ท่าเรือที่ 20
ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม
“เจ้า แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก”
“เสร็จแล้วครับแม่”
เสียงแม่ตะโกนเรียกผมที่หน้าห้อง เพราะผมลงไปข้างล่างผิดเวลา น้องสาวอย่างพารักคงจะรอกินข้าวเช้าพร้อมกัน
“เร็วหน่อยลูก พ่อรอกินข้าว”
“ห้ะ!” ผมดึงบานประตูให้เปิดออก ชะโงกหน้าออกมาส่งเสียงตกใจใส่แม่ที่ยืนรออยู่
“เจ้า! แม่ตกใจหมด”
“พ่อกลับมาแล้วหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ พ่อมาถึงเมื่อคืน”
“แล้วคราวนี้อยู่นานมั้ยครับ ไปอยู่เชียงใหม่จนลืมลูกแล้วเนี่ย”
“นี่งอนพ่อหรอเรา ฮ่า ๆ น่าจะหลายวันนะลูก ทางนู้นอะไร ๆ ก็เริ่มลงตัว ผู้จัดการสวนเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี คงบินไปดูถ้าเป็นเรื่องจำเป็น”
“เจ้าไม่เท่าไหร่หรอกครับแม่ คนที่จะงอน นู่น ยัยน้องพามากกว่าครับ” ผมกับแม่คุยกันระหว่างเดินลงบันได
“รายนั้นได้ของฝากก็หายแล้ว ดูสิ นั่งคุยจ้อเชียว” เราทั้งสองคนเดินมาถึงห้องรับประทานอาหารของบ้านพอดี แม่เลยพยักเพยิดให้ดูสาวน้อยของบ้านกำลังพูดไม่หยุด
“ไง ได้ของฝากเยอะเลยล่ะสิ ไหนบ่นกับพี่ว่าจะงอนพ่อฮะ” ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ น้องสาวตัวแสบ อดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นดึงผมหางม้าของพารักเบา ๆ
“ใครงอนกัน ไม่มี้ พี่เจ้าอย่ามั่วสิ พ่ออย่าไปเชื่อพี่เจ้านะคะ” พารักปฏิเสธเสียงสูง แถมยังไม่ออดอ้อนคนเป็นพ่ออีก
เป็นแบบนี้แล้วใครจะไม่หลงพารัก
ทนได้หรอ ฮ่า ๆ
“สวัสดีตอนเช้าครับพ่อ” ผมยกมือไหว้คนเป็นพ่อเมื่อนั่งลงประจำที่เรียบร้อยแล้ว
“ไงเจ้าพระยา ได้ข่าวว่าไปแข่งหลีดได้ที่ 2 “
“ใช่แล้ว เจ้าเก่งล่ะสิ” ผมยกมือตบอกปุ ๆ ประกอบคำเยินยอของตัวเองเพื่ออวดคุณสมภพ
“เก่งครับเก่ง เก่งสุด ๆ แล้วเรียนเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ คะแนนสอบกลางเทอมออกมาแล้ว ดีกว่าที่เจ้าคิดไว้อีก” พอคิดถึงคะแนนที่ทยอยประกาศออกมาแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ตอนแรกก็กลัวจะได้อยู่ในสภาพมือเกาะมีนตีนถีบเอฟซะแล้ว
“ดีแล้ว พยายามเข้า แต่ไม่ต้องไปเครียดหรือกดดันตัวเองมากนะ ทำเท่าที่ได้” เสียงทุ้มแหบที่บ่งบอกอายุกล่าวให้กำลังใจผม ความอบอุ่นของพ่อทำให้ผมสบายใจอยู่เสมอครับ
“ครับผม”
“มา ๆ กินข้าวกัน พ่อมีนัดกับเพื่อนไว้ เดี๋ยวรถจะติดซะก่อน”
“พ่อคะ วันนี้พ่อไปส่งพาที่โรงเรียนน้า” พารักหันไปเกาะแขนอ้อนหัวหน้าครอบครัว
“แน่อยู่แล้วสิ…เอ้อ แล้วนี่เจ้าไปมหา’ลัยยังไง ให้พ่อไปส่งมั้ย”
ปลายประโยคพ่อหันมาถามผม ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า นั่งเรือครับ แต่พอมาตอนนี้…
“เดี๋ยวนี้พี่เจ้ามีคนมารับมาส่งแล้วพ่อ หล่อด้วย คิคิ” พารักตอบพ่อแต่ส่งสายตายิ้มล้อมาทางผม
บรรยากาศเงียบลงไปชั่วอึดใจ ผมได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้พ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่ไม่กล้าสบสายตาเข้มนั่น
“ใครหรอเจ้า” เสียงทุ้มเข้มติดแหบพร่าเอ่ยถามผม
“เอ่อ รุ่นพี่ที่มหา’ลัยอะครับ”
“อืม” พ่อตอบผมกลับมาแค่นั้น
ผมรีบหันไปสบตาคนที่นั่งเยื้องกันอยู่ฝั่งตรงข้าม แม่ยังคงมอบรอยยิ้มหวาน สายตาอ่อนโยนแสดงความเข้าอกเข้าใจ แต่ยังไงหัวใจผมเต้นรัวเหมือนคนทำความผิดมาอยู่ดี
ผมยังไม่พร้อมจะเล่ารายละเอียดของเรื่องให้พ่อฟังทั้งหมด แต่เดา ๆ ว่าก็คงได้ฟังเรื่องระหว่างผมกับรุ่นพี่ต่างคณะอย่างพี่เกียร์มาจากแม่บ้าง
ผมไม่รู้ว่าพ่อจะคิดยังไง
พ่อจะผิดหวังไหม
ถึงแม้เราจะเคยแซวกันเล่น ๆ บ้าง แต่พอมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาผมกลับไม่กล้าถามความรู้สึกของพ่อเท่าไหร่
“กินข้าวเถอะ ยัยพาจะไปโรงเรียนสายแล้วคุณ” แม่เอ่ยพลางเลื่อนขวดซอสสำหรับใส่ข้าวต้มไปให้พ่อ
และเหมือนพารักจะจับความรู้สึกกับบรรยากาศแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นได้ และก็คงจะเพิ่งรู้ตัวว่าได้เอ่ยแซวเรื่องบางเรื่องผิดเวลาไป น้องเลยเอื้อมมือข้างหนึ่งมาบีบมือผมที่วางอยู่บนตักเบา ๆ
ผมหันไปส่งยิ้มให้น้องสาว เพื่อสื่อว่า ไม่เป็นไร
หลังจากเวลาแห่งการรับประทานอาหารเช้าจบลง พ่อก็ขับรถไปส่งน้องพารักที่โรงเรียน ส่วนผมก็รอคนบางคนมารับ เอาจริง ๆ พี่เกียร์ไม่ได้มารับมาส่งผมบ่อยขนาดนั้น เพียงแต่ช่วงที่ซ้อมหลีดผมต้องกลับดึกมาก แล้วคนอย่างพี่เกียร์ต่อให้พยายามบอกไปว่ากลับเองได้ ยังไงเขาก็ไม่มีทางยอม แม่กับน้องพาก็เลยได้เห็นคนตัวสูงขับรถยนต์สัญชาติยุโรปมาเทียบฟุตบาทที่หน้าบ้านจนเป็นเรื่องชินตา ในตอนเช้าก็อาสามารับผมที่บ้านตลอด เขาอ้างว่าผมคงเพลียเพราะซ้อมหนักและนอนดึกมากแล้ว เลยไม่อยากให้ไปเบียดคนบนเรือและรถไฟฟ้า ถ้าเขามารับเองผมก็ยังได้งีบหลับบนรถระหว่างเดินทาง
ผมว่าพี่เกียร์สปอยผมจนติดความสบายแล้วอะ
ไม่ได้การละ
“น้องเจ้าคะ ‘คุณสุดหล่อ’ มาแล้วค่ะ” พี่หวานเดินเข้ามาเรียกผมที่ยังนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหาร
“อ่า ขอบคุณครับพี่หวาน”
ผมเดินออกจากห้องอาหาร ผ่านส่วนของหน้าร้านที่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดให้บริการ พอมองผ่านกระจกใสออกไปก็เห็น ‘คุณสุดหล่อ’ ของพี่หวาน ซึ่งวันนี้คนตัวสูงอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อช็อปสีเข้มคลุมทับเสื้อยืดสีดำ ทรงผมไม่เป็นทรงแต่กลับดูดีจนน่าเหลือเชื่อ เจ้าตัวยืนพิงเจ้าสายฟ้า พาหนะสองล้อคันใหญ่สีดำคู่ใจที่เพิ่งจะเอากลับมาขับหลังจากผ่านงานประลองเวทย์ปรุงยาไป
ก่อนหน้านี้พี่เกียร์บอกว่าที่เอารถยนต์มาใช้เพราะกลัวผมเผลอหลับตอนซ้อนท้าย ถ้าวันไหนซ้อมหนัก ๆ อยากให้นั่งสบาย ๆ
ดูแลผมดีตลอด
พอผมเลื่อนบานประตูกระจกของร้านแล้วก้าวขาพ้นกรอบประตูไป พี่เกียร์ก็เงยหน้าย้ายสายตาจากจอโทรศัพท์ในมือมาสบตากับผมแล้วส่งยิ้มให้ ผมก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดที่ตรงหน้าเจ้าของนัยน์ตาแสนอ่อนโยนตอนนี้
“ไงครับ มาสมัครเป็นพนักงานส่งดอกไม้หรอครับ” หาเรื่องแซวคนตัวสูงไปเรื่อยตามนิสัยขี้เล่นของตัวเอง
“หึ ก็น่าสนใจอยู่นะครับ” ไม่พูดเปล่า ยังพยักหน้าเบา ๆ แววตาหยอกล้อ ทำหน้าสนอกสนใจอีกด้วย
“งานหนักน้า จะไหวหรือเปล่าเนี่ย”
“มันก็อยู่ที่ว่าผลตอบแทนคุ้มหรือเปล่า”
“ค่าแรงขั้นต่ำ 320 บาทต่อวันขาดตัว!!” ผมยกแขนสองข้างขึ้นมากอดอกแล้วยักคิ้วใส่คนตัวสูง
“ฮ่า ๆ งั้นไม่รับค่าตอบแทนเป็นเงินก็ได้ครับ”
“หื้ม?”
“ขอรับเป็นลูกเจ้าของร้านแทนจะได้มั้ยครับ” จบด้วยยิ้มมุมปากใส่กันนิ่ง ๆ
“โว้ะ! พอ ๆ เลิกเล่นเลยครับ เดี๋ยวไปเรียนสาย” เนี่ย พอพี่เขาเล่นด้วยจริง ๆ จัง ๆ ผมก็ไม่เคยจะชนะเขาเลย ร้ายกาจตลอด
“นึกว่าจะเก่ง หึหึ มานี่ เดี๋ยวใส่หมวกให้” พี่เกียร์หยิบหมวกกันน็อกอีกใบมาตั้งท่าจะสวมมันลงที่หัวให้ผม
“ไม่ใส่ครับ”
“ไม่ได้สิ มันอันตราย”
“งั้น…ก็ไม่ต้องขับรถไปครับ”
“หืม? หมายความว่ายังไง”
“ก็…พี่เกียร์ครับ วันนี้นั่งเรือไปมหา’ลัยกัน” ปิดท้ายวลีเชิญชวนคนตัวสูงให้ตกลงกับผมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“นั่งเรือ? จะเล่นอะไรพิเรนทร์อีกเอ๋อ หื้ม?”
“ไม่ได้เล่น นั่งเรือไปกันนะพี่เกียร์ เอารถจอดไว้บ้านเจ้านี่แหละ ไหน ๆ ตอนเย็นพี่ก็ต้องมาส่งเจ้าอยู่แล้วนี่ นะ ๆ” ผมขยับเข้าไปเกาะแขนคนตัวสูงแล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อโน้มน้าวพี่เกียร์ให้ใจอ่อนทำตามที่ผมบอก
“เอางั้นหรอ”
“น้า นะ ๆๆ นะครับ”
“โอเค ไปก็ไปครับ แล้วจะให้พี่เอารถไปจอดไว้ไหน”
“นั่นไง ตรงนั้นเลย ที่จอดรถของร้าน” ไม่พูดเปล่าผมยกนิ้วชี้ไปยังจุดจอดรถของร้านให้พี่เกียร์รู้
“โอเค แต่พี่ขอเอาหมวกไปฝากไว้ในร้านได้มั้ย”
“ได้ครับ เอามาเลย เดี๋ยวเจ้าเอาไปเก็บให้เอง” ผมยื่นมือไปรับหมวกกันน็อกทั้งสองใบเพื่อนำไปเก็บไว้ในร้าน
วันนี้จะได้นั่งเรือแล้ว
เราทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันมาที่ท่าเรือยอดพิมาน แล้วไปที่ท่าเรือเพื่อรอขึ้นเรือร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ อากาศในตอนเช้าที่มีแสงแดดอุ่น ๆ กระทบกับผิวน้ำจนทำให้มันเกิดแสงระยิบระยับสะท้อนตามตัวอาคาร แบบที่ถ้าจ้องมองมันไปนาน ๆ ก็แสบตาใช่เล่นครับ
‘ยอดพิมานครับ ยอดพิมาน ใครไม่ลงชิดในเลยคร้าบ' รออยู่สักพักเรือโดยสารเจ้าพระยาธงสีส้มที่ต้องการขึ้นก็เคลื่อนเข้ามาเทียบท่า เสียงกระเป๋าเรือเมล์ตะโกนบอกชื่อท่าเรือที่เป็นจุดจอดเทียบ ผู้โดยสารขาออกขยับเดินมารอตรงท้ายเรือพร้อมที่จะก้าวขึ้นท่า ส่วนผู้โดยสารที่รอใช้บริการเรือนี้ก็ยืนบนโป๊ะแบ่งเป็นสองแถว พอคนแรกเริ่มก้าวลงเรือคนในแถวก็ขยับเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
ช่วงที่ผู้โดยสารสวนทางกันเข้าออก มือเย็น ๆ ของผมที่ทิ้งอยู่ข้างตัวก็ถูกกุมด้วยมือใหญ่ ผมเงยหน้าสบตากับเจ้าของมือนั้น พี่เกียร์ส่งยิ้มบาง ๆ มาให้
“จับไว้ เดี๋ยวก็ล้มเหมือนวันนั้น” แล้วก็ยิ้มด้วยสายตาล้อเลียนผม
“ชิ ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” ผมจิ๊ปากแถมย่นจมูกใส่คนตัวสูงไปที แต่ก็กระชับมือที่กุมไว้แล้วก้าวเดินตามแรงจูงจนสามารถขึ้นมายืนบนเรือได้อย่างปลอดภัย
เราทั้งสองคนเลือกที่จะไปยืนบริเวณท้ายเรือ เพราะไม่กี่สถานีก็ลงที่ท่าเรือสาทรแล้ว พี่เกียร์ดันไหล่ผมเบา ๆ ให้ไปยืนพิงราวเหล็กท้ายเรือที่กั้นล้อมไม่ให้ผู้โดยสารตกลงไปในแม่น้ำ ส่วนเจ้าตัวก็ยืนเอาแขนข้างหนึ่งเท้าราวเหล็กไว้ มองผ่าน ๆ ก็เหมือนผมตกอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง
“เอ้อ เจ้า” พี่เกียร์อุทานเบา ๆ เหมือนคิดอะไรได้ก่อนจะก้มหน้าลงมาพูดกับผม
“ครับ”
“เดี๋ยววันนี้เลิกเรียนแล้วไปสยามกัน”
“ไปทำอะไรครับ”
“ไปช่วยพี่เลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนหน่อย”
“หือ ? วันเกิดเพื่อนคนไหนครับ เจ้ารู้จักมั้ย”
“เพื่อนเก่าน่ะ มันไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่จบ ม.6 แต่ตอนนี้มันกลับมาเที่ยว ก็เลยจะจัดวันเกิดที่นี่”
“อ่อ ก็ได้ครับ แล้ววันเกิดนี่จัดวันไหนอ่า”
“พรุ่งนี้”
“อาฮะ เดี๋ยวเจ้าไปช่วยเลือก”
“เจ้า”
“ครับ ?”
“พรุ่งนี้ไปงานวันเกิดเพื่อนกับพี่นะ”
“หื้อ ? เจ้าไปได้หรอครับ เจ้าไม่รู้จักเพื่อนพี่สักหน่อย”
“ก็เพราะไม่รู้จักไง ถึงอยากพาไปให้รู้จัก”
“…”
“ไปนะครับ”
“เจ้าขอคิดดูก่อนไม่ได้หรอ”
“ไม่ต้องคิดแล้วเอ๋อ ไปนะเจ้าพระยา พี่อยากให้ไปนะครับ”
เนี่ยยยย พอรู้ว่าผมแพ้สายตาและน้ำเสียงเวลาเขาอ้อน เขาก็ขยันใช้มุกนี้ให้ผมใจอ่อนตลอดเลยอะ
คนร้าย ๆ !!!
“ก็ได้ เจ้าไปก็ได้ครับ” เอ่ยตอบออกไปทั้ง ๆ ที่สายตาผมเสมองไปทางอื่น ใครจะไปกล้าสบตาคม ๆ ที่ทอประกายความอ่อนโยนตอนนี้ล่ะครับ
หน้าร้อน ๆ อีกแล้วแฮะ
คำตอบของผมคงทำให้เจ้าของนัยน์ตาคมพอใจอย่างมาก ดูได้จากรอยยิ้มกว้างตอนนี้เลย
รวมระยะเวลาการเดินทางมามหา’ลัยวันนี้ก็ปาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ผมก็ชอบช่วงเวลาที่เสียไปนะ ตอนนี้เราทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนตามตารางของตัวเอง พักเที่ยงพี่เกียร์ก็บอกไว้แล้วว่าคงติดแล็บ น่าจะไม่ได้มากินข้าวเที่ยงด้วย ให้เจอกันตอนเลิกเรียนในช่วงบ่ายเลย สำหรับผมคือไม่มีปัญหาครับเรื่องกินข้าวเนี่ย แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ…
“อิน กูเครียดดดดด” ผมยกมือสองข้างกุมขมับแล้วก็เลื่อนไปขยี้หัวตัวเอง ข้อศอกทั้งสองข้างค้ำอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์
“เป็นอะไร”
“กูคิดไม่ออก”
“คิดโจทย์บนสไลด์ไม่ออก?” มันหันมาเลิกคิ้วเชิงถามใส่ผม แต่ใช้นิ้วโป้งชี้ไปยังสไลด์เนื้อหาหน้าห้อง
“ไม่ใช่สิ อันนั้นกูไม่เครียด”
“เอ้า ไอ้นี่ มึงคิดเรื่องอะไรก็บอกดิวะ ไม่บอกกูจะเข้าใจกับมึงมั้ย”
“คืองี้มึง หลังเลิกเรียนพี่เกียร์ให้กูไปช่วยเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนเก่าเขาอะ แต่กูคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี!!”
“เจ้า!! หุบปากมึงเลยนะ มึงจะเสียงดังให้อาจารย์มาช่วยคิดหรือไง”
ผมยกมือปิดปากฉับ ตามองไปยังหน้าห้องเรียนที่มีอาจารย์คอยกดสไลด์สอนอยู่ อินส่ายหัวให้กับความบ้าบอของผม ก็คือผมพยายามช่วยพี่เกียร์คิดแล้วว่าจะซื้ออะไรให้เพื่อนเขาดี
จริง ๆ คนที่น่าจะเลือกได้ดีที่สุดก็ต้องเป็นพี่เกียร์นั่นแหละ เพราะรู้จักนิสัยและความชอบของเพื่อนดี แต่ที่ผมต้องเอามาคิดเยอะให้ปวดสมอง ก็เพราะอยากมีส่วนร่วมอะ
เคยได้ยินคำว่า First impression ไหมครับ
นั่นแหละ
ผมก็อยากให้มันเป็นความประทับใจแรกที่จะเกิดขึ้นเมื่อเพื่อน ๆ ของพี่เกียร์ได้รู้จักผม จะว่าผมเว่อร์ก็ได้ แต่มันก็กังวลจริง ๆ นี่ กลัวเพื่อนพี่เขาไม่โอเคกับผมอะ
“มึงจะมาปวดหัวเองทำไมวะ เอาไว้ไปถึงที่จะซื้อก็ค่อยเลือก แล้วให้แฟนมึงนู่นเป็นคนตัดสินใจ ของขวัญของเพื่อนเขานี่” อินคงรำคาญตาที่เห็นหน้ายุ่ง ๆ ของผม เลยพยายามแสดงความคิดเห็นช่วยผมคิดอีกที
“ก็เผื่อพี่เกียร์ให้ช่วยเลือกไง”
“งั้นก็เดี๋ยวค่อยคิด เรียนก่อนเถอะ”
“เออ ๆ ก็ได้วะ เอ๊ะ แต่เดี๋ยว แล้วพี่พีชวนมึงไปปะ เขาเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันนี้”
“ไม่เชิงชวนนะ พี่เขาก็แค่บอกไว้ว่ามีนัดกับเพื่อน”
“เอ้า ได้ไงวะ ไม่พามึงไปเปิดตัวกับเพื่อนเขาวะ”
“ส้นตีน เปิดตัวอะไร กูไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขาสักหน่อย”
“จ้า ไม่เป็นอะไรกันจ้า หอมหน้าผากกันตอนนู้นกูยังไม่ได้แซวเลยนะ เปิดโหมดไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหนหรอวะ”
“กูสะดวกแบบนี้”
“สะดวกแบบนี้ หรือทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”
“…”
“กูถามจริง ๆ นะอิน พี่เขาไม่เคยพูดหรือถามเชิงขอคบหรอวะ ในสายตากูคือมึงกับพี่เขาเกินคำว่าพี่น้องไปเยอะมากนะ”
“…”
“ตอบ อย่ามาเงียบดิ” ผมทำเสียงเข้มคาดคั้นเพื่อนตัวเล็กที่หลบสายตาผมไปจ้องปากกาไฮไลท์ในมือ
“ก็พูด” คิ้วเรียวของเพื่อนตัวเล็กขมวดเป็นปมเหมือนมันเป็นเรื่องหนักอกหนักใจ
“เอ้า แล้วทำไม...” ยังไม่ทันที่ผมจะถามจบประโยค อินก็ตอบผมกลับมาก่อน
“เอาความจริงมั้ย คือกูไม่อยากให้พี่เขาลำบากว่ะ สถานการณ์ที่บ้านกูก็ยังไม่ดีขึ้น มึงรู้มั้ย พอป้ากูเห็นพี่เขาไปหากูที่บ้านบ่อย ป้าก็เริ่มมาด่ามาว่าแม่กูแล้ว บอกว่ากูทำเรื่องให้ตระกูลเขาเสียหาย คนจะนินทาพวกเขาเพราะกู ทั้ง ๆ ที่กูไม่ได้ใช้นามสกุลเขานะ แล้วพอกูชวนแม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เขาก็ทวงบุญคุณ ทวงเงินค่าบ้าน ทวงทุกอย่างจนแม่กูรู้สึกผิด มันแย่มากเว้ยเจ้า กูเลยไม่อยากให้พี่เขาพลอยโดนว่าเสีย ๆ หาย ๆ ไปด้วย” มือขาวที่กำปากกาอยู่ก็ยิ่งกำแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว เรื่องราวที่เจ้าตัวพยายามเก็บกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา
ผมตัวชาเพราะไม่คิดว่าเพื่อนผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขนาดนี้
“แล้วมึงไม่คิดว่าพี่เขาจะเต็มใจเข้าไปช่วยแบ่งเบาความทุกข์บ้างหรือวะ”
“คิดสิ คิดมาตลอด ว่าพี่เขาเป็นที่พักพิงให้กู แล้วพี่พีก็เป็นจริง ๆ แต่กูอยากเป็นฝ่ายมอบความสบายใจให้เขาบ้าง ไม่ใช่มีแต่ความกังวลอย่างทุกวันนี้ กูรับรู้ตลอดว่าเขาเป็นห่วง เป็นกังวลเรื่องครอบครัวกู มันทำให้กูไม่เคยกลัวอะไรเลยเวลามีเขาอยู่ข้าง ๆ แต่พอมันเป็นแบบนี้ ยังหาทางออกของปัญหาตอนนี้ไม่ได้ แล้วเขาจะทนกับกูได้นานแค่ไหนวะ เขาจะเบื่อกูวันไหน เขาจะไปจากกูเมื่อไหร่ กูไม่รู้เลยเจ้า ไม่รู้เลย” อินทัชตอนนี้เหมือนแก้วใสบาง ๆ ที่พยายามกักเก็บทุกอย่างไว้กับตัว แต่ตัวมันเองก็คงหลงลืมไปว่าแก้วบาง ๆ นี่มันจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องแย่ ๆ ได้มากสักแค่ไหน และตอนนี้คนที่เป็นเหมือนแก้วบางตรงหน้าผมก็พร้อมแตกสลายทุกเมื่อ เพียงแค่มีเรื่องแย่ ๆ อีกสักเรื่องเข้ามาสัมผัสมันเบา ๆ บางทีเพื่อนอย่างผมจะอยู่นิ่ง ๆ เป็นกำลังใจอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
“ใจเย็น ๆ มึงอย่าไปดูถูกความรักพี่พีดิวะ เขาอาจจะไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาก็ได้ กูว่ามึงควรคุยกับพี่เขา เหมือนที่คุยกับกู เขาจะได้เข้าใจ จะได้ไม่คิดว่าที่มึงไม่ยอมคบกับเขา ไม่ใช่เพราะไม่ได้รัก”
“…”
“ถ้าจะสู้ไปด้วยกัน ก็ต้องคุยกันให้เข้าใจ”
“อืม ขอบใจนะเจ้า”
“เออ ๆ ไม่เป็นไร อย่าคิดมากนะมึง เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น เชื่อกู” เพราะกูจะช่วยมึงเอง ประโยคสุดท้ายที่ผมไม่ได้พูดไป แต่มันคงถึงเวลาที่ผมกับไอ้ภาคจะต้องช่วยกันทำอะไรสักอย่างเพื่ออิน เพื่อนสนิทตัวเล็กผมควรได้มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตัวเองสักที
นิทานเรื่อง ‘อิน’เดอเรลล่ากับป้าใจร้าย ควรถึงกาลอวสานได้แล้ว
“แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมาเรื่องกูได้วะ”
“แหะ ๆ เพราะความเสือกกูเองจ้า ขอบคุณจ้า” ผมหัวเราะตาหยีใส่เพื่อนตัวเล็ก อินอมยิ้มส่ายหัวให้กับความทะเล้นของผม อย่างน้อยมันก็ยังยิ้มได้ ใจสู้มากเลยเพื่อนผม
สรุปว่าเรื่องของขวัญก็ไปหาเอาดาบหน้าแล้วกัน
หลังจากเลิกเรียนคาบบ่าย พี่เกียร์ก็เดินมารับผมที่คณะเช่นเคย แถมวันนี้เจ้าสายฟ้ายังจอดอยู่ที่บ้านของผมอีก เราสองคนเลยเลือกที่จะเดินไปซื้อของขวัญวันเกิดที่แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าใหญ่ใกล้ ๆ มหา’ลัย ซึ่งพอไปถึงก็ใช้เวลาในการเลือกซื้อไม่นานเพราะพี่เกียร์คิดเอาไว้แล้ว
แล้วผมเครียดคิดหัวแทบแตกทำไมวะเมื่อเช้า
ของขวัญที่ได้ก็เป็นถุงมือสำหรับใส่ขับรถจักรยานยนต์สายพันธุ์ใหญ่ กำลังม้าแรงสูงแบบเจ้าสายฟ้านั่นแหละ
และพอได้ฟังเหตุผลที่เลือกของขวัญชิ้นนี้ รวมถึงลักษณะนิสัยคร่าว ๆ ของเพื่อนพี่เกียร์ก็รู้เลยว่าทำไมถึงมาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันได้
สายเฟี้ยวเปรี้ยว teen มากันตั้งแต่เด็ก ๆ เลยนะครับ
ถึงแม้จะต้องแยกกันเรียนกันคนละประเทศ คนละมหาวิทยาลัย ก็ยังมีการติดต่อคุยกันเสมอ พรุ่งนี้ก็คงได้เจอกันครบทั้งกลุ่มเลยสินะ
หลังจากใช้เวลาในการเลือกซื้อของขวัญไม่มาก เวลาที่เหลือจึงหมดไปกับการสรรหาอาหารหลากรสลงท้อง ทั้งของคาวและของหวาน ซึ่งไม่ต้องแปลกใจอะไรมาก ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจเลือกเมนูอาหารก็ยังคงเป็นผมอยู่ดี พี่เกียร์เขาไม่เคยขัดใจผมเรื่องกินหรอกครับ
เวลาเกือบหกโมงเย็นหลังจากกินข้าวกินขนมจนอิ่ม เราสองคนก็พร้อมกันเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าแล้วต่อเรือโดยสารเจ้าพระยาเหมือนเมื่อเช้า แต่ก็นะ เวลาเลิกงานแบบนี้คนใช้บริการขนส่งสาธารณะก็ค่อนข้างหนาแน่น เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเบียดเสียดและเสียเวลาไปกับการเดินทางมากกว่าเดิม
ตอนนี้ผมกับพี่เกียร์ก็มายืนต่อแถวรอขึ้นเรือตรงท่าน้ำที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางบกกับทางน้ำเหมือนกับใครหลายคน ความแออัดและหนาแน่นของผู้โดยสารก็ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวขึ้นมา แต่บรรยากาศรอบข้างที่ท้องฟ้าเป็นสีส้มแดง แสงจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้เวลาลับขอบฟ้านั้นสะท้อนกับผืนน้ำจนเกิดแสงระยิบระยับสวยงาม สันคลื่นน้ำขยับเคลื่อนต่อกันเป็นทอด ๆ ตามแรงรบกวนจากการเคลื่อนที่ของเรือบนผิวน้ำ เป็นภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามจนช่วยทำให้หายหงุดหงิดไปได้บ้าง
คนตัวสูงใช้ขายาวที่แข็งแรงเป็นหลักยึดมั่นคง แล้วจับผมที่กำลังตั้งใจเล่นเกมในโทรศัพท์รอเวลาเรือเทียบท่าให้ยืนพิงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไออุ่นที่แผ่กระจายจากเจ้าของแผงอกนั้นได้มาโอบล้อมรอบตัวผม อุณหภูมิเดิม ๆ กลิ่นไอที่คุ้นชิน สัมผัสที่มั่นคงกับหัวใจเสมอ การที่อยู่ใกล้กันบ่อย ๆ ทำให้สมองที่ควบคุมประสาทรับรู้เหล่านี้สร้างกลไกบางอย่างให้ผม กลไกของร่างกายที่กล้าจะปล่อยความรู้สึกให้ผ่อนคลาย ไร้ความกังวล และรับรู้ถึงความปลอดภัย
เมื่อมีเขาอยู่ข้าง ๆ
“เจ้า หยุดเล่นก่อน เรือมาแล้ว” เสียงทุ้มดังเตือนจากเหนือศีรษะของผม
“ครับ ๆ เก็บแล้ว” ผมรีบกดออกจากเกมแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ดันตัวเองจากแผ่นอกแกร่งที่เอนหลังพิงมาสักพักให้ยืนตรงด้วยตัวเอง รอยยิ้มตาหยี ๆ ที่พี่เกียร์บอกว่าเป็นเอกลักษณ์ของผมถูกส่งไปให้เขาแทนคำขอบคุณที่เสียสละแผ่นอกนั้นให้ยืนพิง
“ว่าง่ายแบบนี้ เดี๋ยวพี่ให้รางวัล” มุมปากได้รูปยกขึ้นเล็กน้อยกับแววตาพราวระยับ
“รางวัลอะไรครับ”
“ไม่บอก”
ผมขมวดคิ้วใส่คนที่ไม่ยอมบอกความลับเกี่ยวกับรางวัลอะไรนั่น แต่พี่เกียร์กลับยกมือขึ้นมาพลิกตัวผมให้กลับหลังหัน สองมือวางบนบ่าแล้วดันให้ผมเดินไปข้างหน้าเมื่อแถวเริ่มขยับไปทางท่าเรือ
เราสองคนถึงบ้านในตอนที่ท้องฟ้าเป็นสีนิลเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาต้องแยกกันกลับไปพักผ่อน พี่เกียร์ไปถอยเจ้าสายฟ้าออกมาจากที่จอดรถ ส่วนผมก็เดินเข้าไปหยิบหมวกกันน็อกมายื่นให้ พี่เกียร์รับไปสวมครอบศีรษะในตอนที่เจ้าตัววาดขายาวคร่อมรถแล้ว พอจัดทุกอย่างเรียบร้อย เสียงเครื่องยนต์สองล้อกำลังขับเคลื่อนสูงพอ ๆ กับรถยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมที่เคลื่อนตัวไปยังถนนเส้นหลัก
สัญลักษณ์นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยที่พี่เกียร์ยกมันขึ้นมาชิดหูที่มีหมวกกันน็อกกั้นอยู่ ซึ่งผมเข้าใจภาษากายนั้นได้ดี เลยพยักหน้าตอบรับแล้วโบกมือยืนรอส่งพี่เกียร์อยู่ตรงหน้าบ้าน จนเจ้าสายฟ้ากับนายของมันพ้นรัศมีการมองเห็นของสายตาไป
ผมกระชับกระเป๋าสะพายใบโปรดแล้วกลับเข้าไปบ้าน อาบน้ำทำธุระส่วนตัว รอเวลาที่คนตัวสูงส่งข้อความมาบอกหากเจ้าตัวเดินทางถึงคอนโด ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน เพราะเมื่อผมออกมาจากห้องน้ำ ก็ได้เห็นข้อความจากพี่เกียร์ที่ส่งผ่านแอพลิเกชันสีเขียวสำหรับสนทนาผ่านข้อความ
‘ P’GEAR : ถึงคอนโดแล้วนะครับ ’
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผมเองหลังจากได้เห็น ผมไม่ได้ตอบไปในทันทีแต่วางเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมไว้บนเตียงก่อนจะไปจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย
พอแต่งตัวเสร็จผมก็กลับมาสนใจเครื่องมือสื่อสารนั้นอีกครั้ง โดยกดโทรหาคนที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา บทสนทนายามค่ำคืนก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็ได้ข้อสรุปบางเรื่องมาแบบงง ๆ ว่าวันพรุ่งนี้พี่เกียร์ให้ผมชวนไอ้ภาคและชาววิศวะฯ ปี 1 กลุ่มที่เคยช่วยกันทำพานไปด้วยได้ ส่วนเหตุผลที่ให้ชวนก็เพราะว่าพี่เกียร์กลัวผมเหงา กลัวคนพูดมากอย่างผมจะไม่มีคนคุยด้วย หากต้องไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนของพี่เกียร์ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน
เมื่อได้รับอนุญาตแบบนี้ผมก็ไม่รอช้าที่จะส่งข้อความเข้ากลุ่มสื่อสารออนไลน์ เพื่อชวนเพื่อนสนิททั้งสองคน รวมถึงให้ไอ้ภาคไปชวนพวกเพื่อนมันด้วย
อย่างน้อยการเจอเพื่อนพี่เกียร์ครั้งแรก ผมก็ไม่ต้องไปนั่งเกร็งคนเดียวแหละน่า
(มีต่อด้านล่าง)