“นาโครคินทระ” ป้ายบอกชื่อกำกับที่ด้านข้างของภาพวาด วาตะเลื่อนสายตามองลงมาที่ศิลปินผู้วาด แต่ตรงช่องนั้น ระบุเอาไว้ว่าไม่ปรากฏรายชื่อแต่อย่างใด “ภาพนี้ มีชื่อภาพว่า นา โค ระ คิน ทะ ระ” เจ้าตัวดึงเอาเฮดโฟนออกมาคล้องไว้ที่ต้นคอ ก่อนจะหันไปทางต้นเสียง เจ้าหน้าที่ของทางนิทรรศการให้รายละเอียดของภาพวาดนั้นกับเจ้าตัว “แปลว่าพญานาค” วาตะทำหน้ารับรู้ ก่อนจะค้อมศีรษะลง แทนคำขอบคุณ
“สืบค้นกลับไป แต่ไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นผู้ใดกันแน่ที่วาดภาพนี้เอาไว้” วาตะหันกลับไปมองทางภาพวาดนั้นอีกครั้ง “เจอแต่เพียงหลักฐานระบุไว้เพียงแค่ว่า ชื่อนี้เป็นชื่อที่ผู้วาดตั้งเอาไว้เรียกภาพของพญานาคนี้ ที่แม้จะดูว่า กำลังแสดงพลังที่ทรงอำนาจ แต่แววตาคู่นั้น กลับดูเศร้าสร้อย เดียวดาย และเงียบเหงาในจิตใจ” วาตะมองไปที่ดวงตาคู่นั้นบนภาพ ที่กำลังเหมือนกับว่า ได้จ้องกลับเข้ามาในตาของเขา
“มีเรื่องเล่าจากปากสู่ปาก เหมือนเป็นตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ตำนานคือเมื่อถึงวันและเวลาอันพร้อมแล้ว วิหคศกุนต์ชาติจะกลับมา และทำให้ดวงตาแห่งพญานาคนี้ เปลี่ยนจากแววตาเศร้าโศกที่มี ให้กลับมาฉายเพียงแต่ความสุขที่อิ่มเอมอีกครั้ง” เจ้าหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ก็เดินจากไป ปล่อยให้วาตะได้กลับไปดื่มด่ำกับศิลปะอีกครั้ง และแน่นอนว่า ภาพวาดภาพนี้ ติดเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของเขาเป็นที่เรียบร้อย
“วาตะ ลูกอยู่ที่ไหน” ทันทีที่วาตะเดินออกมาจากสถานที่จัดนิทรรศการภาพวาด เขาก็กดรับสายผู้เป็นแม่ ที่โทรมาหา “ลูกเพิ่งออกมาจากนิทรรศการภาพวาดครับแม่ ทีแรกลูกว่าจะกลับบ้านเลย แต่ว่าเพื่อนลูก แจนกับเขมชวนไปกินข้าวเย็นด้วย ลูกขอไปเจอเพื่อนนะครับแม่ ลูกสัญญาว่าลูกจะกลับไม่ดึก” วาตะส่งเสียงตอบกลับไปที่ปลายสาย ที่ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เตือนว่า ให้ดูแลตัวเองดี ๆ ให้ปลอดภัย วาตะเองแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่า ทำไมแม่ถึงได้เตือนเขาแบบนี้ตั้งแต่เล็ก มาจนโตป่านนี้ แต่ก็ไม่เคยได้ถามออกไปอย่างจริงจังสักครั้ง
“ขมิ้น ทางนี้” ทันทีที่วาตะเดินเข้าไปในร้าน ก่อนที่พนักงานจะถามว่าได้จองโต๊ะมาก่อนหรือเปล่า แจนก็ส่งเสียงเรียกชื่อเขาที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย วาตะกล่าวขอบคุณพนักงานร้านไปเบา ๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปว่า มีเพื่อนมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเดินมาถึงโต๊ะ แจนก็จัดแจงให้วาตะนั่งลงที่ข้าง ๆ เธอ ก่อนที่เขม เพื่อนชายในกลุ่มอีกคนจะได้ทันเอ่ยชวนให้คนที่เพิ่งมาใหม่ นั่งลงที่เก้าอี้ตัวติดกันกับเขา
“กว่าจะเจอกันได้นะแก ขมิ้น ตั้งแต่เรียนจบ ฉันได้แต่โทรคุยกับแกเท่านั้น” แจนต่อว่าต่อขานเพื่อนสนิทในทันที เพราะคิดถึงมาก แต่ไม่มีเวลามาเจอกันสักที “แกก็ยุ่ง ฉันก็ไม่ว่างไง แจน” วาตะตอบกลับเพื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่าง เดี๋ยวแกก็อยู่นิวยอร์ค เดี๋ยวก็มิลาน เดี๋ยวแกก็เห็นเช็คอินที่อาบูดาบี แกเองก็บินตลอดไม่ใช่หรือไง” แจนทำหน้าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ ที่งานสายการบินของเธอ ทำให้เธอต้องเดินทางแทบจะตลอดเวลา
“แต่นี่ฉันได้พักยาว ๆ หนึ่งสัปดาห์เต็ม ฉันก็เลือกกลับมากรุงเทพฯ ในทันที แกเสร็จฉันแน่ขมิ้น ฉันจะชวนแกออกจากบ้านทุกวันเลยคอยดู แต่ยังไง แกพาฉันไปไหว้พ่อแม่แกก่อนนะ ฉันจะได้ไม่โดนดุ ว่าชวนลูกชายเขาตะลอน ๆ ไปทั่ว” แจนเองก็ไม่ได้เจอพ่อกับแม่ของวาตะมานานพอสมควรแล้ว นี่เธอก็หอบเอาของฝากมาจากเมืองนอก มาฝากพ่อและแม่ของวาตะเช่นกัน
“แล้วนี่สั่งอะไรกินกันหรือยัง ไหนเราของดูเมนูหน่อย” เป็นที่เขมรัฐที่ยื่นเมนูเล่มนั้นให้กับวาตะ โดยที่แจนได้แต่ส่ายหน้า ที่คุณเขมรัฐนั้นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนด้วยกัน ชักช้า อึกอัก ไม่ทันการณ์ จนกระทั่งทั้งสามคนต่างเรียนจบ และต้องแยกย้ายกันไปทำงานทำหน้าที่ของตัวเอง “ทีแรกเราว่าจะสั่งของโปรดเอาไว้ให้ขมิ้นเลย” เขมรัฐพูด ก่อนจะได้ยินเสียงวาตะสั่งอาหารกับทางพนักงาน
“ดีแล้วที่แกไม่สั่ง” แจนกระซิบกับเขมรัฐเบา ๆ เมื่อวาตะสั่งอย่างอื่นแทนที่จะเป็นจานที่เขมรัฐเลือก ฝ่ายเขมรัฐเองก็รู้สึกเฟลไปไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าเขารู้จักวาตะดีมากกว่าใครแล้วแท้ ๆ “เขมสบายดีนะ” วาตะถามเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แม้จะคนละคณะกันกับเขาและแจนก็ตาม แต่ก็มีเขมนี่แหละ ที่คอยดูแลช่วยเหลือกันมาตลอดทั้งสี่ปี ของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย
เคนทร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำ ชายหนุ่มสลัดศีรษะแบบไล่อาการมึนงงนั้นให้หายไป ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปที่ตู้เย็นที่มุมห้อง หยิบขวดน้ำเย็นขึ้นมากระดกดื่มน้ำจนเกือบหมดไปครึ่งขวด ภายในความคิด กำลังเรียบเรียงภาพความฝันที่เขาเพิ่งเห็น ก่อนจะสะดุ้งตื่นมานี้ ว่าทำไม เขาถึงได้ฝันอะไรประหลาดแบบนี้ และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันแบบนี้ ที่มันเหมือนเดิมเป๊ะ ๆ ทุกอย่าง และครั้งนี้ มันชัดเจนมากกว่าฝันในครั้งก่อน ๆ
“ผมฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว” เคนทร์พูดส่งเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือไป ที่ปลายสายคือพ่อปู่ที่เลี้ยงดูชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถอยู่กับเคนทร์ และดูแลเขาได้ โดยไม่เกิดเหตุการณ์ประหลาด หรืออาการป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ พอพ่อปู่ตัดสินใจรับเคนทร์มาเลี้ยง คนรอบ ๆ ตัวของเขาก็เหมือนได้รับชีวิตแบบปกติกลับไป ทุกคนดูจะได้รับความสงบสุขกลับคืนไป “พรุ่งนี้ผมเข้าไปครับ พ่อปู่” เคนทร์รับคำอีกฝ่าย ว่าจะไปหาโดยเร็วที่สุด
“แกโอเคมั้ย ขมิ้น” แจนถาม เมื่ออยู่ ๆ ก็เห็นเพื่อนสนิท ทำท่าเหมือนสะดุ้งตกใจกับอะไรบางอย่าง วาตะยกมือแนบไปที่ตรงลิ้นปี่ เพราะไม่ทันจะได้ตั้งตัว วาตะก็รู้สึกถึงความเย็นวาบจากคอลงมาถึงที่ท้อง ความรู้สึกมันเหมือนกับตอนที่เขาหิวน้ำมาก ๆ ในวันที่อากาศร้อนจัด แล้วเขาดื่มน้ำเย็นนั้นด้วยความรวดเร็ว แต่มันจะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าในความจริง เขากำลังดื่มน้ำอยู่ แต่นี่ไม่ใช่
เคนทร์กดปุ่มปิดเตาไฟฟ้า ก่อนจะเทสิ่งที่ต้มอยู่ในหม้อนั้นลงใส่ถ้วย ชายหนุ่มคว้าตะเกียบมาจากช่องใส่พวกช้อนส้อม ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาหน้าจอทีวี เคนทร์ใช้ตะเกียบคนเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในชาม วนเป็นวงกลมเร็ว ๆ เพื่อไล่ความร้อน ก่อนจะคีบมันขึั้นมา ควันความร้อนลอยตามเส้นบะหมี่ฉุย เคนทร์เป่าปากช่วยระบายความร้อนออกเส้นนั้นสองสามครั้ง ก่อนจะคีบมันเข้าปาก
“รสชาติเป็นยังไงบ้างขมิ้น อร่อยมั้ย” เขมรัฐเอ่ยถามวาตะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ตักอาหารเข้าปาก แล้วทำคิ้วขมวด แบบงงกับอะไรบางอย่าง “ทำไมเหมือนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” วาตะอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป เมื่อรสชาติของอาหารมันไม่ใช่อย่างที่เห็น แต่รสชาติที่ได้รับมันคือบะหมี่ซองรสต้มยำ แถมวาตะยังรู้สึกเบิร์นที่ปลายลิ้น เหมือนกับตอนที่ตัวเองเคยรีบตักเส้นบะหมี่เข้าปากทั้ง ๆ ที่ยังร้อนอยู่ โดยไม่เป่าให้ดีเสียก่อน
พ่อกับแม่ของวาตะนั่งรอลูกชายกลับมาถึงบ้าน มองนาฬิกาเข็มชี้เลยเวลาสี่ทุ่มไปแล้ว แม้ว่าผู้เป็นพ่อจะกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็เอ่ยปากปลอบใจผู้เป็นแม่ ให้ทำใจเย็น ๆ เพราะวาตะเอง ก็เพิ่งโทรมาหา บอกว่าใกล้จะกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ด้วยความที่แม่เองนั้น มีเรื่องราวที่เก็บอยู่ในใจมานาน จากเด็กจนโต จนต้องปล่อยให้วาตะไปอยู่หอเพียงลำพัง ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มาจนถึงตอนนี้
“คืนนี้แรมสิบห้าค่ำ” พ่อของวาตะรู้ดีว่า ภรรยาของตนหมายถึงอะไร “แล้วลูกก็ใกล้จะเบญจเพสในอีกไม่กี่วัน” สิ่งที่ทั้งสองคนกลัวมาตลอด ตั้งแต่รับรู้เรื่องราวนี้ กำลังใกล้จะเกิดขึ้นเต็มที “ลูกเกิดมาโดยมีพิษนาคโดนตัวมาตั้งแต่กำเนิด” พ่อจับมือแม่ดึงเอาไปบีบเพื่อให้กำลังใจ “แม่ไม่อยากให้เกิดอะไรร้าย ๆ กับลูก เรามีลูกอยู่คนเดียวนะพ่อ” แม่มีน้ำตาคลอหน่วย เมื่อคิดกลัวไปว่า สิ่งร้าย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกชายของพวกเขา
เคนทร์ยืนอยู่ที่ใต้ฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำไหลลงจากศีรษะลู่ลงเส้นผมจนเปียกชุ่ม ความเย็นของน้ำไหลเซาะจนร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาเปียกไปทั่วตัว ภาพในความฝันยังคงกระตุ้นความรุ้สึกของเขาอยู่ในตอนนี้ และทันใดนั้น ที่เคนทร์รู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่วาบลงบนไหล่ข้างซ้ายของเขา ลากยาวลงไปตามแนวสะบัก เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของใครบางคน ลอยมาจากที่ไกล ๆ ในห้วงแห่งความทรงจำ
ความรู้สึกมันเริ่มตอนที่วาตะกำลังใส่รหัสชำระเงิน ตอนที่สแกนเงินให้กับคนขับรถแท็กซี่ มันลากผ่านจากไหล่ด้านซ้ายของเขา ไล่ลงไปตามความยาวของสะบัก วาตะฝืนเปิดประตูลงจากรถมาได้ ในมือรีบความหากุญแจประตูรั้ว โดยที่ต้องกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งไหล่ข้างซ้าย มือของวาตะสั่นเทิ้ม เมื่อกำลังไขแม่กุญแจนั้นให้ได้ วาตะไขกุญแจเสร็จ ก็พยายามเลื่อนประตูรั้วให้เปิดออก ก่อนจะต้องปล่อยทั้งกุญแจและแม่กุญแจให้หลุดลงไปบนพื้น เสียงพ่อและแม่ของวาตะร้องตะโกนเรียกชื่อเขา ตอนที่เห็นวาตะล้มหมดสติลงบนพื้น คือสิ่งสุดท้ายก่อนที่วาตะจะหมดสติไป
“กำลังจะกลับบ้านกันแล้วค่ะ” คุณแม่ลูกอ่อน ที่เพิ่งคลอดลูกชายได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์ บอกกับคุณแม่อีกคน ที่พาลูกชายมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล “ดูสินั่น หน้าตาน่าเกลียดน่าชังจริงเชียว แก้มยุ้ยมาก” สายตาทุกคู่ที่อยู่ตรงนั้นมองไปที่เด็กทารกตัวน้อยเป็นตาเดียวกัน “เคนทร์ไม่แกล้งน้องนะลูก” เสียงปรามนั้น ราวกับว่าเคยต้องพูดอะไรแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อเด็กชายวัยห้าขวบ เดินปรี่ตรงเข้าไปหาเด็กทารกในอ้อมแขนของคุณแม่แบบนั้น
“ลูกชายค่ะ ห้าขวบแล้ว เกิดตอนวันออกพรรษาปีนั้นพอดี” ได้ยินเสียงแม่ของเด็กชายที่โตกว่าห้าปีนั้นว่ามา “น้องน่ารักมั้ย” แม่ของเด็กน้อยทารกถาม แต่เสียงที่สั่น กับใจที่เต้นแรง ไม่เข้าใจว่าความประหวั่นนั้นมาจากไหนกัน เป็นไปได้หรือ ว่าความกลัวเกรงนี้จะมาจากเด็กชายวันห้าขวบคนนี้ เด็กชายไม่ตอบ แต่กลับยืนจ้องหน้าของเด็กน้อยทารกนั้นนิ่ง ๆ หลังจากที่สบตากับแม่ของเด็กน้อยแวบหนึ่ง ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเด็กชายวัยห้าขวบ ก้มหน้าลงเข้าหาเด็กทารกตัวน้อยช้า ๆ แล้วบรรจงกดปลายจมูกลงบนแก้มยุ้ยนั้นเบา ๆ ประหนึ่งว่าจดจำกันได้ดี
***************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
รักเอ๋ย - ธงไชย แมคอินไตย์
https://www.youtube.com/watch?v=u7yCirQaWTsแม้เวลาจะลบเลือนทุกสิ่งให้มันจางหาย
Though time may erase all and everything
แต่ฉันใช้ทั้งหัวใจจดจำเรื่องของเธอ
But I used my heart to memorize things about you
แม้จะทรมานที่ต้องห่างกันแสนไกล
It’s torturing me to stay far, far away from you
แต่ฉันยังคงหายใจ เพื่อรอวันพบเจอ
Yet, I keep breathing each day to stay alive to the day we meet again
กี่คงคาที่กั้นเรา
No matter how many rivers that block us
กี่ทิวเขาที่ขวางทาง
How many mountains stand in the way
หรือแม้ร้อยพันขวากนาม ใจจะข้ามไป
All obstacles are challenging us, my mind is going through
กี่ราตรีที่ล่วงเลย ผ่านเวลาที่หมุนไป
Many nights have already passed, time that’s still ticking
ทุกนาทีของใจยังคิดถึงเธอ
Every minute my heart says I miss you so
(ฉันยังรอ)
I’m right here waiting
รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง
Dear, love – though it’s been long but love’s there
ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ
My heart still belongs to you
ไม่เคยมีวันห่างไกล
Not a single day it strays off
รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ
Dear, love – when it does happen in my heart
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Love will not fade away
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
Time is not a factor for our bond
คืนที่มองไม่เห็นดาว
The starless nights in the sky
รู้ไหมดาวก็ยังอยู่ตรงนั้น
Though stars actually are in the same spot
ความรักแท้ก็เหมือนกันมันไม่เคยหายไป
Like my true love that it’s there where you’ve found it
กี่คงคาที่กั้นเรา
No matter how many rivers that block us
กี่ทิวเขาที่ขวางทาง
How many mountains stand in the way
หรือแม้ร้อยพันขวากนาม ใจจะข้ามไป
All obstacles are challenging us; my mind is going through
กี่ราตรีที่ล่วงเลย ผ่านเวลาที่หมุนไป
Many nights have already passed, time that’s still ticking
ทุกนาทีของใจยังคิดถึงเธอ
Every minute my heart says I miss you so
(ฉันยังรอ)
I’m right here waiting
รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง
Dear, love – though it’s been long but love’s there
ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ
My heart still belongs to you
ไม่เคยมีวันห่างไกล
Not a single day it strays off
รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ
Dear, love – when it does happen in my heart
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Love will not fade away
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
Time is not a factor for our bond
(ฉันยังรอ)
I’ll always be waiting for you
รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง
Dear, love – though it’s been long but love’s there
ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ
My heart still belongs to you
ไม่เคยมีวันห่างไกล
Not a single day it strays off
รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ
Dear, love – when it does happen in my heart
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Love will not fade away
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
Time is not a factor for our bond
รักเอ๋ย
My love
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Not a single day that love will leave us
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
No matter how long it takes, we are still one