ณ ขณะที่... (รัก) #สายตื๊อ
Chapter 14
#สายตื๊อ
กุญแจไม่รับสายผม ไม่แม้แต่จะตอบข้อความ เขากำลังปั่นหัวผมเหรอ และถ้าใช่ เขาก็ทำสำเร็จแล้ว เพราะตอนนี้ผมมายืนรอเขาที่หน้าบ้านอยู่นานสองนาน
ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็จบลง เมื่อรถแท็กซี่เขียวเหลืองจอดสนิทที่หน้าบ้านของคนตัวเล็ก ผมรอให้เขาลงมาจากรถก่อน แล้วจึงเดินตรงไปหาเป้าหมายที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าผมมารออยู่
“คุณยิ้มบ้าอะไร” ปากเขาก็ถาม มือก็คว้านหากุญแจในกระเป๋า
“คิดถึง” มือที่กำลังหาของอยู่หยุดชะงักทันที “อยากเจอ” ใบหน้าเล็กเงยหน้าขึ้นมอง “อยากกอดด้วย ขอกอดนะ”
“คุณกลับไปเถอะ อย่าให้ผมต้องเอาน้ำมาสาดไล่คุณเลย” ว่าจบกุญแจก็หันกลับไปไขประตูรั้วบ้าน ก่อนจะปิดมันลงต่อหน้า กลายเป็นว่าผมยืนอยู่ด้านนอก ส่วนกุญแจยืนอยู่ด้านใน
“เธอทำแบบนี้เพราะชอบฉันใช่ไหมล่ะ?”
“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ”
“เธอพยายามตีตัวออกห่าง เพราะกลัวความรู้สึกที่มีอยู่แล้วจะมากกว่าเดิมใช่ไหม เธอถึงเอาแต่หนีอยู่ตลอดเวลา”
“...”
“ถ้าเรารู้สึกเหมือนกันทำไมเราไม่---” ยังไม่ทันพูดจบก็โดนกุญแจยกมือขึ้นเบรกเอาไว้
“พอเถอะครับ ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมไม่เชื่อเรื่องความรัก ผมไม่ศรัทธาอะไรทั้งนั้น”
“เธอไม่เชื่อทั้งที่ยังไม่เคยลองเนี่ยนะ”
“แค่เห็นมาเยอะ ก็มากพอแล้วครับ” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านไป
“ฉันจะทำให้เธอรักฉันให้ได้ค่อยดูสิ”
กุญแจไม่แม้แต่หันกลับมามอง ผมไม่ต้องการคำตอบจากเขา เพราะผมได้คำตอบนั้นแล้ว ใบหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงตอนที่ผมถามเขาว่าเขาชอบผมใช่หรือเปล่า เป็นคำตอบที่ชัดเจนกว่าคำพูดเสียอีก
เขาคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองน่ารักแค่ไหนตอนที่ถูกจับความรู้สึกได้ รอหน่อยนะ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้นานแน่เพราะฉันปล่อยเธอมานานมากพอแล้ว กุญแจ...
ผมพาตัวเองกลับมาที่บ้าน ตรงมายังห้องรับรองก่อนจะเทเครื่องดื่มสีอำพันใส่แก้วใส แล้วยกมันขึ้นดื่มรวดเดียว ปล่อยให้รสขมฝาดไหลลงคออย่างเชื่องช้า ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ ผมไม่เคยต้องตามง้อใคร ไม่เคยต้องถูกไล่ด้วยคำพูดแรง ๆ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาทำไปเพราะแค่ปกป้องตัวเองก็ตาม
เมื่อเครื่องดื่มที่ดื่มไปเริ่มทำงาน ผมจึงเดินเข้าไปที่ห้องเก็บของ ค้นหาค้อนปอนด์ที่จำได้ว่าในห้องนี้เคยมี ก่อนจะหาเจอแล้วลากมันกลับเข้ามาในบ้าน
“บุหรี่” คำพูดเพียงสั้น ๆ ผมก็ได้บุหรี่มาไว้ในมือ อะไรที่ผมอยากได้ผมต้องได้
ผมสูดเอาสารนิโคตินเข้าไปจนฉ่ำปอด แล้วยืนมองบ้านตัวเอง มันควรจะถึงเวลาที่ต้องรีโนเวทใหม่เสียที แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นมาจนถึงข้อศอก ผมเดินลากค้อนปอนด์เข้าไปยังห้องครัวเป็นที่แรก
“เอ่อ... คุณศรจะทำอะไรครับ”
“หุบปาก!” ว่าจบผมก็ออกแรงยกค้อนทุบทำลายกำแพงห้องครัวจนเละเทะ ก่อนจะตรงไปยังห้องรับรอง และห้องนอนของตัวเอง
เพียงชั่วพริบตาบ้านทั้งหลังก็พังยับ ผมไม่ได้ทุบจนถึงขนาดที่ว่าโครงสร้างรับน้ำหนักบ้านไม่ไหว ทุบแค่พอจะใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อทำบ้านใหม่ ไม่คิดเลยว่าการจะต้องได้คนคนหนึ่งมา มันต้องลงทุนขนาดนี้ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าหากสำเร็จ
“มือถือ”
“นี่ครับบอส”
ผมรับมือถือไว้ในมือก่อนจะกดต่อสายหาน้องชาย
“พรุ่งนี้เข้าออฟฟิศกี่โมง มีเรื่องให้ช่วย รับรองว่าเป็นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้”
เช้าวันนี้ผมลุกจากเตียงด้วยอารมณ์สดใสกว่าที่เคย ถึงแม้ว่าระหว่างที่เดินอยู่ในบ้านจะต้องเดินผ่านเศษซากของปูนที่แตกกระจายอยู่ทั่วบ้านก็ตาม
ซองเอกสารที่น้ำตาลถูกโยนไว้ที่เบาะข้าง ๆ คนขับ ก่อนจะขับตรงออกมายังถนนกว้าง วันนี้อะไรก็ดีไปหมด แม้กระทั่งตอนที่รถติด หรือตอนที่มีคนมาเช็ดกระจกรถให้โดยที่ไม่ขออนุญาต มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด ไม่นานนักผมก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดในโซน VVIP ที่จอดเป็นประจำทุกครั้งที่มา
“สวัสดีค่ะคุณศร บอสกำลังรออยู่ด้านในพอดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมสั่งกาแฟไว้ข้างล่างฝากเอาขึ้นมาให้ผมด้วยล่ะ”
“ได้ค่ะ”
“อ้อ... ใครอยากกินอะไรสั่งได้เลยนะฉันเลี้ยง”
“ขอบคุณค่ะ คุณศร”
ผมเดินยิ้มร่าสาวเท้าเข้ามาในห้องทำงานน้องชายในเวลาต่อมา วันนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว ผมมากับโชค...
“ตกลงมีอะไรมาหากูแต่เช้า” เพียงแค่ผมก้าวเท้าเข้ามา น้องชายก็เอ่ยปากถามทันที
“...” ผมไม่ได้ตอบ แต่ยื่นซองเอกสารที่นำติดมือมาด้วยส่งให้ธนูอ่าน ก่อนจะหย่อนสะโพกลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง
ธนูใช้สายตาไล่อ่านตัวหนังสือบนกระดาษ ไม่นานเขาก็อ่านรายละเอียดจนครบจึงเอ่ยปากถามต่อ
“มึงจะให้กูซื้อหุ้นโรงพยาบาลไปทำไมกัน อีกอย่างกูก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว” ผมเท้ายกขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าที่สบาย ๆ ก่อนจะหลุดยิ้มมุมปากออกมา
“ใครบอกว่าจะให้มึงซื้อ” ผมว่า
“จะซื้อให้?” ธนูเลิกคิ้วถาม
“อย่างที่คิด”
“มึงมีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่าศร ของฟรีไม่มีในโลก” น้องชายผมคิดถูก ผมไม่ได้มาเพื่อยกอะไรให้น้องชายฟรี ๆ
“กูจะรีโนเวทบ้านใหม่ กูต้องการที่พัก แล้วกูก็มีที่ที่หนึ่งน่าสนใจ”
“มึงคงไม่ได้จะบอกให้กูไปคุยกับเมียกูใช่ไหม”
“มึงคิดถูกแล้วล่ะ” น้องชายผมเป็นคนเดียวที่รู้ใจผมที่สุด
“โซ่ไม่ยอมหรอก มึงก็รู้ว่าเขาห่วงน้องชายขนาดไหน แถมมึงไปทำเหี้ยกับเขาไว้อีก”
“กูขอเวลาแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ถ้ามันไม่สำเร็จกูจะยอมถอย”
“...” ธนูทำท่าคิดหนัก ผมเข้าใจน้องชายผมนะ มันเป็นเรื่องยากที่โซ่จะยอมให้ผมเข้าไปอยู่ มันไม่ต่างอะไรกับฝากปลาย่างไว้กับแมว
“20 เปอร์เซ็นต์” ผมขีดค่าตัวเลขในหนังสือสัญญาซื้อขายหุ้นที่ก่อนหน้ามันเขียนเอาไว้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ออก
“ศร...”
“30”
“ตกลง” ธนูตอบรับทันที
ผมฉีกยิ้มกว้าง เมื่อธุรกิจที่กำลังคุยเป็นไปได้ด้วยดี ผมบอกแล้วผมมากับโชค...
ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ
“เข้ามา” ธนูว่า
“แบล็คคอฟฟี่เพิ่มช็อตค่ะคุณศร” เลขาวางกาแฟที่สั่งเอาไวตรงหน้า ก่อนจะเดินออกไป
กาแฟถูกยกขึ้นดื่มก่อนจะเริ่มคุยต่อ
“ถ้าทำสำเร็จ กูมีของแถม”
“มึงกำลังจะกดดันกูใช่ปะ”
“เปล่าสักหน่อย” ผมว่าก่อนจะไหวไหล่ และส่งเอกสารอีกฉบับให้ธนู
“ศร แค่ตั๋วเครื่องบินกูซื้อให้เมียได้” ธนูว่า ก่อนจะยื่นเอกสารกลับมาที่ผม
“อ่านให้ละเอียด ‘ไพรเวทเจ็ท’ เชียวนะ ได้ข่าวว่าดูเอาไว้อยู่ไม่ใช่เหรอ”
“กูถามจริง ๆ มึงชอบกุญแจขนาดนั้นเลยเหรอวะ เรื่องของมึงกับน้องเขาที่ผ่านมา กูไม่เห็นว่ามันจะมีตรงไหนที่จะทำให้มึงบ้าได้ขนาดนี้”
“ชอบก็คือชอบ ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไรมากมายเลยเปล่าวะ แค่อยู่ด้วยแล้วสบายใจกูก็อยากจะอยู่กับเขา” กุญแจไม่ได้สมบูรณ์แบบเต็มร้อย แต่ระยะเวลาสั้น ๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมมีความสุขมากกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมา ต่อให้ผมได้อยู่กับกุญแจแค่ห้านาที ถ้ามันเป็นความสุข เขาก็ยังเป็นคนที่ใช่สำหรับผม มันไม่มีสูตรตายตัว
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับความรู้สึกแบบนี้กับเขาบ้าง แต่พอเจอแล้วก็อยากจะทำให้เต็มที่ ถ้าจะเสียใจก็เอาให้สุด ตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที
“อย่าทำเขาเสียใจนะ กูฝากน้องด้วย โซ่รักกุญแจมาก อย่าให้กูต้องผิดหวังในตัวมึงอีก”
“อืม กูสัญญา”
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีดำอัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าที่จำเป็น ถูกยกขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวย้ายไปเก็บไว้ที่บ้านหลังใหม่ ใช้เวลาอยู่สองสามวัน ธนูก็โทรมาบอกให้เก็บกระเป๋ารอได้เลย ผมมีเวลาแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น
ทีแรกโซ่ยืนยันว่ายังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด ผมเองก็ไม่รู้ว่าธนูพูดยังไงโซ่ถึงยอมเปลี่ยนใจ เอาเป็นว่าเอกสารสัญญาทั้งสองฉบับถูกส่งไปให้ธนูเซ็นแล้วเรียบร้อย กุญแจบ้านสำรองก็อยู่ในมือผมแล้วตอนนี้
ที่เหลือก็แค่ตรงไปยังเป้าหมาย...
ใช้เวลาอยู่บนถนนไม่นาน ผมก็มาถึงบ้านของกุญแจ มันค่อนข้างไกลจากออฟฟิศผมมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผม
ผมยืนกดออดเรียกกุญแจไม่นานนักเขาก็เดินออกมารับทั้งหน้ามุ่ย ๆ โซ่คงโทรบอกน้องชายเขาแล้วว่าผมจะมาขอพักชั่วคราว ตอนนี้คงมีแค่ผมที่อารมณ์ดีอยู่คนเดียว
“เชิญครับ”
ผมเดินตามคนตัวเล็กเข้ามาในบ้าน ข้างในไม่ได้มีอะไรหวือหวา เป็นเพียงบ้านหลังเล็กธรรมดา ตกแต่งเรียบง่าย
“นี่ห้องคุณ มันเป็นห้องเก่าของพี่โซ่ผมทำความสะอาดไว้ให้แล้ว”
“แล้วห้องเธอล่ะ” ผมถามกลับทันที
“อยู่ข้าง ๆ ถ้าคุณจะอยู่ที่บ้านหลังนี้ ผมมีกฎง่าย ๆ สามข้อ”
“...” ผมตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด
“ข้อหนึ่งผมใหญ่ที่สุดในบ้าน” ผมหลุดขำในลำคอเบา ๆ เพราะคนตัวเล็กกำลังบอกว่าเขาใหญ่ที่สุด ผมเข้าใจความหมาย แต่ก็อดเอ็นดูไม่ได้ “คุณขำอะไร!” เจ้าแมวตัวน้อยกำลังพองขนขู่
“เปล่าครับว่าต่อเลย”
“ข้อสอง ผมยังเรียนอยู่ ต้องอ่านหนังสือ ยิ่งช่วงใกล้สอบผมจะต้องใช้สมาธิ ฉะนั้นคุณห้ามเสียงดัง”
“...”
“ข้อสามสำคัญมาก ห้ามเข้าห้องผมเด็ดขาด มีอะไรเคาะเรียกเท่านั้น สามข้อง่าย ๆ คุณทำได้ใช่ไหม”
“รับทราบครับ” ผมบอกรับทราบนี่ ผมไม่ได้บอกว่าผมทำได้สักหน่อย
“แล้วคุณอย่าคิดนะว่าผมจะเชื่อเรื่องข้ออ้างที่บอกว่าบ้านกำลังรีโนเวทอยู่ ถ้าคุณคิดจะทำอะไรแปลก ๆ แล้วละก็ เจอดีแน่!”
“นั่นเป็นคำขู่ที่น่ารักที่สุดเลยครับ” มุมปากผมกระตุกยิ้มอย่างพอใจ กุญแจอมลมเอาไว้ในปากจนแก้มพอง เขาเหมือนอยากด่าผมเต็มทน แต่ก็รู้ว่าพูดไปผมก็ไม่สะทกสะท้าน
“ผมจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง คุณจะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าเสียงดัง”
“ทำอะไรก็ทำนี่หมายถึงเข้าห้องเธอได้ด้วยใช่ปะ” ผมว่า ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างจงใจแกล้ง
“...” กุญแจมองหน้าผมนิ่ง แววตาเขากำลังบอกว่ากฎสามข้อเขาไม่ได้พูดเล่น
“กฎข้อสาม ครับ ๆ ผมทราบแล้ว” ผมยืนมองกุญแจเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ตอนนี้เขายังตั้งป้อมไม่ให้ผมเข้าไป คงต้องใช้ทฤษฎีน้ำซึมบ่อทรายอีกนั่นแหละ
ผมเดินกลับเข้ามาในห้องที่กุญแจเตรียมเอาไว้ สิ่งแรกที่เห็นคือเตียงนอนมันเล็กมาก ผมคนเดียวนอนก็เต็มเตียง ความสะดวกสบายก็ไม่เหมือนบ้านที่ผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากกลับเลยแม้แต่น้อย ผมจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาข้างนอกห้อง เดินไม่กี่ก้าวผมก็สำรวจจนทั่วบ้าน
ผมหยิบมือถือขึ้นมาชักภาพกุญแจตอนเด็กที่แขวนอยู่ที่ผนังไปหลายรูป เขาเหมือนเด็กผู้หญิงมาก ตัวก็เล็ก ผิวก็ขาวราวกับไข่ต้ม ผมชอบดวงตาของเขา มันขัดรับกับผมสีน้ำตาลอ่อนได้อย่างลงตัว
เดินสำรวจไปจนถึงโซนครัว ผมก็เปิดตู้เย็นดูว่า เย็นนี้พอจะทำอะไรทานได้บ้าง ปรากฏว่าในตู้เต็มไปด้วยอาหารแช่แข็ง ให้ตายเถอะเขามีชีวิตอยู่ด้วยอาหารพวกนี้เหรอเนี่ย
ปลายนิ้วกดสั่งซื้ออาหารสดจากมือถือให้มาส่งที่บ้านเป็นจำนวนหนึ่ง ก่อนจะเอาอาหารแช่แข็งพวกนั้นไปทิ้งจนเกือบหมด ไม่แปลกใจเลยที่กุญแจจะตัวเล็ก และผอมบางขนาดนั้น
ไม่นานนักอาหารสดก็มาส่ง ผมจัดการเก็บทุกอย่างเข้าตู้ ก่อนจะคิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรทาน สุดท้ายก็เลือกทำสเต๊กเนื้อแบบง่าย ๆ โชคดีที่ตอนเรียนอยู่เมืองนอกผมทำอาหารกินเองทุกมื้อ
“คุณทำอะไร” เสียงเล็กถามเมื่อเห็นผมกำลังง่วนอยู่ในครัว ผมมองกุญแจในลุคที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พอยิ่งเห็นเขาใส่แว่นก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลกตา แต่ก็น่ารักเป็นบ้า ไม่อยากคิดตอนที่ผมกำลังรังแกเขาในตอนที่สวมแว่นนั่น...
พอเลยศรมึงกำลังจะคิดเรื่องลามกต่อหน้าเด็กน่าเอ็นดูขนาดนี้ได้ยังไงกัน “คุณ... เป็นอะไรหรือเปล่า” กุญแจเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“เธอออกมาตอนไหนเนี่ย เป็นนินจาหรือไงผมตกใจหมด” ผมรีบตอบ
“...” เขาไม่ตอบ เพียงแค่ไหวไหล่รับ กุญแจเดินมาเปิดตู้เย็น ก่อนจะเห็นว่าเสบียงของเขาถูกผมกวาดทิ้งหมดแล้ว “ข้าวผมไปไหน ผมแช่เอาไว้ในนี้นี่” เขาว่ายืนเท้าสะเอวมอง
“ฉันเอาไปทิ้งเองแหละ เธอกำลังจะเป็นหมอนะหัดดูแลตัวเองซะบ้าง ไม่งั้นจะดูแลคนอื่นได้ยังไง”
“แต่คุณก็ไม่ควรเอาของผมไปทิ้งอยู่ดี”
“ฉันว่าเธอกำลังโมโหหิวนะ เธอกินเนื้อได้ใช่ไหม”
“ก็ได้” กุญแจตอบสั้น ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“งั้นไปรอที่โต๊ะ ฉันทำสเต๊กเนื้อใกล้เสร็จแล้ว”
“ของผมขอแบบมีเดียมเวลล์นะ ผมไม่กินของดิบ”
“ครับ ๆ” ผมรับคำ ก่อนจะหันมาทำอาหารตรงหน้าต่อ
ไม่นานนักอาหารสองจานก็เสร็จ ผมยกมาวางไว้ที่โต๊ะ ซึ่งกุญแจนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณทำอาหารเป็นด้วยเหรอ” กุญแจเอ่ยถาม
“อืม ตอนเรียนอยู่เมืองนอกทำกินเอง”
“อ๋อ...” ผมเดินกลับเข้ามาในครัวเพื่อหายาง เพราะรู้สึกรำคาญผมที่ปรกหน้ารุงรังของกุญแจ มันทำให้ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัด
“ฉันมัดผมให้นะ” ผมตั้งท่าจะมัดผมให้ แต่ก็ถูกกุญแจจับมือเอาไว้ก่อน
“ยางรัฐบาลมันกินผม”
“...” ยางรัฐบาลอะไรวะ? ผมไม่รู้จริง ๆ
“เฮ้อ! ยางวงแดง ๆ แบบนี้มันกินผม ยางมัดผมอยู่หน้าทีวี”
“อ๋อ...” ว่าจบผมก็เดินไปหยิบยางมัดผมเส้นสีดำหน้าโทรทัศน์ แล้วกลับมาที่โต๊ะอาหาร
“เอามานี่ผมมัดเอง” กุญแจตั้งท่าจะแย่งยางในมือ
“นั่งเฉย ๆ ฉันมัดให้” เขาไม่ปฏิเสธ แถมยังนั่งนิ่ง ๆ ให้ผมมัดให้อย่างว่าง่าย ผมเส้นเล็กยังคงนิ่มมือ และหอมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ สัมผัสมันยังคงเหมือนเดิม แต่มันยาวกว่าเมื่อก่อนมาก
ลึก ๆ ก็แอบคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าที่กุญแจไว้ผมยาวขนาดนี้ เพราะเคยทักว่าผมเขาสวย หากไว้ยาวกว่านี้คงสลวยน่าดู ความอยากรู้ทำให้ผมถามออกไป
“ทำไมไว้ผมยาวล่ะ”
“เรื่องของผมนาศร... รีบมัด ผมหิวแล้ว” ผมฉีกยิ้มกว้างกับคำพูดเร่งของคนตัวเล็ก ก่อนจะรีบจัดการมัดผมให้แล้วเดินกลับมานั่งที่ของตัวเอง
“ให้ฉันหั่นให้ไหม” ผมว่า
“ผมเป็นหมอ ผมใช้มีดเก่งกว่าคุณก็แล้วกัน” ทำไมผมรู้สึกเสียววาบกับคำพูดชวนสยองนี้จัง
เรานั่งทานอาหารกันอยู่เงียบ ๆ จนอาหารตรงหน้าพร่องไปจนเกือบหมด
“คุณอิ่มหรือยัง เดี๋ยวผมล้างจานเอง” กุญแจถาม
“เธอไม่อ่านหนังสือต่อหรือไง”
“คุณทำอาหารแล้วนี่ เดี๋ยวผมล้างจานให้ก็ได้”
“ไม่เป็นไรแค่นี้ฉันทำเอง แล้วต่อไปห้ามซื้ออาหารสำเร็จมาอีกเข้าใจไหม” ผมว่าเสียงแข็ง
“งี้ผมหิวก็ต้องลุกมาทำกินทุกครั้งเลยเหรอ ไม่ไหวหรอกคุณ”
“ถ้าหิวบอกฉันก็ได้”
“ถ้าวันไหนคุณไม่อยู่บ้านล่ะ”
“ก่อนออกไปฉันก็จะทำแช่ตู้เอาไว้ เธอก็เอามาเวฟกิน”
“แล้วทำไมคุณต้องทำแบบนั้นด้วย”
“แค่อยากดูแล...”“...”
“...” เราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ จนกระทั่งผมเป็นคนตัดสินใจพูดขึ้นเอง “ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ให้ฉันมาพักที่นี่ชั่วคราวก็ได้”
“อ๋อ... ครับ งั้นผมขอคิดดูก่อนแล้วกัน” ว่าจบกุญแจก็ลุกขึ้นเต็มความสูง “ผมอ่านหนังสือต่อนะ ถ้าคุณจะดูทีวีก็เบาหน่อยเสียง”
“ครับ” ผมรับคำก่อนจะนั่งมองกุญแจเดินหายไปในห้องของตัวเอง
เขาเก็บอาการไม่เก่งจริง ๆ นั่นแหละ แต่ผมชอบนะ มันดูน่ามันเขี้ยวจนอยากจับเขาทุ่มลงบนเตียง แล้วสลัดความอ่อนโยนที่พยายามคีพลุคมาตลอดทิ้งไป นี่ผมกำลังกลายเป็นคุณลุงคลั่งรักเด็กปากหนักไปแล้ว ให้ตายเถอะมันตลกสิ้นดี
#ทีมลุงศรทุบบ้าน ^(+++)^
#ณขณะที่รัก
*กำลังทยอยแก้คำผิด*