CHAPTER 3: More Than a Stranger “พชร ไปกินข้าวกัน”เพราะตั้งแต่อยู่ร่วมห้องกันมายังไม่เคยกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเลย
ไอดิลจึงถือโอกาสเอาวันเสาร์มื้อสายๆติดๆจะเที่ยงชวนสองหนุ่ม หนึ่งปรัชญาและอีกหนึ่งเครื่องกลลงไปโรงอาหารด้วยกัน
“ฮื่ออ ไปๆ หิววว” ม่อนแจ่มโหยหวน
“เดี๋ยวกูค่อยไป” พชรตอบเรียบๆ ยิ้มให้ไอดิลนิดหนึ่งเป็นเชิงขอโทษ
ไอดิลกลอกตาบนมองเพดาน
“ไปเถอะ พชร กูอยากกินข้าวพร้อมกันสามคน นะ.. ไม่อย่างนั้นมันจะไม่บรรลุเป้าหมายชีวิตหอในของกู”
ร่างเล็กอธิบาย โน้มน้าวและชักจูง พร้อมเสริม “เดี๋ยวกูดูให้ ไม่ให้ไอ้ม่อนระรานมึง”
“ไอ้ดิ้ล!” เมทเครื่องกลถลึงตาใส่เมทสิ่งแวดล้อม จัดการเรียก-ไอ้-ควบชื่อเสียเลยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ระ..ระรานเหรอ ที่มึงพูด มึงคิดแล้วใช่ไหม มึง มึงคิดว่ากูจะ แล้วมัน-”
“โอเค ไปเถอะ”
ตอบรับแค่นั้น ตัดบทกันซึ่งๆหน้า แล้วพชรก็เปิดลิ้นชักหยิบธนบัตรสองสามใบเดินนำหน้าไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการได้ยินเสียงบ่นยืดยาวที่เมื่อเริ่มแล้ว ไม่จบสิ้นง่ายๆของม่อนแจ่ม..
ม่อนแจ่มเดินไปร้านอาหารตามสั่งอย่างโมโหๆ จัดการสั่งข้าวกะเพราะหมูกรอบ ส่วนไอดิลเดินไปร้านก๋วยเตี๋ยวสั่งหมี่เหลืองต้มยำ ขณะที่พชรเร็วกว่าใครเพื่อน จัดข้าวราดแกงมาหนึ่งจาน แล้วยังไปกดน้ำเปล่าให้สำหรับตัวเองและเพื่อนอีกสองคน
“น้ำกูเหรอ..”
ถึงกับต้องถามซ้ำ เมื่อวางจานข้าวกะเพราะหมูกรอบลงบนโต๊ะ เพ่งมองน้ำแก้วน้อยที่เห็นอยู่ว่ามาจากมือของพชร
เหมือนเคย..
ไม่มีการตอบรับ.. ไม่มีการปฏิเสธ..
จนอยากจะหยิบแก้วน้ำแล้วเทราดลงบนหัวแม่ง เผื่อจะพูดได้
“พชร ถ้ามึงไม่ตอบ กูจะไปกดน้ำมาใหม่..”
ม่อนแจ่มเอ่ยนิ่งๆ และอธิบาย เลียนแบบเสียงเรียบๆของพชรได้ค่อนข้างเหมือน เสียแต่พชรไม่เคยพูดอะไรยืดยาวแบบเขาเท่านั้น
“ถ้ากูต้องไปเอาน้ำมาใหม่ คนล้างแก้วก็ต้องเหนื่อยที่จะต้องล้างสี่แก้ว แทนที่จะเป็นสาม น้ำยาล้างจานก็ต้องเปลือง
น้ำสะอาดก็ต้องเปลือง ไอดิลที่เรียนวิศวฯ สิ่งแวดล้อมก็คงต้องเสียใจและเสียดายกับการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ
มันอาจจะเสียใจมากจนพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง และเป็นต้นเหตุความร้าวฉานของความสัมพันธ์ระหว่างมันกับหมอก”
ห๊ะ?
ไอดิลถึงกับตาลีตาเหลือกเมื่อถูกเอาชื่อไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองเมทเครื่องกลค้าง
ไอ้ม่อน.. มึงทำ GAT เชื่อมโยงได้เต็มใช่ไหมวะ?
แล้วมึงไม่ได้เกรียนใช่ไหม ช่วยบอก ..บอกให้กูหายกังวลทีเถอะ
“โอเค ในเมื่อพชรไม่ตอบ กูจะไปกดน้ำมาใหม่”
ม่อนแจ่มตั้งท่าจะเดินไป แต่ไอดิลรั้งแขนไว้ “ไอ้ม่อน นั่งลงกินเถอะน่า..”
ร่างเล็กปรามเพื่อนร่วมคณะ ไม่ลืมถ้อยคำที่รับปากรูมเมทปรัชญาว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เจ้าตัวโดน ‘ระราน’
“มากันสามคน พชรถือน้ำมาสามแก้ว อีกแก้วมันก็ต้องของมึงสิวะ มึงสงสัยอะไรมากมาย”
ไอดิลพยายามใช้เหตุผลที่ปกติเขาก็ไม่ค่อยจะมีนัก ทว่า เพื่อนร่วมคณะไม่ยอมตาม
“มันต่างหากล่ะ แค่ตอบว่าเอามาให้กู แค่นี้ มันจะอะไรมากมาย ถ้ามันไม่ตอบ กูจะรู้เหรอ!”
“มันก็วางไว้ตรงที่มึงนั่งแล้วไง” ไอดิลชี้แนะเสียงอ่อน
“กูอาจจะนั่งข้างมันก็ได้ ไม่ใช่ตรงข้าม ทำไมมันไม่แค่-”
“กูเอามาให้มึง แว่นแดง”ปากอ้าค้างไว้ เมื่อหูได้ยินเสียงเข้มเอ่ย
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นไม่ได้มองมา ไม่ได้สนใจ แต่กระนั้น..
“ทีนี้ก็นั่งลงกินข้าวได้แล้ว กูรำคาญ”
“อะ..” ม่อนแจ่มอึกอัก
นี่ควรจะเรียกว่ามันพูดกับกูไหม
กูควรดีใจไหมที่มันพูดกับกู
กูไม่ควรหงุดหงิดที่มันเรียกกูว่า ‘แว่นแดง’ อีกแล้วใช่ไหม
เออ.. ที่กูทำได้ก็คงเป็นเพียง..
“กู-ชื่อ-ม่อน”
ย้ำ.. ย้ำอย่างไร้ประโยชน์ แล้วก็นั่งลงกินข้าวเงียบๆ
กินข้าว แต่ตาไม่ได้มองจานข้าว กลับมองคนที่นั่งตรงข้ามแทบจะตลอดเวลา
มองตรงๆ จ้องเขม็ง ไม่ละสายตา ไม่ใช่แอบเหลือบๆอย่างวันสองวันแรกที่เจอกัน
“ไอ้ม่อน..”
ผ่านไปหลายนาที ไอดิลจึงเอี้ยวหน้ามากระซิบ “หน้าพชรมันอร่อยเหรอวะ?”
ม่อนแจ่มไม่ตอบ ยังคงอ้าปากงับข้าวกะเพราะหมูกรอบพร้อมทั้งจ้องหน้าพชรอยู่อย่างนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจมองเขาแม้แต่น้อย
พชรสามารถมากกว่าที่เขาเคยเข้าใจเสียอีก เพราะไม่ใช่แค่อยู่ห้องเดียวกันแล้วพชรเมินเฉยใส่เขาได้ราวกับไร้ตัวตน แต่นี่กินข้าวโต๊ะเดียวกันและนั่งตรงข้ามกัน มันยังสามารถมองเมิน ไม่สบตากูได้อีก!
“ไอ้ม่อน มึงเลิกจ้องหน้าพชรสักที” ไอดิลอดรนทนไม่ไหว
“ทำไม” ม่อนแจ่มถามกลับเสียงกระด้าง
“อย่าให้กูลำบากใจน่า” หนุ่มสิ่งแวดล้อมพึมพำ “กูรับปากมันแล้วว่าจะไม่ให้มึงระรานมัน”
“กูระรานตรงไหน กูก็มองเฉยๆ ทำความเดือนร้อนอะไรให้มันเหรอ ก็ไม่นี่” ปากพูดกับไอดิล แต่ตายังจ้องพชร
“ในเมื่อมันไม่มองกูได้ โดยที่คิดว่ากูจะไม่รู้สึกอะไร แค่กูมองมัน กูก็คงทำได้ โดยที่ไม่ต้องคิดว่ามันจะรู้สึกอะไรเหมือนกัน”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
บ่ายวันเสาร์เป็นช่วงเวลาซักผ้า.. ไอดิลซึ่งเป็นเลิศในเรื่องการทำงานบ้านเอาผ้าไปซักก่อน ตามด้วยพชร ม่อนแจ่มเองก็ทำได้ไม่เลวหรอกในครั้งที่สาม
เขาขยี้สะอาดกว่าเดิม น้ำกระเด็นน้อยกว่าเดิมและเลอะเทอะน้อยกว่าเดิมด้วย แต่กระนั้น..
“มึงไปซักผ้าหรือตกถังซักผ้า เอาให้แน่ๆไอ้ม่อน” ไอดิลตั้งข้อสังเกต
“ฮึ่ย ช่างกูน่า” ม่อนแจ่มไม่ยอมให้ใครมาทำลายความภาคภูมิใจในการซักผ้า
“ถึงยังไง ความจริงก็คือผ้าถูกซักแล้วใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ กูพอใจแล้ว”
ไอดิลหัวเราะลั่น
ตั้งแต่เปิดเทอมที่ตัวติดกับม่อนแจ่มแทบจะตลอดเวลา ยกเว้นเวลาเข้าเรียนวิชาเมเจอร์ ทำให้เขารู้ว่ารูมเมทเครื่องกลและเพื่อนร่วมคณะวิศวฯมาจากครอบครัวนักธุรกิจที่มีฐานะและท่าทางคงแทบไม่เคยต้องทำงานบ้านอะไรด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะม่อนแจ่มไม่ใช่คนเกียจคร้าน แต่แม่งตั้งใจทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เท่าที่มันจะทำได้
ชีวิตหอในไม่ได้สะดวกสบายนัก ห้องมีแต่พัดลม ห้องน้ำก็ใช้รวมกัน วันดีคืนดีไฟก็อาจดับ น้ำก็อาจไม่ไหล
แต่นอกจากกลัวและตกใจ ม่อนแจ่มไม่เคยบ่นอะไร
ก็มีเพียงเรื่องเดียวนั่นแหละที่เจ้าตัวบ่นอยู่ซ้ำๆ
..การถูกเมินเฉยจากรูมเมทปรัชญา..ไอดิลมองรูมเมทเครื่องกลขำๆ “มึงเอาไปตากที่ระเบียงไป กูเหลือที่ไว้ให้”
ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว “จะพอเหรอ ทั้งของมึง ของพชรอีก..”
“พชรไม่ได้ตากที่ระเบียง” ไอดิลยักไหล่ “มันเอาไปตากที่ลานข้างบน”
…
“ทำไม..”
“ก็..” ไอดิลขมวดคิ้ว “ไม่รู้ ถ้ามันตากก็คงไม่มีที่เหลือพอให้มึงมั้ง..”
“ก็มันซักก่อน มันก็มีสิทธิ์ตากก่อน ทำไมมันไม่-”
“ไอ้ม่อน” ไอดิลยกมือเบรก “กูไม่ใช่พชรนะ กูเห็นใจที่มันไม่พูดกับมึง แต่กูคงไม่สามารถตอบทุกคำถามแทนมันได้”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย มือที่ถือกะละมังสั่นน้อยๆด้วยความรู้สึกที่ปนเปกัน
“เหตุผลที่มันไม่ชอบมึงน่ะ กูก็ไม่รู้ แต่มึงทำใจให้สบายเถอะ พชรไม่ใช่คนเลวร้าย มันเป็นคนมีน้ำใจ”
นั่น.. กู.. รู้..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ช่วงสามสัปดาห์แรก..
ยังไม่มีภาระงานด้านการเรียนมากนัก จึงทำให้ม่อนแจ่มสามารถทำสิ่งที่ชอบทำในเวลาว่างได้ ..วาดภาพ..
วันนี้ก็เช่นกัน มือเรียวกางฉากตั้งที่ไหว้วานลุงสมให้เอามาให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไว้หน้าเตียง สอดกระดาษขนาด A3 เข้าไป
เขารักการวาดภาพมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถม ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องหาคำตอบ แค่เขาทำแล้วพอใจ ไม่มีโทษภัย ไม่เดือนร้อนใคร นั่นก็คงเพียงพอ..
ม่อนแจ่มไม่ใช่คนเครียด เพราะเขาไม่เคยเก็บความเครียดเอาไว้กับตัว
หากเสียใจ ผิดหวัง เขาจะกำจัดความรู้สึกด้านลบนั้นออกไป ความอัดอั้นตันใจทุกอย่าง เขาจะลากมันลงบนแผ่นกระดาษ
ให้มันรับความรู้สึกของเขาเอาไว้ เพื่อเหลือพื้นที่ในหัวใจสำหรับสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ที่จะมีเข้ามา
บนใบหน้าของรูมเมทสิ่งแวดล้อมประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อเห็นเขาลงเส้นดินสอเบาๆ
ร่างเล็กของไอดิลนั่งขัดสมาธิบนพื้นกลางห้อง มองดูเขา.. แม้ไม่เห็นภาพที่วาด เพราะนั่งอยู่ตรงข้าม
ทว่า ไอดิลดูเหมือนจะไม่สนใจภาพ แค่สนใจเขา สนใจอากัปกิริยา สนใจการเพ่งสมาธิกับแผ่นกระดาษ สนใจการลากเส้นดินสอ..
จนในที่สุด ม่อนแจ่มต้องละมือ เลิกคิ้วน้อยๆให้
“มึงไม่ได้แอบชอบกูใช่ไหมเนี่ย?” เอ่ยเล่นๆขำๆ และนั่นทำให้ไอดิลหัวเราะลั่น
“ไอ้ม่อน ..มึงไม่ได้ใกล้เคียงหมอกเลย”
นั่นกูรู้ กูรู้ไงสัด
ไอ้หมอกมันหน้าหล่อ หุ่นนักกีฬา กูมัน..
เอาเป็นว่ากูดูเหมือนลูกหมาปอมเมื่อเทียบกับมัน แล้วมึงจะมามองกูด้วยสายตาแบบนั้นเพื่อ..
ไอดิลถอนใจน้อยๆ
ไม่ใช่ด้วยความเคร่งเครียดหรือรู้สึกไม่ดี แต่มันเป็นความรู้สึกอื่นที่เหมือนกึ่งๆระหว่างความปิติกับความห่วงหาอาวรณ์
“พ่อกูก็ชอบวาดภาพ..”
อ่า..
“กูไม่ถนัดหรอก วาดไม่เป็น ทั้งที่ก็อยากวาดให้ได้เหมือนพ่อนะ แต่แค่จับดินสอก็มือแข็งแล้ว”
ไอดิลมองออกไปบนผืนฟ้าภายนอกระเบียง
“กูแค่.. แค่จำท่าทางของพ่อได้ จำรอยยิ้มของพ่อได้ กู.. กูจำลักษณะมือของพ่อได้ แม้กูจะวาดรูปไม่ได้”
ไอ้..ดิ้ล..
ม่อนแจ่มมองรูมเมทสิ่งแวดล้อมนิ่ง ก่อนที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูให้เพื่อนที่แทบจะกลายเป็นคู่ซี๊กันไปแล้ว
“ไอ้ดิ้ล ใครมันจะไปทำได้ทุกอย่างวะ มึงวาดภาพไม่ได้ แต่มึงเป่าขลุ่ยโคตรเทพ”
เป็นเช่นนั้นจริงๆ..
เพราะหลายครั้งหลายหนแล้วที่เขาได้ยินไอดิลเป่าขลุ่ยดูโอกับกีต้าร์ของคนรักยามค่ำคืน
และเพลงที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ.. ‘แสงจันทร์’
“กูวาดภาพได้ แต่กูเป่าขลุ่ยไม่เป็น หรือแม้แต่เป่ากบก็ไม่เป็นเหมือนกัน”
ไอดิลหัวเราะกับมุกควายของม่อนแจ่ม
“ไปโทรหาพ่อมึงไป๊” รูมเมทเครื่องกลไล่ขำๆ ไอดิลจึงพยักหน้ารับยิ้มๆ
ม่อนแจ่มมองตามหลังเพื่อนร่วมห้อง..
ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มที่เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้วจะมีความผูกพันกับบิดามากถึงขนาดยอมรับออกมาอย่างเป็นธรรมชาติได้แบบนี้
ตัวเขาเองก็รักพ่อ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าแน่นแฟ้นมากถึงขนาดที่จะจดจำอากัปกิริยาหรือลักษณะต่างๆของพ่อได้หมด
อาจเป็นเพราะ.. เขาไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากมายนัก เพราะท่านก็งานยุ่งแทบจะตลอดเวลา
มารดาเองก็ทำงานร่วมกันในบริษัท ความยุ่งก็แทบจะพอๆกัน แต่ม่อนแจ่มไม่ได้รู้สึกขาดความอบอุ่นแต่อย่างใด เขาเข้าใจดี
แม้ว่าคนที่เขาสนิทที่สุดที่บ้านจะเป็นป้าเพ็ญ ..แม่บ้านของเขาก็ตาม
ม่อนแจ่มถอนใจน้อยๆอย่างสบายอารมณ์ แล้วลงมือวาดต่อ..
พชรกลับเข้ามาในห้อง เห็นจากหางตาว่าร่างสูงๆนั้นชะงักไปเล็กน้อย หยุดมองนิดหนึ่ง
เอ๊ะ หรือกูตาฝาดไป..
ซึ่ง.. ก็คงตาฝาดนั่นแหละนะ
เพราะพอเงยขึ้นมา ร่างสูงก็หยิบกระดาษปากกามาเขียนอะไรก็ไม่รู้ด้วยสีหน้าเฉยๆ เมินจักรวาลเหมือนอย่างเคย
ม่อนแจ่มถอนหายใจแรงๆ วาด.. วาด.. วาดสลับกับกับพ่นลมหายใจใส่พชร ..ซึ่งไม่ได้สนใจอะไรกูทั้งสิ้นเลย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“พชร กินข้าวเย็นกัน” เป็นไอดิลอีกเหมือนเคยที่เอ่ยชวน รูมเมทร่างสูงส่ายหน้าน้อยๆ แต่ไอดิลตั้งท่าให้คำมั่น เขาต้องทำให้รูมเมทปรัชญามั่นใจและศรัทธาในศักยภาพการบริหารจัดการของเขา..
“พชร รอบนี้กูรับปากจริงๆ จะไม่ให้ไอ้ม่อนระรานมึงเลย” ไอดิลยืนยัน
“แบบ.. ไม่ให้แม้แต่นิ๊ดดด.. พอดีตอนกลางวันกูประเมินมันต่ำไปหน่อย เลยตั้งรับไม่ทัน”
อะไรบางอย่างทำให้คนขรึมแทบจะหลุดขำ “ไม่เป็นไร บทเครื่องกลจะบ่น ไม่มีใครหยุดมันได้หรอก”
“เฮ้ย พชร!” ไอดิลตาโต “ในที่สุด มึงก็เข้าใจหัวอกกูแล้วสิ”
พชรพยักหน้า “แต่เย็นนี้ไม่ได้จริงๆ มีธุระข้างนอก ขอตัวนะ”
“อ้อ เหรอ” ไอดิลพยักบ้าง “งั้นก็ขี่รถดีๆล่ะ”
พยักหน้าอีกครั้ง ก่อนคว้าเป้พาดบ่าและหันหลังเดินไป
“เอ้อ.. แต่ว่านะพชร..” ไอดิลเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้
“คนที่หยุดไอ้ม่อนได้ก็มี” ร่างเล็กขมวดคิ้วนึก “เพราะเวลามึงพูดทีไร ..กูเห็นไอ้ม่อนหยุดทุกที”
สุดท้ายสองเมทวิศวฯจึงเดินเคียงไปพร้อมด้วยอีกหนึ่งหนุ่มจากวิทยาฯ เคมี พลางปรึกษากันว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเย็นดี
“เดินไปเที่ยวหลังมอกัน” ไอดิลออกไอเดีย
ไอหมอกหันมายิ้มน้อยๆให้คนรัก “เดินไหวนะ”
“โธ่” ไอดิลเบ้หน้า “สบายมากน่า ตอนพ่อ พ่อยังเดินได้เลย”
ว่าแล้วก็หันไปหารูมเมทเครื่องกล มองร่างเท่าเปี๊ยกของเพื่อนหนุ่มอย่างประเมิน “มึงเดินไหวนะม่อน”
ไอ้..ดิ้ล..
“ให้กูเดินไปตีลังกาไปยังได้เลยสัด!”
แม่ง กูทำไม่ได้หรอก กูหงุดหงิดเฉยๆที่เตี้ยกว่าใครเพื่อน
เมทสิ่งแวดล้อมหัวเราะขำกับท่าทีไม่สบอารมณ์นั้น รู้ดีว่าม่อนแจ่มไม่ได้น้อยใจอะไรจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความหมั่นไส้ เมทเครื่องกลจึงหันไปยุยงร่างสูง
“หมอก มึงรู้ไหม ไอ้ดิ้ลมันกวนตีนขนาดไหน ภาคสิ่งแวดล้อมลือมาถึงเครื่องกลเลยนะ นี่มึงทนมันได้ยังไง ทิ้งมันเหอะ ก่อนจะเสียประวัติว่ามีมันในลิสต์แฟนมึง ขอแนะนำ สาวเครื่องกลเพื่อนกู งามสุดในวิศวฯเลย กำลังหาหนุ่มออกเดท เธออยากได้คณะวิทยาศาสตร์ บอกว่าเป็นคนมีเหตุมีผลดี หมอกนี่แหละใช่เลย ทิ้งไอ้ดิ้ลเถอะ ทิ้งมันเลย!”
ก๊ากกก!
“หมอกไม่มีวันทิ้งกูหรอก”
ไอดิลได้แต่หัวเราะกับการพยายามโน้มน้าว ชักจูง และชี้ชวนนั้น พลางกระแซะถามไหล่หนาข้างๆ “เนอะหมอกเนอะ”
ไอหมอกส่ายหัวน้อยๆ แต่รอยยิ้มระบายบนริมฝีปากด้วยความขำ
“หมอก บอกเร็ว บอกเร็วว่าจะไม่ทิ้งกู” น้ำเสียงเริ่มกระเง้ากระงอด..
“หมอกกก.. บอกเร็วว่าไม่สนใจสาวไหน บอกว่ารักไอดิลคนเดียว บอกไอ้ม่อนเร็วๆเลย”
…..
ที่สุด.. ไอดิลก็หยุดเดิน เมื่อคนรักไม่ยอมพูดอะไรสักที ม่อนแจ่มได้ที แลบลิ้นปริ้นตาใส่อย่างล้อเลียน
“ดิ้ล มาเร็ว ข้าวน่ะ จะกินไหม?” ไอหมอกหันมาเลิกคิ้วใส่
ทว่า.. นั่นไม่ทำให้คนดื้อยอมตาม ร่างสูงจำต้องส่ายหัวแรงกว่าเดิม แล้วเดินกลับไปคว้าแขนเรียวเข้าหาตัว จูงเดินมาด้วยกัน
“รักไอดิลคนเดียว ไม่ทิ้ง ไม่เปลี่ยนใจ ไม่มีใครอื่น พอใจไหม หืม?”
นั่นไง!
“พอใจมากกก รักหมอกคนเดียวเหมือนกัน!”
ไอดิลยิ้มปากแทบฉีก พยักหน้าหงึกหงักและยักคิ้วให้ม่อนแจ่ม ทำเอาเมทเครื่องกลแบะปาก
“โอ๊ยยย เออ รักกันให้ตายเลยแม่ง!”
“ช่าย แฟนกูรักกู ไม่เหมือนใครบางคนว่ะ แม้แต่เมทก็ไม่รัก..”
“ไอ้ดิ้ล!” ม่อนแจ่มแหกปาก
แม่ง เหยียดเรื่องไหนก็เหยียดได้ แต่เรื่องนี้ กูรับไม่ได้จริงๆ
“มึงไปบอกพชรให้มาต่อยกับกูเลย อยากมีเรื่องกับกู ให้มันมาเลยสัด”
“ฮ่ะๆ” ไอดิลหัวเราะ “มึงก็บอกมันเองอยู่ทุกวันนี่ แต่พชรไม่สนใจ แม้แต่เรื่อง.. พชรมันยังไม่อยากมีกับมึงเลยว่ะ”
“ไอ้ดิ้ล ไอ้สัด!” ม่อนแจ่มว้ากลั่น วิ่งไล่เตะรูมเมทคู่ซี๊ไปตามทางเดินที่ผ่านคณะวิศวกรรมศาสตร์
ไอดิลได้แต่วิ่งหนีพลางหัวเราะพลาง “ฮ่ะๆ เรียกทำไม มีอะไรเหรอ เครื่องกล!”
“เหี้ยเอ๊ยยย!” ม่อนแจ่มสบถหอบๆ หยุดวิ่ง “วันจันทร์ กูจะไปคณะมนุษยฯ”
ห๊ะ?
ไอดิลเลิกคิ้ว หย่อนฝีเท้าลง วิ่งเหยาะๆกลับมาหาคนพูดด้วยความงง
“มึงจะไปทำไมของมึง”
“กูจะไปภาคปรัชญาและศาสนา”
ห๊า?
“ไปทำบ้าอะไร”
“กูจะไปมองหน้าพชร”
ไอดิลอ้าปากค้าง “เพื่อ?”
“กูอยากรู้.. ว่ามันจะจำกูได้หรือเปล่า”
“ทำไมจะจำไม่ได้วะ..”
ทำไมน่ะหรือ.. ทำไม?
เพราะพชรแทบไม่มองหน้าเขาเลย
วันแรกๆ เขายังไม่แน่ใจ แต่จนถึงวันนี้มันชัดเจน อีกฝ่ายปฏิเสธปฏิสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง.. ไม่เรียกชื่อ ไม่รับรู้ ไม่พูดคุย
นี่มันยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก.. คนแปลกหน้ายังมีวันทำความรู้จักจนสนิทสนมและคุ้นเคย แต่นี่พชรแปลกแยกต่อเขา ในแบบที่ไม่มีวันจะเรียนรู้กันและกันได้
หากไม่มีห้อง 338 เป็นบริบทแวดล้อม บ่งให้รู้ว่าคือรูมเมท ม่อนแจ่มก็ไม่แปลกใจ ถ้า..พชรจะไม่รู้จักเขา
ถ้า.. เดินสวนกันสักที่ในมหาวิทยาลัย สักที่.. ที่ไม่ใช่ภายในห้อง 338 ม่อนแจ่มก็ไม่แปลกใจ ถ้า..พชรจะจำเขาไม่ได้
“นี่มึงจริงจังเรื่องพชรขนาดนั้นเลยเหรอวะ..”
ไอดิลมองดวงหน้าขาวของเพื่อนอย่างเคลือบแคลง
“มึงไม่เคยโดนเกลียดแบบไม่มีเหตุผล มึงไม่เข้าใจ” ม่อนแจ่มเม้มปาก
“เออ กูไม่เข้าใจ กูโคตรไม่เข้าใจ” ไอดิลพยักหน้ารับ
“มึงจะไปเครียดทำไมวะ? เมทคนนึงไม่ชอบ ไม่พูดกับมึง แต่มึงก็ยังมีกูเป็นเมทที่แสนดีอีกคน เพื่อนมึงก็เต็มคณะ ครอบครัวมึงก็อบอุ่น แล้วมึงจะแคร์อะไรนักหนา?”
ม่อนแจ่มไม่ตอบ ได้แต่กัดฟันแน่น คิดตามคำพูดเหล่านั้น
“ในเมื่อพชรไม่เปิดรับมึงเข้าสู่โลกของมัน ทำไมมึงถึงไม่แค่.. ตัดมันออกไปจากโลกของมึง”
นั่นสิ.. ทำไมวะ?
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แต่งแล้วรู้สึกย้อนวัยแฮะ (นี่หมายความว่าตูแก่?)
เอาเป็นว่าอ่านเรื่อยๆ ชิวๆ หวังว่าจะได้รับความบันเทิงใจในยามอากาศร้อน (มาก)
ขอบคุณเช่นเคยครับผม