ปณิธาณปีใหม่ (Chapter 1-11)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปณิธาณปีใหม่ (Chapter 1-11)  (อ่าน 3346 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie
«ตอบ #30 เมื่อ06-02-2021 21:44:53 »

 :m15: :monkeysad:

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie
«ตอบ #31 เมื่อ06-02-2021 21:50:31 »

นิวเยียๆๆ น่าสงสาร

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (1/2)
«ตอบ #32 เมื่อ06-02-2021 23:29:44 »

 :hao7:

ออฟไลน์ ZilCh

  • ZILCH ความไม่มีอะไรเลย. .
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (1/2)
«ตอบ #33 เมื่อ07-02-2021 02:25:42 »

สนุกมากเลยเรื่องนี้ ลุ้นดี  o13

ออฟไลน์ Do_Maht

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
«ตอบ #34 เมื่อ07-02-2021 19:48:20 »

เวลา 10.00 น.

ผมมายืนอยู่ที่หน้าห้องที่พี่น้ำตาลนัดไว้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดอะไรอยู่ถึงมายืนอยู่ที่นี่ สำหรับคนอย่างผมการที่ต้องมายืนอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ มันช่างไม่เหมาะกันเอาซะเลย

ทว่าผมก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ลากให้ผมต้องมายืนอยู่ที่นี่ แล้วผมก็รู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่โง่ชะมัด ผมว่าผมควรกลับจะดีกว่า

“เอ่านิวเยียร์มาตรงเวลาดีจัง” เสียงแหบทักผมขึ้นจากด้านหลังและแน่นอนว่าผมเคยได้ยินเสียงนั้นมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะนั่นมันเป็นเสียงของพี่น้ำตาล “แล้วทำไมยังไม่เข้าไปในห้องอีกล่ะ” พี่น้ำตาลถามอย่างใจดีแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย

“คือผมว่าผมจะ...” จะกลับแล้ว

คำพูดทั้งหมดเหมือนกลับถูกกลืนลงไปในคอ เพราะพี่น้ำตาไม่ได้ตั้งใจที่จะฟังผมเลยสักนิด แล้วรีบผลักผมเข้าไปในห้อง ซึ่งนั่นก็ทำให้ให้ผมต้องเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ ทว่าภาพที่น่าตกใจมากกว่าก็คือห้องที่เต็มไปด้วยกระจกรายรอบเต็มไปหมดทั้งสามด้านของกำแพงพร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นมี ใบพัดอยู่ในนั้นด้วยห้องนี้เลยยิ่งไม่น่าพึงประสงค์สำหรับผมเข้าไปใหญ่

“มากันแล้วเหรอ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่กลางโต๊ะถามขึ้น

“อือ” พี่นำตาลขานรับก่อนที่จะถามต่อ “แล้ววันนี้มากี่คนแล้วล่ะ”

“สิบได้แล้วมั้ง แต่เหมือนว่าเดือนจะยังไม่ได้เลยส่วนดาวนี่ก็อย่างที่เราเกร็งไว้ตั้งแต่แรกนั่นแหละ” ผู้หญิงคนนั้นบอก

ใบพัดกลับเอาแต่ส่งสายตาเย็นชามาที่ผมจนทำให้ผมอยากจะเดินออกจากห้องนี้ไป แต่ผมก็รู้อยู่แล้วว่าคงอีกไม่นานนักหรอกเพราะจากที่ดูสถานการณ์ตรงหน้าแล้วห้องนี้น่าจะเป็นห้องออดิชั่น ซึ่งผมมันไม่มีดีอะไรสักอย่างเต้นไม่ได้ ร้องไม่ได้ ให้ยืนอยู่ต่อหน้าคนอื่นน่ะเหรอ ให้ลาแก่ๆ มายืนแทนผมยังจะมีสง่าซะกว่า “แล้วน้องคนนี้มาออร์ดิชั่นใช่ไหม”

“อือ เด็กฉันเอง” พี่น้ำตาลตอบ “เออนิวเยียร์ พี่คนนั้นชื่อพี่อาร์ทนะเป็นแคสติ้งไดเร็คเตอร์” พี่น้ำตาลบอกพลางผายมือไปทางตนที่คุยอยู่กับเขา “ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางชื่อพี่โบว์ คนตรงสุดท้ายก็น่าจะรู้จักกันอยู่แล้วเนอะ”

ก็แน่น่ะสิคนที่นิสัยแย่แบบนี้ผมจะลืมลงได้ยังไงกัน

แต่พอเห็นคนตรงหน้าภาพเมื่อคืนก็วนกลับเข้ามาอย่างกับม้วนฟิล์มสีซีดๆ ยังไงอย่างงั้น









“จอด” ผมบอก เพราะในตอนนี้ผมแทบจะสั่นไปทั้งตัวแล้ว

“ก็ใกล้จะถึงแล้วไง...”

“บอกให้จอดไง! ” ผมตะโกนออกไปอย่างสุดจะทนกับพฤติกรรมของคนตรงหน้า แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทำตามคำขอของผมเลย ซึ่งจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ผมว่าต่อให้ผมต้องบาดเจ็บ หรืออะไรก็ตามที่มากกว่านั้น ผมก็คิดว่ามันคงจะดีกว่าต้องมาทนอยู่กับคนคนนี้อย่างแน่นอน

ผมตัดสินใจเปิดประประตูรถออกทันทีแต่มันกลับเปิดไม่ออก เพราะติดล็อกอยู่

“เห้ย จะทำอะไรวะ” ใบพัดตะโกนขึ้นน้ำเสียงดูตกใจมากกว่าโกรธ แต่ก็ยอมลดความเร็วของรถลงก่อนที่จะจอดในที่สุด

ผมรีบเปิดประตูลงไปจากรถพร้อมกับความรู้สึกพะอืดพะอมเต็มทน ก่อนที่ผมจะปลดปล่อยสิ่งที่กระจุกอยู่ที่คอของผมออกมา ในจังหวะนั้นเองก็เหมือนกับใบพัดจะเดินลงมาหาผมแล้ว

“มึงเป็นอะไรวะ” ใบพัดถามพลางเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วเอื้อมมือออกมาใกล้ผม

“อย่ามาแตะ! ” ผมตะคอกออกไป อย่างอัดอั้นเต็มทน

“มึงเป็นอะไรของมึงวะ” ใบพัดถามออกมาอย่างกับคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน เนื่องจากท่าทีของผมที่มันแตกต่างออกไปจากทุกครั้งที่เคยเป็น ซึ่งผมก็รับประกันได้ว่าตั้งแต่ผมเกิดมาผมก็ยังไม่เคยใช้คำพูดและน้ำเสียแบบนี้กับใครเช่นกัน

แต่ในครั้งนี้สำหรับผมมันแตกต่างออกไป มันเหมือนกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายของผมที่มันขาดลงตอนที่ใบพัดเอาแต่จี้ผมให้จนมุม เหมือนกับผมเป็นหมาจนตรอกที่ไม่รู้จะหนีไปไหน และสุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าถ้าไม่สู้ก็ต้องถูกฆ่า

“เป็นอะไรงั้นเหรอ” ผมถามอย่างเหลืออดพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทิ่ม “นี่ไม่เคยคิดบ้างเลยเหรอว่าตัวเองทำให้คนอื่นต้องเป็นอะไร”

“ว่าไงนะ”

“ไม่สิ มึงคงไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเจ็บขาดไหน ที่ต่อให้มึงจะไม่สู้แล้วหนีไปสุดท้ายก็ต้องมาเจอกับอะไรแบบเดิม” ผมพูดออกไปราวกับจะระบายทุกสิ่งออกมา

“มึงเรียกกูว่ายังไงนะ” อีกฝ่ายถามพลางกระชากคอเสื้อผมขึ้นด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด

ซึ่งในตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คงเป็นการมองหน้า แล้วจ้องไปในตาของเขาเท่านั้น เพราะจะให้ผมไปสู้กับคนอย่างเขาก็คงจะไม่ได้ทำให้ผมรอดพ้นจากการโดนทำร้ายไปได้นานนัก นอกจากนั้นยังทำให้เรื่องมันยืดเยื้อเข้าไปอีก

แต่แล้วสิ่งที่ใบพัดทำกลับเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคิดไว้ เขาปล่อยคอเสื้อของผมลงในทันที แทบจะเรียกว่าผลักออกก็ยังได้

“จบแค่นี้เหรอ ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บปวดก่อนอย่างที่เคยทำหรือไง” ผมพูดออกมาพลางมองเข้าไปในตาของเขาอย่างสื่อความหมายทุกคำพูด แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมากลับเป็นสายตาของคนที่สับสนและไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ผมรีบหยิบเอากระเป๋าก่อนที่จะเดินชนไหล่ของคนที่ร่างกายแข็งแรงกว่าแล้ววิ่งหนีไป

ความรู้สึกของผมในตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกับผมไม่ใช่ผมอย่างที่ผมเคยเป็น อย่างกับผมไม่ใช่ ‘นว’ แต่ผมเป็น ‘นิวเยียร์’ คนที่ผมฝันอยากเป็นมาตลอด









“ให้น้องแนะนำตัวเลยค่ะ” พี่อาร์ทบอกเสียงเรียบ

ผมก็เลยบอกชื่อนามสกุลออกไปตามปกติอย่างที่ผมเคยทำ ถึงแม้ผมจะตื่นเต้นจนตัวสั่นเป็นเครื่องซักผ้าแต่มันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่เพราะอย่างน้อยก็มีคนแค่ไม่กี่คนรวมทั้งพี่น้ำตาลยังคอยให้กำลังใจผมอยู่ตลอด

หลังจากนั้นพี่เขาก็บอกให้ผมทำในสิ่งที่ผมไม่มีคือแสดงความสามารถพิเศษ แต่เขาก็ยังดันทุรังให้ผมทำ ทั้งเต้น ทั้งร้อง แต่ผลลัพธ์มันก็แสดงออกมาทางสีหน้าของพี่อาร์ทและพี่โบว์อย่างชัดเจนแต่กับใบพัดมันแตกต่างออกไปเพราะเขามองหน้าของผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและพินิจพิเคราะห์อย่างถึงที่สุด

“พอๆๆๆ พักค่ะ พัก” พี่โบว์บอกอย่างมดความอดทนหลังจากที่เห็นผมยืนแข็งเป็นสากในตอนที่พวกเขาบอกให้ผมเต้น

ซึ่งนั่นมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด รู้สึกเข้าแผนอย่างถึงที่สุด แต่ในขณะนั้นเองใบพัดก็พูดสิ่งที่ผมรู้สึกขัดหูอย่าถึงที่สุด มันมากกว่าเขาด่าผมซะอีก

“พวกพี่ก็คงเคยได้ยินที่เวียร์พูดนะครับว่า ‘จักรวาลจะดูแลลูกนกของมันทุกตัว’ แต่สำหรับน้องคนนี้จักรวาลคงไม่ได้ดูแลเขาเลย” ผมเข้าใจถึงสิ่งที่ใบพัดพูดออกมาดี เพราะนั่นเป็นประโยคที่อยู่ในหนังสือเรื่อง ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์ซึ่งเป็นหนังสือที่ผมชอบมาก เนื้อหาของมันเกี่ยวกับเด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติที่เรียกกันว่าโรคกระดูกขากรรไกรล่างและใบหน้าเจริญเติบโตผิดปกติ ทำให้ใบหน้าของออกัสต์ผิดรูปและต้องรับการผ่าตัดหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เขาดูดีขึ้นแต่อย่างใด แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมชอบมากที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่าน เพราะออกัสต์มีชีวิตไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่นัก ทั้งประโยคที่เขาบอกว่า

“...ถ้าผมเจอตะเกียงวิเศษและอธิษฐานขอพรได้สักข้อหนึ่ง ผมจะขอให้ตัวเองมีใบหน้าปกติที่ไม่มีใครสนใจเลย ผมจะขอให้ตัวเองเดินไปตามท้องถนนได้โดยไม่มีใครเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นผม...”

ซึ่งคำขอของเขามันช่างเรียบง่ายไม่ได้ต่างอะไรจากผมเลย แต่ผมคงต้องบอกว่าออกัสต์โชคดีกว่าผมมาก เพราะเขามีเพื่อนที่คอยสู้เพื่อเขาอย่างแจ็ค วิล และเพื่อนที่จริงใจอย่าง ซัมเมอร์ ทั้งยังมีครอบครัวที่ดีคอยให้กำลังใจอยู่ตลอด ทั้งเวียร์ที่รักเขาและมองเขาอย่างดวงอาทิตย์ ที่ทุกคนต้องกลายเป็นดาวเคราะห์ ที่คอยโคจรรอบตัวออกัสต์

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับคำพูดของใบพัดเมื่อสักครู่นี้ เพราะคำที่ว่า ‘จักรวาลจะดูแลลูกนกของมันทุกตัว’ ที่ใบพัดพูดถึงมันหมายความว่า ทุกคนมักจะมีส่วนที่ถูกทดแทนในสิ่งที่ตนเองขาดเสมอ เหมือนออกัสต์ที่เขาถูกพรากความปกติบนใบหน้าไปแล้วถูกทดแทนด้วยความห่วงใยของทุกคนรอบตัว

ทว่าคำพูดเหล่านี้เวียร์ไม่ได้เป็นคนพูด แต่เป็นจัสติน แฟนของเวียร์ต่างหาก ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเราจะลืมคำพูดที่เป็นประโยคเด็ดขนาดนี้ไปได้อย่างไร

“จัสตินเป็นคนพูดต่างหากล่ะ” ผมเถียง

“แล้วใครจะไปสนล่ะ ในเมื่อคุณนามิยะเป็นสถานสงเคราะห์มารุมิตสึเอ็น” ใบพัดพูดต่อราวกับคนละเรื่อง เพราะสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องราวจากหนังสือเรื่องร้านขายของชำของคุณนามิยะ ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเขาเป็นเจ้าของร้านขายของชำที่คอยตอบปัญหาหนักอกหนักใจที่มีคนส่งมาถาม ทางช่องรับจดหมายหน้าประตู

“คุณนามิยะเป็นเจ้าของร้านขายของชำ” ผมเถียง

“ถ้ารู้ดีขนาดนั้นก็ช่วยบอกหน่อยสิว่าทำไมแม่ของกะทิถึงเป็นมะเร็ง” ใบพัดถามคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลยออกมาแถมยังเป็นคำถามผิดๆ อีกยิ่งทำให้ผมโมโหมากขึ้น

“แม่ของกะทิเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ได้เป็นมะเร็ง นี่ที่พูดมานี่ได้อ่านสักเล่มไหมเนี่ย” ผมพูดออกไปอย่างเหลืออดกับคนตรงหน้า แต่เขาก็ยังทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าสีหน้าโง่ๆ ของเขาคือเขาจะพูดเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กันเลยและผิดตลอดเวลาแบบนี้ออกมาทำไม

“เดี๋ยวก่อนนะสองคนนี้พูดเรื่องอะไรกันเนี่ย” พี่โบว์ขัดขึ้น

“เรื่องทั่วไปน่ะครับใครๆ ก็รู้” ใบพัดตอบพลางมองหน้าผม

“เรื่องทั่วไปอะไรกัน พี่ไม่รู้ถ้าจะกรุณาก็บอกพี่ด้วย” พี่โบว์พูด

“เรื่องหนังสือน่ะครับ” ผมตอบ

“แล้วยังไงแข่งตอบปัญหากันหรือยังไง” อาร์ทถามอย่างไม่เข้าใจ

“คือพี่ครับก็เขาเอาแต่พูดข้อมูลผิดๆ ออกมาตลอดเลยอะครับ ทั้งเรื่อง wonder ร้านขายของชำของคุณนามิยะ แล้วก็ความสุขของกะทิไม่มีอันไหนถูกเลยสักอัน” ผมฟ้อง แต่ใบพัดก็ยังทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่เหมือนเดิม

“ใบพัดจะพูดผิดได้ยังไงในเมื่อเขาอ่านหนังสือสามล่มนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด” พี่น้ำตาลเถียง

คนบ้าอะไรวะจะอ่านหนังสือซ้ำกันอยู่ตลอด

ผมได้แต่แอบเถียงอยู่ในใจ ว่าข้อมูลผิดๆ แบบนี้ออกมาจากปากของคนที่อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจริงๆ หรือ

“อ๋อหรือว่า ใบพัดจะพิสูจน์ว่าน้องมีความรู้หรือเปล่า” พี่โบว์ถามราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ ซึ่งใบพัดก็ยักไหล่ทำเป็นไม่รู้มาชี้จนน่าหมั่นไส้

“นี่ใบพัดจะบอกว่าความสามารถของน้องคืออ่านหนังสืออย่างนั้นเหรอ” พี่อาร์ทพูดต่ออย่างเหลือเชื่อ

ใบพัดยักคิ้วก่อนที่จะตอบ “ก็ไม่เชิง”

“แล้วมันจะทำอะไรได้ล่ะแค่อ่านหนังสือเนี่ยนะ” พี่อาร์ทถาม

“อาจจะไม่แค่อ่านนะ” พี่น้ำตาลสวนขึ้น “แต่เราหมายถึงความรู้และความจำของน้องเขาน่ะ”

“ยังไง” พี่อาร์ทถาม

“ก็ลองคิดดูสิกี่ปีแล้วที่เราเอาแต่คัดดาวเดือนจากความสามารถที่เอาไว้โชว์ แล้วต้องมาเทรนด์รอบความคิด ตอบคำถาม แต่ถ้าปีนี้เราเริ่มจากความรู้ก่อนล่ะ อาจจะไม่แย่ก็ได้นะ” พี่น้ำตาลบอกออกมาอย่างมีความหวัง แต่สุดท้ายทุกคนก็เถียงกันไม่จบ จนพี่น้ำตาลต้องบอกให้ผมออกมาก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมโล่งเป็นที่สุดเพราะอย่างน้อยผมก็มีโอกาสน้อยมาก เพราะเมื่อcasting director บอกว่าไม่โอเคแล้วมีหรือที่คนอื่นๆ จะไม่เห็นด้วย

เมื่อออกมาจากห้องผมก็แวะไปซื้อเครื่องดื่ม ก่อนที่จะกลับมาที่คณะเพราะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ผมทั้งฮัมเพลงไปล้างมือไปด้วยใจที่เป็นสุขเพราะรู้สึกอารมณ์ดีเอาซะมากๆ ทว่าในห้องน้ำเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว เพราะหลังจากที่ผมฮัมเพลงอยู่นั้น ผมก็เห็นใครอีกคนเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ

“เป็นไง อารมณ์ดีจังเลยนะ” ใบพัดถามผม พลางเดินเข้ามาล้างมือใกล้ๆ

“...”

“ทำไมไม่ร้องต่อล่ะ” ใบพัดถาม

“ผมจะไปแล้ว”

“งั้นเหรอเหมือนกันเลย” เขาพูดพลางเดินผ่านหน้าผมไป “ไว้เจอกันนะ อ๊อกกี้...”

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
«ตอบ #35 เมื่อ07-02-2021 21:38:42 »

อะไรคือฮ๊อกกี้

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
«ตอบ #36 เมื่อ07-02-2021 22:46:17 »

 :z3:

ออฟไลน์ ZilCh

  • ZILCH ความไม่มีอะไรเลย. .
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
«ตอบ #37 เมื่อ08-02-2021 00:07:45 »

อยากอ่านตอนต่อไปเลย ใบพัดจะมาไม้ไหนกันนะ

ออฟไลน์ Do_Maht

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
«ตอบ #38 เมื่อ08-02-2021 19:37:09 »

Chapter 7

Sorry T.T

“เอาอีกแล้วเหรอพี่” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อเห็นผมเอาแต่ง่วนหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า

“อือ” ผมขานตอบสั้นๆ เมื่อไม่เห็นวี่แววของสิ่งที่หาอยู่

“เล่มที่เท่าไหร่แล้วล่ะ” คนที่อายุน้อยกว่าผมถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูค่อนข้างจะโกรธและไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขัดกับดวงตาคู่เล็กๆ ที่ดูยิ้มอยู่ตลอดเวลาของเขา

“สอง” ผมตอบอย่างเหนื่อยหน่ายในขณะเดียวกันก็รูดซิปปิดกระเป๋าลงอย่างสิ้นหวัง สำหรับผมของหายนับว่าเป็นเรื่องปกติเพราะบางครั้งก็มีคนเอาไปซ่อนบ้าง ขอยืมแล้วไม่คืนบ้างซึ่งส่วนมากจะเป็นรองเท้าแต่ผมก็แก้ปัญหาโดยการไม่ใส่มันซะเลยและเมื่อโดนอาจารย์ถามหรือคนที่เอาซ่อนไม่เห็นผมเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรก็ไม่วายต้องเอามาคืนทุกที แต่ในครั้งนี้สิ่งที่หายไปกลับเป็นหนังสือที่ผมเพิ่งจะยืมมาจากห้องสมุดซะนี่ ทั้งนี่ยังไม่ใช่เล่มแรกที่ทำหายซะด้วย เพราะเล่มแรกที่หายไปก็คือเรื่องความสุขของกะทิซึ่งผมก็ไม่ได้ชอบมากเท่าไหร่แต่แค่อ่านในฐานะของวรรณกรรมซีไรท์ แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีเหมือนกลับไปอ่านภาษาภาที กล้ากับแก้ว “รถไฟ รถไฟมา ตามา ตามารถไฟ” อีกครั้ง เล่มที่สองที่หายก็เป็นคิวของเรื่องร้านขายของชำของคุณนามิยะที่เพิ่งจะอ่านเสร็จหมาดๆ แล้วกะว่าจะรีบเอาคืนแต่พอมาดูอีกที่กลับหายซะแล้ว เห็นทีว่าสิ่งที่อาจารย์คาดโทษผมไว้ว่าจะไม่ให้ยืมหนังสืออีกคงจะต้องเป็นเรื่องจริง นับว่าเป็นฝันร้ายชัดๆ สำหรับผม

“ทำไมไอ้พวกนี้ถึงได้ชอบแกล้งคนอื่นนักนะ” คนอายุน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พลางปิดหนังสือที่เปิดไว้ดังปัง “พี่พอจะรู้ป่ะว่ามันเป็นใคร”

“นี่แนะ” ผมพูดพลางเอาปากกาเคาะหัวเขาไปทีหนึ่งก่อนที่จะบ่นเขาออกไป “แกรู้แกจะไปทำอะไรเขาห่ะ! พูดอย่างกับเป็นนักเลงไปได้”

“ผมก็จะจัดการมันน่ะสิ แม่งไม่มีปัญญามีความสุขด้วยตัวเองหรือไงวะถึงต้องทำแบบนี้” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าหรือที่ผมเรียกว่าเด็กที่ผมช่วยติวให้หรือเรียกแบบสนิทๆ ว่า “ไทม์” กำลังรู้สึกอย่างไรแต่ว่าน้ำเสียงสีหน้าและการกระทำของเขาในตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมมีคนที่เป็นทีมผมจริงๆ ขึ้นมาแล้ว รวมทั้งเขายังพร้อมจะสู้เพื่อผมอีกต่างหาก ผมล่ะซึ้งใจจริงๆ

“พี่ขอสั่งแกเลยนะ ว่าห้ามไปมีเรื่องชกต่อยกับไอ้พวกนั้นเด็ดขาดนอกจากจะเสียเวลา เสียสุขภาพจิตแล้วยังเสียรู้อีกต่างหากแทนที่จะทำตัวดีกว่ามันสุดท้ายก็เป็นแบบมัน” ผมร่ายออกไปอย่างที่เคยได้ยินมาเพราะไม่อยากให้ไทม์มีประวัติไม่ดีติดตัว แต่ในความรู้สึกจริงๆ นี่นะผมอยากบอกไทม์ว่า ‘เอาเลยไอ้น้องไอ้พวกเลวพวกนี้ล่ะที่ทำพี่มึงเอาให้มันเข็ดไปเลย’ แต่ในความเป็นจริงคือไทม์ไม่ได้เก่งขนาดนั้นไงแถมยังหัวเดียวกระเทียมลีบไม่ได้ต่างจากผมก็เพราะนิสัยที่ตรงเกินไปแล้วไม่ค่อยพูดของมันนี่แหละที่ทำให้คนเขากลัว แต่ดีหน่อยทีหน้าตาดีคนเลยไม่ได้เกลียดมากอย่างผม สำหรับคนอื่นแล้วไทม์อยู่ในฐานะที่ทุกคนให้อภัยได้เสมอ แต่สำหรับผมแม้แต่ให้โอกาสยังถือว่าเป็นบุญคุณเกินไปด้วยซ้ำ

“พี่อย่ามาโลกสวยเป็นนางเอกละครหลังข่าวที่รักคุณธรรม ซื่อๆ โง่ๆ หน่อยเลย ก็รู้อยู่แก่ใจว่าความดีไม่ได้ชนะความชั่วเสมอไปยังจะมาทำใสบอกให้ไม่สู้อีก ไม่สู้แล้วเป็นไงสุดท้ายก็ได้มาขลุกอยู่แต่ในห้องสมุด ยิ่งพี่ทำแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผม เขาจะไม่เข้าใจและสงสารพี่หรอกนะเขามีแต่จะสมเพชแล้วก็สมน้ำหน้าที่พี่ไม่ยอมสู้เองแล้วถึงแม้สู้ก็ไม่เคยจะสู้จริงๆ จังๆ สักที พี่สำหรับคนที่ไม่รักตัวเองหรือไม่ยอมสู้เพื่อตัวเองเลยไม่มีใครเขาจะมาโลกสวยสงสารพี่หรอกนะ”

อ่าว ไอ้เด็กนี่อยู่ดีไม่ว่ามาด่าพี่ซะงั้น สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมโดนมันสวดอย่างทุกทีจนได้ ก็จะให้ทำไงได้ล่ะวะก็คนมันปอดแหกอะจะให้ไปสู้กับใครเขาได้

หลังจากขลุกอยู่ห้องสมุดกับไทม์ตลอดพักเที่ยงผมก็ได้แต่ยืดเวลาในการกลับเข้าไปในห้องเรียนให้นานออกไปโดยการเดินให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเป็นเพราะเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ในห้องของผมซึ่งเป็นห้องคิงหรือห้องที่เรียนเก่งที่สุดในระดับชั้นอย่างที่ใครๆ เขาเรียกกันซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากอยู่ในห้องนี้มากกว่าเดิมเท่าไหร่นักเพราะอะไรน่ะเหรอ...

ก็เพราะว่าต่อให้ผมจะอยู่ห้องไหนมันก็แทบจะไม่ต่างกันเลยน่ะสิ ต่อให้ผมอยู่ห้องที่บ้วยที่สุดผมก็ยังจะใช้ชีวิตไม่ได้ต่างไปจากตอนที่ผมอยู่ห้องคิงอยู่ดีเพราะมันคงไม่มีคนสติดีๆ ที่ไหนอยากมานั่งใกล้ผม แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยมีก็ตามในตอนที่ผมอยู่ม.ต้นยังจำได้อยู่เลยว่าเคยมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเคยนั่งข้างผม แต่แล้วผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์เธอก็ถูกเพื่อนล้อว่าเป็นแฟนกับผมนั่นคงทำให้เธออับอายมากซะจนต้องขอครูย้ายโต๊ะทั้งน้ำตา แล้วพอผมไปถามเธอด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอะไรหรือเปล่าเธอกลับตอบผมกลับมาอย่างเจ็บแสบมากกว่า“ก็หน้าตาของนวมันน่ากลัวนี่ น่ากลัวจนทำเราเรียนไม่รู้เรื่องเลยต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับเราอีกเลยนะ” เธอพูดแล้วหันหน้าหนีอย่างเย็นชา แล้วนั่นก็เหมือนเป็นการบอกลาผู้หญิงที่เคยนั่งข้างผมและก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นเพราะนับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครนั่งข้างผมอีกเลย ซึ่งผมว่ามันก็ดีเหมือนกันเพราะทั้งมีสมาธิในการเรียนมากขึ้นและอีกอย่างเหมือนได้อยู่ไกลจากคนอื่นมากขึ้นผมก็อดที่จะรู้สึกปลอดภัยไม่ได้

จนเมื่ออาทิตย์ก่อนโต๊ะตัวข้างๆ ผมก็ถูกแทนที่ด้วย.... ใครคนหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าอยากจะเจอเขาอีก

“สวัสดีครับผม ปรัชญาสยาม เดชาพิทักษ์” เจ้าของใบหน้าที่แสนจะสมบูรณ์แบบพูดขึ้นเมื่อผมมองไปที่ใบหน้าของเขาทำให้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูราวกับกายเป็นภาพสโลว์โมชั่นไปหมด รวมทั้งเสียงของคนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ดูจะยานคางไปหมดจนฟังไม่รู้เรื่อง ผมเอาแต่จับจ้องที่ใบหน้าของเขา ริมฝีปากสีระเรื่อกำลังขยับขึ้นลงอย่างได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มรูปสามเหลี่ยมก็เพิ่มเสน่ห์ให้กับดวงหน้าของเขาจนน่าฉงนทั้งดวงตารีรูปเม็ดข้าวทั้งสองข้านั่นอีก พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าใบหน้าของคนตรงหน้าหนี้ไม่มีส่วนไหนเลยที่จะต้องปรับเปลี่ยนอะไรไปมากกว่านี้ สำหรับใครหลายๆ คน ที่เห็นคนคนนี้คงจะดูราวกับเทพบุตรที่น่าเข้าหาเสียเต็มประดาแต่สำหรับผม ผมกลับอยากจะวิ่งหนีเขาให้ไกลที่สุด สำหรับผมเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากหมาตัวใหญ่ที่รอจะขย้ำแมวจรอย่างผม แม้ว่าเขาหน้าตาของเขาจะดีแค่ไหนก็ตาม เพราะเขาก็คือคนที่ฉีดหน้าใส่ผมจนเปียกโชกไปทั้งตัวทำให้ผมต้องขาดเรียนในภาคบ่ายของวันนั้นไปอย่างจำใจ และนั่นมันยังสร้างความหวาดกลัวให้ผมไม่เคยจางหายไปไหน และกว่าผมจะรู้สึกตัวก็ตอนที่เขาเดินมานั่งลงข้างผมแล้วซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สร้างความปั่นป่วนให้ผมอย่างมากในวันนั้นและตลอดอาทิตย์เพราะผมไม่เคยมีคนที่ทำร้ายร่างกายผมมานั่งข้างๆ มาก่อน

สำหรับอันธพาลคนนี้แตกต่างไปจากทุกคนมากทีเดียวเพราะผมคิดว่าเมื่อเขามานั่งลงข้างผมแล้วคงจะเอาแต่นั่งฟุบและหลับตลอดคาบ แต่เขากลับทำในสิ่งตรงกันข้ามเพราะเขาเอาแต่ตั้งใจเรียนและจดทุกอย่างที่คิดว่าเป็นความรู้ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมอึดอัดไปใหญ่ เพราะถ้าเขาหลับผมก็คงไม่ต้องเห็นหน้าเขาแล้วแท้ๆ แล้วการนั่งข้างเขาก็คงจะง่ายมากกว่านี้แต่นี่มันแทบจะทำให้ผมอดที่จะนั่งเกร็งตัวเสียไม่ได้

สำหรับวันนี้สิ่งที่ผมทำได้คือยืดเวลาออกไปโดยการเดินให้ช้าที่สุดแม้มันจะดูไม่ฉลาดแต่ก็น่าจะเป็นทางเดียวที่ผมทำได้ถ้าไม่นับเรื่องโดดเรียน

ในที่สุดผมก็เดินมาถึงห้องเรียนจนได้แม้ว่าจะจำใจก็ตามตอนนี้เลยเวลาเรียนวิชาสังคมศึกษาได้ราว10นาทีแล้วแต่ครูประจำรายวิชาก็ยังไม่ได้เริ่มสอนแต่อย่างใดทำให้ผมเข้าเรียนทันโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมเดินมาที่โต๊ะด้วยท่าทางราวกับว่ามีเด็กตัวอ้วนๆ กำลังกอดขาผมไว้ไม่ยอมให้ออกเดินก่อนจะมาถึงโต๊ะที่มีคนหน้าตาถมึงทึงนั่งอยู่ด้วยท่าทางที่ราวกับว่าพร้อมจะเรียนมาเป็นชาติแล้ว แล้วก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้สังเกตเลยว่ามีผู้หญิงหลายคนแอบมองมาที่เขา เนื่องด้วยความที่เป็นเด็กใหม่เลยทำให้เนื้อหอมเป็นพิเศษแต่ดูเหมือนกับหมอนี่จะมนุษย์สัมพันธ์แย่เอาซะมากๆ ทั้งที่มีคนจำนวนมากพร้อมที่จะเข้ามาหาเขาแต่เขากับไม่เคยที่จะคุยกับใครเลยเพียงแต่ส่งสายตาที่เฉยชาไปให้เท่านั้น เห้อ...แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันกลับทำให้เขาหน้าค้นหามากขึ้นในสายตาของคนอื่น อย่างนี้ล่ะนะคนมันหน้าตาดี ลองให้ผมทำดูสิจากที่คนเกลียดอยู่แล้วคงได้มีอะไรที่มากกว่าเกลียดเกิดขึ้นมาอีกแน่โลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

ผมค่อยๆ ดึงเก้าอี้ออกจากโต๊ะให้เบามือที่สุดเหมือนทุกทีเพื่อไม่ทำให้คนข้างๆ สนใจผมมากนัก ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงข้างๆ คนคนนั้นให้เงียบที่สุด ในที่สุดอาจารย์ก็เริ่มสอนสักทีคนข้างๆ ผมเอาแต่มองไปที่กระดานโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะว่อกแว่กแม้แต่น้อยแต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าตั้งแต่ไอ้หมอนี่มานั่งข้างผมมันก็ทำให้ผมเกร็งไปหมดจนไม่มีสมาธิจะเรียนเลยในแต่ละวัน

“มองอะไร” คนข้างๆ ถามเสียงเรียบแทรกความเงียบที่เกิดขึ้นกับเราตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้น ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความกดดันให้กับบรรยากาศรอบตัวผมมากขึ้นไปอีก ทำให้ผมสะดุ้งโหยงและละสายตาออกจากคนข้างๆ ทันทีหลังจากที่แอบชำเลืองมองเขาอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาไปด้วยความที่หวาดกลัวและเข็ดขยาดกับคนข้างๆ อยู่เป็นทุนเดิม นั่นยิ่งทำให้ผู้รู้สึกกลัวเขามากขึ้นไปอีก

การเรียนการสอนดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงพูดคุยกันเบาๆ ของนักเรียนในห้อง และเสียงสอนหึ่งๆ เหมือนกับปีกแมลงวันของอาจารย์ทำให้ชวนง่วงอย่างมากในเวลาช่วงบ่ายแบบนี้ผมจึงหยิบเอาหนังสือเล่มสีฟ้าที่ผมเพิ่งจะซื้อมาใหม่ออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดมันออกอย่างที่เคยทำทุกครั้งที่รู้สึกง่วงโดยไม่ลืมที่จะเอาหนังสือเรียนมาห่อก่อนที่จะเริ่มอ่านแล้วท่องเข้าไปในโลกของตัวหนังสือที่แสนจะปลอดภัยใบที่อยู่ข้างหน้าแล้วไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางของผมมันจะอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ปกหนังสือกั้นแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเดินทางออกไปไกลแสนไกลในดินแดนที่ผมไม่รู้จัก

หนังสือเล่มใหม่ที่ผมหยิบขึ้นมาในวันนี้คือเรื่อง “ชีวิตมหัศจรรย์ของออร์กัสต์” หรือหลายๆ คนอาจรู้จักในอีกชื่อว่า “Wonder” ที่ผมเลือกซื้อหนังสือเล่มนี้ เพราะมันมีที่มาที่ไปค่อนข้างน่าสนใจอย่างแรกแน่นอนว่ามันดังแต่อีกอย่างคือเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับเด็กที่นักเขียนเคยเจอหน้าที่สนามเด็กเล่น เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเมื่อลูกชายของเธอไปมองหน้าเด็กคนหนึ่งที่มีความผิดปกติทางใบหน้าด้วยอุบัติเหตุหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบได้นั่นทำให้เธอรีบไปดึงลูกชายของเธอออกมาด้วยความที่เธอกลัวว่าจะทำให้เด็กชายคนนั้นอึดอัดแต่เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านก็เพิ่งนึกขึ้นได้การที่เธอทำแบบนั้นจะเป็นการทำให้เด็กคนนั้นคิดว่าเธอรังเกียจและรู้สึกแย่มากกว่าเดิมหรือเปล่า เธอจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากขอโทษเด็กคนนั้น โดยใช้ตัวละครหลักอย่างออร์กัสต์ พูลแมน แทนตัวเด็กคนนั้น นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกอยากจะอ่านเรื่องนี้มากเป็นพิเศษเพราะอย่างที่รู้ๆ ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความผิดปกติทางใบหน้าผมก็อดจะคิดว่ามันเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ แต่ก็ต้องนับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นทั้งกำลังใจและสร้างความหวังให้ผมมากพอสมควรเพราะแต่ละฉากล้วนแต่พูดถึงการเดินทางผ่านความยากลำบากในชีวิตได้อย่างมีแง่มุมและนุ่มนวล มันเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เพียงแค่คนที่มีหน้าตาผิดปกติเท่านั้นที่มีปัญหาแต่คนที่ปกติก็มีปัญหาที่ต้องเก็บซ่อนไว้เหมือนกันแล้วในอีกแง่มันกลับแสดงให้เห็นการเติบโตของทุกคนราวกับเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับหนังสือเล่มนี้ขึ้นไปอีก

แต่อยู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกก่อนที่จะหันไปมองคนข้างๆ อย่างเสียไม่ได้ แล้วผมก็พบเข้ากับดวงตาของเขาที่กำลังมองมาที่ผมอยู่จริงๆ นั่นทำให้ผมชะงักและแอบกลั้นหายใจไปน้อยๆ จนเจ้าตัวเห็นผมมองกลับไปก็เหมือนจะตกใจอยู่นิดๆ ก่อนที่จะหันหน้าหนีไป แล้วหันไปจดอะไรขยุกขยิกสักอย่างซึ่งตอนนั้นอาจารย์ไม่ได้สอนแต่จะอะไรก็ช่างมันเถอะผมไม่ได้สนใจอยู่แล้วแม้จะแอบชำเลืองมองอยู่ก็ตาม

ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมแทบจะใช้ชีวิตแบบปกติที่เรียกได้ว่าน่าเบื่อสุดๆ  เพราะชีวิตผมมีแค่มาเรียนไปห้องสมุดเวลาพักสถานที่ที่ผมพอจะอยู่ได้อย่างสงบสุขก็มีอยู่สองที่คือห้องเรียนและห้องสมุด ซึ่งก็ไปขลุกอยู่กับไทม์สองคนจนผมอดจะเบื่อขี้หน้ามันซะไม่ได้ เพราะนอกจากจะเจอกันที่โรงเรียนแล้วเลิกเรียนผมยังต้องไปติวให้มันอีกเรียกได้ว่าถ้าหากผมท้องผมคงคลอดลูกออกมาหน้าเหมือนมันเพราะเห็นบ่อยกว่าพ่อแม่ที่อยู่บ้านเดียวกันซะอีก ทว่าผมกลับไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่ยอมคบค้าสมาคมกับคนอื่นสักทีซึ่งถ้าหากจะให้ผมเดาคงไม่ใช้เพราะมันไม่คบใครแต่ไม่มีใครอยากคบกันมันเพราะนิสัยขวานผ่าซากของมันแน่ๆ เฮ้อหน้าตาก็ดีแทนที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์น่าเสียดายจริงๆ

ถึงแม้ว่าชีวิตในอาทิตย์ที่ผ่านจะแสนน่าเบื่อแต่มันกลับมีสีสันที่อยู่ในทางสีทึบแสงพวกสีดำสีเทาเจือเทาแทรกเข้ามาในชีวิตผม ซึ่งมันก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั่นเอง ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรของเขากันแน่เพราะนับวันนั้นใบพัดยิ่งน่ากลัวขึ้นไปทุกทีทั้งแปลกทั้งน่ากลัว บางครั้งก็เอาแต่พึมพำอะไรสักอย่างเหมือนจะขอโทษใครสักคนแต่ก็ไม่ได้พูดออกมาชัดนักเพราะขนาดผมนั่งอยู่ข้างๆ ยังได้ยินไม่ชัดเลยแต่ที่แปลกคือเวลาพึมพำอะไรพวกนั้นเขามักจะมองมาที่ผมหลังจากที่พูดเสร็จอย่างน่ากลัว เหมือนผมทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเขาซะอย่างนั้น

วันนี้ก็เป็นเหมือนอีกวันที่ผมพยายามเดินไปห้องเรียนให้ช้าที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เวลากับคนคนนั้นซึ่งผมได้ยินคนในห้องเรียกเขาว่า “ใบพัด” แม้จะไม่ค่อยยุ่งกับใครแต่ด้วยความที่หน้าตาดีและดูน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าตอแยด้วยทำให้เขาก็เป็นที่พูดถึงมากทีเดียวแล้วส่วนมากก็เป็นในแง่ดีซะด้วย

ผมดึงเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะแล้วนั่งเมื่อมาถึงที่นั่งประจำวันนี้ดูเหมือนคนจะบางตาเป็นพิเศษดูเหมือนจะตั้งใจนัดกันหยุดในกลุ่มใหญ่ของห้องที่ไม่มีผมอยู่ในนั้นแบบที่ชอบทำกันอย่างแน่นอน ซึ่งผลที่ได้รับมาก็ตามคาดคือครูให้เคลียงานค้างแทนที่จะสอนเพราะคนน้อยเกินไปขี้เกียจสอนหลายรอบ วันนี้ผมคิดว่าบรรยากาศในห้องคงจะชิวกว่านี้เพราะคนน้อยแล้วอาจารย์ก็ไม่ได้สอน การบ้านผมก็เคลียหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำลายความชิวในวันนี้ของผมไปก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมดูล่กและกระวนกระวายผิดปกติไปมากแม้เขาจะไม่ค่อยปกติก็ตาม ในสายตาผมอะนะ

ผมที่นั่งอยู่ข้างเขาก็อดที่จะกดดันไม่ได้เลยเลือกที่จะขอครูไปห้องน้ำแทนแต่ในขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นนั้นอยู่ดีๆ ก็มีมือเย็นของคนข้างๆ มาจับแขนของผมไว้พร้อมกับออกแรงดึงไม่แรงนักให้ผมนั่งลง ซึ่งตอนนั้นสติสตางค์ผมกระเจิงไปหมดแล้วกับท่าทีและภาพสิ่งที่คนข้างๆ เคยทำกับผมมันถาโถมเข้ามาหมดจนผมสั่น

เขามองหน้าผมไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งจนผมอดจะสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวต้องการจะสำรวจใบหน้าอัปลักษณ์ของผมเพื่อเอาไปทำอะไรหรือเปล่า ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกมาพร้อมกับของชิ้นเล็กๆ ที่วางอยู่บนมือก่อนที่เขาจะพูดออกมาห้วนๆ ว่า “ให้” พร้อมกับรอยยิ้มแหย๋ๆ ดูฝืนๆ จนน่ากลัวอย่างกับสไมล์ลิ่งแมน

ผมเกือบจะดีใจอยู่แล้วเชียวถ้าของสิ่งนั้นมันไม่ใช่พวงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศแบบเดียวกันกับที่ ออร์กัส พูลแมนใส่ในภาพยนตร์เรื่อง Wonder ที่เพิ่งจะเข้าโรงไปหรือหนังสือที่ผมเคยอ่านในชื่อเดียวกัน ซึ่งหมวกนักบินอวกาศใบนี้มีความหมายต่อออร์กัสมากเพราะเขาเอาไว้ใส่เวลาออกข้างนอกหรือสถานที่มีคนเยอะๆ เพื่อไม่ให้คนมองมาที่ใบหน้าที่ผิดจากปกติของเขาถึงแม้ว่าเขาจะทำศัลยกรรมมาหลายครั้งแล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

ผมแบมือออกไปรับของชิ้นนั้นพลางสั่นแต่ไม่ได้สั่นเพราะความกลัวหากแต่สั่นเพราะความโกรธ ผมไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร แต่มันคงหนีไม่พ้นว่าคงอยากให้ผมใส่หมวกนักบินอวกาศแบบออร์กัส จะได้เอาใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์ออกไปจากข้างๆ เขาสักที ผมมองของขวัญในมือพลางรู้สึกตาร้อนขึ้นมาว่าผมนี่มันอัปลักณ์ซะจนมีคนอยากให้ใส่หมวกปิดบังใบหน้าเลยหรือ ในใจของผม ผมโคตรอยากที่จะลุกขึ้นแล้วปาของที่อยู่ในมือใส่หน้าไอ้คนที่อยู่ข้างๆ ที่ยิ้มอย่างน่ากลัวอยู่อย่างนั้นแล้วด่ามันอย่างเจ็บแสบก่อนที่จะสาดน้ำใส่มันให้เหมือนกับที่มันทำกับผม แต่ผมกลับทำไม่ได้เพราะจากที่เห็นพวกไอ้ธีร์วิ่งหนีหางจุกตูดในวันนั้นผมคิดว่าคนตรงหน้าคงจะเหี้ยมโหดน่าดู

ผมแต่มองของในมืออยู่อย่างนั้นก่อนที่จะบอกออกไปอย่างกล้ำกลืนว่า “ขอบคุณนะ” เพียงชั่วครู่ผมก็เห็นชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มออกมาราวกับดีใจจริงๆ แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่เพราะมันจะเป็นสายตาแห่งความสะใจที่แกล้งคนขี้แพ้อย่างผมได้เสียมากกว่า “แต่เราเกรงใจอะเอาคืนไปเถอะ” ผมบอกออกมาอย่างสุภาพแต่การกระทำชั่งสุดแสนจะหยาบคายเพราะแทนที่ผมจะเอาคืนไว้ที่มือของใบพัดดีๆ ผมกลับเอามันวางลงบนโต๊ะราวกับรังเกียจที่จะสัมผัสตัวของคนข้างๆ อย่างไงอย่างงั้นหลังจากที่ผมวางของชิ้นนั้นไว้บนโต๊ะเสร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะขยับเก้าอี้ออกมาให้ไกลจากขนข้างๆ อีกนิดเพื่อตอกย้ำว่าเขาไม่ได้ตีความการกระทำของผมผิดไปเลยสักนิด ผมไม่ได้เหลือบมองเขาแม้แต่น้อยแต่ก็พอทราบได้ว่าเขาคงจะหัวเสียมากที่คนที่คนอื่นเอาแต่บอกว่ารังเกียจและพยายามจะหลีกเลี่ยงอย่างผมทำท่ารังเกียจเขาแบบนี้

แทบจะในทันทีที่ผมเลิกสนใจคนข้างๆ ผมก็เหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกลั่นราวกับคนกำลังกำหมัดด้วยความโกรธซึ่งมันก็ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งและก็เหมือนกับว่าเขากำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมาเสียงออดก็ดังขึ้นพอดีพร้อมกับทำความเคารพครู ผมรีบยืนขึ้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคนข้างๆ ให้มากที่สุดแต่กลับถูกเขาฉุดแขนเอาไว้อีกครั้งผมหันไปมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ทำไมไม่รับไว้” เขาถามผมออกมาสั้นๆ แต่ดวงตากลับไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าเขาโกรธแต่อย่างใดแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันเต็มไปด้วยคำถาม

“เกรงใจ” ผมพูดสั่นๆ พลางก้มหน้า

“โกหก” เขาพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเพิ่มแรงบีบเข้ามาที่แขนของผมจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาแต่ก็ยังทนกดความเจ็บปวดไว้เพราะมากกว่านี้ผมก็เคยเจอมาแล้ว

” โกรธเหรอ” ใบพัดถามออกมาเสียงเรียบแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกคนข้างๆ เยาะเย้ยอยู่ที่ถึงจะโกรธขนาดไหนแต่กับทำอะไรไม่ได้เลย

“ทำไมเงียบ” อีกฝ่ายยังจี้เอาคำตอบจากผมไม่หยุดและไม่ยอมปล่อยผมสักทีแม้ผมจะพยายามดึงแขนกลับแล้วก็ตาม ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าถูกแรงกระชากจากใครสักคนดึงออกมาจากตรงนั้นจนผมหลุดออกมาได้พร้อมกับที่ใครคนนั้นจะเอาผมมาซ่อนไว้ข้างหลังจนความสูงของเขาบดบังภาพตรงหน้าของผมจนมองไม่เห็น

“มึงจะทำอะไรพี่กูว่า” น้ำเสียงที่ดุดันและสรรพนามที่เขาใช้เรียกผมทำให้ผมรู้ทันทีว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังปกป้องผมอยู่คือใคร แต่ว่านี่มันห้อง ม.5นะเว่ย! เพิ่งจะเข้ามาม.4ได้ไม่กี่อาทิตย์นี่มึงจะเปรี้ยวจนขนาดมามีเรื่องในห้องม.5เลยหรือวะ “พี่นวมันทำอะไรพี่” ไทม์ถามออกมาด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับเอาตัวบังผมไว้ราวกับภูผาที่แสนจะแข็งแกร่งและปลอดภัย ไอ้เด็กนี่พึ่งพาได้จริงๆ แต่ในขณะนั้นเองผมก็เหมือนจะได้ยินเสียเก้าอี้ดังขึ้นบ่งบอกว่าใบพัดได้ยืนขึ้นจนเต็มความสูงแล้ว เดี๋ยวนี่พวกมึงจะตีกันในห้องจริงดิ

“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วยวะ” ใบพัดถามอย่างหาเรื่อง

“ก็นี่พี่กู” ไทม์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แพ้กันจนทำให้ผมอดที่จะรู้สึกกลัวเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้

“ไทม์ไปกันเถอะ” ผมรีบบอกไทม์พลางกระตุกเสื้อของเขาลนๆ เพราะผมไม่อยากให้เหตุการณ์มันเป็นอย่างที่ผมจินตนาการไว้ แต่ไอ้เด็กนี่กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแถมทำท่าจะเดินเข้าไปหาใบพัด ผมจึงจำใจต้องหยิกแขนเขาจนเจ้าตัวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย นี่ผมมาช่วยพี่นะแล้วพี่มาหยิกผมเนี่ยเหรอ” ไทม์ทวงบุญคุณผมด้วยสีหน้าโกรธๆ ปนน้อยใจ

“เร็วเข้าไม่งั้นพี่จะฟ้องแม่แก” ผมขู่เร็วๆ โดยที่ไม่ได้มองใบพัดด้วยซ้ำ

“เดี๋ยว” ใบพัดเรียกขึ้นผมรีบหันกลับไปทันทีเพราะกลัวว่าใบพัดจะกระชากตัวไทม์ไปชก แต่ผิดคาดเพราะใบพัดไม่ได้ทำอะไรเพียงแต่โยนพวงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศมาหาผมซึ่งผมก็รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่กี่อึดใจไทม์กลับดึงมันออกจากมือผมแล้วโยนมันกลับไปให้ใบพัดอย่างไม่ไยดี

“พี่กูไม่เอาโว่ย” ไทม์พูดเสร็จก็เอามือมาคล้องที่ไหลผมก่อนที่จะดึงตัวผมเดินออกไปด้วยกัน

“เหอะ แค่พี่น้องหวงอย่างกับเมีย” ใบพัดพูดลอยๆ แต่เจตนากลับต้องการที่จะเสียดสีผมสองคนเต็มๆ

ผมรีบดึงแขนของไทม์ไว้ก่อนจะยื่นคำขาดออกไปแม้ว่าความจริงผมควรจะเป็นรองในเรื่องนี้ก็ตาม “อย่าหันกลับไปนะถ้าแกหันกลับไปพี่จะเลิกสอนแก”

“แต่...”

“งั้นก็เชิญแกหันกลับไปเถอะ” ผมบอกพลางทำท่าจะเดินออกไปก่อน

“รู้แล้วน่า” ไทม์บอกอย่างกับเด็กโดนขัดใจก่อนที่พวกผมจะเดินออกไปจากห้องด้วยกันโดยที่ไม่ได้มีใครเจ็บตัว เห้อถ้าให้เจอเรื่องแบบนี้ทุกวันก็ไม่ไหวนะ





ใบพัดได้แต่มองตามหลังสองคนที่กำลังกอดคอกันเดินออกไปจากห้องด้วยความสนิทสนมก่อนที่จะก้มลงมองพวงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศที่อยู่ในมือพลางคิด อะไรกันก็เห็นว่าชอบหนังสือเล่มนั้นมากไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมเวลาให้ของไม่รับไว้ล่ะ ถึงขนาดอ่านแล้วอ่านอีกเป็นสองสามรอบขนาดนั้น แถมวันที่หนังเข้าฉายยังอัพสตอร์รี่เป็นคนแรกอีกหรือว่าจะโกรธเรามากขนาดนั้นเลยเหรอแถมทุกครั้งที่มองมา แววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่เหมือนแววตาที่มองไอ้เด็กนั่นเลยสักนิดทั้งๆ ที่คิดว่าเจอคนที่พอจะคบได้แล้วแท้ๆ

ใบมองกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศในมืออีกครั้งก่อนที่จะพลิกกลับดูด่านหลังของหวดที่เขียนข้อความไว้ว่า

“sorry T.T”












ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
«ตอบ #39 เมื่อ08-02-2021 20:03:09 »

 :m31:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
« ตอบ #39 เมื่อ: 08-02-2021 20:03:09 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
«ตอบ #40 เมื่อ08-02-2021 22:48:37 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
«ตอบ #41 เมื่อ09-02-2021 02:09:19 »

ยังไงๆนี่ :katai1: :katai1:รักสามเส้าเราสามคนไหมเนี่ย

ออฟไลน์ Do_Maht

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
«ตอบ #42 เมื่อ09-02-2021 19:52:04 »

chapter 8

back to that time...



วันต่อมาผมเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยความเฉื่อยอย่างเคยแต่ในวันนี้แปลกไปกว่าทุกวันอยู่ตรงที่วันนี้ไทม์รั้นที่จะมาส่งผมที่ห้องให้ได้แม้ว่าผมจะคัดค้านยังไงก็ตาม

“ไปเรียนได้แล้วไป” ผมออกปากไล่คนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนัก

“มันจะไม่ทำอะไรพี่แน่นะ” ไทม์ถามพลางมองคนที่นั่งอยู่ในห้องเรียนอย่างไม่เป็นมิตร

“ใครจะไปกล้าล่ะคนเต็มห้องขนาดนี้” ผมตอบอย่างไม่ถือสากับความขี้ระแวงของคนอายุน้อยกว่าเพราะว่าอย่างน้อยมันก็เกิดจากความเป็นห่วง

“ทำอย่างกับมีคนจะช่วยพี่” ไทม์พูดเสียงเรียบไม่ได้ละสายตาจากใบพัดซักกนิดแต่คำพูดของเขามันกลับเสียดแทงลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจของผมได้อย่างไม่ยากเพราะผมมันไม่มีใครอยากจะคบจริงๆ ต่อให้โดนทำร้ายจนน่าสงสารก็คงไม่มีใครยื่นมือมาช่วย “เอ่อผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นพี่...” ไทม์พยายามจะแก้ตัวเมื่อเพิ่งจะตระหนักได้ว่าพูดอะไรออกมา

“ไม่เป็นไรหรอกก็มันจริงนี่”

“...”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่าถ้ามีเรื่องยังไงแกก็มาช่วยพี่ทันอยู่แล้ว พี่มั่นใจ” ผมพูดพลางหันไปยิ้มให้คนข้างๆ ที่ตัวสูงกว่า “ไปเรียนได้แล้วไป” ผมเอ่ยปากไล่อีกครั้ง

“ถ้าพี่อยากให้ผมรีบไป งั้นผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไง” ไทม์พูดเหมือนกับเพิ่งจะคิดค้นหลอดไฟได้เป็นคนแรกของโลก

“ยังไง”

“พี่ก็คอล์สายกับผมไว้สิ ผมจะได้รู้ทุกอย่างเลยไงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ไทม์พูดพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจพลางยกมือขึ้นกอดอกจนน่าหมั่นไส้

“ไอ้เด็กนี่แกเห็นฉันเป็นนักโทษของแกหรือยังไง” ผมพูดพลางยกมือขึ้นจะตบหัวของคนข้างๆ แต่คนข้างๆ กับหลับตาปี๋อย่างน่าสงสารจนผมต้องเปลี่ยนมาเป็นชกแขนแรงๆ แทน “ไปได้แล้วเบื่อขี้หน้า"ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจแต่กลับเด็ดขาด

“โหพี่แม่งใจร้ายว่ะ แต่ถ้ามีอะไร...”

“เออไปได้แล้ว” ผมบอกก่อนที่จะออกแรงผลักจนไทม์เดินจากไปจึงเดินเข้าไปในห้องบ้าง

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะผมก็เลือกที่จะนั่งลงอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะสั่งเกตได้ว่าโต๊ะที่ผมเลื่อนออกจากกันเล็กน้อยด้วยฝีมือผมเมื่อวานวันนี้กลับแนบสนิทกับโต๊ะข้างๆ อย่างเดิม สงสัยคงเป็นเพราะเวรตอนเช้าละมั้ง ผมถอนหายใจออกเบาๆ เพราะไม่อยากให้คนข้างๆ ได้ยิน ก่อนที่ผมจะขับโต๊ะออกจากคนข้างๆ ได้ห่างกันแค่ 1 ซม.ก็ยังดี เพราะผมอยากจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าผมไม่ชอบเขาแม้มันจะมีแค่ผมเข้าใจความหมายเท่านั้นก็ตาม เพราะการกระทำแค่นี้ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้เพราะมันหยุมหยิมซะเหลือเกิน แต่จะให้ทำไงได้เพราะสู้มากที่สุดของผมมันทำได้แค่นี้แต่ถึงอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างน้อยการกระทำของผมคงจะยังสามารถบอกตัวเองได้อยู่ว่าอย่างน้อยก็พยายามสู้อย่างถึงที่สุดในแบบคนที่กระจอกที่สุดในโรงเรียน

มือผมที่กำลังจับโต๊ะเลื่อนออกจากกันถูกจับไว้จากมือเย็นของอีกคนก่อนที่จะถูกกระชากแรงๆ จนโต๊ะชนกันเสียงดัง ทำให้คนทั้งห้องหันมามอง

ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจแต่ใจกลับกลัวจนไม่กล้ามองตรงๆ ก่อนที่จะกล้มหน้าลงแล้วหยุดการกระทำทุกอย่างเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาจนน่าอึดอัดสักพักเมื่อห้องกลับเข้าสู่เสียงจอแจระหว่างที่รออาจารย์เข้ามาสอนอย่างเคยผมจึงพยายามเลื่อนเก้าอี้ออกห่างจากอีกฝ่ายจนขาผมแทบจะคาบขาโต๊ะเอาไว้จนท่านั่งของผมดูประหลาดราวกับพยายามห่างออกจากสิ่งปฏิกูลสักอย่าง เพราะต่อให้โต๊ะไกลกันไม่ได้แต่ตัวไกลกันขึ้นก็ยังดีเพราะมันยังบ่งบอกว่าผมยังทำอะไรได้บ้าง แม้จะห่างจากคนข้างๆ ไม่ถึงเมตรก็ตาม

ครืด!!! ปัง!!! เสียงเก้าอี้ถูกลากเสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้นก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเสียงเก้าอี้ชนกัน จนทำให้ทุกคนหันมามองแล้วผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวไถลไปจนหน้าไปชนเข้ากับหน้าอกของคนข้างๆ จนผมต้องรีบผละออกเหมือนโดนของร้อน

“สะดีดสะดิ้ง” อีกฝ่ายพูดขึ้นเสียงไม่ดังมากแต่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างชัดเจนจนรู้สึกหน้าร้อนด้วยความโกรธไปหมดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

คนในห้องที่ตอนแรกคิดว่าโต๊ะชนกันในตอนแรกเป็นอุบัติเหตุตอนนี้กลับไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้วเพราะการกระทำและความรู้สึกกระอักกระอ่วนของคนสองคนที่นั่งติดกันแทบจะสิงกันเป็นร่างเดียวแล้วช่างดูผิดปกติเหลือเกิน รวมทั้งผมก็ยังดูราวกับจะร้องไห้บ่งบอกให้รู้ว่าผมและใบพัดมีเรื่องกันอย่างแน่นอน หรือจะให้พูดอีกอย่างคือไอ้หน้าผีนั่นโดนแกล้งอีกแล้ว บางคนมองดูราวกับเรื่องสนุก บางคนก็เลือกที่จะเมินหน้าหนี หรือไม่ก็เลือกที่จะทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นแล้วทำงานของงงตนต่อไปโดยที่ไม่ได้คิดจะสนใจว่าใครจะถูกรังแกบ้าง

ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยปากสอดขึ้นถามหรือเชียร์ แม้แต่เสียงหัวเราะก็ไม่มีเพราะทุกคนต่างเกรงใจและกลัวใบพัดด้วยความที่เขาไม่ค่อยพูดและไม่ยอมสนิทกับใครเลยรวมทั้งยังมีข่าวเสียๆ ของเขาออกมาว่อนโรงเรียนเต็มไปหมดจึงไม่มีใครคิดที่จะเล่นหัวด้วย สู้รอดูราชสีห์ขย้ำคางคกเล่นเงียบๆ จะไม่สนุกกว่าหรือ แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น รวมทั้งใบพัดกลับทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วทำงานของตัวเองต่อไปราวกับไม่มีคนอยู่ในห้องจนทุกคนเลิกสนใจแล้วกลับไปคุยเล่นกันตามเดิม

“เป็นแฟนกันหรือไง” ใบพัดพูดขึ้นราวกับพูดคนเดียวซึ่งผมก็ไม่คิดจะตอบเพราะไม่รู้ว่าเขาพูดกับใครแต่เมื่อผมทำท่าจะดึงเก้าอี้ออกอีกกลับโดนเขายึดมือไว้แล้วมองหน้าผมราวกับจะฆ่าจนต่อมความกล้าของผมหดหายไปเลยเลือกที่จะเอากระเป๋ามาค้นหาหนังสือแทน “ถามทำไมไม่ตอบ” ใบพัดพูดขึ้นอีกแต่ครั้งนี้กลับหันมามองผมจึงทำให้ผมรู้ว่าเขาคุยกับผมแน่ๆ แล้ว

“ใคร” ผมถามเสียงเบาเพราะรู้สึกกลัวคนข้างๆ

“ไอ้เด็กที่มาส่งหน้าห้อง” ใบพัดระบุตัวคนจนผมไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าเขาหมายความถึงใคร แต่มันใช่เรื่องที่ผมต้องตอบจริงๆ หรือ

“ถามทำไมอะ” ผมถามเสียงเบากว่าเดิมราวกับแค่หายใจ เพราะผมรู้ว่าการเลี่ยงคำตอบของอันธพาลก็คือการหาเรื่องเขาดีๆ นี่เองแต่ผมก็ไม่ได้อยากตอบนี่

“อยากรู้” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบแต่สายตากลับไม่ยอมละจากผมจะผมน้ำตาแทบไหล เพราะไม่ชอบให้คนมองหน้าเละๆ ของผมนักเพาะมันทำให้ผมรู้สึกน่าเกลียดขึ้นไปอีก “ตอบ!” ใบพัดกระแทกเสียงหลังจากที่ผมเงียบอยู่นาน

“ไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมว่าพลางสั่นเพราะกลัวคนตรงหน้า

ใบพัดเมื่อได้คำตอบของผมใบหน้าก็กลับมาเป็นเรียบเฉย ก่อนที่จะหันไปจดจ่อกับsadokuที่เขาเพิ่งจะหยิบออกมาจากใต้โต๊ะ

“แล้วทำไมสนิทกันจัง” ใบพัดพูดออกมาราวกับพูดคนเดียวแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขาถามผม

“เป็นรุ่นน้อง” ผมตอบเสียงเบา

“รู้” อีกฝ่ายพูดสั้นๆ แต่น้ำเสียงกลับบ่งบอกว่าเขาต้องการคำตอบมากกว่านี้

“เราสอนพิเศษให้เขาทุกวัน” ผมตอบพลางคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับคนที่คอยปกป้องผมอย่างไทม์หรือเปล่า

“นึกว่าไม่ชอบซะอีก” ใบพัดพูดขึ้นราวกับปริศนาที่รอคนมาแก้ ก่อนที่จะเสตาไปมองพวกงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศที่ห้อยอยู่บนกระเป๋าของผมซึ่งก็เป็นแบบเดียวกับที่เขาจะให้เป๊ะๆ เพราะเมื่อวานผมได้ไปดูหนังเรื่องนี้กับไทม์มาเป็นรอบที่สอง แล้วไทม์เห็นว่าผมชอบมากตั้งแต่เป็นหนังสือแล้วเลยให้ผมรอแล้วไปซื้อมาให้เนื่องในโอกาสที่เขาเรียกว่า “วันนี้ผมอารมณ์ดีเลยซื้อให้” ซึ่งก็ทำให้ผมอดที่จะหมั่นไส้และขอบคุณเขาไม่ได้

“ซื้อเองทำไมแล้วเวลาให้ทำไมไม่เอา”

“ไม่ได้ซื้อเอง” ผมตอบไปตามตรงแต่ไม่ระบุรายละเอียดว่าใครซื้อให้

“แล้วเวลาให้ทำไมไม่เอาหรือคนให้มันต่างกัน” อีกฝ่ายถามออกมาราวกับรู้ว่าใครเป็นคนให้

“ไทม์เขาไม่ได้คิดจะแกล้งหรือประชดใบหน้าของเรา เขาให้เพราะเห็นเราชอบ” ผมตอบเสียงเบาและน้ำเสียงน่าฟังที่สุดเพราะถึงแม้จะพยายามเสียดสีคนข้างๆ แต่ก็กลัวเต็มทน

“หึ นี่คิดว่ากูจะแกล้งงั้นเหรอ” อีกคนถามพลางตวัดสายตามาเหมือนกับจะฆ่าผมเพื่อจะยกระดับความงามของมนุษยชาติที่มีผมคอยดึงค่ามาตรฐานของความงามเอาไว้อยู่

“..” ผมเริ่มสั่นเมื่อคำหยาบหลุดออกมาจากคนที่ไม่ใช่เพื่อน แล้วอีกอย่างหากคำเหล่านี้ออกมาจากปากคนสนิทผมคนจะยิ้มจนร้องไห้ที่มีเพื่อนให้ได้ใช้คำที่สนิทสนมกันเช่นนี้ แต่ด้วยผมไม่มีเพื่อนเลยจึงไม่เคยใช้คำว่ากู มึงแม้กระทั่งกับไทม์ที่สนิทที่สุด เพราะเขาก็เหมือนเป็นนายจ้างของผมจึงไม่กล้าใช้คำนั้น

“หึ ที่กับกูกลัวนักกับไอ้เด็กนั่นยังยิ้มแทบจะเล่นหัวกันอยู่แล้ว” อีกฝ่ายมองผมราวกับโกรธแค้นมากทำให้ผมสั่นไม่หยุดพลางก้มหน้าจนคางแทบจะหลอมติดกับคอ แต่อยู่ดีๆ เขาก็สบทขึ้น “มึงกลัวอะไรนักหนาวะ!”

“...”

“ตอบ!” อีกฝ่ายยื่นคำขาดขาดทำให้ภาพตอนที่ถูกฉีดน้ำในห้องน้ำกลับมาอีกครั้งจนผมรู้สึกหายใจไม่สะดวกแต่ก็ต้องฝืนตอบไปอย่างหมาจนตรอก

“มะ ไม่ชอบคำหยาบ” ผมพูดเสียงเบาที่สุดเท่าที่เคยเพราะผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปกำลังจะสื่อสารว่าคนตรงหน้าไร้มารยาท

อีกฝ่ายหัวเราะออกมาสั้นๆ ราวกับไม่อยากเชื่อคำตอบก่อนที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน “แล้วคิดว่าผมชื่อ แจ็ค วิล เหรอครับ คุณอ๊อกกี้ ที่จะได้ใช้คำว่านายกับฉันแทนตัวเอง”

ผมอยากจะโพล่งออกไปเหลือเกินว่าอย่าเรียกผมแบบนั้นเพราะเราไม่ได้สนิทกันเหมือน">ออร์กัสต์กับแจ็ควิลแต่เขากับผมมีแต่จะทำร้ายกัน แล้วต่อให้ผมชอบหนังสือเล่มนั้นมากแค่ไหนผมก็ไม่มีทางที่จะเรียกตัวเองว่า “อ๊อกกี้” เด็ดขาด แต่ผมก็กลัวเกินกว่าที่จะพูดออกไป พูดได้แค่คำว่า “เราไม่ใช่...”

“หรือจะเอาชื่อออร์กัสล่ะ แจ็ค วิลจะได้เรียก” ใบพัดถามอย่างกระแนะกระแหนพลางใช้ชื่อตัวละครแทนชื่อตัวเองอย่างหน้าไม่อายรวมทั้งตัวละครนั้นเป็นเพื่อนรักกันอีก ทั้งที่เราทั้งสองนั้นต่างกันราวน้ำกับน้ำมันแล้วไม่มีทางจะเป็นเพื่อนกันได้ ก่อนที่เขาจะพูดเองเออเองต่อไป “แต่ฉันว่าอ๊อกกี้น่ะเหมาะสุดแล้ว”

หลังจากที่พูดเองเออเองจนพอใจใบพัดก็หันกลับไปสนใจกับsadoku ต่อโดยที่ไม่ได้สนใจจะแกล้งผมอีก





ปัจจุบัน ณ ห้องน้ำคณะ

ผมมองคนตรงหน้าผมที่กำลังจะเดินผ่านผมไปโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าสิ่งที่เขาพูดสร้างความปั่นป่วนให้ผมซักแค่ไหน สมองของผมยังคงมึนงงกับคำที่เขาใช้เรียกผมอยู่ “อ๊อกกี้” อย่างงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้นี้ไม่ใช่คำที่ใช้กันดาษดื่นเพราะตั้งแต่ผมอยู่ม.ปลายก็ไม่เคยมีใครใช้คำล้อเลียนคำนี้เรียกผมเลยนอกจากเขาคนเดียว อย่าบอกนะว่าเขาจำผมได้!!!

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
«ตอบ #43 เมื่อ09-02-2021 22:34:43 »

 :heaven

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
«ตอบ #44 เมื่อ10-02-2021 02:21:12 »

ไม่น๊าาาาาา เรือไทม์นวจะล่มไม่ได้นะ :ling1:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
«ตอบ #45 เมื่อ10-02-2021 18:14:38 »

นั่นไง! ผมว่าแล้ว ตอนแรกว่าจะทักตั้งแต่ตอนก่อนที่จะลงตอนย้อนอดีตแล้วครับ ว่าพอใบพัดเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อ็อกกี้’ ผมว่ามันทะแม่งๆมากเลย

เพราะว่าอ็อกกี้เป็นตัวเอกในเรื่อง Wonder ซึ่งน้ำตาลบอกว่าใบพัดอ่านหนังสือสามเล่มนี้วนไปวนมา (ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าใบพัดมีปมกับหนังสือสามเล่มนี้ เพราะว่าเป็นหนังสือสามเล่มที่นิวเยียร์สมัยหน้าตาธรรมชาติชอบอ่าน แล้วใบพัดที่นั่งข้างกันก็สังเกต) ดังนั้นใบพัดต้องรู้ได้ว่าคนที่ชอบทำตัวหลบเลี่ยงคนอื่น เหมือนว่าตัวเองหน้าตาแปลกประหลาด (นว) นั้นมีแนวโน้มที่จะมองว่าตัวเองเป็นอ็อกกี้ ซึ่งการที่ใบพัดเห็นนิสัยที่คล้ายๆกันเกิดขึ้นกับนิวเยียร์ แล้วก็แม่นหนังสือสามเล่มนั้นอีก น่าจะทำให้เขาคอนเฟิร์มว่านิวเยียร์คือนวจริงๆ

แล้วยิ่งพอมาอ่านฉากย้อนอดีตด้วยนี่มันคือใช่เลย คนเขียนเขียนได้ดีมากๆเลยนะครับ อธิบาย Physical reaction ที่เกิดจากการถูกบูลลี่ออกมาได้ดีมาก และวางพล็อตกับบรรยายเคมีตัวละครได้ดีจริงๆ ขอชมเลยครับ ทีนี้ขอมาพูดที่ตัวใบพัดก่อน

ใบพัดเป็นตัวละครพระที่ผมว่าควรเป็นพระเอกมากเลยนะครับ (ไม่ได้อวยโดยส่วนตัว) ถ้าเราอ้างอิงจากความเป็นจริง บุคคลที่มักจะถูกแกล้ง (bullying) มีแนวโน้มที่จะเป็นซึมเศร้าสูง และเหงา รวมถึงไม่ค่อยกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับสังคมเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำวงแตก คนประเภทนี้เกิดความรู้สึกแบบนี้เพราะว่าเกิดแนวคิด Social Comparison ที่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในสังคม และรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก ดังนั้น คนที่จะทำให้บุคคลที่ถูกแกล้งรู้สึกดีได้ หรือรู้สึกชอบได้ มักจะมาในสองรูปแบบครับ หนึ่ง คนที่สนิทสนมกับตัวเองเป็นทุนเดิมและมองข้ามความแปลกแยก คบกับเขาเป็นเพื่อน คนประเภทนี้จะถูกสมองของบุคคลที่ถูกแกล้งมองว่าเป็นเพื่อนแท้ เป็นคนที่เขาพึ่งพาได้ในเวลาที่ถูกแกล้งหรือเวลาที่ขาคับแค้นใจพูดอะไรไม่ออก ไประบายกับคนประเภทนี้ได้ เพราะคนประเภทนี้จะไม่แกล้งเขา จะรู้ว่าเขาเป็นยังไง คนประเภทนี้มักจะกลายเป็นเพื่อนแท้หรือคนสนิทที่มีความสัมพันธ์ยืนยาว ซึ่งผมว่าไทม์เป็นคนประเภทนี้ เพราะการที่อยู่ด้วยกันมานาน ทำให้ไทม์ไม่ได้สนใจหน้าตาของนว แต่ว่าสนใจที่นิสัยและพร้อมจะอยู่ด้วยตลอดเวลา

ส่วนประเภทที่สอง คือประเภทที่จะทำให้บุคคลที่ถูกแกล้ง กลับมารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนๆหนึ่งในสังคม ไม่ต้องหวาดกลัว เงื่อนไขของคนประเภทที่สองมีสองแบบครับ แบบแรก คือประเภท Heroic (หายากมากในสังคมไทย และในสังคมต่างประเทศก็ยากถ้าไม่ใช่เด็กที่ถูกสอนมาดีจริงๆ) คือลุกขึ้นช่วยเพื่อน ทนความอยุติธรรมไม่ได้ มันหายากเพราะเด็กกลุ่มนี้ต้องมีสภาพร่างกายและบารมีที่ใหญ่พอสมควรที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ เรามักจะพบในนักกีฬา หรือคนที่สภาพแวดล้อมทางบ้านสอนมาดี ซึ่งมีน้อย ในต่างประเทศก็อาจมีบ้าง แต่ด้วยแรงผลักดันของ Self-reliable จะทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่ช่วยสุด ประมาณว่าช่วยนิดๆหน่อยๆแล้วก็คราวหน้ามึงดูแลตัวเอง ซึ่งสำหรับเด็กที่เป็นเป้าถูกแกล้งแบบเด็กเอเชีย มันยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงครับ ส่วนเงื่อนไขแบบที่สอง คือคนที่แกล้งอีกฝ่ายสำนึกได้ แล้วกลับมาขอโทษ และดูแลปกป้องไม่ให้อีกฝ่ายถูกรังแกอีก ซึ่งในไทยเคสแบบนี้จะพอมี แต่ส่วนมากเด็กผู้ชายปากหนัก ไม่กล้าขอโทษ ทำให้ปมของเด็กที่ถูกแกล้งไม่ถูกคลาย และยิ่งพาลทำให้อาการของเด็กถูกแกล้งเลวร้ายอีก ไม่เข้าใจกัน

เด็กที่ถูกแกล้งมักจะชอบคนประเภทที่สอง สังเกตว่ามันเป็นปฏิกิริยาทางเคมีในจิตใจที่ทำให้เขารู้สึกว่า ‘ได้รับการปกป้องจากคนแม้จะไม่ได้รู้จักกัน’ มันทำให้เขารู้สึกมีตัวตนมากขึ้นมากกว่าการถูกกลั่นแกล้งหรือเป็นเป้าเลวร้ายของสังคมครับ

ทีนี้มาดูใบพัด ผมว่าใบพัดเป็นคนประเภทที่สอง เงื่อนไขที่หนึ่ง คือเป็นนักเลงที่อาจจะชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก แต่บารมีของเขาทำให้คนอื่นหยุดแกล้งนวได้ แต่ปัญหาของใบพัดคือเป็นคนที่พูดไม่เก่ง บรรยายความรู้สึกไม่เก่ง นั่นเลยทำให้เขาแสดงออกแบบบางทีตรงไปตรงมาเกินไป ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น พอเจอกับนวที่เซนซิทีฟเรื่องความรู้สึกมันเลยไปกันใหญ่ อย่างตอนที่ให้หมวกนักบิน ความจริงใบพัดก็คงอยากขอโทษและบอกว่าเขาไม่ได้แย่กับหน้าตาของนวเลยนะ แต่ด้วยการกระทำหลายๆอย่างของใบพัดที่ไม่ค่อยเข้าหูคน ตรงไปตรงมา นวเลยคิดไปเองว่าเขาจะแกล้งตัวเองอีก อย่างตอนฉีดน้ำแล้วพูดอะไรสักอย่าง ผมเดาว่าใบพัดน่าจะบอกไว้ว่าอย่าไปกลัวคนพวกนั้นหรือให้สู้กลับอะไรทำนองนี้ แต่นี่ก็คือปัญหาว่าใบพัดไม่รู้ว่านวตกอยู่ในสภาพเบี้ยล่างที่สู้กลับไม่ได้มานานแล้ว แล้วพอไปทำอย่างนั้นเลยสร้างแผลในใจให้นว

ทีนี้เดี๋ยวมันคงต้องมีพล็อตต่อขยายอธิบายเรื่องในอดีตต่ออีกว่าเกิดอะไรขึ้น จนถึงช่วงที่นวต้องยอมดรอปมาศัลยกรรมแล้วก็ซิ่ว แต่ว่าในตอนนี้ พอใบพัดมาเจอ ผมเดาว่าใบพัดพอจะรู้ตัวจริงนิวเยียร์ตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วน่ะครับ เพราะสังเกตว่าใบพัดไม่ยอมให้นิวเยียร์เรียกรุ่นพี่ เพราะถ้ารู้ก็คือรู้ว่าคือใครและอีกฝ่ายอายุเท่าตัวเอง แต่ไม่แน่ใจ พอมาเจอออดิชั่นแล้วเขาพูดเรื่อยเปื่อยแต่อีกฝ่ายดันมีพิรุธชัดอีก ก็เลยน่าจะฟันธงได้แล้ว

สำหรับการขยายพล็อตต่อไป ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของใบพัดกับนิวเยียร์ละ ว่าสองคนนี้จะหันมาลงเอยกันได้ยังไง นิวเยียร์จะปลดสภาวะซึมเศร้าของตัวเองออกจากตัวได้ไหม แล้วใบพัดจะช่วยในเรื่องนี้ได้ยังไงเพื่อให้สุดท้ายสองคนหันมาเข้าใจความรู้สึกตรงกัน แล้วยังมีเรื่องของไทม์อีกที่ดันอยู่หอใกล้กัน

สำหรับไทม์ ผมก็ชอบตัวละครนี้นะครับ เปิดตัวมารูปร่างน่าดึงดูดมาก (หัวเราะ) แต่อย่างที่บอก ถ้าดูจากเคมีความสมจริงแล้ว นิสัยอย่างไทม์เหมาะเป็นพระรองหรือเป็นน้องชายแท้ๆของนิวเยียร์มาก เพราะมันให้อารมณ์ของการดูแลใกล้ชิดและคุยกันได้ทุกเรื่อง แม้ว่านวจะไม่ได้ชอบไทม์อะไรขนาดนั้น เพราะน้องมีปมความกลัวและซึมเศร้าจากการถูกแกล้งอยู่ ที่ผมประทับใจคือนิสัย เราเห็นนิสัยของไทม์ชัดมากว่าไทม์ไม่ตัดสินคนจากหน้าตา (ตั้งแต่จากการที่เรียนกับนว) และพอมาเจอนิวเยียร์ที่หน้าตาดีมาก ไทม์ก็ไม่ได้หลีอะไร ยังปากร้ายเกรี้ยวกราดใส่ซะอีก แสดงว่าเป็นอย่างนี้กับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกับคนหน้าตาดีหรือไม่ดี แต่ที่ดีกับนวก็เพราะว่านวทำความดีกับเขา เคสไทม์กับนิวเยียร์ผมว่านิวเยียร์ผิด เพราะน้องลนมากไป แถมยังทำอะไรแย่ๆใส่เขาอีก (เข้าใจได้ว่ามันเป็นความกลัวที่จะมีคนจับได้ แต่ในเมื่อไทม์ไม่เคยแกล้งนว ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องกลัวไทม์จับได้นะครับ เพราะว่าไทม์รู้ไปก็ไม่ได้จะทำให้ชีวิตของนิวเยียร์เลวร้ายลง)

ผมว่าสเกลเรื่องดีมาก และค่อยๆขยับขยายไปแบบนี้ดีแล้วครับ ไม่ต้องรีบ แต่ทำให้ดี เป็นกำลังใจให้ครับ อย่าลืมเรื่องของการบรรยายรูปร่างลักษณะของใบพัดด้วยในตอนปัจจุบันนะครับ เพราะตอนบรรยายในอดีตสมัยนักเรียน เราก็เห็นภาพใบพัดยังไม่ชัดเท่าไหร่ ส่วนสูง ความหนาร่างกาย ที่เห็นชัดๆคือบรรยากาศและความดุ รังสีที่แผ่ออกมา หน้าตา สามสี่อย่างนี้ผู้แต่งบรรยายผ่านหลายฉากให้เห็นได้ชัดเจนมากแล้วครับ แต่สองอย่างแรกยังไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่

ถ้ามีอะไรอยากสอบถามเพิ่มเติมก็หลังไมค์มาหาได้ครับ หรืออยากสอบถามความสมจริงหรือข้อมูลของ scenario ที่วางพล็อตไว้ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อผู้แต่งได้ก็ยินดีครับ

ออฟไลน์ Do_Maht

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ cChapter 9 Secret (1/2)
«ตอบ #46 เมื่อ10-02-2021 19:57:52 »

Chapter 9

Secret

“เฮ้อ…ยังไม่ทันได้เปิดเทอมเลย ทำไม่รู้สึกว่าจะไม่รอดตั้งแต่ต้นเทอมเลยนะ” ผมกลับมานอนถอนหายใจอยู่ที่ห้องโดยที่ไม่ได้ไปเข้ารับน้องของมหาลัยต่อหลังจากที่ออดิชั่นดาวเดือนสาขาเสร็จ แต่กลับเอาเวลามากลิ้งตัวไปมาบนที่นอนราวกับกำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนกระทะทองแดงร้อนๆ เพราะต่อให้ที่นอนจะนุ่มแค่ไหนแต่ผมกลับสัมผัสถึงความสุขไม่ได้เลย

ผมเอาแต่คิดถึงคำพูดของใบพัดที่พูดกับผมในห้องน้ำ “ไว้เจอกันนะ อ๊อกกี้...” อย่างนั้นเหรอมันหมายความว่ายังไงกัน จะเป็นไปได้มั้ยนะว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นใคร

ชิ! คิดแล้วผมก็เอาแต่ชกลมชกอากาศไปอย่างนั้นเพราะคิดว่าคงทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนแล้วกัน ทุกข์ใจไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้

Trrrrrr เสียงของดโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาแทรกจังหวะในขณะที่ผมกำลังจะชกหน้าไอ้บ้านั่นในจินตนาการสักหน่อย แต่พอมองดูที่หน้าจอก็โชว์ เบอร์ของพี่น้ำตาลอยู่ผมเลยไม่อิดออดที่จะรับสายในทันที

“ครับพี่น้ำตาล” ผมขานรับคนที่อยู่ปลายสาย

'อื่อ นิวเยียร์เป็นไงบ้างกลับหอหรือยัง' พี่น้ำตาลถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วง

“อ่อครับตอนนี้ผมอยู่หอ”

'แล้วกลับยังไงล่ะมีเงินเหรอ' พี่น้ำตาลซักต่อ

“อ่อ พอดีหอไม่ได้ไกลมากครับนั่งรถรางมหาลัยมาแถวหน้ามอแล้วก็เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงแล้วครับ พี่ตาลถามมีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมรีบตอบแล้วถามกลับทันทีเพราะวันนี้พี่ตาลดูจะเป็นห่วงผมแปลกๆ

'เอ๊า ถามได้ก็เราไม่มีกระเป๋าตังค์ไม่ใช่เหรอ' พี่น้ำตาลตอบทำให้ผมมถึงกับตาลุกวาวขึ้นทันที

เมื่อกี้พี่น้ำตาลว่าอะไรนะกระเป๋าตังค์งั้นเหรอ! หน้าผมถอดสีทันทีที่พี่ตาลพูดจบหากใครเห็นตอนนี้ก็คงจะบอกว่าหน้าผมซีดเป็นกระดาษ A4 เป็นแน่ ผมรีบควานหาทันทีที่นึกขึ้นได้ก่อนที่จะพบว่ามันหายไปจริงแต่ก็ด้วยความที่ปกติผมไม่ค่อยใช้เงินสดจะเป็นการจ่ายแบบธุรกรรมอิเล็กทอร์นิกส์ซะมากกว่าเลยทำให้ไม่ได้สนใจที่จะจับกระเป๋าบ่อยๆ

แล้วผมจะทำยังไงดีเพราะในกระเป๋าของผมไม่ได้มีแค่บัตรเครดิต บัตรประชาชนสักหน่อย มันยังมีทั้งรูปของผมในตอนที่ยังไม่ได้ทำศัลยกรรมอีก รวมทั้งบัตรประชาชนเก่าที่ผมยอมไปแจกหายเพื่อที่จะเก็บบัตรเก่าเอาไว้เพราะไม่อยากให้เจ้าหน้าที่เห็นหน้าเก่าของผมแล้วเอามาเปรียบเทียบนั่นอีก ลืมไปสนิทเลยว่าควรเอาของพรรค์นั้นออกจากกระเป๋าให้หมด สะเพร่าจริงๆ!

ยิ่งคิดผมก็เริ่มสั่นขึ้นมาอีกหัวใจเต้นแรงจนผมรู้สึกว่ามันจะหลุดออกมาให้ได้ ความเย็นที่ผมไม่รู้ว่ามันเกิดจากอุณหภูมิรอบตัวที่กำลังลดลงหรือร่างกายของผมมันกลับเริ่มปกคลุมไปทั่วตัวเริ่มจากกระดูกสันหลัง

ผมค่อยๆ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงก่อนพลางค่อยๆ ดึงสติกลับมาอย่างอยากเย็น แล้วค่อยๆ คิดทบทวนสิ่งที่พี่น้ำตาลพูดไปทั้งหมด พี่น้ำตาบอกว่าผมไม่มีกระเป๋า เท่ากับว่าเขาก็คือคนเก็บมันได้แล้วมันก็ต้องอยู่กับเขา ว่าแต่เขาเห็นอะไรมากน้อยแค่ไหนล่ะ!

'นิวเยียร์!' เสียงจากปลายสายเรียกให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง

“คะ...ครับ” ผมตอบเสียงสั่น

'เฮ้อ...นึกว่าเป็นอะไรไป' พี่น้ำตาลบอกท่าทางดูโล่งใจขึ้น

“เอ่อ...พี่น้ำตาลครับว่าแต่พี่ได้เปิดดูข้างในไหมครับ” ผมถามกล้าๆ กลัวๆ กับคำตอบที่จะได้รับ ว่ามันจะออกมายังไงแล้วถ้าพวกเขารู้ความจริงพวกเขาจะรังเกียจผมมั้ย ผมจะเจอกับสิ่งที่เคยผ่านมาเหมือนเดิมหรือเปล่าทุกๆ คนจะค่อยๆ ห่างออกจากผมไปใช่มั้ย ไม่สิทุกคนจะหายไปแล้วมองผมอย่างตัวประหลาด โลกของผมจะจบลงแค่ตรงนี้แล้วใช่ไหมโลกที่ผมฝันถึงมาตลอดทำไมมันสั้นแบบนี้นะ

'ไม่พี่ไม่ได้เปิดดู' พี่น้ำตาลบอกเสียงเรียบ แต่สำหรับผมมันคือเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน

“พะ...พี่ว่าอะไรนะครับช่วยพูดอีกครั้งได้มั้ย” ผมขอให้พี่น้ำตาลพูดอีกครั้งเพื่อย้ำคำตอบที่ผมได้ยินว่าผมไม่ได้หูฝาดไปจริงๆ

'พี่ไม่ได้เปิดดูค่ะ' พี่น้ำตาลบอก

สวรรค์ยังมีเมตตาต่อเราอยู่สินะ

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆ เลย ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงครับว่ามันเป็นกระเป๋าของผม” ผมถามข้อสงสัยออกไป

'อ่อพอดีมีคนเห็นมันตกอยู่ตรงที่เรายืนน่ะ แล้วอีกอย่างหลังจากเราออกไปก็ยังไม่มีใครเข้ามาเลยคิดว่าน่าจะเป็นของเรา' พี่น้ำตาลไขข้อสงสัยทำให้ผมสบายใจขึ้น

“อ่อครับ แล้วตอนนี้กระเป๋าผมอยู่กับพี่ใช่มั้ยครับ ให้ผมไปรับตรงไหนดีครับนัดได้เลย” ผมบอกเสียงใส

'คือ...มันไม่ได้อยู่กับพี่หรอกจ้ะ พอดีคนที่เก็บไว้เป็นใบพัดน่ะเขาบอกว่าเดี๋ยวจะเอาไปให้เราเองตั้งแต่ตอนที่ประชุมกันเสร็จแล้วตอนแรกนึกว่าเราได้กระเป๋าคืนแล้วซะอีกเลยโทรมาถาม'

แกร๊ก!!! โทรศัทพ์ในมือผมร่วงหล่นลงพื้นทันทีพร้อมกับเรี่ยวแรงของผมที่อยู่ดีๆ ก็เหือดหายไปราวกับโดนสูบออกแขนขาของผมรู้สึกอ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น คำตอบอย่างฉะฉานของพี่น้ำตาลแต่คำพูดราวกับลูกปืนที่ยิงเข้ากลางหน้าฝากของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมรู้สึกมึนงงไปหมดอยู่ดีๆ หูอื้อขึ้นมาพร้อมกับเสียง วิ๊งๆ เต็มไปหมด

เป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่ผมกว่าที่ผมจะดึงสติกลับมาได้ว่าเรื่องที่พี่น้ำตาลพูดมาทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงที่ผมต้องเผชิญ สิ่งที่ย้ำเตือนผมว่ามันไม่ใช่ฝันมิสคอลและข้อความของพี่น้ำตาลที่แสดงถึงความเป็นห่วงในช่วงที่ผมแบล็งค์ไป ก่อนที่ผมจะโทรกลับไปเพื่อบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องเป็นห่วง

ผมใช้เวลาอีกสักพักในการคิดทบทวนกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ว่าผมควรทำอย่างไรกับมันดี ใบพัดเขาจะต้องทำอะไรที่ไม่ดีแน่ เขายิ่งไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมอยู่ด้วย นี่ผมมาสุดทางแล้วใช่มั้ย แต่ทำไมจนป่านนี้ยังไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับผมเลยแม้แต่พี่น้ำตาลที่ควรจะสอบถามความจริงจากผมเป็นคนแรกหรือไม่นะโมกับต้าก็น่าจะโทรมาแต่นี่ไม่มีวี่แววเลยใบพัดต้องการอะไรกันถึงได้ทำแบบนี้

“หรือว่า...เงินงั้นเหรอ” ผมคิดขึ้นได้หลังจากที่คิดดีๆ แล้วมันจะมีอะไรดีไปกว่าการที่ใบพัดได้ผลประโยชน์จากผมนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อแลกกับความลับของผม ไม่แน่ว่าเขาอาจจะใช้มันขู่เพื่อหาผลประโยชน์จากผมไปเรื่อยก็ได้ แล้วยังไงล่ะผมไม่แคร์หรอกขอแค่ผมได้ใช้ชีวิตในนามของนิวเยียร์ต่อไป หมดตัวผมก็ยอม! เพราะผมไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกแล้ว

ผมใช้เวลาอยู่นานก่อนที่จะรวบรวมความกล้าเพื่อกดโทรไปหาใบพัด ในแต่ละวินาทีที่ได้ยินเสียงรอสายของใบพัดราวกับผมกำลังฟังเสียงของไซเรนรถพยาบาลอย่าไงอย่างงั้น เวลาที่ค่อยๆ เดินไปเหมือนกับจะค่อยๆ นับถอยหลังให้กับการมีชีวิตอยู่ของผมอย่างเสียไม่ได้เพราะผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมกำลังกลั้นหายใจจนหน้าเริ่มจะเป็นสีเขียวอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงปลายสายพูดขึ้นจึงทำให้ผมเริ่มหายใจอีกครั้งพร้อมกับสะอึกด้วยความตกใจ

'คิดถึงหรือไง โทรมาทำไมครับ' ใบพัดถามอย่างยียวน

“...” ผมกำมือไว้แน่นๆ เพื่อระงับความโกรธจนเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา

'ถ้าไม่มีอะไรจะพูดงั้นแค่นี้นะ' ใบพัดบอกอย่างไม่ใส่ใจนักแต่คำพูดกับบีบบังคับให้ผมต้องรีบเข้าประเด็นสำคัญก่อนที่เจ้าตัวจะทำอย่างที่บอกจริงๆ

“เอากระเป๋าคืนมา” ผมบอกเสียงแข็ง

'โห...กล้าขึ้นเยอะเลยนะ แต่เสียใจจังเลยอะอุส่าห์เก็บกระเป๋าไว้ให้ขอบคุณสักคำก็ไม่มี' ใบพัดพูดด้วยน้ำเสียงที่สะดีดสะดิ้งจนอดที่จะหมั่นไส้ซะไม่ได้ 'ว่าแต่รู้ตัวช้าขนาดนี้คงไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง' ใบพัดทำเป็นไขสือต่อไป

“เอาคืนมา!”

'ไม่!' ใบพัดตอบทันควัน

“จะเอาเท่าไหร่” ผมรีบถามออกไปเพราะไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อ

'เหอะ! คิดว่าฉันซื้อได้ด้วยเงินหรือไง' เสียงของใบพัดดูแข็งขึ้นจนผมอดที่จะสั่นขึ้นมาไม่ได้แต่ว่าผมก็ต้องสกัดกั้นความกลัวเอาได้

“แล้วต้องการอะไร” ผมถามกลับอย่างจนตรอก

'หึ ให้ได้ทุกอย่างไหมล่ะ' ใบพัดถามเสียงกวนๆ แต่ผมกลับกลัวสิ่งที่เขาถามเอาซะเหลือเกิน

“...”

'จะคุยเรื่องธุรกิจมันก็ต้องคุยกันให้เป็นทางการหน่อยว่างั้นไหม' เสียงใบพัดดูเจ้าเล่ห์จนผมแอบหวั่นในใจ 'งั้นคืนนี้เจอกันสองทุ่มเดี๋ยวฉันจะส่งโลเคชั่นไปให้' ว่าแล้วอีกฝ่ายก็วางสายไปทันทีโดยที่ไม่รอให้ผมได้โต้แย้งแต่อย่างใด

ไอ้หมอนี่มันจะมาไม้ไหนกันนะ













« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2021 20:17:15 โดย Do_Maht »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปณิธาณปีใหม่ cChapter 9 Secret (1/2)
«ตอบ #47 เมื่อ10-02-2021 22:36:13 »

 :katai3:

ออฟไลน์ Do_Maht

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ cChapter 9 Secret (2/2)
«ตอบ #48 เมื่อ11-02-2021 20:01:47 »

ผมมาถึงสถานที่นัดตามเวลาไม่ขาดไม่เกินซึ่งสถานที่นั้นก็ไม่ใช่ที่ที่ผิดแผกแปลกพิสดารอะไรเพราะมันคือสถานที่ที่มีคนมากันตลอดอย่าง สวนสาธารณะในมหาลัย บางครั้งผมก็ยังแอบคิดว่าจะหาสถานที่ที่ลับตาคนแล้วเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ไม่ได้หรือไง แต่ก็เพิ่งตระหนักขึ้นได้ว่าการอยู่กับใบพัดสองต่อสองนั้นน่ากลัวและอันตรายกว่าอะไรทั้งสิ้น

ตำแหน่งที่ใบพัดบอกให้ผมไปหาอยู่แถวสระน้ำของมหาลัยซึ่งตอนนี้มีลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ กับแสงสีขาวสลับส้มของไฟที่ประดับอยู่โดยรอบทำให้ดูโรแมนซ์ติกขึ้นไปอีก แล้วส่วนมากคนที่มาใช้สถานที่แห่งนี้มักจะเป็นคู่รักกันซะเป็นส่วนมากเพราะผมเห็นคนเป็นคู่ๆ นั่งอยู่บนสนามหญ้าบ้าง ที่ม้านั่งบ้าง บางคนก็หนุนตักกันพลางพูดคุยหยอกล้อพลางชี้นั่นชี้นี่ไปเรื่อย ซึ่งนั่นมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นส่วนเกินของที่นี่ได้ไม่ยาก

ผมเดินไปนั่งรอใบพัดที่ม้านั่งที่ว่างอยู่ตัวหนึ่งเพราะผมยังไม่เห็นมีท่าทีว่าเขาจะมาและก็ไม่รู้ว่าจะโดนตลบหลังอะไรหรือเปล่า พลางมองไปที่ผิวน้ำซึ่งตอนนี้เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ จากปลาที่ว่ายอยู่ด้านล่างพร้อมกับแมลงกลางคืนที่บินโฉบบนผิวน้ำไปมาราวกับกำลังเต้นรำ จะว่าไปที่นี่ก็ดูผ่อนคลายดีไม่น้อย ทั้งอากาศที่ถ่ายเทลมพัดเย็นสบาย ความเงียบที่ไม่ได้ถึงกับเหงาเพราะมีเสียงคนคุยกันเอื่อยๆ ราวกับกระซิบกันจนพังไม่รู้เรื่องลอยมากับสายลม ทำให้บรรยากาศนั้นทั้งดูผ่อนคลายและชวนง่วงในเวลาเดียวกันยิ่งในช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวแบบนี้ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกนั้นได้ไม่อยาก

ผ่านไปสักพัก ผมก็สัมผัสได้กับความรู้สึกเย็นชื้นชนิดที่ลามไปถึงสมองสัมผัสกับข้างแก้มของผม จนทำให้ผมต้องรีบถดตัวหนีพลางสะดุ้งด้วยจนตัวโยน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบไร้สุ้มเสียงทำให้ผมนั้นตกใจระดับเดียวกันกับตอนที่ฝันว่าตกเหวเลยก็ว่าได้ ก่อนที่ผมจะตวัดสายตาไปมองที่ต้นทางของเสียงหัวเราะด้วยความไม่พอใจ

เจ้าของสาเหตุของความตกใจของผมครั้งนี้ดูจะพอกับผลงานของตัวเองมากทีเดียวเพราะผมเห็นแต่เขาเอาแต่หัวเราะไม่หยุด ก่อนที่จะปรับสีหน้าแล้วเดินมานั่งข้างผมอย่างยากลำบาก ซะจนผมแอบอยากจะให้เขาเสียหลักตกน้ำไปซึ่งผมขอสัญญาว่าผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นแม้เขาจะร้องขอความช่วยเหลือก็ตาม

ผมเพิ่งจะสังเกตว่าในมือของใบพัดมีแก้วอยู่สองใบกับถุงอีกหนึ่งถุงหลังจากที่เขายื่นแก้วในมือมาให้ผม ผมมองหน้าเขากลับไปด้วยความฉงนสนเทศเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้เขาจะมาไม้ไหน ผมจึงปฏิเสธที่จะรับแก้วในมือของเขามา

“รับไปสิ” ใบพัดบอกเสียงเรียบไม่ได้มีท่าทีเร่งเร้าอะไร

“ไม่ละขอบคุณ” ผมตอบกลับไปตามมารยาทแม้ว่าความจริงจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

ใบพัดยิ้มน้อยๆ พลางหัวเราะออกจมูกราวกับว่าไม่ได้สนใจการกระทำหยุมหยิมของผมก่อนที่จะเอาแก้วใบนั้นมาวางไว้ข้างๆ ผมแล้วอีกใบวางไว้ข้างตัวเองก่อนที่จะหยิบเอาขนมอีกสองสามอย่างออกมาจะถุงกระดาษสีน้ำตาลซึ่งมีขนมปังอยู่สี่ห้าชิ้นกับขนมขบเคี้ยวอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งยังปิดท้ายด้วยแฮมเบอร์เกอร์อีกสองชิ้นซึ่งอีกชิ้นก็เอามาวางไว้ฝั่งผมพร้อมกับหากระดาษมาวางรองไว้ให้อย่าเสร็จสรรพ

นี่ถ้าไม่บอกผมก็นึกว่าเรามาเดทกันมากกว่ามาคุยเรื่องเครียดๆ กันเสียมากกว่า แต่สำหรับผมมันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะผมเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับใบพัดมาตั้ง2ปีแถมผมยังนั่งติดเขาอีกต่างหาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำกับผมเหมือนที่เจอกันในห้องน้ำครั้งแรก แต่บางครั้งเขาก็พูดข่มขู่ให้ผมทำในสิ่งที่เขาต้องการ รวมทั้งยังชอบแกล้ง แถมวิธีการของเขามันช่างเจ็บแสบ ทั้งเรื่องที่ห้อยกุญแจนั่นยิ่งทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกสักแต่จะพูดแต่ด้วยความที่เขาเรียนเก่งเลยคิดสัญลักษณ์อย่างหมวกนักบินอวกาศเอามาใช้ปกปิดความอัปลักษณ์ของใบหน้าได้ เหอะ! ตลกสิ้นดี!

“ไม่คิดจะกินหน่อยเหรอเอาแต่ทำหน้าเครียดอยู่นั่นแหละ” ใบพัดถามขึ้นหลังจากที่กัดแฮมเบอร์เกอร์ไปคำโต

“ขอบคุณ” ผมเลี่ยงที่จะใช้คำว่าไม่กับใบพัด ทำให้เขาหันกลับมามองผมแล้ววางกันแฮมเบอร์เกอร์ในมือลง ซึ่งนั้นทำให้ผมต้องหลบตาเขาในทันทีเพราะสายตาที่เขามองผมตอนนี้มันคือสายตาของคนที่กำลังมองตรงๆ เข้ามาที่หมาจนตรอกอย่าง ‘นว’ ซึ่งไม่ได้มีเสื้อเกราะที่ชื่อ ‘เนิวเยียร์’ ไว้คอยปกป้องตัวเองแต่อย่างใด ความรู้สึกของผมในตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่กำลังแก้ผ้าไปยังสนามรบ ที่รู้แน่ๆ ว่ายังไงตัวเองก็ต้องตาย ความกล้าที่เคยมี ที่เคยคิดว่าจะสู้กับใบพัดได้ดูเหมือนจะถูกลบทิ้งไปง่ายๆ เหมือนกับตัวหนังสือที่เขียนไว้บนหาดทรายโดนคลื่นทะเลซัด ผมอดที่จะตัวสั่นเพราะรู้สึกกลัวคนข้างๆ ไม่ได้แต่ผมว่าผมก็เก็บอาการได้ดีพอที่เขาจะมองไม่เห็นมัน

“รีบคุยเรื่องนั้นเถอะ” ผมรีบเปิดประเด็นก่อนที่ความกล้าที่เหลือทั้งหมดจะหายไป

“อือ ได้สิ” ใบพัดตอบราวกับกำลังคุยเล่นอย่างสบายอารมณ์ แม้จะดูไม่เจ้าเล่ห์แต่ผมก็ไม่เคยไว้ใจ “แต่คุยไปกินไปแล้วกันนะ”

“ได้สิ” ผมตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมาก

“ฉันหมายถึงนายต้องกินกับฉันด้วย” ใบพัดบอก

“ขอบคุณนะแต่...” ผมทำท่าจะปฏิเสธแต่ถูกใบพัดพูดสวนขึ้นมาก่อนอย่างรู้ทัน

“งั้นก็ค่อยคุยพรุ่งนี้แล้วกัน” ใบพัดดูเหมือนจะพูดแบบไม่ถือสาแต่ผมรู้ว่ามันคือการยื่นคำขาด ผมจึงรีบหยิบแก้วที่เขายื่นมาให้ตั้งแต่ตอนแรกขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะพบว่ามันคือช็อกโกแลตเย็น รสชาติหวานๆ ขมๆ มีความมันจากนม แล้วก็ความเย็นสดชื่นจากน้ำแข็ง ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก

แบบที่ชอบเลยแฮะ

ใบพัดยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอาแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นไปกัดอีกคำ พลางจับแฮมเบอร์เกอร์อีกชิ้นยัดใส่มือผมอย่างถือวิสาสะ ผมก็ได้แต่มองหน้าเขาแต่ก็ต้องรับไว้พลางยกขึ้นกัดไปคำหนึ่งอย่างจำใจตามที่เขาทำท่าบอกให้ผมกิน ก่อนที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมหิวแค่ไหน แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน

“ต้องการอะไร” ผมถามใบพัดออกไปอย่างไร้เยื่อใยและมารยาททั้งมวลที่เคยรับรู้มา

“เปล่า...แค่อยากรู้” ใบพัดตอบเสียงเรียบทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองเขาที่กำลังยัดแฮมเบอร์เกอร์คำสุดท้ายเข้าปาก

“อยากรู้...อยากรู้อะไร” คิ้วผมขมวดเป็นปมพลางมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาอยากจะสื่อ

เขาดื่มน้ำในแก้วเข้าไปอีกหนึ่งอึกก่อนที่จะหันหน้ามามองผมราวกับกำลังเห็นใจและหาคำตอบอยู่ในที “ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย”

ผมเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่เขาต้องการจะถามคืออะไร เขาคงอยากจะถามว่าทำไมผมต้องทำศัลยกรรมจนกลายเป็นคนใหม่ขนาดนี้ ทำไมต้องสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ขนาดที่เปลี่ยนทั้งชื่อรวมทั้งทิ้งโลกที่เคยอยู่ไว้ด้านหลังอย่างไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองอีก

“ถ้าเป็นเราแกจะไม่ถามแบบนี้” ผมตอบก่อนที่จะรู้สึกว่าสิ่งที่กินเข้าไปมันไม่ได้ต่างจากกระดาษเนื้อยุ่ยๆ ที่ไม่ได้อร่อยเหมือนตอนแรกแล้วรวมทั้งผมยังอยากจะขย้อนมันออกมาซะเหลือเกิน

“ทำไมล่ะ” ใบพัดถามพลางมองหน้าผมตรงๆ จนผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นสัตว์ประหลาดหรือเอเลี่ยนที่กำลังถูกนักวิทยาศาสตร์ถามเอาความลับจากสายพันธุ์หรืออารยธรรมของผมก่อนที่จะเอาผมไปชำแหละเป็นชิ้นๆ

“เลิกถามสักทีว่าทำไม” ผมพูดขึ้นเสียงดังแต่ก็ไม่ใช่การตะโกนแต่อย่างใด “นายไม่มีทางเข้าใจหรอก ว่าความรู้สึกที่ทุกคนกลัวนายมันเป็นยังไง”

“ฉันเข้าใจ...”

“ไม่! นายไม่มีทางเข้าใจนายเคยนั่งใกล้ใครแล้วเขาย้ายที่นั่งเพราะบอกว่ากลัวหน้านายมั้ย เวลาไปไหนมาไหนมีเด็กมาร้องไห้เพราะเห็นหน้านายหรือเปล่า เคยมีคนเดินเฉียดนายแล้วบอกว่าอยากไปอาบน้ำพร้อมกับเสียงหัวเราะมั้ย เคยมีมั้ยที่นายไม่อยากมองหน้าใครเพราะกลัวสายตาของเขา เคยมีหรือเปล่าที่โดนแกล้งทุกวันทั้งที่ไม่เคยทำอะไรใคร แล้วเคยมีมั้ยที่ไม่มีใครเลยที่อยากคบกับนายเพราะนายมันอัปลักษณ์แต่จะให้ทำไงได้แค่ไม่อยากตายก็บุญแล้วป่ะ เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดว่านายเข้าใจ เพราะต่อให้นายเอาวันแย่ๆ ทั้งชีวิตของนายมารวมกันมันก็เทียบไม่ได้กับหนึ่งวันของเรา” ผมระเบิดออกไปก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองหัวใจเต้นแรงขนาดไหนทั้งยังสัมผัสได้กับความรู้สึกเปียกชื้นที่แก้มนี้อีก นี่ผมร้องไห้เหรอ...แล้วทำไมผมจะต้องมาระเบิดใส่ใบพัดด้วยนะ แต่ผมรับไม่ได้จริงๆ กับการที่เขาบอกว่าเข้าใจทั้งๆ ที่เขารับบทนักล่ามาตลอดในขณะที่ผมเป็นได้แค่เหยื่อของเขา

ใบพัดมองใบหน้าของผมราวกับสงสารเต็มทีแต่ผมไม่เชื่อคนอย่างเขาเพราะเขาก็คือคนที่ทำเรื่องเหล่านั้นตลอดและเขาก็กำลังจะทำมันต่อไปถ้าผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจ ใบพัดทำท่าเหมือนกับจะหาคำพูดอะไรออกมาพูดสักอย่างแต่ก็เงียบไป

“สมเพชฉันมากใช่ไหมที่เห็นเราต้องทำถึงขนาดนี้ มันตลกใช่ไหมที่เราต้องทำใหม่ทั้งหน้าเพื่อให้คนอื่นจำไม่ได้แต่ก็ไม่รอด ขยะแขยงใช่มั้ยที่เราโกหกทุกคนแล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนอื่นทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นใคร ใช่เราก็รู้สึกแบบนั้นแต่...”

“ไม่!” ใบพัดพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่จะเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ ซึ่งนั่นทำให้ผมอึ้งกับสิ่งที่เขาพูดออกมา โกหกชัดๆ ที่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดผมแล้วรับสิ่งที่ผมทำลงไปได้ ผมกำลังจะดึงมือกลับมาจากเขาแล้วผมก็ชะงักเมื่อผมสัมผัสได้ว่าเขากุมมือผมแน่นขึ้นอีก “นายจะเป็นใครก็ได้ ไม่เป็นไรเลยมันโอเค”

ผมรู้สึกราวกับว่าโลกรอบตัวของผมมันได้หยุดลงไปราวกับทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นรูปปั้นแล้วมันยังเหมือนกับว่าตอนนี้ในโลกมีเพียงคนสองคนที่ยังเคลื่อนไหวคือผมกับใบพัด ผมรู้สึกอุ่นวาบไปทั่วตัวแต่กลับอุ่นเป็นพิเศษตรงมือที่ใบพัดกำลังกุมมันไว้ คำตัดพ้อต่อว่าทั้งหมดถูกลบทิ้งไปราวกับโดนDelete ตอนนี้ผมรู้สึกแค่ อบอุ่นและปลอดภัย

มันหมายความว่ายังไงที่เขาบอกว่าผมจะเป็นใครก็ได้แล้วมันจะโอเคจริงๆ ใช่มั้ย ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยความรู้สึกที่มีคนอยู่ข้างๆ น้องจากไทม์และพ่อแม่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลยจริงๆ

ความรู้สึกอุ่นวาบนี้มันคืออะไรกันนะ แต่ผมจะเชื่อคนคนนี้ได้จริงๆ น่ะหรือ ผมลองคิดทบทวนไปทบทวนมาอยู่หลายรอบทั้งเรื่องที่เขาเคยทำไว้กับผมแต่วันนี้เขากับดูไม่ได้เหมือนเขาคนก่อนที่เขาเคยเป็นแถมยังดูอ่อนโยนราวกับนี้คือตัวตนของเขาจริงๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือผมรู้สึกสับสนและกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมากเพราะอยู่ภาพที่เคยเกิดขึ้นกับผมในอดีตที่คอยสร้างบาดแผลให้ผมมาตลอดก็ย้อนกลับเข้ามาแต่มันกลับไม่ได้ชัดเจนเท่ากับภาพของคนที่อยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้ ราวกับว่าคนตรงหน้าที่แสนอบอุ่นในตอนนี้จะช่วยลบล้างสิ่งที่เคยผ่านมาได้ ความรู้สึกหลากหลายตีกันในหัวของผมจนผมรู้สึกสับสนไปหมดก่อนที่ผมจะตัดสินใจว่าผมจะเชื่อใจคนตรงหน้านี้ได้ไหม ซึ่งผมก็ได้คำตอบว่า...

ไม่!

ผมสลัดมือผมออกจากมือใบพัดก่อนที่ที่จะเอามือมาเช็ดกับเสื้อเพื่อไล่ความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ นี้ทิ้งไปก่อนที่จะรีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น โดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมองเขาเลย ต่อให้ผมจะได้ยินเสียงเขาตะโกนเรียกตามหลังมาก็ตาม








ได้เห็นหลายๆคอมเมนต์ไรท์ก็มีกำลังใจมาก ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านทุกคนนะคะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
«ตอบ #49 เมื่อ11-02-2021 20:37:17 »

 :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
« ตอบ #49 เมื่อ: 11-02-2021 20:37:17 »





ออฟไลน์ ZilCh

  • ZILCH ความไม่มีอะไรเลย. .
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
«ตอบ #50 เมื่อ11-02-2021 20:46:03 »

อยากอ่านต่อเลย ติดเรื่องนี้แล้ว  :hao7:

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
«ตอบ #51 เมื่อ11-02-2021 22:28:26 »

นิวเยียสับสนมะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
«ตอบ #52 เมื่อ12-02-2021 00:30:07 »

 :hao3:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
«ตอบ #53 เมื่อ12-02-2021 04:43:20 »

โอเคเปลี่ยนเรือก็ได้ พัดนิว :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Do_Maht

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
«ตอบ #54 เมื่อ12-02-2021 19:57:03 »

Chapter 10

เปิดเทอม



นี่ก็นับเป็นเวลาหลายวันแล้วหลังจากที่ผมไปคุยกับใบพัดในวันนั้น ซึ่งหลังจากที่กลับมาถึงห้องผมก็บล็อกช่องทางติดต่อกับใบพัดทุกทางแล้วก็เตรียมตัวรับชะตากรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างแต่ก็ราวกับปาฏิหาริย์ ที่ไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย จนผมมีแว๊บหนึ่งไม่ถึงหนึ่งวิว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วแต่ก็ดึงสติกลับมาได้ ว่าเขาเป็นคนแบบไหน

อีกหนึ่งเรื่องที่ผมยังกลุ้มใจไม่หายเหมือนกับมีอะไรติดอยู่ขนตาแต่ดึงออกไม่ได้ ก็คือเรื่องกระเป๋าของผมที่ยังอยู่กับใบพัด ในนั้นมันมีทั้งบัตรประชาชนบัตรนิสิตรวมทั้งบัตรATM และของอื่นๆ ที่สำคัญอีก แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันจะสามารถระบุได้ว่าผมเคยเป็นใครมาก่อนนั่นยังเป็นอีกนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมวางใจไม่ได้สักทีแต่จะให้ไปเจอหน้าใบพัดผมก็ไม่กล้าเช่นกัน

เห้อ...ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน แต่เรื่องแบบนี้มันชักช้ากันได้จริงๆ น่ะหรือ

ในที่สุดวันเปิดเทอมก็ผ่านไปราวกับกะพริบตาเพราะวันนี้ก็เป็นวันที่สามของการเปิดเทอมเข้าไปแล้วผมรู้สึกว่าช่วงเปิดเทอมที่ผ่านมาโชคเข้าข้างผมเป็นอย่างมาก เพราะผมไม่ได้เจอกับใบพัดเลยซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีกว่าการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลซะอีก เพราะผมไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าอย่างไรเมื่อเจอเขาหลังจากที่ตีแผ่จุดอ่อนของตัวเองออกไปจนหมดแล้ว และผมก็ยังไม่อยากได้ยินคำขู่ใดๆ จากเขาอีก

ในวันนี้ผมมีเรียนแค่ในภาคบ่ายทำให้ผมนั่งรถรางของมหาลัยเล่นอย่างไม่ได้รีบร้อนนักก่อนที่จะลงที่ป้ายหน้าคณะวิทย์ซึ่งผมมีวิชาGEที่ต้องมาเรียนในห้องเรียนรวมของที่นี่ แต่ว่าไม่ใช่ตึกเรียนนี้เพราะตึกที่ผมต้องไปคือSC1 ซึ่งต้องเดินต่อไปอีกหน่อย

Trrrrrr เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ผมต้องหยุดเดินก่อนที่จะหยิบมันออกมาจากกระเป๋า พบรายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอว่าคือชื่อของพี่น้ำตาล

“ครับพี่น้ำตาล” ผมขานรับปลายสายก่อนที่อีกฝ่ายจะเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ดูเต้นน่าดูซึ่งถ้าเดาไม่ผิดพี่เขาคงจะกำลังกระโดดเป็นแน่

“นิวเยียร์วันนี้ว่างไหมเลิกเรียนกี่โมง” พี่น้ำตาลถามรีบๆ

“ก็ไม่ได้ทำอะไรครับผมน่าจะเรียนเสร็จซักบ่ายสาม” ผมตอบไปเพราะวิชาGEส่วนมากจะใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงเท่านั้นในแต่ละคาบ

“ดีเลยงั้น หลังเลิกเรียนเสร็จเราแวะเข้ามาหาพี่ที่คณะหน่อยนะ”

“อ่อ ได้ครับว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ

“ไม่มีอะไรมากหรอกแค่มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อยน่ะงั้นเจอกันนะ” พี่น้ำตาลบอกก่อนที่จะวางสายไปโดยไม่ได้รอคำตอบหรือคำลาใดๆ จากผม

วิชาที่เรียนในวันนี้เป็นวิชาที่ชื่อแนวคิดวิทย์และปรัชญา ซึ่งดูจากชื่อก็น่าจะยากพอตัว และยังมีอะไรแปลกๆ แบบ+1MD พ่วงมาด้วยซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันย่อมาจากอะไร จนผมได้เดินเข้าไปในห้องถึงเพิ่งรู้ว่าคนใน*sec.นี้ค่อนข้างจะแปลกเพราะส่วนมากจะใส่แว่นและนั่งกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมทั้งยังถือไอแพดกันมาคนละเครื่องจนดูแปลกประหลาด ทั้งท่าทางที่ถือapple pencilที่ดูราวกับพร้อมจะจดอยู่ตลอดเวลานั่นอีก

ผมเดินเข้ามาในห้องอย่างรู้สึกแปลกแยกอย่างถึงที่สุดเพราะคนในห้องดูเป็นกลุ่มเป็นก้อนซะเหลือเกิน ผมเดินตรงเข้าไปแถวหน้าๆ ที่ดูเหมือนจะว่างเป็นพิเศษก่อนที่จะชะงักให้กับเสียงของใครคนหนึ่งที่กำลังเรียกผมเสียงดังจนคนทั้งเซ็คหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว ผมรีบมองไปหาต้นเสียงก่อนที่จะเห็นคนตัวสูงที่กำลังกวักมือเรียกผมด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งท่าทางที่ดูดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอผม ผมรีบเดินเข้าไปหาเขาในทันทีก่อนที่จะยกมือไว้

“สวัสดีครับ” ผมทักทายอายๆ เพราะไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเรียกผมหรือคนที่ชื่อเหมือนผมกันแน่เพราะผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะมีคนมาทักก่อนแบบนี้ ทั้งคนตรงหน้ายังแอนเนอร์จี้ล้มเหลืออย่างกับป๊อปอายที่เพิ่งบีบกินผักโขมจากกระป๋องมาหมาดๆ

“เฮ้ยไม่ต้องไว้พี่ก็ได้” คนตรงหน้าว่าพลางปัดไม้ปัดมือแต่กลับยิ้มให้ผมไม่หุบ

“อ่อครับ” ผมตอบเขินๆ เพราะไม่สนิทกับคนตรงหน้ามากนัก

“ว่าแต่นิวเยียร์จำพี่ได้ปะ” เขาถามพลางส่งสายตาเป็นประกายมาให้ผมราวกับคำตอบของผมเป็นรางวัลอย่างไงอย่างงั้น

“เอ่อคือ...ผมจำพี่ได้ว่าพี่เป็นสันทนาการ แล้วก็มีคนชอบพี่เยอะมาก” ผมรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจว่าคำตอบของผมมันจะได้ผลออกมาเป็นยังไง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเกินคาดคิด

“โหน้องนิวเยียร์...พี่ดีใจมากเลยถึงจะจำชื่อพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” เขาบอกเสียงเล็กเสียงน้อย “พี่ชื่อชินนะงั้นต่อไปน้องนิวเยียร์เรียกพี่ว่าชินชินก็แล้วกันจะได้ดูสนิทกัน”

“อ่อครับ งั้นพี่เรียกผมว่านิวเฉยๆ ก็ได้ครับ” ผมบอกพลางยิ้มทำให้พี่ชินยิ้มตามตาหยีได้ไม่อยาก

“เฮ้ยชื่อพี่ยังสองพยางค์เลยอะ ของเราก็ต้องสองพยางค์ด้วยสิ งั้นต่อไปพี่เรียกเราว่านิวๆ โอเคมั้ย” พี่ชินถามพลางรอคำตอบ

“อะ...เอ่อ ก็ได้ครับ” ผมตอบยิ้มเจื่อนๆ พลางรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ แฮะ ถ้าอยากเรียกชื่อผมสองพยางค์ทำไมไม่เรียกนิวเยียร์ล่ะ แล้วทำไมต้องให้ผมเรียกชื่อเขาสองครั้งให้ยุ่งยากด้วย

พี่ชินบอกกับผมว่าเขาลงเรียนวิชานี้คนเดียวเนื่องจากเขายังเก็บวิชาGEหมวดนี้ยังไม่คบเลยไม่มีเพื่อน พอเห็นผมก็เลยตะโกนเรียกด้วยความดีใจ ก็เลยขอโทษผมใหญ่ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากอาย

เห้อ...หน้าตาคนเรามันเปลี่ยนทัศนคติคนได้จริงๆ สินะทั้งๆ ที่จริงแล้วถ้าเป็นผมคนเดิมก็ไม่ได้มีใครอยากคุยด้วยหรือชวนนั่งด้วยซ้ำ

“นี่ลงไม่ทันเหมือนกันใช่มั้ย ถึงได้มาลงsec.นี้” ชินถามราวกับมันแย่เกินทน ผมพยักหน้าตอบไปก่อนจะถามเขาต่อ

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็นิวนิวไม่เห็นหรือไงว่าsec.นี้มัน+1MD” ชินอธิบายพลางทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปด้วยที่เขาเรียกผมแบบนั้น

“แล้วมันไม่ดียังไงหรือครับ” ผมถามต่อทั้งๆ ที่ยังสลัดความรู้สึกขนลุกออกไปจากตัวผมยังไม่ได้

“เอ่าแล้วกัน ก็การที่มีรหัส+1อะไรสักอย่างแปลว่าเป็นววิชาบังคับที่เอาไว้ให้คนแต่ละชั้นปีในคณะนั้นเรียนน่ะสิ เช่น +1ITก็ของคณะเรา +1ENก็ของวิศวะหรือเรียกว่า+1Angineer แล้วเซ็คนี้+1MDก็คือ+1Medicine หรือพูดง่ายๆ ก็คือนิสิตเกิน70%ในห้องนี้เป็นนิสิตคณะแพทย์” ชินอธิบายพลางยกตัวอย่างให้ผมเห็นภาพมากขึ้นจนต้องร้องอ๋อแล้วตามด้วยคำว่า

“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

ผมคุยกับชินต่อได้ไม่นานอาจารย์ก็เดินเข้ามาให้ห้องซึ่งก็เป็นอาจารย์ผู้หญิงที่แต่งตัวดูมีอายุหน่อย ทำผมลอนหยิก พร้อมกับใส่แว่นตาก่อนจะตบท้ายด้วยกระโปรงทรงเอที่มีที่มีการจับจีบนิดหน่อยดูแล้วท่าทางน่าจะเคร่งพอดู

วิชานี้เริ่มต้นด้วยการแนะแนวกฎกติกาก่อนที่จะเริ่มเรียนทันทีตั้งแต่คาบแรกซึ่งไม่ค่อยมีอาจารย์คนไหนทำกัน แล้วเรื่องที่เรียนในคาบแรกก็คือเรื่องที่ว่า ปรัชญาคืออะไร แล้วยังพูดถึงเรื่องราวของเพลโตและอลิสโตเติ้ลก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการถกเถียงเรื่องความงามว่าแท้จริงแล้วคืออะไร ซึ่งก็ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้มากเพราะจะสอนในบทต่อไป แล้วคาบนี้ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากเพราะจะให้ทุกคนแบ่งกลุ่มกันก่อน แล้วต่อไปจะให้จับกลุ่มกันทำงานตามกลุ่มที่แบ่งให้ตั้งแต่ตอนนี้จนกว่าจะหมดเทอมนี้ ก่อนที่อาจารย์จะส่งรายชื่อทุกคนเข้าคลาสรูมแล้วให้ทุกคนไปดูกลุ่มย่อยของตัวเองแล้วไปนั่งตามโซนที่แบ่งไว้ให้ ซึ่งผมได้อยู่กลุ่ม36ฝั่งซ้ายมือของชั้นเรียน

หลังจากล่ำลากับพี่ชินด้วยความอาลัยที่ดูจะเกินเบอร์ไปมากเสร็จผมก็รีบเดินไปหากลุ่มของผมทันที ผมตัดสินใจที่จะเดินไล่จากกลุ่ม40ที่อยู่ด้านบนสุดก่อนจะไล่ลงมาเพราะจะง่ายกว่าในการหากลุ่มเพราะไม่ได้มีเลขติดบอกไว้

ผมไล่จากกลุ่มที่40ลงมาอีก4แถวก็เจอกับกลุ่มของผมซึ่งตอนนี้มีคนนั่งอยู่แล้ว3คนซึ่งผมเป็นคนที่4 ทว่าแต่ละกลุ่มจะต้องมีสมาชิกทั้งหมดกลุ่มละ5คน คงจะต้องรอให้คนครบก่อนล่ะมั้งถึงจะเริ่มทำอะไรได้ผมรีบเดินไปที่เก้าอีกที่เหลืออยู่ก่อนจะถามกับคนที่อยู่ข้างๆ ว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่36ใช่ไหมซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบกลับมาโดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าผม ผมขอบคุณเขาตามมารยาทก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองที่หน้าชั้นเรียบแบบเดิม

“ขอโทษนะครับนี่กลุ่ม36ใช่มั้ยครับ” เสียงทุ้มของคนที่มาใหม่ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ และเนื่องด้วยผมก็เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์นี้มาสดๆ ร้อนๆ ก็เลยไม่อยากให้คนถามเก้อมานักผมจึงปั้นยิ้มแล้วหันไปตอบคนข้างๆ แต่ผมก็ต้องหยุดชะงักให้กับภาพของคนตรงหน้าตรงหน้า...








ขอบคุณนักอ่านทุกคนเห็นคอมเมนต์หนึ่งวิเคราะห์ไว้ดีมากยังไงก็มาลุ้นไปด้วยกันนะคะ
ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
«ตอบ #55 เมื่อ12-02-2021 20:12:53 »

 :hao6: :hao7:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
«ตอบ #56 เมื่อ12-02-2021 21:56:00 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ ZilCh

  • ZILCH ความไม่มีอะไรเลย. .
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
«ตอบ #57 เมื่อ13-02-2021 01:51:42 »

ใครกันนะ จะเป็นไทม์หรือเปล่า ลุ้นนน  :katai2-1:

ออฟไลน์ Do_Maht

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม (2/2)
«ตอบ #58 เมื่อ13-02-2021 20:01:48 »

หลายวันก่อน

หลังจากกลับมาจากการนัดเจอกับใบพัด ผมก็กลับหอทันทีแล้วก็เอาแต่ก้มหน้าและรีบวิ่งเข้าไปในหอเพราะไม่อยากให้ใครเห็นมากนักว่าผมกำลังร้องไห้อยู่เนื่องจากคงจะไม่เหมาะนักที่ผมจะร้องไห้ในที่สาธารณะแบบนี้มันจะพาลให้คนคิดว่าผมเป็นบ้าซะเปล่าๆ แต่ด้วยความที่เอาแต่ก้มหน้าและวิ่งมาเร็วจนเกินไปทำให้ผมพลาดเดินไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้า

“โอ๊ย แม่งเอ๊ย” เสียงทุ้มสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่ผมจะเห็นว่าเขากำลังทำท่าเหมือนกับกำลังเช็ดอะไรสักอย่างอยู่บนเสื้อ เมื่อผมสังเกตดีๆ ผมก็ถึงกับตาโตด้วยความตกใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยเขาเช็ดทันที เพราะสิ่งที่เลอะอยู่บนเสื้อของเขาเป็นคราบของน้ำซุปและเส้นมาม่าคัพที่ยังมีควันฉุยลอยออกมาไม่หยุดบ่งบอกว่ามันร้อนมากแค่ไหน “เฮ้ย ทำอะไรวะ” เขาพูดขึ้นท่าทางตกใจ

“เอ่อผมขอโทษครับผมแค่อยากจะช่วย” ผมละล่ำละลักบอกไป

“ช่วยอะไรอีกมันไม่ทันแล้ว” น้ำเสียงของเขาไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าด้วยความกลัว ก่อนที่จะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

“งั้นเอาอย่างงี้ไหมครับเดี๋ยวผมจะเอาเสื้อไปซักให้เอง” ผมเสนอพลางเงยหน้าขึ้นมองหน้าโจทก์ของผม

“นี่มึงอีกแล้วเหรอ/นี่มึงอีกแล้วเหรอ” ผมกับไทม์อุทานออกมาพร้อมกันราวกับนัด ส่วนไทม์กลับเอามือชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ

“ทำไมเจอมึงทีไรซวยทุกทีเลยวะ” คราวนี้เป็นไทม์บ้างที่บ่นออกมา แต่ถึงผมจะอยากเถียงเขายังไงก็คงทำไม่ได้เพราะผมผิดจริงๆ “ทำไมเดินไม่รู้จักดูทางวะคิดว่าถนนเป็นของตัวเองหรือไง แล้วมึงจะรับผิดชอบยัง...”

“ก็บอกแล้วไงว่าจะเอาเสื้อไปซักให้!” ผมตะโกนบอกกลับไปด้วยความหน้อยใจพลางน้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงอย่างไม่ทันรู้ตัว ผมไม่ชอบเลยจริงๆ ที่ต้องโดนไอ้เด็กนี้ด่าทั้งที่แต่ก่อนเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแท้ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่มีทางจะมาอยู่ฝั่งเดียวกับผมได้ แล้วอีกอย่างวันนี้ผมก็คิดว่าผมเจอเรื่องร้ายๆ มามากพอแล้ว เลยรู้สึกอ่อนไหวง่ายไปหน่อย

“นะ นี่มึงร้องไห้เหรอ” ไทม์ถามพลางหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวกับสีแดงสลับกันไปดูเหมือนกับเขากำลังคิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ยังไงดี

“ไม่ได้ร้อง” ผมตอบเสียงเฉียบเพื่อจะรีบตัดบทแต่มันกับอู่อี้จนน่าสงสาร “เอาเสื้อมึงมาสิเดี๋ยวกูจะเอาไปซักให้” ผมบอกพลางยื่นมือไปรอรับเสื้อเพราะไม่อยากอยู่ตรงนี้นานนัก

ไทม์ดูเหมือนจะแบล็งค์ไปสักพักก่อนที่จะจับใจความได้ว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง “เดี๋ยวมึงจะบ้าเหรอ จะให้กูถอดเสื้อตรงนี้เนี่ยนะ งั้น ดะ เดี๋ยวกูไปถอดบนห้องแล้วเอามาให้แล้วกัน” ไทม์พูดรนๆ และไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้านหรือต่อล้อต่อเถียงอย่างทุกทีแต่ดูเหมือนเขาจะหาทางออกจากตรงนี้ให้ได้เร็วๆ เสียมากกว่า เพราะคงทนความกระอักกระอ่วนไม่ไหวเมื่อเห็นคนอื่นร้องไห้

แปลกแต่ก่อนเขาก็ปลอบผมตอนร้องไห้บ่อยจะตายแถมเขายังเป็นคนที่อบอุ่นมากอีกด้วย ทุกครั้งที่ผมร้องไห้เขาก็จะเดินเข้ามาปลอบในแบบของเขาแล้วหาของอร่อยๆ มาให้ผมกินแต่สิ่งที่จะได้กินทุกครั้งคือ นมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตกับส้มเพราะเขาบอกว่านมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตช่วยคลายเครียด และส้มก็ยังช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของตาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเอาสองอย่างนี้มาให้ตลอดเวลาผมมีน้ำตา

จะว่าไปไทม์ก็เห็นน้ำตาของผมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แล้วทำไมยังไม่ชินอีกล่ะ อ่อจริงสิ ผมลืมบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไป ผมกับไทม์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าสินะแม้แต่ชื่อของผมไทม์ยังไม่รู้จักเลย พอคิดดูแล้วทำไมมันรู้สึกโหวงในใจแปลกๆล่ะ...

ไทม์เดินกลับลงมาจากหอด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่สะอาดเอี่ยมต่างจากชุดที่แล้วที่เต็มไปด้วยคราบน้ำซุปจากฝีมือของผมซึ่งในมือเขาก็ยังเอาเสื้อตัวนั้นมาด้วยเพื่อให้ผมรับชอบอย่างที่ผมบอกไป แต่ตอนนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว

“ขอโทษนะ” ผมชิงพูดก่อนที่ไทม์จะพูดอะไรออกมา พลางยื่นของในมือที่ผมวิ่งออกไปซื้อหน้าหอตอนที่ไทม์ขึ้นไปเปลี่ยนชุดส่งให้

“อะไร” ไทม์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็คืนมาม่าที่ทำหกเมื่อกี้ไง แล้วนี่ก็ยาทาแผลน้ำร้อนลวก” ผมตอบออกไปโดยที่ไม่มองหน้าไทม์เพราะรู้สึกอายซะเต็มแก่ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้

ไทม์เงียบไปสักพักก่อนที่จะยื่นมือมารับของในมือผมไป “ขอบใจ” เขาตอบสั้นๆ แต่มันกลับทำให้จากที่แลกที่ผมรู้สึกใจแฟบไปหมดตอนนี้ฟูขึ้นมาในระดับปกติแล้วผมจึงหันหน้าขึ้นไปยิ้มให้เขา

“ไม่เป็นไรเต็มใจ”

“...” ใบพัดเงียบไปสักพักก่อนที่เขาจะเอาเสื้อในมือยัดเข้ามาในมือผมแล้วเดินหนีทันที

ไอ้เด็กนี่ ถ้าพ่อได้กลับไปสอนจะเทคคอร์สสอนมารยาทซะให้เข็ด แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเสื้อของไอ้เด็กนั่นทำไมมันหนักและแข็งแปลกๆ

จะโดนแกล้งหรือเปล่าเนี่ย

ผมค่อยเปิดข้างในเสื้อออกดูอย่างไม่รีบร้อนนักก่อนจะต้องหลุดยิ้มออกมา เพราะสิ่งที่ห่ออยู่ในเสื้อคือนมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตกับส้มอีกสองผล

นี่ผมยังได้รับอนุญาตให้ได้รับสิทธิ์นี้จากไทม์ด้วยยเหรอ แม้ว่าผมจะเป็นนิวเยียร์นี่นะ แต่พอลองคิดดูอีกทีผมก็อดจะใจหายไม่ได้ เพราะคนที่ได้รับสิทธิ์นี้จากไทม์ ไม่ใช่ “นว” แค่คนเดียวเหมือนอย่างเคยทว่ากลับยังมีคนแปลกหน้าอย่าง “นิวเยียร์” เพิ่มขึ้นมาอีกคน



ปัจจุบัน

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้คือคนที่ผมพยายามจะเลี่ยงอีกคนหนึ่งถึงแม้ผมจะยังติดค้างเขาอยู่ก็ตาม

“ใช่คะ ครับ” ผมติดอ่างอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นไทม์ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าไทม์เองก็ดูเหมือนกับว่าจะนิ่งไปสักครู่เหมือนกันก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งข้างผมอย่างเงอะๆ งะๆ

ผมกับไทม์ต่างคนต่างหันหน้าหนีไปคนละทางอย่างประดักประเดิด ไม่มีใครพูดอะไรกันออกมาจนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายที่ทนความอึดอัดนี้ไม่ได้เลยตัดสินใจพูดแทรกความเงียบนั้นออกไป

“เอ่อ แผลหายแล้วเหรอ” ผมถามขึ้นราวกับพูดลอยๆ แต่ไทม์กับหันหน้ามามองผม

“อื่ม ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” เขาตอบเรียบๆ ก่อนที่เราทั้งสองจะหันหน้าออกจากกันไปคนละทาง จากตอนแรกที่ผมคิดว่าจะคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายแต่มันกลับได้ผลในทางตรงกันข้ามซะได้ ไม่รู้สิผมรู้สึกว่าระหว่างผมกับไทม์อยู่ๆ ก็เหมือนมีเส้นอะไรมากั้นเราออกไปไม่ให้กล้ามองหน้ากันซะงั้น

ไม่นานนักอาจารย์อาจารย์ก็ให้กระดาษมากลุ่มละหนึ่งแผ่น เพื่อให้มาทำงานกลุ่มร่วมกันในหัวข้อความ “งามที่แต่ละคนนิยามคืออะไร?”

ก่อนจะเริ่มทำงานเราแต่ละคนก็ได้แนะนำตัวกันทีละคนซึ่งนอกจากผมกับไทม์แล้วในกลุ่มก็จะมีผู้หญิงตัวอวบๆ ใส่แว่นรวบผมหางม้าไว้ลวกๆ ชื่อ “เฟย์” อยู่คณะศึกษาศาสตร์ คนต่อมาค่อนข้างมาแหวกเพราะเธอเลือกที่จะใส่ชุดลำลองกับรองเท้าที่ใส่แล้วดูสบายซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่รองเท้าผ้าใบและเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงแต่กลับดูมั่นใจในตัวของตัวเองจนไม่มีใครกล้าทักเธอในเรื่องชุด ซึ่งเธอบอกให้เรียกเธอว่า “ปานวาด” มาจากคณะการเมืองการปกครอง ส่วนคนสุดท้ายเป็นผู้ชายตัวผมสูงผิวคล้ำออกแทนๆ ชื่อ “ต้น” จากคณะบัญชีและการจัดการ ผมแนะนำตัวเป็นคนรองสุดท้าย

“เอ่อ เราชื่อนิวเยียร์นะ” ผมบอกพลางเหล่ตาไปทางไทม์เพราะอยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรแต่พอมองไปกลับทำให้สายตาผสานกันกับเขาพอดีจนทำให้เราทั้งสองคนต้องรีบเบือนหน้าหนีจากกันโดยไม่ตั้งใจ

“เป็นอะไรกันอะ” ปานวาดถามพลางมองผมสองคนสลับกันไปมา

“อ่อ เปล่า” ผมตัดบท “เรามาจากคณะไอทีนะ สาขาครีเอทีฟ” ผมรีบบอกก่อนที่จะมีใครถามอะไรขึ้นก่อนที่จะถึงตาของไทม์

“เราชื่อไทม์ คณะแพทย์เอกDM (Doctor of medicine) ” ไทม์พูดออกมาเสียงเรียบดูไม่ได้ประม่าแต่อย่างใดแต่มันกลับไม่เป็นมิตรมากนัก จนทำให้เสน่ห์จากใบหน้าหล่อๆ ของเขาดร็อปลงแต่ก็ไม่ได้มากนักเพราะมันยังทำให้เฟย์มองเขาด้วยใบหน้าเดี๋ยวแดงเดียวขาวสลับกันทั้งดวงตากับยังชวนฝันอยู่ได้

จะว่าไปในที่สุดเราก็ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการจนได้ ต่อไปนี้ผมจะได้ไม่ต้องเรียกเขาแค่ “มึง” อีกต่อไปและเมื่อผมเรียกชื่อเขาก็คงจะไม่มีปัญหาเหมือนครั้งแรก

ในวันนี้คนในกลุ่มไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะงานก็คือให้แต่ละคนเขียนความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้น ทุกคนจึงต่อคิวกันเขียนคำตอบเริ่มจากต้น ปานวาด เฟย์ ผมแล้วคนสุดท้ายก็คือไทม์ แล้วเมื่อไทม์เขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษให้กับปานวาดเพราะเธอบอกว่าเธอจะเอาไปส่งเอง

“เดี๋ยว ‘ของจริง’ งั้นเหรอหมายความว่าไงอะ” ปานวาดถามขึ้นพลางมองไปทางไทม์อย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเธอได้อ่านคำตอบสั้นๆ ของไทม์หลังจากที่เธอตรวจสอบความถูกต้องของกระดาษก่อนที่จะนำไปส่ง ซึ่งมันทำให้ผมถึงกับตัวแข็งเมื่อได้ยินคำตอบของไทม์

“...” ไทม์ไม่ได้ตอบแต่กลับเก็บของต่อไป

“นี่จะบอกว่าอะไรที่ไม่ใช่ของจริงก็ไม่สวยงั้นเหรอ” ปาดวาดถามอย่างหาเรื่องและเริ่มจะโกรธขึ้นมาแล้ว

“ฉันหมายถึงความสวยไม่ได้หมายถึงเพศสภาพสักหน่อยเธอจะโกรธทำไม” ไทม์ถามทั้งๆ ที่ยังทำท่าเก็บของต่อไปไม่ได้หันมามองปานวาดเลย

“เหอะ ก็ดีเนอะที่ที่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ แต่ทำไมต้องตอบแบบเหยียดคนอื่นเขาด้วย ใครจะทำอะไรเพื่อเพิ่มความมั่นใจมันก็เรื่องของเขา มันผิดมากนักเหรอ” ปานวาดพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิมทำให้คนเริ่มสนใจกลุ่มเรามากขึ้น ผมค่อนข้างเข้าใจเธอเพราะดูจากคณะที่เธอเรียนรวมกับการแต่งตัวของเธอแล้วเธอคงจะซีเรียสกับเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลมากพอดู

“อย่างแรกนะนี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของฉัน และอย่างที่สองคือฉันเกลียดคนทำศัลยกรรมที่สุด” ไทม์ตอบเสียงหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำก่อนที่จะเดินจากไปทันทีปล่อยให้ปานวาดสบถไล่หลังคนไร้มารยาทอย่างไทม์อยู่อย่างนั้น

แต่สำหรับผมเหมือนกับได้ยินเสียงฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง! สนั่นกึกก้องไปหมดราวกับว่าเป็นผมเองที่ถูกฟ้าผ่าจนหูอื้อไปหมด ผมรู้สึกราวกับโดนน้ำเย็นๆ เทราดหัวจนผมชาไปทั้งตัว ผมเคยคิดนะว่าสักวันผมอาจจะมีโอกาสบอกไทม์ว่าผมเป็นใครเมื่อเราโตมากกว่านี้แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ

ผมได้แต่นั่งตัวแข็งอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกที่ดิ่งลงทุกๆ นาที เหมือนกับว่าผมได้เสียคนที่ผมเคยไว้ใจที่สุดและยังไว้ใจจนถึงตอนนี้ไปแล้ว เมื่อสิ่งที่ผมทำลงไปกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกลับรู้สึกแย่มากที่ได้ยินคำว่าเกลียดจากคนที่เคยเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างผมเสมอ...













« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2021 20:36:20 โดย Do_Maht »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม (2/2)
«ตอบ #59 เมื่อ13-02-2021 20:27:11 »

 :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด