มาแร้วค๊าบ..... ตอนที่ 6
ภายในห้องโถงอันรกร้างใต้ตึกมืด แสงไฟฉายที่เตรียมมาจากมือเด็กนักเรียนชายทั้งหมดส่องไปยังใบหน้าที่อาบคราบน้ำตาของคนที่ถูกมัดปาก มือและเท้าไว้กับเสา มีเพียงแววตาของฝ่ายนั้นเท่านั้นที่เหมือนจะส่งมาอ้อนวอนว่าให้ปล่อยเจ้าตัวไป
“ไอ้ไต๋ กูว่าปล่อยพี่เขาเถอะว่ะ น่าสงสารออก”หนุ่มออกความเห็น ในขณะที่คนอื่นๆนิ่งเงียบ
“สงสารมึงจะอยู่กับมันมั๊ยล่ะ อย่างมันต้องโดนแบบนี้แหละ”เตชสิทธิ์เอ่ยขึ้นก่อนจะส่งรอยยิ้มเยาะไปให้ฝ่ายที่ไม่สามารถพูดจาอะไรได้
“เฮ้ย จะเอายังไงก็เอาเถอะพวกมึง บรรยากาศมันดูแปลกๆแล้วนะโว้ย”ไอ้ต้อมเอ่ยผ่ากลางวงขึ้นมา และเป็นคำพูดที่จุดชนวนให้คนอื่นๆเหลียวหน้าเหลียวหลัง คำบอกเล่าที่ร่ำลือว่าตึกร้างแห่งนี้ผีดุเริ่มแล่นเข้ามาในห้วงความคิดแต่ละคนจนต้องเผลอชิดกายเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ
กัณตินันท์น้ำตาไหลพรากๆ คิดไม่ตกว่าตัวเองไปทำอะไรให้เตชสิทธิ์ ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าการเกิดมาเป็นคนเบี่ยงเบนแล้วเอาชีวิตไปเกี่ยวข้องกับคนปกติทั่วไปแล้วมันผิดมหันต์ขนาดต้องโดนกลั่นแกล้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ อาการหวดกลัวที่เด็กหนุ่มหลายๆคนแสดงออกมาตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มหายใจได้ไม่เต็มปอด สถานที่แห่งนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆ
“โชคดีนะครับพี่กัณตินันท์ ตึกนี้เคยเกิดไฟไหม้มาก่อนและก็มีคนตายในกองไฟไม่ต่ำกว่า 5ศพ ตึกนี้มีเรื่องเล่ามากมาย ถ้าอยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง คืนนี้รอถามพวกเขาเอาเองนะ รับรองพวกเขามาหาพี่แน่ๆ”และคนที่ก้มหน้ามาเอ่ยเฉลยสิ่งที่ค้างในใจคือเตชสิทธิ์ เด็กหนุ่มเอ่ยจบก็เอาไฟฉายมาส่องหน้าตัวเองทำแลบลิ้นล้อเลียนอย่างคนคึกคะนอง
โครม!!! ปัง เสียงดังบางอย่างดังก้องสะท้านมาจากด้านบนส่งผลให้บรรยากาศกลุ่มคนด้านล่างเงียบไป แต่ละคนหยุดมองหน้ากันก่อนจะลากแขนกันเดินหนีไปทีละคนสองคน กันตินันท์ดิ้นกายเร่าๆเมื่อความกลัววิ่งเข้าแทรกภายใจถึงขีดสุด ชายหนุ่มน้ำตาไหลพรากๆเมื่อช่วยเหลือตัวเองอะไรไม่ได้เลย เสียงร้องขอของตัวเองดังอู้อี้ๆอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น แล้วบรรยากาศก็มืดลงจนได้ยินแค่เสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวคล้ายคนจะเป็นลม เมื่อกลุ่มคนทั้งหมดวิ่งกระเจิงกันออกไปจากตัวตึกนี้กันจนหมด
“เฮ้ ไต๋ นี่กระเป๋าพี่เขานี่”หนุ่มเป็นคนเอ่ยเมื่อวิ่งออกมาทางเดิมแล้วเห็นกระเป๋าเอกสารหล่นวางอยู่ที่พื้น
“เออ เอามานี่ กูเอากลับไปเอง”เตชสิทธิ์เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋านั่นมา เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปมองเจ้าของของมันทางด้านหลังแวบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินนำกลุ่มเพื่อนหายไปในความมืด
.
.
.
.
.
.
เตชสิทธิ์กลับเข้าบ้านในช่วงสามทุ่ม เด็กหนุ่มเดินไปนั่งโซฟาห้องรับแขกเมื่อเห็นมารดานั่งหน้าตึงรออยู่
“ยังไม่นอนเหรอแม่”
“รอแกนั่นแหละ เลิกเรียนกี่โมงทำไมกลับเอาป่านนี้”
“ก็ไปเดินเล่นกับเพื่อนมาหน่อยน่ะครับ”
“เดินเล่น ไปเดินได้ไง วันนี้มีเรียนกับพี่ตฤณไม่ใช่เหรอ”
“แล้วเขามาหรือเปล่าล่ะ”มารดาเงียบเมื่อโดนลูกชายถามถึงตอนนี้ นางส่ายหัวหน่อยๆ คนเห็นอาการแอบกระหยิ่มยิ้มแล้วค่อยแกล้งเอ่ยตีรวน
“เห็นมั๊ยล่ะ แม่นะแม่ จ้างใครไม่จ้างไปจ้างนายนั่น มันขี้เกียจสอนจะตายแล้วยังจะมาโทษว่าผมขี้เกียจเรียน ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ เหนียวตัวมากเลย”ลูกชายกำลังจะเดินผละไป แม่มารดามองเห็นกระเป๋าบางอย่างที่จำได้ว่าเป็นของใครในมือลูกชายจึงทักขึ้น
“นั่นกระเป๋าพี่ตฤณนี่ไต๋”
“อ๋อ ใช่ที่ไหนล่ะ แม่ นี่มันกระเป๋าไอ้ต้อมมัน ผมยืมมันมา มันคงคล้ายกันแหละ แม่อย่าใส่ใจเลย”เตชสิทธิ์ตอบแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นบนไป เด็กหนุ่มโยนกระเป๋าไว้บนเตียงนอนก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าเปลือยกายเข้าไปอาบน้ำ ออกมาอีกทีเด็กหนุ่มก็มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายไว้อยู่
ร่างสูงกำลังจะหาเสื้อผ้ามาสวม แต่ไม่รู้เพราะอะไรสายตาคมนั่นถึงกลับหันไปสนใจกระเป๋าเอกสารที่วางอยู่บนที่นอน
เด็กหนุ่มเดินไปหยิบมาเปิดดูในที่สุด
.
.
.
.
.
ภายในบรรยากาศที่มืดสนิท มืดจนน่ากลัว กัณตินันท์ หมดแรงที่จะดิ้นให้ร่างกายหลุดจากการพันธนาการ เสียงแปลกๆดังแว่วเข้ามาให้ได้สะดุ้งอยู่เรื่อยๆ ชายหนุ่มหลับตาข่มอารมณ์เสียใจเอาไว้เมื่อนึกถึงความตั้งใจทั้งหมดที่จะเปลี่ยนแปลงคนเกเรคนหนึ่งให้กลับมาเป็นคนเอาถ่าน
ภาพเหตุการณ์ช่วงวันหยุดที่ตัวเองเลิกกิจกรรมทั้งหมดที่ต้องทำแล้วเอาเวลามาตระเตรียมแผนการเรียนการสอนให้คนที่กลั่นแกล้งตน
ให้อยู่ในสภาพแบบนี้แล่นเข้ามาในห้วงความคิดเป็นฉากๆ
ชายหนุ่มเลิกสนใจที่จะโทรหาคนรักอย่างภูวกฤษด้วยเอาเวลาทั้งหมดมาค้นคว้าหาข้อมูลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเก่าๆทางอินเตอร์เน็ต
เพื่อเอามาคำนวณและวางแผนการเรียนการอ่านให้ลูกศิษย์
ชายหนุ่มลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ค่อนคืนที่แล้วจนถึงบ่ายเพราะมัวเอาเวลาทั้งหมดค้นหาตำราเก่าๆของตัวเองเพื่อ
เอามาอ่านเกร็งแนวข้อสอบโดยย่อพอสังเขป แล้วเก็บเข้าแฟ้มรอที่จะให้ลูกศิษย์เอาไปท่องแทนการอ่านหนังสือทั้งหมด เมื่อตนลองๆคำนวณแล้วว่าเวลาการอ่านหนังสือแบบนั้นของลูกศิษย์คงไม่พอ สำหรับการเตรียมตัวสอบเป็นแน่แท้
ชายหนุ่มลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองยังไม่หลับพักผ่อนซักนิดเพราะด้วยเอาเวลาทั้งหมดมาดูข้อมูลผลการเรียนที่ผ่านๆมาของลูกศิษย์แล้ววิเคราะห์
ผลคะแนนเฉลี่ยว่าอีกสองเทอมที่เหลือว่าจะทำให้ลูกศิษย์ได้เกณฑ์คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ จึงจะทำให้คะแนนการสอบวัดผลเข้ามหาวิทยาลัยจะไม่หนักกับเจ้าตัวมากไปนัก
.
.
.
.
.
.
.
ภายในห้องที่สว่างไสวของเตชสิทธิ์ กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกวางลงบนที่นอนเมื่อเจ้าของห้องไล่อ่านรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเพราะโดย โดยปกติเด็กหนุ่มไม่ใคร่จะสนใจอ่านอะไรนัก
“นี่มันทำห่าอะไรของมันวะ”เด็กหนุ่มเอ่ยกับตัวเองลอยๆเมื่อกระดาษแผ่นสุดท้ายถูกกวางลงรวมกับแผ่นก่อนๆ
แผ่นกระดาษที่อัดแน่นด้วยข้อมูลต่างๆทั้งหมดที่กัณตินันท์ทำขึ้นทำให้คนถือวิสาสะเปิดดูอย่างเตชสิทธิ์เบ้ปากหน่อยๆอย่างไม่นึกจะสนใจ
ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรบ้าง เด็กหนุ่มใช้มือขย้ำๆกองกระดาษนั้นแล้วจับยัดใส่กระเป๋าดังเดิมก่อนจะโยนกระเป๋านั้นไปทิ้งไว้ในมุมหนึ่งของห้อง แล้วร่างสูงจึงลุกไปเปิดลิ้นชักคว้าซองบุหรี่ขึ้นมาแล้วเลือกหยิบเอาบุหรี่ในนั้นหนึ่งมวนขึ้นมาจุดสูบอย่างเป็นกิจวัตร
.
.
.
.
.
.
.
เช้าวันใหม่ที่โรงเรียน เตชสิทธิ์เดินเข้าไปในเขตรั้วได้ยังไม่ถึงสามก้าว เพื่อนในกลุ่มต่างก็แห่กันเข้ามาจับตัวไว้และรายงานเรื่องราวอย่างตื่นตะหนกว่าตอนนี้คนที่พวกตนลงมือจับมัดขังไว้ในตึกร้างหลังโรงเรียน
กำลังนอนซมอยู่ห้องพยาบาล
“แล้วพวกมึงมาบอกกูทำไม”คนรับรู้เรื่องราวถามขึ้นอย่าไม่ใคร่ใส่ใจ
“อ้าว พวกกูต้องบอกมึงสิ ก็เพราะมึงเป็นคนต้นคิด”เพื่อนๆรายงาน
“แล้วไง”เตชสิทธิ์ยังเอ่ยหน้าตายเช่นเดิม
“มันจะแล้วไงล่ะ มันก็จะซวยกันทั้งกลุ่มน่ะสิ รู้มั๊ยว่าตอนนี้ผอ.กำลังประกาศหาตัวคนทำผิด คราวนี้ล่ะมึงเอ้ย ได้ถูกไล่ออกกันยกแก๊งค์แน่ๆ”ต้อมออกความเห็นอย่างวิตก
“ไร้สาระ ประกาศก็ประกาศไปดิ เราไม่รับใครจะจับเราได้”เตชสิทธิ์ยังเอ่ยอย่างไม่แคร์เช่นเคยจนเพื่อนแปลกใจ
“นี่มึงไม่กลัวเลยเหรอวะไอ้ไต๋”
“จะให้กูกลัวอะไรล่ะ ในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรสาวมาถึงว่าพวกเราเป็นคนจับไอ้นั่นไปมัดไว้ ตึกนั้นเป็นตึกร้าง อาจจะมีพวกคนภายนอกจับไอ้นั่นไปมัดไว้ก็เป็นได้ พวกมึงอย่าปอดหน่อยเลยน่า”
“เออทำเป็นเก่งไปเถอะมึง ตึกนั่นมึงก็รู้ว่าคนภายนอกเข้าออกยากยังกะอะไร ตอนนี้ผอ.ท่านปักใจเชื่อเลยล่ะว่าเป็นฝีมือคนภายในนี่แหละที่ทำเรื่องอุกอาจแบบนี้”
“เหรอ สรุปคือพวกมึงต้องการให้กูกลัวแล้วเหงื่อตกอย่างพวกมึงเลยใช่มั๊ย”
“ก็ถ้ามึงไม่กลัว มึงบอกมาสิว่ามึงมีทางออกให้เรื่องนี้ยังไง”
“ก็อยู่เฉยๆไง ไม่กระโตกกระตากทุกอย่างก็จบ”
“พูดมันพูดได้นะมึง มึงคิดว่าเราใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวแล้วมันจะได้ผลเหรอ รับรองได้ว่าถึงเราไม่รับ ผอ.ท่านก็รู้ได้เองจากปากเหยื่อของแก”
“ไม่มีทาง พวกมึงเลิกปอดแล้วจะไปไหนก็ไปเลยไป ไอ้นั่นไม่มีทางเอาเรื่องพวกเราได้แน่ฉันรับรอง”เพื่อนทั้งกลุ่มอึ้งและมองหน้ากันเลิ่กลัก แต่ละคนอยากจะถามเหลือเกินว่าทำไมหัวโจกของกลุ่มถึงมั่นใจนักว่าเหยื่อที่โดนมัดปากมัดมือเมื่อคืนจะไม่เอาเรื่องกลุ่มตน แต่แล้วทุกอย่างก็กระจ่างออกมาจากปากคนมั่นใจอย่างที่ไม่ต้องมีใครเอ่ยปากถามว่า
“กูบอกพวกมึงแล้วไงว่าไอ้นั่นมันกำลังตื้อกูอยู่ ลองกูแหลอ้อนมันนิดหน่อยมันก็อ่อนแล้ว”เตชสิทธิ์เอ่ยออกไปอย่างคนมีแผน เมื่อคืนหลังดูดบุหรี่เสร็จเขากลับไปเปิดดูกระเป๋าเอกสารของกัณตินันท์อีกรอบ เอกสารปึกใหญ่ภายในนั้นกัณตินันท์คงไม่ทำให้ใครถ้าไม่ใช่เขา เด็กหนุ่มหยิบข้อมูลพวกนั้นมาอ่านอีกคร่าวๆก่อนเข้านอน เปล่าหรอก เขาไม่ได้นึกสนใจอะไรกับของหนักสมองๆพวกนั้นเลยแม้แต่นิด แต่ที่ต้องลองอ่านเพราะข้อมูลในนั้นมันน่าจะเป็นข้อต่อรองที่จะใช้ปิดปากกัณตินันท์ได้ดีว่าไม่ให้เจ้าตัวแพร่งพรายว่าใครจับตัวเองมัดไว้ใน
ที่อันตรายเพียงลำพัง
“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิวะพวกมึง กูบอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ เดี๋ยวกูจัดการเองพวกมึงรอฟังข่าวละกัน”เตชสิทธิ์เอ่ยต่อเมื่อเห็นแววตาและสีหน้าเพื่อนแต่ละคนยังมีแวววิตกอยู่ เด็กหนุ่มเอ่ยจบก็เดินแยกตัวไป แน่ล่ะที่ๆที่เขาจะไปคือห้องพยาบาลนั่นเอง
ภายในห้องนั้น กัณตินันท์นั่งกุมขมับอย่างคนอ่อนล้า ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองถูกพามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหน แต่แล้วหนึ่งเสียงที่เอ่ยทักก็ทำให้สติพอจะรับรู้ว่าตรงที่นั่งอยู่ตอนนี้คือที่ไหนกัน
“เก่งนี่ รอดมาได้”เตชสิทธิ์นั่นเองที่เป็นเจ้าของเสียงนั่น คนเพิ่งฟื้นเกิดอาการผวาหน่อยๆเมื่อเห็นใบหน้าเด็กหยาบร้าย ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวารอบห้อง นึกไม่เข้าใจว่าทำไมสถาณการณ์จึงเอื้อให้ตนอยู่สองต่อสองกับเตชสิทธิ์บ่อยๆด้วย
“มองหาใคร ฉันเข้าออกที่นี่ตั้งแต่เด็กฉันย่อมรู้เวลาที่จะเข้าออกห้องนี้ได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอกนอกจากนายและฉัน”เตสิทธิ์เดินเข้ามาในห้อง และสายตายังคงจ้องมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างเยาะๆ เพราะนึกสะใจในสภาพที่เห็น ดูเอาเถอะ เมื่อคืนคงจะเจออะไรหนักๆมาแน่ๆสภาพตัวทั้งตัวถึงได้ดูหลอนขนาดนั้น
“เธอแกล้งฉันทำไมเตชสิทธิ์”คนยังหลอนอยู่ตั้งสติเอ่ยถามออกไป จริงอยู่ที่เมื่อคืนตัวเองจะไม่ได้เจออะไรที่น่ากลัวอย่างจริงๆจังๆ แต่เสียงดังแปลกๆที่แว่วเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะๆในความมืดก็ทำให้ใจสั่นเป็นตีกลองจนเผลอสลบไปอย่างคนไม่อยากรับรู้อะไรในที่สุด
“เหตุผลง่ายๆ ฉันไม่ชอบขี้หน้านายไง”คนโดนถามตอบหน้าตาย
“แล้วฉันไปทำอะไรให้นายเจ็บช้ำน้ำใจตั้งแต่เมื่อไหร่”คนได้คำตอบขึ้นเสียงบ้างอย่างเหลืออด
“ไม่ทำทางตรงหรอกแต่มึงทำทางอ้อม”อีกฝ่ายเผลอหยาบคายเมื่อโดนขึ้นเสียงใส่จนเกิดการปะทะคารมกันอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ระหว่าง
อาจารย์กับลูกศิษย์
“ทางอ้อมทางไหนล่ะ ฉันเข้ามาในชีวิตเธอในฐานะครูบาอาจารย์ ฉันจะไปทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจให้มันได้อะไรขึ้นมา เลิกอคติกับฉันแล้วมองอะไรให้มันกว้างๆอย่างคนมีสมองเขามองกันหน่อยสิ”
“อ๋อ นี่นายด่าฉันอีกแล้วเหรอ”
“ฉันไม่ได้ด่าฉันแค่พูดให้นายคิด”
“อย่างนี้เหรอที่บอกว่าพูดให้คิด โธ่เอ้ย ก็ปากอย่างงี้ไงล่ะถึงทำให้ฉันหาความเคารพไม่ได้ คำก็บอกตัวเองเป็นครูสองคำก็บอกตัวเองเป็นอาจารย์ จบมาจากที่ไหนหะถามหน่อย ที่สถาบันเขามีสอนให้จิตวิทยาคนที่จะเป็นครูปากเสียอย่างนายมีด้วยหรือไงฉันจะได้ไม่ต้องเข้าไปเรียน”
“อย่ามาลามปามสถาบันของฉัน ที่ฉันเป็นอย่างนี้ก็เพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่เพราะเจอลูกศิษย์ห่วยๆอย่างนาย แล้วก็อย่ามาพูดหน่อยเลยว่าตัวเองจะไม่เข้าไปเรียน ชาตินี้ทั้งชาติคนอย่างนายก็คงหนีไม่พ้นมหาวิทยาลัยเปิด หรือของเอกชนหรอก”
“นี่มันจะเกินไปแล้วนะ”
“ทำไมแค่นี้ทนฟังไม่ได้หรือไง ทีนายเอ่ยถากถางดูถูกฉันสารพัดล่ะ รู้หรือยังว่าฉันจะรู้สึกยังไง”
“อย่าความความรู้สึกของคนผิดเพศอย่างนายมาเปรียบกับฉัน ยังไงมันก็ไม่เหมือนกัน”
“ทำไมจะไม่เหมือน นายก็คน ฉันก็คน”
“ก็นายมันเป็นตุ๊ดไง ส่วนฉันไม่ใช่”
“อ๋อ เหรอ ระวังเหอะ เกลียดอะไรจะได้อย่างนั้นนายเตชสิทธิ์”
“เฮอะ ถึงได้ก็ขอให้อย่าได้คนที่ชื่อกัณตินันท์ก็แล้วกัน แค่เอ่ยชื่อก็สมรรถนะทางเพศก็เสื่อมจนไม่รู้จะเสื่อมยังไงแล้ว”
“เตชสิทธิ์!!!”
“ทำไม เรียกทำไม ผมพุดอะไรผิดหรือคุณอาจารย์”
“ไม่ต้องมาประชดฉัน ต่อจากนี้ฉันจะไม่ทนเป็นอาจารย์ของเด็กนักเรียน
ห่วยแตกอย่างนายอีกต่อไปแล้ว จากนี้ชีวิตของนายจะไปตกเหวที่ไหนฉันจะไม่สนใจทั้งนั้น ฉันยอมแพ้ ฉันรู้แล้วว่าฉันเปลี่ยนนายไม่ได้แล้วจริงๆ”
“เฮ้ย นี่เป็นข่าวดีเลยนะเนี่ย น่าจะคิดแบบนี้ได้ตั้งนานแล้วนะคุณอาจารย์ ชีวิตจะได้ไม่วุ่นวาย”
“เออ ฉันมันโง่ โง่ที่คิดเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ถอยไป ฉันจะไปตามทางของฉัน ส่วนเธอจะไปตายที่ไหนก็ไป”กัณตินันท์ออกแรงผลักคนที่เอ่ยคำพูดยั่วโมโหให้พ้นทาง ก่อนจะเดินลิ่วๆหนีออกจากห้อง คนข้างหลังที่ร่างเซหน่อยๆตามแรงผลักมองตามอย่างที่ไม่รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอารมณ์ใด ความคิดที่เข้ามาในห้องนี้ตอนแรกที่ว่าจะมาใช้มารยาว่าตนจะตั้งใจเรียนและศึกษาข้อมูลที่คนที่เพิ่งออกไปจัดทำให้เพื่อแลกกับการปิดปาก
ของเจ้าตัวว่าไม่ให้บอกผู้อำนวยการโรงเรียนว่าตนและกลุ่มเป็นคนอะไรที่อุกอาจขัดคำสั่งพลันหายไปเมื่อได้เปิดปากทะเลาะกันอย่างที่เคยเป็น
กับคนในห้อง
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณครับ
Boy
ขอบคุณทุก ๆ คนด้วยนะครับที่คอยเป็นกำลังใจให้กันอ่ะ
แล้วไงก็เจอกันในตอนที่ 7 ต่อไปเน้อ
ไปแระคับ บ๊ะบาย.......