การเดินตามหาอะไรสักอย่างในชีวิตบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนเพราะในชีวิตจริงเราไม่มีป้ายบอกทางไว้คอยมองหา ไม่มีคนคอยชี้บอกทางว่าของอันนั้นอันนี้อยู่ที่ไหน หรือจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเราเองนั้นละที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังมองหาอะไร หรือ เรากำลังมองหาใครอยู่
แต่ต้องไม่ใช่ที่นี้ และไม่ใช่ในซุปเปอร์มาเก็ต Woolworth แห่งนี้ เพราะ คนตัวเล็กของเรารู้ดีว่าเขาต้องเดินไปที่ชั้นวางขนมปัง ส่วนคนที่เขากำลังตามหานั้นก็คือหนุ่มตาฟ้าที่ก้าวเท้ายาวและไว จนคนขาค่อนข้างจะสั้นเกินกว่ามาตรฐานนิดหน่อยอย่างหนุ่มผิวแทน ซอยเท้าตามไม่ทันและเกิดอาการลนลานเพราะดันพลัดหลงเข้ากับคนหน้าคมเข้าเสียแล้ว
“หายไปไหนนะ เมื่อกี้ยังเห็นหลังไวๆอยู่เลย” หนุ่มตัวเล็กพยายามสอดส่ายสายตามองหาทั้งโซนจัดวางขนมปังและคนตัวสูงที่มีผมสีวอลนัท แต่เดินมาจนจะนาทีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของทั้งสองสิ่งที่เขากำลังตามหาเลย จนกระทั่งมีเสียงๆหนึ่งดังแว่วมาจากทางด้านหลังของเขา
“Hello, Do you need any help?” (สวัสดีครับมีอะไรให้ช่วยไหมเอ่ย)
เมื่อหันหลังไปตามเสียงเรียก ก็พบกับพนักงานหนุ่มผมแดงที่มีกระแดงตรงกลางระหว่างใบหน้าเป็นหย่อมๆกับใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ แต่ผู้รับบริการท่าทางจะยังงงงวยอยู่เล็กน้อย เพราะว่าหนุ่มผิวแทนยังหันซ้ายหันขวามองรอบๆตัวก่อนจะเอานิ้วชี้ ชี้ไปที่หน้าของเขาเหมือนกับจะเป็นการถามกลับไปว่า คุยกับเขาอยู่เหรอ ซึ่งดูจากสีหน้าหนุ่มผมแดงที่พยายามกลั้นขำน้อยๆ ก็ทำให้หนุ่มตัวเล็กรู้ตัวได้โดยอัตโนมัติว่า พนักงานหนุ่มกำลังคุยกับเขาอยู่ และท่าทีเด๋อด๋าที่เขาแสดงออกไปเมื่อครู่ก็ทำให้เขาเกิดอาการเขินจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีอยู่เหมือนกัน
“Ah… it will be nice if you could tell me where is Bakery Shelves” (เอ่อ...คือมันก็จะดีมากๆเลยละถ้าคุณช่วยบอกผมหน่อยว่าชั้นวางขนมปังอยู่ที่ไหนน่ะครับ) หนุ่มธันใช้เวลาเรียบเรียงประโยคสักครู่ก่อนที่จะพูดตอบหนุ่มผมแดงไป
“That easy just next aisle” (ง่ายมากเลยแค่ช่องถัดไปครับ) หนุ่มผมแดงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ซึ่งพอได้คำตอบหนุ่มผิวแทนก็ไม่รอช้าพูดขอบคุณและกำลังจะก้าวเดินไปยังช่องวางสินค้าข้างๆ ทันทีแต่ก่อนที่จะได้หันหลัง หนุ่มตัวสูงตรงหน้าก็ถามคำถามอะไรบางอย่างจนคนตัวเล็กต้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“Sorry but I would like to know what kind of perfume do you wear”(ขอโทษนะครับแต่จะเป็นไรไหมถ้าผมจะอยากรู้ว่าคุณใส่น้ำหอมอะไรมา) หนุ่มผมแดงถามประโยคดังกล่าวด้วยเสียงสั่นๆ ดูออกแนวประหม่าเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกแปลกใจ เพราะกะอีแค่ถามน้ำหอมทำไมถึงต้องมีความรู้สึกประหม่าด้วย
“Oh it my pleasure and it is Guer...” (ด้วยความยินดีครับ น้ำหอมที่ผมใส่มาคือ เกอ...) แม้จะงุนงงเล็กน้อยเพราะไม่บ่อยหนักที่เขาจะถูกถามด้วยคำถามนี้ แต่ด้วยความที่มันไม่ใช่คำถามที่ยากอะไร อีกทั้งเมื่อครู่พนักงานหนุ่มก็เพิ่งจะช่วยเหลือเขา ธันก็เลยคลี่ยิ้มมารยาทบางๆ ก่อนที่จะบอกหนุ่มผมแดงให้รู้ถึงน้ำหอมที่เขาใส่มาถ้าไม่มีคนมาขัดซะก่อน
“Hey!!!” (เฮ้ย!!!) เมื่อทั้งคู่หันไปตามเสียงเรียกก็พบกับหนุ่มตาฟ้าที่กำลังทำหน้าถมึงทึงมายังพวกเขาทั้งคู่
“Come here” (มานี่) หนุ่มตัวสูงออกคำสั่งด้วยเสียงที่ดูหงุดหงิดเหมือนพึ่งจะกินรังแตนมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการชักสีหน้าใส่เล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปหารูเบนตามที่เขาสั่ง
“Oh sorry, it’s Guerlain” หนุ่มธันเหมือนจะนึกได้ว่าเขายังตอบคำถามหนุ่มผมแดงไม่เสร็จเลยหันหน้ากลับไปหาพร้อมบอกถึงชื่อยี่ห้อน้ำหอมไป ซึ่งนั่นก็ทำให้หนุ่มหน้าคมถอนหายใจหอบใหญ่ออกมาก่อนจะเดินตรงไปที่จุดชำระเงินโดยไม่รอหนุ่มผิวแทน
ซึ่งเมื่อหนุ่มตัวเล็กเห็นดังนั้นก็ต้องวิ่งไล่ตามหนุ่มตาฟ้าไปด้วยเหตุที่ว่าถ้าเขาพลัดหลงกับรูเบนอีกเขาก็คงจะต้องเสียเวลามานั่งงมหาสถานที่ปิคนิคอีกเป็นชั่วโมงแน่
“Oh Great now I know the brand but I don’t know which model. By the way that tan boy is so cute.” (โอ้เยี่ยมเลยตอนนี้เราก็รู้ยี่ห้อแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นไหน ยังไงก็เหอะหนุ่มผิวแทนคนนั้นน่ารักชะมัด) หนุ่มหัวแดงยิ้มให้กับตัวเองก่อนที่จะถอนหายใจและเดินกลับไปทำงานของเขาต่อ
เมื่อมาถึงตัวหนุ่มรูเบนเขาก็ได้รับการมองแรงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพ่นคำบ่นออกมาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบจะฟังไม่ทัน
“Don't talk to strangers, your mom never teach you about that?”(แม่ไม่สอนเหรอว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้าอะ) ซึ่งจริงๆแล้วคนตัวสูงพูดเยอะกว่านี้ แต่ทว่านี้เป็นประโยคเดียวที่คนตัวเล็กสามารถฟังทันและจับใจความได้
“Sorry, that guy is a staff and I think this one isn’t your business” (ขอโทษนะคนนั้นอ่ะเป็นพนักงานแล้วอีกอย่างฉันก็คิดว่าอันนี้มันก็ไม่ใช่ธุระของนายด้วย) หนุ่มตัวเล็กเถียงกลับไปและแม้มันจะดูเหมือนหนูสู้กับสิงโตแต่ถ้าเป็นเรื่องการปะทะฝีปากแล้ว คนตัวเล็กก็ไม่มีทางจะลงให้ใครง่ายๆ อยู่แล้ว
“Oh great, Have it your way” (โอ้ถ้างั้นก็แล้วแต่ละกัน) เหมือนธันจะเห็นอาการสั่นไหวน้อยๆ ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแต่นั่นก็คงเป็นจะเป็นเพราะหนุ่มตัวสูงคงจะมีน้ำโหเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับจากหนุ่มตัวเล็ก
ซึ่งทันทีที่รูเบนพูดจบประโยคก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รูเบนจ่ายเงินค่าขนมปังเสร็จพอดี และนั่นก็ทำให้เขาไม่รีรอที่จะเดินจากไปโดยไม่รอคนตัวเล็ก
แต่ครั้งนี้คนตัวเล็กไม่พลาดเหมือนก่อนหน้านี้เพราะทันทีที่คนตัวสูงเริ่มออกก้าวเดินคนตัวเล็กก็เปลี่ยนจังหวะการเดินจากปกติเป็นการเดินเร็วแทนและนั่นก็ดูเหมือนว่าจะเพียงพอที่จะทำให้หนุ่มผิวแทนก้าวทันคนที่ขายาวกว่า
ทั้งคู่เดินกันออกมาจนถึงถนนเส้นหลักก่อนที่จะมีลมแรงพัดเอาฝุ่นดินจากพื้นเข้าปะทะหน้าคนตัวเล็กอย่างจังจนเศษฝุ่นบางส่วนหลุดเข้าตา และนั่นก็ทำให้ธันต้องกระพริบตาถี่ๆอย่างอัตโนมัติเพื่อที่จะให้น้ำตาไหลออกมาไล่เศษฝุ่นนั้นให้ออกไป
เพียงครู่เดียวน้ำตาก็ไหลออกมาชะสิ่งสกปรกออกไป แต่เมื่อธันลืมตาได้ตามปกติแล้วพบว่าหนุ่มตาฟ้าที่ยืนรอข้ามถนนอยู่ข้างๆ ไม่ได้มีท่าทีจะสนใจหรือช่วยเหลืออะไรเขาเลย ซ้ำร้ายยังหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นอย่างไม่แยแสอีกหาก
แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าคนผมสีวอลนัทจะไม่ได้ใจร้ายนักเพราะว่าก่อนที่เขาจะลืมตาได้เต็มตา เขาได้ยินเสียงสัญญาณไฟเขียวร้องขึ้นเพื่อให้คนที่รอข้ามถนนได้เดินข้ามไปยังอีกฝาก ในใจของคนตัวเล็กตอนนั้นก็คิดได้แต่เพียงว่าคงโดนทิ้งแล้วแน่ๆ แต่พอเอาเศษฝุ่นออกจากตาได้ก็พบว่าคนตัวสูงยังรออยู่ข้างๆ ไม่ได้หายไปไหน และนั่นก็ทำให้ธันมีความรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กๆ เหมือนกัน
เส้นทางระหว่างหน้าซุปเปอร์มาเก็ต กับสวนสาธารณะดูไกลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีความเงียบเข้ามาเป็นตัวคั่นกลางระหว่างคนตัวเล็กและคนตัวสูง
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียวตั้งแต่เดินออกมาจาก Woolworth และหากไม่นับที่คนตัวเล็กพูดบ่นเรื่องอากาศร้อน เรื่องทางเดินลาดชัน และเศษขยะที่เห็นอยู่ตามพื้นอยู่ประปราย เสียงที่แวดล้อมทั้งคู่ก็คงจะมีแต่เสียงรถที่ขับผ่านและเสียงอีกาที่ร้องขู่อยู่บนต้นไม้เพราะคิดว่าสองคนนี้จะมาขโมยไข่ของมันเป็นแน่
“อะ นี่มัน White ibis นี่นา”หนุ่มตัวเล็กร้องทักขึ้นเมื่อเห็นนกท้องถิ่นของออสเตรเลียกำลังเดินกระหย่องกระแหย่งหาอาหารอยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณว่าพวกเขาเดินมาใกล้ถึงจุดแคมปิ้งแล้ว เนื่องจากว่านกชนิดนี้ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับแหล่งที่อยู่ของมนุษย์หรือแหล่งที่มนุษย์มาชุมนุมกันทำกิจกรรมเกี่ยวกับอาหาร เพราะพวกมันรู้ดีว่าสามารถขโมยอาหารหรือหาเก็บกินเศษอาหารได้โดยง่าย
“อุ้ย ตัวนี้ยังตัวเล็กอยู่เลย สงสัยจะยังเป็นเด็กอยู่ มากินนี่มา”หนุ่มตัวเล็กหยิบขนมปังถุงที่อยู่ในมือเขามาบิออกเล็กน้อยก่อนที่จะโยนไปที่เจ้านกสีขาวตัวเล็กที่มองเขม็งมาที่เขาตั้งแต่เขาเริ่มแกะถุงพลาสติกแล้ว
“Hey don’t feed that ugly bird” (เฮ้ย อย่าให้อาหารเจ้านกน่าเกลียดนั่นนะ) หลังจากที่ไม่ได้พูดอะไรกันมาสักพัก ประโยคแรกที่รูเบนพ่นออกมาก็ทำให้หนุ่มผิวแทนคิดขึ้นมาในใจว่าสู้ไม่ต้องพูดกันจนถึงที่หมายยังจะดีซะกว่า แต่ก็เหมือนสัญชาติญาณ อัตโนมัติเมื่อได้ยินใครบางคนพูดอะไรที่ไม่เข้าหูมันก็อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องโต้ตอบกลับไป
“Why even it ugly it could be hungry as we are or you would like to say you will only feed with something beautiful and let see something ugly starving and death? , You are narrow-minded” (ทำไมน่าเกลียดแล้วหิวไม่เป็นหรือไง หรือจะบอกว่าต้องสวย ต้องน่ารักเท่านั้นเหรอถึงจะได้กิน ถึงจะไม่อดตายน่ะ ใจแคบชะมัด) น้ำเสียงของคนตัวเล็กบอกถึงอาการไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นคนตัวสูงก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านกับคำพูดของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย กลับพูดกลับตอบกลับไปด้วยโทนเสียงที่เย็นและราบเรียบ
“Don’t stupid, I don’t know what do you think and I don’t care but in this city, in this country, you will get the find if you feed the wind animal, Hey stop it!!!” (อย่าโง่ไปหน่อยเลย ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายจะคิดยังไงและจริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้สนด้วยแต่จะบอกอะไรให้เอาบุญนะ นายน่ะจะถูกปรับเอาถ้าเกิดมาให้อาหารสัตว์สุ่มสี่สุ่มห้าที่ประเทศนี้ นี่ฉันบอกให้หยุดไง) และแม้ตาของธันจะมองจ้องกับคู่สนทนาแต่ว่ามือของคนตัวเล็กก็ยังแอบบิขนมปังและโยนไปตรงจุดที่นกตัวเล็กยืนอยู่ จนคนตัวสูงได้แต่ถอนหายใจกับการกระทำนั้นก่อนที่จะเดินหนีไป ทิ้งไว้ให้คนตัวเล็กหัวเราะตามหลังอย่างชอบใจ
เพื่อนร่วมห้องส่งเสียงเฮกันยกใหญ่เมื่อเห็นทั้งคู่ถือขนมปังหอบใหญ่ เดินตรงมายังโต๊ะที่พวกเขากำลังง่วนอยู่กับการปิ้งย่างไส้กรอกและเนื้อสัตว์ แต่เมื่อลองพิจารณาดูดีๆก็ไม่ได้มีแค่นักเรียนจากห้องเรียนเขาอย่างเดียวแต่มีคนอีกหลายๆ คนที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ซึ่งพอมองไปตรงแบร์ก็เห็นอาจารย์อีกคนยืนอยู่ด้วย แต่อาจารย์คนนี้ธันรู้จักเป็นอย่างดีเพราะถึงแม้ว่าธันจะเคยไปเข้าคลาสของเธอเพียงแค่ครั้งสองครั้งแต่เอกลักษณ์ของเธอก็โดดเด่นเป็นอย่างมาก ใครที่ได้เห็นเธอเพียงแม้เพียงครั้งเดียวย่อมจำได้ไม่รู้ลืมเป็นแน่ ใช่ เรากำลังพูดถึงอาจารย์ วาเนซซ่าอยู่
บรรยากาศรอบๆ สวนสาธารณะที่ใช้เป็นจุดปิ้งย่างบาบีคิวนั้นดูงดงามและเรียบง่ายไปในคราวเดียวกัน ที่ว่างดงามเพราะพื้นที่โดยรอบสวนนั้นถูกตกแต่งเป็นอย่างดีจากธรรมชาติมีทั้งต้นอาคาเซีย ต้นตูเปโล ต้นแครปแอบเปิ้ล และต้นสน เติบโตสลับหว่างกันอย่างลงตัวรอบๆสวนและบริเวณหนองน้ำ
ซึ่งหนองน้ำที่อยู่ติดๆ กับเก้าอี้และม้านั่งก็มีความใสสะอาดในแบบธรรมชาติอยู่กล่าวคือไม่ได้ใสเหมือนกับสระว่ายน้ำที่ผ่านการดูแลใส่คลอรีนมาอย่างดีจนสามารถเห็นก้นสระได้ แต่ความใสในที่นี้คือดูแล้วสะอาดตาไม่มีขยะลอยเหมือนลำคลองที่บ้านเรา แต่กระนั้นก็ยังมีความเขียวของพืชน้ำปะปนอยู่จำพวกตะไคร่ และ พวกกอบัวเป็นต้น ส่วนคำว่าเรียบง่ายนั้นเกิดจากฝีมือของคนที่นี่ที่ไม่พยายามไปรบกวนธรรมชาติมาก ดังนั้นการจัดวางเก้าอี้ยาว โต๊ะ และเตาบาบีคิวก็จะไม่มีการตัดหรือโค่นต้นไม้เพื่อวางสิ่งเหล่านี้แทนที่เลย ดังนั้นเราก็จะเห็นว่า ในหนึ่งโต๊ะบางครั้งก็จะมีเก้าอี้ สองตัวบ้าง สามตัวบ้างหรือครบสี่ตัวบ้าง โดยพื้นที่ของเก้าอี้ที่แหว่งไปก็จะเป็นต้นไม้ขนาดย่อมๆมาทดแทน และทุกจุดที่มีเตาบาบีคิวก็จะมีถังขยะอยู่ใกล้ๆ เสมอ แม้จะไม่ได้ใกล้มากจนคนที่มาใช้บริการได้กลิ่นขยะแต่ก็ใกล้พอที่คนมาปิ้งย่างจะไม่ขี้เกียจเดินเอาไปทิ้ง
เมื่อหนุ่มตัวเล็กวางขนมปังบนโต๊ะกลางเสร็จ ก็หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาคนตัวกลมว่านั่งอยู่ตรงไหนเพื่อที่เขาจะได้ไปนั่งแจมด้วย หลังจากมองหาเพียงครู่เขาก็เจอแบมบูนั่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ กับเตาปิ้งบาร์บีคิว ซึ่งดูเหมือนว่าคนตัวกลมจะไม่ได้นั่งอยู่กับแค่ เดวิด และ ฮานะ แต่จะมีเพื่อนใหม่สองคนที่เขาไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย และเมื่อเขาเดินไปใกล้ๆ คนตัวกลมที่กำลังคุยอย่างออกรสออกชาติอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาหาเขาก่อนจะกวักมือไหวๆ ให้เขาเข้าไปร่วมบทสนทนาในครั้งนี้ด้วย
“นี่ไงพี่คนที่อยู่กับแบมบู ชื่อพี่ธัน อันนี้ พี่ซีอิ้วนะ แล้ว นี้ก็ไอ้ตอง”แบมบูผายมือไปทีผู้หญิงที่นั่งอยู่ทางขวามือที่ใบหน้าออกไปทางหมวยอินเตอร์กับผิวที่ออกเหลืองๆ แทนๆ และผมตรงดำขลับประบ่า ดูแล้วน่าจะขายดีที่ตลาดต่างชาติแบบนี้เป็นแน่ และ ทางซ้ายมือก็มีผู้หญิงผิวค่อนข้างคล้ำกับแว่นตาทรงกลมใหญ่หนาที่กินพื้นที่ไปเกินกว่าครึ่งของใบหน้า ซึ่งทั้งทรงของแว่นตาและทรงผมที่หยิกฟูก็ดูไม่ค่อยจะรับกับใบหน้าเท่าไหร่เลย แต่ทว่าทั้งคู่มีรอยยิ้มที่ค่อนข้างจะสดใสและเป็นมิตรเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ธันอุ่นใจและเปิดใจที่จะเข้าไปคุยด้วย
“นี่เป็นไงบ้างจ้ะ ไปเดทกับหนุ่มตาฟ้า สองต่อสองเป็นไงบ้าง ดีไหม” แบมบูเปิดประเด็นถามทันทีหลังจาก ธันพูดทักทาย เตย กับพี่ซีอิ้วเสร็จ
“ดีกับผีอะไร ออกจากซุปเปอร์ก็ไม่ได้คุยกันเลย สงสัยคุณเขาอมดอกพิกุลทองไว้มั้ง เพิ่งจะมาคุยกันก็ตอนเดินเข้าสวนมาเนี่ย แถมไม่ได้คุยดีด้วย ออกแนวด่าฉันซะมากกว่า” หนุ่มผิวแทนบ่นกระปอดกระแปดให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง ซึ่ง ฮานะ กับเดวิดก็มองตากันปริบๆ ตามระเบียบ
“จริงเหรอ เห็นจากท่าทางภายนอกก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ แลดูเป็นคนคุยสนุก อบอุ่นดีออก เห็นตอนเดินเข้ามาก็ยิ้มทักทายใครต่อใครไปทั่วอยู่เลย”เตยพูดขณะหยิบขนมกรุบกรอบที่อยู่ในจานแบ่งตรงหน้าเข้าปากกำใหญ่
“มันคือภาพลวงตา อย่าให้หน้าตาของเขาหลอกเธอได้”หนุ่มตัวเล็กเนียบหยิบขนมตรงหน้าของสาวแว่นหนาเข้าปากก่อนจะพูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“Oh, Sorry David, Hana. Have you eaten my chicken satay yet?”(โทษที เดวิด ฮานะ ว่าแต่พวกเธอได้ลองกินไก่สเต๊ะของฉันหรือยัง) หนุ่มตัวเล็กเกาหัวพร้อมยิ้มเจื่อนๆ ไปให้เพื่อนชาวต่างชาติทั้งสองที่เริ่มจะทำหน้าเซ็ง เพราะไม่เข้าใจบริบทที่พวกเขาพูดกันสักประโยค เมื่อคนไทยที่เหลือเห็นดังนั้น ก็น่าเจื่อนไปตามๆ กันก่อนจะเริ่มสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ เดวิด และ ฮานะมีส่วนร่วมกับบทสนทนาด้วยได้
“No one eats yet because it has a lot of people around the BBQ station we will cock after they finish” (ยังไม่มีใครได้กินเลยจ้ะ พอดีว่าคนรอบๆเตาบาร์บีคิวค่อนข้างเยอะน่ะ ก็เลยว่าจะค่อยไปย่างหลังคนซาลงหน่อย) ฮานะที่เริ่มปรับสีหน้าได้บ้างแล้วเป็นคนตอบคำถามคนผิวแทนด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“Oh, I think it’s time” (อืม ฉันคิดว่าตอนนี้น่าจะเหมาะแล้วแหละ) เดวิดผู้ที่จ้องมองเตาบาร์บีคิวอย่างใจจดใจจ่อ พูดขึ้นก่อนจะเอาเนื้อสเต็กที่เขาซื้อมาแพคใหญ่ออกจากถุงพลาสติกพร้อมกับเดินปรี่ตรงไปที่เตาทันที ส่วนคนที่เหลือบนโต๊ะก็มองตากันก่อนที่จะหัวเราะและส่ายหัวอย่างขำๆ กับท่าทางของหนุ่มตี๋
เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงเตาบาร์บีคิวก็จัดแจงเปลี่ยนกระดาษฟอยด์อันเก่าที่มีคราบเขม่าดำและรูแหว่งที่เกิดจากความร้อนและการขูดขีดของที่คีบออกก่อนจะค่อยๆวางกระดาษฟอยยด์แผ่นใหม่ลงบนหน้าเตาอย่างเบามือ ซึ่งดูเหมือนว่า แบร์จะเอากระดาษที่คุณภาพไม่ค่อยดีนักมาให้ใช้ เพราะว่าแค่พวกเขาจับเบาๆกระดาษก็ย่นยู่ยี่เหมือนจะขาดอยู่มะรอมมะร่อแล้ว
“No David, We have to spray oil first” (อย่าเพิ่งเดวิด เราต้องพ่นสเปย์น้ำมันก่อนนะ) พี่ซีอิ้ว พูดขัดจังหวะหนุ่มตี๋ที่กำลังจะเอาเนื้อชิ้นโตวางลงบนฟอยด์ทันทีหลังจากวางเสร็จ
“Ok that looks good enough” (เอาละ น่าจะย่างได้แล้วแหละ) หลังจากพี่ซีอิ๊วพ่นสเปย์น้ำมันลงบนกระดาษฟอยด์จนทั่วแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนลงมือย่างของที่ตัวเองเตรียมมาได้ และคนที่เข้าเส้นชัยก่อนเพื่อนก็ไม่พลิกโผ เป็นหนุ่มแว่นของเราตามคาด เมื่อพี่ซีอิ๊วพูดจบปุ๊ป เนื้อก็วางลงบนเตาปั๊บ จนเตยและแบมบูอดที่จะส่ายหัวอย่างเอ็นดูไม่ได้
“What that shit smell, it's too strong” (นั่นมันกลิ่นอะไรอะทำไมมันแรงอย่างนี้) สาวโคลัมเบียที่ยืนปิ้งอยู่เตาข้างๆ อุทานขึ้นมาก่อนจะมองไปบนเตาของพวกเขาด้วยสายตาขยะแขยง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป
“Look at that color it is yellow like a… ha ha ha” เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังคนที่อุทานก่อนหน้า สำทับขึ้นมาก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะที่ใครฟังก็ต้องหมั่นไส้จนอยากจะลากไปตบกลางสี่แยกให้รู้แล้วรู้รอด
“What the he…” (อ้าวทำไมพูดเหี...) แบมบูที่เป็นคนที่ยืนใกล้กลุ่มนั้นที่สุดหันไปตวาดแต่ก่อนที่จะได้บวก หนุ่มตัวเล็กที่ยืนข้างๆ ก็ได้หันไปแตะไหล่พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้แบมบูสงบลงเล็กน้อยแต่ก็ยังจ้องไปที่ กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไม่วางตา แต่สาวละตินก็ไม่ได้จะรู้สึกผิดแต่ประการใด แถมเธอยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้แถมหันมายิ้มมุมปากให้กับหนุ่มตัวกลมเป็นระยะอย่างท้าทาย
“จะห้ามน้องทำไม ดูดิมันสลดที่ไหนอะ น่าตบให้ดั้งยุบนะอีคนแบบนี้อ่ะ”แบมบูหันมาบ่นหนุ่มตัวเล็กที่เข้ามาห้ามทัพเขาไว้
“เออ หมากัดอย่ากัดตอบ อีกอย่างนะ ไปตบเขาอะไม่กลัวดั้งพังเหรอ ของเขาอ่ะของจริงของเราอ่ะ ของปลอมนะ”หนุ่มธันพูดขณะตาก็จ้องเนื้อบนเตาส่วนมือก็พลิกไม้ไก่ย่าง อย่างกับมืออาชีพมาลงมือทำเอง
“อ้าว ตบพี่แทนได้ไหมเนี่ย อันนี้ไม่ได้ของปลอมจ้ะ ของแท้ซิลิโคนแท้นำเข้ามาจากอเมริกาจ้ะ หมอการันตี เหมือนยิ่งกว่าจมูกแท้ๆ ซะอีก”แบมบูพูดพร้อมโชว์ บิดซ้ายบิดขวาจนน่าหวาดเสียวว่าซิลิโคนจะทะลุออกมาจากจมูก
“Oh can you do like that with your nose, I always thought it is plastic” (นี่เธอบิดจมูกแบบนั้นได้ด้วยเหรอฉันคิดมาตลอดเลยนะว่าจมูกของเธออะของปลอม) ฮานะเอามือทาบอกด้วยความตกใจก่อนจะพูดขึ้นอย่างซื่อๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้คนในวงหัวเราะก๊าก ไม่เว้นแม้กระทั่งเดวิด เห็นจะมียกเว้นก็แต่คนตัวกลมที่มองไปที่สาวญี่ปุ่นด้วยตาที่เขียวปั้ด
“What? Did I say something wrong” (ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ) สาวฮานะที่ยังไม่รู้ตัวก็ได้ถามกลับไปเพราะเห็นคนตัวกลมทำหน้างอลๆเธอ
“No, you are right but you know what in my country there are saying logic is like the sword those who appeal to it shall perish by it” (ไม่เธอพูดถูกทุกอย่างแหละ แต่ในประเทศฉันมีคำกล่าวว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนพูดน่ะอาจตายได้นะ) แบมบูคีบเนื้อที่สุกแล้วขึ้นมาพร้อมกับค่อยๆบรรจงหั่นและยิ้มไปที่ฮานะอย่างเหี้ยมเกรี้ยม
ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก กลับกันกับเพื่อนที่เหลือ เพราะพอคนตัวกลมพูดจบประโยค คนในวงก็พากันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจน สาวโคลัมเบียข้างๆ เบะปากใส่ด้วยความรำคาญ
หลังจากปิ้งย่างทุกอย่างเสร็จพวกเขาก็แบ่งทุกอย่างออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งวางไว้ที่โต๊ะกลางส่วนอีกส่วนก็ถือกลับไปยังโต๊ะที่พวกเขานั่ง โดยที่ไม่ลืมที่จะทำความสะอาดเตาและถือของกินอย่างละนิดอย่างละหน่อยติดมือมาจากโต๊ะกลางด้วย
“Um… Thun, I don’t want to say like this but your chicken has a strong smell it’s like an India food” (เอ่อ ธันฉันก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่ว่าไก่ของเธอกลิ่นมันก็ค่อนข้างแรงจริงๆเหมือนกับอาหารอินเดียเลย) ฮานะหยิบไก่ขึ้นมาดมก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กโมโห หรืองอลเธอเลย เขากับตอบเธอกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ และเสียงที่ดูเรียบเฉยว่า
“How about eat a little bit first and tell me how you feel” (ถ้าไงลองกินสักคำดูก่อนไหมแล้วค่อยบอกฉันอีกทีว่ามันเป็นยังไง) หนุ่มผิวแทนพยักหน้าเล็กๆให้ สาวตาขีดเหมือนกับจะบอกว่ามันไม่เป็นไร ส่วนฮานะก็ทำหน้าแหยงๆ ก่อนจะเอามือบีบจมูกพร้อมกับกัดไก่สะเต๊ะที่ถืออยู่ในมือคำน้อยๆ
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเคี้ยวเสร็จเธอก็ต้องทำตาโต จนตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า พร้อมทั้งเผลอ อุทานมาเป็นภาษาบ้านเกิดของเธอว่า “โอ อิ ชิ อุ๊บ” (อร่อยจัง) เธอรีบเอามือปิดปากเธอทันทีหลังจากเผลออุทานออกมาพร้อมมองซ้ายมองขวาว่าอาจารย์อยู่แถวนั้นหรือเปล่า ก่อนที่จะหันมาหาธันพร้อม กับพูดอย่าง ละล่ำละลัก
“Sorry Thun, to be honest, I thought the test should be terrible but this one is really good juicy softly and tasty” (ขอโทษนะธันตอนแรกฉันคิดว่ารสชาติมันต้องแย่แน่ๆเลย แต่พอลองดูแล้วมันกลับ อร่อยมากๆเลยทั้งชุ่มฉ่ำและนุ่มมากๆด้วย)
ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่ารอยยิ้ม และดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ฮานะคนเดียวที่ชอบไก่ของเขา เพราะคนอื่นๆในโต๊ะก็พูดชมเขาไม่หยุดปากและมันก็เริ่มที่จะลามไปยังโต๊ะข้างๆเหมือนไฟลามกอฟาง เสียงชื่นชมมาจากทุกสารทิศและดูเหมือนว่าผู้คนจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำเมนูนี้ ซึ่งโฆษกประจำตัวของเขาก็ได้พูดแทนเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“Thun did it yes I know it delicious even it strong smell and yellow” (ธันทำ ใช่ฉันรู้ว่ามันอร่อย ถึงแม้ว่ามันจะสีเหลืองและกลิ่นแรงก็เถอะ) แบมบูตอบเอาจารย์และเพื่อนๆที่เดินเข้ามาถามว่าใครเป็นคนทำไก่สเต๊ะ ซึ่งเสียงตอนขึ้นต้นประโยคของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นการตอบธรรมดา แต่ว่าเสียงตอนลงท้ายนั้นดูจะกระแทกไปยังใครบางคนที่นั่งอยู่ถัดจากพวกเขาสองโต๊ะเต็มๆ และนั่นก็ทำให้พวกเธอถึงกับสำลักไก่ที่กินอยู่ในปากเล็กน้อย
กิจกรรมหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยกันระหว่างโต๊ะ และ นั่งฟังเสียงเพลงจากคนตาฟ้าที่ไม่รู้ไปหากีตาร์มาจากไหน ก่อนจะจบกิจกรรมด้วยการที่แบร์และวาเนซซ่าบรรยายว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมาออกนอกสถานที่แบบนี้ ซึ่งหลักๆ ก็คือเพื่อให้พวกเขาได้ฝึกพูดและใช้คำศัพท์ในชีวิตประจำวันได้คล่องและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ระหว่างเดินทางกลับจากสวนสาธารณะ ธันก็ไม่อาจจะห้ามใจโยนพวกเศษขนมปังและอาหารที่เขาแอบเก็บมาหลังจากที่ทุกคนกินกันอิ่มแล้วไปให้เหล่านกพิราบและลูกนกกุหลาขาว (White ibis) ที่เขาพบเจอตามทาง
เมื่อมาถึงใจกลางเมืองทุกๆคนก็ต่างแยกย้ายกลับที่พักของตน โดยธัน แบมบู และเตย เดินกลับทางเดียวกัน ส่วน เดวิด ฮานะ และพี่ซีอิ๊วก็อยู่ละแวกเดียวกันเช่นกัน
เมื่อกลับมาถึงห้องก็พบกับความว่างเปล่า ท่าทางพี่อ้นจะออกไปทำงานแล้วแต่ว่าบนโต๊ะกินข้าวก็มี โน้ตสีเหลืองแปะไว้ว่า “ขอบคุณสำหรับไก่สะเต๊ะนะครับ แม้จะไม่มีน้ำจิ้มก็อร่อยสุดๆเลย ไว้วันหลังทำให้พี่กินอีกนะ” ธันหยิบขึ้นมาอ่านพร้อมกับเผลอยิ้มบาง ๆ
“ไปเก็บของข้างบนก่อนนะ”แบมบูพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆ ธันเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเขาเองก็ควรจะเอาของขึ้นไปเก็บด้วยเช่นกัน
แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ควรที่จะเอาพวกน้ำอัดลม และ ขนมกรุบกรอบที่เขาและหนุ่มตัวกลมเก็บมาหลังจากจบงานปาร์ตี้ออกเสียก่อน คิดได้ดังนั้นเขาก็เริ่มทยอยหยิบขนมออกมาจากกระเป๋าทีละชิ้นๆแต่เมื่อหยิบชิ้นสุดท้ายออกมาเขาก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บขนมชิ้นนี้มาแน่ ซึ่งตัวขนมดังกล่าวเป็นขนมที่ยังไม่ได้แกะกินด้วยซ้ำและที่สำคัญคือมันเป็นแยมโรลขนมที่เขาชอบมากอีกด้วย
แต่มันก็ดูน่าสงสัยสุดๆ เช่นกัน เขาพลิกซ้ายพลิกขวาดูว่ามันมีร่องรอยการแกะหรือเปล่าเผื่อว่าบางคนจะแอบแกล้งเขา ซึ่งในระหว่างที่หยิบกล่องพลิกขึ้นดูก็มีกระดาษร่วงลงมาจากใต้กล่องและข้อความบนกระดาษก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะกระดาษถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
“ผมจำได้ว่าคุณชอบกินขนมมากๆ ครั้งหน้าผมจะมอบของบางอย่างให้คุณและจะบอกชอบคุณต่อหน้าด้วย ขอให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจอีกหน่อยนะครับ
ลงชื่อ คนที่แอบชอบคุณ”
คิ้วของหนุ่มธันยิ่งขมวดเป็นปมหนาขึ้นไปอีกเมื่ออ่านข้อความในจดหมายจบ โดยอาจจะเป็นเพราะว่า กำลังสงสัยว่าใครกันเป็นคนแอบเอาขนมมาใส่พร้อมกับเขียนจดหมายแนบมาซะหวานหยดขนาดนี้ให้เขา สองคือตัวหนังสือนั้นก็ตัวเล็กมากๆ จนเขาต้องเพ่งแล้วเพ่งอีกกว่าจะอ่านออก
“ใครกันนะ แอบเอาขนมมาใส่ให้ กินดีไหมเนี่ย เอาไปให้อ้วนลองกินก่อนดีกว่า เผื่อตาย” จบประโยคธันก็ถือขนมและกระเป๋าเดินตามหลังแบมบูขึ้นไปบนห้อง