จันทร์จ้าว
By: Dezair
…………………….
บทที่ ๑๓
แก้มซีดเริ่มซับสีเลือด ภวัตจับจ้องแก้มฉ่ำที่ถูกเขาบรรจงจูบซ้ำแล้วซ้ำอีก จากใบหน้าซีดเซียวของคนป่วย บัดนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเสียจนอดใจไม่ไหวต้องก้มลงจูบแก้มซ้ำๆ พอถูกแรงบดเบียดคลึงบนแก้มหนักขึ้น เจ้าของจึงเริ่มประท้วงอีกรอบ
“หมอ...ผมรู้ว่าหมอเป็นหมอ แต่ไม่กลัวติดหวัดผมหรือ”
ถึงจะประท้วง แต่กระนั้น จันทร์จ้าวก็ไม่ปัดป้อง ยอมให้อีกฝ่ายแนบริมฝีปากลงกับแก้มเขาซ้ำๆ ในขณะที่หมอภวัตแม้จะได้ยินเสียงประท้วง แต่ก็ยังไม่ละริมฝีปากจากแก้มทั้ง ๒ ข้างเลย ซ้ำยังหัวเราะเบาๆให้ได้ยินเสียอีก
“หัวเราะอะไร หัวเราะแล้วไม่เป็นหวัดหรือ ผมจะได้หัวเราะบ้าง”
คราวนี้นายแพทย์หนุ่มผละออกมาเล็กน้อย แล้วกดร่างคนป่วยลงนั่งกับเตียง ส่วนเขายังยืนอยู่ข้างๆ ช้อนดวงหน้าเรื่อๆด้วยเลือดสูบฉีดขึ้นพินิศด้วยสายตาหวานฉ่ำ
“ถึงผมจะเป็นหมอ ผมก็ไม่อยากติดหวัดหรอกครับ แต่ที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อให้หน้าคุณมีสีเลือดขึ้นมาหน่อย” มือหนาลูบผิวแก้มแผ่วเบา มันคลอเคลียละมุนละไมจนทำให้หัวใจของจันทร์จ้าวสั่นไหว ยิ่งมองสบเข้าไปในดวงตาคมของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าราวกับโลกนี้มีกันอยู่แค่ ๒ คน
“เมื่อวาน ตอนผมเห็นคุณที่หน้าบ้าน ผมโกรธคุณอย่างหนัก หน้าคุณซีดแต่ก็ยังดื้อเดินตากฝนไปซื้อข้าว ทำอะไรไม่คิดถึงใจคนอื่นที่เขาจะเป็นห่วงบ้างเลย”
“ผมไม่ทราบนี่ ว่าจะมีใครห่วงผมบ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทราบเสียแต่ตอนนี้ ว่ามีคนคนนี้ที่เป็นห่วงนะครับ คราวหลังอย่าปล่อยให้ไม่สบายเช่นนั้นอีก”
“แต่ถ้าผมไม่ป่วย หมอก็คงไม่มา และถ้าหมอไม่มา เราก็คง...”
“ครับ เพราะคุณป่วย ผมถึงได้มา” ภวัตยอมรับตามตรง เพราะได้ยินว่าจันทร์จ้าวผู้ซึ่งไม่ใคร่จะดูแลตัวเองเสียเท่าไรเกิดล้มป่วย เขาจึงอดใจไม่ไหวต้องมาให้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไร ทุกอย่างจึงกลายเป็นเช่นนี้
“...เพราะคุณป่วย ผมถึงได้รู้ว่าความทุรนทุรายเพราะไม่ได้พบคุณยังไม่เท่ากับความทุรนทุรายเพราะเป็นห่วงคุณ อย่างหลังนั่นทรมานมากกว่าหลายเท่า”
ไม่ต้องบอกความรู้สึกอื่นใดนอกจากนี้ จันทร์จ้าวก็เข้าใจในความคิดของหมอภวัต ความทรมานเพราะไม่ได้พบหน้า ยังไม่สู้ความเป็นห่วงเพราะไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นตายร้ายดีอย่างไร ความห่วงหาแสนสาหัสนั้นทำให้ภวัต วิชาญโยธินผู้ซึ่งอยู่ในกรอบจารีตประเพณีและคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ถึงกับดิ้นรนมาที่นี่
“ต้องขอบคุณอาการป่วยของผมซีนะ” คนป่วยว่าอย่างนั้นพลางยิ้มจาง แต่คนเป็นหมอกลับส่ายหน้า
“ถึงจะขอบคุณ แต่หลังจากนี้คุณจะต้องไม่ป่วยอีก ทำใจได้เลยครับ ผมจะมีวันให้คุณปล่อยปละละเลยตัวเองแน่ เอาล่ะ...ก่อนอื่นเลย คุณจะต้องรับยาได้แล้ว จะได้พักผ่อนต่อ” ประโยคสุดท้ายทำเอาดวงหน้าขาวขมวดคิ้วฉับ
“พักผ่อนอีกแล้ว?!”
“ถูกต้องครับ คุณยังไม่หายดี ต้องนอนให้มากๆ”
“ใจคอหมอจะให้วันๆผมเอาแต่นอนอย่างนั้นหรือ? ผมเพิ่งจะตื่นเมื่อครู่นี้เอง สว่างโร่อย่างนี้ใครจะไปหลับลง! แล้วอีกอย่าง...เราเพิ่งจะได้กลับมาคุยกัน เราน่าจะคุยกันต่ออีกหน่อย ไม่เห็นจะต้องให้ผมรีบนอนนี่! แล้วผมก็หายดีแล้วด้วย ดูสิ! ไข้ก็ไม่สูงเท่าเมื่อวานแล้ว”
“ไข้ไม่สูงนั่นล่ะครับ แสดงว่ายังไม่หายดี” ภวัตไม่พูดพร่ำทำเพลง หันไปหยิบยาในถ้วยเล็กที่จัดเอาไว้ให้พร้อมด้วยน้ำเปล่าจากโต๊ะข้างเตียงมาส่งให้คนป่วย จันทร์จ้าวมองหน้านายแพทย์หนุ่มที่แม้ความสัมพันธ์จะคืบหน้า แต่กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงไว้ซึ่งความเข้มงวดของหน้าที่แพทย์เป็นอย่างยิ่ง
“รับยาครับ” นอกจากคำสั่งด้วยประโยคแล้ว สายตาจริงจังของร่างสูงก็เอาเรื่องไม่แพ้กัน คนถูกสั่งถอนหายใจอย่างปลงตก ก่อนจะยินยอมทำตามแต่โดยดี
เมื่อจัดการคนป่วยผู้แสนเอาแต่ใจเรียบร้อยแล้ว เขาก็ดันร่างจันทร์จ้าวให้ลงนอน ตามด้วยการห่มผ้าให้อีกชั้นหนึ่งเป็นสัญญาณว่าควรพักผ่อน ดวงตากลมใหญ่มองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเตียงละห้อยระโหย จนนายแพทย์หนุ่มอดใจไม่ไหวก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผากและละลงมาที่ข้างแก้ม ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาให้คนป่วยได้ยิน
“ขอผมศึกษาก่อนว่าทำอย่างไรคุณถึงจะไม่เจ็บ แล้ว...เราค่อยต่อจากเมื่อครู่นะครับ” นายแพทย์หนุ่มว่าอย่างนั้นก่อนจะขยับกลับมายืนข้างเตียงเช่นเดิม รอยยิ้มของเขาทำให้คนป่วยเริ่มไม่วางใจ ยิ่งประโยคเมื่อครู่ยิ่งฟังดูไม่น่าไว้ใจชอบกลจนต้องคว้าแขนเอาไว้ก่อนที่ผู้ดูแลคนนี้จะเดินออกจากห้อง
“หมายความว่ายังไร? อะไรที่ว่าหมอต้องไปศึกษาก่อน”
“ก็...ที่ต่อจากเมื่อครู่”
“ต่อจากเมื่อครู่?” จันทร์จ้าวยังงุนงง
“ครับ ต่อจากจูบ...ก็...” ไม่ต้องอธิบายให้มากความมากกว่านั้น จันทร์จ้าวผู้มีประสบการณ์กับผู้หญิงมาแล้วตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่มก็ถึงกับตาเหลือกโต ผิวหน้าระเรื่อเพราะถูกจุมพิตนับครั้งไม่ถ้วน คราวนี้แดงจัดกว่าเดิมเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
“หมอหมายถึง...?!!!”
“ครับ...ผมหมายความอย่างที่คุณจันทร์เข้าใจ” ภวัตไม่ตอบตามตรงเพราะเขาเองก็นึกเขินอยู่ไม่น้อย แต่...ในเมื่อพวกเขาตกลงปลงใจที่จะคบหากันแล้ว ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันก็ย่อมพัฒนาขึ้นไปถึงเรื่องนั้นด้วย แต่ดูเหมือนคนที่ต้องพัฒนาความสัมพันธ์ไปกับเขาจะไม่ยอมรับเสียแล้ว
“ไม่เอานะหมอ! ผมไม่ยอมเป็นคนเจ็บแน่!!!” คนพยศลุกพรวดขึ้นโวยวาย แต่ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเตียงกลับส่ายหน้าไปมาแล้วกดคนป่วยให้นอนลงตามเดิม
“ผมก็บอกแล้วนี่ครับ ว่าขอไปศึกษาก่อนว่าทำอย่างไรคุณถึงจะไม่เจ็บ เอาล่ะ นอนได้แล้วครับ จะได้หายป่วย ผมจะเอาชามข้าวต้มไปเก็บ”
“แต่...” คนกลัวเจ็บตั้งท่าจะค้าน แต่นายแพทย์หนุ่มย้ำอีกครั้ง
“เชื่อใจหมอนะครับคุณจันทร์ กับคนไข้เป็นร้อยเป็นพัน ผมยังรักษาให้หายได้ แล้วกับคุณที่เป็นคนสำคัญ ผมจะทำให้เจ็บได้ยังไร? เรื่องทางกายภาพ ไม่มีใครทราบดีกว่าหมอหรอกครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง คุณจันทร์แค่เตรียมใจรอให้ถึงวันนั้นก็พอ” ภวัตพูดจบก็หันไปคว้าชามข้าวต้มและถ้วยยาเดินออกจากห้องไปในทันที ทิ้งคนถูกตะล่อมให้วางใจยังคงนั่งตะลึงอยู่กับที่เช่นเดิม และกว่าจันทร์จ้าวจะรู้ตัวพอจะร้องปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง หมอภวัตก็หายลับออกจากห้องไปพร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะไป ‘ศึกษา’ แล้วเรียบร้อย
ฉะนั้น สิ่งเดียวที่จันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์จะต้องทำนับจากนี้ไปคือการเตรียมใจรอให้ถึงวันนั้น ส่วนเรื่องอื่นนอกจากนั้น...หมอภวัตบอก...ให้เป็นหน้าที่ของหมอคนนี้แต่เพียงผู้เดียว...
.............................................
เพราะมีหมอตัวจริงมาดูแลถึงข้างเตียงตลอดเสาร์อาทิตย์ที่นอนป่วย เช้าวันจันทร์ จันทร์จ้าวคนป่วยที่เริ่มหายป่วยจึงกลับมาเอาแต่ใจให้สำนักงานระส่ำระส่ายได้อีกครั้ง
เสียงเอ็ดตะโรดังออกมาจากห้องทำงานของชายหนุ่มร่างโปร่ง หลังจากเมื่อครู่นี้มีพนักงานนำเอกสารเข้าไปให้ เรย์มอนด์ย่นคอเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนรักอาละวาด ก่อนจะหันไปยิ้มจืดให้หม่อมหลวงพงศ์ภราธรที่เพิ่งมาถึงตอนก่อนเที่ยงเล็กน้อย
“เยี่ยมเลยคุณพงศ์ จันทร์จ้าวคนเดิมกลับมาแล้ว”
ราชนิกูลหนุ่มหัวเราะเบาๆ เหลือบมองไปที่ประตูห้องทำงานของเพื่อนรักอย่างเบาใจ อย่างน้อยตอนนี้จันทร์จ้าวคนที่เขาเคยรู้จักก็กลับมาแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หมอภวัตก็คือคนทำให้เพื่อนรักของเขากลับมา
“คุณพงศ์ทำท่าไหนเข้าน่ะ ทำไมจันทร์ถึงกลับมาเป็นคนเก่าได้แล้ว”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” ราชนิกูลหนุ่มเว้นไม่ยอมพูดว่าเขารู้ว่าใครเป็นคนที่ทำให้จันทร์จ้าวกลับมาเป็นปกติ เพราะบ้านเช่าของจันทร์จ้าวอยู่ใกล้วังฉัตร ตั้งแต่เย็นวันเสาร์ไปจนถึงตลอดวันอาทิตย์ เมื่อใดที่ราชนิกูลหนุ่มนั่งรถผ่านหน้าบ้านเพื่อนรัก เป็นต้องเห็นรถยนต์ของหมอภวัตจอดอยู่ตรงหน้าบ้านเสมอ
แล้วอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ ภวัต วิชาญโยธิน จะเป็นใครเล่าที่สามารถทำให้จันทร์จ้าวกลับมาเอ็ดตะโรเสียงดังไปทั่วได้ดังเดิม
“อ้อ หรือจะเป็นคุณหมอ...เมื่อเช้าผมเห็นรถคุณหมอมาส่ง คงจะคืนดีกันแล้ว จันทร์ถึงกลับมาเป็นคนเก่า” นายฝรั่งว่าอย่างนั้น ทำเอาหม่อมหลวงพงศ์ภราธรหันมองโดยพลัน เรย์มอนด์เห็นเพื่อนราชนิกูลมองตนจึงหันไปมองตอบ และโดยไม่ต้องพูดอะไร หนุ่มอเมริกันก็ยักไหล่
“ผมไม่ทราบอะไรทั้งนั้น คุณพงศ์ไม่ต้องมาถามผมหรอก ผมแค่พูดในสิ่งที่เห็นเท่านั้นเอง”
“คุณไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกใช่ไหม” เรย์มอนด์ยักไหล่อีกครั้ง
“ถ้าคบกับจันทร์มาได้ตั้ง ๖ ปี ผมว่าไม่มีเรื่องไหนให้เห็นว่าแปลกอีกแล้วล่ะ”
“ขอบคุณ” ไม่ทราบว่าขอบคุณเรื่องอะไร แต่อย่างน้อยๆราชนิกูลหนุ่มก็ขอบคุณที่นายฝรั่งเปิดใจยอมรับในตัวตนของจันทร์จ้าว เรย์มอนด์ยิ้มจาง
“อย่าขอบคุณผมเลย ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเขาไปตลอดชีวิต หากไม่ได้เขา ผมก็คงไม่มีวันนี้ที่มีความสุขอย่างนี้ สมัยก่อน ผมไม่อยากอยู่อเมริกาอีกแล้วแต่ก็ไม่มีที่ไป เขาก็ช่วยให้ผมได้มาอยู่เมืองไทย ตอนมาอยู่แรกๆไม่รู้จักใครสักคน เขาก็ติดต่อให้คุณพงศ์มาช่วยดูแล ที่เขาเสนอเปิดสำนักงานนี้ ผมก็รู้อีกนั่นล่ะว่าเขาอยากให้ผมมีที่ทำมาหากิน เพราะเขา...ผมถึงได้มีชีวิตใหม่ที่เมืองไทย ชีวิตนี้จะมีอะไรที่สุขได้เท่านี้อีกล่ะคุณพงศ์ ผมว่าผมพบเจอความสุขสูงสุดของชีวิตมนุษย์แล้ว มีอาชีพที่ดี มีเพื่อนที่ดี มีความรักที่ดี”
“หืม?...ความรัก?!...คุณมีความรักหรือเรย์?! คู่รักของคุณเป็นใคร?!!” ดูเหมือนนายฝรั่งจะหลุดปากไปคำโต เรย์มอนด์ทำได้แค่ปิดปากเมื่อสายเกินไป ส่วนหม่อมหลวงพงศ์ภราธรยกยิ้มกระหยิ่ม
“จะบอกผมคนเดียว หรือจะให้จันทร์เค้น?” หมดทางเลือก เพราะหากให้จันทร์จ้าวเค้น เรย์มอนด์รู้ตัวดีว่าเขาคงถูกส่งกลับประเทศเป็นแน่แท้
“ว่าอย่างไร คู่รักของคุณคือใคร”
“เอ่อ...”
“บอกผมมา”
“อ่า...”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเรียกจันทร์...” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรพูดไม่ทันจบ นายฝรั่งตัวใหญ่ก็รีบกระซิบบอก
“คุณนภาครับ...”
คนฟังถึงกับตาเหลือก “ว่าอย่างไรนะ?! คู่รักของคุณคือใครนะ?!!”
“คุณนภา...น้องของจันทร์” คำขยายความหลังชื่อ ‘นภา’ ยิ่งทำให้ราชนิกูลหนุ่มสะดุ้ง
“ตายโหง!”
“ยังไม่ตายซี! คุณพงศ์พูดจาไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย”
“เชิญคุณไปหาความมงคลที่อื่น เรื่องนี้ผมไม่รับรู้ด้วยหรอก!” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรหมุนตัวจะเดินหนี ก็ว่าเรื่องของจันทร์จ้าวและภวัตเป็นไปไม่ได้แล้ว เรื่องของเรย์มอนด์และนภาสรวงก็เป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ทว่านายฝรั่งไม่ยอมให้ราชนิกูลหนุ่มเดินหนี เขารีบคว้าแขนเอาไว้
“โธ่! ช่วยผมก่อนสิคุณพงศ์ คุณพงศ์ทราบแล้วจะเดินหนีไม่ได้”
“ผมช่วยคุณ ผมก็ถูกจันทร์หักคอน่ะซี!”
“ไม่หรอก ตอนนี้จันทร์อารมณ์ดี จันทร์มีความสุข จันทร์ไม่หักคอคุณพงศ์หรอก” เรย์มอนด์พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะยิ่งจันทร์จ้าวอารมณ์ดีมากเท่าไร จันทร์จ้าวคนเดิมย่อมต้องกลับมา และนั่นหมายความว่าหากจันทร์จ้าวคนเดิมคิดจะหักคอใคร แม้จะเป็นหม่อมหลวงพงศ์ภราธร...ก็ไม่รอด
บานประตูห้องทำงานของจันทร์จ้าวถูกเปิดออกกะทันหัน ทำเอา ๒ เพื่อนที่กำลังยืนคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ถึงกับสะดุ้งหันมองโดยพลัน จันทร์จ้าวออกจากห้องเห็นเรย์มอนด์และหม่อมหลวงพงศ์ภราธรยืนอยู่โดยไม่ทำงานทำการก็ขมวดคิ้วฉับด้วยความแปลกใจ
“ยืนทำอะไรกันน่ะ”
“เอ้อ...พอดีคุณพงศ์เพิ่งมา ผมเลยทักทายคุณพงศ์อยู่ แล้วคุณจะไปไหนหรือจันทร์” เรย์มอนด์เปลี่ยนเป็นประโยคคำถามแทน ทั้งๆที่เหงื่อกาฬซึมเต็มหลังเพราะเกรงว่าเพื่อนรักจะจับโกหกได้
“จะเที่ยงแล้ว หมอจะมารับ”
“หืม?...หมอมารับ?” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรย้อน ทำเอาร่างโปร่งเก้อไปบ้างแต่ก็ทำเป็นยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“หมอกลัวว่าผมจะไม่ทานยาน่ะ เลยมารับไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน ให้ตายเถอะ นี่ผมเพิ่งทราบว่าหมอน่ะดุจริงๆ อ้ายเราทำเป็นลืมทานยาบ้างก็บ่น คนอะไร เวลาปกติก็ใจดีแท้ๆ พอเราป่วยขึ้นมา ดุเราอย่างกับลูก!”
“ก็แกมันเป็นคนป่วยที่ว่าง่ายเสียที่ไหน ให้คุณหมอเขาดุก็ถูกแล้ว” จันทร์จ้าวทำเป็นส่ายหัวไม่อยากรับฟังหม่อมหลวงพงศ์ภราธรบ่นซ้ำสอง
“พูดอย่างกับว่าผมดื้อมากอย่างนั้นล่ะ ผมป่วย ผมจะมีอารมณ์ไปแผลงฤทธิ์ได้อย่างไร ไม่เอาล่ะ ผมไปดีกว่า ขืนชักช้า เดี๋ยวหมอก็บ่นอีก คุณพงศ์กับเรย์จะไปทานด้วยกันไหม”
๒ เพื่อนโบกมือให้ว่อน เพราะคาดเดาความสัมพันธ์ของจันทร์จ้าวและหมอภวัตได้ดี ในเมื่อคบหากันเช่นนั้น ก็คงอยากไปรับประทานอาหารกัน ๒ คนมากกว่าจะมีส่วนเกินอย่างพวกเขาไปด้วย
“ตามใจ แล้วไว้ค่อยคุยกันใหม่” ว่าแล้วร่างสูงโปร่งของคนยังไม่หายป่วยดีก็วิ่งหายลับลงบันไดไปยังชั้น ๑ เมื่อพ้นหลังไปแล้ว หม่อมหลวงพงศ์ภราธรจึงตวัดสายตามายังนายฝรั่ง ซึ่งคนถูกจ้องก็ทำหน้าหงอในทันที
“หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ดีหรอกว่าเมื่อครู่จันทร์มันเอาแต่บ่นเรื่องคุณหมอ ขืนมันสังเกตเห็นว่าคุณหน้าเสียขนาดนี้คงได้ถูกซักจนได้!”
“โธ่...ก็ผมกลัวนี่ กำลังพูดเรื่องคุณนภา จันทร์ก็ดันเปิดประตูออกมา นี่...คุณพงศ์อย่าเพิ่งบอกเรื่องผมกับคุณนภาให้จันทร์ทราบเลยนะ เห็นแก่ชีวิตนายฝรั่งคนนี้เถอะ” พอถูกอ้อนวอน คนกลางผู้ตกที่นั่งลำบากก็ชักเป็นกังวล ขืนเรื่องนี้รู้ถึงหูจันทร์จ้าว ไม่ใช่แค่ชีวิตของเรย์มอนด์ อดัมส์จะหาไม่ แต่ชีวิตของหม่อมหลวงพงศ์ภราธร ฉัตราภาสผู้นี้ก็คงไม่เหลือแม้แต่ซากเช่นกัน ดวงตาของราชนิกูลหนุ่มเหลือบมามองนายฝรั่งผู้ริอ่านทำการใหญ่รักหญิงไทยนามสกุลรักษพิพัฒน์แล้วถอนหายใจเฮือก
...รักคนที่รักได้ง่ายๆมันเป็นเรื่องยากนักรึไร?!!!...
เขาล่ะอยากจะร้องถามทั้งเรย์มอนด์ อดัมส์และจันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์เสียจริงๆ!!!
..........................................