บทที่ 5 แผลเป็นอาบโลหิต นกทะเลร้องวนเวียนอยู่เหนือคลื่นแข่งกับเสียงเหล่าพ่อค้าแม่ขายริมฝั่งที่ร้องเรียกหาลูกค้ากันเสียงขรม ทั้งกุ้งหอยปูปลาที่จับได้ก็ถูกวางขายเรียงรายส่งกลิ่นคาวตลบอบอวล
เฉินซื่อย่นจมูก พาลให้คิ้วย่นตามลงมาด้วย
“สำเนียงใต้นี่ฟังดูหนวกหูจริงนะขอรับ”
เพราะความที่ไม่คุ้นเคยกับสำเนียงแถบนี้เลยทำให้ข้ารับใช้ชาวป๋ายเซว่รู้สึกรำคาญใจ แต่เจ้านายที่เป็นถึงองค์รัชทายาทกลับไม่คิดเช่นนั้น
“คงเป็นเพราะเจ้าไม่คุ้นหูน่ะ ...ที่จริงข้าว่าสำเนียงใต้ช่างเป็นสำเนียงที่น่าศึกษา”
งานอย่างหนึ่งของเป้ยหมิงในขณะที่อยู่ที่ซานหลง ก็คือการพบปะสังสรรค์ผู้คนเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทางวังก็มอบเสื้อผ้าแพรประจำแคว้นให้อาคันตุกะทุกคนได้ใส่และไว้เป็นของกำนัล เพราะเกรงว่าเสื้อขนสัตว์จากแคว้นทางเหนือที่พวกเขาเตรียมมาจะทำให้ร้อนเกินไป... ซึ่งถึงจะผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วแต่เป้ยหมิงก็ไม่ได้เบื่อหน้าที่นี้เลย ออกจะเพลิดเพลินกับมันด้วยซ้ำ แต่ดูท่าทางข้ารับใช้คนสนิทที่อยู่แต่ในวังมาทั้งชีวิตจะไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไหร่นัก
“อ้อ เพราะว่ามันเป็นสำเนียงที่ทำให้สื่อสารกับใครๆในต่างแคว้นได้งั้นสินะขอรับ”
น้ำเสียงของเฉินซื่อดูประชดเสียดสีอยู่ในที ทำให้เจ้านายซึ่งกำลังโบกมือตอบเด็กหญิงตัวน้อยต้องหันกลับมามองเขาอย่างขุ่นใจ
“ก็คงเช่นนั้นกระมัง...”
เป้ยหมิงประชดตอบ นึกรำคาญใจที่บ่าวผู้นี้เจ้ากี้เจ้าการยิ่งกว่าพระมารดาของตนเสียอีก
“ท่านก็คงรู้ใช่ไหมขอรับว่าข้าหมายถึงอะไร ...เมื่อคืนนี้ท่านก็ไปลอบพบกับเจ้าทหารนั่นอีกแล้ว!”
เฉินซื่อพูดเสียงขึ้นจมูก แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเจ้านายหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ
“มันก็เป็นสิทธิ์ของข้า มิใช่หรือ?”
...จะปฏิเสธไปก็เปล่าประโยชน์ แต่เป้ยหมิงก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองที่ข้ารับใช้ยังมาสอดแนมเขาได้แม้ในยามที่เขาต้องการความเป็นส่วนตัว ...ยิ่งจะโมโหเสียอีกถ้าเฉินซื่อจะห้ามให้เขาทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น
ผ่านมาก็เกือบเจ็ดวันแล้ว แต่ทุกคืนหลี่ไป๋ก็ยังมาที่ศาลาริมน้ำนั้นเหมือนกับว่าคนที่เข้ามาแทรกกิจวัตรนั้นคือเป้ยหมิงเสียเอง ...และแม้ว่าจันทร์แต่ละคืนเริ่มคืนเสี้ยว ทว่าเรื่องราวที่ให้พูดคุยกันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่รู้จบ และน่าแปลกที่ชายแปลกหน้าผู้นี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองได้แม้จะเพิ่งรู้จักกันเท่านั้น
...บางวันก็ถึงขั้นนึกอยากให้ตะวันลับขอบฟ้าไปเร็วๆยิ่งดี
“ก็ข้าไปได้ยินมาว่า ชายผู้นั้นเป็นคนอันตราย” เฉินซื่อพูดเสียงต่ำ พยายามให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เจ้าไปได้ยินมาจากไหนล่ะ? ไปแอบฟังใครมาอีกแล้วงั้นรึ”
“ก็ไม่เชิงหรอกขอรับ ...มีนางในวังเขาพูดกันแล้วคนของเราก็ไปได้ยินเข้า” ชายหนุ่มพยายามเร่งฝีเท้าตามเจ้านายเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเขาแน่ๆ
“วิสัยสตรีก็ชอบพูดจาไปเรื่อยเปื่อย เจ้าจะไปแน่ใจได้อย่างไรกัน”
“ก็ข้าไปได้ยินมาว่า...” เฉินซื่อสูดหายใจลึก แล้วเล่าเรื่องในรวดเดียว “...ชายพูดนั้นเคยเป็นทหารรับกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว เป็นทหารที่ซื่อสัตย์ ...แต่แล้วสุดท้าย เขาก็เป็นผู้ลอบสังหารกษัตริย์เสียเอง!”
เป็นข่าวลือที่รุนแรงยิ่งกว่าโดนตบหน้า ในอกเป้ยหมิงว่างวูบไปชั่วขณะ ... ข่าวลือน่าสะพรึงกลัวที่เคยสะพัดไปทั่วแผ่นดินจีนว่าทหารอารักขาคนสนิทลอบสังหารกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวแล้วหลบหนีไปได้
...แท้จริงคือหลี่ไป๋ผู้นี้เองหรอกหรือ? “เขาถูกตามไล่ล่า แล้วพอจนมุมก็เลยฆ่าเหล่าทหารที่เคยเป็นพวกเดียวกันเองไปกว่าสิบคนด้วยเพลงดาบเพลงเดียว! ...กล่าวลือกันว่าเขาเป็นยิ่งกว่าอสูรกระหายเลือด ไร้ความเมตตา
ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน!”
“เจ้ากล่าวเกินจริงมากไปแล้ว!” เป้ยหมิงรีบตัดบทเพราะไม่อยากทนฟังมากไปกว่านี้
“ก็ข้าได้ยินมาเช่นนั้น!” แต่เฉินซื่อยังคงดื้อดึง “แล้วหลังจากนั้น พอมีทหารหรือจอมยุทธหน้าไหนเข้ามาใกล้เขาก็สังหารเสียหมด โหดเหี้ยมเสียจนเป็นที่หวาดกลัวในสังคม ...จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับท่านหงฟี่ที่ไปส่งเครื่องบรรณาการให้แผ่นดินโจว เขาก็เลยหลบหนีมาที่ซานหลง แล้วกลายมาเป็นองครักษ์ของต้าอ๋องจนถึงปัจจุบัน”
...พลันรอยแผลเป็นมากมายบนผิวกายของหลี่ไป๋ก็ฉายชัดขึ้นมาในห้วงคำนึง ยิ่งชวนให้นึกสงสัยว่าเรื่องราวเหลือเชื่อนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“ท่านก็เคยได้ยินข่าวลือใช่ไหมว่าท่านหงฟี่เป็นผู้ลอบสังหารพระเชษฐาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์” เฉินซื่อลดเสียงลงเป็นกระซิบ “...แต่ข้าคิดว่าบางทีท่านหงฟี่อาจจะยืมมือหลี่ไป๋ให้ลงมือเสียมากกว่า”
“เจ้าก็แค่อนุมานไปเองมิใช่หรือ?”
“ท่านก็ลองคิดดูเถิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าคนทรยศอย่างเขาอาจจะลอบสังหารอ๋องหงฟี่อีกก็ได้ หรือสังหารใครก็ตามที่เขาใกล้ชิด ...ท่านก็รู้ สันดานคนทรยศมันย่อมไม่มีวันเปลี่ยนไปได้”
ชายหนุ่มรู้ว่าที่ข้ารับใช้พูดมานั้นเป็นเพียงเพราะความหวังดี ...แต่ความประสงค์ร้ายที่แฝงมาในประโยคว่าให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับหลี่ไป๋กลับทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่เจ้าได้ยินมาก็แค่ข่าวลือเท่านั้น ...อย่าได้ตีตนไปก่อนไข้เลย บางทีมันอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้”
“ท่านเป้ยหมิง ...ข้าขอร้องเถิดขอรับ อย่าไปยุ่งกับคนพรรค์นั้นอีกเลย”
องค์รัชทายาทนึกจะต่อปากต่อคำต่อ แต่ก็คร้านจะเถียงด้วยแล้ว เพราะรู้ว่าคนอย่างเฉินซื่อให้ค้านอะไรก็คงไม่ยอมฟัง ...จะมีทางเดียวที่จะรู้ความจริงได้ก็คือ
ต้องไปถามจากปากเจ้าตัวเพียงเท่านั้น...................................................................
“เจ้าองครักษ์นั่น มันต้องสงสัยข้าอยู่แน่ๆ!”
ตั่วหยางเปิดประตูเดินปึงปังเข้ามาในห้อง แล้วก็พบว่าหยาโจวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว
“วันนี้ก็ยังไม่สำเร็จอีกหรือ?”
“เจ้าก็ลองมาทำอย่างข้าดูบ้างสิ! เจ้าองครักษ์นั่นก็ตามติดหงฟี่เสียแจ ใครมันจะหาโอกาสฆ่าได้! ...นี่ถ้าข้าพลาดไปก็คงมีหวังโดนประหารเหมือนนางนั่นแน่ๆ”
หยาโจวลดหนังสือในมือลง... “เดี๋ยวนี้เจ้าเรียกมันว่าหงฟี่แล้วรึ?”
ชายหนุ่มชะงัก ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองพูดอะไรออกไป
“ข้าจะเรียกมันว่าอะไรก็ช่างข้าเถอะ! ...แล้วนี่หลินไน่อยู่ไหนกัน”
“เห็นมันบอกว่าออกไปให้อาหารม้า”
ตั่วหยางเดินลงมานั่งที่เก้าอี้ แก้มวยผมออกแล้วใช้นิ้วสางอย่างไม่สบอารมณ์ ...นั่งพักเพียงไม่นานหลินไน่ก็เข้ามาในห้อง พร้อมเสื้อผ้าเปื้อนโคลนดูมอมแมม
“อ้าว ตั่วหยาง ...เป็นไงล่ะวันนี้”
พอเห็นสีหน้าหงุดหงิดใจของเพื่อน หลินไน่ก็รู้ว่าตนถามไม่ถูกเวลาเสียแล้ว
“มันยังไม่ตาย”
“อะไรกัน? นี่มันจะครบสัปดาห์อยู่แล้วเจ้ายังฆ่ามันไม่ได้อีกหรือ?”
“เจ้าก็ลองมาทำดูเองสิ!”
“ที่เจ้าฆ่าไม่ได้เป็นเพราะเจ้านึกสงสารมันหรืออย่างไร?”
“ไม่ใช่! เป็นเพราะเจ้าองครักษ์นั่นมันจับตาดูข้าอยู่ต่างหาก!”
“นี่พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเลยน่า” หยาโจวปรามเสียงเครียด
“ข้าว่าเป็นเพราะเจ้ายังเข้าใกล้มันไม่มากพอต่างหาก ...นี่อุตส่าห์ปลอมเป็นหญิงแล้วก็ใช้มารยาหญิงหน่อยซี่!”
ตั่วหยางเลือดขึ้นหน้า
“เจ้าไม่ได้ทำเจ้าก็พูดได้นี่!” ...ประตูแง้มเปิดเสียงดังเอี๊ยด ทำให้ชายทั้งสามที่อยู่ในห้องถึงกับสะดุ้งเฮือก
“ตั่วหยางกลับมารึยังจ๊ะ?”
ปรากฏว่าผู้ที่เปิดประตูคือหญิงชราเจ้าของโรงเตี๊ยม ทุกคนก็เลยถอนหายใจอย่างโล่งอก ...ดีที่หล่อนสายตาเริ่มฝ้าฟางเลยถูกหลอกว่าตั่วหยางเป็นผู้หญิงไปอีกคน
“นี่ไงขอรับ มันกลับมาแล้ว” หลินไน่จับไหล่เพื่อนให้หันหน้าไปหาแม่เฒ่าประกอบคำพูดของตน
“ดีเลยลูก วันนี้ยายไปค้นเจอปิ่นอันโปรดของยายด้วย”
ว่าแล้วหญิงชราก็เปิดกล่องไม้เล็กๆ แล้วหยิบปิ่นเงินที่มีเครื่องประดับห้อยลงมาเป็นพวงระยิบระยับให้ดู ทำให้บรรยากาศบาดหมางของสหายทั้งสามเมื่อครู่นี้สลายไปในทันที
“เอ้อ... ไม่เป็นไรหรอกจ้ะยาย” ตั่วหยางยิ้มอย่างเกรงใจ
“ทำไมล่ะลูก ...ไม่งั้นตั่วหยางมาเลือกของกับยายไหม ยายไปเจออีกเยอะเลย”
แล้วชายหนุ่มผู้โชคร้ายก็ถูกมือเล็กๆเหี่ยวย่นค่อยๆลากออกไปจากห้อง โดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของเจ้าของโรงเตี๊ยมได้ลง ดังนั้นก่อนจะไปเขาจึงกระซิบฝากเพื่อนในห้องเอาไว้
“วันพรุ่งนี้มันจะออกไปล่าสัตว์ ...เจ้าจะใช้แผนอย่างไรก็บอกข้าด้วยแล้วกัน”
ประตูไม้ค่อยๆปิดลง... และในความเงียบที่คืบคลานเข้ามา ทำให้หยาโจวคิดแผนอะไรได้
“หลินไน่ ...เจ้าคิดว่าเช่นไร”
“เรื่องอะไร? เรื่องที่เจ้าอ๋องนั่นจะออกไปล่าสัตว์งั้นหรือ...” ชายร่างอ้วนดูครุ่นคิด “...เดี๋ยวข้าไปสืบมาให้ก็ได้ว่ามันจะไปที่ไหน”
“ดีเลย ...เราจะได้มีโอกาสเข้าหามันได้”
หลินไน่เงียบไป
“หมายความว่าเจ้าจะไปฆ่าเจ้านั่นเองน่ะรึ!”
“มันออกจากวังก็เป็นโอกาสของพวกเราแล้ว” หยาโจวเอ่ยเสียงหนักแน่น “ตั่วหยางอุตส่าห์ยอมปลอมเป็นสตรีเพื่อเรา นี่ก็ถึงคราวที่เราต้องลงมือบ้างแล้ว”
เมื่อได้ฟังดังนั้นหลินไน่ก็ได้แต่นิ่งเงียบ แม้จะหวั่นอยู่ในใจว่าฝีมือต่อสู้ของพวกเขาจะเป็นรองตั่วหยางอยู่มาก และเทียบไม่ได้เลยกับนักสังหารมืออาชีพ ...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสอันดีได้มาถึงแล้ว
...................................................................
จันทร์ดวงเดิมลอยแขวนอยู่ที่เดิม หลี่ไป๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองเงาจันทร์ในน้ำอยู่เนิ่นนาน
“ท่านหลี่ไป๋...”
ทหารหนุ่มหลุดจากภวังค์ พอหันไปก็พบว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งป๋ายเซว่นั่นเอง
“อากาศเริ่มหนาวแล้วนะขอรับ ท่านอยู่ข้างนอกเดี๋ยวจะไม่สบาย”
เป้ยหมิงเดินเข้ามาใกล้ จนมายืนอยู่ตรงระเบียงไม้ข้างๆกับอีกคนเหมือนเช่นทุกคืน
“ที่ป๋ายเซว่หนาวกว่านี้มาก แค่นี้ข้าเรียกว่าแค่เย็นสบายเท่านั้น...”
องครัชทายาทจากแดนหนาวเอ่ยติดตลก ทำให้ชายทหารเผลอยิ้มออกมาได้
“ท่านคงได้รับคำเชิญให้ไปล่าสัตว์กับท่านต้าอ๋องแล้วสินะขอรับ”
เป้ยหมิงหัวเราะเบาๆ “ข้าตอบรับคำเชิญนั้นไปแล้ว ...แต่ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ออกความคิดให้เชิญข้าคือพระมเหสีมิใช่หรือ”
“ท่านโหม่วซาคงคิดว่าคงเป็นการดีล่ะขอรับ เพราะจะได้ถือเป็นการเจริญสัมพันธ์ไมตรีด้วย”
คราวนี้เป้ยหมิงหัวเราะชอบใจดังกว่าเดิม ...คงจะคิดนินทาต้าอ๋องอยู่เป็นแน่
“ที่จริงท่านมานี่ก็ดีแล้ว ...ข้ามีอะไรอยากจะถามท่าน”
สายลมหนาวโชยมาชวนให้เย็นเยือก ...ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความหนาวหรือกระไรที่ทำให้เป้ยหมิงดูเหมือนจะเข้ามาใกล้เขามากกว่าเดิม
ใกล้... จนมือเรียวสัมผัสกับมือหยาบกระด้างของเขา
หลี่ไป๋รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ...ยิ่งเมื่อนิ้วเรียวนั้นไล้ขึ้นมาตามแขนที่เต็มไปด้วยแผลเป็น หัวใจเขาก็แทบจะหลุดออกมาข้างนอก
“แผลเป็นเหล่านี้ ...ท่านได้มาเช่นไรหรือ”
ผู้ถามไม่มองหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่สัมผัสไปตามรอยนูนจากบาดแผลเหล่านั้นเพียงแผ่วเบา
ทหารหนุ่มเงียบไปอยู่นาน
“ท่านอย่ารู้เลยดีกว่าขอรับ”
เป้ยหมิงใจหาย... การไม่ตอบยิ่งคล้ายจะหมายความว่าเป็นเรื่องจริง
“ข้าได้ยินมาว่าท่านลอบสังหารกษัตริย์แห่งแผ่นดินโจว แล้วหนีมาที่ซานหลงกับท่านต้าอ๋อง ...มันเป็นความจริงหรือ?”
หลี่ไป๋รู้สึกตกตะลึงกับคำถามนั้น ...อันที่จริงเขาก็พอรู้อยู่แล้วว่าสายตาหวาดระแวงจากผู้คนในวังนั้นแปลว่าอะไร แต่ไม่ได้นึกว่าข่าวลือร้ายแรงนั้นจะคงอยู่ถึงทุกวันนี้
“...เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวขอรับ”
องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม...”
ชายทหารเงียบไป ...เขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งจะได้รู้จักกันเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นสายตานั่น ปณิธานที่จะเก็บอดีตไว้เป็นความลับก็ถึงกับต้องสั่นคลอน...
เพราะเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงอดีตทีไร ก็คล้ายแผลเป็นต่างๆจะแยกออกตอกย้ำความทรมานเท่านั้น
ยังจำได้เมื่อครั้งยังเป็นเด็กแล้วเฝ้ามองขบวนทหารเดินผ่านทุ่งนาไป ช่างเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ชวนปรารถนายิ่งนัก นับตั้งแต่วันนั้นมันจึงกลายเป็นความฝันของเขา ให้ซุ่มฝึกซ้อมฝีมือเรื่อยมา จนกระทั่งถึงคราที่นครหลวงเกณฑ์ชาวนาเข้าไปเป็นทหารราบ ช่วยปราบปรามแคว้นต่างๆที่แข็งข้อกับราชวงศ์โจว เลยทำให้เขาได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ บวกกับจากความดีความชอบที่เคยช่วยชีวิตกษัตริย์แห่งแผ่นดินโจวไว้ได้ เลยทำให้เขาได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นทหารองครักษ์อย่างง่ายดาย
เพียงแต่มีโอกาสได้ทำงานเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ในราชวงศ์ก็ถึงคราวถึงจุดแตกหัก เมื่อกลุ่มขันทีวางแผนเปลี่ยนตัวกษัตริย์อยู่เงียบๆ รู้สึกตัวอีกทีองค์กษัตริย์ก็ถูกลอบสังหารเสียแล้ว
...พระองค์สิ้นพระชนม์ ในสภาพที่องครักษ์พยายามเข้าช่วยด้วยสองมือแปดเปื้อนโลหิตอยู่คาตา พลันข่าวลวงถูกป่าวประกาศไปทั่วแผ่นดิน องครักษ์อายุน้อยคือผู้ลอบปลงพระชนม์ ...การหลบหนีจึงเป็นทางเลือกเพียงทางเดียวของเขา แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ถูกตามล่า ...กลายเป็นผู้ถูกประกาศจับที่ทหารและจอมยุทธ์ทั่วหล้าหวังตัดคอเขาไปรับรางวัล
...ไร้ทางหนีรอด ความหวังเดียวที่เหลืออยู่คือจำต้องสวมวิญญาณสัตว์เดรัจฉาน ที่ต้องฆ่าศัตรูก่อนที่จะถูกฆ่าเสียเอง จนเกิดคำกล่าวขวัญ
เพลงเดียวพรากสิบวิญญาณ ...ที่ทำให้ทั่วนครหวาดกลัวเขายิ่งกว่าปีศาจตนใด
เคยคิดว่าจะหนีรอด... จนกระทั่งเหล่าศัตรูใช้แผนการสุดท้าย
พวกมันพาแม่ผู้แก่ชราของเขามาล่อ แต่ทว่าเมื่อเขามาถึงและไม่ยอมจำนน มันก็ปาดคอผู้ให้กำเนิดต่อหน้าเขา ทำลายสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตให้สลายสิ้นไปต่อหน้าต่อตา
ทุกคนในวันนั้นกลายเป็นศพ...
หลังจากวันนั้น ทุกคนคือศัตรู ทุกคนคือคนทรยศ ...กี่ศพแล้วที่เขาพรากชีวิต กี่หยาดน้ำตาของญาติคนเหล่านั้นที่เขาทำให้หลั่งริน ...เขาจำไม่ได้
เขากลายเป็นเดรัจฉานไปแล้ว ศึกแห่งการดิ้นรนอยู่รอดดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายเมื่อเขาพลาดพลั้งจนเสียท่า ต้องคลานหนีออกมาถึงทุ่งโล่งคล้ายหมาจนตรอก สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเขานอนรอความตายอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ปล่อยให้สายฝนชโลมเลือดที่ไหลหลั่งให้ซึมลงไปกับแผ่นดิน
...พอรู้สึกตัวอีกที เขาก็ตื่นขึ้นมาบนรถม้า
บาดแผลเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว แม้เขาจะไม่ได้ตาขวาคืนมาก็ตาม ไม่นานนักเขาก็พบว่าผู้ที่คอยดูแลพยาบาลตนคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ลอบพาเขากลับแคว้นมาด้วยกัน
ใช้เวลานานกว่าที่เขาจะเข้าใจสำเนียงของชาวใต้ ทำให้รู้ว่าผู้ที่ช่วยเขาไว้คือโอรสคนสุดท้องของต้าอ๋องแห่งแคว้นนามว่าซานหลง ...และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจฝังอดีตที่ผ่านมาให้ลบเลือนไปจากจิตใจ
หงฟี่เปลี่ยนชื่อให้เขา เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เขา สั่งให้เขาไว้ผมยาวปิดซีกหน้าซีกหนึ่งไว้เพื่อไม่ให้ใครจำได้ ลบอดีตอันเลวร้ายให้เก็บงำฝังลืมมันไป
แต่ในวันนี้... จะให้เขาขุดทุกอย่างขึ้นมาตอกย้ำ... ให้เขาเปิดเผยตัวตนกับคนๆนี้?
ดวงจันทร์ยังคงลอยสงบนิ่ง จ้องมองเดรัจฉานตนนั้นที่ปณิธานกำลังสั่นคลอนอยู่ในใจ
“ได้สิขอรับ ...ถ้าท่านอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง”
...บางทีชีวิตของเขาอาจเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป.