Special
[/size]
1 ปีผ่านไป ‘มึงอยู่ไหน’
ทันทีที่เท้าเหยียบพื้น โทรศัพท์ก็ปรากฎข้อความจากจิณเพื่อนสนิททันที ผมหัวเราะออกมาเมื่อเห็นมัน เป็นคนข่าวไวยังไงก็ไวอย่างนั้น ไม่ทันที่จะตอบกลับไปเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาจากเจ้าของข้อความเมื่อครู่นั้นแหละ
“ว่าไง”
(อย่ามาไขสือนังตัวดี อยู่ไหน!)
“ข่าวไวจังวะ”
(มึงอัปสตอรี่)
“ฮ่า ๆ เอออยู่ไทยแล้ว”
(หึ จะไปจะมาไม่เคยจะบอกกูหร้อกก) ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินปลายสายตัดพ้อ แต่ก็เถียงไม่ได้เพราะทำจริงอย่างที่เพื่อนว่า
“เอาหน่า กลับมาแล้วยนี่ไง”
(พรุ่งนี้กูไปหา)
“โอเค มาแต่เช้าเลยก็ได้ เดี๋ยวกูแชร์โลฯให้”
ผมกดวางสายพอดิบพอดีกับฝ่ามืออุ้นร้อนที่คุ้นเคยแตะลงบนบั้นเอว หันไปยิ้มให้กับเจ้าของฝ่ามือนั้นก่อนจะเดินออกจากสนามบินเพื่อกลับคอนโดหลังใหม่ไปพร้อมกัน
คอนโดหลังใหม่ ผู้ชายคนใหม่ และชีวิตใหม่
แปดโมงเช้าจิณก็มาถึงหน้าประตูห้องซึ่งสวนกับเจ้าของห้อง มันหันมาทำตาโตเขม่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เมื่อเขากดจูบที่หน้าผากผมเป็นการร่ำลาก่อนจะออกไปทำงาน ทันทีที่ประตูปิดลงจิณก็เข้ามาซักฟอกทันที
“เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้!”
ผมหัวเราะและเริ่มเปิดปากเล่าชีวิตหนึ่งปีที่ผ่านมาของตัวเองหลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น เหตุการณ์ที่ผมไม่มีวันลืมและคงไม่มีทางที่จะลืมมันได้
“ไปเจอกับคุณเขาได้ยังไง”
“ก็เจอกันบนเครื่อง ที่นั่งติดกันเลยมีโอกาสได้คุย”
“แล้วยังไงต่อ”
“ก็คุยกันไปคุยกันมามันคลิกกัน เขาก็ถามกูว่ามีแพลนจะไปที่ไหนบ้าง ซึ่งกูตอนนั้นไม่มีไอเดียอะไรเลย แค่อยากพัก เขาเลยบอกว่าให้กูรอเขาที่นิวยอร์ก เที่ยวเล่นแถวนี้ก่อนได้ไหมซักอาทิตย์นึง แล้วหลังจากเสร็จงานเขามีเวลาว่างทั้งเดือนจะพากูเที่ยวยาว แล้วก็นั่นแหละ” ผมนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่เจอเขาครั้งแรก ดวงตาคมดุแต่กลับไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
“นังคนใจง่าย!”
“ก็นะ ตอนนั้นมันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่” พูดพลางยักไหล่
“แล้วกูเห็นมึงอัปรูปขับรถ มึงโอเคแล้วหรอวะ” จิณถามด้วยความกังวลเกี่ยวกับโรคที่ติดตัวผมในขณะที่หนีทุกคนไปอเมริกา
“ตอนแรกมันไม่ง่ายเลยมึง แค่นั่งในรถเฉย ๆ ยังแทบแย่ แต่มันมีเรื่องฉุกเฉินที่บังคับให้กูต้องขับรถ”
“ทำไมวะ”
“คุณเขาป่วยอาหารเป็นพิษ ไข้ขึ้นสูงมาก แล้วตอนนั้นกูอยู่เมืองที่คนไม่ได้พลุกพล่าน ไม่มีแท็กซี่ ไม่มีคน โรงพยาบาลอยู่ห่างจากที่พักเป็นสิบกิโล ตอนนั้นกลัวคุณเขาไข้ขึ้นจนช็อคและก็กลัวตัวเองแพนิคจนบ้าเหมือนกัน แต่มึงตอนนั้นอะความเป็นห่วงคุณเขามันมีมากกว่า กูพาเขาขึ้นรถ แต่นั่งมือสั่น เหงื่อออก หายใจแรงอยู่หลังพวงมาลัย”
“แล้วคุณเขาไม่สงสัยหรอ”
“สงสัยสิแต่เขาไม่ถาม เขาบอกแค่ว่าเขาไหว ให้เขากินยานอนอีกนิดก็น่าจะหาย แต่มึงตอนนั้นสภาพเขาแย่มาก ตัวร้อนเป็นไฟใครจะไปยอมได้ กูตัดสินใจสตาร์ทรถ เขาทำเพียงวางมือบนหน้าขากูแล้วลูบปลอบอยู่แบบนั้น ไม่เร่งเร้าแม้เขาจะแย่เหมือนกัน จนกูตั้งสติได้ถึงค่อย ๆ ออกตัว” แค่นึกถึงผมก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกหน จนจิณต้องเอื้อมมาจับมือผมไว้
“สิบกว่ากิโลกับถนนโคตรโล่งเอาจริงมันไม่น่าใช้เวลานานเลยใช่ไหม แต่กูใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะจอดหน้าโรง’บาลได้ มันเลยเหมือนก้าวแรกที่ทำให้กูกล้าเผชิญหน้ากับมัน”
“ขอบคุณพระเจ้าที่มึงทำมันสำเร็จเพชร แล้วมึงเล่าเรื่องให้คุณเขาฟังหรือเปล่า”
“เล่า กูเล่าหลังจากเขาหายป่วย กูรู้ว่าเขาสงสัยมาตลอดแต่ไม่ถามเพราะรอกูสบายใจที่จะเล่าเอง”
หกเดือนก่อนกลับไทย หลังจากที่ผมตัดสินใจโพสต์รูปภาพนั้นลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ก็เกิดกระแสในวงกว้างเพราะผมค่อนข้างเป็นที่รู้จักระดับหนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องมันส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานและความน่าเชื่อถือของสองคนนั้น ซึ่งถามว่าผมแคร์หรอ? ก็ไม่ไง ไม่อย่างนั้นคงไม่ตัดสินใจโพสต์ลงไป ผมต้องการให้เกิดบทเรียนระยะยาวมากกว่าความสะใจเพียงชั่ววูบจึงทำแบบนี้
แต่เป็นผมที่คงประมาทไปเองเพราะคิดว่าเรื่องมันจะจบลงตรงนั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นผมก็ตัดสินใจบินมาหลบพักที่อเมริกาโดยที่ไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้นแม้แต่โรงแรมที่จะพัก จนได้เจอคุณเจตต์บนเครื่อง ปล่อยให้เขาพาไปตะลอนอย่างง่ายดาย
จนเจตตน์ไม่สบายนักเลยเป็นไฟลท์บังคับที่ทำให้ผมต้องกลับมานั่งหลังพวงมาลัยอีกครั้ง
“คุณไม่อยากรู้หรอว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนั้น” คืนหนึ่งหลังจากที่เขาหายป่วย เรานอนซบกันอยู่บนเตียงเหมือนเช่นทุกวัน ผมเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นก่อนเพราะรู้ว่าเขาจะไม่มีวันถามผม
“ครับ แต่ผมอยากให้คุณสบายใจที่จะเล่าเองมากกว่า” ผมยกหัวออกจากต้นแขนแกร่ง นอนคว่ำหันไปทางเขาพลางวางปลายคางไว้บนหน้าอกกลิ้งไปกลิ้งมา เขายกยิ้มเมื่อผมทำท่าออดอ้อนที่นานทีจะมีให้เห็น
ผมเล่าให้เขาฟังว่าเจอแฟนเก่ากับอดีตเพื่อนรักหักหลังลักลอบเป็นชู้กัน พอจับได้ก็โพสต์รูปลงเฟซบุ๊กสั่งสอนสักเล็กน้อยแต่ผมชะล่าใจนึกว่าเรื่องจบ
“คืนวันนั้นผมเลิกงานดึกมากก็ขับรถกลับคอนโดตามปกติ ผมสังเกตเห็นรถคันหลังขับตามผมมาตลอดทาง ตอนนั้นกำลังคิดวิธีจะสลัดให้หลุดยังไงแต่มันก็ไม่ทัน รถคันนั้นขับมาจี้ตูดบ้าง ขับขนาบข้างแล้วเบียดจนผมอยู่ตรงไหล่ทาง ผมพยายามเร่งเครื่องเพื่อให้หลุดแต่อยู่ ๆ มันก็ชะลอรถแล้วจอด กว่าผมจะรู้ตัวว่ามันหยุดรถทำไมก็ตอนที่รถกระแทกกับที่กั้น ชนเสาไฟข้างทางแล้วพุ่งลงคูน้ำ”
“ถ้าคุณไม่ไหวก็ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้นะคนดี ผมไม่อยากรู้แล้วครับ” เขายกตัวผมขึ้นนั่งทับตักกอดปลอบแน่นเมื่อตัวผมเริ่มสั่นและน้ำตาเริ่มไหล ภาพเหตุการณ์วันนั้นมันน่ากลัวมากที่สุดในชีวิต มันคือปมปัญหาที่ติดตัวผมมาจนต้องมาต่างประเทศ
“ไม่ ไม่เป็นไรครับ”
“หายใจเข้าลึก ๆ นะครับ” ผมพยายามตั้งสติแล้วเล่าต่อ
“มันโชคดีมากที่คูน้ำไม่ได้ลึกและมีต้นไม้ต้นใหญ่ขวางอยู่ รถผมเลยไม่ได้ตกลงไปทั้งคัน จมไปแค่ซีกเดียวคือฝั่งข้างคนขับ ตอนนั้นผมเจ็บไปหมดทั้งตัวแต่ยังพอมีสติ เห็นมันเดินลงมาส่องดูก่อนจะขึ้นรถหนีไป ผมคงทำบุญมาเยอะถึงได้มีคนขับรถผ่านมา เรียกรถพยาบาลและกู้ภัยให้ผม”
“แล้วคุณรู้ไหมว่ามันเป็นใคร” เขาถามเสียงเครียด กัดกรามแน่น เผลอบีบเอวผมจะสะดุ้ง ดูก็รู้ว่าเขาโกรธ ผมหลุดขำออกมาเพราะคิดว่าท่าทางนั้นมันน่ารักมาก ๆ
“รู้ครับ กล้องหลังและกล้องหน้ารถผมไม่เสียหายพอเอามาประกอบกับกล้องวงจรปิดของถนนเส้นนั้นเลยจับคนร้ายได้ คนทำคืออดีตเพื่อนรักของผมเอง เป็นไงล่ะแสบใช่ไหม”
“ผมอยากเอาเรื่องของที่มาทำคุณ บอกชื่อเขามาได้ไหม” ผมส่ายหน้า
“แค่นี้เขาก็ไม่รู้จะพ้นโทษเมื่อไหร่แล้วครับ เพราะผมไม่ยอมความ แม้แต่ชู้รักที่ตัวมันคิดว่ารักกันมากจนอีกคนยอมนอกใจผมยังตัดเขาทิ้ง จากพยานและเรื่องจากปากผม ตำรวจแจ้งข้อหาพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ผมเห็นแววตาพออกพอใจจากเจตต์ ดูท่าว่าถ้าภัทรได้ข้อหาเบากว่านี้เขาคงโทรสั่งการคนของตัวเองให้จัดการแน่นอน
“คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลคุณ อยู่ข้าง ๆ คุณเอง”
“ขอบคุณนะครับ”
“อันที่จริงแล้วที่คุณหายไปทุกวันพฤหัสบอกว่าไปทำธุระ ผมรู้ว่าคุณไปหาจิตแพทย์”
“ผม—”
“ไม่เป็นไรนะคนดี ต่อไปนี้ถ้าจะไปบอกผมนะ ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง” มันเป็นวินาทีที่ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่สุดในโลกที่ได้เจอเขา ค้นพบว่าบางครั้งกับความรักเราไม่จำเป็นต้องเลือกเยอะให้มากความ เพียงแค่รอคนที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้องก็จะพบกันเองโดยปริยาย
“โอ้โห สุดมากแม่ มีให้กูอีกซักคนไหม” จิณที่ฟังผมเล่าจบก็เบะปากหมันไส้เสียเต็มประดา ผมหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตักมัน นี่คือการอ้อนเพื่อนครั้งที่หนึ่งเพราะรู้ดีว่าทำให้มันห่วงขนาดไหนที่ออกจากโรงพยาบาลปุ๊บ ผมก็บินหนีไป’เมกาปั๊บ
“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง”
“หึ คิดว่าอ้อนกูละจะหายหรือไง”
“มึงรักกูจะตายจิณ”
“เหอะ ... เออแล้วนี่มึงจะอยู่ยาวเลยหรือเปล่า”
“อืม คุณเขาต้องกลับมารับช่วงบริษัทต่อจากคุณป๊าอย่างจริงจัง ไม่มีเวลาไป-กลับหากูได้บ่อย ๆ กูเลยตัดสินใจกลับมา”
“หมันไส้นัก แล้วจะกลับมาทำงานไหม”
“ไม่ล่ะ กะว่าจะรับฟรีแลนซ์ แล้วคุณเขาก็อยากให้กูพักรักษาเต็มที่”
จิณอยู่คุยกับผมตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ผมเห็นเวลาว่าเขาใกล้จะเลิกงานจึงขอติดรถจิณไปลงที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแถวคอนโดเพื่อหาซื้อของไปทำมื้อเย็นเอาใจคุณเขาสักหน่อย
“เจตต์ครับ ผมอยู่ซูเปอร์ xx นะ”
(โอเคครับ รออยู่ที่นั่นนะ ผมกำลังออกจากบริษัท)
“ครับ ขับรถดี ๆ นะครับที่รัก”
ผมกดวางสายก่อนจะเดินเข็นรถไปตามล็อคต่าง ๆ พลางคิดเมนูที่อยากทำไว้ในหัว ความจริงอยากไปเดินตลาดสดมากกว่าแต่เพราะไม่อยากให้เจตต์ที่เหนื่อยจากงานมาเจออากาศร้อน ๆ เลยตัดสินใจซื้อวัตถุดิบที่นี่แทน ถึงแม้ว่าความรักครั้งนี้ผมอาจจะไม่ต้องลงไปกระเสือกกระสนเลือกมัน แต่เรื่องของการจับจ่ายผมยังเป็นเช่นเดิม นึกแล้วก็ขำช่วงแรกที่เจตต์ไปซื้อของกับผมนี่เกือบทำให้ชายร่างยักษ์ขาลากเลยทีเดียว
ตึง!
เสียงเหมือนของหล่นดังมาจากด้านข้างตัวไม่ไกล ผมละสายตาจากเชลฟ์ซอสตรงหน้าแล้วหันไปมอง แต่พอเห็นแล้วกลับอยากจะตีตัวเองนัก เพราะคน ๆ นั้นคือผัวเก่าที่สร้างเรื่องไว้นั่นเอง เขาดูตกใจมากที่เจอผม ทำท่ายึกยักเหมือนจะเข้ามาหาชวนให้ขำสิ้นดี ผมหันกลับมาทำเป็นไม่สนใจ ไม่เห็นเขาในสายตา แม้ในใจจะภาวนาให้เจตต์รีบมาถึงเสียที
“เพ—”
“ที่รักครับ”
“เจตต์” ผมหันไปยิ้มกว้างให้เจตต์อย่างรู้สึกยินดีเป็นที่สุด แต่เจตต์ก็ยังคงเป็นเจตต์ที่จับสังเกตผมได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาคมดุที่ทำให้ใครต่างพากันกลัวหันไปจ้องเข็มทิศเขม็ง เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใครเพราะผมเคยเอารูปให้เขาดูเอง
“ได้ของครับหรือยัง หืม” แต่เขาไม่สนใจกลับหันมาถามผมพลางวาดแขนคล้องเอวผมเอาไว้ ทำราวกับว่าเข็มทิศไม่มีตัวตน
“เหลือเนื้อสัตว์ครับ”
“โอเค” ไม่ต้องคิดว่าเข็มทิศจะรู้สึกยังไงหรอก เอาแค่ว่าตอนนี้ผมเขินแค่ไหนก่อนดีกว่าเมื่อเจตต์ยืนซ้อนหลังผมแล้วพาเดินไปพร้อมกับเข็นรถ หลายสายตามองมาแต่เขากลับไม่สนใจ ส่วนผมได้แต่ก้มหน้าหงุดอย่างเขินอาย
“เดี๋ยวสิเพชร”
ผมคงจะลืมนิสัยที่ชอบเอาชนะของเข็มทิศไป เขาวิ่งมาขวางหน้ารถเอาไว้ไม่ยอมให้ไปต่อ มือของเจตต์กำรถไว้แน่นจนกลัวว่าเขาจะโมโห ผมจึงเงยหน้าขึ้นจุ๊บปลายคางเขาเบา ๆ เพื่อปลอบโยนก่อนจะหันไปหาเข็มทิศ
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“คุณหายไปไหนมา”
“มีอะไร”
“เราพยายามติดต่อเพชรแต่เพชรหายไป เราอยากขอโอกาสให้เราได้แก้ตัว”
“ขอร้องทิศ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไว้นี่มันให้อภัยกันได้ง่าย ๆ หรือไง” ผมชักจะหงุดหงิดบ้างแล้วเมื่อได้ยินคำพูดมักง่ายออกจากปากอดีตคนรัก
“แต่เรารักเพชรนะ หนึ่งปีที่ผ่านมาเราแทบบ้า เราไม่มีใคร รอเจอ—”
“ขอโทษนะ ผมกับเพชรไม่มีเวลามาฟังคุณคร่ำครวญ เลิกพล่ามสักที มันน่ารำคาญ” เจตต์แทรกการพร่ำพูดของเข็มทิศด้วยน้ำเสียงที่ส่อความรำคาญจริงอย่างที่พูด
“แล้วคุณเป็นใคร ยุ่งอะไรด้วย”
“เขาเป็นคนรักของเราเอง”
“เพชร”
เจตต์ไม่รอให้เข็มทิศพูดอะไรอีก เขาดันรถเข็นไปข้างหน้าจนเกือบชนอีกฝ่ายทำให้เข็มทิศต้องล่าถอยเพราะความดุดันที่แผ่ออกมาจากตัวของเจตต์ ผมจับมือเขาแล้วลูบไปมาเพื่อให้เขาใจเย็นลง
“ขอบคุณนะครับ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่คุณอยู่ตรงนี้”
“นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้วคนดี” เจตต์หอมหัวผมซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อย่างที่ชอบทำก่อนที่เราจะรีบซื้อของที่เหลือและพากันกลับมายังคอนโด
วันต่อมาพวกเพื่อนเก่าที่รู้ว่าผมกลับมาก็เลยชักชวนให้มาแฮงค์เอาท์กัน นัดกันที่ร้านกึ่งผับของเพื่อนคนหนึ่งนั่นแหละ ผมยิ้มทักทายเพื่อน ๆ อย่างคิดถึง กลุ่มนี้เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยค่อนข้างสนิทกันเลยแม้ว่าจะไม่ได้ติดต่อกันเป็นปีแต่กลับไม่ทำให้อึดอัดใจ และดีที่จิณก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้ด้วย
“นั่นแน่ เห็นนะว่ามากับใคร ทำไมไม่ให้เขามานั่งด้วยกันล่ะ”
“เขาไม่อยากให้พวกมึงอึดอัด”
“เฮ้ยไม่เป็นไรเลย มึงดูดิ ปล่อยเขานั่งคนเดียว ชะนีมองตาเป็นมันกันเลยนะเว้ยเพชร” ผมหันไปมองและจริงอย่างที่เพื่อนว่า แค่นั่งยังไม่ถึงสิบนาทีก็มีคนเดินเข้าไปหาเขาแล้ว ผมถอนหายใจอดจะหวงไม่ได้จึงยอมลุกขึ้นตามคำยุ เดินเข้าไปหาเขาแทรกกายระหว่างผู้หญิงแปลกหน้าและเขาให้ห่างกัน
“พี่ไปนั่งกับหนูนะ เพื่อนหนูอยากรู้จัก” ผมหยิบสรรพนามที่มักจะปรากฏขึ้นแค่บนเตียงมา เขาหัวเราะก่อนจะกดจูบที่ปากผมแรง ๆ เพราะความหมันไส้กับความแสบผมนั่นแหละ
“ขอโทษนะครับ แฟนผมมาตามแล้ว” เจตต์พูดกับผู้หญิงที่ถูกลืมก่อนจะคล้องเอวผมพาเดินกลับมาที่โต๊ะ โดยมีเสียงโห่แซวของเพื่อนเป็นการต้อนรับ
“นี่พี่เจตต์ ส่วนนี่เพื่อนผมเอง เต้ น้ำ มัท กาย หวาน แล้วก็จิณ คุณน่าจะจำได้อยู่แล้ว” แนะนำสองฝั่งให้รู้จักกันเรียบร้อยก็เริ่มลงมือจัดการของคาวบนโต๊ะเป็นการรองท้องพลางจิบแอลกอฮอล์กลั้วไป
ผมเริ่มมึนฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ความคึกในกายเพิ่มขึ้น เมื่อเพื่อนชวนให้ไปเต้นจึงตกปากรับคำทันที เจตต์ไม่ห้าม เพียงแต่ขอให้อย่าไปไกลจากโต๊ะมากเกินไปเพราะไม่อยากคลาดสายตา
ระหว่างที่เต้นไปตามประสากับกลุ่มเพื่อนก็เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งมองมา ... เข็มทิศอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรือเขาตามไปเห็นเพื่อนผมแท็กก็ตาม แต่ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยกับสายตาของเขาที่มองมา จึงตัดสินใจกระซิบบอกเพื่อนว่าจะกลับโต๊ะ
“เหนื่อยแล้วหรอหืม” เจตต์ดึงผมลงนั่งทับตักอย่างไม่แคร์สายตาใคร ยิ่งเรานั่งโต๊ะมุมในทำให้คนไม่ค่อยสังเกตก็ยิ่งได้ใจเขาเลยเชียวล่ะ
“ครับ คุณอยากกลับหรือยัง” ผมซบใบหน้ากับไหล่กว้าง ซุกจมูกสูดกลิ่นกายเฉพาะตัวของเขาจากซอกคอ คนตัวโตที่ถูกอ้อนส่งมือมาลูบแก้มผมพร้อมกับอีกข้างที่วนเวียนอยู่เหนือสะโพกชวนให้ใจหวิว เขาก้มลงไปมาจูบผมราวกับมันเขี้ยวเสียเหลือเกิน เราจูบกันเพลินจนได้ยินเสียงแซวจากเพื่อนที่เพิ่งโดนกลับมาจึงค่อย ๆ ผละจากกัน
“กลับกันดีกว่าไหม พี่อยากกินหนู” ผมหัวเราะกับความเถรตรงของเขา
“งั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำแป็บนึงนะ”
“ไปด้วยกันครับ”
เขาพาผมเดินฝ่าผู้คนที่ยิ่งดึกคนก็ยิ่งเยอะไปจนถึงห้องน้ำ ผมถูกดันให้เข้าไปทำธุระในห้องแยกส่วนเจตต์ใช้โถด้านนอก อยากจะแกล้งงอแงแต่เพราะถูกมองดุจึงยอมเข้าไปโดยดี
ระหว่างที่เดินกลับจากห้องน้ำแขนถูกกระชากจากด้านหลังอย่างแรงจนเซออกจากวงแขนของเจตต์ ผมรีบหันไปมองและพบว่าเป็นเข็มทิศในสภาพเมามาย เข็มทิศเข้ามาจับผมเข้าไปจูบ แรงบีบที่ข้อมือทำให้ผมสะบัดไม่หลุด แต่แล้วเจตต์ก็ถลาเข้ามากระชากคอเสื้อของเข็มทิศแล้วเหวี่ยงลงพื้นอย่างแรงก่อนจะตามไปกระทืบซ้ำ ผมยืนเหม่อเคว้งจนมัทเจ้าของเรียกสติผมให้เข้าไปห้ามก่อนที่จะมีคนตาย
“เจตต์ เจตต์ครับ พอแล้วครับ” ดวงตาดุแดงก่ำบ่งบอกว่าเขาโกรธขนาดไหน สองแขนแกร่งดึงผมเข้าไปกอดและกดผมให้ซบอกตัวเองเอาไว้
“ขอโทษด้วยนะครับน้องมัท เดี๋ยวจะให้คนมาจัดการเรื่อง พี่ขอพาเพชรกลับก่อน” ผมถูกพากลับมาที่รถ เจตต์เอากระดาษทิชชู่แบบเปียกบรรจุเช็ดริมฝีปากของผมอย่างเบามือ แม้เขาจะยังหายใจแรงด้วยความโกรธอยู่ก็ตาม ผมรักเขาในตรงนี้ที่ไม่เคยพาลอารมณ์ใส่ผมเลยสักครั้ง
“ขอโทษนะ พี่ขอโทษนะที่รักที่เข้าถึงตัวหนูช้าไป”
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ” ผมถูใบหน้ากับฝ่ามือใหญ่ เขาโน้มเข้ามาใช้ริมฝีปากตัวเองคลอเคลียกับผม พูดกระซิบคำขอโทษเป็นสิบครั้ง ก่อนจะใช้จูบที่ผมคุ้นเคยและรักมันเข้ามาปลอบประโลม
ผมชอบที่เขาค่อย ๆ ดึงดูดริมฝีปากของผมเล่นไปมา แล้วใช้ปลายลิ้นลัดเลาะตามรอยแยกของปาก ไล่เรียงไปตามฟันแต่ละซี่ ก่อนที่ลิ้นของเราทั้งคู่จะเจอกัน เกาะเกี่ยวเอาไว้ไม่ยอมห่าง ความละมุนละม่อมในคราแรกแปลเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงเมื่อเขาเพิ่มจังหวะในการกดจูบ
“อ่า พี่ ... เรารีบกลับกันเถอะ หนูไม่ไหวแล้ว” เขาจูบปากผมจนเสียงดังจ๊วบลั่นรถเป็นการปิดท้าย
ทันทีที่ถึงห้องแล้วร่างกายก็ถูกเขาจูบไปทั้งตัว ผมถูกขบกัดจนหัวนมบวมเป่งแต่ไม่มีท่าทีว่าเขาจะหยุดและผมก็ไม่ยอมแพ้ แอ่นอกให้เขาสัมผัสได้ถนัดถนี่มากขึ้น โอบรอบคอกดลงให้เขาแนบชิด ปลายลิ้นไล่เลียลงไปจนถึงหน้าท้อง หยอกล้อกับหลุมสะดือ ไปจนถึงกลางลำตัวที่ชูชันสั่นระริกราวกับเชื้อเชิญ
การได้ร่วมรักกับคนรักมันทำให้ผมลืมทุกความไม่สบายใจ ไม่อยากจะเปรียบเทียบสักเท่าไหร่ แต่รสชาติรักของเจตต์รวมถึงความดีของเขาน่ะต่อให้เอาผู้ชายในชีวิตของผมมารวมกันยังได้ไม่ถึงครึ่งของเจตต์เลยด้วยซ้ำ
“เหม่ออะไรคนดี”
“หะ อื้อ พี่ ตรงนั้น”
“ตรงนี้หรอหืม” เขาใช้ปลายนิ้วสะกิดไปที่จีบพับอย่างขี้แกล้ง ก่อนจะกดลงไปหนึ่งข้อแล้วชักออก ผมบิดเร้าพยายามขยับเอวตามนิ้วยาวนั่น
“พี่ไม่อยากโมโหเลย แต่พอคิดว่าไอ้เหี้ยนั่นเคยจูบหนูพี่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้”
“พี่”
“พี่จะทำให้หนูลืมผู้ชายทั้งโลกและจดจำแค่นายเจตต์คนนี้คนเดียว” คนตัวโตไม่พูดเปล่า เขาจับผมพลิกคว่ำอย่างรวดเร็ว เสียงฉีกของซองถุงยางดังขึ้นเพียงพริบตาเดียวไม่ทันตั้งตัว เขาก็แทรกกายเข้ามาในตัวของผม ใช้ภาษากายระบายอารมณ์ที่คุกรุ่น กว่าพายุอารมณ์จะสงบผมก็สลบไม่รู้เรื่องจนถึงเช้า พอตื่นมาก็เห็นเขายังคงหลับสนิทข้างกายไม่ได้ไปทำงานเหมือนทุกที ความเมื่อยขบทำให้ผมลุกขึ้นมาเพื่อยืดเส้นสาย
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแต่พบแจ้งเตือนจากอินตาสแกรมที่มากกว่าปกติจึงรีบกดเข้าไปดู และพบว่าคนที่ตัวโตที่หยิบโทรศัพท์ผมไปอัปรูปเอง มันเป็นภาพแถวไหปลาร้าของผมที่ขึ้นรอยช้ำแดงจากรอยจูบกับเสี้ยวหน้าของเขาที่ซุกซบอยู่ไม่ไกล ดูแค่รูปก็น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น
แสบกว่านั้นคือเปิดเป็นพับลิคให้ด้วย ทำให้มีคอมเมนต์จากแอคเคาท์ที่คาดว่าจะเป็นเข็มทิศขึ้นมา เข้าไปส่องดูแล้วน่าจะเป็นแอคเคาท์ใหม่เพราะอันเก่าถูกผมบล็อคไปตั้งนานแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจ ผมกดสลับปิดเป็นส่วนตัวก่อนที่จะมีคนแห่มามากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ลบรูปออก
“หึ คนขี้หวง”
ผมก้มลงไปงับปลายจมูกคนชอบปั่น ก่อนจะถูกแขนยาวดึงจนต้องยอมล้มตัวลงไปนอนเป็นตุ๊กตาให้คุณเขากอดเหมือนเช่นทุกที
(ต่อ)