บทที่ 10 : นิยายประโลมโลก
“กานต์ ทำไมล่ะ?”
“พอดีว่าเราติดเรียนพิเศษน่ะ”
โทนเสียงเธอเปลี่ยนทันทีหากเทียบกับประโยคแรกในการพูดคุย
แย่จริงๆ กับการปฏิเสธสุภาพสตรีที่น่ารักอย่างนี้ อยากบอกว่าผมปวดใจทุกครั้งที่ต้องทำ
จบแล้ว
ครั้งนี้ผมไม่สามารถไปไหนต่อไหนกับเธอได้ ความจริงผมแอบเสียดาย เธอน่ารักและมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามอย่างเปิดเผย ง่ายดี ผมหมายถึงเธอเข้ากับคนง่าย เป็นมิตรอะไรเทือกนั่น เพราะผมไม่ค่อยปลื้มกับสิ่งยุ่งยากน่าปวดหัว เจออย่างนี้มีหรือจะไม่คว้าไว้ ทว่ามันสุดวิสัยเกินไปหน่อย
“ไม่โกรธนะ”
ไม่น่าเชื่อ นี่เสียงผม ผมไม่อยากเห็นเธอทำหน้าบึ้งตึง น่ารำคาญออกนะ แค่ผมคนเดียวก็วุ่นวายเกินพอ อย่ามาทำให้อารมณ์ที่เกือบคงเส้นคงวามีรอยยักไปกว่านี้เลยได้โปรด
“อือ ไม่โกรธ ไม่เป็นไร”
ก็ดี เธอน่ารัก ผมบอกแล้ว
“แล้วสาจะไปไง” ผมถามเธอกลับ การปล่อยให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายคุยอยู่ฝ่ายเดียวคงดูแย่ เป็นเพศผู้ที่ไร้เสน่ห์ความน่าคบหาติดลบ
“เราคงไปกับพวกพีแทน”
เพื่อนเธอเยอะดีนะ ว่าแต่พีไหนวะ ช่างเหอะ ผมไม่รู้จัก
อีกอย่าง ใช่ ผมว่าผมชอบเธอโดยเฉพาะรูปร่างและหน้าตา
ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เฉยๆ ไม่มีความสำคัญดึงดูดใจเกินกว่าที่จะให้เข้าไปรบราเพื่อแย่งชิงมา ถึงผมจะเป็นสัตว์ที่มีความต้องการในการดำรงเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็ตาม แค่เพียงอารมณ์อยากเสพสุขในกามให้ร่างกายรู้สึกดีไปงั้น แต่ผมก็โง่ไม่มากพอที่จะเอาชีวิตไปวุ่นวายกับเรื่องพรรค์นั้นมากหรอก
แค่ชีวิตครอบครัวเดิม พ่อกับแม่ก็มีให้ศึกษาจนเอียนตา
น่าสงสาร
ทุกยุคสมัยภาพลักษณ์ประโลมโลกส่งผลให้สิ่งมีชีวิตต้องดิ้นรนเพื่อเป็นที่สนใจและยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ผมว่านั่นเป็นความชอบ รสนิยมส่วนตัวที่ดันสะเออะมาเป็นที่นิยมตรงกันจนกลายเป็นหมู่มาก กระทั่งลามไปถึงการเหยียดสิ่งที่แตกต่างไปจากกรอบของตัวเอง
แล้วไง? พูดทำไม? ได้อะไร?
ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ช่างแม่งเหอะ
แต่มันวนเวียนอยู่ในหัวผมวิ่งไปวิ่งมาเหมือนว่านี้เป็นบ้านมัน ผมจึงหยุดคิดไม่ได้ บางทีอยากควักสมองออกมาล้างเผื่อไอ้ความคิดที่ว่านั่นมันจะหลุดซะบ้าง
การศึกษาผมต่ำต้อยแถมความรู้ยังต่ำตาม จิตใจไม่ต้องพูดถึงหรอก เดี๋ยวน้ำตาจะพลอยไหลไปด้วย ทว่าความคิดส่วนบุคคลมีกฎหมายห้ามไหมว่าห้ามคิดเสียงดังเกินกี่เดซิเบล
และสิ่งที่ผมกำลังคิดมันก็ออกจะสะอาด ไม่ถึงกับโสโครก พอปัดๆออกน่าจะเห็นเป็นสีเทาๆ คงไม่เป็นมลพิษอะไรมากเท่าไหร่ ต้นไม้ไม่ถึงกับต้องสาปพ่อแช่งแม่ผมหรอก อย่าเลย แค่นี้พวกเขาก็ยิ่งกว่าคำสาปเสียเอง
“กานต์ไม่สบายเปล่าเนี่ย? หน้าแดงมาก แดงกว่าผู้หญิงอีก”
“ก็คงงั้น” อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแต่คงต้องยอมแพ้ให้จิตใจ ขอบตาผมร้อนผ่าว อุณหภูมิในร่างกายขึ้นสูงขัดกับอากาศเย็นๆภายนอก สภาวะไข้หวัดกำลังมาเยือนช่างน่าคิดถึงเสียจริงๆ
เธอจับมือผมเล่น ลูบผ่านรอยช้ำที่ผมบอกไปแล้วตั้งแต่เช้าของการมาโรงเรียนว่ามันเกิดจากการไม่ระมัดระวังของผมเอง แกว่งแขนไปโดนเหล็กอะไรประมาณนั้นแหละ เป็นคำแก้ต่างที่จี้ดี
มือเธอนุ่มดีจังและเล็กกว่ามือผมนิดหน่อย เวลาอยู่อย่างนี้แล้วผมดูยิ่งใหญ่ดีแฮะ
ผมเป็นมนุษย์
เป็นผู้ชาย
มีความรู้สึก ใช่ ผมมีนะ แค้น โลภ โกรธ หลง ผมมีเพียบเชียวแหละ
ไยจึงปฏิเสธเธอ ผมอยากเป็นคนดีมั้ง ตลกน่า แต่ก็คงงั้น ช่วงนี้ผมอารมณ์ดีแล้ว เมื่อกี๊เลย
อาการอยากในเรื่องเพศทำผมเริ่มเขว
บางทีทางเลือกเดินก็น้อยไปหน่อย ผมคงต้องยอมระหว่างในช่วงเวลาอันแสนสั้นทว่ายืดยาวเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
ถูกผิดไม่มีจริงหรอก เหลวไหล มีแต่ถูกใจไม่ถูกใจของคนตั้งกฎเกณฑ์
เขา
พูดยิ้มๆแล้วก็บอกว่าเลิกยุ่งกับเธอซะ อีเด็กกระหรี่นั่น ดูก็รู้ว่าไม่น่าคบหา
โอ้ แทบช็อกโลก ความจริงเขาไม่พูดแบบนี้เป๊ะๆหรอกนะ ไม่เลยแม้แต่น้อย ผมพูดเองแต่ความหมายก็ไม่ได้ต่าง
หรือแม้แต่เด็กน้อย เด็กน้อยอย่างผมพูดไปใครจะเชื่อ
หรือพูดไปแล้วคนที่ลำบากไม่ใช่ใครเลยนะนอกจากกานต์
“แล้วเย็นนี้กานต์ไปไหนเปล่า หรือรีบกลับบ้าน?”
“วันนี้มีคนมารับ เรากลับบ้านช้าไม่ได้”
“อีกแล้วเหรอ กานต์นี่เด็กดีนะ” เธอหัวเราะ ปากชุ่มชื่นจากการทาลิปสติก ก่อนหน้านี้ผมเห็นเธอทาอยู่ “เรียนก็เก่งแถมยังเป็นเด็กดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย”
ผมยกมุมปาก หัวเราะตามเธอแทบไม่ทัน ถือว่าเป็นเสียงขบขันที่แว่วขึ้นมาจากใจ
“ใครๆก็บอกแบบนั้น”
ผมคงกำลังเสียสมดุล สมองไม่รู้จักการแบ่งฝักฝ่าย สุมพรรคพวกแล้วค่อยตีกันสิ รบชนะจึงค่อยกลับมาฆ่ากันเองอีกที จะได้ง่าย
ดูสิ ความคิดตีกันมั่วไปหมด
นี่มันไม่ดีเลย
เวลาเด็กถูกแกล้งควรจะทำอย่างไรเป็นสิ่งแรก
ร้องไห้แล้วก็ฟ้องคนที่เก่งกว่า
“กานต์”
เรื่องเซอร์ไพรส์รอบที่ล้าน
แม่กลับมาแล้ว
เธอกลับมา
ไม่มีการบอกก่อน ไม่มีการโทรหา ผมรู้แค่ว่าหลังเลิกเรียนพอกลับถึงบ้านผมก็ได้เจอเธอเลย ขอเล่าหน่อย ตอนอยู่บนรถผมหลับเป็นตาย ไร้การรบกวน ขอบคุณสวรรค์ล่วงหน้า
แน่นอนว่าเขาเป็นฝ่ายไปรับผม จะใครเสียอีกละ คำสั่งถูกกำชับไว้แน่นหนาว่าให้รอเขาไปรับอย่าได้คิดจะไปไหนมาไหนเองเป็นอันขาด
แม่ทำอาหารอยู่ในครัว พอเดินเข้าไปเมื่อเห็นกัน แม่วางทุกอย่างที่กำลังทำแล้วเข้ามากอดผมเป็นอย่างแรกเมื่อได้เจอ
“อ่านหนังสือดึกใช่มั้ยกานต์ ดูสิ โทรมเชียว พักผ่อนบ้างสิ”
แม่รู้ได้ไง
ผมลืมไปว่าเธอฉลาด
ก็โอเคอยู่ ถือว่าเป็นภาพที่ดีสำหรับแม่ลูกและใช่ มันควรจะเป็นอย่างนั้นน่ะนะสำหรับครอบครัว
ผมรู้สึกว่าการติดต่อสื่อสารเริ่มไม่จำเป็น มีโทรศัพท์ไว้ทำไมถ้าหากแค่โทรมาบอกผมว่ากำลังกลับหรือยังไม่ตายมันดูจะเป็นเรื่องยาก ผมรู้ว่าผมกำลังรู้สึกหงุดหงิด บางครั้งหรือบางคราวผมไม่อยากให้การไม่รู้บางสิ่งมาส่งผลกระทบต่อตัวผมเอง
ผมเป็นห่วงเธอ ผมคิดถึงเธอ
แน่ล่ะ ต้องแบบนั้นอยู่แล้วสิ เธอเป็นแม่ผม เธอจำเป็นต่อผม ในเวลานี้ผมยังต้องการเธอ
แม่ดูไม่เปลี่ยน หมายถึงลักษณะภายนอกไม่ผอมลงหรือสูงขึ้นส่วนข้างในนี่ผมไม่รู้หรอก ช่วงผ่านมาไม่กี่เดือน มนุษย์คงไม่ได้วิวัฒนาเร็วขนาดนั้นผมเข้าใจ ผมยกมือโอบกอดเธอกลับคืน แม่หอมแก้มผมทั้งสองข้าง บทสนทนาเริ่มดำเนินเมื่อเขาเดินตามเข้ามา
ดูรอยยิ้มนั่นสิ และสัมผัสที่ทำเป็นลูบผ่านใบหน้าผมไป เขายิ้มแล้วยีศีรษะผมเบาๆก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารเพื่อหยอดคำหวานใส่เธอ
ผมเหมือนมีความต้องการจะสำรอก มันเป็นแค่คำขอเล็กๆที่หวังว่าใครสักคนอาจจะยอมอนุญาต
“ไปไหนครับกานต์ ข้าวจะเสร็จแล้วนะ”
อะไรนะ ไม่เหรอ ไม่ โอเค ไม่ก็ไม่ ผมเลยจำใจต้องเดินไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ผมมองหน้าเขา หรือพูดให้ถูกผมกำลังมองกำแพงที่อยู่ข้างหลังเขา
บางคนก็สำคัญตัวผิดว่ากำลังถูกสนใจแต่เปล่าเลย เขามันก็แค่ตัวเกะกะเส้นทางที่ผมกำลังเหยียบผ่าน
แม่ไม่พูดถึงเรื่องที่ควรจะอธิบาย อย่างเช่นเธอเป็นยังไง สบายดี โอ้ ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอหายไปเป็นเดือน ไปทำอะไรกันแน่ ไอ้สมบัติที่ว่านั่นยังอยู่ดีไหม ยังเป็นของเธอไหมและแน่นอนอนาคตมันคือของผม
หรือแม้แต่มันมีจริงไหม
เธอปล่อยให้ผมเผชิญชะตากรรมแสนหรรษา เวียนหัวจนความคิดในสมองแทบตีกลับ แย่หน่อยนะอย่างนั้น ผมคงรับไม่ได้แน่ถ้าตัวเองมีความชมพูๆมากเกินไปอยู่ในซีลีบลัมสักซีก ทุกอย่างที่ผมคิดว่าผมอยากรู้ถูกพับเก็บลงวางใต้ขาโต๊ะ แบบว่า ไอ้อาหารเย็นหน้าโง่นี่กับการดูทีวีมันสำคัญต่อชีวิตน่ะ
เห็นว่าเขาไปรับเธอที่สนามบิน แล้วจากนั้นก็ตัดฉับ เด็กน้อยผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกปิดหูปิดตาตื่นไปเรียน เวลาผ่านไปไวราวกับโกหก แม่มายืนอยู่นี่แล้ว ณ บ้านหลังนี้พร้อมอ้อมกอดอบอุ่น ยิ่งกว่าเวทมนต์ เยี่ยมยอด ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์กันหรือไง?
แต่ถามว่าดีไหม ดีสิดี แม่กลับมาแล้วและอย่างน้อย
ผมอาจได้รับการคุ้มครอง
การปล่อยสิ่งเคยมีชีวิตที่อยู่บนจานทิ้งค่อนข้างเป็นเรื่องแย่ อุตส่าห์จำใจตายเพื่อให้ผมได้มีชีวิต กระนั้นเขาเองก็ไม่ควรบังคับให้ผมยัดมันลงไปขนาดนี้ ผมกินข้าวเองได้ ทำไมต้องตักนู่นตักนี่ให้ แล้วไง ผมต้องกินมันให้หมดทั้งๆที่แทบไม่ไหว
เวลาผ่านไปพอๆกับความไร้สาระที่ผ่านหัว ผมอิ่มมากและโคตรอยากนอน
ผมไม่สบาย ผมป่วย ผมยอมรับ อยากได้รับการรักษาโดยการปล่อยให้มันค่อยๆลดลงไปเอง ไม่ต้องกินยาขมๆ ไม่ต้องไปเจอหน้าคุณหมอ ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น
แม่ยิ้ม การพูดคุยดำเนินไปอย่างราบเรียบ ไม่อึดอัด มั้งนะ เห็นเธอมีความสุขดี ผมก็ดีใจ
“แม่ไม่อยู่กานต์ดื้อหรือเปล่า ดื้อกับพี่เขามั้ย” เธอถาม น้ำเสียงล้อเล่นอยู่ถ้าผมไม่ได้มีปัญหาในการฟัง เธอยิ้มมองผมสลับกับเขา ผมอายุเท่าไหร่นะ ใกล้บรรลุนิติตามกฎหมายแล้วใช่ไหม ใกล้แล้วใกล้
“ไม่ดื้อ แถมทำอาหารอร่อยเหมือนแม่ไม่มีผิด” เขายิ้ม พูดคุยตามปกติไม่ต่างจากครอบครัวดีๆปกติ ดูไร้วี่แววแห่งปัญหา
ผมกระตุกปากเบาๆ เธอมองอยู่ นั่นคือสิ่งที่ต้องแสดง
พวกเขาหรือรวมผมคงต้องเรียกว่าพวกเราคุยกันเรื่อยเปื่อย วันนี้เรียนเป็นไงบ้างกานต์ ตั้งใจเรียนนะ ละครเรื่องนั้นสนุกดี คำพูดคำจาพระเอกเน่ายิ่งกว่าน้ำ ดูแล้วเลี่ยนจริงๆ ไม่รู้ว่าผมอยู่ในสังคมเสื่อมโทรมเกินไปหรือเปล่าถึงได้รู้สึกคันคะเยอกับสิ่งที่กำลังถูกถ่ายทอด
กรอกหูกรอกตาทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องจริงมันไม่ใช่
นี่ไง ชัดเลย ครอบครัวในอุดมคติ พ่อแม่ไม่มีปัญหาด้านการเงิน ความมั่นคงในคู่ครอง ลูกน่ารักเรียนดีจบไปมีงานทำ แล้วไงต่อ ถ้าเป็นไปตามวาระและพล็อตเดิมๆแห่งชีวิต ก็คงเป็นว่า เกิดมาเติบโต ศึกษา ทำงาน สืบพันธุ์ ออกลูกยั้วเยี้ย แก่ตัวไป มีคนเลี้ยงไม่ลำบาก รอดูการเติบโตของสิ่งสืบทอดแห่งการเบียดเบียนสัตว์อื่น ดีหน่อยอาจอยู่เห็นการเติบโตอีกรุ่นแล้วค่อยตายอย่างมีความสุขได้ตาหลับ
ยิ่งกว่าฝัน
แต่ใครเล่าจะมีโอกาสได้อยู่แบบนั้น รักยั่งยืนชีวิตชื่นบาน ความไว้เนื้อเชื่อใจมั่นคง ทว่าคนใจร้อนข้ามขั้น ยังไม่ทันจะได้อะไรมากมายเสือกสืบพันธุ์ปล่อยตัวปรสิตออกมาเพ่นพ่านซะแล้ว เลี้ยงได้ก็ดีไป เลี้ยงไม่ได้แล้วไง ทิ้งไง โคตรง่าย
“ผมขึ้นแล้วนะครับ”
หรือถ้าเลี้ยงต่อ แต่ไม่คิดจะใส่ใจ เลี้ยงไม่เป็น นั่นก็ยิ่งกว่าเชื้อร้าย
วนไปเวียนมา ไม่เบื่อกันบ้างเหรอถามจริง แค่นี้ผมก็เอียนแล้วกับพล็อตซ้ำซาก
“อิ่มแล้วเหรอครับ”
“ครับ”
มนุษย์ไว้ใจได้แค่ไหน
เพียงแค่เพราะว่าเป็นผู้ให้กำเนิด จึงต้องยอมทุกสิ่งเชื่อทุกอย่างโดยไร้การไตร่ตรอง
เธอดูรักผัวเธอจะตาย ไม่ว่าจะคนก่อนหรือคนใหม่ ความรักช่างชนะทุกสิ่งอย่าง สวยงามจริงๆ
แสงไฟสีส้มอ่อนๆมีน้อยไปหน่อยสำหรับเด็กที่รู้สึกว่าอีกไม่นานสายตาคงเริ่มไม่ปกติเนื่องจากถูกมือมืดสักมือกุมปิดให้อยู่ในความมืดชั่วคราว
“…กานต์…”
ผมมองเขา ครั้งนี้ผมมองเขา เหลือบสายตาไปที่ด้านหลังแม่คงอยู่ข้างล้าง เก็บจาน ทำอะไรสักอย่าง
แม้จะเดินขึ้นมาบนห้องแต่คงไม่น่าสงสัยหรอกในเมื่อนี่ บ้านเขา ห้องเขา พื้นเขา ที่ดินเขา ทุกอย่าง ของเขา
ประตูถูกดันไว้
เขาเดินตามเข้ามาอีกครั้ง
แจ้งเอาความเหรอ ไม่ ไม่ ไม่ เข้าไปนอนเล่นในคุกไม่กี่ปีแล้วเดินออกมา แฮปปี้เอ็นดิ้งไปมั้ง กฎอ่อนๆกับสังคมนิ่มๆ คงไม่ดีแน่ๆ ผมไม่มีเงินและชื่อเสียง หรือต้องให้ผมถูกฆาตกรรมทางจิตใจแบบพิสดารกว่านี้สักหน่อยอาจจะได้รับความสนใจก็ได้ ก็เห็นชอบล้อมคอกกันน่ะนะ ถ้าลดผมไปสักคนโลกอาจจะเบาขึ้นมาบ้าง แต่คุ้มไหม ไม่หรอก ผลลัพธ์เท่าเดิม ให้ผมได้ดูดทรัพยากรไปบ้างสิ อย่าขี้ห่วงเลย ใครๆเขาก็ทำกัน
ผมเกลียดการถูกดันติดกำแพง เขาจูบผม มันดูไม่รุนแรงแต่ก็ไม่ กับการไม่ยินยอมในความรู้สึกที่กำลังเพิ่มเติมมากขึ้นเพื่อรอวันให้การกักเก็บเกินขนาดผลิตภัณฑ์ที่บรรจุ
อ่า ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
ผมขอพนันท้าพนันกับต้นโอ๊ก
“…ชู่…”
เขายกนิ้วแตะริมฝีปาก
ถ้าผมเสียงดัง อย่างเช่น ชื่นชมเขาสักประโยคว่าไอ้สัตว์เอ๊ย อะไรจะเกิดขึ้น
หรือถ้าผมร้องไห้งอแงฟ้องแม่
เธอ
เธอจะเชื่อใคร
TBC
[21/11/2557]