ตอนที่ 4
ได้วาร์ป
(50%)
ดีที่ว่าเมื่อคืนผมไม่ได้เมาจนสติหลุดไปพร้อมกับควันบุหรี่ของแก๊งข้าง ๆ ผมเลยสามารถลากร่างที่สติสัมปชัญญะไม่ครบองค์ขึ้นแกรบมาถึงที่หอได้อย่างปลอดภัย
พอมาถึงห้องผมก็กระโดดขึ้นเตียงก่อนเป็นอันดับแรก หยิบโทรศัพท์ขึ้นส่งข้อความลงในกลุ่มว่าถึงห้องอย่างปลอดภัยไม่ได้โดนฉุดไปไหน จากนั้นนิ้วก็จิ้มไปดูโน๊ตที่มีชายหน้าหล่อนามว่านันท์สร้างขึ้นไว้พร้อมกับข้อความที่บอกตามตรงว่าค่อนข้างจะกวนตีนและขี้เล่นไม่ใช่น้อย
อยากได้วาร์ปหรอ ก็มาขอเองสิ :X
แล้วไอ้สัญลักษณ์ :X นี่มันหมายความว่ายังไงกันวะ สมัยนี้ใครเขาใช้อะไรแบบนี้กัน เขาพากันใช้อีโมจิกันหมดแล้ว
ผมสลัดความคิดในหัวทิ้งไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายที่โดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ครองไปกว่า 80% ผมรวบรวมสติในการเอาเสื้อผ้าไปไว้ที่ตะกร้าซักผ้า พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดตัวและตรงดิ่งไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระล้างความสกปรกและความมึนงงในหัวออกไป
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ความมึนเมาก็ไม่ได้จะหายไปเลย แถมหัวยังหนักอึ้งเหมือนเดิม ผมเช็ดหัวแบบรวดเร็ว จากนั้นก็ทิ้งร่างกายลงบนเตียงเสียงดังตุ้บ ผมที่ยังชื้นไม่แห้งดีปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศยิ่งทำให้ง่วงมากขึ้น (ไม่แนะนำให้ทำตามนะครับเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้)
หัวของผมตอนนี้มึนเสียจนนึกว่านอนอยู่บนรถไฟเหาะ ความรู้สึกตอนที่เมาแล้วนอนลงบนเตียงนั้นเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนเป็นเครื่องซักผ้า แต่แปลกที่ว่าต่อให้มึนหัวมากแค่ไหน...ภาพของเจ้านั่น รอยยิ้มบาง ๆ แต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจดันปรากฏในห้วงของความคิดและจินตนาการชัดมากขึ้นกว่าเดิม ผสมกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่เหมือนมีผีเสื้อร้อยตัวมาบินอยู่ในท้อง และหัวใจที่สูบฉีดอย่างแรง
สงสัยจะเมามากจริง ๆ เรา
***
เป็นเช้าวันอังคารที่ (ไม่ค่อยจะ) สดใสสักเท่าไรนัก ชาวแก๊งแต่ละคนเหมือนจะยังไม่สร่างกัน ถือว่ายังดีที่สามารถมาเจอกันที่มหา’ ลัยตอนเช้าเพื่อนกินข้าวที่โรงอาหารตรงข้ามกับอาคารเรียนสูงชะลูด ทุกคนพร้อมใจกันสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินเพราะเมนูน้ำน่ะช่วยบรรเทาอาการแฮงค์ได้ดีเยี่ยมเลยล่ะทุกคน ผมรับประกัน
ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับกันต์ที่หน้าตาดูดีและโทรมน้อยที่สุดแล้วในแก๊งตอนนี้ ข้าง ๆ ผมก็คือไอ้โฟลทที่ขอบตาดำปานหมีแพนด้าเมืองเฉิงตู และไอ้คิมก็นั่งม้วนเส้นก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์แบบเงียบ ๆ
“สงสัยจะได้นอนยาว ๆ สามชั่วโมงว่ะ ได้เรียนห้องสโลปใหญ่ เราต้องไปจองที่หลังห้องละแอบงีบ” ไอ้กันต์เสนอไอเดียขึ้นมา
“ก็ดี อย่างน้อยก็พอได้มีเวลาหายใจหายคอ คาบเช้าแม่งเจอเลคเชอร์ยาวเลยไอ้สัส กูเกือบอ้วกแตก” โฟลทเป็นฝ่ายบ่นบ้าง
“พวกมึงรีบแดกให้เสร็จ เดี๋ยวจะได้รีบขึ้นไปจองที่ นอนตากแอร์สบาย ๆ” ผมเร่งพวกมัน
หลังจากที่ทุกคนกินเสร็จ พวกผมก็เดินไปแวะร้านสหกรณ์ของมหา’ ลัยที่ตั้งอยู่ใต้ตึกโรงอาหาร มีขนมขบเคี้ยว มีเครป มีของกินขายครบทุกอย่าง ซื้อไปตุนไว้ตอนเรียนก็ดีเผื่อหิว
“มึงจะเอาไรเพิ่มมั้ยโฟลท คิม” ผมถามสองคนนั้นที่เดินตามหลังผมมา สภาพทั้งสองคนคือเหมือนหลับในจริง ๆ ยืนอยู่แต่นิ่งมาก ตามองตรงดิ่งไร้จุดหมาย ซึ่งยังดีที่ไม่เดินชนใครเข้า
“ไม่เอา ๆ มึงซื้อของมึงไปเลย” ไอ้คิมตอบกลับมา
“กูก็ไม่เอา” ตามด้วยเสียงไอ้โฟลท
“อะตามใจพวกมึงละกัน อย่ามาแย่งกูกินละกัน” ผมบ่นพวกมันไปเพราะเจ้าสองคนนี้ชอบแย่งขนมผมกินประจำ
ส่วนไอ้กันต์นั้นกำลังเลือกขนมอย่างตั้งอกตั้งใจ มือข้างนึงถือขนมมันฝรั่งทอดรสเผ็ดหนึ่งซอง อีกมือก็ถือเม็ดแตงโมงกับเมล็ดทานตะวันอย่างละซอง แถมนิ้วก็หิ้วชาเขียวรสน้ำผึ้งมะนาวมาอีกขวด
“มึงจะเอาไปขายให้เพื่อนในห้องหรอกันต์เอามาซะเต็มมือเลย” ผมหยอกมัน
“เรียนตั้งสามชั่วโมงเลยนะมึง เอาไปเผื่อหิวไง”
“มึงแดกข้าวไม่อิ่มหรอวะเอาไปเยอะขนาดนี้”
“อิ่มดิ อันนี้มันของขบเคี้ยว มันแยกกระเพาะกันเว้ย”
“อะไรของมึง มึงมีสี่กระเพาะรึไง”
“เปล่า กระเพาะอะมีอันเดียว แต่หัวใจน่ะมีสี่ห้องแถมว่างหมดเลยน้า”
“กูจะอ้วกไอ้เหี้ย ขนลุก”
“เห้ยมึง นั่นแก๊งไอ้วิศวะเมื่อวานที่กูไปขอวาร์ปให้มึงนี่นา” ไอ้กันต์ชี้ไปยังทางขึ้นตึกเรียน ผมมองไปก็เห็นแก๊งของไอ้วิศวะหน้าหล่อคนนั้นครบทีมเหมือนที่เจอเมื่อคืนเลย ไอ้หน้าหล่อนั่นออร่าเปล่งประกายมาก มองไปปราดเดียวก็คือเห็นมันเป็นคนแรกเลย ใจกูละลายไปกับรอยแตกบนพื้นฟุตบาธแล้ว
“เออว่ะ อย่าบอกนะว่าพวกมันมีเรียนที่คณะเรา”
“ไม่แน่นะมึง มันอาจจะได้เรียนวิชาเดียวกันกับเราก็ได้ ใครจะไปรู้” ไอ้กันต์พูดพร้อมหรี่ตามองทางผมอย่างมีเลศนัย
“อะไรของมึง มองกูทำไม”
“เปล๊า ก็เผื่อเพื่อนกูจะโชคดีได้เรียนวิชาเดียวกันกับสุดหล่อในดวงใจไรงี้” ไอ้กันต์พูดเสริมอย่างกวนส้นตีนมาก “เออว่าแต่เมื่อคืนที่กูไปขอวาร์ปมาให้ ไหนขอดูหน่อย กูเมาจนไม่ทันได้ถามเลยเมื่อคืน”
“ไม่ได้อะไรเลยว่ะ”
“หา! จะไม่ได้ได้ยังไง มันยังพิมพ์ยิก ๆ ต่อหน้ากูเนี่ยตอนกูไปขอมาให้ มึงเมาละหลงไปลบรึเปล่า”
“มันไม่มีอะไรตั้งแต่แรกมึง อะนี่เดี๋ยวกูเปิดให้ดู” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมเปิดแอปโน๊ตที่ไอ้หน้าหล่อนั้นทิ้งข้อความเอาไว้
“เชี่ยยย จริงหรอวะเนี่ย แม่งร้ายชิบหายไอ้นี่”
“เออ ร้ายจริง”
“สงสัยมึงต้องจัดการเองแล้วล่ะทีนี้ อิอิ” ไอ้กันต์ทำหน้ากวนตีนแล้วก็หันไปจ่ายตังค์ที่เคาท์เตอร์ จากนั้นเราทั้งสองก็เดินไปหาคิมกับโฟลทที่ยืนรออยู่ไม่ไกล และเราก็ไม่ได้คุยเรื่องไอ้หน้าหล่อนั่นอีก
เราสี่คนเดินมารอลิฟต์ที่ตึกเรียน ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว นิสิตเริ่มทยอยมารอลิฟต์ที่มีอยู่น้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนของนิสิตที่ต้องการใช้งานในแต่ละวัน ลิฟต์ที่นี่จะแบ่งเป็นชั้นคู่กับชั้นคี่ ห้องของวิชาที่เราจะเรียนนั้นอยู่ชั้น 5 ดังนั้นเราก็ต้องขึ้นลิฟต์ชั้นคี่ ซึ่งมีนิสิตต่อแถวยาวยิ่งว่ารอซื้อคริสปีครีมตอนลดราคาซะอีก เดาได้เลยว่านิสิตเหล่านี้กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนเดียวกันเพราะว่าวิชานี้รับนิสิตเยอะมาก รับประมาณ 200 คนทีเดียว และตอนนี้ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว นิสิตก็เลยมาออกันที่หน้าลิฟต์กันอย่างล้นหลาม
พวกผมโชคดีที่สามารถแทรกไปอยู่ตรงกลาง ๆ แถวได้ รอคิวแปบเดียวก็ได้ขึ้นลิฟต์แล้ว ลิฟต์ของตึกนี้เร็วมากเลยนะขอบอก ขึ้นลงเร็วยังกับวาร์ปได้ พวกผมยัดร่างทั้ง 4 เข้าไปในลิฟต์พร้อมกับนิสิตหญิงอีก 3 คน และเป็นไปอย่างที่เดาไว้ไม่ผิด ทุกคนมุ่งหน้าไปยังชั้น 5 และผมก็มั่นใจมากว่านิสิตทั้ง 3 คนนี้กำลังไปห้องเลคเชอร์เดียวกันกับผมแน่ ๆ เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะใช่นิสิตคณะวิทยาศาสตร์เจ้าถิ่นตึกนี้ ดูจากการแต่งตัวที่ใส่กระโปรงพลีทสีดำยาวเกือบจรดข้อเท้า และรองเท้าผ้าใบสีขาวจั๊วะ น่าจะมาจากนิเทศแน่นอนชัวร์ป้าบ
ติ๊ง!
พอลิฟต์เปิดออกพวกผมก็เดินออกไปยังห้องเรียนอย่างรวดเร็วเพื่อจองที่ด้านหลัง ห้องเรียนของพวกผมคือหมายเลข 504 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลิฟต์มาก พอเห็นห้องเลคเชอร์ด้านหน้าที่มีหมายเลข 504 ติดอยู่ข้างบนผมก็เดินนำหน้าผลักประตูเข้าไป ทันทีที่ประตูเปิดออก ลมแอร์ในห้องก็ตีหน้าผมเข้าอย่างจัง ห้องเลคเชอร์ห้องนี้เปิดแอร์เย็นยิ่งกว่าห้องแช่ผักของตลาดไทอีก ขนาดผมใส่ชุดนิสิตแขนยาวมายังต้านความเย็นของแอร์ไม่ไหว พอเข้าห้องมาแล้วผมก็เริ่มปฏิบัติการสอดส่องหาที่นั่งในโซนหลังห้องเลคเชอร์ ผมกวาดตามองตั้งแต่มุมซ้ายไปจนสุดอีกมุมหนึ่งของห้อง ผมเห็นมุมตรงขวามือที่ยังไม่มีใครไปจับจอง ผมชี้ไปทางนั้นพร้อมบอกพรรคพวกให้รีบไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว พอมาถึงพวกผมก็หย่อนตูดลงอย่างสบายอกสบายใจ
ต้องบอกก่อนว่าห้องเลคเชอร์นี้จะมีลักษณะเป็นห้องที่ไล่ระดับจากต่ำไปสูง มีเวทีข้างหน้าห้องให้อาจารย์ยืนสอนที่จะอยู่จุดล่างสุดของห้อง แล้วไอ้จุดนี้แหละที่ทำให้อาจารย์สามารถมองขึ้นไปแล้วเห็นห้องเลคเชอร์ได้ทั้งห้อง ห้องนี้แบ่งเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวาโดยมีทางเดินตรงกลางคั่นไว้ แต่ละแถวจะมีโต๊ะเพียง 1 โต๊ะที่พาดยาวไปจนสุดแต่ละฝั่ง คล้าย ๆ โต๊ะยาวติดผนังในคาเฟ่ ในร้านกาแฟ ถ้ายืนอยู่บนเวทีแล้วเผชิญหน้ากับห้องเลคเชอร์นี้ จะเห็นแก๊งผมนั่งเสนอหน้าอยู่ทางซ้ายมือแถวบนสุดของห้อง ผมจะอยู่ริมสุด ตามมาด้วยไอ้กันต์ คิม และโฟลท
พอถึงเวลาเรียน อาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพี่ ๆ TA (ผู้ช่วยอาจารย์) อีกสามคน เพราะวิชานี้คนเรียนเยอะมาก เลยต้องมีผู้ช่วยเยอะ และตอนนี้นิสิตก็มากันเต็มห้องแล้ว ถ้ากะจากสายตาก็น่าจะราว ๆ สองร้อยคน
และแน่นอนว่าสายตาที่มีเรดาห์ส่องผู้ชายอันแม่นยำนี้ได้ตรวจพบไอ้หนุ่มหล่อนันท์พร้อมกับผองเพื่อน แก๊งนั้นนั่งอยู่ฝั่งเดียวกันกับแก๊งผมเลย แค่พวกมันนั่งถัดลงไปประมาณสี่แถวได้ (อันนี้กะจากสายตานะ) และก็นั่งอยู่ริมสุดเหมือนกันเลย พวกนั้นกำลังแหย่กันอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคักอย่างไม่ได้เกรงใจอาจารย์หน้าห้องแต่อย่างใด ผมก็ได้แต่แอบมองอย่างห่าง ๆ ซึ่งแค่ได้แอบมองก็มีความสุขแล้ว
ในขณะที่ผมมองแก๊งข้างหน้าเพลิน ๆ เป็นจังหวะเดียวที่ไอ้นันท์ก็หันขึ้นมาสบตากับผมพอดี
ทุกสิ่งเกิดขึ้นไวมาก ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่กลับทำใจผมเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
ผมรีบหลบหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่รู้จะต้องจัดการตัวเองยังไง ก็เลยฟุบลงโต๊ะแม่งเลย คงไม่มีพิรุธอะไรหรอกมั้ง
“มึงเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า” ไอ้กันต์ทักขึ้นมาคงเพราะเห็นผมก้มหน้าก้มตา
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร ง่วงนอนเฉย ๆ”
“ง่วงนอน? ยังไม่ทันได้เริ่มคาบมึงชิงง่วงนอนก่อนเลยนะ”
“อืม”
ผมตอบตัดบทไปเพราะเขินอยู่ จนเสียงอาจารย์ดังขึ้นมา สถานการณ์ทุกอย่างถึงได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ อาจารย์ก็เริ่มสอนไป พวกผมก็ทำทุกอย่างยกเว้นเรียน ไอ้คิม ไอ้โฟลท หลับเป็นตาย ฟุบตั้งแต่อาจารย์ยังไม่เปล่งเสียงออกมา ไอ้กันต์กับผมก็นั่งกินขนมขบเคี้ยวเพลิน ๆ เล่นโทรศัพท์บ้าง คุยกันเองบ้าง ช่างเป็นนิสิตที่ดีของอาจารย์จริง ๆ เลยพวกเรา
ต่างจากแก๊งข้างหน้าที่ผมแอบมองตั้งแต่ต้นคาบ ตอนนี้คือเหมือนอยู่คนละโลกกับพวกเรา แม่ง พวกนี้เอาแรงจากไหนมาเรียนวะ ทั้งที่จำได้ว่าเมื่อคืนไปเจอกันที่ร้านเหล้า แต่ทำไมวันนี้ถึงดูพลังงานเหลือล้นพร้อมเรียน ต่างจากพวกเราที่พลังหมดตั้งแต่ยังไม่เริ่มคาบ
ที่เขาบอกว่าพวกวิศวะคอแข็งนี่ท่าจะเรื่องจริงแฮะ...
แต่ผมสงสัยว่านอกจากคอที่แข็งเอาการแล้วเนี่ย...อย่างอื่นจะแข็งเหมือนกันมั้ยนะ
เช่น หัวแข็งไรงี้.....คิดอะไรอยู่ครับทุกคนนนนน ผมไม่ได้เป็นคนทะลึ่งตึงตังอะไรแบบนั้นซะหน่อย อย่าเข้าใจผมผิดนะครับ ไม่มีอะไรจริงจริ๊งงง
เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานเสียเหลือเกิน ผมจิ้มจอโทรศัพท์เพื่อดูว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว ปรากฏว่าเหลืออีกประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียนคาบนี้ ผมรู้สึกได้ว่าวิญญาณผมและผองเพื่อนกำลังจะหลุดลอยออกจากร่างประมาณรอบที่ 20 ได้ ทำไมเวลาถึงผ่านไปช้าเหลือเกิน...
“นิสิตทุกคนฟังครับ” อาจารย์ก็กระแทกเสียงขึ้นมาจนผมสะดุ้งโหยง ตกใจหมดเลยอาจารย์ นี่เป็นวิธีการปลุกแบบใหม่หรอ
“จากที่อาจารย์ได้อธิบายไปตอนต้นชั่วโมงว่าเราจะเก็บคะแนนจากการทำงานกลุ่มกันค่อนข้างเยอะ อาจารย์จะให้นิสิตจับกลุ่มกันทำงาน เงื่อนไขการจับกลุ่มคือ 1 กลุ่มจะมี 4 คน ซึ่งจะต้องคละคณะกัน อาจารย์จะอนุโลมให้นิสิตคณะเดียวกันอยู่กลุ่มด้วยกันได้ไม่เกิน 2 คน และจะใช้กลุ่มเดิมในการทำกิจกรรมไปจนจบเทอม จะไม่มีการสลับสมาชิกหรือเปลี่ยนกลุ่มใหม่เด็ดขาดระหว่างภาคเรียน”“งานใหญ่ของเทอมนี้ก็คือการไปทำจิตอาสา ทำที่ไหนก็ได้ อาจจะไปที่สภากาชาติไทย โรงพยาบาล วัด สถานสงเคราะห์ หรือที่อื่นนอกเหนือจากที่อาจารย์กล่าวไว้ก็ได้ ให้นิสิตไปทำจิตอาสากันกับกลุ่มของตัวเอง จะเริ่มทำตอนไหนก็ได้ พอท้ายเทอมให้นิสิตสรุปงานเสนอเป็นวิดิโอบรรยายผลงานของตัวเอง”
“ตอนนี้ให้นิสิตเริ่มจับกลุ่มได้ครับ ถ้าได้กลุ่มแล้วให้แจ้งพี่ ๆ TA เลยนะครับ”
“เอาแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกันแล้วสินะ” ไอ้กันต์พูดขึ้นมาพร้อมกับหันหน้าซ้ายขวามองเพื่อนร่วมวงอีก 3 ชีวิตที่เหลือ
ไอ้คิมกับไอ้โฟลททำหน้าละห้อยตาแป๋วยังกับลูกหมาหลงทาง เพราะพวกแม่งรู้ชะตากรรมว่าจะต้องได้แยกกลุ่มกันเป็นแน่
ส่วนผมไม่มีปัญหาอะไรมากหรอก รู้แต่แรกอยู่แล้วว่าจะต้องได้แยกกันเพื่อไปรวมกลุ่มกับนิสิตคณะอื่นอีก 2 คน เพราะกลุ่มเรามี 4 คน กฏคือห้ามคณะเดียวกันอยู่ด้วยกันเกิน 2 คน ดังนั้นแก๊งเราก็ต้องแบ่งครึ่งและไปหาอีก 2 คนที่เหลือมาเข้าร่วม
พอรู้ว่าต้องทำอะไรแล้วพวกผมก็ไม่รอช้า จับคู่กัน 2 คน และไล่ถามนิสิตที่อยู่รอบ ๆ ว่ามีกลุ่มแล้วหรือยัง
‘คนครบแล้วค่ะ’
‘คณะเดียวกันค่ะ คนเกินแล้ว’
‘อ๋อ คณะเดียวกันค่ะ อยู่ด้วยไม่ได้’
‘มีกลุ่มแล้วครับ’
‘ตอนนี้ขาดแค่คนเดียวครับ’
ทำไมการหากลุ่มมันถึงได้ยากขนาดนี้นะ ปกติมันก็ต้องมีกลุ่มที่ว่างบ้าง แต่นี่ถามไปกลุ่มไหน คนไหน ก็เข้าร่วมด้วยไม่ได้สักกลุ่ม ผมกับไอ้กันต์เลยต้องเดินลงไปหากลุ่มตรงแถวด้านล่าง
‘ครบ 4 คนแล้วครับ’
‘ครบแล้วครับเพื่อนไปเข้าห้องน้ำเฉย ๆ ครับ’
‘คนครบแล้วค่ะ’
‘มีกลุ่มแล้วครับ’
‘เต็มแล้วครับ’
...
“มึง เราจะมีกลุ่มแน่นะ” ผมถามไอ้กันต์แบบเนือย ๆ
“เอออออ นั่นดิ แม่งเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมีกลุ่มแล้ว”
“เรากลับที่นั่งเราก่อนมั้ยวะ อยู่ไปก็ไม่น่าจะมีกลุ่มว่างให้เรา”
“เออ ๆ กลับเถอะ เผื่อแถวเราจะมีกลุ่มว่างอีกสักกลุ่ม” ไอ้กันต์เห็นด้วยกับผม พูดเสร็จเราสองคนก็เดินกลับไปยังที่นั่งเดิมของเรา ระหว่างที่กำลังลัดเลาะไปตามทางเดินเนื่องจากนิสิตหลายคนก็กำลังจับกลุ่มทำความรู้จักกัน เขียนชื่อส่งอาจารย์ พวกผมก็ต้องพยายามเลี่ยงไม่ให้ชนกับคนอื่นเข้า
“นาย!” เสียงที่เหมือนจะคุ้นหูดังจากทางด้านหลังจนเราสองคนต้องหันกลับไปหาแหล่งที่มาของเสียง
พอหันกลับไปก็ปรากฏหน้าของบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นต้นกำเนิดเสียงเรียกนี้ ใช่ครับ ไม่ใช่ใครอื่นใด นิสิตชายใส่แว่นตัวขาวออร่าเปล่งประกาย และเพื่อนของเขาที่มี...ไอ้นันท์ยืนอยู่ข้าง ๆ
คือผมไม่รู้จะสู้หน้ายังไงดีในเมื่อผมพึ่งจะสร้างเรื่องไปเมื่อคืน
ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องหลบหน้าหลบตาไปก่อนและให้ไอ้กันต์ไปเสนอหน้าแทนผม
“เรียกพวกเราหรอ?” ไอ้กันต์ถามกลับไปขณะที่ผมกำลังเลิ่กลั่กอยู่
“ใช่ เรียกนายสองคนนั่นแหละ”
“เอ่อ พวกนายใช่คนที่เจอกันที่ร้านโต๊ะไม้เมื่อคืนปะ” ไอ้กันต์ถาม
“ใช่ ๆ พวกเราเอง”
“ว่าแต่...มีกลุ่มกันรึยัง” อ้าวไอ้กันต์! มึงไม่คิดว่าเพื่อนมึงที่พึ่งสร้างวีรกรรมไปเมื่อคืนก่อนจะอายบ้างหรอวะ
“ยังไม่มีเลยอะ สนใจรวมกลุ่มกันปะ?”
“ดีเลย เราสองคนกำลังหากลุ่มอยู่พอดี ขออยู่ด้วยนะค้าบ” ไอ้กันต์ทำเสียงทะเล้นซะน่าตื้บสักที
“โอเค งั้นขอชื่อนามสกุล ชั้นปี และก็คณะของพวกนายสองคนด้วย เขียนใส่กระดาษนี่เลย”
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก รู้ตัวอีกทีไอ้กันต์ก็รับกระดาษจากนิสิตแว่นผิวขาวเผือกคนนั้นมา เขียนรายละเอียดของตัวเองและผมลงไปอย่างรวดเร็ว ว่าแต่ไอ้นันท์...ที่ยืนอยู่ข้างหลังพ่อตัวขาวนี่ก็ไม่พูดจาอะไรเลย ยืนเก๊กอยู่ตลอดเวลา หมั่นไส้ชิบเป๋ง
เขียนเสร็จไอ้กันต์ก็วิ่งเอาใบรายชื่อไปส่งที่พี่ TA ก่อนที่จะวิ่งกลับมาประจำจุดเดิม
พอดีลทุกอย่างลงตัวกลุ่มเราที่มีสมาชิกคือผม กันต์ ไอ้ตัวขาว และนันท์ ก็ได้ที่นั่งใหม่ไม่ไกลจากที่เจอกันเมื่อครู่ พอหย่อนตูดประจำที่นั่งโดยมีผมอยู่ริมขวาสุด ตรงกลางมีกันต์และหนุ่มแว่น โดยมีนันท์ขนาบข้างอยู่ทางริมซ้ายมือ บรรยากาศค่อนข้างจะมึนงงเพราะทั้งห้องเลคเชอร์ยังคงวุ่นวายด้วยเสียงนิสิตที่กำลังหากลุ่มและบางส่วนก็กำลังทำความรู้จักกันหลังจากที่จับกลุ่มกันได้แล้ว
“เราชื่อน้ำใจนะ พวกนายล่ะ” หนุ่มแว่นเป็นคนเปิดประเด็นในการคุยขึ้นมาก่อน อาจจะเพราะเห็นว่ากลุ่มเรายังไม่ค่อยได้รู้จักกันเท่าไหร่นัก
“เรากันต์ ส่วนข้าง ๆ เรานนท์ อยู่วิทยา ปี 1” ไอ้กันต์แนะนำตัวเองและแนะนำผมไปด้วย คงรู้ว่าผมคงไม่มีกะจิตกะใจในการทำอะไรแล้วตอนนี้ ผมยิ้มยิงฟันและโบกมือให้คู่สนทนาอีกฝั่งด้วยความเลิ่กลั่กซึ่งยังไม่ได้จากหายไปตามเวลาที่ล่วงเลยมาเกือบครึ่งชั่วโมงที่ได้เจอหน้ากับคนที่ผมพึ่งจะสร้างวีรกรรมไปหมาด ๆ
“โอเคเลย ยินดีที่ได้รู้จักทั้งคู่นะ ส่วนข้าง ๆ นี่เพื่อนเราเอง ชื่อนันท์ พวกเรามาจากวิศวะ อยู่ปี 1 เหมือนกัน ดีเลยเนอะจะได้ไม่ต้องเกร็งกัน”
“หวัดดี” ไอ้หนุ่มทางซ้ายมือโบกไม้โบกมือทักทายหลังจากที่น้ำใจแนะนำตัวเสร็จ หน้านิ่ง ๆ กับรอยยิ้มบาง ๆ และสายตาที่จ้องเขม็งมาทางผม แม่ง...จะกวนตีนกันรึยังไงนะ เห็นผมลุกลี้ลุกลนแต่แรกก็กะจะแกล้งกันด้วยสายตาเลยหรอ
“คงไม่ต้องเกร็งอะไรกันหรอก เมื่อคืนก็ได้เจอกันแล้วนี่นา ใช่มั้ยครับ?” นั่น! พ่อหนุ่มซ้ายมือยิงคำถามฮุกใส่จนผมแทบกระอัก ตอนนี้ผมกำลังพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจนั้นอยู่ไม่สุขสุด ๆ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนผมทำผิดสักอย่างแล้วมีคนจับได้และกำลังซักไซ้จี้ใจดำ
“อ่อ...เออใช่ ๆ เหมือนจะจำได้ลาง ๆ เราน่า จ..จะเคยเจอกันมาแล้วเนอะ” ผมตอบกลับไปแบบตะกุกตะกัก
“ใช่แล้ว ๆ เมื่อคืนแม่งอย่างรั่วเลย ฮ่า ๆ” ไอ้กันต์ช่วยขำกลบเกลื่อน แต่มันไม่ได้เลยมึง!
โคตรจะมีพิรุธ!
“อ้อ นายคือคนที่มาขอไอจีนันท์ปะ”
เจอคำถามนี้เข้าไปความมีพิรุธที่แสดงออกมาผ่านหน้าตาอันหล่อเหลาของผมยิ่งชัดเจนมากขึ้น ผมกับไอ้กันต์มองหน้ากันโดยที่ไม่ต้องถามเลยว่าในใจคิดอะไรอยู่
‘ชิบหายแล้ว’
“ฮ่า ๆ อย่าถือสาเพื่อนผมเลยครับ ไอ้นี่ตอนเมาชอบให้เพื่อนไปขอไอจีผู้ชาย”
“เดี๋ยวนะไอ้นี่ มึงขายเพื่อนหรอ” ผมโพล่งขึ้นมาทันที อยู่ ๆ ทำไมถึงได้ขายเพื่อนแบบนี้วะมึง!
“เอ้า ก็จริงไม่ใช่หรอ คืนก่อนมึงก็ขอให้กูไปขอนันท์เองนี่น...^$&@*” ผมเอามือปิดปากมันอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะโพล่งอะไรที่ทำให้ผมเสียหายไปมากกว่านี้
“เอ่อ อย่าไปฟังมันเยอะเลยครับ ผมอาจจะเมาบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มันพูดหรอกครับ แหะ ๆ”
ไอ้เพื่อนชั่วนี่มันต้องโดนทุบให้เข็ด จะมาขายกันต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายได้ยังไงกัน
“อ๋อครับ ๆ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เขาบอกว่าคนเรามักจะแสดงธาตุแท้ออกมาตอนเมาน่ะครับ ในเคสนี้ผมว่าก็คงจะเป็นยังงั้นแหละ”
“อ้าวน้ำใจ รู้จักกันวันแรกก็วอนเลยหรอครับ” ยังไม่ทันไรไอ้น้ำใจนี่ก็จะผนวกกำลังรุมยำผมแล้วหรอ
“อย่าทะเลาะกันเลย เราคงต้องได้ร่วมงานกันอีกนาน สามัคคีกันไว้ดีกว่าเนอะ” ไอ้คนริมซ้ายสุดนั่งเท้าค้างพูดแทรกบทสนทนาขึ้นมา ผมบนหน้าที่ยาวกำลังดีปกปิดใบหน้าอีกครึ่งไว้ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถ่ายปกนิตยสารอยู่ มันจ้องมาทางผมพร้อมกับยักคิ้วให้หนึ่งที
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังโดนสะกดจิตยังไงก็ไม่รู้
ต่อ...