”

“ฮิ้วววว”

“เดี๋ยวเถอะ” สิงห์ตีแขนคนรัก ก่อนจะเบิกตาที่โดนจูบอีกรอบ หูแดงระเรื่อจนไม่กล้าสู้หน้าใครแล้ว

“หน้าหนาอีกแล้ว” แก้วบ่น

“ใช่ ตาลุงไฟเนี่ยนะ” อิ่มกอดอก

กล้าได้แต่ถอนหายใจกับสองพี่น้องคู่นี้

“ฟ้าใสอย่าดูนะ ลุงไฟหน้าหนา” ต้นสนปิดตาน้องทันที

“ฟ้าใสอยากเห็น”

“ไม่ได้สิ”

พอลูกชายเดินเข้ามาฤดีจึงหยิกแขนลูกชายทันที “สิงห์เขินหมดแล้ว ดูทำเข้า”

“อ่าวแม่ ก็คนมันรักอะเนาะ”

“ดีนะที่ทุกคนเข้าใจ” แม่พิมพ์อรว่า

“ลองไม่เข้าใจสิ ผมจะฟาดกะโหลกให้” ไฟทำท่าฟาดแต่โดนพ่อตนฟาดหัวไปที

“ทำเอาตกอกตกใจหมด ไปตะโกนกลางทาง เห็นแสงแวบ ๆ นึกว่ากระสือ” พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมาทันที

“พ่อก็ลองทำกับแม่บ้างสิ”

“อายุปูนนี้แล้ว มาทำอะไร”

ไฟชี้พ่อ “จริง ๆ ก็อยากทำล่ะสิ”

“ไม่บ้าเหมือนเอ็งหรอก ตะโกนคำเดียวก็แสบคอแล้ว”

“โธ่” ไฟส่ายหน้า

งานวันเกิดเริ่มครึกครื้นขึ้น อัธทำหน้าที่ตีแก้วเหล้าเป็นเพลงแล้วก็ร้องแหกปากโวยวายแทบไม่ได้ศัพท์ ไฟร่วมวงร้องประสานเสียงยิ่งเพี้ยนเข้าไปใหญ่

สิงห์ได้แต่ส่ายหัว มองผู้คนที่ยิ้มหัวเราะกันสนุกสนาน เป็นภาพที่ไม่คาดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้น พอนึกย้อนอดีตที่เคยขมขื่น พอมีวันนี้ได้จึงเข้าใจดีว่ามันผ่านมานานแล้ว แต่ความทรงจำบางส่วนก็ย้อนเข้ามาได้เสมอ

ถึงอย่างนั้นสิงห์ก็ไม่ได้เสียใจหรือโศกเศร้าอีกแล้ว เพราะตอนนี้สิงห์มีครอบครัวที่ดี มีคนรักที่อยู่ข้างกายเสมอ เรื่องอดีตก็แค่ทำให้นึกถึงและปล่อยวางมันไป ชีวิตที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบ อยู่กับหลานกับเพื่อนกับน้อง ทำงานในสิ่งที่อยากทำ อาจมีเรื่องเครียดบ้างตามวิถีของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาต้องพบเจอ ได้แต่แก้ไขและปล่อยให้เวลามันผ่านไป

ชีวิตในตอนนี้สิงห์พอใจแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่านี้ ขอแค่มีความสุขกับคนที่รักในแต่ละวัน เหมือนของขวัญล้ำค่าที่หาที่ไหนไม่ได้อีก

ขอบคุณที่ให้ของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตมา

ครอบครัวที่ดี คือของขวัญที่สิงห์อยากขอบคุณจริง ๆ

แม้ว่าบางคนไม่ได้อยู่ในสายเลือดเดียวกัน แต่คำว่าครอบครัวไม่ได้มีแค่พ่อแม่ลูก ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ลุงหลาน เพื่อน ทุกคนก็ล้วนเป็นครอบครัวได้

นี่แหละคือครอบครัวที่สิงห์ต้องการ และจะอยู่กับพวกเขาไปตลอด จดจำจนชั่วชีวิต





--------------------------------------------------------------------------------------

เอามาเสิร์ฟตอนพิเศษ สามตอนด้วยกัน ถึงจะเป็นตอนพิเศษที่จบแล้วแต่ก็ยังไม่จบทีเดียว

เพราะบางช่วงมีพูดถึงในเฝ้าคำนึงเหมือนกัน ขอบคุณมากๆนะคะที่ติดตามจนจบ

ขอบคุณที่เม้นและให้กำลังใจมาตลอด อาจจะผิดพลาดไปบ้างแต่พยายามจะทำให้ดีที่สุดค่ะ

ใจหายอยู่เหมือนกันที่จะไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับทั้งคู่อีกแล้ว

เรื่องราวของสิงห์และไฟจบลงในนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินชีวิตต่อไป

เรื่องราวต่อไปของต้นสนเริ่มขึ้นยังไงก็ฝากติดตามเรื่อง เฝ้าคำนึงด้วยนะคะ


ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
เพิ่งมีโอกาสได้อ่าน
อ่านรวดเดียวจบ

พอจบ  บอกได้เลยว่าใจหาย
รู้สึกผูกพันกับตัวละคนไฟและสิงห์มาก
ทั้งสองผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมาก
ด้วยช่วงระยะเวลาของเรื่องที่ดำเนินมาหลายปีมาก
มันยิ้งทำให้เรารู้สึกผูกพันและรักตัวละครนี้มากๆเช่นกัน

ขอบคุณผู้แต่งมากๆเลยค่ะที่นำเสนอเรื่องราวของ
ไฟและสิงห์
อยากว่านี่จะเป็นนิยายอีกเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจมากๆที่สุด

รอติดตามเรื่องไปนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด