หลายวันก่อน
หลังจากกลับมาจากการนัดเจอกับใบพัด ผมก็กลับหอทันทีแล้วก็เอาแต่ก้มหน้าและรีบวิ่งเข้าไปในหอเพราะไม่อยากให้ใครเห็นมากนักว่าผมกำลังร้องไห้อยู่เนื่องจากคงจะไม่เหมาะนักที่ผมจะร้องไห้ในที่สาธารณะแบบนี้มันจะพาลให้คนคิดว่าผมเป็นบ้าซะเปล่าๆ แต่ด้วยความที่เอาแต่ก้มหน้าและวิ่งมาเร็วจนเกินไปทำให้ผมพลาดเดินไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้า
“โอ๊ย แม่งเอ๊ย” เสียงทุ้มสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่ผมจะเห็นว่าเขากำลังทำท่าเหมือนกับกำลังเช็ดอะไรสักอย่างอยู่บนเสื้อ เมื่อผมสังเกตดีๆ ผมก็ถึงกับตาโตด้วยความตกใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยเขาเช็ดทันที เพราะสิ่งที่เลอะอยู่บนเสื้อของเขาเป็นคราบของน้ำซุปและเส้นมาม่าคัพที่ยังมีควันฉุยลอยออกมาไม่หยุดบ่งบอกว่ามันร้อนมากแค่ไหน “เฮ้ย ทำอะไรวะ” เขาพูดขึ้นท่าทางตกใจ
“เอ่อผมขอโทษครับผมแค่อยากจะช่วย” ผมละล่ำละลักบอกไป
“ช่วยอะไรอีกมันไม่ทันแล้ว” น้ำเสียงของเขาไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าด้วยความกลัว ก่อนที่จะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
“งั้นเอาอย่างงี้ไหมครับเดี๋ยวผมจะเอาเสื้อไปซักให้เอง” ผมเสนอพลางเงยหน้าขึ้นมองหน้าโจทก์ของผม
“นี่มึงอีกแล้วเหรอ/นี่มึงอีกแล้วเหรอ” ผมกับไทม์อุทานออกมาพร้อมกันราวกับนัด ส่วนไทม์กลับเอามือชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ
“ทำไมเจอมึงทีไรซวยทุกทีเลยวะ” คราวนี้เป็นไทม์บ้างที่บ่นออกมา แต่ถึงผมจะอยากเถียงเขายังไงก็คงทำไม่ได้เพราะผมผิดจริงๆ “ทำไมเดินไม่รู้จักดูทางวะคิดว่าถนนเป็นของตัวเองหรือไง แล้วมึงจะรับผิดชอบยัง...”
“ก็บอกแล้วไงว่าจะเอาเสื้อไปซักให้!” ผมตะโกนบอกกลับไปด้วยความหน้อยใจพลางน้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงอย่างไม่ทันรู้ตัว ผมไม่ชอบเลยจริงๆ ที่ต้องโดนไอ้เด็กนี้ด่าทั้งที่แต่ก่อนเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแท้ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่มีทางจะมาอยู่ฝั่งเดียวกับผมได้ แล้วอีกอย่างวันนี้ผมก็คิดว่าผมเจอเรื่องร้ายๆ มามากพอแล้ว เลยรู้สึกอ่อนไหวง่ายไปหน่อย
“นะ นี่มึงร้องไห้เหรอ” ไทม์ถามพลางหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวกับสีแดงสลับกันไปดูเหมือนกับเขากำลังคิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ยังไงดี
“ไม่ได้ร้อง” ผมตอบเสียงเฉียบเพื่อจะรีบตัดบทแต่มันกับอู่อี้จนน่าสงสาร “เอาเสื้อมึงมาสิเดี๋ยวกูจะเอาไปซักให้” ผมบอกพลางยื่นมือไปรอรับเสื้อเพราะไม่อยากอยู่ตรงนี้นานนัก
ไทม์ดูเหมือนจะแบล็งค์ไปสักพักก่อนที่จะจับใจความได้ว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง “เดี๋ยวมึงจะบ้าเหรอ จะให้กูถอดเสื้อตรงนี้เนี่ยนะ งั้น ดะ เดี๋ยวกูไปถอดบนห้องแล้วเอามาให้แล้วกัน” ไทม์พูดรนๆ และไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้านหรือต่อล้อต่อเถียงอย่างทุกทีแต่ดูเหมือนเขาจะหาทางออกจากตรงนี้ให้ได้เร็วๆ เสียมากกว่า เพราะคงทนความกระอักกระอ่วนไม่ไหวเมื่อเห็นคนอื่นร้องไห้
แปลกแต่ก่อนเขาก็ปลอบผมตอนร้องไห้บ่อยจะตายแถมเขายังเป็นคนที่อบอุ่นมากอีกด้วย ทุกครั้งที่ผมร้องไห้เขาก็จะเดินเข้ามาปลอบในแบบของเขาแล้วหาของอร่อยๆ มาให้ผมกินแต่สิ่งที่จะได้กินทุกครั้งคือ นมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตกับส้มเพราะเขาบอกว่านมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตช่วยคลายเครียด และส้มก็ยังช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของตาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเอาสองอย่างนี้มาให้ตลอดเวลาผมมีน้ำตา
จะว่าไปไทม์ก็เห็นน้ำตาของผมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แล้วทำไมยังไม่ชินอีกล่ะ อ่อจริงสิ ผมลืมบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไป ผมกับไทม์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าสินะแม้แต่ชื่อของผมไทม์ยังไม่รู้จักเลย พอคิดดูแล้วทำไมมันรู้สึกโหวงในใจแปลกๆล่ะ...
ไทม์เดินกลับลงมาจากหอด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่สะอาดเอี่ยมต่างจากชุดที่แล้วที่เต็มไปด้วยคราบน้ำซุปจากฝีมือของผมซึ่งในมือเขาก็ยังเอาเสื้อตัวนั้นมาด้วยเพื่อให้ผมรับชอบอย่างที่ผมบอกไป แต่ตอนนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว
“ขอโทษนะ” ผมชิงพูดก่อนที่ไทม์จะพูดอะไรออกมา พลางยื่นของในมือที่ผมวิ่งออกไปซื้อหน้าหอตอนที่ไทม์ขึ้นไปเปลี่ยนชุดส่งให้
“อะไร” ไทม์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คืนมาม่าที่ทำหกเมื่อกี้ไง แล้วนี่ก็ยาทาแผลน้ำร้อนลวก” ผมตอบออกไปโดยที่ไม่มองหน้าไทม์เพราะรู้สึกอายซะเต็มแก่ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้
ไทม์เงียบไปสักพักก่อนที่จะยื่นมือมารับของในมือผมไป “ขอบใจ” เขาตอบสั้นๆ แต่มันกลับทำให้จากที่แลกที่ผมรู้สึกใจแฟบไปหมดตอนนี้ฟูขึ้นมาในระดับปกติแล้วผมจึงหันหน้าขึ้นไปยิ้มให้เขา
“ไม่เป็นไรเต็มใจ”
“...” ใบพัดเงียบไปสักพักก่อนที่เขาจะเอาเสื้อในมือยัดเข้ามาในมือผมแล้วเดินหนีทันที
ไอ้เด็กนี่ ถ้าพ่อได้กลับไปสอนจะเทคคอร์สสอนมารยาทซะให้เข็ด แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเสื้อของไอ้เด็กนั่นทำไมมันหนักและแข็งแปลกๆ
จะโดนแกล้งหรือเปล่าเนี่ย
ผมค่อยเปิดข้างในเสื้อออกดูอย่างไม่รีบร้อนนักก่อนจะต้องหลุดยิ้มออกมา เพราะสิ่งที่ห่ออยู่ในเสื้อคือนมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตกับส้มอีกสองผล
นี่ผมยังได้รับอนุญาตให้ได้รับสิทธิ์นี้จากไทม์ด้วยยเหรอ แม้ว่าผมจะเป็นนิวเยียร์นี่นะ แต่พอลองคิดดูอีกทีผมก็อดจะใจหายไม่ได้ เพราะคนที่ได้รับสิทธิ์นี้จากไทม์ ไม่ใช่ “นว” แค่คนเดียวเหมือนอย่างเคยทว่ากลับยังมีคนแปลกหน้าอย่าง “นิวเยียร์” เพิ่มขึ้นมาอีกคน
ปัจจุบัน
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้คือคนที่ผมพยายามจะเลี่ยงอีกคนหนึ่งถึงแม้ผมจะยังติดค้างเขาอยู่ก็ตาม
“ใช่คะ ครับ” ผมติดอ่างอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นไทม์ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าไทม์เองก็ดูเหมือนกับว่าจะนิ่งไปสักครู่เหมือนกันก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งข้างผมอย่างเงอะๆ งะๆ
ผมกับไทม์ต่างคนต่างหันหน้าหนีไปคนละทางอย่างประดักประเดิด ไม่มีใครพูดอะไรกันออกมาจนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายที่ทนความอึดอัดนี้ไม่ได้เลยตัดสินใจพูดแทรกความเงียบนั้นออกไป
“เอ่อ แผลหายแล้วเหรอ” ผมถามขึ้นราวกับพูดลอยๆ แต่ไทม์กับหันหน้ามามองผม
“อื่ม ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” เขาตอบเรียบๆ ก่อนที่เราทั้งสองจะหันหน้าออกจากกันไปคนละทาง จากตอนแรกที่ผมคิดว่าจะคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายแต่มันกลับได้ผลในทางตรงกันข้ามซะได้ ไม่รู้สิผมรู้สึกว่าระหว่างผมกับไทม์อยู่ๆ ก็เหมือนมีเส้นอะไรมากั้นเราออกไปไม่ให้กล้ามองหน้ากันซะงั้น
ไม่นานนักอาจารย์อาจารย์ก็ให้กระดาษมากลุ่มละหนึ่งแผ่น เพื่อให้มาทำงานกลุ่มร่วมกันในหัวข้อความ “งามที่แต่ละคนนิยามคืออะไร?”
ก่อนจะเริ่มทำงานเราแต่ละคนก็ได้แนะนำตัวกันทีละคนซึ่งนอกจากผมกับไทม์แล้วในกลุ่มก็จะมีผู้หญิงตัวอวบๆ ใส่แว่นรวบผมหางม้าไว้ลวกๆ ชื่อ “เฟย์” อยู่คณะศึกษาศาสตร์ คนต่อมาค่อนข้างมาแหวกเพราะเธอเลือกที่จะใส่ชุดลำลองกับรองเท้าที่ใส่แล้วดูสบายซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่รองเท้าผ้าใบและเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงแต่กลับดูมั่นใจในตัวของตัวเองจนไม่มีใครกล้าทักเธอในเรื่องชุด ซึ่งเธอบอกให้เรียกเธอว่า “ปานวาด” มาจากคณะการเมืองการปกครอง ส่วนคนสุดท้ายเป็นผู้ชายตัวผมสูงผิวคล้ำออกแทนๆ ชื่อ “ต้น” จากคณะบัญชีและการจัดการ ผมแนะนำตัวเป็นคนรองสุดท้าย
“เอ่อ เราชื่อนิวเยียร์นะ” ผมบอกพลางเหล่ตาไปทางไทม์เพราะอยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรแต่พอมองไปกลับทำให้สายตาผสานกันกับเขาพอดีจนทำให้เราทั้งสองคนต้องรีบเบือนหน้าหนีจากกันโดยไม่ตั้งใจ
“เป็นอะไรกันอะ” ปานวาดถามพลางมองผมสองคนสลับกันไปมา
“อ่อ เปล่า” ผมตัดบท “เรามาจากคณะไอทีนะ สาขาครีเอทีฟ” ผมรีบบอกก่อนที่จะมีใครถามอะไรขึ้นก่อนที่จะถึงตาของไทม์
“เราชื่อไทม์ คณะแพทย์เอกDM (Doctor of medicine) ” ไทม์พูดออกมาเสียงเรียบดูไม่ได้ประม่าแต่อย่างใดแต่มันกลับไม่เป็นมิตรมากนัก จนทำให้เสน่ห์จากใบหน้าหล่อๆ ของเขาดร็อปลงแต่ก็ไม่ได้มากนักเพราะมันยังทำให้เฟย์มองเขาด้วยใบหน้าเดี๋ยวแดงเดียวขาวสลับกันทั้งดวงตากับยังชวนฝันอยู่ได้
จะว่าไปในที่สุดเราก็ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการจนได้ ต่อไปนี้ผมจะได้ไม่ต้องเรียกเขาแค่ “มึง” อีกต่อไปและเมื่อผมเรียกชื่อเขาก็คงจะไม่มีปัญหาเหมือนครั้งแรก
ในวันนี้คนในกลุ่มไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะงานก็คือให้แต่ละคนเขียนความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้น ทุกคนจึงต่อคิวกันเขียนคำตอบเริ่มจากต้น ปานวาด เฟย์ ผมแล้วคนสุดท้ายก็คือไทม์ แล้วเมื่อไทม์เขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษให้กับปานวาดเพราะเธอบอกว่าเธอจะเอาไปส่งเอง
“เดี๋ยว ‘ของจริง’ งั้นเหรอหมายความว่าไงอะ” ปานวาดถามขึ้นพลางมองไปทางไทม์อย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเธอได้อ่านคำตอบสั้นๆ ของไทม์หลังจากที่เธอตรวจสอบความถูกต้องของกระดาษก่อนที่จะนำไปส่ง ซึ่งมันทำให้ผมถึงกับตัวแข็งเมื่อได้ยินคำตอบของไทม์
“...” ไทม์ไม่ได้ตอบแต่กลับเก็บของต่อไป
“นี่จะบอกว่าอะไรที่ไม่ใช่ของจริงก็ไม่สวยงั้นเหรอ” ปาดวาดถามอย่างหาเรื่องและเริ่มจะโกรธขึ้นมาแล้ว
“ฉันหมายถึงความสวยไม่ได้หมายถึงเพศสภาพสักหน่อยเธอจะโกรธทำไม” ไทม์ถามทั้งๆ ที่ยังทำท่าเก็บของต่อไปไม่ได้หันมามองปานวาดเลย
“เหอะ ก็ดีเนอะที่ที่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ แต่ทำไมต้องตอบแบบเหยียดคนอื่นเขาด้วย ใครจะทำอะไรเพื่อเพิ่มความมั่นใจมันก็เรื่องของเขา มันผิดมากนักเหรอ” ปานวาดพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิมทำให้คนเริ่มสนใจกลุ่มเรามากขึ้น ผมค่อนข้างเข้าใจเธอเพราะดูจากคณะที่เธอเรียนรวมกับการแต่งตัวของเธอแล้วเธอคงจะซีเรียสกับเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลมากพอดู
“อย่างแรกนะนี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของฉัน และอย่างที่สองคือฉันเกลียดคนทำศัลยกรรมที่สุด” ไทม์ตอบเสียงหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำก่อนที่จะเดินจากไปทันทีปล่อยให้ปานวาดสบถไล่หลังคนไร้มารยาทอย่างไทม์อยู่อย่างนั้น
แต่สำหรับผมเหมือนกับได้ยินเสียงฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง! สนั่นกึกก้องไปหมดราวกับว่าเป็นผมเองที่ถูกฟ้าผ่าจนหูอื้อไปหมด ผมรู้สึกราวกับโดนน้ำเย็นๆ เทราดหัวจนผมชาไปทั้งตัว ผมเคยคิดนะว่าสักวันผมอาจจะมีโอกาสบอกไทม์ว่าผมเป็นใครเมื่อเราโตมากกว่านี้แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ
ผมได้แต่นั่งตัวแข็งอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกที่ดิ่งลงทุกๆ นาที เหมือนกับว่าผมได้เสียคนที่ผมเคยไว้ใจที่สุดและยังไว้ใจจนถึงตอนนี้ไปแล้ว เมื่อสิ่งที่ผมทำลงไปกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกลับรู้สึกแย่มากที่ได้ยินคำว่าเกลียดจากคนที่เคยเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างผมเสมอ...