พิมพ์หน้านี้ - 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: blackcoriander ที่ 01-01-2013 01:50:53

หัวข้อ: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 01-01-2013 01:50:53
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบกรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่างๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


----------------------------------------------------------------------------------------



สวัสดีค่ะ ห่างหายไปนาน ยังไม่ตายนะคะ ยังไม่ตาย ฮ่าๆๆ

ฉลองปีใหม่ปี 2013 ด้วยนิยายเรื่องใหม่ก็แล้วกันนะคะ



"ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์"



(http://fc09.deviantart.net/fs70/f/2012/366/4/e/dragon_dance_in_the_moon_by_asrdi001-d5px7oz.jpg)


หนึ่งคืออ๋องทรราชน่าชิงชัง

หนึ่งคือบุรุษผู้หวังลอบสังหาร

อีกหนึ่งเปรียบตัวเองเป็นเดรัจฉาน

อีกหนึ่งไม่เคยหวังเป็นดวงจันทร์




หมายเหตุ:

นิยายเรื่องนี้ไม่มีเจตนาพาดพิงถึงบุคคลในประวัติศาสตร์หรือบุคคลจริงใดๆทั้งสิ้น

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน




หรือหากผู้ใดถูกใจอยากสนทนากันต่อ เชิญได้ ณ ที่อยู่ต่อไปนี้

http://www.facebook.com/blackcoriander.yaoi (http://www.facebook.com/blackcoriander.yaoi)




หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 01-01-2013 02:03:09
บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง




   ใบไม้สีน้ำตาลค่อยๆปลิวปลิวร่วงลงจากขั้ว ....คืนสู่แผ่นดินแห่งแคว้นซานหลง

   ณ กำแพงเมืองสูงตระหง่าน รูปปั้นมังกรสามตัวที่ทำจากเงิน ทอง และหยก อันแสนวิจิตรดูน่าเกรงขามยังคงตั้งสถิตอยู่หน้าประตูเมือง บ่งบอกว่าสัตว์เทพเจ้าทั้งสามจะคอยคุ้มครองนครสมดังชื่อ  ปกปักษ์ประชาชนแดนใต้ที่ทำมาค้าขายกันขวักไขว่   ไล่ตั้งแต่ชาวประมง ชาวไร่ชาวนา พ่อค้า นายช่างเหล็ก ไปจนถึงเหล่าขุนนางในวัง

   ผ่านประตูวังอันโอ่อ่า ...ภายในคือเขตพระราชฐานกว้างใหญ่อลังการ งดงามทุกรายละเอียด เสาหินสีอ่อนค้ำจุนโครงสร้างของวังและยังเป็นสิ่งตกแต่งที่อ่อนช้อย ทุกเสาค้ำมีมังกรพันอยู่ดังเป็นทหารอารักขาราชวัง   หลังคากระเบื้องสีเข้มก็ถูกออกแบบให้โน้มสูงราวกับจะเอื้อมให้ถึงสวรรค์…

   “ต้าอ๋องและพระมเหสีเสด็จแล้ว...”

   เสียงตะโกนของทหารหนุ่มดังก้องไปตามทางเดิน  เบิกทางให้บุคคลสำคัญทั้งสองก้าวผ่านประตูไม้เข้ามาในห้องว่าราชการที่งามงดไม่แพ้กัน

   “ขอจงทรงพระเจริญ”

   ข้าราชบริพารน้อยใหญ่พากันก้มคำนับลงกับพื้นดูพร้อมเพรียง  อ๋องแห่งแคว้นซานหลงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้งามวิจิตร ...ใบหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึกนั้นบ่งบอกว่าเขาเหนื่อยหน่ายกับการว่าราชการอันเป็นหน้าที่ของตนเหลือเกิน

   หงฟี่ ...ชายผู้เป็นถึงต้าอ๋องครองแคว้น แต่ก็ยังทรงพระเยาว์   ภายใต้ชุดคลุมสีทองลายมังกรงดงามนั้นคือชายร่างผอม สีหน้าเรียบนิ่งเย็นชา คล้ายจะไม่พอใจอยู่เสมอ  เล่าลือกันว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครเห็นท่านอ๋องเผยรอยยิ้มเลยสักครั้ง

   “พวกเจ้ามีอะไรมารายงานบ้าง”

   แต่ทว่าคนที่ถามคำถามนี้ขึ้นกับเป็นมเหสีของพระองค์ ...โหม่วซา หญิงสาวผู้งดงามหมดจดด้วยจริยาอ่อนช้อย แต่กลับดูเข้มแข็งหนักแน่นอยู่ภายใน ดังหยกเนื้อดีที่สวยงามและหาได้ยากยิ่ง

   ดูท่าว่าการว่าราชการในวันนี้ คงจะเป็นหน้าที่ของนางอีกเป็นแน่แท้

   “มีสาสน์จากทูตสันถวไมตรีแห่งแคว้นป๋ายเซว่ขอรับ”

   เจ้าหน้าที่คลานเข่าเข้ามายื่นม้วนสาสน์ถวายให้ พลันหญิงสูงศักดิ์มีสีหน้าประหลาดใจ

   “องค์รัชทายาทเป้ยหมิงน่ะหรือ?”

   “ใช่แล้วขอรับ” ชายหนุ่มผู้นำสารคุกเข่าก้มหน้ารายงาน “องค์รัชทายาทส่งสาสน์มาว่าจะมาถึงซานหลงภายในสองวันนี้”

   พระมเหสีคลี่ยิ้ม “ดีแล้ว หากแคว้นเราได้สานสัมพันธ์กับป๋ายเซว่ก็คงจะเป็นการดี ยิ่งช่วงนี้หลายๆแคว้นกำลังระส่ำระส่าย การสงครามอาจเกิดขึ้นในไม่ช้า” ว่าแล้วก็หันไปถามพระสวามี “หงฟี่ ...ท่านคิดว่าเช่นไร”

   อ๋องหนุ่มเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ยินดียินร้ายกับการมาเยือนของอาคันตุกะคนสำคัญ

   “ก็จัดการต้อนรับให้สมเกียรติแล้วกัน”

   “ขอรับ” ชายหนุ่มเมื่อได้รับคำสั่งก็ก้มหน้ารับคำ คลานเข่ากลับไปนั่งประจำที่ หลังจากนั้นพระมเหสีก็จัดการถามต่อ

   “แล้วพวกเจ้ามีอะไรมารายงานอีก”

   ความเงียบปกคลุมภายในห้องชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจะรายงานขึ้นมา

   “นี่ใกล้หมดฤดูเก็บเกี่ยวแล้วขอรับ ...แต่เพราะพายุเมื่อหลายเดือนก่อนทำให้ผลผลิตมีไม่มากเท่าที่วางเป้าหมายเอาไว้” เจ้าหน้าที่รายงานน้ำเสียงกระอักกระอ่วน “กระแสน้ำแปรปรวนทำให้ฝูงปลาอพยพยังมาไม่ถึงตามฤดูกาล และการคมนาคมจากหมู่บ้านที่ทำการเกษตรก็ถูกตัดขาด ทำให้ปีนี้อาจเกิดปัญหาอาหารขาดแคลน---”

   “ข้าเบื่อแล้ว”

   เจ้าหน้าที่ผู้ที่รายงานอยู่ชะงักกึกเมื่อมีเสียงแทรกขึ้นมา และพอหงฟี่ตัดสินใจลุกขึ้น ก็ทำให้ทุกคนในห้องงุนงงกันไปตามๆกัน

   “โหม่วซา ...ข้าจะออกไปล่าสัตว์ ...ฝากเจ้าว่าราชการแทนข้าด้วย”

   “ท่านอ๋อง!” ขุนนางผู้เฒ่าร้องขัดอย่างไม่พอใจ

   “แล้วเรื่องการคลังตอนนี้ล่ะขอรับ? หากเราไม่เก็บภาษีนาเพิ่ม---” เจ้าหน้าที่จากกรมพระคลังรีบแทรกขึ้นมาด้วยความกังวล

   “ก็ให้โหม่วซาตัดสินใจไปสิ”

   “หงฟี่ ...ท่านเลิกทำแบบนี้เสียทีเถอะ” หญิงสาวปรามด้วยเสียงกระซิบ

   “ข้าก็อยากออกไปสูดอากาศบ้างสิ เจอแต่ปัญหาเรื่องเดิมๆทุกวัน อยู่แต่ในวังแล้วข้าจะไปคิดอะไรออก...” ทว่าหงฟี่ก็ยังคงดื้อดึงต่อไป “อีกอย่าง เจ้าก็มีใจจะทำงานมากกว่าข้า”

   ไม่มีการลังเลใดๆ ต้าอ๋องก็ลุกขึ้นเดินจะออกไปจากห้อง ทำให้ข้ารับใช้คนสนิทต้องรีบเอ่ยถามขึ้นให้ทันการ “ท่านต้าอ๋อง! ท่านต้องการพาทหารติดตามไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”

   “ไม่ต้อง   ข้าเอาหลี่ไป๋ไปคนเดียวก็พอ”

   ทุกสายตาในห้องหันมองเจ้าของชื่อคนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ...หลี่ไป๋ ชายร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม มีผมยาวปิดครึ่งหน้าซีกขวาและมีผ้าปิดตาขวาปกปิดแผลฉกรรจ์จากคมดาบ อีกทั้งยังมีแผลเป็นน้อยใหญ่ที่ปรากฏอยู่ทั่วร่างกาย   ด้วยรูปลักษณ์น่าหวาดกลัวของเขาทำให้ไม่มีใครกล้าขัดอะไรขึ้นมาได้อีก

   ทหารหนุ่มโค้งรับคำสั่งหนึ่งที ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามต้าอ๋องอย่างไร้สุ้มเสียง ...แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากห้องก็มีเสียงเรียกไว้เสียก่อน

   “หงฟี่...”

   ได้ยินเสียงมเหสีเรียกทักต้าอ๋องก็ชะงักเท้า สูดหายใจลึกระงับความหงุดหงิดในใจ

   “...ระวังตัวด้วยนะเพคะ”

   สีหน้าของโหม่วซาเองก็เรียบนิ่ง... มีความไม่พึงพอใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงเป็นห่วงนั้น  ทั้งสองคล้ายจะทำศึกกันด้วยสายตาอยู่เนิ่นนาน

   “ข้ารู้แล้ว”

   ตัดความสั้นห้วนและเย็นชา ว่าแล้วต้าอ๋องกับทหารอารักขาก็ออกจากห้องไป ...ทิ้งให้ทุกคนได้แต่มองตามไปในความเงียบงัน นึกเอือมระอาในใจกับการกระทำนั้น

   ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ้านเมืองกำลังใกล้ถึงกลียุค และสงครามทั่วแผ่นดินก็ทำท่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่อ๋องผู้ครองแคว้นก็ยังคงปิดหูปิดตาไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น และก็ยังคงไม่สนคำครหาว่าเขาเป็นอ๋องทรราชที่เริ่มปะทุรุนแรงขึ้นทุกที...

   ฤดูใบไม้ร่วงใกล้จะสิ้นสุดลง หรือว่าซานหลงก็จะร่วงหล่นตามใบไม้ไปด้วยเช่นกัน
   


...................................................................



   เรียวขาเตะฟาดอากาศเฉียบคมราวกับจะตัดไผ่เป็นสองซีกได้...

   ร่างผอมบางเคลื่อนไหวช้าสลับเร็วอย่างสง่างาม ทุกท่วงท่าที่ฝึกฝนทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และหนักแน่น ดูน่าเกรงขาม   แต่ก็ดูไหลลื่นงดงามตระการตาดังการแสดงของนางรำชั้นเลิศ

   ชายหนุ่มผิวคล้ำในชุดสีขาวยังคงร่ายรำดูราวกับมังกรเริงนภา ผมยาวสลวยสีดำขลับที่พลิ้วไหวไปตามท่วงท่าชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นสตรีผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธ  หากใครได้มองก็คงไม่อาจถอนสายตาไปไหนได้

   ทันใดนั้น  ...เสียงเหยียบหญ้าเพียงแผ่วเบาดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท

   เพียงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มเหยียบท่อนไผ่ที่วางอยู่บนพื้นให้ลอยขึ้น แล้วคว้ามาจ่อคอหอยของผู้ที่มาใหม่รวดเร็วจนมองไม่ทัน

   “ตั่วหยาง! นี่เจ้าจะฆ่าข้าหรือไง!”

   “หยาโจว... ข้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้า”

   ชายหนุ่มนามว่าตั่วหยางลดท่อนไผ่ในมือลง แล้วมองสหายสนิทที่ยกแขนขึ้นกันอาวุธได้ทันท่วงที

   “พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแล้ว ...เจ้ายังมาเอ้อระเหยลอยชายอยู่อีก”

   “ข้ามาฝึกวิชาต่างหาก” ตั่วหยางแก้ “แล้วเจ้าเตรียมตัวแล้วหรือไง”

   “ก็แน่ล่ะสิ ...ไม่งั้นข้าจะมาตามเจ้ารึ” หยาโจวพูดเนือยๆ พลางมองป่าไผ่สูงใหญ่ที่ขึ้นอยู่โดยรอบ ...นึกเศร้าอยู่ในใจว่านี่อาจเป็นวันสุดท้ายก็ได้ที่พวกเขาจะได้ฝึกวิชาที่ป่านี้

   “แล้วหลินไน่ล่ะ เตรียมตัวแล้วหรือ”

   “ป่านนี้เจ้านั่นคงนอนตีพุงไปนานแล้ว” ชายหนุ่มเพื่อนร่วมอุดมการณ์กล่าวพลางหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “...นี่ ตั่วหยาง ข้าคิดได้แผนการของเราได้แล้ว”

   ตั่วหยางเดินตามเพื่อนออกมาจากป่าไผ่เมื่อได้ยินคำถามนั้น “ไหน เจ้าลองว่ามา”

   “ข้าคิดว่า เราน่าจะปลอมตัวเจ้าเป็นสตรีเข้าไปในวัง...”

   ชายหนุ่มผิวคล้ำยกแขนขึ้นหมายฟาดศีรษะสหาย แต่หยาโจวก็ก้มหลบได้พร้อมกับหัวเราะร่า

   “เรื่องเสียสติอย่างนั้นข้าไม่เอาด้วยหรอก!”

   “ทำไมล่ะ! ข้าว่าเจ้าออกจะเหมาะ” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าว “ลองคิดดู ...ถ้าเจ้าจะเข้าไปในวังฐานะที่เป็นบุรุษ เจ้าก็ต้องยอมเป็นขันทีมิใช่รึ?”

   “ก็ไม่เห็นต้องลอบเข้าไปในวังเลยนี่ ...แค่วางแผนสังหารอยู่ภายนอกก็พอแล้ว”

   “แต่ยังไงข้าว่าการลอบเข้าไปก็เป็นการฉลาดกว่าอยู่ดี”

   “ก็แล้วทำไมเจ้าไม่ปลอมเป็นสตรีเองล่ะ!”

   “ก็เพราะว่าข้าไม่ได้หน้าตาคล้ายสตรีอย่างเจ้านี่!” หยาโจวหัวเราะซ้ำเติม ในขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าบอกบุญไม่รับ “และยิ่งถ้าเป็นเจ้าอ้วนหลินไน่ก็ยิ่งแย่ใหญ่”

   “ถ้าพวกเจ้าไม่ทำ ข้าก็ไม่อยากทำเหมือนกัน!” ตั่วหยางเถียงเสียงแข็ง “และอย่างไรซะข้าก็คิดว่ามันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้”

    “เอาน่า... ข้าก็แค่ล้อเจ้าเล่น” ชายหนุ่มแตะบ่าเพื่อนกลั้วเสียงหัวเราะ “...แต่ข้าว่าหลินไน่ต้องเห็นดีด้วยแน่ๆ!”

   “หยาโจว!”

   เจ้าของชื่อก้มหลบการประทุษร้ายของอีกฝ่ายเป็นพัลวัน แต่ก็ยังหัวเราะอารมณ์ดีได้ไม่ขาด   เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสมัยเด็กที่เติบโตจากหมู่บ้านเดียวกันย่อมไม่มีวันทำร้ายกันได้ลง…

   สองสหายกลั่นแกล้งกันจนกระทั่งในที่สุดก็ออกมาจากป่าไผ่   ...แล้วภาพหมู่บ้านที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาหยุดยืนนิ่งมองภาพนั้นอย่างลืมตัว

   จากเนินเขาซึ่งเป็นป่าไผ่ตรงนี้ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ...ท้องฟ้าสีครามประดับด้วยเมฆขาวโอบล้อมหมู่บ้านเล็กๆท่ามกลางหุบเขาเอาไว้   พื้นหญ้าเขียวขจีตัดกับทุ่งนาร้างสีน้ำตาลเข้มหลังการเก็บเกี่ยวดูเป็นภาพแปลกตา  แม่น้ำสายหลักที่เคยหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในหมู่บ้านยังคงใสสะท้อนเป็นสีนภากระจ่าง... ทุกอย่างช่างประกอบกันดูลงตัวงดงามราวกับภาพวาดชิ้นเอกของศิลปิน

   เพียงแต่บัดนี้ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ...สองปีก่อน เมื่อต้าอ๋องผู้พ่อเสด็จสวรรคตด้วยโรคร้าย โอรสสององค์แรกก็ทำศึกชิงบัลลังก์กันอย่างไม่มีใครยอมใคร   ทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่ายไร้ความสุขสงบอยู่เนิ่นนาน ประชาชนก็ยากลำบากแร้นแค้น   ...แต่ผลสุดท้ายโอรสองค์รองก็คร่าชีวิตพระเชษฐาของตนได้และได้ขึ้นครองราชย์สมปรารถนา   ทว่าเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น อ๋ององค์ใหม่ก็ถูกลอบสังหาร ...และมีข่าวลือว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือโอรสคนสุดท้อง หรือก็คือต้าอ๋องคนปัจจุบัน

   ผ่านจากเหตุการณ์วุ่นวายมาได้เพียงหนึ่งปี ...เงินพระคลังส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปกับการบูรณะซ่อมแซมพระราชวังและเมืองหลวงที่ได้รับความเสียหาย   แต่สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามกลางเมืองก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด ...ประชาชนยังคงอดอยากไร้การเหลียวแล เป็นเพราะความไม่เอาใจใส่ของอ๋องที่ได้แต่หาความสำราญไปวันๆ   หมู่บ้านเกษตรกรรมที่เคยอุดมสมบูรณ์เมื่อถูกพายุโหมกระหน่ำทำลายก็ไม่มีใครสนใจ ส่งผลให้ผลผลิตเสียหายร้ายแรง การชลประทานที่เคยมีก็ถูกตัดขาด... มากไปกว่านั้นเงินภาษีนาก็ยังเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

   เหตุการณ์เหล่านี้ นอกจากจะสร้างความเสียหายแสนวิปโยค แต่ยังจะเป็นลางบอกเหตุว่าใกล้ถึงคราที่กษัตริย์จำต้องคืนอำนาจสู่สวรรค์แล้ว

   เหลือลางบอกเหตุอีกเพียงอย่างเดียวคือการลุกฮือของประชาชน... ซึ่งก็ใกล้จะเกิดขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นต่อต้านกษัตริย์แห่งแผ่นดินโจวจากแคว้นต่างๆ หรือจะการต่อต้านอ๋องแห่งแคว้นซานหลงเอง   สิ่งเหล่านี้กำลังใกล้จะเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะพวกเขารู้ดีว่าความโศกศัลย์ที่ได้รับมันแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชัง จนตอนนี้พอกพูดสั่งสมจนยากจะหาทางเยียวยาเสียแล้ว

   ...แต่ก่อนที่ไพร่ฟ้าจะลุกขึ้นมาต่อต้านจนต้องถูกคร่าชีวิตให้ล้มตายลงไป สหายสนิททั้งสามคนจึงได้ตัดสินใจว่าจะต้องสังหารอ๋องทรราชผู้นี้ให้จงได้

   พลันนั้นสายลมเย็นเยียบพัดกรีดขึ้นมาจากไหล่เขา  ส่งให้เส้นผมและชุดคลุมของชายทั้งสองสะบัดพลิ้ว  ภาพหมู่บ้านชนบทแสนงดงามตรงหน้าดูเหมือนจะหนาวเยือกตามพวกเขาด้วยเช่นกัน ...และลมหนาวนั้นก็ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเหมันต์มาถึงแล้วหมู่บ้านจะแห้งแล้งกว่าเดิมสักเท่าใด

   “ตั่วหยาง ...เจ้ายอมตายเพื่อหมู่บ้านนี้ได้หรือไม่?”

   ชายหนุ่มฟังคำถามลองใจนั้นแล้วก็นิ่งมองภาพตรงหน้าอยู่นาน เขารู้ดีว่าความผูกพันหวงแหนที่มีต่อบ้านเกิดและทุกคนที่ตนรักมันเอ่อล้นอยู่ในจิตใจไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…

   “ได้สิ ...ข้ายอมทั้งนั้น”

   ลมหนาวเยือกพัดผ่านมาอีกครั้ง ...ชวนให้ใจหายวูบเมื่อต้องคิดว่าพวกเขาอาจได้เห็นภาพหมู่บ้านที่ตนรักนี้เป็นครั้งสุดท้าย






หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: -Blackcloud- ที่ 01-01-2013 02:30:42
เจิมเรื่องใหม่ วันปีใหม่คร้าบบ ขอให้คนเขียนเจอเเต่เรื่องดีๆน้า แล้วรีบมาอัพด้วยละๆ :L2:
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 01-01-2013 06:41:20
ท่าทางจะได้กินมาม่าอืดท่วมกะละมัง
แต่ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นใครบ้าง เผื่อจิ้นถูก
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 01-01-2013 10:48:45
เรื่องใหม่น้องผักชีมา
คนอ่านได้แต่ลุ้นไม่ให้มาม่ารสแซ่บอืดเต็มชามเหมือนเรื่องที่แล้วเล้ย
สาธุๆๆ
 :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: lalitalx ที่ 01-01-2013 13:15:09
แนวจีนโบราณณณ ชอบชอบ  :mc4: :mc4:
เรื่องนี้ท่าทางจะดราม่า? ภาษาสวยมากๆ
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: zodiacniing ที่ 01-01-2013 14:32:49
ว้าวว บรรยายเห็นภาพสวยเลยค่ะ ชอบภาษาเขียนมากเลย รอต่อน้า
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 01-01-2013 15:15:05
 :L2:
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 1 ใบไม้แห่งซานหลง]
เริ่มหัวข้อโดย: oattie ที่ 01-01-2013 19:51:14
 :mc4: น่าติดตาม น่าติดตาม ชอบแนวนี้
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 2 สำเภาจากป๋ายเซว่]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 23-01-2013 03:22:28
บทที่ 2 สำเภาจากป๋ายเซว่




   เช้าวันรุ่งขึ้น ม้าสามตัวถูกแบกสัมภาระไว้เรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง

   “พี่หลินไน่ต้องไปจริงๆเหรอ...”

   เหล่าเด็กตัวเล็กตัวน้อยในหมู่บ้านวิ่งออกมาส่งพี่ชายร่างท้วมดูกระจองอแง  และด้วยความที่อุปนิสัยเข้ากับเด็กๆได้เลยทำให้หลินไน่ต้องพูดปลอบใจเด็กๆจนแทบไม่มีเวลาทำอะไร

   “ไม่ต้องงอแงกันน่า! พวกพี่ไปไม่นานก็กลับแล้ว”

   “อะไรกัน ...ถามหาแต่หลินไน่ไม่ถามหาข้าบ้างเลย” หยาโจวเดินเข้ามาถามหน้ายิ้มๆ

   “ก็เจ้าไม่หัดเล่นกับเด็กๆพวกนี้บ้างนี่” หลินไน่เงยหน้าขึ้นมามองสหาย “แล้วตั่วหยางล่ะ”

   “ก็คงล่ำลาหวานใจอยู่กระมัง”

   สองสหายมองหน้ากันแล้วยิ้มที่มุมปากอย่างรู้ความนัย ...แต่ไม่นานผู้ที่ถูกนินทาก็เดินมาทางพวกเขาพอดี

   “เอ้า... พวกเจ้าจะไปกันหรือยัง?”

   “ตั่วหยาง!”

   ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเมื่อเสียงหวานๆเขย่งกระซิบอยู่ข้างหู แล้วพอหันไปข้างหลังถึงได้รู้ว่านั่นคือคนรักของตนนั่นเอง

   “ไหนจื่อ... ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาส่งข้าเสียแล้ว!”

   “แหม! ข้าก็พูดเล่นล่ะน่า ...คิดว่าข้าจะไม่มาส่งเจ้าจริงๆหรือไง”

   เด็กสาวน่ารักยิ้มทะเล้นให้ชายหนุ่ม   ความร่าเริงสดใสของหล่อนทั้งดูแก่นแก้วและน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน ทำให้เขาอดที่จะเอื้อมมือไปลูบผมหล่อนเล่นไม่ได้

   “ข้านึกว่าพวกเจ้าจะล่ำลากันแล้วเสียอีก” หยาโจวกล่าวอย่างนึกหมั่นไส้

   “พวกเจ้าก็รีบๆลากันซะทีเถอะ เด็กๆมองมากๆมันไม่ดี” หลินไน่ว่าพลางปิดตาเด็กคนหนึ่ง

   “โธ่... ที่จริงพวกเจ้าก็อิจฉาล่ะซี่!” ตั่วหยางยิ้มอย่างมีชัย

   ชายร่างท้วมทำเป็นขนลุก “ข้าจะไปอิจฉาเจ้าทำไม? ไหนจื่อก็อายุเท่าน้องสาวเจ้า ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนบ้างหรือไง!”

   “ปากเสียจริงพี่หลินไน่! ข้าอายุห่างจากตั่วหยางแค่ไม่กี่ปีเอง” ว่าแล้วไหนจื่อก็แลบลิ้นโต้กลับไปหนึ่งที

   “เออน่า พวกเจ้าก็เลิกทะเลาะกันได้แล้ว เดี๋ยวเราต้องรีบไป” หยาโจวห้ามปราม และเป็นการบอกให้ตั่วหยางรีบล่ำลาคนรักอยู่ในที   หลังจากนั้นเขากับหลินไน่ถึงเดินไปหาพวกผู้เฒ่าผู้แก่ที่ออกมาส่งพวกเขา เป็นการปล่อยให้ทั้งคู่ได้ใช้เวลาส่วนตัวในวินาทีสุดท้าย

   “เอ้อ ตั่วหยาง... ข้าทำสิ่งนี้ไว้ให้เจ้าด้วย”

   เด็กสาวเอื้อมมือไปหยิบสิ่งของที่ว่าจากกระเป๋าเสื้อด้านใน ก่อนจะนำมาสวมเป็นสร้อยคอให้คนรัก

   “มันคืออะไรน่ะ”

   “ก็เครื่องรางนำโชคไง ...เผื่อเจ้าไปนานๆจะได้คิดถึงข้า”

   ตั่วหยางก้มลงดู แล้วก็พบว่ามันคือหินสีแดงที่เจาะร้อยเชือกไว้   แม้จะดูเรียบง่ายแต่เขาก็ซาบซึ้งจนรู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ

   “ถึงเจ้าไม่ได้ให้ ข้าก็คิดถึงเจ้าอยู่แล้วล่ะ”

   ไหนจื่ออมยิ้มพลางเสหน้ามองไปทางอื่นเพราะความเขินอาย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องทำเฉไฉ “แล้วเจ้าคิดว่าจะไปเมืองหลวงกันซักกี่วัน...”

   “ข้าเองก็ยังไม่รู้เลย ...แต่ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าแน่นอน”

   “เจ้าพูดแล้วต้องทำตามคำพูดนะ! ไม่งั้นข้าโกรธจริงๆด้วย”

   “ไม่เอาน่าไหนจื่อ... ถึงอย่างไรข้าก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว”  ตั่วหยางใช้นิ้วจิ้มลงบนแก้มป่องอย่างเอ็นดู ก่อนจะนึกหยอดคำหวาน “...เพราะหัวใจของข้าอยู่ที่เจ้า”

   ไหนจื่อหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกลบเกลื่อนความขวยเขิน แต่พอเงยหน้าขึ้นมองชายคนรักก็รู้ซึ้งว่าคำพูดนั้นจริงใจเพียงใด   ยังไม่นับมือเรียวที่สัมผัสใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน พาให้คิดไปว่าห้วงเวลานี้เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น

   “โอ้ย อยู่ดีๆข้าก็คลื่นไส้!”

   “แย่จริง ข้าก็เป็นเหมือนกัน”

   ว่าแล้วเสียงแซวนของเพื่อนทั้งสองที่ดังมาแต่ไกลก็ทำให้หนุ่มสาวหลุดจากภวังค์เอาเสียดื้อๆ ทำให้ตั่วหยางได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา

   “เฮ่อ... ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ ไม่งั้นเจ้าแร้งสองตัวนี่คงทึ้งกินข้าก่อนได้ไปแน่ๆ”

   ไหนจื่อหันไปตีหน้ายักษ์ใส่ทั้งสองคนกลับ ก่อนจะหันมาบอกลาตั่วหยางอีกครั้ง

   “เจ้าก็รีบกลับมาเร็วๆนะ”

   หยาโจวกับหลินไน่ขึ้นม้ารอเรียบร้อยแล้ว หมดเวลาสำหรับการล่ำลา   เหลือเพียงตั่วหยางที่ละล้าละลังนึกอยากจะหาคำบอกลาที่ตรงใจ

   ดังนั้น เหลือสิ่งสุดท้ายที่จะทำได้ ชายหนุ่มตัดสินใจจุมพิตหน้าผากคนรักรวดเร็วเพียงแผ่วเบา ก่อนจะขึ้นม้าตามไปอีกคน

   “ได้! ข้าสัญญา”

   หยาโจวออกม้าก่อนเป็นคนแรก ก่อนจะตามด้วยหลินไน่   ส่วนตั่วหยางออกตัวเป็นคนสุดท้ายพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ส่งให้คนรัก ...ยามนั้นในหัวใจแม้ปวดร้าวแต่ก็กลับอบอุ่นอย่างประหลาด

   หันกลับไปมองก็เห็นเหล่าคนที่ห่วงใยมายืนส่งอยู่หน้าหมู่บ้าน   ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกเขาทำตามสัญญาไม่ได้ หรือถ้าจะไม่ได้เห็นหมู่บ้านที่ตนรักอีกแล้วมันจะเจ็บปวดสักแค่ไหน   ในขณะที่เสียงฝีเท้าม้าทั้งสามตัวก็ยังควบไปข้างหน้า   จนในที่สุดภาพคนเหล่านั้นก็ค่อยๆหายลับไป...


...................................................................


   ลมทะเลแสนชื้นไม่ใช่แค่พัดความเค็มของมหาสมุทรให้โชยมาแตะจมูกเท่านั้น ...แต่มันได้นำพาสำเภาไม้แสนวิจิตรจากแดนเหนือมาเทียบฝั่งแคว้นซานหลงด้วยเช่นกัน

   แคว้นป๋ายเซว่ซึ่งอยู่ทางเหนือของแผ่นดินจีนนับว่าเป็นแคว้นที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับซานหลงมายาวนาน   และการที่องค์รัชทายาทแห่งป๋ายเซว่ตัดสินใจมาเยือนในฐานะทูตสันถวไมตรีเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเกียรติที่สูงส่งยิ่งนัก…

   เหล่าข้าราชบริพารที่ถูกเกณฑ์มาต้อนรับอาคันตุกะจากต่างแดนพากันก้มคำนับเมื่อแขกคนสำคัญและบริวารก้าวข้ามบันไดสำเภาขั้นสุดท้ายลงเหยียบแผ่นดิน   เสียงขานแสดงความต้อนรับดังขึ้นพร้อมกันในขณะที่คนกลุ่มนั้นก้าวไปหาอ๋องผู้ครองแคว้น

   “ยินดีต้อนรับสู่ซานหลง...”

   ต้าอ๋องในชุดผ้าแพรชั้นดีสีแดงทอลายมังกรสีทองกล่าวต้อนรับ   ข้างกายเขาคือมเหสีผู้งามเลิศพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน และมีชายหนุ่มร่างสูงผู้ใส่ชุดทหารเต็มยศยืนคุ้มกันอยู่เบื้องหลัง

   เป้ยหมิง ก้มคำนับแสดงความเคารพดูถ่อมตน...

   “การที่ต้าอ๋องแห่งแคว้นซานหลงมาต้อนรับข้าถึงท่าเรือเช่นนี้ ...นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก”

   ได้ยินเสียงเอ่ยขานเพียงครั้งแรกก็ต้องแปลกใจ   ด้วยความที่สองแคว้นห่างไกลหลายพันลี้ทำให้สำเนียงของทั้งสองแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด  และการที่แคว้นป๋ายเซว่อยู่ชิดใกล้กับชนเผ่าอนารยะทางแถบเหนืออันหนาวเย็น ทำให้ใครต่างคิดไปว่าชาวป๋ายเซว่ต้องป่าเถื่อนตามพวกชนเผ่านั้นไปด้วยอย่างแน่แท้  แต่กลับกลายเป็นว่าสำเนียงขององค์รัชทายาทผู้นี้กลับไพเราะราวกับบทกวี ไม่มีความป่าเถื่อนอยู่เลยแม้แต่น้อย

   ...ฟังดูนุ่มนวลเสียจนอดีตคนต่างถิ่นเช่นหลี่ไป๋ยังรู้สึกประทับใจ

   เมื่อเป้ยหมิงเงยหน้าขึ้น ชายชาติทหารที่ลอบมองเขาอยู่ถึงได้เห็นใบหน้างามชัดๆ ...ร่างโปร่งในชุดคลุมขนสัตว์สีขาวดูสูงศักดิ์สง่างามสมกับเป็นองค์รัชทายาท   ผิวสีน้ำผึ้งที่โผล่พ้นชายเสื้อออกมานั้นบ่งบอกถึงสุขภาพดี แสดงว่าเขาไม่ใช่แค่เจ้าชายที่วันๆเอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ในวัง   และใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆเข้ากับอุปนิสัยถ่อมตนก็มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด

   ทหารหนุ่มไม่รู้ตัวว่าเขากำลังแอบมององค์รัชทายาทผู้นี้อยู่นานเท่าใด   รู้เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายช่างน่าค้นหาเสียจนเขาถอนสายตาไปไหนไม่ได้

   จนกระทั่ง ...ดวงตาที่เจือด้วยความเศร้าหันมาสบสายตาเขาพอดี

   หลี่ไป๋ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร แน่ล่ะว่าหนึ่งในนั้นคือความตื่นตระหนกเพราะถูกจับได้ ไม่รู้ว่าแขกสูงศักดิ์จากต่างถิ่นจะถือสาในความไร้มารยาทของเขาหรือไม่... แต่นอกจากนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เหมือนกับการถูกไฟจี้ให้เจ็บปลาบนี้มันคืออะไร

   แม้จะเป็นชั่วพริบตาเดียวแต่ช่างเนิ่นนานในความรู้สึก กว่าที่เป้ยหมิงจะหลบสายตาไป

   “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญท่านไปพักที่วังก่อน ...คืนนี้เราจะจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้ให้”

   หลังจากที่พูดคุยกันมาพอสมควร โหม่วซาก็เป็นฝ่ายเชิญอาคันตุกะขึ้นรถม้าเพื่อไปยังตำหนักซึ่งจัดไว้รับรองในเขตพระราชฐาน   เมื่อเป้ยหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มรับอย่างถ่อมตน

   “ช่างเป็นพระคุณอย่างสูง...”

   หงฟี่หมุนตัวกลับจนชายเสื้อคลุมสะบัดพลิ้ว นำทางทูตสันถวไมตรีไปยังพาหนะที่รอรับอยู่เบื้องหน้า ...และเพียงเสี้ยววินาที ทหารอารักขาคนสนิทก็ได้สบสายตากับองค์รัชทายาทที่ลอบมองมาอีกครั้ง

   สายตาที่หวานเศร้านั้นดูลึกลับเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะเข้าใจได้ นึกอยากจะรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเหมือนเขาด้วยหรือไม่

   ความรู้สึกเช่นนี้ เป็นเหมือนดั่งสิ่งที่ปลุกเขาขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนาน คล้ายจะนำชีวิตกลับคืนสู่ตัวเขาก็ไม่ปาน
   

...................................................................


   แคว้นซานหลงเป็นแคว้นที่ครั้งหนึ่งเคยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล มีสภาพทางภูมิศาสตร์อันอุดมสมบูรณ์ สภาพอากาศแต่ละฤดูก็ไม่แปรปรวนมากนัก และด้วยความที่เป็นแคว้นทางใต้ที่ติดทะเลจึงทำให้เป็นเมืองท่าที่การค้าขายรุ่งเรือง และนครหลวงก็ยังคงงดงามสมบูรณ์สมคำร่ำลือ

   เป้ยหมิงได้แต่นึกยินดีอยู่ในใจที่ได้มาเยือนแคว้นที่น่าหลงใหลเช่นนี้ ซ้ำยังได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น ...ตำหนักที่คณะของตนได้ใช้เป็นที่พักอาศัยตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนก็แสนสะดวกสบาย  และคืนแรกที่มาถึง ต้าอ๋องก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาให้อย่างดี

   หลังจากมื้ออาหารอันแสนโอชะผ่านพ้นไปแล้ว พระมเหสีก็กล่าวว่าจะมีการแสดงต้อนรับเป็นสิ่งต่อไป และในระหว่างนั้นองค์รัชทายาทก็หันไปคุยกับอ๋องเจ้าของแคว้น

   “ท่านต้าอ๋อง ...ข้าได้นำเหล้าน้ำผึ้งมาเป็นของขวัญให้แด่ท่านด้วย”

   เป้ยหมิงเรียกบริวารให้นำน้ำเต้าสีเหลืองเข้มออกมา เห็นคนในห้องมองตามภาชนะที่ส่งกลิ่นหอมหวานน่าหลงใหลอย่างห้ามใจไม่อยู่

   “อืม... เหล้าน้ำผึ้งของป๋ายเซว่น่ะหรือ? ...ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”

   องค์รัชทายาทจากป๋ายเซว่จัดการรินสุราลงในจอก พลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้หงฟี่

   “ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

   ต้าอ๋องหนุ่มรับจอกเหล้าเข้ามาใกล้ ...สูดหอมกลิ่นหวานอันเย้ายวน

   “ข้าต้องขออภัยที่ต้องเสียมารยาท แต่หวังว่าท่านคงไม่รังเกียจหากข้าจะให้องครักษ์ของข้าได้ชิมก่อน ...จะได้หรือไม่?”

   เป้ยหมิงเหลือบมององครักษ์คนที่ว่า แล้วก็ต้องสะดุดลมหายใจโดยไม่รู้สาเหตุ ...เพราะรู้สึกเหมือนชายทหารผู้นี้จะมองเขาอยู่นานแล้ว

   “เชิญตามสบายเถิด ...แต่ข้ารับรองว่าไม่มีพิษใดในสุรานี้อย่างแน่นอน”

   เมื่อได้ยินดังนั้น หงฟี่จึงส่งจอกเหล้าให้องครักษ์หนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหลัง และนั่นก็ต้องทำให้เป้ยหมิงหันไปมองเขาด้วยโดยปริยาย

   ท่ามกลางเสียงดนตรีที่บรรเลงคลอ หลี่ไป๋รับจอกเหล้านั้นมาเงียบๆ ...แต่ก่อนที่เขาจะจิบชิมมันนั้น เหมือนว่าเขาจะจงใจสบตาเจ้าของสุราไม่ยอมมองไปทางไหน   ยิ่งทำให้เป้ยหมิงรู้สึกลำคอแห้งผาก อยากจะเสมองไปทางอื่นแต่ก็เหมือนถูกสะกดด้วยสายตานั้น ...นึกสงสัยว่าเหตุใดชายชาติทหารที่ดูเงียบขรึมเยือกเย็นกลับมีสายตาที่เหมือนมีไฟรุ่มร้อนเต้นเร่าอยู่ภายในยามมองมาที่เขา

   ร่างสูงยกจอกขึ้น แล้วจิบสุราลงคอช้าๆ   ในขณะที่ดวงตาที่มองเห็นเพียงข้างซ้ายก็ยังจับจ้องที่องค์รัชทายาทไม่แปรเปลี่ยน ทำให้ผู้ที่ถูกมองรู้สึกราวกับว่าความหวานซ่านที่แผดเผาอยู่ในคออีกฝ่ายจะถูกส่งมาถึงเช่นเดียวกัน

   “รสชาติเป็นเช่นไรบ้าง หลี่ไป๋” ต้าอ๋องถามอย่างสนใจ

   “หวาน... ขอรับ”

   เสียงทุ้มต่ำฟังดูแหบพร่าตอบเพียงสั้นๆ คล้ายว่าสิ่งที่บอกว่าหวานนั้นไม่ได้มีเพียงแค่สุรา...

   “อืม... เช่นนั้นก็ดี”

   หงฟี่คลี่ยิ้ม ก่อนจะหันมาให้บริวารรินเหล้าลงจอกของตน  ในขณะที่มีคนมากระซิบว่าการแสดงต่อไปพร้อมแล้ว

   “ถ้าพร้อมแล้วก็ให้แสดงเลย...”

   ต้าอ๋องสั่ง แล้วหันมาจิบสุราน้ำผึ้งรสเลิศ  ...ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของแขกรับเชิญสูงศักดิ์และองครักษ์ของตนที่พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อครู่ เพื่อกลับมาสู่เหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง

   เพลงบรรเลงหยุดลงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเพลงใหม่ ในขณะที่ประตูไม้วิจิตรเปิดออกช้าๆ  และผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้องโถงเพื่อแสดงต้อนรับนั้นสะกดสายตาต้าอ๋องไว้ได้ตั้งแต่แรกพบ…

   เส้นไหมบนกู่เจิ้งเริ่มสั่นไปตามจังหวะที่นิ้วเรียวบรรเลง ขับขานสอดแทรกเสียงพิณหวานหลอมรวมเป็นดนตรีจากสรวงสวรรค์ ...สตรีผู้งดงามโค้งตัวให้ก่อนจะเริ่มร่ายรำไปตามเสียงดนตรี

   งดงามนัก หงฟี่หลงนึกว่าตนได้เห็นมังกรกำลังเริงร่ายอยู่บนนภา แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีหวานหู ...สตรีผู้นั้นขยับเคลื่อนไหวด้วยท่วงทำนองงดงามอ่อนช้อย แต่ก็แฝงไปด้วยความเฉียบคมแข็งแกร่งอยู่ในที   ดูคล้ายว่าท่วงท่าของนางนั้นดัดแปลงมาจากศิลปะการต่อสู้ได้อย่างน่าชม

   เขาไม่เคยเห็นท่ารำแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน และมันทำให้เขาถอนสายตาไม่ได้...   สตรีผู้นั้นมีผิวสีเข้มกว่าสตรีอื่นที่เขาเคยคุ้น ทำให้เดาได้ว่านางไม่น่าจะเป็นคนจากเมืองหลวง   เส้นผมสีดำที่รวบเป็นมวยเพียงครึ่งศีรษะปล่อยให้อีกครึ่งหนึ่งพลิ้วไหวไปตามท่วงท่างดงาม เช่นเดียวกับชุดไหมสีขาวบริสุทธิ์ที่เริงร่ายตามท่วงทำนองเฉกเช่นสายลม

   หงฟี่ตกหลุมรักสตรีนางนี้ตั้งแต่แรกเห็น...

   แต่ในเสี้ยวพริบตานั้น... ไม่มีใครได้ทันสังเกตว่ามีเข็มพิษแฝงมากับท่วงท่างดงาม บินตรงเข้าหาต้าอ๋องตรงตำแหน่งของหัวใจ









โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 2 สำเภาจากป๋ายเซว่]
เริ่มหัวข้อโดย: phakajira ที่ 23-01-2013 11:05:31
ต้าอ๋อง หลบทัน 555
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 2 สำเภาจากป๋ายเซว่]
เริ่มหัวข้อโดย: davina ที่ 23-01-2013 19:00:06
อ๊าก ค้างงงง
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 2 สำเภาจากป๋ายเซว่]
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 24-01-2013 18:47:56
เห้ย ตกใจ

 :a5: โดนตัด

ค้างมากมาย
หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 21-04-2013 22:47:44
บทที่ 3 เดรัจฉานคว้าเงาจันทร์






   อ๋องทรราชเอ๋ย จงสิ้นชีพเสียตอนนี้เถิด!



   ท่ามกลางลีลาร่ายรำงดงาม และมีอาวุธสังหารถูกลอบยิงหมายปลิดชีวิตเจ้าผู้ครองแคว้น...   ทันใดนั้นมีเสียงปรบมือดังขึ้นสามครั้ง หงฟี่ลุกยืนขึ้น

   ...พร้อมๆกับที่เข็มพิษนั้นทะลุแขนเสื้อไปโดนพนักเก้าอี้พอดี !

   “ทั้งงดงาม และแข็งแกร่ง”

   เสียงดนตรีหยุดลงในทันที ...ทั้งห้องโถงหันไปมองที่ต้าอ๋องอย่างประหลาดใจที่อยู่ๆเขาก็ลุกขึ้นปรบมือชมทั้งๆที่การแสดงยังไม่จบ   ทำให้นางรำผู้นั้นรีบนั่งลงชันเข่า ก้มหน้ากลัวอาญาไม่กล้าสบตา

   ...เขาพลาดเช่นนั้นหรือ!?!

   ครั้นแล้วหงฟี่ก็ลงจากแท่นประทับเดินมาหาสตรีผู้นั้น ในขณะที่คนทั้งห้องโถงยังคงตกตะลึงมองเขาด้วยความงุนงง

   “เจ้าลุกขึ้นเถิด”

   หญิงสาวเกิดอาการลังเล อึกอักอยู่ชั่วครู่กว่าจะยอมลุกขึ้น แต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าเหนือหัว ...หงฟี่ก็เลยใช้นิ้วเชยคางของนางให้สบตาตน

   พลันที่ได้สบตา ดวงหน้างดงามเหมือนจะฉายความเคียดแค้นให้เห็นอยู่วูบหนึ่ง แต่ดวงตาคมหนักแน่นนั้นกลับน่าดึงดูดจนมองข้ามอารมณ์อื่นของนางไปสิ้น

   “เจ้ามีนามว่ากระไร?”

   สาวงามอึกอัก ...เป็นเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาตอบคำถามนี้มาก่อนเลย

   แน่นอนว่าแค่การที่เขาต้องปลอมตัวเป็นสตรีตามคำยุยงของสหายเช่นนี้ก็อับอายพออยู่แล้ว จะเหลือที่ว่างในสมองให้มาคิดหาคำโกหกได้เช่นไร!

   “ต... ตั่วหยาง ...เพคะ”

   แค่พูดไปก็อายปากจนขนลุกเกรียว หันกลับมาหลบตาอีกครั้ง  ...แต่แล้วก็พลันนึกได้ว่าหากอยู่ใกล้กันขนาดนี้ เพียงแค่หยิบมีดสั้นในเสื้อมาแทงอกอีกฝ่ายทุกอย่างก็จบลงแล้ว!

   “อืม ตั่วหยางงั้นหรือ?”

   ตั่วหยางตัดสินใจในชั่ววินาที ค่อยๆย้ายสมาธิลงไปอยู่ที่มือขวา เลื่อนเข้าไปหยิบมีดสั้นในอกเสื้ออย่างไร้สุ้มเสียง ต้องไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวให้ได้...

   “...เจ้ารังเกียจจะมาเป็นชายาของข้าหรือไม่”

   มือขวาหยุดชะงัก สองตาเบิกโพลง

   …แค่ได้ยินคำว่าชายาเขาก็ลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่คิดจะทำอะไร!

   “หงฟี่! ท่านเมาเสียแล้วหรือ?”

   พลันเสียงถามเฉียบขาดก็แทรกกลางความเงียบงัน ราวกับมีโองการสวรรค์มาช่วยไว้    โหม่วซาลุกขึ้นห้ามปรามด้วยน้ำเสียงขุ่นข้องที่ปิดไม่มิด พลางเดินลงจากแท่นประทับจะมาคุยกับสามีให้รู้เรื่อง  ถึงแม้ว่านางจะรู้ดีแก่ใจว่าผู้เป็นอ๋องสามารถมีชายาได้กี่คนก็ได้ ...แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้อำนาจทำตัวอุกอาจไร้มารยาทได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะต่อหน้าอาคันตุกะคนสำคัญและมเหสีของตนเช่นนี้!

   หงฟี่หมุนตัวกลับมาต่อคำ “ถ้าข้าจะเมาก็เรื่องของข้า... เจ้าไม่มีสิทธิมาห้ามข้าหรอกนะ!”

   “เรื่องจะมีชายาอื่น ข้าไม่ห้าม!   แต่ท่านทำตัวไร้มารยาทมากเกินไปแล้ว!”

   “ไร้มารยาทตรงไหน นี่มันสิทธิของข้า”

   “ก็ไม่ควรให้สิทธิของท่านก้าวก่ายสิทธิของคนอื่นไม่ใช่หรือ”

   “ข้าเป็นอ๋อง! ข้าจะทำอะไรก็ได้” หงฟี่ดื้อดึง ก่อนจะเรียกชื่อนางผู้นั้นอีกครั้ง “...ตั่วหยาง!”

   ทว่าพอเขาหันกลับไปมอง เพียงพริบตาเดียวตั่วหยางก็หายไปเสียแล้ว...



...................................................................



   “ชายา!?!”

   หลินไน่กับหยาโจวตะโกนร้องออกมาพร้อมกันอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาสุดกำลัง

   “นี่พวกเจ้าจะหัวเราะกันอีกนานไหม!”

   ...ในโรงเตี๊ยมเก่าแก่ของหญิงชราคนหนึ่ง ตอนนี้มีแขกมาเข้าพักเพียงสามคน ...โดยที่หญิงผู้นั้นไม่รู้เลยว่าแขกทั้งสามมาอาศัยในโรงเตี๊ยมของนางเพื่อลอบสังหารผู้ที่ได้ชื่อว่าอ๋องทรราช   และนางก็คงไม่รู้เลยว่าหญิงสาวที่มากับชายทั้งสองแท้จริงแล้วก็เป็นอีกหนึ่งบุรุษเช่นกัน

   “แต่ข้าว่าเจ้าอ๋องนั่นมันก็มีเหตุผลนะ” หลินไน่พูดไปหัวเราะไป “ถ้าเจ้าเป็นสตรีจริงๆล่ะก็ ข้าอาจจะหลงเสน่ห์เจ้าไปนานแล้ว!”

   “หลินไน่! ข้าไม่ขำนะ!!!”

   “เออน่า ...แค่ล้อเล่นหน่อยก็ไม่ได้” ชายร่างท้วมพยายามกลับมาจริงจัง

   “แล้วสรุปเจ้าจะทำยังไง? จะไปเป็นชายามันรึเปล่า?” หยาโจวพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต

   “ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะยอมมั้ยล่ะ!” ตั่วหยางย้อนเสียงแข็ง

   “เป็นข้าคงยอมมั้ง” หลินไน่พยายามดัดเสียงเป็นสตรี “ได้สวามีรวยๆแบบนี้ก็ดีนะฮ้า”

   หยาโจวหัวเราะจนลงไปนอนกลิ้งกับพื้น แต่เพื่อนผู้เคราะห์ร้ายก็ยังไม่ขำด้วย

   “นี่พวกเจ้าจะมาสังหารอ๋องทรราชนั่นหรือว่าจะมาหัวเราะเยาะเย้ยข้ากันแน่! ...ถ้าพวกเจ้ายังจะเล่นกันอยู่อย่างนี้ ข้าว่าข้ากลับหมู่บ้านไปหาไหนจื่อดีกว่า!”

   แค่ฟังดูก็รู้ว่าตั่วหยางไม่ได้ล้อเล่น ทำให้สหายทั้งสองต้องรีบแก้สถานการณ์

   “ขอโทษทีตั่วหยาง  ข้ารู้ว่าเจ้าคงลำบากใจ...” หยาโจวพยายามตีหน้าขรึม “...งั้นจะเอาเช่นไรดีล่ะ? หรือจะให้เจ้าเข้าไปเป็นนางรับใช้ดี”

   “นี่พวกเจ้าเลิกล้อข้าเล่นเสียที---”

   “โอ๊ว! ความคิดเป็นเลิศ” หลินไน่ร้องแทรกขึ้นมา “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าป้าข้าเป็นนางรับใช้เก่าแก่อยู่ในวัง เราน่าจะฝากฝังตั่วหยางไว้ได้”

   “หลินไน่!!! เลิกบ้าเสียทีเถอะ!”

   “เดี๋ยวก่อนตั่วหยาง ...ข้าว่าเจ้าอ้วนนี่มีเหตุผล”

   “น่าหัวร่อ! ข้าไม่เคยเห็นมันจะพูดมีสาระเลยซักครั้ง!”

   “ถ้าเจ้าปลอมตัวเข้าไปอยู่ในวังได้ อย่างน้อยเจ้าก็มีโอกาสลอบสังหารมันได้มากกว่าไม่ใช่หรือ   หรือถ้ามันจะออกมานอกวังเจ้าก็ส่งข่าวมาให้เราได้เร็วกว่าด้วย”

   ตั่วหยางขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ ...ไม่อยากจะเห็นด้วยกับวิธีนี้เลยสักนิด

   ไม่ใช่ว่าหยาโจวกับหลินไน่จะไม่สงสารเพื่อนที่ต้องมารับกรรม แต่พวกเขาก็เห็นพ้องต้องกันแต่แรกแล้วว่าคงไม่มีวิธีไหนที่จะดีกว่านี้ เพราะทั้งเสื้อผ้าหน้าผมพวกเขาก็ได้อภินันทนาการจากคุณยายเจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นอย่างดี เมื่อแปลงโฉมเสร็จแล้วก็แทบจะจำตั่วหยางไม่ได้   และถ้าเทียบทักษะการต่อสู้ที่ทั้งสามเคยเรียนมาด้วยกันสมัยเด็กๆแล้ว ตั่วหยางก็เป็นคนที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุด   เพราะฉะนั้นคงจะไม่มีใครเหมาะกับหน้าที่ลอบสังหารในวังได้มากไปกว่านี้

   “เอาน่า ...อย่างน้อยก็ถือว่าเจ้าจะได้ไม่ต้องไปเป็นชายาเจ้าอ๋องเลวนั่นอย่างไรล่ะ” หลินไน่พยายามโน้มน้าว

   “ก็เจ้าไม่ได้เจอกับตัว เจ้าก็พูดได้นี่”

   “พวกเราเชื่อใจเจ้านะตั่วหยาง” หยาโจวพูดเสียงจริงจัง  “ในขณะที่เจ้าคอยหาลู่ทางอยู่ในวัง ข้าก็ช่วยวางแผนการ ดูลู่ทางของนอกวังว่าจะเกิดการกบฏหรือไม่   ส่วนเจ้าหลินไน่ก็คอยเป็นต้นทางและคัดกรองข่าวสาร... ถ้าเจ้าจะต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ในวัง พวกเราก็ต้องถือว่าเสี่ยงชีวิตอยู่นอกวังเช่นกัน”

   จบคำอธิบายของเพื่อนแล้ว ตั่วหยางก็ได้แต่นิ่งไป หันมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตข้างหน้านี้

   เมื่อมีคำว่าเสี่ยงชีวิตเข้ามาเกี่ยว   มันทำให้เขานึกได้ว่าหากเขาต้องตายในหน้าที่แค้นของเขาก็ย่อมถูกชำระ ไม่มีทางที่ภารกิจนี้จะไม่ถูกสานต่อให้สำเร็จเสร็จสิ้น   และในขณะเดียวกัน ถ้าสหายคนไหนถูกสังหารไปเขาก็พร้อมจะแก้แค้นให้เช่นกัน

   มันไม่ใช่แค่ชีวิตของพวกเขาที่ถูกแขวนไว้เป็นเดิมพัน ...หากพวกเขาทำการไม่ทันเสียจนเกิดการกบฎใหญ่โตแล้ว ความเสียหายต่อชีวิตประชาราษฎร์ย่อมตามมาอีกหลายเท่านัก

   แค่นี้ก็น่าจะพอกับการที่เขาต้องยอมกลับไปทำสิ่งน่าอับอายเช่นนั้น

   “ก็ได้... ข้าจะยอมอีกสักครั้งก็ได้”

   ชายร่างอ้วนหันมามองหน้าตั่วหยางอย่างแปลกใจ แล้วหันไปมองหน้าหยาโจว เพื่อจะเห็นว่าเพื่อนร่างผอมก็ดูประหลาดใจเช่นเดียวกัน

   ตั่วหยางถอนหายใจ “ก็เราสาบานกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะสังหารอ๋องทรราชนั่นให้ได้ ...เรื่องแค่นี้ถ้ายอมแพ้ก็ไม่ต้องกลับหมู่บ้านกันพอดี”

   หยาโจวกับหลินไน่สบตากันอย่างนึกพิศวงอีกครั้ง... ก่อนจะหันมายิ้มให้อีกหนึ่งสหายพร้อมๆกัน

   “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องยอม...”

   “อืม... พรุ่งนี้เจ้าจะใส่ชุดสีอะไรดีน้า?”

   พอเห็นว่าเพื่อนทั้งสองไม่ได้จริงจังเลยสักนิด ตั่วหยางก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

   “พวกเจ้านี่มันเกินรับมือจริงๆ!”

   จันทร์กระจ่างลอยนิ่งเหมือนกำลังตั้งใจฟังเสียงหัวเราะหยอกล้อของสามสหายที่หลุดลอยออกมาจากหน้าต่างโรงเตี๊ยมหลังเล็ก ...ราวกับอยากให้พวกเขาดื่มด่ำช่วงเวลาที่ยังมีเสียงหัวเราะไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้   ก่อนที่โชคชะตาจะมีโอกาสเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล



...................................................................



   จันทร์ดวงเดียวกัน ...ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เห็นได้เหมือนกันหรือเปล่า?

   สมัยเด็กเป้ยหมิงเคยคิดว่าจันทร์ที่ป๋ายเซว่งดงามที่สุดในโลกหล้าแล้ว ...แต่เมื่อเขาได้มาเยือนที่นี่ก็กลับพบว่าจันทร์ที่ซานหลงอาจงดงามยิ่งกว่า   แสงนวลอ่อนช้อยที่สะท้อนพื้นน้ำเบื้องหน้าดึงดูดสายตาชวนให้หลงใหล  และสายลมแผ่วเบาที่พัดผ่านก็แสนเย็นสบายจนลืมทุกความกังวลไปสิ้น

   หากทว่าคืนแรกที่ซานหลง ...จิตใจเขาก็กลับว้าวุ่นคิดใคร่ครวญไม่สร่าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเปลวไฟจากสายตาแข็งกร้าวนั้นแผดเผาเอาหรือเปล่า   ที่ทำให้เขาต้องออกมาเดินเล่นจากตำหนัก หวังให้สายลมเย็นทำให้ใจสงบลงเช่นนี้

   ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาลที่ห่อหุ้มทุกสรรพสิ่ง ...เหลือเพียงแสงจันทร์เพ็ญอาบไล้ศาลาไม้กลางน้ำ   ฉายให้เห็นเงาร่างสูงของผู้มาใหม่ที่เหยียบย่างเข้ามาเพียงแผ่วเบา

   เป้ยหมิงได้สติรีบหันไปมองทันที

   “ใครน่ะ!”

   ผู้ที่ถูกเรียกชะงักไปด้วยสำเนียงที่ไม่คุ้นหู ...เกือบหยิบดาบสั้นออกมาป้องกันตัวเสียแล้ว  แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าผู้ที่มาถึงก่อนมิใช่ศัตรูแต่อย่างใด

   “ข้าขออภัยที่เสียมารยาท”

   หลี่ไป๋กดดาบสั้นเข้าในฝักให้สนิท  ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคนที่กำลังคำนึงถึงในสถานที่แห่งนี้...  ในขณะที่องค์รัชทายาทก็ดูคล้ายจะดีใจที่ได้เจอเขาเช่นเดียวกัน

    “ข้าต่างหากที่เสียมารยาท... ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังเที่ยวเดินเล่นในวังของผู้อื่นโดยพลกาลอีก”

   “ท่านอย่าคิดมากเลยขอรับ ...เชิญตามสบายเถิด” ชายชาติทหารก้าวเข้ามาช้าๆ ยืนพิงรั้วไม้ที่กั้นศาลาอย่างที่ตนเคยทำเป็นประจำ

   เป้ยหมิงเหลือบมองชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้น ...แผลเป็นมากมายบนผิวกายเขาเหมือนจะกระด้างน้อยลงเมื่อต้องแสงจันทร์ ทำให้เขาอดสงสัยที่มาของมันไม่ได้

   “ท่านกำลังเดินตรวจการตอนกลางคืนอยู่หรือ?”

   “ขอรับ...” หลี่ไป๋ตอบ “...แต่ถ้าคืนไหนข้านอนไม่หลับ ข้าก็มักจะมาที่นี่เสมอ”

   ร่างสูงใหญ่กล่าวโดยมิได้สบตา คล้ายว่ามีสิ่งที่แฝงอยู่กับประโยคนั้นที่บอกว่าสาเหตุที่ทำให้เขากระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับที่แท้แล้วมาจากเหตุเดียวกัน

“ที่จริงข้าเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน...”  เป้ยหมิงสารภาพ “...ถ้าไม่รังเกียจ ท่านช่วยอยู่คุยเป็นเพื่อนข้าก่อนได้ไหม”
หลี่ไป๋ชะงักไป แปลกใจที่อยู่ๆตนก็ได้รับโอกาสดีๆเช่นนี้  ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้พวกเขาได้พบกันอีกในค่ำคืนนี้ก็ตาม   เขาก็คงจะไม่ปล่อยให้มันผ่านพ้นไป

 “ได้สิขอรับ...”

แสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำช่างงดงามยิ่งนัก พาให้ทั้งสองดื่มด่ำไปกับบรรยากาศเงียบสงบจนแทบลืมตัวตนของตนเองไปสิ้น
...แต่แล้วกลับมีอะไรบางอย่างทำให้หลี่ไป๋นึกถึงเรื่องเล่าของเดรัจฉานที่พยายามไขว่คว้าดวงจันทร์ ซึ่งท้ายที่สุดมันก็ต้องจมน้ำตายไปด้วยความเขลาของตน

...ถ้าเขาจะว่ายลงไปคว้าดวงจันทร์บนผิวน้ำบ้าง เขาจะสิ้นใจดั่งเดรัจฉานตนนั้นหรือเปล่าหนอ

“ข้าได้ยินว่าท่านมีนามว่าหลี่ไป๋ ...ท่านมาจากไหนหรือ?”

คำถามแสนนุ่มนวลปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์

“ข้าเคยเป็นคนของแผ่นดินโจวขอรับ แต่บัดนี้ข้าคงไม่ใช่คนของที่นั่นอีกแล้ว”

   ทหารหนุ่มเงียบไป ราวกับว่าสิ่งที่พูดนั้นสะกิดความทรงจำที่ตนฝังลืมไว้แสนนาน และเป้ยหมิงก็คงจะสังเกตได้เช่นกัน

   “ข้าเองไม่ได้ไปเหยียบนครหลวงมานานมากแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปอีกสักครั้ง...” เป้ยหมิงพยายามพูดให้อีกฝ่ายรื่นเริงขึ้น “...แต่ที่จริงความฝันของข้าคือได้ออกเดินทางไปเห็นดินแดนได้ทั่วโลก   มันก็คงจะดีไม่น้อย”

หลี่ไป๋เฝ้าแอบมองใบหน้าที่เหม่อลอยยามที่พูดถึงความฝัน...  ดวงตาที่เศร้าสร้อยเป็นบางครั้งชวนให้นึกว่าเบื้องหลังรอยยิ้มอ่อนโยนอาจคือการเสแสร้ง และมันก็ทำให้เขานึกอยากจะหยั่งรู้ตัวตนที่แท้จริงของชายตรงหน้าให้มากกว่านี้

   “ท่านหลี่ไป๋ ...ท่านเชื่อในพรหมลิขิตหรือเปล่า?”

   ทหารหนุ่มชะงักนิ่ง คำถามที่ล่องลอยมานั้นมีบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจหักหาญน้ำใจตอบตามที่ใจคิดได้

   “ข้าเชื่อในการตัดสินใจของมนุษย์มากกว่า...”

   “จริงหรือ? แต่ข้าเชื่อ...” สายตาของคนพูดเหม่อมองออกไปแสนไกล “...ข้าเชื่อว่าจะต้องมีสิ่งใดหนึ่งข้างนอกนั้น ที่จะทำให้ข้าได้เข้าใจความหมายของการมีชีวิต...   สิ่งที่จะเป็นหลักประกันว่าต่อจากนี้แม้จะเจอความวุ่นวายแค่ไหน คุณค่าของการมีชีวิตก็ยังจะคงอยู่   และมันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ได้พบมัน”

   “ท่านก็เลยอยากออกเดินทางเช่นนั้นหรือ?”

   รอยยิ้มเบาบางปรากฏขึ้นเหมือนจะปลอบใจตัวเอง  “คงเป็นเช่นนั้นกระมัง..”

   สายลมเย็นเยือกพัดโชยมาต้องผิวน้ำจนเงาจันทร์สั่นระริก ...ความหวานเศร้าในดวงตาคู่นั้นมันบีบคั้นหัวใจของผู้พบเห็นเสียจนลืมตัว  พอรู้สึกตัวอีกที ฝ่ามือหยาบกระด้างก็อาจหาญเอื้อมไปเสยปอยผมที่ปรกตาอีกฝ่ายให้พ้นไป

   ...เผลอนึกไปว่าถ้าหยุดเวลานี้ไว้ชั่วกาลได้ก็คงดี

   “องค์ชาย!!!”

   ทั้งสองสะดุ้งกับเสียงเรียกนั้นจนหลุดจากภวังค์ ...และเจ้าของเสียงนั้นก็คือข้ารับใช้คนสนิทของเป้ยหมิงที่ไม่เคยห่างกาย

   “ท่านมาอยู่ที่นี่น่ะเอง! พวกข้าตามหาเสียแทบแย่”

   “...ข้าต้องขอโทษด้วย” เป้ยหมิงเริ่มมีสีหน้าลำบากใจ “ที่จริงแล้วข้าแค่นอนไม่หลับเท่านั้น”

   “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านก็รีบเข้านอนเสียเถิด พรุ่งนี้ท่านยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก...”

   หลี่ไป๋ได้แต่ยืนมองชายสองคนสนทนากันด้วยสำเนียงแปลกหูฟังไม่เข้าใจ ...แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าสายตาของผู้ที่มาใหม่นั้นช่างไม่เป็นมิตรและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

   “ถ้าเช่นนั้น...” องค์รัชทายาทแห่งป๋ายเซว่หันมาพูดกับเขาอีกครั้ง “...ข้าคงต้องไปก่อนแล้ว”

   “เชิญเถิดขอรับ”

   รอยยิ้มแสนเศร้าส่งให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย   ก่อนเจ้าตัวต้องจำใจเดินลับออกจากศาลาไป

   เพียงแค่กวักมือลงในน้ำเงาจันทร์ก็หายไปเสียแล้ว...   นี่เขาคิดถูกหรือเปล่าที่ตัดสินใจไขว่คว้าไว้แม้เพียงเงา...









หัวข้อ: Re: ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 3]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 12-05-2013 08:06:37
ภาษาสวยมากๆเลยค่ะ (แต่ยังจำชื่อตัวละครไม่ได้เลยแฮะ) เรื่องน่าติดตามมาก
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 4]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 17-05-2013 21:49:05
บทที่ 4 ยาพิษรสน้ำจัณฑ์





   “หลี่ไป๋... เมื่อคืนเจ้าหายไปไหน”

   ทหารองครักษ์ถึงกับหายใจสะดุดเมื่อได้ยินคำถาม   แต่ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะถามด้วยความสงสัยธรรมดาเท่านั้น

   “ข้า... ออกไปเดินเล่นน่ะขอรับ”

   “ทุกคืนเลยรึ?”  หงฟี่หรี่ตามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง “...ทีหลังเจ้าจะออกไปไหนก็บอกข้าเสียก่อนล่ะ  เมื่อคืนข้าอุตส่าห์อยากหาเพื่อนร่วมดื่ม แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครดื่มกับข้าเสียนี่”

   “ข้าขออภัย...”

   ต้าอ๋องเหมือนจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะคาดโทษทหารอารักขา  นี่มันก็สามวันสามคืนแล้วที่จิตใจเขาว้าวุ่น จนถ้าไม่ได้น้ำจัณฑ์ช่วยความร้อนรุ่มในอกก็คงไม่สงบลง

   หญิงสาวที่งดงามและแข็งแกร่งดั่งมังกรผู้นั้นจับใจเขามิมีลืมเลือน   ยามลืมตาก็คำนึงหา ยามหลับตาภาพก็ตราตรึง...  ไม่น่าเชื่อเลยว่าการที่จู่ๆสตรีนางเดียวได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจะสามารถทำให้จิตใจเขากระวนกระวายอยากพลิกแผ่นดินตามหาได้ถึงเพียงนี้

   “ขออนุญาตเพคะ...”

   พลันนั้นเสียงเรียกจากนอกห้องก็ดังขึ้น ทำให้หงฟี่ที่กำลังพักผ่อนอยู่รู้สึกไม่สบอารมณ์

   “ติ๋วซื่อ เจ้ามีธุระอะไร”

   หญิงวัยกลางคนผู้เป็นนางรับใช้เก่าแก่ในวังก้มคำนับรายงานอย่างนอบน้อม

   “วันนี้มีนางรับใช้คนใหม่เข้ามาเพคะ ...ข้าคิดว่าท่านคงอยากพบนาง”

   หงฟี่ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ที่ตนต้องมารับรู้เรื่องไร้สาระเช่นนี้ ...จนกระทั่งเมื่อได้พบกับนางผู้นั้น เขาก็ต้องเปลี่ยนใจเสียโดยพลัน

   ...สตรีในชุดแพรสีน้ำเงินเข้มอันเป็นเครื่องแบบของนางรับใช้ที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้เขาถึงกับลืมหายใจ แม้ผมสีดำยาวสลวยจะเปลี่ยนเป็นมวยรวบทั้งศีรษะไว้หลวมๆ แต่กิริยาท่าทางและผิวเรียบเนียนสีเข้มกว่าสตรีทั่วไปทำให้เขาจำนางได้ทันที

   “ตั่วหยาง!?!”

   “ข้าต้องขออภัยที่ข้าหายไปโดยไม่บอกกล่าวเพคะ”

   สตรีรับใช้กล่าวตอบโดยไม่สบสายตา ในขณะที่หงฟี่ตะลึงงัน... ไม่แน่ใจว่ากำลังตื่นหรือกำลังฝันอยู่กันแน่

   “ติ๋วซื่อ ...เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้าอยากพบนาง”

   นางรับใช้อาวุโสแย้มยิ้มอย่างนึกขัน “แหม ก็ข้าเป็นคนรินเหล้าให้ท่านเองนี่เพคะ ทำไมข้าจะไม่รู้ ...ในเมื่อท่านเพ้อถึงชื่อนางเสียขนาดนั้น”

   เมื่อต้าอ๋องได้ยินดังนั้นก็พลันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ใบหน้า ...ช่างน่าอับอายเหลือเกินเมื่อเจ้าตัวได้มายินความลับของเขากับหูเช่นนี้

   “อ... อืม  แล้วเจ้ามีธุระอะไรอีกไหม”

   “ไม่มีแล้วเพคะ”

   “ถ้าเช่นนั้น ...เจ้าก็กลับไปได้แล้ว”

   หญิงร่างผอมซ่อนรอยยิ้มขันกับตัวเอง   ก่อนจะหันมามองหญิงสาวคนงามเสียทีหนึ่ง …คล้ายเป็นการบอกว่าภารกิจนำนางรับใช้คนใหม่เข้าวังได้สำเร็จลงแล้วตามคำขอที่หลานชายได้ฝากไว้

   ...และรอยยิ้มนั้น ทำให้ตั่วหยางแอบคิดว่านางช่างเหมือนกับหลานชายหลินไน่อย่างบอกไม่ถูก

   ในที่สุดติ๋วซื่อก็ออกไปจากห้อง   ในห้องนี้จึงเหลือเพียงต้าอ๋อง องครักษ์ นางรับใช้อีกสองคน กับตัวเขา รวมเป็นห้าคนเท่านั้น   เมื่อเหลือบมองหงฟี่ สีหน้ากระอักกระอ่วนของชายหนุ่มทำให้เขารู้สึกนึกขันอยู่ในใจ  ยามนี้อ๋องแห่งแคว้นตรงหน้าดูไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งจีบสาวเป็นครั้งแรก  มันทำให้น่าติดตามว่าหงฟี่คิดจะทำอะไรต่อไป

   เมื่อเห็นว่าคงจะไม่มีใครคอยแซวแล้ว ท่านอ๋องถึงได้เอ่ยถามขึ้น

   “ตั่วหยาง ...ที่ข้าขอเจ้าเมื่อคืนก่อนนั้น เจ้าคิดว่าเช่นไร”

   คนฟังนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จึงนึกขึ้นได้ว่าคำขอนั้นก็คือคำขอให้เขาเป็นชายา  ...ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมมีคำตอบเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว

   “ข้าต้องขออภัยจริงๆเพคะ ...แต่ข้าคงไม่สามารถทำตามคำขอนั้นได้”

   “เช่นนั้นหรือ?” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูแหบแห้ง  ตั่วหยางไม่ได้คิดเลยว่าคำตอบนี้จะส่งผลกระทบต่อไปเช่นไร... มานึกเอาได้ก็เมื่อความเงียบเข้าคืบคลานเข้ามาในห้อง  ซึ่งก็อาจจะสายไปเสียแล้วเพราะในขณะนี้หงฟี่ดูนิ่งงัน เย็นชาเสียจนน่ากลัว “ถ้าไม่รังเกียจ เจ้าช่วยบอกเหตุผลกับข้าหน่อยได้ไหม?”

   คราวนี้ตั่วหยางถึงกับจนมุม  เหตุเพราะไม่ได้เตรียมข้ออ้างไว้สำหรับคำถามนี้เลยสักนิด

   จะให้ตอบว่าแท้จริงแล้วเขามิใช่สตรี หรือจะให้ตอบว่าตนปลอมตัวมาเพราะปรารถนาจะลอบสังหารคนที่ถามคำถามนี้ เขาก็ไม่อาจตอบได้ทั้งนั้น

   “ข้า...”

   “หรือว่าเจ้ามีคนที่รักอยู่แล้ว?”

   …ไหนจื่อ

   พลันนั้นใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กสาวก็ผุดขึ้นมา   ใช่แล้ว... ทำไมเรื่องง่ายๆเพียงแค่นี้เขากลับลืมมันไปเสียได้

   “ใช่แล้วเพคะ...”

   ตอบไปแล้วก็โล่งอกที่คราวนี้เขารอดไปได้  ทว่าหงฟี่ก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา  ...จนต้องลอบมองเจ้าครองแคว้นอีกครั้ง   ถึงได้เห็นว่าสีหน้าเย็นชานั้นที่แท้แล้วคงเป็นการพยายามซ่อนความผิดหวังเอาไว้อย่างดีที่สุดเสียมากกว่า

   “ถ้าเช่นนั้น  ข้าก็ต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาท...”

   ต้าอ๋องผู้สูงศักดิ์เบือนหน้ามองไปนอกหน้าต่าง... แปลกที่สายตานั้นดูว้าเหว่จับใจ

   “ข้าไม่ถือสาหรอกเพคะ”

   หงฟี่ยังคงนิ่งเงียบ   คล้ายคิดอะไรอยู่มากมาย บางทีตอนนี้เขาอาจจะนึกจินตนาการเรื่องราวของสาวชาวบ้านที่ต้องพลัดพรากจากคนรัก มาเป็นนางรำและนางรับใช้ในวังเพื่อส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวพ้นจากหนี้สินอยู่ก็ได้กระมัง... และหากเรื่องราวของตั่วหยางเป็นเรื่องราวน่ารันทดนี้จริง แล้วเขาจะขืนใจนางให้มาเป็นชายาของตนได้อย่างไร

   “แต่ข้ายินดีนะที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง ...ข้านึกว่าข้าคงไม่มีวันจะได้พบเจ้าอีกแล้ว”

    “หามิได้เพคะ...”

   ต้าอ๋องเงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แม้ว่าอยากจะทำความรู้จักกับสตรีผู้นี้ให้มากขึ้นก็ตาม   สุดท้ายที่ตนทำได้ก็เพียงแค่เฉไฉออกนอกเรื่องเท่านั้น

   “หลี่ไป๋ ...เหล้าน้ำผึ้งเมื่อวานยังเหลืออยู่อีกหรือเปล่า?”

   องครักษ์ดูงุนงงเล็กน้อย  “ทางป๋ายเซว่อภินันทนาการมาให้มากพอดู น่าจะยังเหลืออยู่นะขอรับ”

   “ดีล่ะ” หงฟี่ว่า ก่อนจะหันไปสั่งนางรับใช้ที่เหลือในห้อง “ไปเอามาให้ข้าซิ”

   หญิงสาวทั้งสองคนคำนับรับคำสั่งและออกห้องไป แล้วต้าอ๋องก็หันมาพูดกับนางรับใช้คนใหม่อีกครั้ง “ตั่วหยาง... เจ้าช่วยรินเหล้าให้ข้าหน่อยแล้วกัน”

   “ได้สิเพคะ...”

   พลันนั้นตั่วหยางก็รู้สึกหนาววาบขึ้นมาแปลกๆ ...เหมือนจะมีสายตาของใครบางคนเฝ้าจับผิดเขาอยู่ด้วยความไม่ไว้ใจ

   เพียงไม่นาน หญิงรับใช้ทั้งสองก็กลับมาพร้อมน้ำเต้าสีเหลืองในมือ ก่อนจะส่งให้เขารับมาดูแล

   ...และพอน้ำเต้าอยู่ในมือเขาแล้วก็ทำให้นึกขึ้นได้ อีกวิธีหนึ่งที่สังหารต้าอ๋องผู้นี้ได้ง่ายๆก็คือการผสมยาพิษลงในอาหาร   ถ้าเช่นนั้นคราวหน้าเขาจะบอกให้หยาโจวช่วยเตรียมยาพิษให้ก็คงเป็นแผนการที่ดี

   ตั่วหยางรินสุราลงในจอกช้าๆ พอเต็มจอกหงฟี่ก็รับมาสูดกลิ่นใกล้พลางครางอืมในลำคอ

   ด้วยภาพที่เขาจับจ้องอยู่นั้นก็ทำให้อดจินตนาการไม่ได้... ถ้าอ๋องทรราชต้องโดนยาพิษจะเป็นเช่นไรนะ? จะสาแก่ใจมากกว่าใช้มีดปาดคอหรือเปล่า?

   “ท่านต้าอ๋อง”

   จอกเหล้าชะงักนิ่ง ยังไม่ถึงริมฝีปากด้วยซ้ำ

   หลี่ไป๋เรียกเจ้านายด้วยเสียงต่ำเรียบ ...พลันนั้นแววตาสงบเยือกเย็นก็แปรเปลี่ยนดูคมกริบเครียดขึ้ง

   “มีอะไร หลี่ไป๋”

   หงฟี่ตอบกลับเสียงหงุดหงิดด้วยความไม่พอใจ   แต่พอเห็นสายตานั้นแล้วเขาถึงได้ส่งจอกให้องครักษ์รับไปสูดกลิ่นแต่โดยดี  เป็นชั่วขณะที่ทั้งห้องเงียบกริบ  บรรยากาศก็เหมือนจะเย็นเยือกอยู่เนิ่นนาน

   หลี่ไป๋ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายเหนือหัวของตน

   “สุรานี้ ผสมยาพิษขอรับ”

   คำพูดนั้นดั่งเป็นฟ้าผ่าลงมากลางราชวัง...

   “เจ้าว่าไงนะ!”

   หงฟี่ผุดลุกยืนขึ้น เสียงตวาดแสนเกรี้ยวกราดนั้นทำให้ทุกคนถึงกับหวาดหวั่นไปตามๆกัน   ในขณะที่ตั่วหยางนึกประหลาดใจ ...เมื่อครู่เขาแค่คิดเล่นๆเท่านั้น ทำไมเรื่องยาพิษถึงกลายเป็นจริงขึ้นมาได้

   “ตั่วหยาง! หรือว่าเป็นเจ้า!”

   “ม...ไม่ใช่ข้านะเพคะ!”

   “ไม่ใช่นางผู้นี้หรอกขอรับ” หลี่ไป๋กล่าวขึ้นเรียบๆ “เมื่อครู่ข้าไม่เห็นว่านางใส่ยาพิษใดลงไป ...สุราจากป๋ายเซว่ทั้งหมดก็ถูกตรวจสอบหมดแล้วว่าไม่มียาพิษ  ถ้าใครจะเป็นผู้วางยาก็ต้องวางตั้งแต่ก่อนเข้ามาในห้องขอรับ”

   โทสะของหงฟี่คล้ายจะแปรจากไฟไปเป็นน้ำแข็ง ความเกรี้ยวกราดแปรเป็นความอำมหิต   ยิ่งเมื่อเขาเหลือบไปมองนางรับใช้อีกสองคนที่นั่งตัวสั่นอยู่ที่มุมห้องแล้ว พวกนางคงจะเข้าใจได้ดี

   “หลี่ไป๋ ...ไปสืบมาว่าใครทำ แล้วประหารผู้นั้นซะ”

   เป็นคำสั่งเยือกเย็นที่ทำให้หนาวไปถึงสันหลัง   มันทำให้ตั่วหยางเบิกตากว้าง ...ราวกับตนเป็นผู้ต้องโทษประหารนั้นเสียเอง

   “ขอรับ”

   ทหารองครักษ์ก้มหัวรับคำสั่ง   ทว่าสายตาคมกริบนั้นยังคงจ้องมองมาที่นางรับใช้คนใหม่อย่างต้องการจะจับพิรุธให้ได้   และเมื่อเขากับหงฟี่ออกจากห้องไปแล้ว ความหวาดหวั่นที่ได้รับจากสายตาอันไม่เป็นมิตรนั้นก็ยังฝังลึกอยู่ในใจของผู้ที่ถูกจ้องมอง

   ...นี่จะหมายความว่า ถ้าเขาต้องการสังหารอ๋องทรราชผู้นี้จริงๆ เขาก็ต้องยอมแลกด้วยชีวิตเช่นนั้นหรือ?


...................................................................


   คมหวีสางไล้ลงมาตามเส้นผมสีดำสลวยที่ยาวจรดบั้นเอว

   “น่าตกใจนะเพคะ... ข้าไม่นึกว่าคนอย่างลี่เฟยจะเป็นผู้ลอบสังหารไปเสียได้”

   นางรับใช้ประจำตัวของมเหสีโหม่วซาพูดเปรยขึ้นในขณะที่สางผมให้เจ้านาย   เพียงแต่สีหน้าของนางไม่ได้มีความสงสารเมื่อพูดถึงเพื่อนผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย

   ข่าวที่นางในครัวผู้หนึ่งวางยาพิษในสุราแล้วต้องโทษประหารกลายเป็นข่าวใหญ่ที่คนในวังกล่าวลือกันไม่รู้จบ ...เพราะนั่นหมายความว่าผู้คิดก่อกบฏได้เข้ามาใกล้อ๋องอีกขั้นหนึ่งแล้ว

   “หงฟี่เองก็ทำเกินไป”

   โหม่วซาเหม่อออกไปนอกหน้าต่างทรงกลม ...มองจันทร์เพ็ญที่เริ่มคืนเสี้ยวลอยกระจ่างอยู่บนฟ้า

   “แต่ข้าว่าก็เหมาะสมแล้วนะเพคะ จะมีโทษใดที่คู่ควรกับผู้ลอบสังหารมากไปกว่านี้ได้”

   “แล้วถ้านางผู้นั้นเป็นแพะรับบาปล่ะ? หรือถ้านางถูกบังคับขู่เข็ญ ไม่ก็มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ...นั่นจะเรียกว่าเป็นโทษที่สมควรแล้วหรือ?”

   นางรับใช้หยุดสางผมไปชั่วขณะ “ที่ท่านพูดมาก็ถูกนะเพคะ ...แต่ข้าว่าก็น่ากลัวจริงๆที่รู้ว่ามีกบฏอยู่ใกล้ๆตัวเรา   ท่านหงฟี่เองก็มีโหรทำนายว่าจะถูกกบฏลอบสังหารอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือเพคะ”

   หัวใจของโหม่วซากระตุกวูบ แต่ก็ยังแสร้งพูดหยอกล้อ “พวกนางในอย่างพวกเจ้านี่รู้ดีเหลือเกินนะ”

   “แหม ท่านก็รู้วิสัยสตรีนี่เพคะ” นางรับใช้ยิ้มตอบ “และตอนนี้พวกขุนนางก็เริ่มกังวลกันแล้วว่าถ้าท่านหงฟี่ต้องถูกลอบสังหารไปจริงๆ แล้วใครจะเป็นผู้ครองบัลลังก์คนต่อไป...”

   พระมเหสีนิ่งเงียบ ...แม้จะไม่อยากยอมรับแต่ในใจของนางก็นึกหวั่นเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน

   ...โหม่วซาไม่ใช่คนของแคว้นนี้ แท้จริงแล้วนางเป็นธิดาองค์โตของแคว้นสุ่ยเหลียงที่อยู่ข้างเคียง ...ในสมัยนั้นซานหลงมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก พระบิดาของนางจึงหมั้นหมายนางไว้กับโอรสองค์โตของแคว้นนี้เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี   แต่แล้วเมื่อต้าอ๋องคนก่อนของซานหลงสิ้นพระชนม์ และโอรสทั้งสองพระองค์สู้รบแย่งชิงบัลลังก์จนสุดท้ายก็ไม่มีใครได้ไป    นั่นก็ทำให้นางต้องแต่งงานกับหงฟี่ซึ่งเป็นโอรสคนสุดท้ายไปโดยปริยาย

   มีข่าวลือหนาหูว่าโอรสคนสุดท้องคือผู้ลอบสังหารพี่ชายของตน ...แต่ลึกๆแล้วโหม่วซาเชื่อว่าสวามีของตนไม่น่าจะทำเช่นนั้น เพราะหงฟี่ไม่เคยแสดงท่าทีอยากขึ้นครองราชย์ ทั้งยังไม่เคยแสดงท่าทีอยากแต่งงาน หรือแม้แต่ไม่เคยแสดงท่าทีว่ารักนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว...

   โหม่วซารู้ดีแก่ใจ แต่นางเองก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของภรรยาหรือหน้าที่ของพระมเหสี   ...เพียงแต่ว่าการที่นางไม่มีโอกาสได้ให้กำเนิดโอรสเพื่อสืบทอดบัลลังก์แม้ว่าจะแต่งงานมาได้ปีหนึ่งแล้วเช่นนี้ จะถือว่านางทำหน้าที่ได้สมบูรณ์อยู่อีกหรือ?

   “ข้าเองก็หวั่นเช่นนั้น ...แต่ข้าก็ไม่มีอำนาจจะไปบังคับให้หงฟี่มีโอรสกับข้าได้มิใช่หรือ”

   “บางทีท่านหงฟี่อาจไม่ได้ชอบสตรีก็ได้นะเพคะ   เห็นจะทำอะไรที่ไหนก็เรียกแต่องครักษ์ ...หลี่ไป๋ ...หลี่ไป๋”

   นางรับใช้หัวเราะคิกคัก จนทำให้เจ้านายนึกขำตามไปด้วย

   “เจ้านี่ก็ช่างจินตนาการเหลือเกิน...” จะว่าไปก็น่าชวนให้คิดอยู่เมื่อช่วงนี้ทั้งสองดูเหมือนจะยิ่งตัวติดกันมากผิดปกติ เพราะจำต้องเข้มงวดในเรื่องการระวังการลอบสังหารยิ่งกว่าเดิม  “...แต่มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ในเมื่อวันก่อนหงฟี่ยังขอสตรีนางหนึ่งเป็นชายาอยู่เลย”

   นางรับใช้ชะงักหวีไว้ในมือแล้วทำท่านึก

   “อ๋อ... นางที่ชื่อตั่วหยางหรือเปล่าเพคะ? ตอนแรกเขาก็สงสัยกันว่านางนั่นแหล่ะที่น่าจะเป็นผู้ลอบสังหาร ...เพราะจะมีสตรีนางไหนบ้างที่ไม่อยากเป็นชายาของอ๋องล่ะเพคะ”

   “ก็ข้าได้ยินว่านางมีคนรักแล้ว”

   “แต่ก็น่าแปลกนะเพคะ ที่มีคนรักอยู่แล้วยังมาทำงานเป็นนางในวัง ...แล้วบางคืนก็ยังหาตัวนางไม่เจอเสียอีก”

   สตรีผู้เป็นพระมเหสีนิ่งคิดตาม ...นางผู้นั้นก็ดูมีพิรุธบางอย่างจริงอย่างที่นางรับใช้ว่า   แต่โหม่วซาก็ไม่เคยเห็นว่ามีสตรีนางไหนที่ทำให้หงฟี่ตกหลุมรักได้ถึงขนาดนี้   และยิ่งไปกว่านั้น ...ถ้านางเกิดไปมีโอรสกับหงฟี่ล่ะ?   บางทีโหม่วซาอาจจะต้องยอมเพื่ออนาคตของซานหลง ในฐานะที่ตนเองไม่สามารถทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ก็เป็นได้

   แต่ถ้านางผู้นั้นมาเพื่อลอบสังหารหงฟี่จริงๆ ...จะมีหนทางใดที่นางจะสามารถหยุดรั้งชะตากรรมนี้ได้อีกไหม?





หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 26-05-2013 19:59:22
บทที่ 5 แผลเป็นอาบโลหิต



   นกทะเลร้องวนเวียนอยู่เหนือคลื่นแข่งกับเสียงเหล่าพ่อค้าแม่ขายริมฝั่งที่ร้องเรียกหาลูกค้ากันเสียงขรม ทั้งกุ้งหอยปูปลาที่จับได้ก็ถูกวางขายเรียงรายส่งกลิ่นคาวตลบอบอวล

   เฉินซื่อย่นจมูก พาลให้คิ้วย่นตามลงมาด้วย

   “สำเนียงใต้นี่ฟังดูหนวกหูจริงนะขอรับ”

   เพราะความที่ไม่คุ้นเคยกับสำเนียงแถบนี้เลยทำให้ข้ารับใช้ชาวป๋ายเซว่รู้สึกรำคาญใจ แต่เจ้านายที่เป็นถึงองค์รัชทายาทกลับไม่คิดเช่นนั้น

   “คงเป็นเพราะเจ้าไม่คุ้นหูน่ะ ...ที่จริงข้าว่าสำเนียงใต้ช่างเป็นสำเนียงที่น่าศึกษา”

   งานอย่างหนึ่งของเป้ยหมิงในขณะที่อยู่ที่ซานหลง ก็คือการพบปะสังสรรค์ผู้คนเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทางวังก็มอบเสื้อผ้าแพรประจำแคว้นให้อาคันตุกะทุกคนได้ใส่และไว้เป็นของกำนัล เพราะเกรงว่าเสื้อขนสัตว์จากแคว้นทางเหนือที่พวกเขาเตรียมมาจะทำให้ร้อนเกินไป...   ซึ่งถึงจะผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วแต่เป้ยหมิงก็ไม่ได้เบื่อหน้าที่นี้เลย ออกจะเพลิดเพลินกับมันด้วยซ้ำ   แต่ดูท่าทางข้ารับใช้คนสนิทที่อยู่แต่ในวังมาทั้งชีวิตจะไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไหร่นัก

   “อ้อ เพราะว่ามันเป็นสำเนียงที่ทำให้สื่อสารกับใครๆในต่างแคว้นได้งั้นสินะขอรับ”

   น้ำเสียงของเฉินซื่อดูประชดเสียดสีอยู่ในที ทำให้เจ้านายซึ่งกำลังโบกมือตอบเด็กหญิงตัวน้อยต้องหันกลับมามองเขาอย่างขุ่นใจ

   “ก็คงเช่นนั้นกระมัง...”

   เป้ยหมิงประชดตอบ นึกรำคาญใจที่บ่าวผู้นี้เจ้ากี้เจ้าการยิ่งกว่าพระมารดาของตนเสียอีก

   “ท่านก็คงรู้ใช่ไหมขอรับว่าข้าหมายถึงอะไร ...เมื่อคืนนี้ท่านก็ไปลอบพบกับเจ้าทหารนั่นอีกแล้ว!”

   เฉินซื่อพูดเสียงขึ้นจมูก แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเจ้านายหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ

   “มันก็เป็นสิทธิ์ของข้า มิใช่หรือ?”

   ...จะปฏิเสธไปก็เปล่าประโยชน์ แต่เป้ยหมิงก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองที่ข้ารับใช้ยังมาสอดแนมเขาได้แม้ในยามที่เขาต้องการความเป็นส่วนตัว ...ยิ่งจะโมโหเสียอีกถ้าเฉินซื่อจะห้ามให้เขาทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น

   ผ่านมาก็เกือบเจ็ดวันแล้ว แต่ทุกคืนหลี่ไป๋ก็ยังมาที่ศาลาริมน้ำนั้นเหมือนกับว่าคนที่เข้ามาแทรกกิจวัตรนั้นคือเป้ยหมิงเสียเอง ...และแม้ว่าจันทร์แต่ละคืนเริ่มคืนเสี้ยว ทว่าเรื่องราวที่ให้พูดคุยกันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่รู้จบ   และน่าแปลกที่ชายแปลกหน้าผู้นี้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองได้แม้จะเพิ่งรู้จักกันเท่านั้น

   ...บางวันก็ถึงขั้นนึกอยากให้ตะวันลับขอบฟ้าไปเร็วๆยิ่งดี

   “ก็ข้าไปได้ยินมาว่า ชายผู้นั้นเป็นคนอันตราย”  เฉินซื่อพูดเสียงต่ำ พยายามให้ได้ยินกันแค่สองคน

   “เจ้าไปได้ยินมาจากไหนล่ะ? ไปแอบฟังใครมาอีกแล้วงั้นรึ”

   “ก็ไม่เชิงหรอกขอรับ ...มีนางในวังเขาพูดกันแล้วคนของเราก็ไปได้ยินเข้า” ชายหนุ่มพยายามเร่งฝีเท้าตามเจ้านายเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเขาแน่ๆ

   “วิสัยสตรีก็ชอบพูดจาไปเรื่อยเปื่อย เจ้าจะไปแน่ใจได้อย่างไรกัน”

   “ก็ข้าไปได้ยินมาว่า...” เฉินซื่อสูดหายใจลึก แล้วเล่าเรื่องในรวดเดียว “...ชายพูดนั้นเคยเป็นทหารรับกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจว เป็นทหารที่ซื่อสัตย์ ...แต่แล้วสุดท้าย เขาก็เป็นผู้ลอบสังหารกษัตริย์เสียเอง!”

   เป็นข่าวลือที่รุนแรงยิ่งกว่าโดนตบหน้า ในอกเป้ยหมิงว่างวูบไปชั่วขณะ ... ข่าวลือน่าสะพรึงกลัวที่เคยสะพัดไปทั่วแผ่นดินจีนว่าทหารอารักขาคนสนิทลอบสังหารกษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวแล้วหลบหนีไปได้ ...แท้จริงคือหลี่ไป๋ผู้นี้เองหรอกหรือ?

   “เขาถูกตามไล่ล่า แล้วพอจนมุมก็เลยฆ่าเหล่าทหารที่เคยเป็นพวกเดียวกันเองไปกว่าสิบคนด้วยเพลงดาบเพลงเดียว! ...กล่าวลือกันว่าเขาเป็นยิ่งกว่าอสูรกระหายเลือด ไร้ความเมตตายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน!

   “เจ้ากล่าวเกินจริงมากไปแล้ว!” เป้ยหมิงรีบตัดบทเพราะไม่อยากทนฟังมากไปกว่านี้

   “ก็ข้าได้ยินมาเช่นนั้น!” แต่เฉินซื่อยังคงดื้อดึง “แล้วหลังจากนั้น พอมีทหารหรือจอมยุทธหน้าไหนเข้ามาใกล้เขาก็สังหารเสียหมด โหดเหี้ยมเสียจนเป็นที่หวาดกลัวในสังคม  ...จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับท่านหงฟี่ที่ไปส่งเครื่องบรรณาการให้แผ่นดินโจว เขาก็เลยหลบหนีมาที่ซานหลง   แล้วกลายมาเป็นองครักษ์ของต้าอ๋องจนถึงปัจจุบัน”

   ...พลันรอยแผลเป็นมากมายบนผิวกายของหลี่ไป๋ก็ฉายชัดขึ้นมาในห้วงคำนึง   ยิ่งชวนให้นึกสงสัยว่าเรื่องราวเหลือเชื่อนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่

   “ท่านก็เคยได้ยินข่าวลือใช่ไหมว่าท่านหงฟี่เป็นผู้ลอบสังหารพระเชษฐาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์” เฉินซื่อลดเสียงลงเป็นกระซิบ “...แต่ข้าคิดว่าบางทีท่านหงฟี่อาจจะยืมมือหลี่ไป๋ให้ลงมือเสียมากกว่า”

    “เจ้าก็แค่อนุมานไปเองมิใช่หรือ?”

   “ท่านก็ลองคิดดูเถิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าคนทรยศอย่างเขาอาจจะลอบสังหารอ๋องหงฟี่อีกก็ได้ หรือสังหารใครก็ตามที่เขาใกล้ชิด ...ท่านก็รู้ สันดานคนทรยศมันย่อมไม่มีวันเปลี่ยนไปได้”

   ชายหนุ่มรู้ว่าที่ข้ารับใช้พูดมานั้นเป็นเพียงเพราะความหวังดี ...แต่ความประสงค์ร้ายที่แฝงมาในประโยคว่าให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับหลี่ไป๋กลับทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้ง

   “ที่เจ้าได้ยินมาก็แค่ข่าวลือเท่านั้น ...อย่าได้ตีตนไปก่อนไข้เลย บางทีมันอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้”

   “ท่านเป้ยหมิง ...ข้าขอร้องเถิดขอรับ อย่าไปยุ่งกับคนพรรค์นั้นอีกเลย”

   องค์รัชทายาทนึกจะต่อปากต่อคำต่อ แต่ก็คร้านจะเถียงด้วยแล้ว เพราะรู้ว่าคนอย่างเฉินซื่อให้ค้านอะไรก็คงไม่ยอมฟัง ...จะมีทางเดียวที่จะรู้ความจริงได้ก็คือต้องไปถามจากปากเจ้าตัวเพียงเท่านั้น


...................................................................


   “เจ้าองครักษ์นั่น มันต้องสงสัยข้าอยู่แน่ๆ!”

   ตั่วหยางเปิดประตูเดินปึงปังเข้ามาในห้อง แล้วก็พบว่าหยาโจวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว

   “วันนี้ก็ยังไม่สำเร็จอีกหรือ?”

   “เจ้าก็ลองมาทำอย่างข้าดูบ้างสิ! เจ้าองครักษ์นั่นก็ตามติดหงฟี่เสียแจ ใครมันจะหาโอกาสฆ่าได้! ...นี่ถ้าข้าพลาดไปก็คงมีหวังโดนประหารเหมือนนางนั่นแน่ๆ”

   หยาโจวลดหนังสือในมือลง... “เดี๋ยวนี้เจ้าเรียกมันว่าหงฟี่แล้วรึ?”

   ชายหนุ่มชะงัก ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองพูดอะไรออกไป

   “ข้าจะเรียกมันว่าอะไรก็ช่างข้าเถอะ! ...แล้วนี่หลินไน่อยู่ไหนกัน”

   “เห็นมันบอกว่าออกไปให้อาหารม้า”

   ตั่วหยางเดินลงมานั่งที่เก้าอี้ แก้มวยผมออกแล้วใช้นิ้วสางอย่างไม่สบอารมณ์  ...นั่งพักเพียงไม่นานหลินไน่ก็เข้ามาในห้อง พร้อมเสื้อผ้าเปื้อนโคลนดูมอมแมม

   “อ้าว ตั่วหยาง ...เป็นไงล่ะวันนี้”

   พอเห็นสีหน้าหงุดหงิดใจของเพื่อน หลินไน่ก็รู้ว่าตนถามไม่ถูกเวลาเสียแล้ว

   “มันยังไม่ตาย”

   “อะไรกัน? นี่มันจะครบสัปดาห์อยู่แล้วเจ้ายังฆ่ามันไม่ได้อีกหรือ?”

   “เจ้าก็ลองมาทำดูเองสิ!”

   “ที่เจ้าฆ่าไม่ได้เป็นเพราะเจ้านึกสงสารมันหรืออย่างไร?”

   “ไม่ใช่! เป็นเพราะเจ้าองครักษ์นั่นมันจับตาดูข้าอยู่ต่างหาก!”

   “นี่พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเลยน่า” หยาโจวปรามเสียงเครียด

   “ข้าว่าเป็นเพราะเจ้ายังเข้าใกล้มันไม่มากพอต่างหาก ...นี่อุตส่าห์ปลอมเป็นหญิงแล้วก็ใช้มารยาหญิงหน่อยซี่!”

   ตั่วหยางเลือดขึ้นหน้า “เจ้าไม่ได้ทำเจ้าก็พูดได้นี่!”

   ...ประตูแง้มเปิดเสียงดังเอี๊ยด ทำให้ชายทั้งสามที่อยู่ในห้องถึงกับสะดุ้งเฮือก

   “ตั่วหยางกลับมารึยังจ๊ะ?”

   ปรากฏว่าผู้ที่เปิดประตูคือหญิงชราเจ้าของโรงเตี๊ยม ทุกคนก็เลยถอนหายใจอย่างโล่งอก ...ดีที่หล่อนสายตาเริ่มฝ้าฟางเลยถูกหลอกว่าตั่วหยางเป็นผู้หญิงไปอีกคน

   “นี่ไงขอรับ มันกลับมาแล้ว”  หลินไน่จับไหล่เพื่อนให้หันหน้าไปหาแม่เฒ่าประกอบคำพูดของตน

   “ดีเลยลูก วันนี้ยายไปค้นเจอปิ่นอันโปรดของยายด้วย”

   ว่าแล้วหญิงชราก็เปิดกล่องไม้เล็กๆ แล้วหยิบปิ่นเงินที่มีเครื่องประดับห้อยลงมาเป็นพวงระยิบระยับให้ดู  ทำให้บรรยากาศบาดหมางของสหายทั้งสามเมื่อครู่นี้สลายไปในทันที

   “เอ้อ... ไม่เป็นไรหรอกจ้ะยาย” ตั่วหยางยิ้มอย่างเกรงใจ

   “ทำไมล่ะลูก ...ไม่งั้นตั่วหยางมาเลือกของกับยายไหม ยายไปเจออีกเยอะเลย”

   แล้วชายหนุ่มผู้โชคร้ายก็ถูกมือเล็กๆเหี่ยวย่นค่อยๆลากออกไปจากห้อง โดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของเจ้าของโรงเตี๊ยมได้ลง  ดังนั้นก่อนจะไปเขาจึงกระซิบฝากเพื่อนในห้องเอาไว้

   “วันพรุ่งนี้มันจะออกไปล่าสัตว์ ...เจ้าจะใช้แผนอย่างไรก็บอกข้าด้วยแล้วกัน”

   ประตูไม้ค่อยๆปิดลง... และในความเงียบที่คืบคลานเข้ามา ทำให้หยาโจวคิดแผนอะไรได้

   “หลินไน่ ...เจ้าคิดว่าเช่นไร”

   “เรื่องอะไร? เรื่องที่เจ้าอ๋องนั่นจะออกไปล่าสัตว์งั้นหรือ...” ชายร่างอ้วนดูครุ่นคิด “...เดี๋ยวข้าไปสืบมาให้ก็ได้ว่ามันจะไปที่ไหน”

   “ดีเลย  ...เราจะได้มีโอกาสเข้าหามันได้”

   หลินไน่เงียบไป

   “หมายความว่าเจ้าจะไปฆ่าเจ้านั่นเองน่ะรึ!”

   “มันออกจากวังก็เป็นโอกาสของพวกเราแล้ว” หยาโจวเอ่ยเสียงหนักแน่น “ตั่วหยางอุตส่าห์ยอมปลอมเป็นสตรีเพื่อเรา นี่ก็ถึงคราวที่เราต้องลงมือบ้างแล้ว”

   เมื่อได้ฟังดังนั้นหลินไน่ก็ได้แต่นิ่งเงียบ  แม้จะหวั่นอยู่ในใจว่าฝีมือต่อสู้ของพวกเขาจะเป็นรองตั่วหยางอยู่มาก และเทียบไม่ได้เลยกับนักสังหารมืออาชีพ   ...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสอันดีได้มาถึงแล้ว


...................................................................


   จันทร์ดวงเดิมลอยแขวนอยู่ที่เดิม หลี่ไป๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองเงาจันทร์ในน้ำอยู่เนิ่นนาน

   “ท่านหลี่ไป๋...”

   ทหารหนุ่มหลุดจากภวังค์ พอหันไปก็พบว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งป๋ายเซว่นั่นเอง

   “อากาศเริ่มหนาวแล้วนะขอรับ ท่านอยู่ข้างนอกเดี๋ยวจะไม่สบาย”

   เป้ยหมิงเดินเข้ามาใกล้ จนมายืนอยู่ตรงระเบียงไม้ข้างๆกับอีกคนเหมือนเช่นทุกคืน

   “ที่ป๋ายเซว่หนาวกว่านี้มาก แค่นี้ข้าเรียกว่าแค่เย็นสบายเท่านั้น...”

   องครัชทายาทจากแดนหนาวเอ่ยติดตลก ทำให้ชายทหารเผลอยิ้มออกมาได้

   “ท่านคงได้รับคำเชิญให้ไปล่าสัตว์กับท่านต้าอ๋องแล้วสินะขอรับ”

   เป้ยหมิงหัวเราะเบาๆ “ข้าตอบรับคำเชิญนั้นไปแล้ว ...แต่ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่ออกความคิดให้เชิญข้าคือพระมเหสีมิใช่หรือ”

   “ท่านโหม่วซาคงคิดว่าคงเป็นการดีล่ะขอรับ เพราะจะได้ถือเป็นการเจริญสัมพันธ์ไมตรีด้วย”

   คราวนี้เป้ยหมิงหัวเราะชอบใจดังกว่าเดิม ...คงจะคิดนินทาต้าอ๋องอยู่เป็นแน่

   “ที่จริงท่านมานี่ก็ดีแล้ว ...ข้ามีอะไรอยากจะถามท่าน”

   สายลมหนาวโชยมาชวนให้เย็นเยือก ...ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความหนาวหรือกระไรที่ทำให้เป้ยหมิงดูเหมือนจะเข้ามาใกล้เขามากกว่าเดิม

   ใกล้... จนมือเรียวสัมผัสกับมือหยาบกระด้างของเขา

   หลี่ไป๋รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ...ยิ่งเมื่อนิ้วเรียวนั้นไล้ขึ้นมาตามแขนที่เต็มไปด้วยแผลเป็น หัวใจเขาก็แทบจะหลุดออกมาข้างนอก

   “แผลเป็นเหล่านี้ ...ท่านได้มาเช่นไรหรือ”

   ผู้ถามไม่มองหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่สัมผัสไปตามรอยนูนจากบาดแผลเหล่านั้นเพียงแผ่วเบา

   ทหารหนุ่มเงียบไปอยู่นาน

   “ท่านอย่ารู้เลยดีกว่าขอรับ”

   เป้ยหมิงใจหาย... การไม่ตอบยิ่งคล้ายจะหมายความว่าเป็นเรื่องจริง

   “ข้าได้ยินมาว่าท่านลอบสังหารกษัตริย์แห่งแผ่นดินโจว แล้วหนีมาที่ซานหลงกับท่านต้าอ๋อง ...มันเป็นความจริงหรือ?”

   หลี่ไป๋รู้สึกตกตะลึงกับคำถามนั้น ...อันที่จริงเขาก็พอรู้อยู่แล้วว่าสายตาหวาดระแวงจากผู้คนในวังนั้นแปลว่าอะไร แต่ไม่ได้นึกว่าข่าวลือร้ายแรงนั้นจะคงอยู่ถึงทุกวันนี้

   “...เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวขอรับ”

   องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นสบตาเขา  “ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม...”

   ชายทหารเงียบไป ...เขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งจะได้รู้จักกันเช่นนี้   แต่เมื่อเห็นสายตานั่น ปณิธานที่จะเก็บอดีตไว้เป็นความลับก็ถึงกับต้องสั่นคลอน...

   เพราะเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงอดีตทีไร ก็คล้ายแผลเป็นต่างๆจะแยกออกตอกย้ำความทรมานเท่านั้น

   ยังจำได้เมื่อครั้งยังเป็นเด็กแล้วเฝ้ามองขบวนทหารเดินผ่านทุ่งนาไป ช่างเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ชวนปรารถนายิ่งนัก  นับตั้งแต่วันนั้นมันจึงกลายเป็นความฝันของเขา ให้ซุ่มฝึกซ้อมฝีมือเรื่อยมา  จนกระทั่งถึงคราที่นครหลวงเกณฑ์ชาวนาเข้าไปเป็นทหารราบ ช่วยปราบปรามแคว้นต่างๆที่แข็งข้อกับราชวงศ์โจว เลยทำให้เขาได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์  บวกกับจากความดีความชอบที่เคยช่วยชีวิตกษัตริย์แห่งแผ่นดินโจวไว้ได้ เลยทำให้เขาได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นทหารองครักษ์อย่างง่ายดาย

   เพียงแต่มีโอกาสได้ทำงานเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ในราชวงศ์ก็ถึงคราวถึงจุดแตกหัก เมื่อกลุ่มขันทีวางแผนเปลี่ยนตัวกษัตริย์อยู่เงียบๆ  รู้สึกตัวอีกทีองค์กษัตริย์ก็ถูกลอบสังหารเสียแล้ว

   ...พระองค์สิ้นพระชนม์ ในสภาพที่องครักษ์พยายามเข้าช่วยด้วยสองมือแปดเปื้อนโลหิตอยู่คาตา   พลันข่าวลวงถูกป่าวประกาศไปทั่วแผ่นดิน องครักษ์อายุน้อยคือผู้ลอบปลงพระชนม์ ...การหลบหนีจึงเป็นทางเลือกเพียงทางเดียวของเขา แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ถูกตามล่า ...กลายเป็นผู้ถูกประกาศจับที่ทหารและจอมยุทธ์ทั่วหล้าหวังตัดคอเขาไปรับรางวัล

   ...ไร้ทางหนีรอด ความหวังเดียวที่เหลืออยู่คือจำต้องสวมวิญญาณสัตว์เดรัจฉาน ที่ต้องฆ่าศัตรูก่อนที่จะถูกฆ่าเสียเอง  จนเกิดคำกล่าวขวัญ เพลงเดียวพรากสิบวิญญาณ ...ที่ทำให้ทั่วนครหวาดกลัวเขายิ่งกว่าปีศาจตนใด

   เคยคิดว่าจะหนีรอด... จนกระทั่งเหล่าศัตรูใช้แผนการสุดท้าย

   พวกมันพาแม่ผู้แก่ชราของเขามาล่อ  แต่ทว่าเมื่อเขามาถึงและไม่ยอมจำนน มันก็ปาดคอผู้ให้กำเนิดต่อหน้าเขา  ทำลายสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตให้สลายสิ้นไปต่อหน้าต่อตา

   ทุกคนในวันนั้นกลายเป็นศพ...

   หลังจากวันนั้น ทุกคนคือศัตรู ทุกคนคือคนทรยศ ...กี่ศพแล้วที่เขาพรากชีวิต กี่หยาดน้ำตาของญาติคนเหล่านั้นที่เขาทำให้หลั่งริน ...เขาจำไม่ได้

   เขากลายเป็นเดรัจฉานไปแล้ว

   ศึกแห่งการดิ้นรนอยู่รอดดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายเมื่อเขาพลาดพลั้งจนเสียท่า  ต้องคลานหนีออกมาถึงทุ่งโล่งคล้ายหมาจนตรอก   สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเขานอนรอความตายอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ปล่อยให้สายฝนชโลมเลือดที่ไหลหลั่งให้ซึมลงไปกับแผ่นดิน

   ...พอรู้สึกตัวอีกที เขาก็ตื่นขึ้นมาบนรถม้า

   บาดแผลเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว แม้เขาจะไม่ได้ตาขวาคืนมาก็ตาม  ไม่นานนักเขาก็พบว่าผู้ที่คอยดูแลพยาบาลตนคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ลอบพาเขากลับแคว้นมาด้วยกัน

   ใช้เวลานานกว่าที่เขาจะเข้าใจสำเนียงของชาวใต้ ทำให้รู้ว่าผู้ที่ช่วยเขาไว้คือโอรสคนสุดท้องของต้าอ๋องแห่งแคว้นนามว่าซานหลง ...และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจฝังอดีตที่ผ่านมาให้ลบเลือนไปจากจิตใจ

   หงฟี่เปลี่ยนชื่อให้เขา เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เขา สั่งให้เขาไว้ผมยาวปิดซีกหน้าซีกหนึ่งไว้เพื่อไม่ให้ใครจำได้ ลบอดีตอันเลวร้ายให้เก็บงำฝังลืมมันไป

   แต่ในวันนี้... จะให้เขาขุดทุกอย่างขึ้นมาตอกย้ำ... ให้เขาเปิดเผยตัวตนกับคนๆนี้?

   ดวงจันทร์ยังคงลอยสงบนิ่ง จ้องมองเดรัจฉานตนนั้นที่ปณิธานกำลังสั่นคลอนอยู่ในใจ

   “ได้สิขอรับ ...ถ้าท่านอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง”

   ...บางทีชีวิตของเขาอาจเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง   






โปรดติดตามตอนต่อไป.
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 5]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 26-05-2013 21:55:42
ชอบความรู้สึก ตอนที่องค์รัชทายาทอยู่กับองครักษ์ จังเลยค่ะ
ความจริงที่ได้รู้ เจ็บปวดจัง
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 18-06-2013 14:27:07
บทที่ 6 เกาทัณฑ์สังหาร



   ฝีเท้าของม้าชั้นดีวิ่งห้อตามกวางหนุ่มมากระชั้นชิด   แม้ต้องหลบหลีกตามไม้ใหญ่ แต่ความเร็วก็ไม่ได้ตกลงเลยแม้แต่น้อย

   ชายบนหลังม้าง้างคันธนูจนสุดแขน ...การทรงตัวและการบังคับม้าที่ดีเยี่ยมทำให้สมาธิของเขาแน่วนิ่ง  ใกล้เพียงอีกนิดเดียวเท่านั้นเขาก็จะได้เหยื่อมาครอบครองแล้ว…

   ในเสี้ยววินาที เกาทัณฑ์หลุดออกจากแล่ง พุ่งตรงเข้าหากวางหนุ่ม  ...แต่ทันใดนั้นม้าคู่ใจก็เกิดชะงัก ยกสองขาหน้าขึ้นหยุดไม่ให้ชนต้นไม้ใหญ่ที่เป็นดั่งทางตัน

   หงฟี่รั้งเชือกที่คุมม้าให้หยุดร้องห้อ รอจนอาชาตัวโปรดกลับมานิ่งสงบ   แล้วเขาก็ต้องพบว่าธนูเมื่อครู่พลาดเป้าหมายไปถูกต้นไม้ข้างๆเสียแทน…

   “ท่าทางวันนี้เหยื่อของท่านจะโชคดีนะขอรับ”

   เสียงหยอกล้อด้วยใบหน้าระบายยิ้มของเป้ยหมิงทำให้ต้าอ๋องรู้สึกหงุดหงิดใจ

   “ก็แค่วันนี้เท่านั้นแหล่ะ ...ปกติข้าไม่ฝีมือตกอย่างนี้”

   “นั่นสินะขอรับ ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น” องค์รัชทายาทแห่งป๋ายเซว่ยังคงระบายยิ้มอ่อนโยน พลางมองขึ้นบนแมกไม้ที่แสงอาทิตย์ยามบ่ายลอดผ่านมารำไร

   สมกับคำร่ำลือว่าสิ่งที่หงฟี่ชำนาญมากที่สุดก็คือการล่าสัตว์  ทุกท่วงท่าของเขาดูสง่างามและแข็งแกร่งเป็นธรรมชาติเสียจนชายสูงศักดิ์เช่นเป้ยหมิงยังอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้

   “แล้วท่านล่ะ ...ล่าอะไรมาได้บ้างหรือยัง”

   “ก็ยังหรอกขอรับ...”

   พูดยังไม่ทันขาดคำ คนพูดก็หยิบธนูขึ้นใส่แล่ง แล้วแหงนเล็งขึ้นฟ้า

   ...เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ศรถูกปล่อยออกไป นกป่าที่เกาะอยู่บนไม้ก็ถูกศรปักร่วงดิ่งลงสู่พื้นดิน

   “...ข้าชอบล่าสัตว์ที่บินได้มากกว่า”

   หงฟี่เหยียดยิ้มเยือกเย็น ...ชายผู้นี้ไม่อาจตัดสินจากภายนอกได้เสียจริงๆ

   ไม่นานนักชายสองคนก็ชักจะคุยกันถูกคอ ...โดยที่ไม่รู้เลยว่ายังมีคนอื่นที่แฝงตัวรอล่าหนึ่งในพวกเขาอยู่เช่นกัน

   “ข้าบอกแล้ว ...ถ้าซ่อนอยู่ต้นนั้นมีหวังโดนศรปักอกเข้าแน่ๆ” หยาโจวกระซิบผ่านผ้าคาดปากกับเพื่อนเสียงแผ่ว  ...ระวังไม่ขยับให้กิ่งไม้ไหวแม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นเหยื่อคงจะรู้ตัวเข้าเสียก่อน

   “หึ พวกเราไม่ใช่เจ้าทหารตาเดียวนั่นนี่ จะโดนศรรักปักอกเข้าได้ไง!” หลินไน่กลั้วหัวเราะหึๆในลำคอ ทำให้โดนถองให้เงียบไปหนึ่งที

   “พูดไร้สาระอะไรของเจ้า”

   “ก็ข้าไปได้ยินอะไรดีๆมาจากพวกข้ารับใช้จากป๋ายเซว่”  ชายร่างท้วมแสยะยิ้มอยู่หลังผ้าคาดปากสีดำ “ถ้าตั่วหยางกลัวเจ้าตาเดียวนั่นนักล่ะก็ ข้าก็พอจะรู้จุดอ่อนของมันแล้ว”

   หยาโจวหันมามองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ตัดความอยากรู้อยากเห็นทิ้งไปเสีย “ไม่ต้องรอให้ถึงมือตั่วหยางหรอก ...เราจะจบมันตรงนี้นี่แหล่ะ”

   ในเมื่อไม่เห็นวี่แววขององครักษ์คนที่ว่าแล้ว ...ยามนี้หงฟี่ก็เหมือนเต่าที่ไร้กระดอง   ถ้าจะฆ่าอ๋องได้ตอนไหน ก็คงต้องเป็นได้แค่ช่วงนี้เท่านั้น!

   ชายร่างผอมง้างแล่ง แล้วเล็งศรลอดกิ่งไม้ลงข้างล่าง   ...เหตุผลที่เลือกใช้ธนูก็เพราะถ้าพวกเขารอดไปได้ หลักฐานที่หลงเหลืออยู่ก็จะทำให้คนอื่นอนุมานไปว่าเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้น

   ...น่าเสียดาย ที่ตั่วหยางไม่ได้มาอยู่ดูวินาทีแห่งความสำเร็จต่อจากนี้

   “ยิงให้โดนก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากัน”

   หลินไน่เอ่ย พลางเฝ้ารอดูอยู่เงียบๆ ...รอจนกระทั่งคนระมัดระวังรอบคอบอย่างหยาโจวตัดสินใจปล่อยศรตรงเข้าหาอ๋องทรราช ...แม่นยำราวกับจับวาง

   เหมือนเวลาหยุดนิ่ง  ธนูแหลมบินผ่านอากาศไร้สุ้มเสียง  ...แม้แต่เหยื่อก็ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

   แต่ทว่า

   “ท่านต้าอ๋อง!!!”

   เสียงม้าตนหนึ่งดังขึ้นราวกับผุดออกมาจากอากาศ มีใบมีดโลหะบินคว้างตามออกมา ปาดโดนหัวธนูให้หันเหทิศทางไปก่อนจะถึงตัวหงฟี่เพียงเสี้ยววินาที

   พลันใบมีดนั้นปักลงกลางต้นไม้ปลายทาง ลูกธนูหล่นอยู่บนพื้นดิน   ทุกอย่างแทบหยุดนิ่งเงียบสนิท ต้าอ๋องลืมหายใจ เป้ยหมิงตัวเกร็งอยู่บนหลังม้า ในขณะที่อาชาสีควันของหลี่ไป๋ถูกดึงให้หยุดวิ่ง

   และพลันที่สายตาคมกริบน่าสะพรึงกลัวขององครักษ์ร่างสูงตวัดมองเห็นตัวการสองคนที่ซ่อนอยู่เหนือกิ่งไม้ใหญ่   หยาโจวกับหลินไน่ก็คล้ายถูกถูกคมดาบพรากวิญญาณไปเสียแล้ว

   “ท่านกลับไปก่อนเถิดขอรับ” หลี่ไป๋กล่าวอยู่ในลำคอ

   หงฟี่หันมาสั่งงานองครักษ์แทบจะเป็นเสียงกระซิบ เยือกเย็นเสียจนเรียกได้ว่าอำมหิต

   “ฆ่ามันซะหลี่ไป๋”

   “ขอรับ...”

   ทหารหนุ่มรับคำ ...ก้าวลงจากหลังม้า เดินไปหยิบมีดสั้นที่ปักคาต้นไม้อยู่  ก่อนที่จะหันมาปามีดขึ้นไปตรงกลางระหว่างเงาทั้งสองบนต้นไม้ให้ไม่ทันตั้งตัว

   ‘ฉึก!’

   คมมีดปักลงตรงเนื้อไม้ห่างจากใบหน้าของหลินไน่ไปเพียงใบหู และการเอี้ยวตัวหลบเพียงนิดเดียวก็ทำให้เขาเสียการทรงตัวจนพลัดหล่นจากกิ่งไม้ไป

   “หลินไน่!”

   หยาโจวพลันกระโจนตามไปช่วยเพื่อนอย่างไม่คิดชีวิต ...โชคดีที่พวกเขาดึงสติคืนมาให้ลงพื้นได้ทันท่วงที  ในขณะที่หลี่ไป๋ชักดาบยาววาดเป็นวงกว้าง หมายแน่แล้วว่าคำสั่งที่ได้รับต้องลุล่วงอีกครั้ง…

   ผู้ลอบสังหารเริ่มออกวิ่ง  ส่วนชายทหารวิ่งไปอีกทางเพื่อจะขึ้นหลังม้า   ทว่าได้ยินเสียงหนึ่งร้องเรียกไว้เสียก่อน

   “ท่านหลี่ไป๋! ปล่อยพวกเขาไปเถิด”

   เจ้าของชื่อถึงกับชะงัก ...ลืมไปแล้วว่าเป้ยหมิงยังอยู่ตรงนี้

   “ไม่ได้หรอกขอรับ ...คำสั่ง ต้องเป็นคำสั่ง

   “ท่าน...”

   สิ้นคำแล้วเขาก็ชักม้าให้วิ่งตามคนร้ายทั้งสองไปในทันที... ทำให้ไม่ได้ยินคำฝากสุดท้ายของเป้ยหมิงที่ต้องพูดมันกับตัวเองแทน

   “...ระวังตัวด้วย”

   เป็นคำแห่งความหวังดีที่ล่องลอยหายไปเพียงแผ่วเบา ในขณะที่เป้าหมายที่จะส่งให้ตอนนี้ควบม้าวิ่งหายไปไกลลิบแล้ว   ไล่ตามผู้ลอบสังหารทั้งสองไปอย่างกระชั้นชิด

   มีหรือที่ฝีเท้าคนจะสู้ฝีเท้าม้าได้  แม้ว่าม้าจะเสียเวลากว่าในการหลบหลีกแมกไม้น้อยใหญ่มากกว่าคน   แต่เรื่องความอึดแล้วมนุษย์ก็คงไม่อาจท้าสู้อาชาฝีเท้าไวได้

   คล้ายจะเป็นฝันร้ายของทั้งสองคนที่แผนการผิดพลาดในวันนี้  แน่นอนหยาโจวไม่ได้วางแผนการหนีหากต้องลงมาวิ่งบนพื้นและถูกไล่ตามโดยองครักษ์ที่เก่งกาจที่สุดแห่งแคว้น  หากจะคำนวณโอกาสรอดแล้วต้องเรียกว่าตอนนี้พวกเขาแทบจะไม่เหลือทางหนีทีไล่อะไรเลย

   ไม่นานหยาโจวก็หอบฮัก ตัดสินใจชะงักเท้าให้เพื่อนนำหน้าไป

   “จะหยุดทำไมเล่าเจ้าโง่!”

   “เจ้าไปก่อนเถอะ ...ข้าจะอยู่สู้มันเอง”

   “เจ้านี่โง่หรือบ้ากันนี่!” หลินไน่เหว “เพื่อนกันทิ้งกันได้ด้วยรึ!”

   “ข้าบอกให้ไปก็ไปซี่!!!”

   ...สายไปแล้ว ในที่สุดชายนักรบที่ดูน่าสะพรึงกลัวในที่สุดก็ตามมาทัน   พอหยาโจวรู้สึกตัวอีกที หลินไน่ก็หายไปจากสายตา ทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับอสูรร้ายเพียงคนเดียวเสียแล้ว

   รอบตัวพวกเขามีเพียงแค่แมกไม้กว้างใหญ่ พื้นดินที่แหวกวงเป็นลานกว้างดูราวกับรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

   “โทษของกบฏคือความตาย เจ้ารู้ใช่ไหม” หลี่ไป๋ลงจากหลังม้า เมื่อเห็นว่าศัตรูคงหนีไปไหนไม่รอด เขาก็วาดดาบคู่ใจไว้ในท่าเตรียมพร้อม

   ชายร่างผอมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ  ดูท่าว่าวันนี้เรื่องที่จะจบน่าจะกลายเป็นตัวเขาเองเสียแล้ว

“...ข้ารู้แล้วล่ะ”

   หยาโจวดึงดาบของตนออกมา   ยังไม่ทันตั้งตัว เพียงพริบตาดาบยาวของอีกฝ่ายก็ฟาดลงมาพอดี

   ...รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด ทุกท่วงท่ากระหน่ำคมดาบของชายร่างสูงเฉียบคมเสียจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ทำให้เขาได้แต่ตั้งรับพยายามปิดช่องโหว่ของตัวเองเท่านั้น ...เสียงแหลมแสบแก้วหูของดาบที่กระทบกันไม่หยุดน่ากลัวว่าจะทำดาบของเขาบิ่นไปเสียแล้ว

   ฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ ...สมแล้วที่เป็นถึงอดีตทหารองครักษ์มือหนึ่งของกษัตริย์ราชวงศ์โจว  แน่นอนว่าย่อมเป็นวิชาของทหารที่เขาเคยได้แต่อ่านเจอเท่านั้น ดังนั้นพอมาเจอกับตัวเองก็เลยไม่รู้จะต่อกรเช่นไร

   ...หากเพลี่ยงพล้ำเพียงเสี้ยววินาที ประตูนรกก็คงอยู่ไม่ไกล

   ทันใดนั้นดาบในมือหยาโจวก็เกิดถูกฟาดเหวี่ยงหลุดออกจากมือ ...เมื่อหมดอาวุธจะต่อกรแล้ว ที่เหลือพอจะทำได้ก็มีแค่หลบตัวจากคมดาบแหลมดุจทัณฑ์สวรรค์เท่านั้น

   พลาดพลั้งอีกครั้ง ข้างแก้มก็ถูกดาบยาววาดกรีดเป็นรอยเลือด ผ้าคาดปากสีดำฉีกขาดหลุดห้อยลงมา ด้วยความตกใจเลยทำให้หยาโจวเสียท่า  ได้แต่ตกใจดึงผ้าให้ปกปิดใบหน้าของตัวเองไว้ จนไม่ทันจะตั้งสติรับมือกับคมดาบที่เหวี่ยงฟาดเข้ามาหมายบั่นศีรษะให้หลุดออกจากคอ...

   “เฮ้ย! ไอ้ตาเดียว!”

   “ท่านหลี่ไป๋ ...อย่า!

   ดาบยาวหยุดกึก สัมผัสเย็นๆของโลหะแสนคมชะงักตรงต้นคอหยาโจวพอดิบพอดี

   หลี่ไป๋หันขวับ   แล้วก็ต้องผงะที่เห็นชายร่างท้วมอีกคนที่เขาตามล่า... กำลังใช้องค์รัชทายาทจากป๋ายเซว่เป็นตัวประกัน

   “เจ้า...!”

   เพียงแค่เห็นภาพตรงหน้า ทหารหนุ่มก็รู้สึกมึนงงเหมือนโดนยาพิษ ...สมาธิอันแน่วแน่ที่จดจ่ออยู่กับการสังหารถึงกับไหววูบเมื่อเห็นว่าเป้ยหมิงกำลังตกอยู่ในอันตราย

   หลินไน่แสยะยิ้ม และเหมือนจะหลิ่วตาให้เพื่อนอยู่แวบหนึ่ง

   “มาทำข้อตกลงกันดีกว่า...” หนุ่มร่างท้วมกดดาบลงบนคอองค์รัชทายาทแรงขึ้นอีกนิด “...เจ้าปล่อยข้ากับเพื่อนข้าไป แล้วข้าจะคืนคนสำคัญให้เจ้า ตกลงมั้ย?”

   หลี่ไป๋ปากคอแห้งผาก สามัญสำนึกของความเป็นคนค่อยๆกลับมาหาเขาอย่างช้าๆ คำขอให้ไว้ชีวิตคนทั้งสองที่เป้ยหมิงขอเอาไว้เมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง

   ถ้าเพียงแต่ภาพๆหนึ่งไม่ได้ค้างคาใจ...

   ภาพที่กาลครั้งหนึ่งคนสำคัญที่สุดในชีวิตของตนถูกปาดคอให้สิ้นชีพลงต่อหน้า กลับฉายขึ้นมาซ้อนทับภาพที่เห็นอย่างยากจะปฏิเสธได้ลง

   ...เขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง!

   “คำสั่ง ...ต้องเป็นคำสั่ง!

   ชายหนุ่มคำราม ...เพียงชั่วพริบตา ตนก็ตรงรี่เข้าหาศัตรู   ยกแขนฟาดดาบลงจากข้างบน ให้ผู้ลอบสังหารไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยกดาบขึ้นกันเท่านั้น

   และนั่นก็ทำให้เป้ยหมิงเป็นอิสระ ...แขนซ้ายที่ยังว่างก็ฉุดร่างผอมเข้ามาแนบอกไว้ได้ทันท่วงที

   ดาบยาวจ่อปลายแหลมที่คอหอยของศัตรู   วินาทีนี้เขากลับเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง

   “ท่านกลับไปก่อนเถิดขอรับ”

   “แต่...”

   “ถ้าท่านเป็นอะไรไปข้าคงยอมไม่ได้แน่!”

   แค่เสี้ยววินาทีที่เขาสบตาอีกฝ่ายเพื่อบอกให้รู้ว่าตนจริงใจแค่ไหน...  ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าศัตรูทั้งสองใช้จังหวะนี้หนีหายไปเสียแล้ว



...................................................................



   “จะไปไหนหรือตั่วหยาง?”

   สตรีในชุดแพรสีน้ำเงินชะงักเท้านิ่งเมื่อได้ยินเสียงทักจากหญิงสูงวัย... ท่ามกลางคืนสงัดภายนอกอาคารวัง นั่นไม่ใช่เวลาและสถานที่ที่นางรับใช้ควรจะอยู่เลยแม้แต่น้อย

   เมื่อต้องเผชิญกับสตรีที่เป็นทั้งป้าของเพื่อน และเป็นทั้งหัวหน้าของตนเช่นนี้   ตั่วหยางจึงต้องเปลี่ยนความคิดที่จะลอบกลับออกไปหาเพื่อนทั้งสองในทันที

   “ข้าจะ... ออกไปที่โรงครัวน่ะค่ะ”

   “หิวยามดึกงั้นหรือ?”

   แปลกใจที่คำตอบกลับเป็นการหยอกล้อที่เขาคาดไม่ถึง   ติ๋วซื่อเดินมาหาใกล้ๆ พลางเอ่ยถามขึ้นลอยๆราวกับจะถามดวงจันทร์ “เจ้ารู้ข่าวในวันนี้แล้วใช่ไหม”

   นางรับใช้เงียบไป รู้ดีว่าข่าวนั้นคงหนีไม่พ้นข่าวเพื่อนทั้งสองของตน...

   “รู้แล้วค่ะ”

   “น่าแปลกที่คนนอกจะรู้ว่าท่านอ๋องจะออกไปล่าสัตว์วันไหน และที่ไหน จริงมั้ย”

   เป็นคำถามเรียบๆลอยๆแต่อันตรายยิ่งกว่ายาพิษชั้นดี... ตั่วหยางใจหายวาบ เพิ่งมารู้สึกตัวว่าถูกสงสัยว่าเป็นไส้ศึกโดยคนใกล้ตัวที่เขาไม่เคยคิดว่าจะเคลือบแคลงสงสัยตน

   “จ... จริงค่ะ”

   “ไหนเจ้าช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม ว่าเจ้าเจอกับหลินไน่ได้อย่างไร”

   ตั่วหยางตามความคิดของสตรีคนนี้ไม่ทัน  ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้ ก็มีแต่ต้องตอบคำถามให้ถูกต้องเท่านั้น   “ก็...พวกเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็ก พ่อของหลินไน่มักจะหาของเล่นแปลกๆจากเมืองหลวงมาให้พวกเราเสมอน่ะค่ะ”

   คนฟังเผลอยิ้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเล่าถึงน้องชายของตน “แล้วที่บ้านเจ้าทำอะไร”

   “บ้านข้าก็ทำนา... เหมือนบ้านอื่นทั่วไป   ข้ามีน้องสาวสองคน แม่ข้าเสียไปนานแล้ว ตอนนี้พ่อข้าก็เริ่มป่วย...”

   “เคยรู้สึกว่าชีวิตต้องแบกรับความรับผิดชอบจนเหนื่อยบ้างไหม”

   ตั่วหยางนิ่งไป เพิ่งรู้สึกตัวว่าคนถามกำลังมองหน้าตน “ตลอดเวลาน่ะค่ะ”

   หญิงสูงวัยค่อยๆคลี่ยิ้มให้เขา... คล้ายกับว่าเขาตอบคำถามถูกต้องแล้ว “เจ้าเป็นคนโกหกไม่เป็นสินะ”

   “คะ?”

   “ที่เจ้าตอบคำถามข้ามานี่ เจ้าไม่ได้โกหกเลยใช่ไหมล่ะ”

   ถูกอย่างที่นางว่า ทุกอย่างที่เขาตอบไปล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น “ใช่ค่ะ”

   “งั้นเจ้าช่วยตอบคำถามข้าอีกอย่างหนึ่งได้ไหม”

   คล้ายสัญญาณอันตรายกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มในคราบสตรีถึงกับนิ่งงันไม่กล้าตอบรับ เพราะนึกกลัวขึ้นมาว่าคำถามเรื่องการลอบสังหารจะวนมาถึงจนได้

   “เจ้าคิดเช่นไรกับท่านต้าอ๋อง”

   “คะ?”

   “เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าพูดถึงอะไร...”

   กลายเป็นคำถามที่เขาไม่คาดคิด ยิ่งทำให้ไม่รู้ว่าต้องตอบอะไรเลยแม้แต่น้อย... และกลายเป็นว่าคนฟังตีความปฏิกิริยานั้นไปคนละทางกับเขาโดยสิ้นเชิง

   “ท่านหงฟี่ชอบเจ้ามากนะ... ข้าเลี้ยงดูท่านมาตั้งแต่เป็นเด็ก ยังไม่เคยเห็นท่านเป็นอย่างนี้กับใครมาก่อน จนกระทั่งได้เจอเจ้า”

   “จ... จริงเหรอคะ”

   “ข้าว่าเจ้ากับท่านหงฟี่มีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่เจ้าคิด   ที่พูดมานี่ข้าเองก็ไม่ได้จะขอให้เจ้ายอมเป็นชายาของท่านหรือว่าอะไร ...แต่ข้ารู้ว่ามีแค่เจ้าคนเดียวที่ท่านจะยอมเปิดใจให้ และอาจจะเป็นคนเดียวที่ทำให้ชีวิตท่านมีความสุขก็เป็นได้”

   ตั่วหยางไม่รู้จะตอบรับกับสิ่งที่ได้ยินนั้นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่ามันทิ้งคำถามเอาไว้ในใจมากมาย

   “และท่านคงจะเจ็บปวดปางตาย ถ้ารู้ว่าคนที่ท่านไว้ใจประสงค์ร้ายต่อท่าน... จริงไหม”

   คำถามอันตรายวกกลับมาอีกครั้ง ถึงตอนนี้ตั่วหยางเดาไม่ออกแล้วว่าติ๋วซื่อต้องการอะไรจากเขา... ตกลงว่านางกำลังสงสัยเขา หวังดีต่อเขา หวังดีต่อหงฟี่ หรือจะคาดคั้นเขาให้ตายไปตรงนี้ก็ไม่รู้ได้

    “จริงค่ะ...”

   แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากจำใจตอบคำเดิมไปเท่านั้น

   ...โชคดีที่ติ๋วซื่อดูจะบรรลุจุดประสงค์แล้ว  นางส่งยิ้มให้ครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังกลับไปยังทางเดินประดับโคมที่จากมาอย่างเคย

   “คนที่มีแค่ม้าคู่ใจเป็นเพื่อนนี่ก็คงจะเหงานะ...”

   นางรำพันทิ้งท้ายไว้คล้ายจะพูดกับตัวเอง  นั่นเป็นคำสุดท้ายที่ตั่วหยางได้ยิน ก่อนที่นางจะเดินลับหายไปตามทางเดิน มีแสงโคมไล่หลังไปจนลับสายตา

   ...และจากคำพูดนั้น ทำให้ตั่วหยางต้องเปลี่ยนเส้นทางในคืนนี้ของตน






โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 18-06-2013 19:16:05
หงฟี่ตั่วหยาง ใช่ไหม หงฟี่อาจจะไม่ไ้ด้เลวร้ายอย่างที่ตั่วหยางได้ฟังมาก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 18-06-2013 20:13:08
 :hao7:
กำลังอ่านเพลินๆ

อ่าวหมดละ

สนุกจังเลยมาต่อเร้วน้า :hao5:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 6]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 24-06-2013 01:54:39
จริงๆแล้วหงฟี่ คง เหงาและว้าเหว่ไม่มากก็น้อยล่ะ ไม่แน่นะถ้าตั่วหยางเปลี่ยนจากการฆ่า มาเป็นการสร้างแรงบรรดานใจให้ท่านอ๋องปกครองเมืองจะดีกว่า ในเมื่อท่านออกจะต้องพระทัยในตัวซะขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 7]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 02-07-2013 21:11:40
บทที่ 7 เทพมังกรสมุทร



   แสงจันทร์นวลสะท้อนขนสีน้ำตาลเข้มของอาชาชั้นเลิศจนมันปลาบ  เห็นม้าหนุ่มยืนนิ่งสงบอยู่ในคอก เอนใบหน้าเข้าหาฝ่ามืออ่อนโยนของเจ้านายอยู่เพียงลำพัง

   ต้าอ๋องถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ...ในยามนี้เหมือนมีแค่อาชาตัวโปรดเท่านั้นที่เข้าใจ

   กี่ครั้งแล้วที่เขาถูกลอบสังหาร  แม้ว่าจะมีองครักษ์ฝีมือเป็นเลิศคอยคุ้มครองเขามาตลอด   แต่ก็มีบางครั้งที่ความกลัวคำทำนายได้แปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญและยุ่งยากใจ  เผลอคิดไปว่าเรื่องราวจะง่ายกว่าหรือไม่ถ้าเขาเลือกจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาและละทิ้งภาระหน้าที่แสนหนาหนักนี้ไปเสีย

   เขาเริ่มเข้าใจเหตุผลของท่านพี่รองแล้ว ...แต่ทำไมกลับไม่มีใครเข้าใจเขาเลย

   “เป็นม้าที่สง่างามยิ่งนะเพคะ”

   ชายหนุ่มหันขวับ แล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่าผู้ที่ปรากฏกายในแสงจันทร์สลัวนั้นคือตั่วหยางนั่นเอง

   “เจ้าออกมาทำอะไรดึกดื่นเอาป่านนี้...”

   ร่างโปร่งบางเดินเข้ามาใกล้  “ข้าก็อยากออกมาสูดอากาศบ้างสิเพคะ”

   หงฟี่รู้สึกแปลกใจที่เห็นนางรับใช้ผู้นี้เดินเข้ามาสัมผัสขนสีน้ำตาลเข้มของอาชาตรงหน้าเหมือนกับคุ้นเคยกับมันมาเนิ่นนาน  เพราะวิสัยปกติแล้วไม่ว่าสตรีผู้ใดที่เขารู้จักจะไม่กล้าเข้าใกล้คอกม้าเช่นนี้

   “มันมีนามว่ากระไรหรือเพคะ”

   “ไถเฟิง”

   “ไถเฟิง...” ตั่วหยางทวนคำเบาๆ “...ฝีเท้าคงเร็วน่าดูสินะเพคะ”

   หงฟี่หันไปมองม้าคู่ใจของตน “ใช่แล้วล่ะ   ฝีเท้าเร็วสมชื่อ”

   ไถเฟิง ...หรือที่แปลว่าไต้ฝุ่น เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของราวกับจะตอบรับคำชมนั้น   

   “เห็นแล้วก็คิดถึงม้าของข้า... แต่ฝีเท้ามันคงสู้ม้าของท่านไม่ได้”

   ต้าอ๋องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

   “จริงหรือ... เจ้านี่ไม่เหมือนกับสตรีผู้ใดที่ข้าเคยรู้จักเลยจริงๆ”

   “คงเป็นเพราะข้าไม่ได้มาจากเมืองหลวงกระมัง ...ที่หมู่บ้านข้า สตรีก็ได้รับอนุญาตให้ขี่ม้าได้เพคะ”

   เขาไม่ได้โกหก ...เพราะอย่างน้อยไหนจื่อก็ขี่ม้าได้ดีไม่แพ้เขาเลยทีเดียว

   “อืม...” หงฟี่ส่งเสียงว่ารับรู้ในลำคอด้วยความรู้สึกทึ่ง “...ที่จริง ข้าอยากรู้มานานแล้วว่าสตรีจะขี่ม้าได้เร็วสักแค่ไหน”

   ตั่วหยางประหลาดใจที่เห็นเจตนาท้าทายอยู่ในสายตาคู่นั้น “ข้าเองก็อยากเห็นว่าต้าอ๋องแห่งแคว้นจะขี่ม้าได้เร็วแค่ไหนอยู่เหมือนกัน”

   ต้าอ๋องคล้ายจะเหยียดยิ้ม นึกสนุกเมื่อเห็นสายตารับคำถ้าที่ส่งกลับมา

   “ดีล่ะ ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้...”

   ทว่าเขากลับพูดไปครึ่งประโยค แต่แล้วก็เงียบนิ่งไปนานราวกับเพิ่งนึกอะไรได้

   “อะไรหรือเพคะ...”

   คนตอบไม่ยอมสบตากลับ คล้ายจะปิดบังความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น

   “ข้าไม่รู้ ...ว่าข้าจะเชื่อใจเจ้าได้แค่ไหน”

   ได้ฟังเช่นนั้น   ตั่วหยางก็นิ่งไป

   คงเป็นเพราะการที่เจ้าสองคนนั่นลอบสังหารต้าอ๋องได้ไม่สำเร็จแน่ๆ ถึงทำให้หงฟี่หันมาระแวงคนอื่นรอบตัวเช่นนี้...   และแน่นอนว่าการที่หงฟี่มัวแต่ระแวงเขานั้นมันไม่เป็นการดีต่อการลอบสังหารเลยแม้แต่น้อย

   แต่จะต้องทำเช่นไร ที่จะทำให้หงฟี่หันมาเชื่อใจเขาได้?

   ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้ต้าอ๋องอย่างเงียบๆ  ...ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้เขาเอื้อมมือไปแตะมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนจมูกไถเฟิงไปไม่ไกล

   “แล้วต้องทำเช่นไรหรือเพคะ... ที่จะทำให้ท่านเชื่อใจข้าได้”

   สัมผัสที่วางอยู่บนมือของตนช่างอ่อนโยนและจริงใจเสียจนหงฟี่หลงเชื่อ... เป็นความสับสนชั่ววูบที่ทำให้เขาลูบมือนั้นกลับ  ตัดสินใจสบตาคนตรงหน้าอีกครั้ง

   ต้องยอมรับว่าความปรารถนาตั้งแต่วันแรกที่ได้พบยังไม่เคยจางหาย  แต่ก็ทำได้เพียงนึกฝันว่าจะเป็นเช่นไรถ้าวันเวลาข้างหน้าได้ใช้ชีวิตร่วมกัน... ถ้าได้หลีกหนีความจริงอันน่าเบื่อทรมานเหล่านี้ไปไกลสุดโลกหล้า มีเพียงแค่สองชีวิตร่วมกันเท่านั้น

   โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจับมือบางของอีกฝ่ายให้เลื่อนลงมาแตะตรงตำแหน่งหัวใจตน

   “รับความรู้สึกของข้าไปบ้างจะได้ไหม...”

   ...คล้ายกับเวลาจะหยุดลง

   เป็นคำขอที่ตั่วหยางไม่ทันตั้งตัว และไม่คิดว่าจะได้ยิน... ถ้าให้เทียบกับอาวุธก็คงคล้ายเกาทัณฑ์ที่เล็ดรอดเข้ามาผ่านช่องว่างที่เล็กที่สุดบนกำแพงใจเขา  ทะลวงเข้ามาถึงตัวตนข้างในให้ไหวเอนไปตามคำขออันแสนเศร้า เข้าโจมตีได้แม้กระทั่งทำให้จังหวะหัวใจผิดเพี้ยนไป

   เขาไม่อาจทนมองสายตาที่จ้องมองลึกจนถึงวิญญาณนั้นได้ ทำได้เพียงต้องหลบตาไปเมื่อทนไม่ไหว... และนั่นก็ทำให้หงฟี่ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง

   “อ... อภัยให้ข้าด้วย” เจ้าครองแคว้นค่อยๆปล่อยมือคนตรงหน้าอย่างเสียดาย  “ข้าก็ลืมไปทุกทีว่าเจ้ามีคนรักอยู่แล้ว”

   “ข้า... ข้าไม่ถือสาหรอกเพคะ”

   พลันโลกแห่งความจริงก็เหมือนจะกลับมาหมุนเวียนดังเดิมอีกครั้ง ทิ้งความเก้อเขินกระอักกระอ่วนให้ลอยวนอยู่ในอากาศ...  ในขณะที่อาชาหนุ่มที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับหายใจแรงๆดังพรืดราวกับขัดใจที่เรื่องราวกลับจบลงง่ายๆเช่นนี้

   “ถ้าเช่นนั้น...” หงฟี่ถามขึ้นเบาๆอย่างหยั่งเชิง “...พรุ่งนี้เจ้าจะรังเกียจไปกับข้าไหม”

   แววตาของคนฟังคล้ายจะแวววาวด้วยความดีใจขึ้นในทันควัน... แปลกที่ชั่วขณะนั้นตั่วหยางไม่ได้คิดถึงโอกาสในการลอบสังหารเลยแม้แต่น้อย

   “ข้าไม่รังเกียจหรอกเพคะ...”

   ต้าอ๋องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกกับคำตอบนั้น   และถ้าสังเกตดีๆก็จะเห็นว่าไถเฟิงเหมือนจะยิ้มแสดงความยินดีให้กับเจ้านายด้วยเช่นเดียวกัน
   

...................................................................


   คลื่นลูกน้อยใหญ่สาดกระทบเข้าฝั่ง  ครั้นเมื่อสายน้ำเค็มม้วนตัวลงก็แตกกระจายเป็นฟองขาว...   เมื่อมองไปที่ชายฝั่งก็จะเห็นอาชาชั้นดีสองตัววิ่งห้อลัดเลียบหาดทรายขาวคู่กันไป

   ตัวหนึ่งเป็นม้าสีน้ำตาลชั้นเลิศ   มีขนเป็นเงามันปลาบดูสง่างาม คู่ควรกับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่ควบคุมอยู่บนหลัง   อีกตัวหนึ่งเป็นม้าสีดำสนิท ยามที่ออกวิ่งแผงคอกับขนหางยาวก็สะบัดพลิ้ว เช่นเดียวกับผมยาวของผู้เป็นเจ้าของ

   ต้าอ๋องบอกทางวังเพียงว่าต้องการมาพักผ่อนที่ชายทะเล ห้ามให้มีใครรบกวน  เช้าตรู่วันนั้นเขาก็นัดตั่วหยางให้แอบติดตามรถม้าออกไปด้วย  และเมื่อมาถึงที่แล้วนางรับใช้จอมปลอมก็ต้องทำทีไปตีสนิทกับม้าของตัวเองที่ให้หลินไน่มาฝากคนไว้ที่นี่ก่อนหน้านี้

   พอเห็นว่าทุกสิ่งเข้าที่ หงฟี่ก็ท้าเขาขี่ม้าเร็วโดยไม่รอช้า

   ดังนั้นสองอาชาหนุ่มจึงวิ่งห้อเลียบเกลียวคลื่นไปสุดฝีเท้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้ใครเร่งแซงขึ้นหน้าเลยแม้แต่น้อย

   ท่ามกลางกลิ่นเกลือ และเสียงลมหวีดหวิวผ่านใบหู หงฟี่ตะโกนเอ่ยแข่งเสียงลม

   “ฝีมือขี่ม้าเจ้าเยี่ยมยอดนัก ...ถ้าไม่บอกข้าคงคิดว่าเจ้ามิใช่สตรี”

   ตั่วหยางหันมามองด้วยสีหน้าท้าทาย “ถ้าสมมติว่าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านจะทำอย่างไรล่ะเพคะ”

   ต้าอ๋องครุ่นคิดไปขณะหนึ่ง

   “ต่อให้เจ้าเป็นบุรุษจริง ...ข้าก็คงไม่รังเกียจเจ้าหรอก”

   มีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้นที่ทำให้ตั่วหยางหันไปมอง... เลยได้เห็นว่าสายตาที่มองกลับมานั้นทะลุทะลวง ล่วงรู้ความลับของเขาจนหมดสิ้นแล้ว

   ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หรือเป็นไปได้จริงหรือไม่  แต่ชั่ววูบนั้นตั่วหยางเผลอกระตุกม้าจนอาชาสีดำตกใจร้องห้อ   และเร็วเกินกว่าที่จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ชายที่ควบม้ามาเคียงข้างก็รั้งตัวเขาเอาไว้ได้ก่อนที่จะเสียหลักหล่นลงจากหลังม้า และไม่นานนักม้าทั้งสองก็ควบจอดทันกันพอดี

   “อะไรกัน นี่ข้าชนะเจ้าแล้วงั้นหรือ?”

   ตั่วหยางยังคงหายใจไม่ทัน  ใช้เวลาชั่วครู่กว่าที่จะรู้ตัวว่าเมื่อครู่คงเป็นแค่อุบายที่ใช้ไขว้เขวเพื่อเอาชนะเท่านั้น ช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร

   “ท่านขี้โกงนี่เพคะ!”

   “ข้าเปล่า” น้ำเสียงของหงฟี่ดูรื่นเริง “ให้ม้าของเราพักเถอะ ...ข้ามีที่พิเศษที่อยากพาเจ้าไปดู”

   ต้าอ๋องลงจากหลังม้า และไม่ลืมยื่นมือมาช่วยอีกฝ่ายให้ลงจากหลังม้าตามมาด้วย  ทั้งสองผูกม้าเอาไว้กับต้นไม้ใหญ่ริมหาด ก่อนที่หงฟี่จะออกเดินนำไปตามโขดหินชายฝั่ง พาลัดเลาะให้ค่อยๆปีนขึ้นไปบนหินผาสูงใหญ่เบื้องหน้านั้น

   “ที่นี่เคยมีตำนานของเทพมังกรสมุทร เจ้าเคยได้ยินตำนานนี้ไหม”

   “ไม่เคยเพคะ”

   หงฟี่มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย   แต่พอมานึกได้ว่าซานหลงสถาปนาตนเองเริ่มมาจากเมืองหลวง ตำนานทั้งหลายจึงเริ่มที่เมืองหลวงไปด้วย ดังนั้นตามหัวเมืองชนบทต่างๆที่เข้าร่วมแคว้นในภายหลังจึงอาจจะไม่ค่อยมีใครที่ได้ยินตำนานเหล่านี้

   พออ้อมผามาได้ หงฟี่ก็พาเขาไต่ปีนขึ้นไปช้าๆ

   “ตำนานเล่าว่า... ครั้งหนึ่ง นางมังกรซึ่งเป็นลูกสาวของเทพมังกรในมหาสมุทร ได้เบื่อหน่ายชีวิตในวังเป็นอย่างมาก นางเลยตัดสินใจหนีบิดาขึ้นมาเที่ยวเล่นบนชายหาดในคืนหนึ่ง ...คืนนั้นเป็นคืนจันทร์เพ็ญ นางแปลงกายเป็นหญิงสาวผู้งดงามยิ่ง ขึ้นมาร่ายรำเท้าเปล่าเริงแสงจันทร์อยู่เคียงข้างทะเล...”

   ตั่วหยางตั้งใจฟัง ในขณะที่ไต่ตามอีกฝ่ายขึ้นไปอย่างเงียบๆ

   “...เป็นภาพที่จับใจยิ่งนัก งดงามเสียจนชายหาปลาผู้หนึ่งซึ่งบังเอิญพบนางในคืนนั้น ได้ตกหลุมรักนางหมดทั้งใจ”

   หงฟี่เล่าพลางดึงหญิงสาวข้ามหินใหญ่ขึ้นมาตาม

   “นางเองเมื่อพบเขาก็ตกใจ ด้วยเหตุที่ไม่เคยพบเจอมนุษย์มาก่อน นางจึงรีบหนีกลับทะเล ...แต่เมื่อการหลบหนีครั้งนั้นไม่มีใครจับได้ นางจึงหาโอกาสหนีขึ้นมาอีกครั้งเพื่อมาพบเขา”

   ทั้งสองเดินตามกันไปช้าๆ

   “แล้วทั้งสองก็พบกันอีกหลายครั้ง จนความรู้สึกงอกงามขึ้นเป็นความรัก ...แต่แน่นอนว่า ความรักใดๆย่อมมีอุปสรรค   ในที่สุด เทพมังกรสมุทรก็ล่วงรู้เข้าว่าลูกสาวตนได้หลงรักกับมนุษย์   ด้วยความโกรธกริ้ว ท่านจึงสั่งขาดว่าถ้านางขึ้นไปหาชายผู้นั้นอีก นางจะกลับเป็นเทพมังกรไม่ได้อีกตลอดกาล...”

   “แล้วนางทำเช่นไรล่ะเพคะ”

   “อา... นางก็ทำตามหัวใจน่ะสิ” หงฟี่ตอบ “นางยอมเสียสละชีวิตอมตะมาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเพื่อมารักกับเขา   แล้วทั้งสองก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”

   ตั่วหยางเลิกคิ้วขึ้น ...ดูเหมือนเรื่องจะจบเร็วเกินไป

   ราวกับหงฟี่จะอ่านใจเขาออก “แต่แน่ล่ะ เรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นั้น ...หลังงานแต่งงานเพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็ต้องออกไปหาปลาอีกครั้ง   แม้คืนนั้นเขาจะรับรู้ได้ว่ามีพายุใหญ่อยู่กลางสมุทร แต่เขาก็ยังยืนยันจะไปอยู่เช่นเดิม โดยไม่ลืมบอกให้ภรรยาอยู่รอเขา เพราะตนคงกลับมาล่าช้า ...นางรับคำ แล้วเขาก็ออกเรือไป”

   ลมทะเลหวีดหวิว ชายผ้าทั้งสองปลิวเล่นกับสายลม

   “ชายหาปลาไม่ได้รู้เลยว่า เขายังคงถูกหมายชีวิตจากเทพมังกรสมุทร ...เมื่อเขาออกเรือไปก็พบว่าพายุนั้นบ้าคลั่งยิ่งนัก ...เป็นความเกรี้ยวกราดของผู้เป็นพ่อที่เสียลูกสาวตนไปให้มนุษย์ที่ไม่คู่ควร   เรือน้อยของชายผู้นั้นไม่อาจต้านทานกับพายุได้ เขาจึงต้องจบชีวิตลงกลางทะเล”

   ตั่วหยางเผลอเหม่อมองสมุทรสีครามผ่านขอบโขดหิน ...แอบคิดไปว่าถ้าเช่นนั้นยามนี้เทพมังกรสมุทรคงพักผ่อนอยู่กระมัง

   “ส่วนนางมังกรก็ได้แต่รอสามีตามคำสัญญาที่ให้ไว้ โดยไม่อาจรู้ว่าเขาไม่มีทางกลับมาหานางได้อีกแล้ว นางก็ยังคงเฝ้ารอ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ...จนผ่านไปหลายสิบปีก็ยังไม่มีวี่แววของเขา   และเพราะนางไม่ได้เป็นเทพอีกแล้ว สังขารของนางก็จึงร่วงโรย   จนในที่สุดนางก็ตัดสินใจปีนขึ้นมาบนถ้ำในผา เพื่อรอเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต”

   เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ...พวกเขาปีนขึ้นมาจนถึงปากถ้ำที่ว่านี้พอดี

   “นางสิ้นใจที่นี่.. ในเวลาเดียวกับที่เทพมังกรสมุทรให้อภัยแก่นาง   แต่ท่านก็มาสายเกินไป พอรู้ว่าลูกสาวตนจากไปแล้ว ท่านก็หัวใจแตกสลาย ...เทพมังกรจึงเนรมิตปากถ้ำนี้ให้เป็นรูปปากมังกรเพื่ออุทิศให้ความรักของคนทั้งสองยืนยาวนานสืบไป”

   ตั่วหยางยืนนิ่ง   เมื่อแหงนมองถึงได้เห็นว่าปากถ้ำนี้ดูคล้ายปากมังกรดังว่าจริงๆ

   “เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่นะเพคะ”

   “อืม...” ต้าอ๋องว่าพลางดึงมือเขาให้เปลี่ยนทิศมาหันหน้าสู่ทะเล  “วันนี้ข้าตั้งใจจะพาเจ้ามาที่นี่ ...เจ้าคิดว่าเช่นไร”

   ในวินาทีที่ตั่วหยางหันมองภาพเบื้องหน้า เขาก็แทบหยุดหายใจ

   จากปากถ้ำตรงนี้ มองออกไปจะเห็นมหาสมุทรกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แผ่นน้ำที่จรดขอบฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มบริสุทธิ์ สงบนิ่ง สะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับงดงามจับตา เมฆขาวลอยนิ่งพาใจให้สงบอย่างประหลาด แต่ในขณะเดียวกัน เสียงลมโหยหวนจากในถ้ำก็ฟังดูปวดร้าวจับใจ มันคงเป็นเสียงร่ำไห้ของนางมังกรผู้นั้น...

   หงฟี่เหม่อมองออกไปแสนไกล

   “ตอนเด็กๆ ข้ามักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่กับท่านพี่ทั้งสองเสมอ ...จะให้มาอีกกี่ครั้งข้าก็ยังจำภาพพวกเราได้ติดตา”

   ตั่วหยางหันหน้าไปมองคนพูด เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินน้ำเสียงที่ว้าเหว่เช่นนี้

   “ท่านพี่ใหญ่ชอบท้าพวกเราแข่งปีนขึ้นมาบนนี้ แล้วทุกครั้งท่านพี่ใหญ่กับท่านพี่รองก็มักผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ส่วนข้าก็ขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายเสมอ” ต้าอ๋องหัวเราะให้ตัวเองอย่างขื่นขมอยู่ในใจ “ข้าจึงรู้ตัวดีมาตลอดว่า คนที่คู่ควรกับบัลลังก์ควรเป็นพี่ทั้งสองเท่านั้น ...ไม่ใช่ข้า”

   “แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่คู่ควร”

   “ข้ารู้สิ” หงฟี่แย้ง “ทั้งวิชาการปกครอง วิชาการสงคราม ...ข้าไม่เคยตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเลยสักครั้ง เพราะข้ารู้ชะตาดีว่า ชีวิตนี้ข้าคงไม่มีวันได้เป็นอ๋องแน่”

   บุรุษในคราบนางรับใช้มองอีกฝ่ายนิ่ง... เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลของคนผู้นี้

   “แต่ถึงข้าจะเคยสมมติเล่นว่าถ้าข้าได้เป็นอ๋องขึ้นมา ข้าก็รู้ว่าท่านพี่ทั้งสองจะช่วยให้ข้าฝ่าฟันมันไปได้ เหมือนที่ทั้งสองมักช่วยฉุดข้าปีนขึ้นมาเสมอ...” หงฟี่จ้องมองไปยังปากถ้ำ คล้ายหวังจะเห็นภาพเด็กชายสามคนแข่งกันปีนขึ้นมาเช่นเคย   “...แต่ตอนนี้ทั้งสองก็ไม่อยู่ร่วมภพกับข้าแล้ว ข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”

   ตั่วหยางนิ่งไปด้วยความสงสาร เขาไม่เคยเห็นผู้ใดดูโศกเศร้าถึงเพียงนี้   ราวกับว่าภาระหน้าที่ทั้งหมดนั้นเป็นดั่งศิลาหนาหนักที่ชายหนุ่มทนแบกรับไว้บนบ่าโดยที่ไม่มีสิทธิ์วางมันลงได้เลย

   “บางทีข้าก็นึกไม่อยากเกิดมาเป็นโอรสของอ๋องเลยด้วยซ้ำ ...แค่ได้เป็นเพียงชายหาปลาข้าก็ยินดี”

   คำระบายความอัดอั้นนั้นบีบใจคนฟังเสียจนปวดแปลบ   ตั่วหยางเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าชายตรงหน้าเขาแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ...หรือถ้ามองลึกลงไปในดวงตา จะยิ่งเห็นว่าที่ซ่อนอยู่ในคราบของต้าอ๋องนั้นคือเด็กชายผู้ว้าเหว่และหลงทางมาแสนนาน

   และโดยไม่รู้ตัว ส่วนใดส่วนหนึ่งในจิตใจเขาเรียกร้องอยากจะเป็นคนช่วยเยียวยาคนๆนี้เสียเอง

   “ต้าอ๋อง...”

   “เรียกชื่อข้าดีกว่า”

   พลันหงฟี่จับมือเขาขึ้นมากุมไว้  ดึงเข้ามาถือวิสาสะจุมพิตบนปลายนิ้วแผ่วเบา... เพียงแค่นี้ก็ทำให้ตั่วหยางเผลอทิ้งตรรกะทุกสิ่งสิ้นไปแล้ว

   “หงฟี่...”

   เจ้าของชื่อดึงร่างคนตรงหน้าให้ใกล้เข้ามาอีก ราวกับต้องมนต์สะกดจากเสียงร้องไห้ของถ้ำนั้น...   และชั่วขณะที่หงฟี่เอื้อมมืออีกข้างขึ้นประคองใบหน้าเขาเพียงแผ่วเบา  ตั่วหยางถึงกับรีบหลับตาแน่น หัวใจเต้นรัวจนแทบบ้า ไม่รู้จะรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อย่างไร

   รับรู้เพียงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่ายที่คลอเคลียอยู่ไม่ไกลนัก...

   “ท่านต้าอ๋อง”

   มนต์สะกดทั้งหมดถูกทำลายโดยพลัน

   ลืมตาขึ้นมาก็พบว่า เจ้าของเสียงแหบห้าวเมื่อครู่นี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน หงฟี่ถึงกับตวาดกลับอย่างไม่เกรงใจ “หลี่ไป๋! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!... ข้าสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าตามข้ามา!”

   “ข้าขออภัยขอรับ”   ทหารอารักขาหนุ่มกล่าวเสียงเครียดขึ้ง ไม่สนใจภาพการชู้สาวที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า เหตุเพราะมีสิ่งอื่นที่สำคัญยิ่งกว่านั้น

   “ข้าจะมารายงานว่า ท่านเป้ยหมิง ถูกลักพาตัวไปขอรับ
   





โปรดติดตามตอนต่อไป... !!!!
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 7]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 06-07-2013 17:04:32
ซีนตรงคอกม้า เราเขินเบาๆ และยิ่งบริเวณปากท่ำ ^

จะมาขัดจังหวะทำไมล่ะเนี่ย! เซงเบย ใกล้แล้ว แต่ยังไกลอยู่ดี
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 8]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 08-07-2013 01:03:17
บทที่ 8 มังกรร่ายรำ



   ...กลิ่นคาวม้าลอยมาแตะจมูก

   พอเมื่อเริ่มขยับตัว น้ำเย็นจัดถังใหญ่ก็สาดใส่หน้าดั่งถูกแส้ฟาด

   “ขออภัยที่เสียมารยาทนะขอรับ...”

   เป้ยหมิงสำลัก สายตาพร่ามัวเพราะหยาดน้ำ  นึกโกรธชายแปลกหน้าที่เขาไม่คุ้นเสียงนั้นอยู่ครามครัน

   ...สติเริ่มกลับมาทีละน้อย   เพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกจับมัดมือไพล่หลังไว้กับเก้าอี้ จะพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่สำเร็จผล ซ้ำปากก็ยังถูกผ้าคาดปิดเอาไว้

   พลันนั้นความตระหนกก็ถาโถม ...นี่เขากำลังจะถูกทำร้าย!?!

   “ถอดผ้าปิดปากให้เขาเถอะ”

   ภาพตรงหน้าค่อยๆแจ่มชัด แสงจันทร์เผยให้เห็นชายร่างผอมที่ยืนอยู่ตรงช่องหน้าต่างโรงม้า มีผ้าคาดปากให้เห็นแต่สองตา หันมาพูดกับเพื่อนเบาๆ

   “แล้วทำไมเจ้าไม่ทำเองล่ะ”

   ชายอีกคนที่รูปร่างท้วมดูหงุดหงิด เขาก็มีผ้าคาดปากให้เห็นแต่ตาเช่นกัน  แต่ก็ทำได้เพียงบ่นไปเพราะก็ยอมเดินมาถอดผ้าปิดปากของตัวประกันให้แต่โดยดี    และทันทีที่ผ้าผืนนั้นหลุดออก ความโกรธเกรี้ยวของเป้ยหมิงก็ระเบิดออกจากอก

   “พวกเจ้าเป็นใคร! พาข้ามาทำไมที่นี่!”

   “ข้าคงบอกท่านไม่ได้หรอก... อย่าโวยวายนักเลย พวกเราแค่จะเอาอาหารมาให้เท่านั้น” เสียงตอบกลับมาอย่างเรียบๆจากชายร่างผอม   สีหน้าที่หลบอยู่ในเงามืดนั้นดูเหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง “แต่ถ้าท่านยังขืนพูดมากอยู่ล่ะก็ คืนนี้ท่านคงต้องยอมหิวก็แล้วกัน”

   “ข้าไม่กิน!”

   ชายร่างท้วมเริ่มอารมณ์เสีย

   “อย่าทำตัวให้มีปัญหานักเลยขอรับท่าน! ...ยกเว้นเสียแต่ว่าท่านอยากจะให้แผลเดิมมันลึกกว่าเก่า”   นิ้วหยาบกดไล้ไปบนแผลเป็นจากรอยดาบตรงคอเป็นคำขู่ ...และพลันนั้นเองที่เป้ยหมิงเริ่มจะนึกได้ว่าชายสองคนนี้คือใคร

   รอยดาบนี้ได้มาจากครั้งที่เขาถูกจับเป็นตัวประกันตอนที่ออกล่าสัตว์เมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้ถึงแผลนี้ได้ก็ต้องเป็นคนๆเดียวกันเท่านั้น ส่วนชายร่างผอมอีกคนหนึ่งเขาก็คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นคนที่พลาดท่าหลี่ไป๋ตอนต่อสู้จนเกือบถูกหมายเอาชีวิต

   ไม่ผิดแน่... นี่คือชายสองคนที่เขาเจอในป่าเมื่อวันนั้น

   “เจ้า!!! ...คนที่วางแผนลอบสังหารต้าอ๋องใช่ไหม!

   คนตรงหน้าถึงกับผงะ ในขณะที่ชายร่างผอมรีบหันกลับมาอย่างตกตะลึง

   “เจ้าโง่! เมื่อกี๊เจ้าพูดอะไรออกไป” ชายที่ยืนข้างหน้าต่างลนลานหันมาต่อว่าสหาย “นี่ถ้าเขาจำเราได้ ไม่วายเราต้องฆ่าเขารึยังไง!”

   “แล้วเจ้าจะเอะอะโวยวายไปทำไม! คนวางแผนลอบฆ่าเจ้าอ๋องทรราชนั่นก็มีออกถม ไม่ได้แปลว่าเขาจะจำเราได้เสียหน่อย”

   “ข้าจำได้สิ!” เป้ยหมิงแทรกอย่างขุ่นเคือง  “ก็เจ้าเป็นคนจับข้าเป็นตัวประกันแล้วเอาดาบจ่อคอข้าเองนี่! ทำไมข้าจะจำไม่ได้!”

   คนตรงหน้าชะงักนิ่ง หน้าชาเหมือนโดนกระชากหน้ากากเปิดเผยความจริง

   “ถ้าเช่นนั้นพวกข้าก็ไม่มีทางเลือกเสียแล้ว” คนร้ายตอบกลับอย่างเยือกเย็น ก่อนจะคว้าคอเขาบังคับให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา  “คราวนี้เจ้าทหารตาเดียวของท่านคงมาช่วยไม่ได้แล้วล่ะ... หรือไม่เช่นนั้นถ้ามันมาที่นี่ งานของเราก็จะได้ง่ายขึ้นด้วย!”

   พลันนั้นเป้ยหมิงรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมากะทันหัน คนที่พวกมันพูดถึงอาจจะคือหลี่ไป๋  แล้วเหตุใดถ้าถ้าหลี่ไป๋มาที่นี่งานลอบสังหารของพวกมันจะได้ง่ายขึ้น

   สรุปแล้วมีพวกมันอยู่กี่คนกันแน่...

   “เสียดายคนอย่างท่านเสียจริงๆ... งดงามขนาดนี้” นิ้วหยาบกดไล้ซ้ำบนแผลเดิมอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เขากลับรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก “...ถ้ามีเจ้าทหารนั่นได้เชยชมเพียงคนเดียวก็คงจะน่าอดสู”

   เป้ยหมิงแทบกลั้นหายใจหลีกหนีทุกสัมผัสที่ระรานอยู่บนผิวหนัง เบื้องหลังเปลือกตาที่ปิดแน่นพลันหวนคิดไปถึงบุคคลที่ถูกเอ่ยถึง ...หลี่ไป๋คงไม่มีวันทำกับเขาเช่นนี้  แต่ต่อให้ชายหนุ่มทำ เขาก็คงจะไม่รังเกียจเท่านี้หรอก!

   รู้สึกตัวอีกทีคล้ายท้องไส้จะปั่นป่วนด้วยความโหยหา ...อยากจะร่ำร้องเรียกให้คนผู้นั้นมาช่วยไว้แม้จะอยู่ไกลแสนไกล ได้แต่ภาวนาให้หลี่ไป๋เปิดประตูเข้ามาในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า  ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากภาวะนี้เสียที...

   แล้วทันใดนั้นประตูก็เปิดผาง

   ม้านับสิบตัวที่เรียงรายอยู่ในคอกถึงกับตกใจร้องห้อ  วินาทีนั้นหัวใจเป้ยหมิงแทบหยุดเต้น เพราะหลงนึกไปเสียแล้วว่านั่นคือผู้ที่จะมาช่วยเขาไว้

   ...แต่ไม่ใช่

   “นี่พวกเจ้าทำบ้าอะไรกันอยู่!”

   ชายผู้มาใหม่ตะคอกสุดเสียง ระเบิดอารมณ์เดือดดาลอย่างไม่เกรงใจใคร

   “ทำอะไรไม่เคยปรึกษาข้า! รู้ไหมว่าข้าไปตามที่โรงเตี๊ยมก็ไม่เจอพวกเจ้ามันตกใจแค่ไหน ต้องรีบแค่ไหนที่ต้องเปลี่ยนชุดแล้วมาที่นี่...  เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเจ้าองครักษ์นั่นตามมาได้พวกเจ้าจะทำเช่นไร!”

   “ก็นั่นแหล่ะแผนของพวกข้า” ชายร่างผอมที่เดินออกจากหน้าต่างพูดเสียงเครียด “รู้ไหมว่าพวกข้าทำอย่างนี้ไปเพราะอะไร ...ก็เพราะจะให้เจ้าไปฆ่ามันตอนที่องครักษ์มันไม่อยู่ยังไงล่ะ!”

   “ว่าไงนะ!”

   “หรือถ้าเจ้าฆ่ามันเรียบร้อยแล้วก็บอก” ชายร่างท้วมลุกขึ้นประจันหน้า น้ำเสียงกวนโทสะแฝงอยู่ชัดเจน... “พวกเราจะได้ไม่ต้องลำบากอย่างนี้ ว่าไง!”

   ...และประโยคนั่นก็ทำให้ชายผู้มาใหม่ถึงกับสะอึก

   “ข้ารู้อยู่แล้ว... ว่าเจ้าไม่กล้า”

   “เจ้า!”

   “พวกเจ้าจะทะเลาะกันไปทำไม!” ชายร่างผอมตวาด ก่อนจะหันไปหาชายผู้มาใหม่ “นี่ถ้าเจ้ารู้แล้วว่าพวกเราคิดจะทำอะไร ก็อย่าทำให้แผนเราเสียเปล่าสิ! ...ไป!  กลับไปฆ่ามันซะ!

   ประตูเปิดผางอีกครั้ง ยังไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ ศัตรูที่ทั้งสามหวาดกลัวก็มาถึงเสียแล้ว

   ...ร่างสูงใหญ่ที่เห็นเพียงเงาดาบยาวพาดอยู่บนหลัง ยืนตระหง่านอยู่หน้าประตูโรงม้าพร้อมกับทหารอารักขาอีกนับสิบคน

   ไม่ผิดแล้ว... หลี่ไป๋มาช่วยเขาไว้จริงๆ

   ท่ามกลางความเงียบงันที่ดูเหมือนยาวนาน ...เสียงแหบห้าวกระชากขึ้นกลางราตรี

   “จับมัน!”

   สิ้นคำสั่งนั้น ชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตวาดดาบออกจากฝักหมายจับศัตรู ...ส่วนชายอีกสามคนก็ไร้ทางถอยหนี ได้แต่ชักดาบขึ้นสู้เพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้น

   เหลือทหารเพียงคนเดียวที่รีบเร่งย่างก้าวเข้ามา หลบเลี่ยงความวุ่นวายรอบตัว หมายปลดปล่อยตัวประกันให้เป็นอิสระอีกครั้ง...  ท่ามกลางความมืดสลัว เสียงคมดาบปะทะรุนแรง และกลิ่นคาวเลือดเจือจาง สิ่งที่เป้ยหมิงเห็นในแววตาของคนที่มาช่วยเหลือคือความมุ่งมั่นและโหยหาที่รุนแรงจนแทบบีบหัวใจ

   “นี่! เจ้าตาเดียว!”

   หลี่ไป๋ชะงักฝีเท้า   ครั้นหันหลังกลับไป ก็พบศัตรูฟาดดาบเข้าหาพอดี

   เป้ยหมิงแทบหยุดหายใจ ...โชคดีที่องครักษ์ของต้าอ๋องวาดดาบขึ้นรับได้ทัน เกิดเป็นศึกประฝีดาบขึ้นในพริบตา

   ชายหนุ่มร่างผอมผิวคล้ำที่มาเป็นคนสุดท้ายเมื่อครู่วาดอาวุธในมืออ่อนช้อยงดงาม หากแต่รวดเร็วรุนแรงรับกับฝีดาบหนักหน่วงของทหารหนุ่มได้แทบจะสูสี  ลีลาการหมุนตัวรุกรับพาให้ชุดคลุมยาวกับผมดำที่ปล่อยสยายครึ่งศีรษะพลิ้วไหวดั่งมังกรกำลังร่ายรำ

   เป้ยหมิงรู้สึกฉงน ...คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นท่ารำเช่นนี้จากที่ไหนสักที่

   ชายผู้นั้นยังคงรุกรับรัวเร็ว ไม่ยอมแพ้พ่ายให้ฝีดาบมั่นคงหนักแน่นที่ฟาดเข้าหาไม่หยุด   ท่วงท่าดั่งนางรำดูลื่นไหล ขัดกับการรุกกระหน่ำดั่งสายฟ้าของอีกฝ่าย    ยากยิ่งที่จะตัดสินว่าใครจะชนะในศึกนี้ไป

   จนกระทั่งดาบในมือชายผิวคล้ำถูกปัดหลุดลอยหวือ พลาดท่าให้คมอาวุธของอีกฝ่ายกรีดแสกกลางมือเขาเป็นรอยยาว

   ชายหนุ่มกรีดร้องออกมาสุดเสียง ถึงกับทรุดเข่าลงกุมมือที่ไหลอาบด้วยโลหิต ...เปิดโอกาสให้ทหารหนุ่มก้าวย่างเข้ามา ยกดาบยาวขึ้นหมายลงทัณฑ์ให้สิ้นชีวี...

   เป้ยหมิงหลับตา ...ไม่อยากเห็นภาพโหดร้ายนั้น

   “เจ้าโง่!!! ขึ้นมา!!!”

   ...พอลืมตาขึ้นก็ปรากฏว่าชายผู้นั้นถูกสหายทั้งสองดึงลากขึ้นหลังม้าในเสี้ยววินาที  ส่งแรงผลักจากแรงวิ่งของม้าให้องครักษ์หนุ่มกระแทกหลังลงพื้นเสียหลักอยู่ตรงนั้น   ส่วนเหล่าทหารนับสิบที่ตามมาต่างก็เสียเลือดเนื้อนอนบาดเจ็บจนไม่อาจขึ้นม้าวิ่งตามได้ทัน

   ...อาชาสองตัวแบ่งประคองชายสามคนวิ่งห้อออกไปลิบในรัตติกาล

   องค์รัชทายาทแห่งป๋ายเซว่ได้แต่นั่งนิ่งรับชมภาพตรงหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วสับสนจนเขาไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง

   “ท่าน... เป็นอะไรมากไหมขอรับ”  หลี่ไป๋ลุกขึ้น ตัดสินใจช่วยตัวประกันก่อนตามจับคนร้าย

   “ข้าไม่เป็นไรหรอก... หลี่ไป๋ ท่านรีบไปเถอะ พวกนั้นกำลังวางแผนลอบสังหารท่านต้าอ๋อง!”

   “ที่วังยังมีทหารอารักขาอยู่อีกมาก” ทหารหนุ่มเดินอ้อมมาข้างหลัง ทรุดเข่าลงใช้ดาบสั้นตัดเชือกที่มัดมือออกให้ “ส่วนข้า... ท่านต้าอ๋องสั่งให้มาช่วยพาท่านกลับไปให้ได้”

   “ต้าอ๋องสั่งให้ท่านมาช่วยข้าทำไม ในเมื่อท่านเป็นองครักษ์เอกของพระองค์มิใช่หรือ”  เป้ยหมิงเอ่ยถามด้วยความงุนงง

   “ความจริงแล้ว...” หลี่ไป๋ดูชั่งใจขณะที่เดินเข่าอ้อมมาข้างหน้า ใช้ดาบสั้นตัดเชือกที่มัดขาอีกฝ่ายให้แต่กลับไม่ยอมสบตา “...ข้าเป็นคนขอท่านต้าอ๋องว่าข้าอยากมาช่วยท่านเอง”

   วินาทีนั้นเป้ยหมิงเหมือนชาไปทั้งร่าง ...คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะอาสามาช่วยเขาเองเช่นนี้

   “ท่านหลี่ไป๋...”

   “ข้ายอมทุกอย่าง เพื่อให้ท่านได้ปลอดภัย... และตราบใดที่ท่านยังอยู่ในแคว้นซานหลงนี้ ข้ายอมให้ท่านเป็นนายของข้าด้วยเช่นกัน...”

   เชือกป่านหลุดลงกับพื้น หลี่ไป๋เงยหน้าขึ้นสบตากับองค์รัชทายาท... เนิ่นนานราวกับจะย้ำคำสัญญาให้หนักแน่นคงอยู่ชั่วนิรันดร์


...................................................................


   “ไปเอาน้ำจัณฑ์มาทีซิ”

   นางรับใช้คนล่าสุดสะดุ้ง ท่าทางดูลุกลี้ลุกลน

   “เพคะ?”

   “น้ำจัณฑ์ไง! ...ถ้าสุราน้ำผึ้งของป๋ายเซว่ยังเหลือก็ไปหยิบมาด้วย”

   ต้าอ๋องเกือบตวาดออกไปแล้ว ดีที่ยังข่มใจเอาไว้ได้ทัน

   ...สองวันนี่เขาเป็นอะไรไป   สติไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยแล้วยังจะพาลอารมณ์เสียหงุดหงิดใส่คนรอบข้างเสียอีก   นางรับใช้คนใหม่ก็ไม่ได้เรื่องเลย  สู้ตั่วหยางก็ไม่ได้

   ตั่วหยาง...

   นั่นสินะ  เพิ่งมานึกได้ว่าสองวันที่ผ่านมานี่เขาไม่ได้เจอนางเลย  นับตั้งแต่วันนั้นที่ไปขี่ม้าริมทะเลกัน นางก็ดูกังวลถึงอะไรบางอย่างจนต้องรีบขอตัวกลับก่อน ไม่ทันที่เขาจะส่งนางกลับวังด้วยกัน

   ...แล้วยังเรื่องที่องค์รัชทายาทเป้ยหมิงถูกลักพาตัวไปอีก โชคดีที่หลี่ไป๋ไปช่วยเอาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นเขาคงมีหวังต้องถูกประชาชนเกลียดชังมากขึ้นไปอีกแน่ ด้วยข้อหาว่าเป็นอ๋องประสาอะไรถึงปล่อยให้อาคันตุกะคนสำคัญของแคว้นถูกจับไปเป็นตัวประกันเสียได้

   คิดแล้วก็มีแต่เรื่องปวดหัว ...เมื่อไรจะได้น้ำจัณฑ์มาดับความฟุ้งซ่านนี่เสียที

   “ต้าอ๋องเพคะ”  มีเสียงเรียกมาจากด้านนอก   หงฟี่กระชากเสียงตอบรับอย่างไม่สบอารมณ์

   “เข้ามาสิ!”

   แต่แล้วก็ต้องชะงัก ...เมื่อเห็นร่างของหญิงสาวที่เดินเข่าเข้ามาพร้อมสุราน้ำผึ้งในมือ

   “ตั่วหยาง!” ต้าอ๋องแปลกใจจนถึงกับลุกขึ้นยืนต้อนรับ “...นี่เจ้าหายไปไหนมาหลายวัน”

   “ขออภัยด้วยเพคะ... ตอนนั้นก่อนข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีญาติอยู่แถวนี้ และพวกเขาก็ติดต่อมาว่าอยากให้ข้าไปเยี่ยมแม่เฒ่าที่กำลังป่วยหนักมานานแล้ว ข้าเลยอยากรีบไปดูใจ...”

   ตั่วหยางก้มหน้ารินสุราให้หนึ่งจอก ...ไม่อยากจะสบตาอีกฝ่ายเลย เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนโกหกได้แนบเนียนขนาดนั้น

   “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจ...”

   หงฟี่ตัดสินใจไม่เซ้าซี้ แล้วรับจอกนั้นมาใกล้ ...แต่ทว่านางรับใช้ยังไม่ทันได้ปล่อยมือ เขาก็สังเกตเห็นผ้าขาวเปื้อนเลือดที่พันรอบมือเรียวนั้นเสียก่อน

   “มือเจ้าไปโดนอะไรมา!”

   ชายหนุ่มเกือบสะดุ้งชักมือกลับ แต่ต้าอ๋องกลับรั้งมือเขามาดูใกล้ๆจนเขาหมดทางเลือก

   “คือ... ข้าโดนมีดบาดตอนเข้าครัวน่ะเพคะ อย่าได้เป็นห่วงเลย”

   “เจ้าดูไม่น่าจะเป็นคนไม่ระมัดระวังตัวขนาดนั้นนี่นะ”

   “คนเราก็ต้องมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นบ้างสิเพคะ”

   หงฟี่เงียบ ...ได้แต่แอบไล้ลูบมืออีกฝ่ายบนผ้าพันแผลอยู่อย่างนั้น  นึกอยากจะใกล้ชิดมากกว่านี้เหลือเกิน แต่ก็ไม่มีสิทธิ์จะทำเช่นนั้นได้ไม่ว่าจะทางใด

   มือเรียวในมือของตนนั้นดูเหมือนจะเย็นเฉียบขึ้นฉับพลันอย่างไร้สาเหตุ ...เหมือนตอนที่เขาเคยยกขึ้นจุมพิตในในถ้ำเหนือทะเลเมื่อวันนั้น

   “แค่เจ้าปลอดภัยข้าก็ดีใจแล้ว”

   ต้าอ๋องเอ่ยเสียงแผ่วราวกับรำพัน ความหวังดีที่มีให้นั้นไม่เจือปนด้วยความประสงค์ร้ายใดๆ  ในขณะที่ตั่วหยางกลับต้องทนกล้ำกลืนความรู้สึกผิดอันแสนขมลงคอ   มือกร้านที่จับมือเขาอยู่ช่างอบอุ่นนัก หรือไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะมือเขาเย็นเฉียบเสียเอง  เหตุเพราะในเสื้อคลุมที่สวมอยู่เขามียาพิษซ่อนเอาไว้ ...จะใส่ลงในสุรานี้เมื่อไรก็ย่อมได้

   แต่ทำไม... เขาถึงตัดใจทำมันไม่ลง

   “ท่านต้าอ๋อง...”  น้ำเสียงแหบห้าวที่เคยเรียกกระชากห้วนเมื่อวันสองวันก่อนคราวนี้กลับฟังดูราบเรียบไม่เหมือนเคย ...ทำให้แทบไม่มีปฏิกิริยาจากต้าอ๋องให้หันไปพบคนเรียกเลยแม้แต่น้อย

   “มีอะไร หลี่ไป๋”

   “ท้องพระคลังอยากให้ท่านลงนามเอกสารรับรองด่วนขอรับ”

   “ก็ให้โหม่วซาทำไปสิ”

   “ไม่ได้ขอรับ เอกสารฉบับนี้ต้องลงนามโดยอ๋องแห่งแคว้นเท่านั้น”

   หงฟี่ถอนหายใจแรง ท่าทางดูไม่สบอารมณ์

   “เดี๋ยวข้ามานะ”

   ต้าอ๋องบอกลาเสียงห้วน  ...ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ในห้องเหลือเพียงคนสองคนเท่านั้น

   หลี่ไป๋ยืนนิ่ง กวาดสายตามองไปรอบๆ  และเพียงวูบเดียวที่ได้สบตากับนางรับใช้คนสนิทของต้าอ๋อง นางก็รีบหลบสายตาไปรวดเร็วราวกับเห็นอสูรร้ายก็ไม่ปาน

   และวินาทีนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นผ้าพันแผลบนมือขวาของนาง... ทำให้อยู่ดีๆเขาก็นึกอุตริสันนิษฐานสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมา

   “มือเจ้า...” หลี่ไป๋เอ่ยถามขึ้นเรียบๆ “...ไปโดนอะไรมา”

   คล้ายถูกฟ้าผ่า คนโดนถามสะดุ้งกุมมือตัวเองแน่นจนยิ่งดูมีพิรุธ

   “ข้าจะไปโดนอะไรก็เรื่องของข้า!”

   “ไม่ใช่ว่าเจ้าไปสู้กับใครมาหรอกหรือ...”

   “ข้าโดนมีดในครัวบาดต่างหาก! อย่าคิดเองเออเองเช่นนี้!”

   ชายหนุ่มในคราบนางรับใช้รีบผุดลุกขึ้น รู้สึกโมโหผสมหวาดผวาจนทำอะไรไม่ถูก... สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือต้องรีบหนีออกจากห้องไปให้เร็วที่สุดให้ได้

   “ข้าสู้กับคนมานักต่อนัก ...แต่ท่วงท่าดั่งมังกรร่ายรำนี่ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”

   ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปจากห้อง ...กายก็พลันชาวาบไปทั้งร่าง

   “ไม่สิ... ข้าน่าจะเคยเห็นเป็นครั้งที่สองมากกว่า  เพราะครั้งแรกข้าเห็นนางรำคนหนึ่งเคยรำถวายต้าอ๋องวันที่ต้อนรับแขกจากป๋ายเซว่...” หลี่ไป๋ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ทิ้งให้ลมหายใจของเขาติดขัด คล้ายอสูรยามต้อนเหยื่อให้จนมุม “...ก่อนที่นางรำผู้นั้นจะกลายมาเป็นนางรับใช้”

   คำพูดเหล่านั้นเป็นยิ่งกว่าคมดาบฟาดร่างให้ขาดเป็นสองท่อน ...ความกลัวพลันไหลหลั่งจนสติพลัดพรากหายไปไร้การควบคุม

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ! อย่ามาเพ้อเจ้ออะไรให้ข้าฟังหน่อยเลย”

   รู้ดีว่าพิรุธทั้งหลายมันมากมายเกินจะแก้ตัวได้ แต่เขาก็ไม่สามารถแก้สถานการณ์อะไรได้อีกแล้ว ในตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรีบกระแทกเท้าเดินออกจากห้องไปเท่านั้น

   ทิ้งให้ทหารองครักษ์ยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับสายตา

   ไม่มีหนทางใดจะไขข้อข้องใจนี้ได้  ...นอกจากต้องไปสืบความจริงดูเท่านั้น




โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 8]
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 08-07-2013 02:19:54
ตั่วหยางจะทำอย่างนั้นกับหงฟี่จริง ๆ หรือ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 9 : หน้ากากอสรพิษ]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 15-07-2013 21:14:16
บทที่ 9 หน้ากากอสรพิษ



   “ท่านนี่นะ ทำอะไรไม่รู้จักระมัดระวังตัว”

   เฉินซื่อบ่นกระปอดกระแปด ในขณะที่ทำแผลรอบข้อมือให้เจ้านาย เหตุเพราะเชือกป่านที่รัดข้อมือไว้หลายชั่วโมงเมื่อสองวันก่อนนั้นก็ยังคงทิ้งรอยช้ำไว้พอดู

   “เอาเถอะ มันก็เป็นแค่เหตุสุดวิสัย”

   “ท่านนี่ก็ช่างมองโลกในแง่ดีเสียจริง”

   เป้ยหมิงกลั้วหัวเราะ ต้องเป็นเขาเองมากกว่าที่ควรจะพูดว่าอีกฝ่ายช่างมองโลกในแง่ร้ายเสียเหลือเกิน

   “แต่ก็ยังดีที่ข้ารอดกลับมาได้ไม่ใช่หรือ”

   “ฮึ!” ข้ารับใช้หัวเราะเสียงขึ้นจมูก “ก็เป็นเพราะเจ้าชายเถื่อนตาเดียวนั่นอีกแล้วล่ะสิ”

   “เฉินซื่อ!” ชายหนุ่มปราม “เจ้าแค้นอะไรกับหลี่ไป๋นักหนา”

   “อา... ข้าก็ไม่ได้แค้นอะไรเขาหรอก ...แต่ข้าจับผิดเขาได้น่ะสิ!”

   “จับผิดอะไรของเจ้า”

   “ท่านไม่เคยสังเกตเห็นเลยรึ? เวลาที่เขามองท่าน สายตานั้นมันชัดเจนจะตาย!”

   เป้ยหมิงนิ่ง ...รู้สึกสับสนกับสิ่งที่ข้ารับใช้พูดมา เพราะไม่รู้ว่าทั้งสองจะแปลความหมายของสายตาหลี่ไป๋ได้เหมือนกันหรือเปล่า   หรือว่าเฉินซื่อจะหาเรื่องคิดไปว่านั่นเป็นสายตาประสงค์ร้ายอย่างที่คอยพร่ำบอกเขาอยู่ตลอดมา

   “เจ้าต้องการจะบอกอะไรกับข้า เฉินซื่อ?”

   “ข้าต้องการจะบอกว่า...” ชายหนุ่มสูดหายใจลึก “...ท่านอย่าลืมว่าตัวท่านเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งป๋ายเซว่   ยามเมื่อท่านกลับไป ท่านก็ต้องศึกษาหาความรู้ในทุกแขนงวิชา จะไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นเช่นนี้อีกแล้ว.......”

   เป้ยหมิงปล่อยให้คำสาธยายของข้ารับใช้ลอยผ่านหูไปด้วยความเหนื่อยหน่ายรำคาญใจ   นับตั้งแต่ที่มาเหยียบซานหลงเฉินซื่อก็พร่ำพูดเรื่องนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว... ไม่สิ ต้องนับตั้งแต่ที่เฉินซื่อถูกย้ายลงมาเป็นข้ารับใช้ประจำตัวเขา นั่นคือหลังจากที่เจ้านายคนก่อนของเฉินซื่อ ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของเขาถูกลอบวางยาจนสิ้นพระชนม์  หัวข้อบัลลังก์อันสั่นคลอนของป๋ายเซว่ก็ถูกนำมาใช้สั่งสอนเขาครั้งแล้วครั้งเล่านับตั้งแต่นั้น

   ไม่อยากจะย้อนนึกถึงความวุ่นวายของราชบัลลังก์เพราะมีแต่เรื่องฉาวโฉ่  นับตั้งแต่เขาเกิดมาเขาก็ต้องจมอยู่ในวังวนกลิ่นคาวคุ้งจากห้องบรรทมของพระบิดาที่หาความสำราญจากสตรีเป็นว่าเล่น  และนั่นทำให้การวางตำแหน่งพระมเหสี พระสนม พระชายา กลายเป็นเรื่องโกลาหลไม่มีที่สิ้นสุด   เป้ยหมิงเป็นโอรสที่เกิดจากพระมเหสีเอก เพียงแต่ว่าดันมาเกิดทีหลังพี่ชายที่เกิดจากพระสนมรอง  และด้วยสงครามการแย่งชิงความรักของเหล่าสนมจึงทำให้พี่ชายของเขาได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอันดับหนึ่ง ...เพียงไม่นานก่อนที่พระมารดาของเขาจะแย่งชิงสิทธิ์อันชอบธรรมคืนมาให้ด้วยการใส่ของขวัญเล็กน้อยลงในอาหารมื้อสุดท้ายของพี่ชาย

   ...ไม่เคยมีใครถามเลยว่าเขาต้องการสิ่งใด

   “...และที่สำคัญ การครองบัลลังก์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นความสัมพันธ์เพียงชั่วคราวก็ย่อมเป็นสิ่งต้องห้ามเช่นเดียวกัน...”

   “นี่เจ้าจะบอกว่าข้าไม่มีสิทธิตัดสินใจอะไรเองเช่นนั้นเลยหรือ?”

   “ก็ไม่เชิง... แต่ข้าจะบอกว่าท่านควรตระหนักถึงฐานะของตัวท่านเองมากกว่านี้”

   เป้ยหมิงชักรำคาญ ไม่รู้ว่าข้ารับใช้คนนี้จะพูดอ้อมไปอ้อมมาไปจนถึงเมื่อไร

   “เฉินซื่อ เจ้าพูดไม่รู้เรื่องแล้ว... นี่เจ้าต้องการจะบอกอะไรกันแน่”

   ข้ารับใช้อ้าปากชะงักค้างเมื่อถูกถามเช่นนั้น... รู้สึกสับสนในใจว่าควรจะพูดตรงไปตรงมาแค่ไหน เพราะสิ่งที่เขาเห็นจากสายตาของทหารองครักษ์ต่างแคว้นคือความปรารถนาชอบพอเจ้านายของเขาที่ปิดบังไม่มิด  แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเป้ยหมิงก็ดูจะส่งสายตาเช่นเดียวกันกลับไปให้ด้วย

    เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออกว่าสองคนนี้รู้สึกต่อกันเช่นไร เขาจึงกลัวว่าความสัมพันธ์ที่อันตรายนี้อาจจะชักนำให้เป้ยหมิงคิดหนีภาระหน้าที่ที่จะกลับไปบริหารปกครองแคว้น ...หรืออาจจะทำให้เป้ยหมิงไม่คิดจะมีชายาอีกตลอดไปก็เป็นได้!

   เฉินซื่อเงยหน้ากลับขึ้นมามองเจ้านายเหนือหัว... สายตาคาดคั้นที่ส่งมา บวกกับความอัดอั้นตันใจเหล่านี้ทำให้เขาตัดสินใจเสี่ยงพูดสิ่งที่คิดออกไปจริงๆเสียที

   “อย่าหาว่าข้าก้าวก่ายอะไรเลยท่านเป้ยหมิง... แต่ข้าขอร้อง----”

   “ท่านเป้ยหมิงอยู่ไหมขอรับ?”

   เฉินซื่ออ้าปากค้าง คำพูดที่กำลังจะออกมากลับหดหายเข้าไปในลำคอเมื่อคนที่ตนกำลังจะพูดถึงกลับมายืนอยู่หน้าประตูพอดี

   ข้ารับใช้คนสนิทชะงักค้างอยู่อย่างนั้น ความกระอักกระอ่วนพลันทบทวีคูณเมื่อสายตาของคนทั้งสองที่เขามองออกมาเนิ่นนานปรากฏให้เห็นประจักษ์อยู่ต่อหน้าต่อตา!

   “อ้าว ท่านหลี่ไป๋...” เป้ยหมิงลุกขึ้น รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก “...ท่านมีธุระอะไรหรือ?”

   “ตอนนี้ข้ากำลังสืบหาตัวคนร้ายที่จับตัวท่านไปน่ะขอรับ”  ทหารองครักษ์เหลือบตามองเฉินซื่อด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ  “ก็เลยอยากจะมาสอบถามข้อมูลจากท่าน ...หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวน”

   “อ๋อ ไม่หรอก ไม่รบกวนเลย...” รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นแผ่กว้างกว่าเดิม ก่อนที่เจ้าของรอยยิ้มจะหันมาหาข้ารับใช้ที่มึนงงกับภาษาต่างสำเนียงอยู่ตรงนั้น

   “ข้ากับหลี่ไป๋มีธุระจะคุยกัน เจ้าออกไปก่อนได้ไหม”

   “แต่ท่านเป้ยหมิง...”

   “เฉินซื่อ!”

   ข้ารับใช้สะดุ้งในน้ำเสียงเฉียบขาด   นึกเสียใจขึ้นมาตอนนั้นว่าเขาไม่มีสิทธิห้ามปรามอะไรได้เลย

   “เชิญตามสบายขอรับ”

   เป้ยหมิงมองตามข้ารับใช้ของตนที่ก้มหน้ารับคำอย่างฝืนใจ  ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากห้อง ทิ้งบรรยากาศแห่งความไม่พอใจเอาไว้เบื้องหลัง

   “นั่งก่อนสิ ท่านหลี่ไป๋”

   ชายร่างสูงใหญ่ปิดประตูตามหลัง เดินข้ามประตูตำหนักเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามที่เป้ยหมิงนั่งอยู่ ท่าทางดูเกรงใจอยู่ไม่น้อย

   พลันสายตาก็เหลือบไปหาหยูกยาที่วางอยู่บนโต๊ะ

   “แผลท่านหายดีหรือยังขอรับ”

   “อืม... ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ เป็นเพราะสมุนไพรที่ท่านแนะนำมาแท้ๆเชียว”

   หลี่ไป๋เหมือนจะเหยียดยิ้มอยู่จางๆ ดูพึงใจกับคำชมนั้น

   “ไม่ขนาดนั้นหรอกขอรับ... ท่านเป้ยหมิง” เมื่อเห็นรอยแผลที่คนร้ายทั้งสองได้ฝากไว้ ทำให้ความสงสัยที่ค้างคาถูกกวนตะกอนขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องชายที่ลักพาตัวท่านไป ท่านพอจำรายละเอียดได้หรือไม่ขอรับ”

   องค์รัชทายาทนิ่งนึก   ภาพคนร้ายที่เหลืออยู่ในความทรงจำนั้นก็พอจะนึกออกได้แค่เลือนราง

   “ข้าคิดว่ามีสามคนนะ” เป้ยหมิงพูดช้าๆ “คนแรกผอม หน้าแหลมๆ ดูสุขุม   อีกคนหนึ่งดูท้วมๆ ท่าทางใจร้อน ...สองคนนี้ข้าเห็นใบหน้าไม่ชัดนัก เพราะทั้งสองคาดผ้าปิดหน้าเอาไว้  แต่ข้าคิดว่า สองคนนี้คือคนเดียวกับคนที่พยายามลอบสังหารต้าอ๋องในป่าเมื่อวันนั้น”

   หลี่ไป๋เงยหน้าขึ้นทันที “ท่านว่าเช่นไรนะขอรับ?”

   “หลี่ไป๋ ท่านจำได้ไหม... ที่ป่าวันนั้น มีชายสองคนที่ซ่อนอยู่บนต้นไม้แล้วยิงธนูลงมา ท่านวิ่งตามคนผอมไป ส่วนข้าก็ถูกคนอ้วนย้อนกลับมาจับเป็นตัวประกัน”

   พอชายทหารได้ฟังก็ถึงกับนิ่งอึ้ง ...ภาพการไล่ล่าในวันนั้นได้กลับมาฉายชัดอีกครั้ง   ทำให้ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายมารวมกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยพลัน

   “หรือท่านจะบอกว่า ที่ท่านถูกจับตัวไปก็เป็นเพราะแผนการลอบสังหารต้าอ๋องของสองคนนี้ด้วยเช่นกัน?”

   “ใช่” เป้ยหมิงเม้มปาก “พวกนั้นวางแผนจับข้ามาเพื่อที่จะล่อให้ท่านมาช่วยข้า ...เมื่อท่านมาแล้ว ต้าอ๋องก็จะไม่มีคนคอยอารักขา พวกนั้นจะได้ส่งนักฆ่าไปสังหารต้าอ๋องได้อย่างไรล่ะ”

   หลี่ไป๋นิ่งไป ...คำพูดของเป้ยหมิงเมื่อวันนั้นที่บอกให้เขารีบไปเป็นเพราะเหตุนี้เองหรือ

   “ถ้าเช่นนั้น... ก็แสดงว่าจะต้องมีมากกว่าสองคนสินะขอรับ”

   คิ้วเข้มขมวดมุ่น พร้อมกับที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับ “อีกคนก็คือชายร่างผอม ผิวคล้ำ คนที่ท่านประมือสู้ด้วยเป็นคนสุดท้ายอย่างไรเล่า ท่านจำได้ไหม”

   พลันนั้น ชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายก็เข้ามาเติมภาพจนสมบูรณ์ได้พอดี

   “ที่แผนการวันนั้นไม่สำเร็จ เป็นเพราะชายคนนี้กลับมาหาเพื่อนอีกสองคนก่อน ไม่ได้ไปสังหารต้าอ๋องอย่างที่ได้วางแผนเอาไว้”

   “ท่านต้าอ๋องก็เลยรอดชีวิต...” หลี่ไป๋พึมพำ

   “ท่านคิดว่าเช่นไร?”

   เป้ยหมิงลอบมองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ ยามนี้ชายชาติทหารดูสับสนและตื่นตะลึงไปพร้อมๆกัน

   “ข้าคิดว่า ที่จริงแล้ว...”  หลี่ไป๋คิดใคร่ครวญแผ่วเบา ทำใจไม่ได้กับคำตอบอันกระจ่างชัดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าตน

   “ชายผู้ที่คิดจะสังหารต้าอ๋อง ...ก็คือนางรับใช้ตั่วหยางนั่นเอง!”


...................................................................


   “เจ้าว่าไงนะ!”

   จอกเหล้าถูกกระแทกลงกับพื้นโต๊ะ ทหารอารักขาคนสนิททำได้แค่เพียงก้มหน้าหลบตาเท่านั้น

   “เจ้ามีสิทธิอะไรมากล่าวหาตั่วหยางได้เช่นนี้!”

   ยามนี้หงฟี่กำลังอารมณ์ร้อน ...แต่แทนที่น้ำจัณฑ์ยามค่ำคืนจะช่วยกล่อมสติให้เลื่อนลอยยอมรับฟังได้ มันกลับทำให้เขายิ่งเดือดดาลเสียอย่างนั้น

   “ท่านต้าอ๋อง... ได้โปรดฟังเหตุผลของข้าก่อน”

   “เหตุผลบ้าบออะไรของเจ้า! ข้าไม่อยากฟัง!”

   หลี่ไป๋ก้มหน้านิ่ง ...ได้แต่รินเหล้าให้ต่อไปตามจอกที่ยื่นมาเท่านั้น

   ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องยากที่คนหัวรั้นเช่นต้าอ๋องจะรับฟัง ...แต่มันก็เป็นหน้าที่ของข้ารับใช้ที่ต้องเตือนภัยให้แก่เจ้านายมิใช่หรือ?

   “ท่านไม่สงสัยหรือขอรับ ว่าทำไมบางคืนถึงตามหานางในวังไม่พบ”

   “แล้วเจ้าจะยุ่งอะไรกับเรื่องของนาง นางอาจจะมีธุระนอกวังกระมัง”

   “มันไม่แปลกหรือขอรับ ...ก็นางรับใช้ห้ามออกจากวังโดยไม่ได้รับอนุญาตมิใช่หรือ!”

   ต้าอ๋องนิ่ง กำลังจะอ้าปากค้านแต่ก็มิอาจเถียงกลับได้

   “แล้วท่านเคยสงสัยหรือไม่ขอรับ ว่าทำไมนางชอบหายตัวไปกะทันหัน”

   “คนเราต่างก็มีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น”

   “ท่านต้าอ๋อง” หลี่ไป๋อยากจะเรียกอีกฝ่ายให้ได้สติ “แล้วท่านไม่สงสัยหรือขอรับว่าแผลที่มือของนางเกิดขึ้นได้เช่นไรกัน”

   “ก็นางบอกว่านางโดนมีดในครัวบาด จะเอาอะไรกับนางนักหนา!”

   “ท่านต้าอ๋องขอรับ!” องครักษ์เรียกสติอีกครั้ง “แผลนั่นน่ะมาจากการต่อสู้! ข้ารู้เพราะข้าเป็นคนฝากแผลนั่นไว้กับนางเอง!”

   ต้าอ๋องชะงัก จอกที่ทำจากเครื่องเคลือบชั้นดียังไม่ถึงริมฝีปากก็ถูกถอนออกมาเสียก่อน

   “เจ้าหมายความเช่นไร”

   “ตอนที่ข้าไปช่วยท่านเป้ยหมิง ข้าได้ต่อสู้กับชายผู้หนึ่ง” ทหารองครักษ์อธิบาย พลันภาพการต่อสู้ก็ชัดเจนในความรู้สึกอีกครั้ง “...เป็นชายที่มีฝีมือการต่อสู้พลิ้วไหวมาก ท่วงท่าของเขาเหมือนกับท่ารำของตั่วหยางที่พวกเราเคยเห็นไม่มีผิดเพี้ยน!   แล้วพอสู้กันไป ดาบของข้าก็กรีดกลางมือของเขา ตำแหน่งเดียวกับแผลของตั่วหยางอีกเช่นกัน”

   ชายทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่ง ปล่อยให้ความเงียบน่าอึดอัดไหลวนอยู่อย่างนั้น

   “นี่เจ้าจะบอกว่าเจ้าพูดจริงเช่นนั้นหรือ?”

   หลี่ไป๋ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจของผู้มีพระคุณเลย แต่เขาเองก็ไม่อาจโกหกได้เช่นกัน

   “ขอรับ”

   หงฟี่จ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่อีกเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะกระดกเหล้าอีกจอกเข้าปากไป

   “ไปหาหลักฐานมาให้ข้าสิ แล้วข้าจะเชื่อ!”

   “ท่านต้าอ๋อง!”

   หงฟี่ลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป แต่ทันใดนั้นหลี่ไป๋ก็ลุกขึ้นตาม รีบเข้ามาห้ามปรามไว้เสียก่อน  “ถ้าท่านอยากได้หลักฐาน ข้าเองก็พอจะรวบรวมมาให้ท่านได้แล้ว”

   เจ้าครองแคว้นยืนชะงักนิ่ง จ้องมองทหารองครักษ์ของตนอย่างไม่เชื่อสายตา

   “ท่านกรุณารอตรงนี้สักครู่ขอรับ”

   ว่าแล้วหลี่ไป๋ก็ออกจากห้องไป   วินาทีนั้นหงฟี่คิดเตลิดไปไกลว่า หรือว่าหลี่ไป๋จับตั่วหยางรอไว้อยู่แล้ว พร้อมที่จะลากนางเข้ามาพิสูจน์ให้เขาเห็น...  ต้องเปลื้องผ้านางให้ชมหรือ? หรือจะคาดคั้นให้นางสารภาพด้วยตัวเอง?

   ...แต่คนที่ก้าวเข้ามาในห้องตามหลี่ไป๋กลับไม่ใช่คนที่เขาคิด

   หัวหน้านางรับใช้ผู้สูงวัยค่อยๆคลานเข่าเข้ามาหา  ดูจากท่าทางแล้วติ๋วซื่อคงจะรอคำสั่งเปลี่ยนน้ำเต้าสุราอยู่นอกห้อง  แต่ที่ดูแปลกไปกว่านั้นคือทั้งสองดูมีการเตรียมการอะไรกันมาก่อนอยู่แล้ว

   “ข้าไปสืบหาตัวตนที่แท้จริงของตั่วหยางมาให้แล้วเพคะ” สตรีสูงวัยเอ่ยขึ้นเบาๆ

   “ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าทำ ทำไมเจ้าต้องทำเกินหน้าที่”

   “ข้าขออภัยเป็นอย่างสูงเพคะ... แต่เพราะว่าข้าเป็นห่วงท่าน”

   น้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กรับรู้ได้ถึงความห่วงใยอันล้นหลาม ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยสักครั้ง   มันทำให้หงฟี่ไม่อาจหักหาญน้ำใจของผู้มีพระคุณได้

   ติ๋วซื่อขยับท่านั่งอย่างลำบากใจก่อนจะกล้าเอ่ยคำ  “หลานชายของข้ามาฝากตั่วหยางให้เข้ามาเป็นนางรับใช้ ข้าได้คุยกับนางในคืนที่ท่านเกือบถูกลอบสังหารในป่า   วันต่อมาข้าจึงส่งม้าเร็วส่งจดหมายไปสอบถามน้องชายข้าที่อยู่ที่หมู่บ้านทางเหนือ เพราะตั่วหยางกล่าวไว้ว่านางเป็นเพื่อนสนิทกับหลานชายของข้า และน้องชายข้าผู้เป็นพ่อค้ามักจะซื้อของฝากจากเมืองหลวงกลับไปให้นางเสมอ”

   หงฟี่นิ่งไปเหมือนรูปปั้น ภายใต้สีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรนั้นดูหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินยิ่งกว่าการเห็นตั่วหยางถูกจับเปลื้องผ้าให้ดูต่อหน้า

   “น้องชายของข้าเขียนจดหมายตอบกลับมา...  บอกว่าเพื่อนสนิทของลูกชาย ผู้ซึ่งที่บ้านทำนา แม่เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือแต่พ่อที่ป่วย และมีน้องสาวสองคน   มีอยู่เพียงบ้านเดียวในหมู่บ้าน”

   ติ๋วซื่อค่อยๆล้วงมือลงไปในกระเป๋าในอกเสื้อ หยิบแผ่นกระดาษบางๆแผ่นหนึ่งขึ้นมา

   “ลูกคนโตของบ้านนั้นเป็นบุรุษ... นามว่าตั่วหยาง”

   ทุกอย่างในห้องหยุดนิ่ง

   เพียงพริบตาเดียว หงฟี่ก็ลุกขึ้นปาดทุกอย่างบนโต๊ะลงเสียงดังสนั่น  จอกเครื่องเคลือบชั้นดีแตกกระจายเสียงแหลมดังแสบหู กลายเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยไม่มีชิ้นดี  พร้อมๆกับได้ยินเสียงคำรามร้องจากใจที่สับสน แตกสลายไปไม่ต่างจากจอกน้อยเหล่านั้น

   “ท่านต้าอ๋อง...” หลี่ไป๋เรียกเบาๆ

   “ออกไป!”

   “ท่านจะดูจดหมายนี้เป็นหลักฐานก็ได้นะเพคะ”

   “เอามันไปเผาทิ้งซะ! แล้วก็ออกไป ออกไปให้หมด!!!”

   ติ๋วซื่อก้มหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะค่อยๆถอยออกไปนอกห้อง ในขณะที่หลี่ไป๋ยังยืนยันจะต่อสู้กับความบ้าคลั่งนั้น

   “ท่านต้าอ๋อง ถึงรู้ว่าตั่วหยางมิใช่สตรี ท่านก็ยังจะรักนางอยู่อีกหรือ!”

   หงฟี่หอบหายใจเสียงดัง แต่รับรู้ได้ว่าเขายังอาละวาดไม่สาแก่ใจ

   “ข้าบอกให้ออกไป...”

   “ต่อให้นางมาเพื่อลอบสังหารท่าน ...ท่านก็ยังจะรักนางอยู่อีกหรือ!!!”

   หงฟี่นิ่งเงียบ ในดวงตามีแต่ความเจ็บปวด  ก่อนที่จะคว้าสิ่งที่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงไปหมายไล่องครักษ์ให้ออกจากห้อง  แต่ชั่วพริบตาชายทหารก็ควักดาบออกมา ฟันแจกันใบน้อยให้แตกเป็นเสี่ยงๆก่อนจะถึงตัวได้พอดี

   “ออกไป...”

   ต้าอ๋องพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง หลี่ไป๋ได้แต่มองเจ้านายเหนือหัวด้วยความสงสารสุดหัวใจ

   ทหารองครักษ์ค่อยๆเก็บดาบเข้าไปในฝัก ก้มรับคำสั่งเงียบๆ แล้วเดินออกจากห้องที่เละเทะไปด้วยข้าวของแตกกระจาย   ทิ้งต้าอ๋องไว้กับความเงียบงัน






โปรดติดตามตอนต่อไป...

หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 10 เทพมังกรนภา]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 21-07-2013 23:12:10
บทที่ 10 เทพมังกรนภา




   คืนนั้น ตั่วหยางเข้ามาในห้อง ปิดประตูดังปัง สีหน้าเครียดขึ้งหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด

   “บอกข่าวดีข้าหน่อย ข้าอยากฟัง” หลินไน่นอนพลิกตัวหันมาหาเพื่อนที่เพิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมๆกับที่หยาโจวเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ

   “ไม่มีหรอกข่าวดี... มีแต่ข่าวร้าย!”

   “เกิดอะไรขึ้นล่ะ” หยาโจวถาม วางหนังสือลงกับโต๊ะ

   ตั่วหยางทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างหัวเสีย

   “เจ้าทหารตาเดียวนั่น ...มันรู้แล้ว”

   “หา รู้อะไร?” หลินไน่เด้งตัวขึ้นนั่ง

   “รู้ว่าข้าคือคนที่เคยสู้กับมันน่ะสิ! มันจำได้เพราะแผลงี่เง่านี่ไงล่ะ!”

   ชายผิวคล้ำยกแขนขึ้นให้เพื่อนดูผ้าพันแผลบนฝ่ามือ อารมณ์โกรธเคืองพาลไหลพรั่งพรูออกมาตามลมหายใจ

   “แล้วเจ้าจะทำเช่นไร”

   “ข้าไม่รู้!”  ตั่วหยางยกมือขึ้นกุมใบหน้า พูดอู้อี้อยู่ในมือ “ต่อไปนี้ถ้าข้าจะไปหาหงฟี่ก็ต้องไม่ให้มันเห็นงั้นหรือ? หรือว่าข้าควรทำตัวเหมือนเดิมต่อไป?”

   “นี่เจ้าพูดเหมือนกับคนกำลังมีความรัก!” หลินไน่หัวเราะ

   “เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า!”

   “ก็ดูสิ...” ชายร่างอ้วนลุกขึ้น พยายามชี้แจงเหตุผลให้เพื่อนฟังราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก “มานั่งพร่ำเพ้อว้าวุ่น เหมือนกับเวลาที่หนุ่มสาวต้องแอบลักลอบพบกันแต่วงศ์ตระกูลไม่อนุญาตไม่มีผิด!”

   “หลินไน่! มันจะมากไปแล้วนะ” ชายหนุ่มผุดลุดขึ้นบ้าง

   “ทำไม? ข้าพูดแทงใจดำเจ้ารึไง!”

   “เจ้าก็มาลองเป็นข้าสิ! ถูกจับตามองอยู่อย่างนี้ เจ้าจะกล้าฆ่ามันรึเปล่าล่ะ!”

   “อย่ามาทำเป็นอ้างไปหน่อยเลย!  รีบหนีออกมาก่อนถูกจับได้ก็หมดเรื่อง เราไม่มีพันธะอะไรกับคนในวังอยู่แล้ว ...หรือว่าเจ้ามี!”

   “ข้าไม่มี!”

   “แน่ใจรึ? แล้วไม่งั้นเจ้ากลัวอะไรอยู่!   ถ้าข้าไม่รู้จักเจ้า ข้าคงคิดว่าเจ้าเลิกคิดจะฆ่าหงฟี่ไปแล้ว! ...เปลี่ยนใจคิดอยากจะไปเป็นชายามันแทนหรือไง!”

   “หลินไน่!”

   ตั่วหยางกระโจนเข้าหาเพื่อนผู้สามหาวด้วยความเดือดดาล เงื้อกำปั้นแล้วทิ้งรอยหมัดไว้บนหน้าสหายเสียสุดแรง  หยาโจวผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ  หลินไน่สะบัดหัวให้หายมึนจากหมัดนั้น แล้วหันกลับมาต่อยคืนอีกหมัดอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน

   ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน  สหายทั้งสองกลายเป็นสัตว์ร้ายที่จู่โจมเข้าหากันดุเดือดรุนแรง   หมัดแลกหมัด กำลังแลกความเร็ว พังข้าวของในห้องเสียหายไปเป็นแถบ หลินไน่ฟาดหลังมือใส่ตั่วหยางเสียจนเลือดกบปาก แต่พอจะตามมาใส่อีกหมัดตั่วหยางก็ม้วนหลังหนีไปได้   ชายในคราบสตรีเอื้อมมือไปปลดปิ่นออกมาจากมวยผม คว้าไว้สุดแขนเตรียมเป็นอาวุธแหลมใช้ท้าสู้  พลันหลินไน่ก็คว้าขาเก้าอี้ไม้ที่หลุดออกมาฟาดกับเข่าให้หักเป็นสองท่อน กลายเป็นอาวุธอยู่ในสองมือ

   “พอแล้ว!”

   เสียงของหยาโจวสะท้อนหายไปไร้ความหมายเมื่อสัตว์ร้ายทั้งสองโจนจ้วงเข้าหากันอีกครั้ง  คราวนี้ยิ่งเมื่อมีอาวุธในมือยิ่งทำให้การทำลายล้างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม   หลินไน่โดนปลายปิ่นถากข้างแก้มจนเลือดสาด   ในขณะที่ตั่วหยางโดนขาเก้าอี้ฟาดศีรษะอย่างแรงจนกระเด็นลงไปกระแทกพื้น

   “ข้าบอกให้พอแล้ว!!!”

   หยาโจวแผดเสียง คราวนี้ตัดสินใจกระโดดเข้าไปขวางอยู่กลางวงโดยไม่คิดชีวิต  ทำให้สหายทั้งสองยั้งมือไม่ทันเกือบฟาดอาวุธใส่เขา และในชั่ววินาทีที่ทั้งสองกำลังตกตะลึงอยู่นั้น หยาโจวก็รีบคว้าขาเก้าอี้กับปิ่นปักผมเอาไว้ได้ทัน

   “ถอยไปหยาโจว!”

   ตั่วหยางจะพุ่งเข้าใส่หลินไน่อีกครั้ง   แต่หยาโจวรีบคว้าเอวตั่วหยางไว้แล้วเขวี้ยงให้ล้มลงไปอีกฝั่ง  ในขณะที่หลินไน่พุ่งเข้ามาจะต่อหมัดคืนก็กลับโดนหยาโจวฟาดหมัดสวนเข้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว

   “เข้ามาอีกสิ ข้าฟันท้องพวกเจ้าแน่”

   หยาโจวประกาศกร้าวพร้อมคว้ามีดสั้นออกมาจากฝักที่วางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะ  เห็นเพียงแค่นั้นสหายทั้งสองก็รู้ว่าหยาโจวเอาจริงเสียแล้ว

   ศึกบ้าคลั่งสงบลงโดยพลัน ทั้งสามจ้องหน้ากันนิ่ง  หยาโจวยืนหอบ  พอเห็นว่าทั้งสองดูจะหมดแรงและค่อยๆคืนสติได้แล้ว เขาถึงเก็บมีดสั้นเข้าฝักไปอีกครั้ง

   “พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกันไปแล้ว! เรื่องแค่นี้นี่ถึงกับจะฆ่ากันเองเลยรึไง”

   “ก็มันจะหาเรื่องข้าก่อนทำไม!” ตั่วหยางร้อง

   “พอแล้ว! เจ้าไม่ต้องพูด” หยาโจวสูดหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์ตัวเองไปพร้อมกัน “ตั่วหยาง เจ้าเองก็ผิด   ยาพิษที่ข้าหามาให้แค่เพียงนัดเดียวก็ได้ผลแล้ว ไม่ต้องรอใส่ยาซ้ำซากเป็นเดือนเป็นปีแบบที่พวกนางในชอบใช้กัน! เพราะฉะนั้นข้าขอร้อง แข็งใจแล้วไปฆ่ามันได้แล้ว!”

   “ใช่!”

   “ส่วนเจ้า หลินไน่ เจ้าก็พูดเกินไป... ให้เกียรติตั่วหยางบ้าง!”   หลินไน่หุบปากสนิททันที   “มันยอมเสียสละปลอมเป็นสตรีเข้าไปในวังทุกวันเพื่อพวกเราแล้ว ยังจะเอาอะไรกับมันอีก!”

   “หึ... เดี๋ยวนี้ไม่ต้องฝืนใจแล้วกระมัง เห็นว่าจิตใจคงอยากเป็นสตรีไปแล้วนี่”

   “เจ้าสามหาว!---”

   “พอแล้ว!” หยาโจวตวาดอีกรอบ ทำให้สองสหายชะงักไว้แค่นั้น  “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเครียด ข้าก็เครียด! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากฆ่าอ๋องทรราช ข้าก็อยาก!  แต่ในขณะเดียวกันพวกเจ้าก็ยังอยากมีชีวิตรอดกลับหมู่บ้าน ...ข้าก็เหมือนกัน!   แล้วพวกเราต่างกันตรงไหน?  ทำไมไม่เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง!”

   ชายหนุ่มอีกสองคนนิ่งเงียบ ...อารมณ์เกรี้ยวกราดของตนเริ่มบรรเทาลงแล้ว  เหมือนเช่นทุกครั้งยามที่พวกเขาทะเลาะกัน หยาโจวก็จะช่วยพูดจนกลับมาใจเย็นได้เสมอ ...ตั้งแต่เล็กจนโต ชายคนนี้ก็ยังรักเพื่อนไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย จะมีเพียงแต่พวกเขาเองที่เปลี่ยนไป ...ปล่อยให้โมหันต์เข้าครอบงำจิตใจกว่าครั้งใดที่เคยเป็นมา

   “พวกเจ้าเคยได้ยินตำนานเทพมังกรนภาของซานหลงไหม”

   “ไม่เอาน่า นี่มันไม่ใช่เวลา---” หลินไน่ร้อง

   “เจ้าน่ะเงียบไปเถอะ   ข้าอยากจะเล่าให้พวกเจ้าฟัง”

   เมื่อโดนดุเช่นนั้นหลินไน่ก็ปิดปากเงียบ  ยอมจำนนนั่งลงบนฟูกข้างๆเก้าอี้ตัวที่หักพัง ยกแขนเสื้อขึ้นมาซับเลือดที่อาบแก้มเบาๆ  ในขณะที่ตั่วหยางดูเหนื่อยเกินกว่าจะต่อต้านอะไร เลยหนีไปนั่งอีกฟากห้อง ยกคอเสื้อขึ้นมาซับเลือดที่มุมปากเช่นกัน

   “เป็นตำนานของชายหนุ่มสี่คน ที่เดินทางมาจากสี่ทิศ  เหนือ ใต้ ออก ตก   ทั้งสี่มาบังเอิญเจอกันที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งด้วยจุดประสงค์เดียวกัน ...นั่นคือจะออกตามหาคัมภีร์มหายุทธ”

   “คัมภีร์ในตำนานนั่นน่ะหรือ?” หลินไน่นวดแก้มอีกข้างที่บวมช้ำเบาๆ

   “ใช่” หยาโจวตอบ “ทั้งสี่ได้ร่วมวงเหล้าคุยกันถูกคอตั้งแต่วันแรก ก็เลยสาบานกันว่าจะร่วมกันตามหาคัมภีร์ และหากมีใครทรยศหักหลัง ...ผู้นั้นต้องชดใช้ด้วยชีวิต

   “หึ... สาบานกันตั้งแต่เจอกันวันแรก มันจะเป็นไปได้หรือ!” ตั่วหยางพ่นลมขึ้นจมูก

   “บางทีกาลเวลาก็ไม่สามารถกำหนดมิตรภาพได้ไม่ใช่หรือ?” หยาโจวค้าน เมื่อเห็นตั่วหยางไม่โต้ตอบเขาก็เล่าต่อ “...แล้วทั้งสี่ก็เลยออกเดินทางร่วมกัน ผ่านความยากลำบากมานักต่อนัก นานนับเดือนนับปี แต่ก็ไม่มีใครทิ้งใคร จนสุดท้าย การเดินทางไกลนับหมื่นลี้ก็จบลงพร้อมกับการค้นพบคัมภีร์เล่มนั้นที่แคว้นซานหลง”

   “สรุปว่าคัมภีร์นั่นมีจริงรึ?” ชายร่างท้วมทำหน้าสนใจ

   “ข้าก็ไม่รู้...” คนเล่ายักไหล่  “...และแน่นอนว่าทั้งสี่ดีใจมาก หลังจากนั้นก็ให้แต่ละคนผลัดกันเก็บรักษาคัมภีร์หมุนเวียนกันไปเพื่อความยุติธรรม   แต่แล้ว พวกเขาก็หยุดเดินทางมาพักแรมที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง  ...คืนนั้นเป็นเวรรักษาคัมภีร์ของชายจากตะวันตก และเรื่องมันก็เริ่มต้นที่ตรงนี้...”

   คนฟังทั้งสองคนมองหน้าคนเล่าอย่างรอคอยโดยไม่รู้ตัว

   “เช้าวันรุ่งขึ้น คัมภีร์ก็หายไป ...พร้อมกับลมหายใจของชายผู้นั้น”

   “...หมายความเขาตายงั้นหรือ”

   “ใช่... สหายที่เหลืออีกสามคนจึงแทบจะกลายมาเป็นศัตรูในฉับพลัน   ด้วยความหวาดระแวงว่าต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่งในพวกตนสามคนแน่ๆที่เป็นฆาตกร   และคนๆนั้นก็ย่อมต้องเป็นผู้ที่ริบคัมภีร์มาไว้เป็นของตัวเองด้วย

    และแล้วมิตรภาพก็ถูกทำลายด้วยความไม่เชื่อใจ   เริ่มแรก ชายจากตะวันออกกลายเป็นผู้ต้องสงสัย เพียงเพราะเขาเป็นคู่กัดกับผู้ตายมาตลอด แต่เขาก็ยืนกรานว่าตนไม่ได้เป็นคนฆ่า เมื่อค้นสัมภาระดูแล้วก็ไม่พบคัมภีร์ เขาจึงรอดตัวไป

   ดังนั้น ชายอีกสองคนจึงเริ่มทะเลาะกันเอง ต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าอีกคนเป็นฆาตกร และไม่ยอมให้ค้นสัมภาระของตัวเองดูสักที ...จนสุดท้าย เรื่องราวก็เริ่มร้ายแรงขึ้น เมื่อทั้งคู่ถึงกับหยิบอาวุธมาฟาดฟันกัน”

   หลินไน่กับตั่วหยางนั่งฟังเงียบๆ รู้สึกราวกับตนเป็นสหายทั้งสองที่ใกล้จะฆ่ากันในเรื่องเสียเอง

   “เห็นเช่นนั้น ชายจากตะวันออกก็ทนต่อไปไม่ได้   เพราะเขาเองก็เชื่อใจว่าสหายทั้งสองคนไม่มีทางฆ่าเพื่อนตัวเองลงได้แน่ และเขาก็ทนดูไม่ได้หากสหายทั้งสองจะฆ่าฟันกันเอง  เขาจึงตัดสินใจจบการทะเลาะนั้นด้วยการโกหกว่า ที่จริงแล้วเขาเป็นฆาตกร   ก่อนจะจบชีวิตตัวเองให้สิ้นสุดเรื่องราว”

   เกิดความเงียบที่หน่วงหนักจนกดทับแทบหายใจไม่ออกอยู่ในห้องนั้น

   “ถ้าพวกเจ้าเห็นคัมภีร์มีค่ามากกว่ามิตรภาพ พวกเจ้าก็เอามันไปเสียเถิด  ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว  เพราะข้าไม่เคยเห็นสิ่งอื่นใดมีค่ามากกว่ามิตรภาพของพวกเราเลย ...ชายจากตะวันออกกล่าวไว้เช่นนั้นก่อนที่จะจบชีวิตลง   นั่นเป็นประโยคที่ทำให้สหายทั้งสองได้สติคืนมา และกลับมาเชื่อใจกันเพื่อตามหาฆาตกรตัวจริงอีกครั้ง

   จนในที่สุด ปริศนาก็ถูกไขกระจ่าง ...แท้จริงแล้วในคืนนั้น ชายผู้ตายได้พาสตรีนางหนึ่งมาร่วมหลับนอนด้วย  โดยหารู้ไม่ว่าสตรีนางนั้นได้วางยาเขา แล้วขโมยคัมภีร์ไป   ก่อนจะสิ้นใจเขาตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อเห็นว่าคัมภีร์กำลังถูกขโมยเขาก็เข้าสู้กับหญิงนางนั้น แต่ก็ต้องพ่ายแพ้เพราะพิษยา

   เมื่อสหายทั้งสองได้พบความจริงว่าฆาตกรไม่ใช่หนึ่งในพวกเขา และความไม่ไว้ใจก็ได้ทำให้เพื่อนคนหนึ่งต้องตายเพียงเพื่อให้พวกเขาได้สติ เท่ากับว่าพวกเขาได้ทรยศต่อมิตรภาพเสียแล้ว”   หยาโจวเม้มปากแน่น เงียบอยู่นานก่อนจะจบเรื่องราวด้วยประโยคสุดท้าย  “ชายทั้งสองจึงยอมปล่อยคัมภีร์ไป และตัดสินใจชดใช้ด้วยชีวิตตามคำสาบาน...”

   เรื่องราวจบลง ทั้งสามนิ่งเงียบ จมอยู่ในห้วงความคิดของตน

   “วิญญาณของทั้งสี่จึงได้ไปเกิดเป็นเทพมังกร ควบคุมนภาสี่ทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก... ชาวเมืองหลวงในซานหลงจึงมักทำรูปปั้นมังกรไว้บนหลังคาหันหน้าออกทั้งสี่ทิศอย่างไรล่ะ”

   ความเงียบเกาะกินจิตใจอีกครั้งหนึ่ง

   เนิ่นนาน  ก่อนที่หยาโจวจะเอ่ยขึ้นมาอีกครา

   “ถ้าข้าตาย... พวกเจ้าจะทำภารกิจให้เสร็จไหม”

   หลินไน่รีบเงยหน้าขึ้นมอง ไม่คิดว่าเพื่อนจะถามเช่นนี้

   “อย่าพูดอะไรให้เป็นลางสิ เจ้าโง่!”

   “ข้าก็แค่ถามดู ...เพราะข้าอยากรู้ว่ามิตรภาพของข้ามีค่าต่อพวกเจ้าไหม”

   สหายทั้งสองนิ่ง ...หน้าชาเสียยิ่งกว่าถูกหยาโจวชกด้วยกำปั้นของตัวเอง

   เจ็บลึกลงไปถึงกลางใจ ความเจ็บนั้นจะเรียกว่าความรู้สึกผิดก็คงได้

   “มีสิ... หยาโจว”

   “มีเสมอแหล่ะ เจ้าโง่”

   ชายร่างผอมเงยหน้ามองสองสหาย ...เผลอยิ้มเศร้าให้กับคำตอบนั้น





----------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 10 เทพมังกรนภา]
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 11-08-2013 15:28:55
หงฟี่จะทำยังไงต่อไปนะนั่น รู้แบบนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 11 ลุ่มหลงในมายา]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 11-08-2013 22:55:31
บทที่ 11 ลุ่มหลงในมายา




   ภายใต้แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ลอดผ่านร่มไม้มารำไร  ในศาลาเรือนน้อยริมสระน้ำที่เก่า วันนี้กลับมีสมรภูมิแห่งความเงียบดำเนินอยู่ภายใน

   ขยับเพียงสองก้าว ม้าสีดำที่ถูกขัดขาอยู่ก็ถูกม้าสีแดงกินไปอย่างง่ายดาย

   “วันนี้ท่านดูเหม่อลอยนะขอรับ”

   เป้ยหมิงเก็บม้าของอีกฝ่ายมาอยู่ฝั่งตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามจากกระดานสมรภูมิตรงหน้า    ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะยังไม่รับรู้เสียงที่เข้ามาในโสตประสาทเลยด้วยซ้ำ

   ถูกแล้วหากอาคันตุกะจากต่างแคว้นจะกล่าวเช่นนั้น เพราะจนถึงวินาทีนี้จิตใจของต้าอ๋องก็ยังคิดวกวนจนพาลเหม่อลอยอยู่ไม่สร่าง  เนื่องด้วยคำพูดที่องครักษ์กับหัวหน้านางรับใช้พูดกับตนเมื่อคืนวานยังคงแจ่มกระจ่างชัดอยู่ในใจ

   แม้จะไม่ได้อยากเก็บมาครุ่นคิด แต่หงฟี่เองก็อดหวนนึกถึงคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ ...หลี่ไป๋กับติ๋วซื่อไม่เคยคิดร้ายกับเขา ทุกการกระทำของทหารหนุ่มมีเพียงความซื่อสัตย์และการตอบแทนพระคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้ และทุกการกระทำของสตรีสูงวัยก็เต็มเปี่ยมด้วยความห่วงใยต่อเขา มันจึงทำให้เขาทำใจโกรธข้ารับใช้ทั้งสองคนนี้ไม่ลง

   แต่ในขณะเดียวกัน จะให้เขาเชื่อว่าคนอีกคนที่เขาอุตส่าห์หลงไว้ใจอย่างตั่วหยางแท้จริงแล้วต้องการจะปลิดชีวิตตน   ...เขาก็เชื่อไม่ลงเช่นเดียวกัน

   “ท่านต้าอ๋อง”

   พลันนั้นเขาก็ถูกฉุดออกจากภวังค์

   เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นองค์รัชทายาทกำลังรอคอยการเดินหมากของเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ

   “ข้ามีเรื่องให้ต้องคิดมากน่ะ”  ว่าแล้วหงฟี่ก็ขยับเรือรุกหน้าไปอีกหนึ่งก้าวโดยไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย   “และข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่ค่อยชอบเล่นหมากรุกเท่าใดนัก”

   “ข้าว่าหมากรุกน่าสนใจออกนะขอรับ...” เป้ยหมิงยิ้มน้อยๆ พลางขยับหมากของตนในเขตแดนฝ่ายตรงข้ามไปอีกหนึ่งก้าว

   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป้ยหมิงเล่นหมากรุกของแคว้นทางใต้ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ประมือกับคู่ต่อสู้สูงศักดิ์เช่นนี้  และด้วยความที่คิดไปเองว่า อ๋องผู้ครองแคว้นน่าจะมีฝีมือและตรรกะเฉียบคมจนเขาเอาไม่อาจเล่นได้สูสี เลยทำให้เขาประหลาดใจว่า ทำไมคู่ต่อสู้ถึงได้ปล่อยให้เขารุกล้ำเข้าไปในฝั่งของตนเองได้ขนาดนั้น แม้ว่าเขาเองจะพลั้งพลาดเสียหมากไปด้วยความประมาทบ้างก็ตาม

   หงฟี่ไม่ตอบ ดูเหมือนว่าเขาจะกลับเข้าภวังค์ของตนเองไปอีกครั้งแล้ว  องค์รัชทายาทจึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

   “ข้าได้ยินมาว่า คืนพรุ่งนี้จะมีงานเทศกาลฉลองการสถาปนาแคว้นหรือขอรับ”

   ต้าอ๋องมองกระดานสี่เหลี่ยมนิ่ง ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าที่เขาจะขยับหมากและริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยคำ  “ใช่ ...ท่านก็คงต้องไปร่วมงานด้วยสินะ”

   “มันเป็นงานเช่นไรหรือขอรับ”

   เป้ยหมิงพยายามหาเรื่องสนทนาไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้กลับสู่ห้วงความคิดของตนเอง

   “ก็เป็นงานรื่นเริงประจำปีน่ะ ชาวบ้านก็จะประดับตกแต่งบ้าน มีการปิดถนนเพื่อมาขายของ มีนาฏศิลป์ มีการแสดง เหมือนกันทุกปีนั่นแหล่ะ”

   “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็คงไปทุกปีสินะขอรับ”

   หมากอีกตัวเดินทางอย่างเงียบๆ

   “ที่จริงเขาไม่ให้คนในราชวงศ์ออกไปเดินเที่ยวเองได้ตามใจชอบหรอกนะ แต่ตอนเด็กๆข้ากับพวกท่านพี่ก็แอบออกไปเที่ยวดูหลายครั้งแล้ว”

   หงฟี่เล่าราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ   แต่มันทำให้เป้ยหมิงอดจินตนาการถึงภาพกลุ่มเด็กชายแสนซนที่แอบหนีออกจากวังไปเที่ยวไม่ได้

   “แล้วท่านไม่ถูกจับได้หรือขอรับ”

   “ก็ถูกจับได้บ้าง บางครั้งก็ไม่ได้ ...แต่ถ้าข้าแอบหนีออกไปอีกตอนนี้ ก็คงไม่มีใครออกมาตามข้าอีก เพราะข้าก็ไม่ใช่เด็กแล้วนี่นะ”

   หมากองครักษ์ของหงฟี่ขยับเฉียงมากันหน้าขุนศึก เมื่อเห็นว่าม้าของอีกฝ่ายเริ่มเข้ามาประชิด   ...และพอขยับหมากองครักษ์ หงฟี่ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าจริงๆก็คงมีคนๆหนึ่งที่คงมาตามเขากลับไป

   “คงเว้นแต่หลี่ไป๋กระมัง”

   พอพูดจบเป้ยหมิงก็เหมือนจะสะดุ้ง แต่ก็ยังคงเก็บอาการไว้ได้ทัน  ทำให้เขาได้แต่ยิ้มจางๆแก้เก้อกลับมา “ท่านนี่น่าอิจฉานะขอรับ มีองครักษ์ที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีเช่นนี้”

   ม้าขยับเข้ามาใกล้ กระโดดข้ามเข้ามาในเขตวัง

   “งั้นหรือ? ถ้าอิจฉาข้า งั้นก็เอาไปเลยสิ”

   เป้ยหมิงชะงัก คิดว่าตนคงหูฝาดไปแน่แท้

   เรื่องอะไรที่อ๋องแห่งแคว้นตรงหน้า จะยอมยกทหารอารักขาที่จงรักภักดีต่อตนเองสุดหัวใจให้ผู้อื่นง่ายๆ?   มันทำให้สติที่หนักแน่นของเป้ยหมิงถึงกับวูบไหวโดยไม่ได้ตั้งใจ

   “ท่านคงไม่ได้พูดจริงใช่ไหมขอรับ”

   “อ้าว ข้าก็พูดจริงสิ”

   เป้ยหมิงรู้สึกสับสน ตรรกะทั้งหลายถูกกวนจนตะกอนลอยฟุ้ง

   เพื่อพิสูจน์ดูว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือไม่ เขาจึงลองทดสอบดูกับหมากครานี้ ...หากอีกฝ่ายยอมแพ้เมื่อม้าของเขากินหมากองครักษ์ไปได้ คำพูดเหล่านั้นคงมิใช่คำโกหก   เพราะว่าองครักษ์มีหน้าที่พิทักษ์ขุนศึกอย่างสุดความสามารถ ไม่มีทางที่ขุนศึกผู้เป็นหน้าด่านสุดท้ายจะอยู่รอดได้หากไม่มีใครปกป้อง...

   องค์รัชทายาทตัดสินใจเดินหมากสองจังหวะตามลักษณะม้า พลันองครักษ์ก็ถูกกลืนหายจากหน้ากระดานไป

   “ท่านยินดีจะเสียองครักษ์ของท่านให้ข้าจริงๆหรือ?”

   หงฟี่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างพึงพอใจ ราวกับไม่ยินดียินร้ายกับคำถามนั้น

   “แน่นอน... เพราะถึงข้าเสียไปแล้ว ท่านก็แพ้อยู่ดี”

   คิ้วเป้ยหมิงพลันขมวดมุ่น ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยมา

   “หมายความว่าเช่นไรหรือขอรับ”

   “ท่านแพ้แล้ว ท่านเป้ยหมิง” หงฟี่ตอบคำ ก่อนจะเดินหมากปืนใหญ่ที่ซ่อนอยู่หลังช้างที่ถูกขัดขาอยู่  เพียงแค่หนึ่งก้าวกระโดดข้ามช้างไปเท่านั้น ขุนศึกของเป้ยหมิงก็ถูกเก็บหายจากกระดานไป

   เป้ยหมิงตกตะลึง... คาดไม่ถึงว่าจะพลาดท่าพ่ายแพ้ได้ง่ายๆถึงเพียงนี้

   คงเป็นเพราะว่ามัวแต่คิดฟุ้งซ่านเสียจนประมาท ไม่ทันสังเกตเลยว่าปืนใหญ่ของอีกฝ่ายข้ามมาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไร อาจจะซ่อนอยู่หลังหมากอื่นรอเวลาเอาชนะมานานแล้วก็เป็นได้

   และแล้วเขาก็เข้าใจคำพูดของหงฟี่ขึ้นมาโดยพลัน

   “ถ้าเช่นนั้นท่านก็หมายถึงหมากองครักษ์?”

   “ใช่”  สายตาเย็นชาที่เห็นมาตลอดนั้นดูเหมือนจะบันเทิงใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นลอยๆ  “แต่ถ้าท่านหมายถึงหลี่ไป๋ล่ะก็ ...ท่านก็ลองไปถามเขาเองก็แล้วกัน”

   เป้ยหมิงหน้าชา รู้สึกอับอายที่โดนจับได้เสียจนพูดไม่ออก เลยได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนความฟุ้งซ่านกับตัวเองแต่เพียงเท่านั้น

   ทว่าไม่นานนักเฉินซื่อก็ก้าวเข้ามาในศาลาร่ม   ข้ารับใช้คนสนิทก้มหัวคำนับเจ้าครองแคว้นซานหลง ก่อนจะหันมากระซิบกับเจ้าเหนือหัวของตนเอง

    “ข้าคงต้องไปเสียแล้ว มีสาสน์ส่งมาจากแคว้นของข้า” ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะก้มหัวให้ “หวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้ประฝีมือกันอีกในไม่ช้านะขอรับ”

   “เช่นกัน” หงฟี่พูดเสียงกระด้าง แต่ก็ยังไม่ลืมมารยาทในตอนท้าย “อ้อ ขอให้ท่านสนุกกับงานของแคว้นเราในคืนพรุ่งนี้”

   “ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น” เป้ยหมิงยิ้มตอบด้วยไมตรี  ก่อนที่เขาจะประหวัดนึกถึงหัวข้อเดิมขึ้นมาได้อีกครั้ง “...แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าหากท่านปรารถนาจะละทิ้งความกังวลใจใดๆ   บางทีการย้อนกลับไปนึกถึงวัยเด็กก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนัก”

   ต้าอ๋องมองหน้าคนพูดนิ่ง วินาทีนั้น เขารู้สึกไม่ต่างจากขุนศึกที่ถูกรุกรานเข้ามาในวังบนกระดาน  แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด

   “นั่นสินะ มันก็คงเป็นความคิดที่ไม่เลว...”


...................................................................


   ภาพของสะท้อนของคันฉ่องตรงหน้าเขานั้น ...ไม่เหมือนตัวเองเลยสักนิด

   ถ้าจะให้เปรียบ นั่นน่าจะเหมือนนางสวรรค์เสียมากกว่า

   ด้วยใบหน้าที่คล้ายสตรีอยู่แล้ว เมื่อถูกแปลงโฉมอย่างจริงจังก็ทำให้ตั่วหยางแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ...โครงหน้าเรียวถูกแต่งแต้มจางๆ ร่างกายถูกซ่อนในชุดสตรีงดงามสีฟ้าสด เป็นผ้าไหมชั้นดีมีลายปักเถาดอกไม้อยู่ประปราย   ส่วนผมตรงยาวสีดำขลับก็กำลังถูกหวีสางเพื่อจะรวบให้เป็นทรง  ทั้งหมดล้วนเป็นอภินันทนาการจากหญิงชราเจ้าของโรงเตี๊ยมผู้ใจดีทั้งนั้น

   “วันนี้นัดเที่ยวกับใครไว้หรือจ๊ะ?”

   ตั่วหยางสะดุ้ง รู้สึกถูกจี้ใจดำจากคำถามนั้น

   “ก็... ไม่ใช่อะไรหรอกจ้ะ ข้าแค่อยากออกไปเที่ยว ในเมืองมีงานทั้งที...”

   “เจ้ามางานนี้ครั้งแรกสินะ” เสียงแหบเล็กเอ่ยถามเขายิ้มๆอย่างเนิบช้า ในขณะที่สองมือน้อยๆของยายก็คอยสางผมให้เขาไปด้วย “รู้ไหม นี่เป็นชุดที่ข้าโปรดปรานที่สุด ...เป็นชุดที่ข้าใส่มางานนี้ครั้งแรก”

   “จริงเหรอจ๊ะ”

   หญิงชรายิ้มน้อยๆ ดูท่าทางมีความสุขเมื่อนึกถึงความหลัง “ที่จริงข้าไม่ใช่คนเมืองหลวงหรอกนะ ข้าก็มาจากหมู่บ้านรอบนอกเหมือนเจ้านี่แหล่ะ”

   “จริงหรือ ข้าเพิ่งจะรู้”

   “ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจมาที่นี่ ข้าเคยคบกับชายคนหนึ่งที่อายุมากกว่าข้า ...เป็นชายที่ข้าคิดว่าข้ารักเขามาก คิดว่าเราจะหนีตามกันมาที่เมืองหลวง เพื่อมาเริ่มชีวิตด้วยกัน”

   ตั่วหยางเหลือบมองหญิงชราในกระจกเบื้องหน้า แววตาที่เริ่มฝ้าฟางของนางนั้นราวกับจมลงไปสู่ห้วงอดีตอันแสนไกล

   “แต่พอข้ากับเขามาที่นี่ มาเที่ยวงานนี้ครั้งแรกด้วยกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่างานเทศกาลในวันนั้นกลับทำให้ข้าได้พบเจอกับคู่แท้ตัวจริง ...ที่ไม่ใช่เขา”

   ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจ  “อ้าว ...ยายไม่ได้แต่งงานกับชายคนนั้นหรอกหรือ?”

   “โธ่! เปล่าเลย” หญิงผมสีดอกเลาหัวเราะอย่างเอ็นดู “ตอนแรกนั้นเรายังเด็ก ยังไม่รู้หรอกว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเป็นเช่นไร ...ตอนนั้นข้าอายุน้อยกว่าเจ้าหน่อยนึง แต่กลับคิดไปแล้วว่าตัวเองเจอรักแท้ ทั้งๆที่ข้าเพิ่งเจอเขาเป็นคนแรกเท่านั้น”

   หญิงแก่หยุดมองเส้นผมสีดำในมือของตน ราวกับถวิลหาความเยาว์วัยให้คืนกลับมาอีกครั้ง

   “พอเมื่อเวลาผ่านไป ข้ากับเขาก็รู้แล้วว่าความรู้สึกของเรามันไม่ใช่อย่างที่คิด ...ความรู้สึกที่พวกเรามีให้กันนั้นไม่ได้เกินเลยไปกว่าคำว่าห่วงใยฉันท์พี่น้องเลยแม้แต่น้อย  มันคือความห่วงหาอาทรอยากคอยช่วยดูแลเมื่ออีกฝ่ายกำลังต้องการเรา   และถ้าหากเขาได้เจอคนที่ดีกว่า เรากลับดีใจด้วยเสียอีก”

   “แล้วนั่นมิใช่ความรักหรือ”

   เจ้าของโรงเตี๊ยมยิ้มให้อย่างเอ็นดูอีกครั้ง

“ไม่ใช่หรอก ...ถ้าหากเป็นความรัก เจ้าจะไม่ได้รู้สึกห่วงหา แต่เจ้าจะรู้สึกโหยหา   ไม่ได้รู้สึกยินดีหากเขาจากเราไปมีชีวิตใหม่ แต่จะเจ็บปวดปางตาย” เสียงถอนหายใจนำมาก่อนที่ปิ่นปลายดอกท้อจะปักลงไปในมวยผมของเขา “...และถ้าเจ้าอยากรู้ว่าความรู้สึกที่เจ้ามีคือความรักหรือแค่ความห่วงใย   ก็ให้เจ้าถามตัวเองว่า เจ้าขาดเขาไปได้หรือไม่...

   ขาดเขาไปได้หรือไม่? คำถามนี้ราวกับไฟจี้ปลาบลงกลางใจ

   อดไม่ได้ที่จะย้อนถามตัวเองเช่นนั้น  เสี้ยววินาทีที่ได้ยินคำถาม ใจเขาก็พลันนึกถึงเด็กสาวผู้ร่าเริงที่รอเขาอยู่ที่หมู่บ้าน ...ป่านนี้ไหนจื่อจะเป็นเช่นไรหนอ จะรอคอยเขาด้วยหัวใจปวดร้าวหรือเปล่า

   แล้วเขาล่ะ? กำลังรอคอยที่จะได้กลับไปหานาง หรือลืมเรื่องราวของนางไปแล้วกันแน่?

   น่าแปลก ที่ผ่านมาเขากับนางไม่เคยต้องรู้สึกอย่างที่หญิงชราว่าเลยสักครั้ง หากจะทะเลาะกันก็ทะเลาะด้วยเรื่องเล็กน้อย ไม่นานก็ลืมเลือนกันไป  มีอะไรก็ช่วยเหลือกันมาเสมอ เหตุเพราะพัฒนามาจากความใกล้ชิดที่มีด้วยกันมานาน  แล้วยิ่งไหนจื่อเองก็อายุเท่ากับน้องสาวคนรองของเขา บางทีเขาอาจจะสับสนตีความไปได้ว่า ความห่วงหาอาทรที่ตนมีให้กับเด็กสาวนั้นมันลึกซึ้งเกินกว่าที่พี่น้องจะมีให้กัน

   ไม่ได้อยากจะยอมรับ แต่ถ้าถามเขาว่าหากไหนจื่อไปเจอใครที่ดีกว่าเขา เขาก็คงไม่รั้ง และหากนางตัดสินใจเช่นนั้นแล้วมีความสุข เขาก็คงได้แต่ร่วมยินดี…

   แต่ถ้าหงฟี่จะจากเขาไปล่ะ?

   แค่คิดเพียงวูบเดียว ความรู้สึกผิดก็ถาโถม ...เกลียดตัวเองเสียจนอยากจะควักมีดขึ้นมาแทงอกให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียตรงนั้น

   ชื่อของคนๆนี้ปรากฏขึ้นมาได้เช่นไร ในเมื่อเขาเองก็รู้ดีว่านี่คือเหยื่อที่ตนต้องสังหาร ไม่ใช่ว่าเขากำลังจะกลายมาเป็นเหยื่อเสียเอง  ทั้งโกรธทั้งเกลียดหงฟี่เหลือเกินที่กล้าเข้ามาเล่นกับจิตใจของเขา   ทำให้ชีวิตเขาปั่นป่วนไม่ยอมเลิกรา

   แต่ถึงแม้จะรู้ตัวดีขนาดนั้น เหตุใดเล่าชื่อนี้ถึงไม่ยอมลบหายไปจากใจ...

   มองออกไปนอกหน้าต่างไม้เก่าๆข้างตัว   ตะวันกำลังจะลับเหลี่ยมหลังคาบ้านน้อยใหญ่ ชักพารัตติกาลพร้อมแสงสีแห่งความรื่นเริงในคืนนี้ให้มาพร้อมกัน   ตั่วหยางกัดฟันหลับตาลงตั้งสติอีกครั้ง

   ในคืนนี้ เขาตั้งใจแล้วว่าหงฟี่ต้องสิ้นใจด้วยน้ำมือของตน

   “เอ้า ...เสร็จแล้วจ้ะ”

   เสียงแหบเล็กของหญิงชราเหมือนจะพูดกับเขาจากที่ไกลแสนไกล ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบกับภาพมายาที่สะท้อนกลับมาจากกระจกเงา

   ทรงผมวิจิตรที่หญิงชราประดิษฐ์ให้ดูงดงามตระการตา เมื่อมีปิ่นปักผมห้อยด้วยดอกท้อยิ่งทำให้ดูอ่อนช้อย   อาภรณ์ชั้นดีปกคลุมร่างเพิ่มสง่าราศี ประกอบกับใบหน้าเรียวเนียนเข้ารูป ดูไม่ต่างจากภาพวาดของศิลปินฝีมือเอก

   นี่สินะ ...หญิงสาวที่หงฟี่หลง เป็นหญิงสาวที่หงฟี่รัก

   พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หยาโจวผลักบานไม้เปิดเข้ามาเบาๆ

   “ตั่วหยาง เตรียมตัวเสร็จหรือยัง”

   คนถูกถามนั่งนิ่งไม่ตอบคำ มีแต่หญิงชราที่ตอบให้แทน

    “เสร็จแล้วจ้ะพ่อหนุ่ม”

   ได้ยินดังนั้น ชายในอาภรณ์สตรีก็รู้ตัวว่าได้เวลาแล้ว ตั่วหยางลุกขึ้นมาประจันหน้าสหายรักช้าๆ   หยาโจวได้แต่มองเพื่อนรักจากหัวจรดเท้าอย่างตกตะลึง เนิ่นนานกว่าที่จะได้สติเดินเข้ามาหา

   ในมุมที่หญิงชรามองไม่เห็น หยาโจวหยิบมีดสั้นให้แก่เพื่อนโดยไม่มีคำพูดจา

   หญิงสาวที่เป็นภาพมายาในกระจกเงารับมีดสั้นมาพร้อมกับเขา   ตั่วหยางนึกสมเพชตัวเอง เพิ่งจะเข้าใจว่าหงฟี่ไม่ได้รู้สึกใดๆกับเขาหรอก ต้าอ๋องเพียงแค่หลงมายาสตรีที่เขาแสร้งสร้างขึ้นมาเป็นอาภรณ์สวมใส่ตนเท่านั้น…

   และคืนนี้ต้าอ๋องต้องจบชีวิตลง   ไม่ใช่เพราะหญิงที่ตนรัก  แต่ต้องจบชีวิตเพราะชายคนนี้

   นี่คือตั่วหยาง ...ชายหนุ่มที่หงฟี่ไม่รู้จัก เป็นชายหนุ่มที่มาเพื่อลอบสังหารเขา

   หงฟี่ไม่มีวันรักชายผู้นี้ลงหรอก ...ไม่มีวัน





โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 11 ลุ่มหลงในมายา]
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 12-08-2013 23:34:49
สงสารหงฟี่ แล้วจะทำยังไงต่อไปละนี่ :heaven
ตั๋วหยางอย่าฆ่าหงฟี่เลยนะ ซิกๆ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 12 เทพมังกรปฐพี]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 18-09-2013 21:18:10
บทที่ 12 เทพมังกรปฐพี



   ถนนที่เคยเงียบเหงา บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน และยังอบอวลไปด้วยความรื่นเริงชวนเพลิดเพลินใจ   ชาวเมืองมากหน้าหลายตาแข่งกันแต่งตัวมาเต็มที่ หนุ่มสาวได้มีโอกาสพบปะทำความรู้จักกัน เด็กๆวิ่งเล่นลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย ผู้สูงอายุถูกลูกหลานจูงมาเดินเล่นระลึกความหลัง ครอบครัวน้อยใหญ่ต่างก็ดูมีความสุขกับงานรื่นเริงครั้งยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้ง

   ทุกบ้านตามถนนประดับประดาสวยงาม เห็นควันธูปลอยอบอวลจากศาลเจ้าบรรพบุรุษ   ถ้าบ้านใดมีรูปปั้นมังกรประดับอยู่หน้าบ้านก็จะมีการทำความสะอาดและตกแต่งด้วยผ้าสีแดงสีทองเป็นพิเศษ มีโคมแดงส่องแสงห้อยระย้านำทางไปตามถนนราวกับมวลหมู่หิ่งห้อยสีแดงที่พร้อมใจบินมาเรียงเป็นแถวเดียวกัน

   และเมื่อเดินไปตามทางแสงโคมนั้น กลิ่นหอมหวนก็โชยมาแตะจมูก อาหารคาวหวานยั่วน้ำลายมากมายเสนอขายให้เดินกินเล่นอย่างพึงพอใจ ของปิ้งย่างเอย เกี๊ยวเอย หมั่นโถวเอย เกาลัดเอย   หรือแม้แต่ร้านบะหมี่ข้างทางที่ไม่ค่อยมีคนเหลียวแลก็ยังมีคนไปอุดหนุนกันคับคั่ง

   ไม่ใช่แค่กลิ่นที่สร้างบรรยากาศโอบล้อม แต่ยังมีสรรพเสียงนานาสร้างความเบิกบานใจ   นอกจากเสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องเรียกขายของแล้ว ยังมีซอพื้นบ้านบรรเลงจังหวะสดใสชวนให้ฝ่าเท้าร้องเรียกอยากจะออกมาเต้นรำ ทั้งเสียงเด็กวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวร้องขอขนมจากบิดามารดาที่เคยเห็นว่าน่ารำคาญก็กลับกลายเป็นฟังดูน่าเอ็นดูไปเสียอย่างนั้น

   และถ้าเดินมาตรงลานโล่งเกือบสุดถนน อีกเสียงหนึ่งที่จะได้ยินก็คือเสียงดนตรีแปลกหู ดูเป็นทางการกว่าดนตรีข้างถนนที่เพิ่งเดินผ่านมา และเมื่อเข้าไปใกล้ๆก็พบว่าเสียงนั้นคือเสียงดนตรีประกอบการแสดงบนเวทียกพื้น มีผู้ชมเข้าไปนั่งดูกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

   ตั่วหยางหยุดมองดู ด้วยความที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้ดูการแสดงของเมืองหลวงเลยสักครั้ง

   ฉากเบื้องหลังเวทีเป็นภาพวาดของเมืองบาดาลที่งดงามตระการตา ชายที่แสดงอยู่บนเวทีสวมหน้ากากสีทองอร่าม เข้ากับชุดสีทองสูงศักดิ์ที่ประดับประดาเต็มยศ ดูก็รู้ว่าไม่ได้แสดงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา...  บนเวทีนั้นเขาแสดงท่าทีร่ายรำเกี้ยวหญิงงามที่ใบหน้าเปล่าเปลือยไร้หน้ากาก เห็นสีสันที่แต่งแต้มบนใบหน้าของนางแสดงถึงความพึงพอใจในการเกี้ยวพาราสีในครั้งนี้   แม้จะไม่มีคำเอื้อนร้องใดๆแต่ก็เข้าใจได้ว่าฉากนั้นจบลงด้วยการแต่งงานของทั้งคู่

   เมื่อฉากการแต่งงานจบลง ชายหน้ากากทองก็ออกจากฉากไป เหลือให้นางร่ายรำอยู่ลำพัง   เพียงพักเดียวชายอีกคนก็แหวกม่านเข้ามาหานางอย่างเงียบๆ... เขาสวมหน้ากากที่วาดลวดลายเหมือนชายคนแรกไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่สีหน้ากากและเครื่องแต่งกายกลับเป็นสีเงิน  นางหันไปสังเกตเห็นเขา และดนตรีก็กลับมาเล่นเป็นเพลงเกี้ยวพาราสีอีกครั้ง

   กลายเป็นว่านางกลับมาร่ายรำตามคำเกี้ยวพาของชายคนที่สองด้วย... ทั้งๆที่นางก็แต่งงานกับชายคนแรกไปแล้ว   มันทำให้ตั่วหยางนึกหวาดหวั่นกับสเน่ห์ของสตรีขึ้นมาครามครัน

   “ความงามนั้นฆ่าบุรุษได้...”

   ตั่วหยางสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มกระซิบอยู่ใกล้หู   เกือบลืมตัวเผลอป้องกันตัวไปแล้วหากไม่ได้หันไปมองว่าผู้พูดเป็นใคร

   “...ซึ่งข้าก็คงจะตายด้วยความงามของเจ้า”

   และผู้ที่จะกล่าวชมเขาด้วยคำชมหวานดุจยาพิษนี้ได้ ...ก็มีแต่หงฟี่เท่านั้น

   ในวินาทีแรก เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้านี้จะเป็นคนที่เขารู้จัก ด้วยเพราะติดภาพลักษณ์ที่ว่า ต้าอ๋องมักจะปรากฏตัวด้วยอาภรณ์หรูหราเต็มยศเสมอ แม้แต่ยามไปขี่ม้ากันที่ชายหาดหงฟี่ก็ยังใส่ชุดรัดกุมไม่เคยปล่อยตัวตามสบายเลยสักครั้ง   แต่ไม่ใช่คราวนี้ ...ต้าอ๋องที่เขารู้จัก กลับสลัดลาภยศออกเหลือเพียงชายธรรมดาเท่านั้น

   ชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มรวบสาบเข้าหากันด้วยการมัดเอวอย่างหลวมๆ   ทรงผมที่มัดรวบเป็นมวยสูงมาตลอด วันนี้กลับมัดเพียงครึ่งศีรษะ ไม่มีอาวุธ ไม่มีเครื่องประดับใดๆติดตัวเลยสักชิ้น  ดูเผินๆแล้วคล้ายชายหาปลาธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น

   “ท่านต้า-”

   พลันนิ้วชี้เอื้อมมาแตะที่ริมฝีปากเขา

   “เรียกข้าว่าหงฟี่เถอะ ข้าไม่อยากให้ใครรู้”

   ตั่วหยางพยักหน้าอย่างว่าง่าย  เป็นชั่ววูบที่เขาเองก็ผ่อนคลายเสียจนลืมจุดประสงค์ในคืนนี้เสียสิ้น

   “เจ้ามารอนานหรือยัง ข้าตามหาเจ้าอยู่นานเลยทีเดียว”

   “ก็ไม่นานมากหรอกเพคะ”

   หงฟี่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปมองการแสดงบนเวที  เนิ่นนานที่เขาไม่พูดอะไรอีก  ...บนเวทีตอนนี้ชายชุดทองกลับเข้าฉากมา จับการคบชู้ที่เกิดขึ้นได้คาหนังคาเขา

   “เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงพี่ชายของข้า...”

   หงฟี่พึมพำเสียงต่ำ เมื่อตั่วหยางหันไปมองก็พบว่าเขาจับจ้องอยู่ที่การแสดงบนเวทีนั้นราวกับเห็นคนแสดงทั้งสองคือพี่ชายของตนเสียเอง

   “จริงหรือ เรื่องราวมันเป็นเช่นไรเพคะ”

   ต้าอ๋องหลุดจากภวังค์หันมามองหน้าเขา  เมื่อเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้นั้นแล้วจึงดึงมือสาวงามให้ลงมานั่งบนม้านั่งไม้ด้วยกัน  ก่อนจะกระซิบเล่าเรื่องย่อให้ได้ยินแค่สองคน

   “เป็นตำนานแห่งเทพมังกรปฐพี... แคว้นของเรานำตำนานนี้มาจัดการแสดงทุกปี  เรื่องเริ่มที่เทพมังกรปฐพีแบ่งให้โอรสสองคนช่วยกันปกครองบ้านเมือง ผู้พี่ได้ครองเมืองบาดาล ผู้น้องได้ครองเมืองมนุษย์”

   ชายทั้งสองบนเวทีที่ร่ายรำปะทะกันด้วยความกราดเกรี้ยวนั้นต้องเป็นสองพี่น้องเป็นแน่

   “แต่แล้วเมื่อเทพผู้พี่ได้รับหญิงงามจากเมืองมนุษย์ให้มาเป็นชายา กลายเป็นว่าเทพผู้น้องก็ต้องใจนางและแย่งชิงนางมาไว้เป็นของตนเช่นเดียวกัน...”

   นั่นย่อมเป็นฉากที่เขาเพิ่งได้รับชมไป หงฟี่ไม่พูดอะไรอีก และเมื่อเขาหันไปมองหน้า  อีกฝ่ายถึงตอบกลับมาเบาๆ

   “ตอนจบเจ้าดูเองจะดีกว่า...”

   ตั่วหยางจึงหันกลับไปรับชมการแสดงตรงหน้าอย่างว่าง่าย   ฉากแห่งการปะทะจบลง ชายทั้งสองลงจากเวทีไป คั่นด้วยดนตรีบรรเลงอันยาวนาน ก่อนที่ทั้งสองกลับขึ้นมาอีกครั้ง

   เพียงแต่คราวนี้ สองพี่น้องเปลี่ยนชุดเป็นชุดศึก ดูได้จากธงที่ปักอยู่ด้านหลังชุดที่ทำให้ดูน่าเกรงขาม ก่อให้เกิดเป็นฉากอลังการน่าตื่นตา   ทั้งคู่ต่างพาทหารศึกมาเต็มกองทัพ  ฝ่ายพี่ผู้ครองเมืองบาดาลพาสรรพสัตว์ในตำนานขึ้นมาสู้ ในขณะที่ผู้น้องก็พาทหารชาวมนุษย์มากรีทาทัพไม่ให้น้อยหน้า

   เสียงเพลงบรรเลงทวีความดุดันมากขึ้นทุกขณะ กลองดังกระหึ่มเป็นจังหวะราวกับเป็นกลองศึกปลุกใจเหล่าทหาร... นักแสดงบนเวทีพุ่งเข้าปะทะกันด้วยลีลาแข็งแกร่งงดงาม กระโดดกายกรรมฟาดฟันน่าตื่นตายิ่งนัก

   แต่แล้วบทสรุปของสงครามกลับจบลงที่ความสูญเสีย ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายสิ้น... ทำให้สองพี่น้องต้องออกมาเผชิญหน้า ฟาดฟันอาวุธกันน่าหวาดเสียวจนนึกสะเทือนใจ

   จนกระทั่ง... ชายชุดทองอีกคนก้าวขึ้นเวทีด้วยชุดกษัตริย์เต็มยศ มงกุฎที่ใส่ยิ่งใหญ่สะท้อนบรรดาศักดิ์สูงสุด มีเคราสีดำยาวจนเลยสะโพก หน้ากากบนใบหน้าเขียนลายด้วยสีดำดูดุดันราวกับโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา

   เพียงแค่เสียงร้องจากนักร้องข้างเวทีเพียงประโยคเดียว สองพี่น้องก็หยุดฟาดฟันกันทันที   เดาได้ว่านั่นคือเทพมังกรปฐพีผู้พ่อที่ปรากฏกายเพื่อหยุดศึกแห่งโศกนาฏกรรมนี้ นักร้องเปล่งวาจาก้องน่าเกรงขาม เป็นท่วงทำนองหนักแน่นเปี่ยมด้วยอำนาจ เสียงเพลงเร่งเร้าขึ้นดูกดดัน

   สองพี่น้องคุกเข่าลงรับการลงทัณฑ์ เทพมังกรปฐพีริบมงกุฎของทั้งสองไว้ เป็นการถอดอำนาจ และตัดสายใยจากเชื้อสายไปตลอดกาล

   ลูกชายทั้งสองก้มหน้านิ่ง จำใจจากลาเวทีด้วยความว่างเปล่า... เทพผู้พ่อไม่แสดงความหวั่นไหวใด ยกเว้นในแววตาเล็กจ้อยหลังหน้ากากที่ซ่อนความเสียใจไว้ลึกสุดห้วงหฤทัย   ยินเสียงเพลงร่ำร้องก้องกังวาน เปี่ยมด้วยพลังน่าขามเกรงจนคนฟังรู้สึกหนาวเยือก จับใจไปกับบทสรุปสุดท้ายที่นักร้องได้ฝากเอาไว้

   คำร้องสุดท้ายดังก้องยาวนาน ทิ้งให้ผู้ชมชาไปทั้งร่าง ก่อนที่ม่านสีแดงจะปิดลง

   เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้องยาวนานยิ่งกว่า เพียงแต่ว่าหงฟี่กลับไม่ขยับ...

   “หงฟี่... ไปกันเถอะ”

   ตั่วหยางขยับตัวเพียงนิดเดียวต้าอ๋องก็รีบคว้ามือเอาไว้... เป็นสัมผัสอันเครียดขึ้ง ที่ทำให้ผู้ที่ถูกจับมือชะงักนิ่งในความผิดปกตินั้น

   “ข้าถามอะไรเจ้าอย่างหนึ่งได้ไหม”

   ผู้คนที่นั่งชมการแสดงเมื่อครู่ต่างลุกออกไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงพวกเขาเพียงสองคนที่ยังนั่งอยู่บนม้านั่งที่เดิม บรรยากาศที่ตึงเครียดในตอนนี้ไม่แตกต่างจากการแสดงที่ได้รับชมเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

   “อ... อะไรหรือเพคะ”

   “ข้ารู้แล้ว ว่าเจ้าเป็นใคร และเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร”

   ดั่งมีอาวุธร้ายซ่อนตัวอยู่ในเสียงกระซิบพุ่งเข้าจู่โจมทิ่มแทง ตั่วหยางถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เลือดทั้งกายเย็นเฉียบ แต่หัวใจกลับเต้นรัวเสียจนเจ็บ ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะหาทางออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้

   และในชั่ววินาทีที่เงียบงันนั้น ตั่วหยางแอบเหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นเคยกำลังเดินตรวจตรามาทางพวกเขา เป็นบุคคลอันตรายที่จะนำพาสถานการณ์ในตอนนี้ให้แย่ลงยิ่งกว่า

   “...หลี่ไป๋”

   หงฟี่ตกใจกำลังจะหันหลังไปมองตาม แต่ตั่วหยางรีบดึงหน้าอีกฝ่ายให้หยุดสบตาอยู่ที่ตน

   “อย่าหันไปมองเพคะ ท่านอยู่นิ่งๆเถิด”

   ต้าอ๋องทำตามคำสั่ง  เขานั่งนิ่ง  ในขณะที่ตั่วหยางลดมือลง ค่อยๆเอื้อมลงมากอดแขนหงฟี่ที่วางอยู่ข้างตัว  พลางเหลือบมองหลี่ไป๋ที่นำทหารอารักขากระจายแยกตัวกันไปตามหาเจ้าครองแคว้น   ตั่วหยางหายใจเข้าลึกก่อนตัดสินใจซบหน้าลงบนไหล่ของคนข้างตัวช้าๆ

   เมื่อมองดูพวกเขาจากข้างหลังแล้ว แลดูเป็นคู่รักคู่หนึ่งที่ลักลอบใช้เวลาพลอดรักกันตามลำพังเท่านั้น

   “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร” ตั่วหยางกระซิบตอบ

   “เจ้ามาเพื่อลอบสังหารข้า... และเจ้าไม่ใช่คนที่ข้าคิดว่าเจ้าเป็น”

   “ไม่จริง ข้าจงรักภักดีต่อท่านเสมอ”

   ตอบกลับไปใจก็ปวดแปลบ... รู้ทั้งรู้ว่าโกหกไปอย่างหน้าไม่อาย  แต่มันเจ็บยิ่งกว่าที่อยากจะให้คำพูดเหล่านี้เป็นความจริง

   “พิสูจน์สิ”

   ทั้งสองสบตากันนิ่ง ยาวนาน  แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่ตั่วหยางเห็นว่าทหารของหงฟี่แยกย้ายหายไปหมดแล้ว   เขาถึงลุกขึ้น ดึงมือของหงฟี่ให้ลุกขึ้นตาม แล้วจูงมืออีกฝ่ายออกวิ่งไปสุดฝีเท้า

   ตั่วหยางไม่รู้จะพาหงฟี่ไปที่ไหน เมื่อพวกเขาลุกออกจากที่มั่นอันปลอดภัยแล้วก็แปลว่ากำลังเอาตัวเองเข้าเสี่ยงกับการโดนจับ    แต่ในวินาทีนี้ ในสายลมที่พัดผ่านใบหน้าเมื่อออกวิ่ง ในการลัดเลาะชาวเมืองมากหน้าหลายตา ในการกระโดดฝ่าวงผู้คนที่กำลังเต้นรำกับเพลงพื้นบ้าน... มันทำให้พวกเขาลืมความทุกข์ใจไปเสียสิ้น

   จนกระทั่งฝ่ากลุ่มเด็กๆที่วิ่งสวนมาจะไปดูดอกไม้ไฟ ตั่วหยางเห็นหลี่ไป๋ซุกซ่อนอยู่ในผู้คนที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาถึงได้ดึงมือหงฟี่เลี้ยวเข้ามาในตรอกที่ใกล้ที่สุด   แล้วทั้งสองถึงหยุดยืนหอบหายใจ คลุกเคล้าเสียงหัวเราะที่หลบหนีการตามจับได้อย่างหวุดหวิด

   ทั้งสองไม่มีคำพูดอะไรอยู่นาน จนกระทั่งตั่วหยางเงยหน้าขึ้น และได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น

   “หงฟี่... ท่านยิ้ม”

   คนฟังชะงักไปทันที แปลกใจตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้น... ในขณะที่คนตรงหน้าก็เผยสิ่งที่เคยไม่เคยเห็นเช่นเดียวกัน

   “เจ้าก็ด้วย...”

   อะไรบางอย่างอบอวลอยู่ในบรรยากาศเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปากถ้ำมังกรเหนือชายหาดในวันนั้น  ในความมืดมิดหลบเงาจากแสงโคม มีเพียงพวกเขาแค่สองคน ราวกับบนโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้ว

   “หงฟี่”

   “ไหนว่าเจ้าจะพิสูจน์...”

   ด้วยความรู้สึกลึกล้ำอันแรงกล้า ร่างกายตั่วหยางก็พุ่งเข้ากอดคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว   เป็นแรงผลักดันอันลึกลับที่อยากเหนี่ยวรั้งหงฟี่ไม่ให้จากไปไหนได้อีกเลยชั่วชีวิต  ตั่วหยางกอดร่างเบื้องหน้าเอาไว้แน่นราวกับปรารถนาให้ร่างทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

   “หากขาดท่านไป ข้าคงไม่รู้จะอยู่เช่นไร”

   หงฟี่ชะงักนิ่ง สองมือของเขาที่โอบตอบกลับมาหลวมๆกระชับแน่นขึ้น

   “บอกข้าสิ ว่าเจ้าจะไม่ทรยศข้า...” ต้าอ๋องเอ่ยคำกระซิบ “ว่าเจ้าไม่ได้มาเพื่อลอบสังหาร---”

   สองมือตั่วหยางที่โอบกอดอยู่พลันเลื่อนขึ้นดึงรั้งใบหน้าของเจ้าครองแคว้นให้โน้มลงมาหา ปิดปากที่พร่ำคำหวาดระแวงเหล่านั้นให้เงียบไปด้วยริมฝีปากของตัวเอง  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรดลใจให้เขาทำสิ่งนั้น รู้เพียงแต่ว่าเขาทนไม่ได้ที่จะต้องแบกรับความหวาดกลัวและความเกลียดชัง โดยเฉพาะจากคนๆนี้

   หรือจะเป็นความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเหวลึกของหัวใจก็ไม่รู้ได้

   หงฟี่เกร็งตัวอยู่ชั่วขณะ ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบกลับมาเช่นนี้  แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็หลงกลเชื่อสัมผัสหวานหอมนี้ไปทั้งใจ

   ไม่นานนัก สติอันเบาบางก็กลับคืนมาหาตั่วหยาง... ใจเต้นรัวจนแทบบ้า ไม่อยากจะเชื่อว่าทำอะไรลงไป   แต่พอผละใบหน้าออกมาแค่เพียงชั่วครู่  ถึงได้เห็นแววตาอันแข็งกร้าวเย็นชาของหงฟี่ที่แปรเปลี่ยนเป็นความโหยหา ปวดร้าวดุจกัน

   “หากนี่เป็นคำพิสูจน์ของข้า... ท่านยินดีจะรับมันไหม”

   หงฟี่เงียบ ไม่ตอบอะไร... ในความเงียบพวกเขาได้ยินเสียงดอกไม้ไฟที่ห่างไกลออกไปสุดคว้า เห็นเพียงแค่สีสันเป็นเงารางๆอยู่เบื้องหลังหลังคากระเบื้องสีเข้ม แต่หงฟี่กลับไม่สนใจแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง

   “ข้ายินดี...”

   แววตาของตั่วหยางเผลอวูบไหว... เปิดเผยตัวตนและความรู้สึกทั้งหมดออกมาโดยไม่รู้ตัว

   หงฟี่กระชับร่างเขาเข้าหาอีกครั้ง รู้ดีว่าการกระทำในครั้งนี้จะมิใช่การล่อลวง ไม่ใช่การหวั่นไหวทำตามอำเภอใจ   แต่เป็นสิ่งที่ทั้งสองเฝ้ารอมาเนิ่นนาน เป็นความเต็มใจที่จะทิ้งตัวตนทุกสิ่งสิ้น

   เป็นจุมพิตอันแสนหวาน และเป็นอ้อมกอดที่สัญญาว่าจะไม่ปล่อยกันและกันอีกแล้วชั่วกาล

   แต่ในสายตาของคนอีกคนในเฝ้ามองเงามืด   ภาพที่เห็นกลับระเบิดความคั่งแค้นเจ็บปวด รุนแรงเสียจนเมื่อเทียบกันแล้วเสียงดอกไม้ไฟอันกึกก้องช่างเงียบงัน...





โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 12 เทพมังกรปฐพี]
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 23-09-2013 17:36:35
จะยังไงกันนะนั่น
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 13 ราตรีอันเมามาย]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 29-09-2013 23:05:21
บทที่ 13 ราตรีอันเมามาย



   หลี่ไป๋ปวดหัวยิ่งนัก... นี่หงฟี่ก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว แต่ทำไมยังจะทำตัวคึกคะนองไร้ความคิดได้อยู่อีก ทั้งๆที่ก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ได้ปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย   และที่ยิ่งกว่านั้นคือหงฟี่น่าจะแอบหนีออกมากับนางรับใช้ตั่วหยาง เพราะไปสอบถามมาแล้วก็พบว่านางหายไปจากวังในเวลาเดียวกัน  ไม่เข้าใจเลยว่าหงฟี่จะยังไว้ใจนางผู้นี้อีกได้อย่างไรในเมื่อหลักฐานมากมายก็มัดตัวนางเสียขนาดนั้น

   พระมเหสีโหม่วซาสั่งให้เขารีบตามตัวหงฟี่กลับมาให้เร็วที่สุดแต่อย่าทำอะไรเอิกเกริก ด้วยว่างานเฉลิมฉลองการสถาปนาแคว้นในครั้งนี้ไม่ควรที่จะต้องถูกทำลายความสนุกสนานไป   ดังนั้นหัวหน้าทหารอารักขาอย่างเขาจึงไม่สามารถหยุดกิจกรรมใดๆของชาวเมืองเพื่อค้นหาตัวต้าอ๋องได้ นอกจากต้องส่งกำลังแทรกซึมเข้าไปตามหาอย่างเงียบๆเท่านั้น

   เสียดายที่บรรยากาศอันรื่นเริงสนุกสนานตามท้องถนนไม่ได้ซึมเข้าสู่จิตใจของหลี่ไป๋เลยแม้แต่น้อย

   หลังจากเดินหาประมาณครึ่งชั่วยาม ที่เวทีการแสดงก็เพิ่งจะเลิกราและไม่มีใครอยู่นอกจากคู่รักคู่หนึ่ง หลี่ไป๋ถึงตัดสินใจแยกย้ายทหารกลุ่มสุดท้ายที่เหลือ กระจายกำลังไปให้ทั่วงาน

   เขากำลังเดินตรวจอยู่ถึงบริเวณที่เหล่าเด็กน้อยกระจองอแงซื้อขนมจากชายชรา  เขาถึงเดินชนเข้ากับใครคนหนึ่ง

   “ท่านหลี่ไป๋?”

   ชายผู้ที่เรียกขานชื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากการแจกจ่ายขนมที่กว้านซื้อมาให้เด็กๆ ในรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมสุขนั้นทำให้หลี่ไป๋ประหลาดใจตามไปด้วย

   “ท่านเป้ยหมิง... ขออภัยขอรับ”

   “ท่านออกมาเดินตรวจตราหรือ”

   “มิใช่หรอกขอรับ ท่านหงฟี่หายตัวไป... คาดว่าน่าจะหนีมาเที่ยวที่งานนี้”

   ทหารหนุ่มคิดว่าปฏิกิริยาของเป้ยหมิงจะเป็นการตกใจและเป็นห่วงกับเหตุการณ์ใหญ่โตนี้ แต่ปรากฏว่าฝ่ายชายสูงศักดิ์กลับหน้าซีด ราวกับโดนจับความผิดได้คาหนังคาเขา

   “จริงหรือ...”

   “ขอรับ  ข้าต้องขอตัวก่อน”

   “ช้าก่อนท่านหลี่ไป๋”

   เสียงเรียกนั้นทำให้ชายทหารหมุนตัวกลับมารับฟังอีกครั้ง

   “คือ... จริงๆแล้วนี่น่าจะเป็นความผิดของข้า...” เป้ยหมิงดูอึกอัก “...วันก่อนที่ข้ากับท่านต้าอ๋องได้เล่นหมากรุกด้วยกัน ข้าสังเกตเห็นเขาไม่ค่อยจะรื่นเริงนัก ข้าเลยแนะนำให้เขาออกมาเที่ยวที่งานนี้ เผื่อจะทำให้เขารื่นเริงขึ้นมาได้บ้าง”

   จบคำนั้นแล้วทั้งสองก็เงียบไป  เป็นการสารภาพที่หลี่ไป๋ไม่คิดว่าจะได้ยิน แต่ก็ไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี

   “ทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของต้าอ๋องก็ไม่ปลอดภัยน่ะหรือขอรับ”

   “ข้าขออภัยจริงๆ ข้าลืมคิดไป”

   เป้ยหมิงเข้าใจดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูไม่พอใจ ซึ่งเขาก็ต้องยอมรับความผิดแต่โดยดุษณี ยิ่งรวมกับการที่ตนเป็นแค่แขกของแคว้นแล้วยังจะกระทำสิ่งไร้ความคิดเช่นนี้ ก็สมควรแล้วที่จะถูกตำหนิอย่างไม่น่าให้อภัย

   เพียงแต่ว่า... หลี่ไป๋กลับอึกอักอยู่ครู่เดียว ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกขอรับ   สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นท่านหงฟี่ที่ตัดสินใจเองอยู่ดี”

   “ขอให้ข้าร่วมตามหากับท่านด้วยจะได้ไหม”

   ชายทหารนิ่งอึ้งไปอีก พอความขุ่นเคืองมลายหายไปแล้วเขาก็พบว่าจริงๆตัวเองยินดีไม่น้อยที่ได้เจอกับคนๆนี้ และยิ่งการที่เขาไม่เคยมาเดินเที่ยวเลยสักครั้งเพราะมัวแต่ต้องอารักขาหงฟี่ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะใช้เวลาพักผ่อนกับเป้ยหมิงอย่างบอกไม่ถูก

   แต่ว่าเมื่อมีหน้าที่ค้ำคอ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นได้เพียงความเพ้อฝันที่เลือนรางเท่านั้น

   “แล้วพวกคนรับใช้ ทหารอารักขาของท่าน อยู่ที่ไหนหรือขอรับ”

   “ข้าคงพลัดหลงกับพวกเขาตอนแวะซื้อขนมให้เด็กๆกระมัง...  แต่ไม่ต้องห่วงหรอก คนจมูกไวอย่างเฉินซื่อ ครู่เดียวก็คงจะตามมาได้ทัน”

   เป้ยหมิงดูยิ้มๆ ไม่อนาธรร้อนใจราวกับเห็นเป็นเรื่องขบขันในขณะที่อีกฝ่ายไม่คิดเช่นนั้น

   “แต่การที่ท่านอยู่คนเดียว ก็มีโอกาสที่ท่านจะถูกลักพาตัวไปได้อีกนะขอรับ”

   คราวนี้ชายอาคันตุกะถึงกับเถียงไม่ได้ และเมื่อมาคิดดูแล้วหลี่ไป๋ก็ไม่มีทางออกอื่นใดในเมื่อเหล่าทหารของเขาแยกย้ายกันไปหมดแล้ว และเป้ยหมิงเองก็ไม่มีคนอารักขาอยู่ข้างกาย

   ชายทหารสูดหายใจเข้าออกลึก... อดคิดไม่ได้ว่าอยากจะใช้โอกาสนี้ถือวิสาสะทำในสิ่งที่ปกติเขาคงไม่มีวันทำ

   “ท่านเป้ยหมิง... คือ ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าขออนุญาต---”

   มือซ้ายของหลี่ไป๋ยื่นมารอคำตอบอย่างลังเลใจ   ดูท่าเจ้าตัวจะลังเลไม่กล้าเอ่ยปากขอ แต่คนฟังก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าชายตรงหน้าต้องการสิ่งใด

   เป้ยหมิงไม่รอให้จบประโยค ยื่นมือขวาของตนมาจับมืออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม

   หลี่ไป๋ถึงกับสะดุ้ง ทำตัวไม่ถูก ดูก็รู้ว่าเก็บอาการเขินเอาไว้ได้อย่างยากเย็น

   “คือ...เราจะได้ไม่หลงขอรับ”

   ชายร่างใหญ่พูดอุบอิบอยู่ในคอ ในขณะที่อีกฝ่ายบีบมือเขาตอบอย่างนึกเอ็นดู

   “ขอบคุณท่านมาก...”

   หลี่ไป๋พยักหน้ารับ ไม่พูดอะไรอีก... เป็นชั่วขณะที่เขามึนเมาเสียจนยอมรับว่าลืมไปสิ้น ว่าหน้าที่ของตนในขณะนี้คืออะไร

   แสงสีในงานรื่นเริงยังคงดำเนินต่อไป ชายสองคนที่เดินฝ่าผู้คนในงานก็เป็นเพียงแค่จุดเล็กๆจุดหนึ่ง  ยังคงออกเดินทางตามหาเจ้าครองแคว้นที่หายตัวไปอย่างไม่ย่อท้อ  ช่างเป็นเรื่องยากเย็นของหลี่ไป๋เสียเหลือเกินที่จะมีสมาธิกับการตามหาได้ เพราะเดี๋ยวสักพักจิตใจก็จะล่องลอยไปหาเจ้าของมือที่ตนจับอยู่เรื่อยๆ หักห้ามใจได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน

   ในขณะที่คนที่เดินอยู่ข้างๆก็แลดูมีความสุข คงไม่ใช่แค่เพราะตื่นตาตื่นใจกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่มันมีอะไรบางอย่างที่บอกหลี่ไป๋ว่าความสุขของเป้ยหมิงเองก็เกิดจากการได้อยู่กับเขา

   แต่เพียงไม่นานนัก ด้วยหางตาของเขาหลี่ไป๋ก็เห็นชายผู้หนึ่งที่คลับคล้ายคลับคลากับหงฟี่ลับหายไปอยู่ไหวๆ  เขาดึงมือเป้ยหมิงให้รีบเดินเร็วขึ้น คนข้างๆก็ยอมเร่งจังหวะขึ้นตาม   จนกระทั่งทั้งสองตามชายผู้นั้นได้ทัน แต่ทว่าเมื่อจับไหล่ให้ชายผู้นั้นหันมาก็พบว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่ตามหา

   ผู้ต้องสงสัยอีกรายหนีรอดไปจนได้...

   “ไม่เป็นไรหรอกท่าน เดี๋ยวก็เจอ...”

   เป้ยหมิงเอ่ยปลอบใจ ก่อนที่จะถูกคั่นด้วยเสียงเด็กๆเจี๊ยวจ๊าวท่าทางกำลังวิ่งมาทางพวกเขา  เสียงเล็กๆเหล่านั้นฟังจับใจความได้ว่าไปดูดอกไม้ไฟ และยังไม่ทันหลีกทางอะไรให้ก็มีร่างเล็กๆที่วิ่งชนขาพวกเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ส่งแรงให้คล้ายจะสะดุดเข้าใกล้กันยิ่งกว่าเดิม

   เป็นอะไรที่ไม่คาดคิด และนั่นทำให้ยิ่งพูดอะไรไม่ออก   นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ใกล้ชิดขนาดนี้ และมันกลายเป็นวินาทีที่หลี่ไป๋ลืมภารกิจทั้งหมดของตัวเองไปได้จริงๆ

   ช่างเป็นวินาทีสบตาที่ยาวนาน ก่อนจะได้ยินเสียงดอกไม้ไฟที่ห่างไกลออกไปสุดคว้า

   เป้ยหมิงละสายตา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำอันมืดสนิท  ซึ่งบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันแห่งประกายไฟที่ระเบิดขึ้นประปราย วาดลวดลายเป็นดอกไม้สวยงามจรรโลงใจ

   หลี่ไป๋เงยหน้าขึ้นมองตาม... ราวกับนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น เป็นครั้งแรกที่รับรู้ว่าโลกนี้งดงามเพียงใด

   และมีมือของคนข้างๆที่จับมือเขาแน่น มันทำให้วินาทีนี้สมบูรณ์แล้ว

   “ท่านเป้ยหมิง!...”

   หากเพียงช่วงขณะอันต้องมนตร์นี้ก็อยู่ได้ไม่นาน... ในเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นเบาๆ และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือข้ารับใช้คนเดิมของเป้ยหมิงนั่นเอง

   ชายร่างผอม ใบหน้าเสี้ยมแหลมดึงแขนองค์รัชทายาทเอาไว้อีกข้าง แต่เป้ยหมิงก็ยังไม่ปล่อยมือจากหลี่ไป๋ไป

   “ท่านหายไปไหนมา! พวกข้าตามหาท่านไปทั่วทั้งงานแล้ว---”

   “ข้าขออภัย”

   องค์รัชทายาทกล่าวตัดบทอย่างเรียบๆ เฉินซื่ออ้าปากจะตำหนิต่อแต่ก็ดันเหลือบหันไปเห็นมือของทั้งสองคนตรงหน้าที่จับกันไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน

   คนมองถึงกับสะอึก ลืมไปเสียหมดว่าจะพูดว่าอะไร

   “กลับเถิดท่าน ดึกแล้ว พรุ่งนี้ท่านยังมีงานต้องทำอีกมาก”

   “งานยังไม่เลิกเลย”

   ฟังดูก็รู้ว่าเป้ยหมิงกำลังดื้อเงียบ และด้วยฐานะที่สูงศักดิ์กว่ามันจึงทำให้ข้ารับใช้ยิ่งหงุดหงิดที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้   แต่จะให้หันไปบอกชายที่เขาไม่ไว้ใจให้ปล่อยมือจากนายของตน เขาก็ทำใจจะพูดด้วยไม่ได้เช่นกัน

   แต่ในสงครามสายตาอันเงียบงันนั้น ก็มีเสียงกระหืดกระหอบจากทหารชั้นรองอีกสองคนที่นำหน้าใครบางคนมา ร้องเรียกหลี่ไป๋ให้หันไปมอง และก็พบว่าพวกเขาเจอตัวการสองคนที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในครั้งนี้แล้ว

   หงฟี่เดินตามหลังทหารสองนายมาเงียบๆ สีหน้าเบื่อหน่ายที่ถูกจับได้  ในขณะที่มีนางรับใช้ตั่วหยางเดินมาข้างๆ ไม่ยอมสบตาเหล่าคนที่ยืนรออยู่เช่นเดียวกัน

   “ท่านต้าอ๋อง...” หลี่ไป๋ทักขึ้น

   “เอาเถอะ กลับกันได้แล้ว”

   ชายสูงศักดิ์ผู้ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากขอโทษใครกล่าวปิดเรื่องราวยุ่งเหยิงนี้ด้วยคำเพียงไม่กี่คำ ทหารองครักษ์คนสนิทที่คุ้นชินกับพฤติกรรมนี้แล้วก็ได้แต่นึกขำกับนิสัยเอาแต่ใจที่ไม่เคยเปลี่ยน แต่ก็ยังโล่งอกที่เจ้านายของตนปลอดภัย   เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงสู่สภาวะปกติแล้ว ก็คงต้องถึงเวลาที่เขาต้องปล่อยมือจากความทรงจำดีๆนี้ไปด้วย

   ขบวนของพวกเขาค่อยๆเคลื่อนทัพออกจากงานช้าๆ... มีเพียงการสบสายตาเพียงแวบเดียวเท่านั้นที่เป้ยหมิงคล้ายจะส่งคำขอบคุณมาให้  นั่นทำให้หลี่ไป๋ได้แต่เก็บไปหวังให้โอกาสดีๆแบบนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย


...................................................................


   จันทร์ยังคงลอยค้าง บัดนี้ชาวเมืองซานหลงเข้านอนกันหมดแล้ว

   บ้างยังคงมีเสียงรื่นเริงอยู่ไกลๆ เป็นเสียงร้องเพลงเมามายไม่ได้ศัพท์จากโรงเตี๊ยมใหญ่น้อยไม่ก็หอคณิกา   แม้ตั่วหยางจะไม่ได้ร่วมดื่มด้วย แต่เขากลับเข้าใจดีว่าความรู้สึกของคนเหล่านั้นน่าจะเป็นเช่นไร  คงจะตัวเบา จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ล่ะกระมัง

   คืนนี้เขาตั้งใจจะเอาชุดไปคืนให้แม่เฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วรีบแอบกลับเข้าวังก่อนรุ่งสาง   พรุ่งนี้จะได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม แล้วก็จะได้เจอกับหงฟี่อีก...

   คิดหวนถึงจุมพิตที่ได้รับ มันยังคงหวาน... นึกเสียดายว่าถ้าหากไม่ถูกทหารวังมาพบเข้า เขาก็คงจะเมามายกับจูบนั้นเสียจนหมดสติไปเป็นแน่

   รู้สึกตัวอีกทีเขาก็มาหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมที่ตนพักแล้ว... แปลกเพียงอย่างเดียวที่มีเงารางๆของชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าประตู ทำให้เขาต้องหยุดเท้าสังเกตการณ์อย่างระแวดระวัง   จนกระทั่งเงานั้นลุกขึ้นมาอาบแสงจันทร์ เขาถึงได้เห็นว่านั่นคือหนึ่งในสหายของตน

   “อ้าว... หลินไน่ ทำไมไม่เข้าไป---”

   “เจ้าสนุกไหม?”

   ตั่วหยางหยุดกึก ไม่เข้าใจว่าทำไมการแทรกมาเพียงคำเดียวของหลินไน่ถึงทำให้บรรยากาศทุกอย่างตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน
   “ก็... สนุกอยู่   นี่เจ้าน่าจะได้ดูการแสดงนะ ไม่เหมือนกับที่เราเคยเห็น...”

   “จูบกับไอ้หงฟี่น่ะ สนุกไหม?”

   สองตาเบิกโพลง หัวใจบีบแรงจนหยุดเต้นไปชั่วขณะ... นึกว่าจะสิ้นใจเสียแล้ว

   หลินไน่ก้าวเข้ามาใกล้อีก  ทำให้ยิ่งเห็นว่าแววตาที่จ้องกลับมาเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชัง เจ็บยิ่งกว่าถูกหอกแหลมทิ่มแทงทรมาน   บัดนี้คงไม่เหลืออีกแล้วกับคำว่ามิตรภาพ ไม่มีอีกแล้วคำว่าเชื่อใจ

   “หลินไน่...”

   “ทรยศพวกเราน่ะ สนุกไหม?”

   “ข้าไม่---”

   “นี่เจ้ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือ!” หลินไน่เผลอตัวแผดเสียงกร้าว “เจ้าทรยศต่อพวกเรา... ต่อหมู่บ้าน... ต่อตัวเจ้าเอง และต่อไหนจื่อ!”

   แค่ได้ยินชื่อของหญิงนางนั้นก็แทบทนไม่ได้

   “หลินไน่ ข้าไม่ได้นอกใจนาง---”

   “ข้าเห็นความรักในดวงตาของเจ้า!!!”

   ตั่วหยางชะงัก... ประโยคง่ายๆเพียงแค่นี้แต่กลับทำร้ายเขายิ่งกว่าตายทั้งเป็น

   คบกันมาตั้งแต่เล็กจนโตก็มีแค่หลินไน่คนเดียวที่ดูออกว่าความรู้สึกในนัยน์ตาของเขาคืออะไร... และด้วยประโยคเดียวกันนี้ก็เคยเป็นประโยคที่หลินไน่ทำให้เขารู้สึกตัวว่าตนชอบพอไหนจื่อ  หรือแม้แต่อีกหลายเรื่องที่ตัวเขาเองยังไม่รู้ ก็มีแค่หลินไน่คนเดียวที่มองเห็น

   ต่อให้เขาจะโกหกตัวเองแค่ไหน... แต่เขาก็ไม่เคยโกหกหลินไน่ได้เลย

   “ไม่จริง...” ปฏิเสธเสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรง “...ข้าไม่ได้รักหงฟี่”

   “เจ้ามันโกหกไม่ได้เรื่อง”

   “ข้าไม่ได้โกหก!  ข้าไม่ได้รักมันจริงๆ---”

   “งั้นก็พิสูจน์สิ!” หลินไน่ทะลักเสียงกร้าวออกมา “ไปฆ่ามันซะ! ถ้าหงฟี่ยังไม่ตายด้วยน้ำมือของเจ้า ...ก็อย่ากลับมาให้พวกข้าเห็นหน้าอีก!!!”

   ดั่งแผ่นดินทรุดพังทลายลงต่อหน้า... มิตรภาพขาดสะบั้น หมดหนทางเยียวยาอีกต่อไป

   หลินไน่ไม่กลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม เพียงแวบเดียวที่เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดใบหน้า ก่อนจะโดดหนีขึ้นบนหลังคาเห็นเป็นเพียงเงาดำจุดเล็กๆที่ค่อยๆหายไปในราตรี  ทิ้งให้ตั่วหยางทรุดลงกับพื้นอยู่ตรงนั้น แม้แต่จะเปิดประตูเข้าไปเจอหน้าหยาโจวครั้งสุดท้ายก็ยังไม่กล้า

   ความผิดพลาดในครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงทรมานยิ่งนัก เขาเอามิตรภาพสิบกว่าปีมาแลกกับความหวั่นไหวเพียงชั่ววูบ หลงเมามายกับสิ่งที่เผลอใจคิดไปว่าคือความรัก... แต่มันไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด

   ความเกลียดชังตัวเองกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา คงจะกัดกร่อนผืนดินหยดลงถึงโลกบาดาล

   มีทางเดียวเท่านั้น... ที่เขาจะแก้ไขความผิดพลาดในครั้งนี้






โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 14 คมมีดทรยศ]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 23-10-2013 14:05:12
บทที่ 14 คมมีดทรยศ



   แสงโคมเล็กจ้อยนำทางอ๋องแห่งแคว้นให้เดินเลียบไปตามชานไม้อันว่างเปล่า  ข้ามจากตำหนักใหญ่มาตำหนักตะวันออกที่ตัวเขาเองไม่เคยย่างกรายเข้ามา

   หลังจากคืนที่ได้หนีออกไปเที่ยวเล่นในงานฉลองการสถาปนาแคว้น วันต่อมาตั่วหยางก็เข้ามาหาเขาตอนที่มารินน้ำจัณฑ์ให้ พร้อมกระซิบสาสน์ที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยิน

   ...นางนัดเขาให้มาพบกลางดึกคืนนี้ที่ตำหนักตะวันออก บอกเขาด้วยน้ำเสียงเครียดขึ้งว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยด้วย  ขอให้เขามาพบตามลำพัง ไม่มีทหารใดติดตาม

   จะว่าเขาโง่หรือบ้าก็ได้ที่ยอมเชื่อใจหญิงนางนี้  ทั้งๆที่ทุกคนต่างก็เตือนเขาเป็นเสียงเดียวกันว่านางคือบุคคลอันตราย คือคนที่หมายจะลอบสังหาร หรือแม้แต่ยืนยันข้อเท็จจริงประหลาดที่ว่านางมิใช่สตรี

   วูบหนึ่งที่เขาหลงเชื่อ แต่จุมพิตหวานในคืนนั้นมันช่างล่อลวง ยึดทุกตรรกะและเหตุผลไปแล้วทั้งใจ

   ก้าวเท้าข้ามหัวมุมอาคารไปได้เพียงไม่กี่ก้าว แขนของใครบางคนจากความมืดก็ดึงเขาเข้ามาในห้องมืด หงฟี่ตกใจเกือบส่งเสียงร้องออกมา แต่แสงโคมที่สาดให้เห็นหน้าคนผู้นั้นก็เผยให้เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน

   “ตั่วหยาง!” หงฟี่หลุดเสียงกระซิบ “เจ้าทำข้าตกใจหมด...”

   “ขออภัยเพคะ”

   นางรับใช้หยิบโคมในมือเขาไปจุดโคมอีกสองดวงในห้อง  เมื่อความสว่างย่างกรายเข้ามาหงฟี่ถึงได้เห็นว่านี่เป็นหนึ่งในห้องต้องห้ามของวัง   ทุกสิ่งในห้องนี้เป็นสีแดงเพลิง ทั้งเสาไม้ที่ถูกทาสี กระดาษโคม โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ไม้ ขอบหน้าต่าง เรื่อยไปถึงแท่นบรรทมขนาดใหญ่กลางห้อง ทั้งผ้าปู หมอน ไปจนถึงม่านโปร่งบางที่ห้อยแขวนลงมารอบเตียงก็เป็นสีแดงเช่นเดียวกัน

   นี่คือห้องของเสด็จย่าของเขา รู้มาว่าท่านชื่นชอบสีแดงมากจนเสด็จปู่สั่งให้เปลี่ยนทุกอย่างในห้องนี้ให้เป็นสีแดง  และเมื่อเสด็จย่าของเขาจากไปแล้ว ต้าอ๋องสองรุ่นก่อนก็สั่งปิดตายห้องนี้ ห้ามใครเข้ามาอีกนับตั้งแต่นั้น

   แต่ดูท่าทางว่าจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดเสียก่อนแล้ว ทุกอย่างในห้องจึงยังดูสดใหม่เหมือนไม่เคยถูกปิดตายมาหลายสิบปี

   “เจ้ารู้จักห้องนี้ได้เช่นไร”

   ตั่วหยางเป่าโคมเล็กในมือให้แสงดับลง บัดนี้เพียงโคมเหนือแท่นบรรทมสองดวงในห้องก็พอจะทำให้เห็นทุกอย่างเป็นสีแดงสว่างได้แล้ว

   “นางรับใช้คนอื่นๆเขาพูดกัน ว่านี่คือห้องแห่งความรัก...”

   เอ่ยจบแล้วคนพูดก็ไม่กล้าสบตาเขา... มันทำให้คนฟังคิดเตลิดไปไกล เผลอห้ามใจไว้ไม่ได้

   “ตั่วหยาง...”

   “ข้ามีความลับจะสารภาพ”

   ตั่วหยางดึงมือเขาเข้ามาใกล้ พลันสายตาที่เงยขึ้นจับจ้องเขาก็พลันดูเครียดขึ้ง แฝงไว้ด้วยความกังวลแต่ก็เด็ดเดี่ยวอยู่ในที
   ...เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นตั่วหยางเป็นเช่นนี้

   “มีอะไรหรือ”

   “ถ้าท่านได้ฟังแล้ว กรุณาบอกข้ามาโดยตรง   หากท่านเกลียดชังข้า กลัวข้า ได้โปรดเอ่ยมา...”

   “เจ้าพูดอะไร?... ข้าไม่มีวัน---”

   “ข้าโกหกท่าน”

   ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด  หงฟี่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ มีแต่ความสับสนงุนงงมากกว่าจะเสียใจ

   “เรื่องอะไร?”

   “ทุกเรื่อง”

   หงฟี่ยังยอมให้อีกฝ่ายจับมือตนอยู่เช่นนั้น นิ่งรอฟังคำสารภาพอย่างทรมาน

   “ที่ท่านกล่าวว่าท่านรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร และข้ามาที่นี่เพื่ออะไร...”

   คนฟังเหมือนเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ... ตกใจกลัวว่าคำกล่าวหาของใครต่อใครจะเป็นความจริง เขาเตรียมตัวรับไม่ทัน หรือว่าเขาต้องจบชีวิตในคืนนี้?

   ตั่วหยางไม่พูดอะไรอีก... ในดวงตาของนางมีแต่ความเจ็บปวด แต่ก็ยังแน่วแน่ที่จะเปิดเผยความจริงต่อไป   ภายใต้แสงโคมแดงที่อาบไล้ นางปล่อยมือจากหงฟี่ช้าๆ แกะมวยผมออก ค่อยๆเอื้อมมือไปปลดผ้าคาดเอวของตนจากด้านหลัง แล้วเลื่อนมาปลดสาบเสื้อทั้งสองข้าง เผยให้เห็นสองหัวไหล่และแผ่นอกราบเรียบที่สะท้อนจังหวะหายใจ

   หงฟี่ร่างชา แต่ยังคงมองภาพเบื้องหน้าต่อไป... ตั่วหยางเอื้อมมือลงในสาบเสื้อด้านใน หยิบห่อผ้าเล็กๆสีดำออกมาวางบนพื้น ตามด้วยมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ปกติคงซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น

   มีดเล่มนั้นถูกวางลงบนพื้น ตามลงมาด้วยเสื้อคลุมที่ถูกปลดเปลื้อง   เผยทุกความลับไม่มีปิดบังอีกต่อไป

   “ทีนี้ได้โปรดบอกข้า   หงฟี่... ท่านรังเกียจข้าไหม”

   หงฟี่ยังคงยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นราวกับถูกสาป คนตรงหน้าที่เขาเคยคิดว่าเป็นสตรี เป็นคนที่เขาไว้ใจ บัดนี้กลับเผยแล้วว่าความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามทุกอย่าง... แต่ในคำสาปที่อาบไล้ในแสงสีแดงนั้น เหตุใดเขาถึงเห็นคนตรงหน้าช่างงดงาม เศร้าโศก สิ้นหวัง ตราตรึงอยู่ในใจไม่ต่างอะไรกับที่ได้พบเห็นเมื่อแรกพบ

   เส้นผมสีดำขลับยาวลงมาถึงสะโพก ผิวเรียบเนียนที่เผยสู่สายตายังคงดึงดูด ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นสตรีหรือเป็นบุรุษก็ตาม...

   หงฟี่ตัดสินใจไปเมื่อนานมาแล้ว

   “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ... ว่าข้าไม่รังเกียจ”

   ตั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งอย่างสับสน  คงจะนึกย้อนไปถึงวันที่ทั้งสองแข่งขี่ม้าเร็วที่ชายหาดด้วยกัน... แม้ว่าในครั้งนั้นหงฟี่จะตอบกลับไปอย่างหยอกล้อเล่น แต่ก็พบว่าข้อความนั้นไม่ได้บิดพลิ้วจากความจริงเลยแม้แต่น้อย

   “จริงหรือ?...”

   “เจ้ายังคงเหมือนเดิม ข้าก็ยังคงเหมือนเดิม... จะให้ข้าเปลี่ยนใจหรือ?”

   “ได้โปรด อย่า...”

   น้ำเสียงของตั่วหยางสั่นเครือจนหงฟี่รีบดึงตัวเข้ามากอดไว้   รู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจอีกฝ่ายที่ส่งผ่านเนื้อผ้าของตนมา   เป็นความใกล้ชิดที่เคยคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ชิดใกล้ถึงขนาดนี้ได้อีกแล้ว

   ...และครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยมือไป

    “หนีไปกันไหม” หงฟี่กระซิบพลางกำชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “แคว้นนี้ไม่ต้องการอ๋องอย่างข้า และข้าก็ไม่เคยต้องการจะเป็นอ๋อง... แต่ถ้าข้ายังต้องสวมมงกุฎนี้ เราก็คงไม่มีวันได้อยู่คู่กัน”

   ตั่วหยางเบิกตากว้าง... ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำเสนอข้อนี้

   “แต่...”

   “บอกข้าสิตั่วหยาง เพียงเจ้าเอ่ยปากบอกข้ามาแค่คำเดียว ไม่ว่าเจ้าอยากไปไหนไกลสุดโลกหล้า ข้าก็จะพาเจ้าไป”

   ทั้งสองสบสายตากันอยู่อย่างนั้น... สิ่งที่ตั่วหยางเห็นในดวงตาของเจ้าครองแคว้นคือความรักความโหยหาอันล้นใจ ท่วมทะลักลงมาในใจเขา จนคงไม่อาจปฏิเสธใจตนเองได้อีกแล้ว...

   วินทีนั้น เป็นตั่วหยางที่ดึงใบหน้าหงฟี่เข้ามารับจุมพิตลึกล้ำ คว้ากอดไว้แน่นราวกลัวว่าอีกฝ่ายจะสลายหายไปกลางอากาศ  เจ็บราวกับใจแตกออกเป็นเสี่ยงแต่ก็ถูกเติมเต็มในเวลาเดียวกัน  เขาค่อยๆดึงหงฟี่ให้โน้มลงมาหาจนแผ่นหลังของตนจมลงบนฟูก จะไม่มีการรั้งความรู้สึกอะไรอีกต่อไปทั้งนั้น

   ตั่วหยางยอมจำนน หลับตาลงดื่มด่ำกับความปรารถนา ผลาญทั้งราตรีให้สิ้นไป


...................................................................


   แสงอรุณสีทองอร่ามฉาบไล้แผ่นดิน แต่เมื่อแทรกม่านสีแดงเข้ามาแล้วก็กลายเป็นแสงสีแดงสด

 พาให้ตั่วหยางค่อยๆตื่นขึ้นจากนิทรา

   ทุกสัมผัสที่ได้รับนั้นยังคงชัดเจน...

   รอยจูบทั่วเรือนร่างราวกับจะทิ้งรอยไหม้เอาไว้ สัมผัสแกร่งดั่งเหล็กร้อนที่รุกรานเข้ามาเติมเต็มคล้ายจะประทับตราฝังลึก  และมันคงจะทิ้งรอยจารึกเอาไว้เช่นนั้นไปชั่วกาล

   ฝันของเขาถูกเติมเต็มแล้ว... ได้เวลาตื่นจากฝันแล้ว

   ตั่วหยางขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ เอื้อมมือลงไปหยิบมีดสั้นที่ทิ้งไว้ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อคืนขึ้นมา  ในตอนนี้จิตใจของเขาแน่วนิ่ง ความอ่อนแอหวั่นไหวทั้งหลายได้จบลงไปสิ้นแล้ว

   ถอดปลอกมีดของหยาโจวขึ้นมาพิจารณาใบมีดในแสงสีแดงสด   คราวนี้แหล่ะที่ทั้งสหาย ทั้งคนในหมู่บ้าน และผู้คนทั้งแคว้นจะไม่ผิดหวัง

   เขาตั้งใจไว้แล้ว หากเมื่อคืนคำตอบของหงฟี่เป็นอีกคำตอบหนึ่ง หากหงฟี่เกลียดชังเขา รังเกียจเขา เรียกให้ทหารเข้ามาจับเขาไว้ หรือแม้แต่ลังเลใจ  วินาทีนั้นเขาจะรีบคว้ามีดขึ้นมาปาดคอคนตรงหน้า หรือปักลงไปในอก รีบทำหนทางใดก็ได้เพื่อที่จะสังหารหงฟี่ก่อนที่เขาจะต้องแบกรับความเกลียดชังอันเกินจะรับไหว

   แต่เขาคิดเอาไว้แล้ว ว่าถ้าคำตอบออกมาเป็นเช่นนี้... เขาจะขอทำตามใจตัวเองครั้งสุดท้าย จะปล่อยใจไปให้สุดไม่ให้มีอะไรค้างคาอีก   หากรักจะเกิด ก็ขอให้มันเกิดขึ้นและจบภายในคืนนี้เท่านั้น

   หงฟี่ไม่มีทางขัดขืนชะตานี้ได้อยู่ดี

   ชายผู้เป็นเจ้าครองแคว้นยังคงหลงอยู่ในนิทรา บัดนี้สิ่งที่ตั่วหยางเห็นก็คือชายร่างผอมคนหนึ่ง  คนที่ไม่สนใจรับผิดชอบในหน้าที่ คนที่นอกใจคู่ครองมาเล่นชู้กับนางรับใช้ คนที่ชวนเขาให้หนีไปด้วยกัน

   ตั่วหยางนึกสมเพชตัวเอง ชายไม่เอาไหนคนนี้น่ะหรือจะพาเขาไปไกลสุดโลกหล้าได้? แน่ใจหรือว่าจะหนีจากความจริงอันโหดร้ายว่าพวกเขาไม่มีทางได้รักกันได้พ้น

   ค่อยๆก้าวขึ้นคร่อมร่างของคนรักชั่วข้ามคืน... กำมีดเงื้อมมือขึ้นสุดแขน

   วันนี้แหล่ะที่ทุกอย่างจะต้องจบลง

   “ตั่วหยาง...”

   เสียงพึมพำดังมาจากคนที่หลับอยู่... หัวใจกระตุกวูบ แต่ก็ยังไม่ลดมีดที่เงื้ออยู่ลงมา... ถ้าจะทำต้องทำตอนนี้แหล่ะ ตอนที่หงฟี่ยังไม่ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่จัญไรยิ่งกว่า

   จนกระทั่งหงฟี่ลืมตาขึ้นมามองเขา

   “ตั่วหยาง!”

   เจ้าของชื่อถึงกับชะงัก... ไม่ทันแล้ว เขาต้องรีบลงมือตอนนี้

   “ตั่วหยาง ทำไม...”

   หงฟี่เปลือยเปล่า ไร้อาวุธ ไร้หนทางต่อสู้ขัดขืนอยู่ตรงหน้าของเขา    แต่ทำไมภาพต่างๆกลับท่วมทะลักเข้ามาในความทรงจำ   ภาพที่หงฟี่ขอเขาเป็นชายาในคืนที่พบกันครั้งแรก ภาพที่ทั้งสองร่วมขี่ม้าด้วยกันที่ชายหาด ฟังตำนานเทพมังกรสมุทรที่ปากถ้ำ หนีออกไปเที่ยวงานรื่นเริง ภาพรอยยิ้มของหงฟี่ที่เห็นเป็นครั้งแรก จุมพิตแรก... สัมผัสรักครั้งแรก

   ...เขาคงไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!

   ชายหนุ่มฟาดมีดลงมาสุดแขน กรีดร้องราวกับจะขาดใจ

   หงฟี่ตัวแข็งทื่อ เขาได้ยินเสียงโลหะจมลงไปในเนื้อ เห็นเลือดสีแดงฉานทะลักกระฉูดจากอกซ้ายออกมารุนแรง สาดละเลงบนใบหน้าของเขา จบสิ้นกันแล้ว จบสิ้นกันที...

   เป็นเสี้ยววินาทีเดียว ที่เขาหวังจะเห็นทุกสิ่งเป็นเช่นนั้น

   ลืมตาขึ้นมา...  ความจริงแล้วคมมีดทรยศปักลงบนหมอนนุ่ม ห่างจากศีรษะหงฟี่ไปเพียงนิดเดียว

   เขาทำไม่ลง!!!

   ตั่วหยางกระโจนลงกับพื้น คว้าชุดคลุมที่ใส่เมื่อคืนเข้ามาห่มตัว สองเท้าก้าวพุ่งออกไปจากห้อง  เขาต้องหนี... ในเมื่อเขาทรยศทุกคนที่ตนรักไปหมดสิ้นแล้ว คงจะเหลือหนทางเดียวคือต้องอันตรธานหายจากโลกนี้ไปเพียงลำพัง

   “ตั่วหยาง! ช้าก่อน...!”

   หงฟี่รีบคว้าชุดมาใส่ วิ่งสุดฝีเท้าตามออกมาจากห้อง   แต่ในทางเดินระเบียงวกวนยามเช้าตรู่นั้นไม่มีผู้ใดขวางทาง   และด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่า ตั่วหยางก็นำไปได้ไกลลิ่วแล้ว

   ต่อให้วิ่งตามแค่ไหนหงฟี่ก็คงจะไม่มีทางคว้าไว้ได้ทัน

   เมื่อถึงริมขอบรั้ววัง   ตั่วหยางกระโดดขึ้นบนกำแพงแคบ หันมามองหน้าหงฟี่เป็นครั้งสุดท้าย

   “ตั่วหยาง...!”

   “ลืมข้าเสียเถอะ หงฟี่”

   เป็นคำขอร้องจากหัวใจอันแตกสลาย   นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ตั่วหยางจะได้เห็นหน้าคนๆนี้ เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำอันเป็นนิรันดร์

   วินาทีนั้น ตั่วหยางตัดสินใจกระโดดลับหายไปจากสายตา

   หงฟี่ยืนหอบนิ่ง ถูกตรึงอยู่เช่นนั้น... ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นต่อหน้า  ไม่คาดคิดว่าคนที่เขาไว้ใจจะกล้าทรยศเขาได้ลง

   ...ทั้งๆที่เขามอบให้ทั้งใจแล้วแท้ๆ

   เพียงไม่นาน ฝีเท้าของชายฉกรรจ์หลายนายก็วิ่งใกล้เข้ามา  ต้าอ๋องไม่ได้หันไปมองแต่เขาก็รู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร

   “ข้าได้ยินเสียงร้อง... เกิดอะไรขึ้นขอรับ”

   “ข้าได้คำตอบแล้วหลี่ไป๋”

   องครักษ์เงียบ ยังคงตื่นตระหนกตกใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและอยู่ดีๆทำไมเจ้านายเหนือหัวถึงได้เอ่ยประโยคนี้

   “ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง... ตั่วหยางเป็นอย่างที่เจ้าคิด”

   หลี่ไป๋เบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้

   ‘คำตอบ’ ที่หงฟี่ว่า คงเป็นคำตอบของคำถามที่เขาเคยถาม ว่าต่อให้รู้ความจริงแล้วหงฟี่ยังจะรักตั่วหยางอยู่อีกหรือ   แสดงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่หงฟี่หายไปจากห้องบรรทม แล้วมาโผล่อยู่ที่ตำหนักตะวันออกด้วยสภาพเช่นนี้ ย่อมแปลว่าหงฟี่คงจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้วเป็นแน่

   ทหารทุกนายนิ่งฟังคำสั่ง หลี่ไป๋ยังคงยืนนิ่งจ้องมองแผ่นหลังของนายเหนือหัว  คาดเดาไม่ถูกว่าสิ่งที่จะได้ยินต่อไปคือสิ่งใด...

   น้ำเสียงที่เอ่ยกลับมาช่างเย็นชา แฝงความปวดร้าวและเจ็บแค้นไว้ลึกสุดใจ

   “ไปจับตัวตั่วหยางมาให้ข้าให้ได้  ...ต่อให้เจ้าต้องตายก็ตาม”





โปรดติดตามตอนต่อไป...


หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 14 คมมีดทรยศ]
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 25-10-2013 11:52:27
มาจิ้มไว้ก่อน อ่านทันแล้วมาจะบอกนะ ว่าเป็นไง อย่าท้อไปก่อนนะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 14 คมมีดทรยศ]
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 25-10-2013 22:53:25
ตั่วอย่างทำร้ายหงฟี่ไม่ลง แล้วหงฟี่ล่ะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 15 คมดาบแลกชีวิต]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 15-11-2013 00:19:37
บทที่ 15 คมดาบแลกชีวิต



   หยาโจวลืมตาตื่นขึ้นมา... เป็นเช้าที่เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย

   นี่เป็นเช้าวันที่สองแล้วที่ตั่วหยางกับหลินไน่หายไป  นับตั้งแต่คืนที่มีงานรื่นเริงในเมืองหลวง หลินไน่ก็กลับมาแค่เพียงชั่วครู่ สีหน้ามึนตึงเครียดขึ้งราวกับไปรับรู้เรื่องราวที่มิอาจทำใจ   แต่พอหยาโจวถามว่ามีเรื่องอะไร หลินไน่ก็กลับหนีออกจากห้องไปไม่ยอมพูดจา

   อยู่ดีๆทั้งสองก็หายไปพร้อมกันเช่นนี้... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

   แต่จะให้มากระวนกระวายใจอยู่ในห้องเฉยๆเช่นนี้ก็คงจะไม่ดี ยิ่งอยู่คนเดียวก็จะยิ่งฟุ้งซ่านเปล่าๆ หยาโจวเลยตัดสินใจจะออกไปข้างนอก ออกไปหาของกินเสียหน่อยเผื่อจะทำให้จิตใจปลอดโปร่งขึ้น และถ้าเจออาหารที่สหายทั้งสองชอบเขาจะได้ซื้อมาฝากเก็บไว้ตอนที่ทั้งสองจะกลับมา

   วันนี้ฟ้าขมุกขมัวนัก น่าแปลกที่ทั้งตลาดดูเงียบเชียบผิดปกติ   หยาโจวเห็นเหล่าแม่ค้าที่เริ่มคุ้นหน้าแอบคุยกระซิบอะไรกันอยู่เป็นหย่อมๆ  ดูคล้ายจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในวังหลวงแต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

   ถ้าหลินไน่อยู่ มันก็คงจะคาบข่าวมาบอกได้  แต่นี่หยาโจวอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่กล้าจะเข้าไปถามไถ่ชาวบ้านแบบที่หลินไน่ชอบทำ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือนั่งกินบะหมี่เงียบๆอยู่ในตลาด พยายามเงี่ยหูฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

   เป็นข้อความอันไม่ได้ศัพท์ ที่เขาต้องค่อยๆจับมาตีความเอาเอง

   ...คนทรยศ ...ค่าหัว ...กบฎ ...ลอบสังหาร ...จับตาย ...นางรับใช้

   ...ตั่วหยาง…

   หยาโจวเลือดเย็นเฉียบ ชาไปทั้งร่างกายเมื่อรู้ว่าชีวิตของเพื่อนอยู่ในอันตราย  แต่ทันทีที่เขาลุกขึ้นกำลังจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมนั้น ขบวนทหารม้าชั้นรองก็โผล่มาแหวกทางผ่านผู้คนในตลาดไป

   ชายร่างผอมยืนนิ่งแข็ง แทบกลั้นหายใจ ทั้งๆที่รู้ว่าทำไปก็ไม่ได้ช่วยให้เขาหลบหนีจากสายตาของเหล่าทหารไปได้... ยิ่งทำให้ดูมีพิรุธว่าทำไมมีเขาคนเดียวที่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ในขณะที่สายตาของคนทั้งตลาดยังคงมองตามเหล่าทหารไปพร้อมกับกระจายข่าวลือมากมาย

   ทหารบนหลังม้านายหนึ่งจ้องมองหยาโจวอย่างจะจับพิรุธ นั่นทำให้เขาได้สติ... เขาต้องรีบกลับไปเตือนภัย แต่ต้องด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าให้ใครจับได้ว่าเขาคือตัวตั้งตัวตีกลุ่มกบฏเสียเอง

   ชายหนุ่มตั้งสติแล้วเดินกลับโรงเตี๊ยมเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ในใจนึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสองคนจนแทบบ้า  แต่แล้วกลับต้องมาชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นทหารนายหนึ่งกำลังคุยกับหญิงชราเจ้าของโรงเตี๊ยมอยู่หน้าอาคาร

   สายตาจับผิดของนายทหารจับจ้องมาที่เขาอีกครั้ง  หยาโจวสบตากลับ บังคับให้ตัวเองกลับเข้าห้องทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าอาจไม่มีทางรอดจากการถูกรุกรานครั้งนี้

   แต่แล้วสิ่งที่ตะลึงยิ่งกว่า คือเมื่อเปิดประตูห้องมาแล้วพบว่าไม่มีใคร...

   ยังคงงุนงงสับสนไม่ทันตั้งตัว ประตูห้องก็ถูกเคาะดังขึ้นกึงกัง  หยาโจวสะดุ้งสุดตัว จะเก็บของหนีไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่มีแต่จำต้องเผชิญหน้า  เป็นตายร้ายดีก็ต้องสู้ไป หากโชคดีเขาอาจใช้วาทศิลป์ช่วยให้รอดพ้นได้ก็เป็นได้

   มือขวาค่อยๆเอื้อมไปปลดสลักกลอนให้เปิดออกอย่างช้าๆ...  แทบหยุดหายใจเมื่อเห็นว่าทหารประจำวังเกือบสิบคนยืนรออยู่หน้าประตู

   ไม่มีการเตือนภัยอะไรทั้งสิ้น...

   “หวังหยาโจว... เจ้าถูกจับข้อหากบฏต่อแผ่นดิน”

   ชายหนุ่มตะลึงงัน สติสัมปชัญญะทุกอย่างพลันเตลิดหายไป

   “อะไร... พวกท่านมีอะไรเป็นหลักฐาน”

   “มีดสั้นเล่มนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”

   เพียงแค่นั้นหยาโจวก็จนมุม เรี่ยวแรงพลันมลายหายจนแทบล้มทั้งยืน

   มีดสั้นเล่มนี้ บิดาที่เป็นช่างทำมีดประจำหมู่บ้านได้สลักชื่อเขาเอาไว้ให้เป็นของขวัญ เป็นมีดที่มีเพียงเล่มเดียวในโลกเท่านั้น

   สุดท้ายก็สาวมาถึงเขาจนได้

   เขาไม่ใช่คนโกหกเก่งแบบหลินไน่ ถ้าเป็นเจ้าอ้วนนั่นคงหาทางตลบตะแลงจนรอดตัวไปได้แน่แล้ว... และเขาเองก็ไม่ใช่จอมยุทธ์แกร่งกล้าแบบตั่วหยาง มิฉะนั้นเขาอาจจะบรรเลงเพลงดาบแล้วหนีรอดตัวไปได้เช่นกัน

   และ ณ เวลานี้... ทั้งสองก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา

   เมื่อเห็นผู้ต้องสงสัยยืนเงียบ เหงื่อเย็นๆไหลลงอาบหน้า เหล่าทหารก็รู้ได้ว่าจับไม่ผิดตัวแล้ว

   “เราเชื่อว่าเจ้ามีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก... บอกชื่อและที่อยู่ของเพื่อนเจ้ามา เจ้าอาจจะได้รับการลดโทษ”

   “ข้าไม่รู้ว่าเพื่อนข้าอยู่ที่ไหน” หยาโจวพูดความจริง

   “รับสารภาพมาเถอะ”

   “ถึงข้ารู้ข้าก็ไม่มีวันบอก   ต่อให้ข้าต้องตายก็ตาม!”

   สัญชาตญาณพาไปไวกว่าที่ใจคิด รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ชักดาบออกมาเสียแล้ว

   เป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว  เหตุเพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการประกาศชัดเจนว่าจะขัดขวางการจับกุม ทำให้ปลายทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือยอมจำนนหรือต้องตายเท่านั้น

   ทหารตรงหน้าชักดาบออกมาเช่นกัน   

   “โทษของกบฏคือความตาย เจ้ารู้ใช่ไหม”

   หยาโจวใจหายวาบ  นี่เป็นครั้งที่สองที่หยาโจวได้ยินคำคาดโทษนี้ ...และแน่นอน คำตอบยังเป็นเช่นเดิม

   “ข้ารู้แล้ว”

   ชายหนุ่มเงื้อดาบขึ้น สูดหายใจลึก แล้วพุ่งเข้าหาทหารหลวงอย่างไม่คิดชีวิต   บรรเลงเพลงดาบขึ้นในวินาทีนั้น

   เขาจะยื้อเวลาให้ถึงที่สุด... ให้เพื่อนทั้งสองหนีไปได้   หรือถ้าแม้เขาต้องสู้จนตัวตายเพื่อให้เพื่อนทั้งสองอยู่รอดปลอดภัย เขาก็ยินดี

   หนีไปซะ... ตั่วหยาง หลินไน่

   หนีไป...


...................................................................


   ลัดเลาะไปตามแมกไม้ ร่างกายเริ่มเหนื่อยล้าหมดกำลัง

   ตั่วหยางกระชับชุดนางรับใช้สีน้ำเงินเข้าหาตัว นี่ก็ครึ่งค่อนวันล่วงมาแล้ว ฟ้ามืดครึ้มจนแทบมองทางไม่เห็น  ขณะนี้เท้าเปลือยเปล่าเริ่มเจ็บแสบ ผมที่ปล่อยยาวหลุดลุ่ยเริ่มพันกัน เริ่มหวั่นใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาไม่มีอาวุธติดตัวเลยสักชิ้น แม้แต่ม้าคู่ใจที่รออยู่ที่โรงเตี๊ยมเขาก็ไม่มีเวลาจะแวะไปหา

   แต่ถ้าจะให้หยุดหนีตอนนี้ ก็กลัวว่ายิ่งจะทำให้หนีไม่พ้น...

   ไม่ทันได้ตั้งตัว ม้าสีควันตัวหนึ่งก็กระโจนเข้ามาตัดหน้า   ตั่วหยางถึงกับชะงักเท้าไม่ทัน เซล้มลงกับพื้นตรงนั้น

   “อย่าหนีให้เหนื่อยเปล่าเลย พวกเราล้อมเจ้าไว้หมดแล้ว”

   ชายบนหลังม้าคนนั้นคือหลี่ไป๋ ทหารอารักขาของหงฟี่คนเดิม  ตั่วหยางลนลานมองไปรอบๆก็เห็นเงาของทหารบนหลังม้าอีกนับสิบนายยืนประจำการอยู่ไกลๆ

   เร็วเกินกว่าจะตั้งตัวได้ทัน แต่ในที่สุดเขาก็หนีชะตานี้ไม่พ้น...

   ได้แต่ก้มหน้า ถามความสิ่งที่ตนเองรู้ดีอยู่แก่ใจ

   “โทษของกบฏคือความตายใช่ไหม”

   “ใช่”

   “ไหนๆเจ้าก็รู้แล้วว่าข้าเป็นบุรุษ... ได้โปรด   ขอให้ข้าได้สู้ครั้งสุดท้ายและตายเยี่ยงบุรุษด้วย”

   ตั่วหยางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชั่วอึดใจที่แสนเนิ่นนาน ไม่มีวันรู้ได้เลยว่าหลี่ไป๋ทำสีหน้าเช่นไร

   จนกระทั่ง ดาบสั้นเล่มหนึ่งลอยหวือมาทางเขา

   ชายหนุ่มยกมือขึ้นรับดาบนั้นไว้ได้ทัน หลี่ไป๋โดดลงจากหลังม้า ชักดาบยาวของตัวเองออกเช่นกัน

   “ข้าให้โอกาสเจ้าสู้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าท่านต้าอ๋องอยากได้ตัวเจ้าทั้งเป็น”

   ตั่วหยางเผลอหลุดหัวเราะสมเพชกับตัวเอง

   “ถ้าเจ้าฆ่าข้าได้ก็ทำเถอะ แต่อย่าส่งข้ากลับไปอีกเลย”

   ชายหนุ่มชักดาบสั้นออกจากฝัก... ปลายทางแห่งการต่อสู้นี้มีแค่สองทาง นั่นคือหากไม่หนีไปได้ ก็มีแต่ตายเท่านั้น

   เขากลับไปไม่ได้อีกแล้ว

   ฟ้าแลบปลาบลงมาฉาบแมกไม้ให้สว่างจ้า คล้ายเป็นสัญญาณให้ชายทั้งสองพุ่งเข้าปะทะคมดาบเสียงดังกังวาน ท่วงท่าการฟาดฟันรุกรับของอีกฝ่ายต่างยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ เพียงแต่ว่าตั่วหยางดูท่าจะเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย  ดาบสั้นรูปแบบนี้เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ยามเมื่อใช้งานเป็นครั้งแรกก็กะน้ำหนักและความยาวไม่ถูก อีกทั้งยังสั้นกว่าอาวุธคู่มือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงได้แต่ตั้งรับเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น

   ถูกท่วงท่าผลักให้ถอยหลังไปชนกับต้นไม้ ทหารหนุ่มฟาดดาบลงมาคว้านเนื้อไม้เป็นรอยกว้าง โชคดีที่ตั่วหยางพลิกตัวหลบได้ทัน

   กระโจนเข้าหาต้นไม้ข้างๆ กระโดดขึ้นถีบตัวพุ่งเข้าหาศัตรู ดูราวกับมังกรกำลังร่ายรำ

   ถ้าจะมีสิ่งเดียวที่เขาได้เปรียบชายนักรบผู้นี้ เห็นจะเป็นท่วงท่าและความรวดเร็วเสียกระมัง  หากจะสู้ด้วยความชำนาญและพละกำลังเขาคงพ่ายแพ้ จึงมีแต่ใช้ความว่องไวหลอกล่อ  เมื่อดาบเล่มยาวฟาดฟันเข้าหา เขาก็กระโดดหลบราวจะไต่ขึ้นบนเมฆา

   ทหารหนุ่มไล่ตามฟาดฟันอย่างไม่ลดละ และเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ปัดดาบสั้นให้หลุดลอยจากมือชายกบฎไปจนได้

   แผ่นหลังตั่วหยางกระแทกกับต้นไม้ มีดาบคมจ่ออยู่ตรงคอ... เพิ่งรู้สึกตัวว่าฝนตกลงมาจนผมเปียกลู่ แผ่นอกราบที่พ้นเสื้อคลุมหลวมสะท้อนขึ้นลงจากความตื่นตระหนก

   “ยอมแพ้เสียเถอะ”

   ตั่วหยางจ้องมองคมดาบมันปลาบที่จ่อคอตัวเองอยู่ นึกอยู่ในใจว่าฟันคอเขาให้หลุดไปก็หมดเรื่องแล้ว

   แต่องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์คนนี้ก็ยังไม่อาจขัดขืนคำสั่งของเจ้านายได้

   “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าข้าจะไม่กลับไป!

   ทันทีที่ขาดคำ ตั่วหยางก็เตะด้ามดาบอีกฝ่ายให้หลุดลอยกระเด็นไป เห็นแววตาตื่นตระหนกที่ฉายบนตาซ้ายที่เหลือเพียงข้างเดียวทันที

   นั่นทำให้เขาเพิ่งนึกได้ ว่าเมื่อนักรบไร้ดาบก็เท่ากับเสียแขนไปเสียแล้ว

   ใช้โอกาสนี้รุกกระหน่ำ... เรื่องสู้ด้วยมือเปล่าเขาไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ทำให้ศัตรูตรงหน้าได้แต่ตั้งรับ   เมื่อหยาดฝนเริ่มทวีความหนักหน่วง ยามหมุนตัวปะทะหยาดน้ำก็เหวี่ยงกระจายออกไปเป็นวง

   ฟาดขาถีบร่างใหญ่เข้าไปเต็มแรง ทหารหนุ่มถึงกับล้มกระแทกลงไปกับพื้น ตั่วหยางตามมาจะหมายเผด็จศึก... แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่ทำร้ายชายผู้นี้

   เพียงแค่นี้ก็คงทำให้จุกพอแล้ว

   “ฝากบอกหงฟี่ด้วย ว่าอย่าตามหาข้าอีกเลย”

   ว่าแล้วก็กระโจนขึ้นบนกิ่งไม้... หากหนีไปตอนนี้อาจจะยังทัน

   ตั่วหยางโดดขึ้นไปได้สำเร็จ ทว่าหลี่ไป๋ที่ยังคงนั่งจุกอยู่กลับคว้าดาบสั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้ได้   เพ่งสายตาฝ่าสายฝนมองศัตรูที่กำลังจะโดดลับหายไปกับสายตา แล้วจึงตัดสินใจขว้างดาบสั้นออกไปสุดแรง

   อาวุธคมปลาบหมุนควงกลางอากาศเข้าฟันกิ่งไม้ที่ตั่วหยางกระโจนไปถึง เสียหลักจำต้องร่วงลงสู่พื้นเมื่อกิ่งไม้หล่นลงจากต้น

   ชายกบฎตั้งสติลงพื้นได้เพียงเสี้ยววินาที เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นศัตรูพุ่งเข้าหาพร้อมดาบยาวในมือเสียแล้ว

   กลิ้งตัวหลบคมดาบเกือบไม่ทัน การต่อสู้กลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง... ชายหนุ่มจำต้องกลับมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะไม่มีอาวุธ ก่อนที่จะตั้งสติได้ว่าดาบสั้นเล่มนั้นคงร่วงหล่นลงไปอยู่ไม่ไกล

   ยุทธศาสตร์ในป่านี้ไม่เหมาะแก่การต่อสู้ ด้วยเพราะมิใช่ลานโล่งแต่แทรกไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ตั่วหยางจึงใช้จุดด้อยข้อนี้พลิกให้เป็นที่กำบัง  หลบหลีกจากคมดาบที่ฟาดฟันดั่งสายฟ้าแลบ ทำให้ต้นไม้ที่เขาใช้หลบหลีกถูกกรีดหรือถึงกับโค่นไปนักต่อนัก

   ในที่สุดก็เหลือบตาเห็นดาบสั้นเล่มนั้นจมอยู่ในกอไม้ ตั่วหยางก้มหลบคมดาบก่อนจะกระโจนไปหยิบดาบสั้นเล่มนั้น... เมื่อได้ยินเสียงศัตรูพุ่งใกล้เข้ามา ชายกบฎก็คว้าดาบเล่มนั้นเอาไว้ได้ทัน

   พลันได้ยินเสียงเหล็กทะลุเนื้อ เลือดสดสีข้นคลั่กสาดกระเซ็นใส่หน้าเขา

   ตั่วหยางตกใจปล่อยดาบสั้นในมือทิ้ง เพิ่งเห็นเต็มตาว่ามันปักลงในอกซ้ายศัตรูเกือบมิดด้าม วินาทีเดียวกับที่ร่างกายหลี่ไป๋ปล่อยอาวุธทิ้ง หมดสิ้นเรี่ยวแรงล้มลง

   เมื่อครู่นี้มันรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะลำดับเรื่องราวได้ ความตื่นตระหนกมันพุ่งเข้าใส่จนร่างกายกลายเป็นอัมพาต สองมือเปื้อนเลือดสั่นเทาไร้การควบคุม

   เขาทำลงไปแล้ว... เขากลายเป็นฆาตกรไปเสียแล้ว...

   ม้าสีควันร้องห้อขึ้นราวกับรู้ว่าเจ้านายสิ้นใจ มันทำให้ตั่วหยางได้สติ... นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมาตกใจ แต่ถ้าเขาไม่รีบหนีไปตอนนี้ ทหารยามที่ล้อมรอบแผ่นดินไว้คงเข้ามาจับตัวเขาได้

   กระโจนขึ้นบนกิ่งไม้อีกครั้ง ตัดสินใจลัดเลาะไปเหนือพื้นดินคงปลอดภัย

   ...ไม่มีแผ่นดินให้คนบาปหนาอย่างเขาได้ยืนอีกต่อไปแล้ว

   ตั่วหยางกระโจนขึ้นต้นไม้หนีไป   เป็นอีกครั้งที่สายฝนชโลมหลั่ง ทิ้งร่างของหลี่ไป๋ให้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ละลายเลือดสดให้ไหลลงปฐพี...





โปรดติดตามตอนต่อไป...



หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 16 กลลวงมัจจุราช]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 09-12-2013 21:03:38
บทที่ 16 กลลวงมัจจุราช




   ตาซ้ายที่เหลือเพียงข้างเดียวปิดสนิท ร่างใหญ่นอนแน่นิ่ง ท่อนบนเปลือยเปล่ามีผ้าสีขาวพันรอบอกกว้างเอาไว้

   หลี่ไป๋ค่อยๆลืมตาขึ้น... แสงสว่างกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้ง

   ร่างใหญ่พลันผุดลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก มองไปรอบๆถึงพบว่าตนไม่ได้อยู่ในป่าอีกต่อไปแล้ว

   “ข้าอยู่ที่ไหน! เจ้ากบฏนั่นหายไปแล้วหรือ!”

   พอเห็นว่าคนไข้ทำท่าจะหนีออกจากเตียงหมอหลวงก็รีบเข้ามาห้ามไว้ ชายชราพยายามดึงตัวชายร่างใหญ่ให้นั่งลงกับเตียงดังเดิมอย่างยากเย็น

   “ใจเย็นก่อนเถิดท่านหลี่ไป๋ แผลของท่านยังไม่หายสนิทดี”

   “มันเกิดอะไรขึ้น”

   ถึงจะถามไปเช่นนั้นแต่อีกฝ่ายคงไม่มีคำตอบให้เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หลี่ไป๋จึงนึกทบทวนเองแล้วถึงจำได้ถึงภาพการต่อสู้เพียงลางๆ

   ดาบสั้นในมือศัตรูฝังกระแทกลงเหนืออก... พอเอื้อมมือไปสัมผัสดูก็พบว่าแผลนั้นถูกเย็บพร้อมพันด้วยผ้าสีขาว ได้กลิ่นยาสมุนไพรอบอวลอยู่ใต้ผ้า

   ตำแหน่งที่โดนนั้นอยู่ห่างจากหัวใจไปเพียงนิดเดียว   นับว่ายิ่งกว่าโชคดี... ยิ่งกว่าความบังเอิญ

   ...หรือจะมีอะไรที่มากกว่านั้น?

   “ท่านพักผ่อนเสียก่อนเถิดขอรับ ข้าจะไปแจ้งท่านต้าอ๋องให้ว่าท่านฟื้นแล้ว”

   “ไม่ต้องหรอก”

   พลันเสียงเย็นชาดังขึ้นที่หน้าประตู หมอหลวงลนลานก้มลงคำนับแทบไม่ทัน

   “ท่านต้าอ๋อง...” หลี่ไป๋พูดเสียงแหบแห้ง นึกขึ้นได้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง “...ข้ากราบขออภัย ข้าปล่อยให้กบฏผู้นั้นหนีไปได้”

   “ไม่เป็นไรหรอก” หงฟี่เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบตึง ไม่อาจอ่านความหมายในสีหน้านั้นได้เลย “ตอนนี้ข้าส่งทหารออกไปจำนวนมากแล้ว ไม่นานคงหาตัวได้พบ”

   องครักษ์เอกก้มหน้านิ่ง รู้สึกละอายใจเหลือแสนที่ยังจะมีหน้ากลับมาให้เจ้านายเหนือหัวเห็นหน้าทั้งๆที่ภารกิจไม่เสร็จสิ้นเสียด้วยซ้ำ

   หงฟี่มายืนอยู่ข้างเตียง... สีหน้าตึงเครียดนั้นไม่ยอมหายไป ราวกับเด็กหนุ่มผู้เก็บงำความกดดันและความโศกเศร้าคนเดิมที่หลี่ไป๋เคยเห็นได้กลับมาอีกครั้ง

   “เจ้าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว หลี่ไป๋”

   “อย่าพูดเช่นนั้นเลยขอรับ ข้า...”

   “หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องปกป้องข้าแล้วก็ได้”

   หลี่ไป๋เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างใจหาย ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้

   ...หน้าที่ของเขาต้องจบลงเพียงเท่านี้หรือ?

   “หาก... หากนี่เป็นบทลงโทษของข้า ข้าก็ยินดีน้อมรับขอรับ”

   “ไม่ใช่แล้ว เจ้าโง่” หงฟี่ว่า ในน้ำเสียงนั้นคล้ายจะเจือความขมขื่น “เจ้าไม่ต้องพยายามขนาดนั้นแล้ว หน้าที่ของเจ้าคือรักษาตัวให้หายดีก็พอ”

   “ข้าจะรีบรักษาตัวขอรับ ข้าจะได้กลับไปทำงาน...”

   “ดีแล้ว... แต่ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากฝากเจ้าไว้...  ถ้าหากมีคนอื่นที่ต้องการตัวเจ้าอยู่อีก ข้าก็ยินดีให้เจ้าไปเสมอ”

   หลี่ไป๋ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงง “หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ ข้าไม่เข้าใจ”

   “เอาเถอะ... เจ้ารักษาตัวให้ดีก็พอ”

   คนไข้จำต้องก้มหัวน้อมรับคำพูดนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลยก็ตาม   

   “อ้อ... ข้าเพิ่งสวนกับองค์รัชทายาทจากป๋ายเซว่น่ะ” หงฟี่ชะงักเท้า หันมาพูดกับองครักษ์ของตนอีกครั้ง  “เห็นเขามาเยี่ยมเจ้าเสียทุกวัน ถ้าหายดีแล้วก็ไปเยี่ยมเขาหน่อยแล้วกัน”

   สีหน้าของคนพูดช่างราบเรียบ ไม่มีอารมณ์ใดปรากฏ   แต่ด้วยคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังหัวใจแทบหลุดออกมานอกอกด้วยซ้ำ

   ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ เป้ยหมิงมาเยี่ยมเขาอยู่ตลอดเลยหรือ?

   เมื่อสอบถามหมอหลวงมาก็ได้ความว่าเขานอนสลบไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว และในช่วงเวลาประมาณนี้ของทุกวัน เป้ยหมิงก็จะแอบแวะมาเยี่ยมเสมอ

   ความดีใจในข่าวคราวนั้นแทบทำให้บาดแผลหายในพริบตา

   หลี่ไป๋ตัดสินใจนอนลงกับเตียงคนไข้ให้หมอเปิดผ้าพันแผลเติมยาลงไปอย่างว่าง่าย  ตัดใจทิ้งความกังวลเรื่องกบฎที่ปล่อยให้หลุดมือไปชั่วครู่ ไม่มีประโยชน์ที่จะมากังวลในเมื่อร่างกายต้องการการพักผ่อนเช่นนี้

   รู้สึกตัวอีกที จิตใจก็ล่องลอยไปหาคนๆเดิมเสียแล้ว


...................................................................


   จันทร์เสี้ยวลอยนิ่งอยู่บนฟ้า ตั่วหยางลอบมองมันจากรอยรั่วบนหลังคา แผ่นหลังเอนลงกับคานไม้กว้าง

   เป็นอีกครั้งที่เขามาหยุดที่โรงม้าแห่งนี้... มันเป็นโรงม้าแห่งแรกที่พวกเขาหยุดพักก่อนผ่านเข้ากำแพงเมือง และเป็นโรงม้าที่หลินไน่กับหยาโจวเคยลักพาตัวเป้ยหมิงมาเพื่อให้เขาทำแผนการได้สำเร็จ

   ณ ตอนนั้นเขารู้ดีว่าเพื่อนทั้งสองต้องลักพาตัวอาคันตุกะแห่งแคว้นมาที่นี่แน่ เพราะมันเป็นที่ที่ปลอดภัยแห่งเดียวนอกเหนือจากโรงเตี๊ยมที่พวกเขาจะนึกออก  พวกทหารก็จำสถานที่นี้ได้และเข้ามาตรวจเป็นที่แรกๆ แต่ตั่วหยางก็รอจนกว่าพวกทหารจะล่าถอยไปแล้วค่อยใช้สถานที่นี้เป็นที่ซ่อนตัวเพียงลำพัง

   หวนคิดถึงวันเวลาที่ทั้งสามขี่ม้าข้ามแคว้น หยอกล้อเล่นหัวกันเบิกบานใจ... บัดนี้มันคงไม่มีอีกแล้ว

   หมดสิ้นแล้วทุกอย่างที่เคยมี... ทั้งมิตรภาพ อาชาคู่ใจ อาวุธคู่มือ คนรัก หรือแม้แต่คนที่เคยคิดว่ารัก  แผ่นดินนี้คงไม่ต้อนรับเขาอีกแล้ว จะกลับหมู่บ้านก็ละอายใจเกินกว่าจะทำ หรือจะกลับเมืองหลวงก็คงมีแต่การลงทัณฑ์เป็นแน่

   บางทีเขาอาจจะออกเดินทางไปแคว้นอื่น ไม่ก็ดินแดนอื่นที่ไม่ใช่แผ่นดินจีน หรือปล่อยให้หนวดเครารุงรังใช้ชีวิตเป็นโจร หรือจะไปฝึกตนซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาก็ท่าจะดี

   แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน เขาก็คิดไม่ตกมาหลายวันแล้ว... ได้แต่ตั้งหลักอยู่ที่นี่ หลบซ่อนอยู่บนคานเหนือโรงม้า แอบตามคนเลี้ยงอาชาเข้าไปขโมยของเขามากินเท่านั้น

   เขาหมดแรงจะทำอะไรในชีวิตแล้ว... หรือไม่เช่นนั้นหากเขาหาอาวุธได้ ให้จบชีวิตลงตรงนี้เลยท่าจะดีเสียกว่า...

   เมื่อคิดได้เช่นนั้น ประตูโรงม้าก็เปิดออกทันที

   ชายหนุ่มเกร็งตัวลงนอนแนบคานไม้ หัวใจแทบหลุดออกจากอก... ครั้งนี้หากโชคไม่ดีเหล่าทหารอาจจะเฉลียวใจหวนกลับมาตรวจอีกครั้ง และยามที่ไม่ได้ตั้งตัวเช่นนี้โอกาสหนีรอดก็คงยากเต็มที

   แต่ปรากฏว่าไม่ใช่

   “ตั่วหยาง... ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่”

   เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ... เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงนี้อีกแล้วชั่วชีวิต  พอแอบเหลือบมองด้านล่างตรงประตูโรงม้า ก็เห็นเพื่อนร่างอ้วนคนเดิมเดินเข้ามาท่ามกลางความมืด

   ...เขานึกว่าหลินไน่ไม่อยากจะพบหน้าเขาแล้วเสียอีก

   “ออกมาเถอะน่ะ ข้าพาหยาโจวมาลาเจ้า”

   ตั่วหยางเพ่งมองด้านล่าง นึกงุนงงที่เห็นเงามนุษย์ปรากฏอยู่เพียงคนเดียว

   “ฝากบอกหยาโจวเถอะว่าข้าคงจะไม่มาพบพวกเจ้าอีกแล้ว”

   “เจ้ามาบอกมันเองดีกว่า นี่โอกาสสุดท้ายแล้ว...”

   มีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ในคำพูดนั้น... ถ้าหากหยาโจวต้องการจะพบเขาจริงทำไมถึงไม่ปรากฏตัวมาให้เห็นต่อหน้า และที่ประหลาดไปกว่านั้นคือทำไมหลินไน่ถึงยอมมาพบหน้าเขาอีกครั้ง

   แต่แล้วเขาก็คิดได้ ว่าหากนี่เป็นโอกาสสุดท้ายจริงจะมัวมาถือทิฐิอยู่ทำไม...

   ตั่วหยางกระโดดลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา แต่ภายใต้ความมืดนั้นเขาก็ยังคงไม่เห็นเงาของเพื่อนอีกคน

   “ไหนล่ะหยาโจว”

   หลินไน่ไม่ขยับ ปล่อยให้เขาเดินเข้าไปหา จนกระทั่งเห็นว่าเพื่อนถือกล่องไม้อยู่กล่องหนึ่ง  ตั่วหยางถึงกับชะงัก ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของม้าเมื่อหลินไน่ยื่นกล่องนั้นให้

   กล่องไม้ยังอุ่น คงเป็นเพราะคนถืออุ้มมันมาตลอดทาง... แต่มันกลับทำให้ตั่วหยางรู้สึกหนาววาบไปถึงหัวใจ

   ภาวนาขอให้มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด...

   มือสั่นเทาค่อยๆเอื้อมไปเปิดฝาออก แทบกลั้นหายใจ... แต่พอแง้มดูเพียงแค่นิดเดียว ฝากล่องก็ร่วงลงกับพื้น

   ศีรษะของหยาโจวหลับสนิทอยู่ในนั้น

   ตั่วหยางสิ้นแรงทรุดเข่าลง เศษเสี้ยวของชีวิตพลันปลิดปลิวหายไป หัวใจถูกบีบแน่นจนแหลกเหลวเมื่อเห็นภาพนั้น

   “หยาโจว!!!”

   ชายหนุ่มร้องออกมาสุดเสียง ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาล้นทะลักออกมาจากห้วงลึกสุดใจ

   หยาโจวจากไปแล้ว... จากไปตลอดกาล   ไม่มีอีกแล้วเพื่อนผู้เยือกเย็นหลักแหลม หยาโจวคงไม่มีโอกาสได้เป็นปราชญ์รับราชการอย่างที่หวัง ไม่มีวันได้เห็นแคว้นซานหลงเป็นไทจากทรราช  ...นี่คือผลกรรมจากการที่เขาพรากชีวิตทหารอารักขาผู้นั้นน่ะหรือ? หรือว่ามันเป็นผลจากการที่เขาทรยศเพื่อนได้แม้วินาทีสุดท้าย

   หวนคิดถึงเรื่องราวแห่งเทพมังกรนภาที่หยาโจวเคยเล่าให้ฟัง... นี่ใช่ไหมคือความรักจากเพื่อนที่ยอมสละชีวิตให้ได้เพียงเพื่อสหายจะได้พ้นภัย   เขากับหลินไน่ก็ช่างโง่เขลา ยามที่เพื่อนต้องการเรามากที่สุดแต่ทั้งสองกลับไม่อยู่เคียงข้าง...  ไม่ต่างจากสองสหายในตำนานที่ฟาดฟันกันหมายเอาชีวิต ในขณะที่ชายจากตะวันออกผู้นั้นกลับยอมสละชีวิตเพื่อพวกเขา

   ส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาคงไม่มีวันกลับมาได้อีกแล้ว

   น้ำตาไม่ยอมหยุดไหลราวกับทะลักออกมาจากหลุมที่ไม่มีก้น... เพื่อหยาโจวแล้วเขาถึงกับร้องไห้ได้อย่างไม่อับอาย จนแทบจะลืมไปแล้วว่าหลินไน่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

   “เป็นความผิดของพวกเราเอง” หลินไน่พูดขึ้นเบาๆ “พวกทหารมันเข้ามาจับหยาโจวในโรงเตี๊ยม ข้าพยายามเข้ามาช่วยแล้วแต่ก็ไม่ทัน มันตัดคอหยาโจวไปแล้ว”

   ตั่วหยางแทบไม่ได้ฟัง เสียงสะอื้นของตนนั้นยังดังยิ่งกว่า

   “ข้าบุกเข้าไปคว้าหัวหยาโจวมาได้ ก่อนจะหนีออกมา... ตอนนี้ข้าก็เลยเป็นที่หมายหัวอยู่พอๆกับเจ้า”

   “เจ้าไม่ผิดหรอกหลินไน่...” ตั่วหยางลุกขึ้นช้าๆ “...ข้าผิดเอง”

   หลินไน่ยื่นมือมาขอกล่องไม้กลับ แต่ตั่วหยางยังคงกอดเอาไว้เช่นนั้น

   “เอาคืนมาเถอะ แล้วเจ้าจะไปไหนก็ไป   ตอนนี้ข้าไปรู้ข่าวมาว่ามีกลุ่มกบฏอีกกลุ่มกำลังก่อตัวอยู่ ข้าจะไปฆ่าอ๋องทรราชนั่นเอง  หากช้ากว่านี้กบฏกลุ่มนั้นคงปลุกระดมประชาชนให้ก่อศึกนองเลือดขึ้นได้”

   “ไม่!” ตั่วหยางพูดเสียงดัง “ข้าจะไปฆ่ามันเอง”

   “พวกเราให้โอกาสเจ้ามาเกือบเดือนแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ตัดใจทำไม่ได้   เพราะฉะนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีโอกาสครั้งที่สองอีก”

   “ที่หยาโจวตายก็เพราะข้า! หากข้าฆ่าหงฟี่ไปตั้งแต่แรกหยาโจวคงไม่ต้องมาตายเช่นนี้” ชายหนุ่มขึ้นเสียง “ข้าเป็นคนเริ่ม เพราะฉะนั้นข้าจะเป็นคนจบมันเอง”

   “พอเสียทีตั่วหยาง ข้าเชื่อคำพูดเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”

   “ข้าไม่มีที่จะยืนบนแผ่นดินนี้อีกแล้วหลินไน่! ข้าฆ่าคนไปแล้วด้วยซ้ำ ให้ฆ่าเพิ่มอีกสักคนคงจะไม่เป็นไร!”

   ด้วยความจริงข้อนี้ทำให้หลินไน่เงียบไป ไม่อาจต่อปากคำได้อีก

   “หยาโจวคงไม่อยากเห็นเราทะเลาะกัน”

   ศีรษะไร้วิญญาณในกล่องไม้ยังคงหลับสนิทอยู่ในนิทรานิรันดร์ แต่เพื่อนทั้งสองก็เชื่อว่าหากเจ้าของวิญญาณนั้นได้มองอยู่ก็คงหวังเช่นนั้นเป็นแน่

   “ขอให้ข้าได้ล้างแค้นให้หยาโจวเถอะ ข้าจะไปฆ่ามันเอง... ถ้าไม่มีเจ้า ใครจะพาหัวหยาโจวกลับหมู่บ้านของเรา”

   “ให้ข้าเป็นคนไปล้างแค้นแทนไม่ได้รึยังไง”

   “ถ้าข้าทำไม่สำเร็จเจ้าค่อยไปฆ่ามัน! ตกลงไหม”

   “ถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จนี่คือเช่นไร?”

   “ข้ายอมตาย หลินไน่”

   หลินไน่เงียบไป ในขณะที่แววตาของตั่วหยางแน่วนิ่ง... เป็นแววตาที่หลินไน่เห็นก็รู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่มีวันจะเปลี่ยนใจได้อีกต่อไปแล้ว

   “และถ้ามันเป็นเช่นนั้นเมื่อไร...” แผ่นอกผอมบางสะท้อนขึ้นลงหนักหน่วง ทำให้สัมผัสของสิ่งที่อยู่บนอกเตือนความทรงจำให้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง

   สร้อยหินสีแดงที่ไหนจื่อให้มา... แม้เขาใส่มันอยู่ตลอดเวลาแต่กลับรู้สึกชินชาเสียจนลืมไปเสียแล้ว

   ตั่วหยางถอดสร้อยนั้นออกช้าๆ

   “...ฝากเอานี่กลับไปให้ไหนจื่อด้วย”

   หลินไน่ยื่นมือไปรับมันไว้   ในขณะที่แววตาของตั่วหยางค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นความเสียใจ

   “และฝากบอกนางว่า ข้าขอโทษ

   เป็นคืนที่เงียบสงัด เส้นทางแห่งอนาคตจมดิ่งลงในความมืดมิด   รู้แน่ชัดแล้วว่าปลายทางคืออะไร แต่ถ้าจะให้ก็หันหลังกลับไปก็คงจะไม่มีทาง

   จันทร์เพ็ญที่เฝ้ามองพวกเขาสามคนหัวเราะรื่นเริงให้กันมันไม่มีอีกแล้ว

   และเมื่อไรที่จันทร์ดับ... โศกนาฏกรรมจัญไรนี้ก็จะสิ้นสุดลง




หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 17 เส้นพรหมลิขิต]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 12-12-2013 20:24:57
บทที่ 17 เส้นพรหมลิขิต



   แผลบนอกซ้ายแผดร้อน มิใช่ว่าแผลมันกำเริบหรอก แต่คงเป็นความคิดถึง

   หลายวันที่ผ่านมานี้หลังจากที่หลี่ไป๋ฟื้นขึ้นมา เป้ยหมิงก็ไม่ได้แวะมาเยี่ยมเขาอีก ด้วยว่าธุระของฝ่ายนั้นคงจะยุ่ง และสถานการณ์ภายในวังเองก็วุ่นวาย  ในขณะนี้ทหารแทบทั้งหมดต้องผลัดเวรยืนประจำทุกจุดทั้งในและนอกวัง จะให้เป้ยหมิงลอบมาหาเขาเหมือนเดิมโดยไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คงไม่ได้

   สิ่งที่หลี่ไป๋ทำได้ก็มีแค่นอนคิดกังวลอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือเรื่องกบฏที่เขาปล่อยให้หนีไปได้ และอีกเรื่องก็คือ...เรื่องอาคันตุกะคนงามผู้นั้น

   การที่ต้องนอนอยู่เฉยๆ ได้แต่เฝ้ามองแสงจันทร์ทุกคืน มันก็อดคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้... เป็นความคิดอันหวานหอมชวนเคลิบเคลิ้ม แต่ก็เคลือบไว้ด้วยความผิดบาป   นั่นคือภาพจินตนาการว่าจะเป็นเช่นไรหากเขาคว้าจันทร์ดวงนั้นเอาไว้ได้ด้วยสองมือ

   แค่คิดก็ละลาบละล้วงยิ่งนัก แต่มันยิ่งทำให้เขาทนไม่ได้... หากยังมิได้เห็นหน้ากันอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าเขาคงต้องเสียสติไปแน่ๆ

   คืนนี้จันทร์คืนเสี้ยวจนใกล้จะไม่เหลือความสว่างแล้ว... อยู่ดีๆหลี่ไป๋ก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายลักลอบออกจากห้องพักเสียเอง โชคดีที่เขาเป็นถึงองครักษ์เอกของต้าอ๋องเลยทำให้ไม่มีทหารคนใดกล้าขัดขวางหรือแม้แต่จะนึกถามไถ่ว่าเขามีธุระอันใด

   เดินมาเรื่อยจนถึงศาลาริมน้ำที่เดิม   ไม่น่าเชื่อว่าในคืนนี้ เป้ยหมิงจะมายืนชมจันทร์อยู่เช่นวันแรกที่ได้เจอกัน

   “ท่านเป้ยหมิง...”

   เอ่ยทักเพียงแค่นั้น อีกฝ่ายก็รีบหันมามองด้วยความประหลาดใจ

   “ท่านหลี่ไป๋!” เป้ยหมิงรีบก้าวเข้ามาหา “...ท่านฟื้นแล้วหรือ อาการเป็นอย่างไรบ้าง”

   “ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกขอรับ”

   “แผลท่านยังไม่หายดีนี่นา จะออกมาเดินข้างนอกทำไมกัน”

   “ข้าคิดถึงท่าน”

   เป้ยหมิงถึงกับชะงักนิ่งไป คงไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้...

   สบตาได้เพียงชั่วครู่ก็หันเหสายตาออกไป หลี่ไป๋เองก็ไม่คิดว่าจะพูดคำนี้ออกมาได้เช่นกัน

   ความเงียบอบอวลกระอักกระอ่วนกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เป้ยหมิงจะเอ่ยคำขึ้นมา

   “ท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่ ได้ยินมาว่าดาบทะลุอกท่านเกือบมิดด้าม” มือขวาเอื้อมมือไปแตะตรงบริเวณบาดแผลเบาๆ... แต่ทว่าแม้จะแผ่วเบาเพียงใด เพราะฝืนร่างกายออกมาเดินเช่นนี้เลยทำให้เผลอเจ็บขึ้นมาได้

   หลี่ไป๋สำลักเสียงร้องออกมา ทำให้อีกฝ่ายชะงักมือเกือบไม่ทัน

   “ข้า... ข้าขอโทษ”

   “ไม่ต้องหรอกขอรับ ข้าไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

   “อย่าเลย เข้ามาข้างในก่อนดีกว่า” ว่าแล้วเป้ยหมิงก็ลากแขนอีกฝ่ายเข้ามาในตำหนักที่พักของตน ยามนี้เหล่าข้ารับใช้คงเข้านอนกันหมดแล้ว เหลือก็แต่ทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกตำหนัก เป้ยหมิงก็กำชับอย่างดีว่าอย่ารบกวน ด้วยเกรงว่าบ่าวจู้จี้อย่างเฉินซื่อจะตามมารังควานเข้าให้อีก

   จุดโคมในห้องพักให้สว่างขึ้น พาหลี่ไป๋ให้นั่งลงตรงเก้าอี้

   “ขอข้าดูแผลหน่อยจะได้ไหม”

   ชายชาติทหารไม่พูดอะไรแค่ปลดสาบเสื้อด้านซ้ายลงมาถึงต้นแขน เผยให้เห็นผ้าขาวสะอาดที่พันรอบอกเอาไว้

   ...โชคดีที่ความเจ็บเมื่อครู่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อบาดแผลเลยสักนิด ผ้าพันแผลยังคงเป็นสีขาว ไม่มีร่องรอยของเลือดซึมออกมา

   “ท่านโชคดีเหลือเกินที่รอดชีวิตมาได้”

   “บางทีอาจจะไม่ใช่แค่โชคก็ได้นะขอรับ”

   เป้ยหมิงเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความสงสัย ก่อนที่หลี่ไป๋จะเอ่ยต่อ

   “อาจจะเป็น... พรหมลิขิตก็เป็นได้”

   คนฟังนิ่งไปชั่วครู่ แล้วถึงหัวเราะเอ็นดูออกมา

   “ไหนท่านว่าไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต”

   “ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว...” หลี่ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ด้วยเหตุที่คิดทบทวนเรื่องนี้มาได้พักใหญ่  “เป็นเพราะทั้งบาดแผลนี้... และก็เพราะท่าน”

   ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะพูดอะไรที่ไม่คาดคิดออกไปมากพอดู ทั้งๆที่ยามปกติคงไม่มีทางมีความกล้าจะพูดออกไปได้แน่   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลนี้ที่ทำให้สำนึกคุณค่าของชีวิต หรือเป็นเพราะว่าอีกไม่กี่วันเป้ยหมิงต้องถึงกำหนดกลับป๋ายเซว่แล้วกันแน่

   ข้อหลังนั้นเป็นความจริงที่ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็เจ็บปวดเกินกว่าที่จะคิดถึงมัน

   “อย่าพูดเช่นนั้นเลย เดี๋ยวข้าจะทนไม่ได้เมื่อข้าต้องกลับไป”

   “ข้าเองก็ไม่อยากให้วันนั้นมาถึง” หลี่ไป๋สารภาพ

   “ข้าคงคิดถึงท่านจนแทบบ้า...”

   เป้ยหมิงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนที่คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะมันค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันขมขื่น ปิดบังความโศกเศร้าไว้ไม่ได้อีกต่อไป

   เป็นภาพที่หลี่ไป๋ทนมองไม่ได้

   ไม่รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลี่ไป๋คว้ามือที่วางอยู่บนอกของตนมากุมไว้  เป้ยหมิงดูตกใจเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าระยะห่างของทั้งสองค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ องครัชทายาทถึงยอมจำนนหลับตาลง

   ความเงียบลอยวนอบอวล เมื่อริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันเพียงแผ่วเบา

   เพิ่งเข้าใจว่าความรู้สึกที่ได้สมหวังเป็นเช่นนี้ เป็นวินาทีที่จันทร์แสนงามลอยลงมาอยู่ในมือเขาอย่างที่เฝ้าฝันมานาน  เป็นห้วงภวังค์แสนหวานที่เชิญชวนให้เคลิบเคลิ้มไป

   เป้ยหมิงเองก็จูบตอบกลับมาอย่างคนไม่เคย ค่อยๆเรียนรู้ ถูกมอมเมาไปทีละนิด  จนเมื่อจุมพิตค่อยๆถลำลึกลง มืออีกข้างที่ยังว่างถึงเลื่อนขึ้นมาโอบคอคนต่างแคว้น เผลอบีบมือไปเสียแน่นเมื่อความรู้สึกประหลาดที่ตนไม่รู้จักแล่นพล่านอยู่ในร่างกาย

   ...นั่นทำให้หลี่ไป๋รู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรลงไป

   เมื่อได้สติก็รีบถอนหน้าออก ความรู้สึกผิดขมวดปมแน่นอยู่ในร่าง

   “ข้า... อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน---”   

   “ข้าไม่ได้รังเกียจ”

   เป้ยหมิงแทรกตั้งแต่เขายังพูดไม่จบเสียด้วยซ้ำ   ทำให้หลี่ไป๋ถึงกับชะงักด้วยความงุนงง

   ...ทั้งๆที่เดรัจฉานอย่างเขากำลังบังอาจไขว่คว้าดวงจันทร์เช่นนั้นหรือ?

   พอเห็นว่าหลี่ไป๋กำลังสับสน เป้ยหมิงจึงเอื้อมมือไปประคองหน้าเขาไว้ ราวกับจะบอกว่าความกลัวนั้นอย่าได้ไปใส่ใจ

   “ข้าไม่เคยรังเกียจท่านเลย... แต่ตรงกันข้าม”

   เป้าหมิงไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะหลบสายตาเมื่อรู้สึกตัวว่าสารภาพความรู้สึกอันใดออกไป  ทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกับเผลอหายใจไม่เป็นจังหวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเพิ่งจะได้ยินสิ่งใด

   “จริง... จริงหรือขอรับ...?”

   “อย่าถามข้าอีกเลย”

   “ถ้าเช่นนั้น... หากข้าจะขออนุญาต...”

   ถ้อยคำขาดห้วงไปเช่นนั้น ด้วยว่าคนพูดก็ไม่กล้าเอ่ยคำขอที่ดูจะมากเกินไป  แต่ก็เป็นอีกครั้งที่หลี่ไป๋ได้รับคำตอบด้วยการถูกบีบมือแน่น ก่อนที่เป้ยหมิงจะเลื่อนนิ้วให้เข้ามาประสานมือเขาช้าๆ

   นั่นคงเป็นคำตอบว่าตกลง

   จันทร์เสี้ยวที่คอยมองอยู่หลับตาลง ปล่อยให้เมฆครึ้มล่องลอยมาบดบัง... เหลือเพียงแสงโคมดวงน้อยภายในห้อง กับเงาของคนสองคนที่แนบชิดยามโอบกอดกันชิดใกล้อีกครั้ง

   ค่ำคืนนี้คงเป็นฝันอันงดงาม...



...................................................................



   หลี่ไป๋กัดฟันแน่น ในขณะที่แผลเก่าต้องถูกเย็บปิดซ้ำลงไปอีกครั้ง

   “แผลก็ยังไม่หายดีแท้ๆ ท่านไปทำอะไรมาถึงทำให้แผลเปิดได้ขนาดนี้”

   “ข้าผิดเอง”

   คนไข้เอ่ยเสียงเบา แต่ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว เขาไม่เสียใจเลยสักนิด

   ตอนเช้าตรู่เขารีบออกมาก่อนที่จะมีคนรับใช้ของเป้ยหมิงคนใดตื่นขึ้น เป็นค่ำคืนแห่งความฝันที่เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผลบนอกเลยแม้แต่น้อย มารู้สึกตัวว่าแผลเปิดออกก็ภายหลังตอนที่หมอหลวงเข้ามาดูอาการแล้ว...  แต่ถ้าถามว่าเขาเสียใจไหม ก็ต้องตอบว่าถึงแม้ว่ามันจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เขาก็จะไม่เสียใจไปตลอดชีวิต

   เป้ยหมิงช่างงดงาม สำหรับคนที่เขาเคยคิดว่าเกินเอื้อม เมื่อคืนเขากลับพบว่าคนๆนี้แท้จริงแล้วก็เป็นแค่คนเดินดินเช่นเดียวกับเขา มีร่างกายที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก ล่อลวงให้เขาติดกับในสัมผัสอันเย้ายวนเหล่านั้น

   นึกเห็นแก่ตัวอยากจะครอบครองคนๆนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่ก็รู้ตัวว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้   ทำได้เพียงแต่สนองความรักเท่าที่อีกฝ่ายร้องขอ และทิ้งไว้ได้แค่ร่องรอยสีกลีบกุหลาบที่ไม่นานก็ต้องจางหายไปเท่านั้น

   เรื่องปลายทางแห่งเส้นขนานที่กำลังจะมาถึงเขาไม่อยากจะไปนึกคิด ได้แต่ดึงรั้งความฝันงดงามที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเอาไว้ให้ได้ดีที่สุด หล่อเลี้ยงชโลมจิตใจเพื่อจะได้ผ่านไปได้อีกสักวัน

   เมื่อหมอหลวงจัดการกับแผลของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่ไป๋ก็ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกครั้ง  ความเหนื่อยล้าที่ปฏิเสธตัวเองมาตลอดก็เริ่มเข้าจู่โจมจนเขาเกือบจะผล็อยหลับไป

   แต่ยังไม่ทันจะทำเช่นนั้น ก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง

   ด้วยความที่ไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า หลี่ไป๋ก็คิดไปว่าต้องเป็นต้าอ๋องเป็นแน่... แต่ทว่าคนที่ก้าวเข้ามาในห้องกลับเป็นข้ารับใช้ของเป้ยหมิงที่เขาคุ้นหน้าดี และมีชายอีกคนที่เขาไม่รู้จักเดินตามมาเงียบๆ

   บรรยากาศตึงเครียดที่ตามทั้งสองคนมาด้วยนั้นทำให้หลี่ไป๋ยันตัวลุกขึ้นนั่งทันที

   “ท่านมีธุระอะไรกับข้า”

   เฉินซื่อเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนที่ชายอีกคนจะเป็นล่ามแปลเป็นสำเนียงใต้ให้ฟัง

   “พวกเรารู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหมดแล้ว”

   สิ้นประโยคหลี่ไป๋ก็ถึงกับร่างชา... ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เขาก็ไม่ได้เตรียมใจว่าถูกจับได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

   “ข้าไม่เคยพูดกับท่านตรงๆแต่นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว...” ล่ามคนนั้นยังคงพูดแทนเฉินซื่อต่อไป “...ขอให้ความสัมพันธ์ของท่านกับท่านเป้ยหมิงจบลงเพียงแค่นี้ กรุณาอย่าไปพบหน้าท่านเป้ยหมิงอีก”

   “ท่านมีอำนาจอะไรมาสั่งข้า”

   “ท่านน่าจะรู้สถานะและตำแหน่งของตัวเองดี” ล่ามตอบ “ท่านเป็นแค่ทหารองครักษ์ของต้าอ๋องแห่งซานหลง ในขณะที่ท่านเป้ยหมิงเมื่อกลับไปยังป๋ายเซว่ไม่นานก็ต้องขึ้นครองแคว้น... และแน่นอน ว่าท่านทั้งสองก็จะไม่มีวันได้มาพบกันอีก”

   ความจริงอันเจ็บปวดข้อนั้นทำให้หลี่ไป๋ถึงกับเถียงไม่ออก จำต้องฟังความจากล่ามผู้นั้นต่อไป

   “ข้าไปได้ยินเรื่องนางรับใช้ที่ปลอมตัวเข้ามาลอบสังหารต้าอ๋องแล้ว และได้ยินว่าก่อนหน้านั้นท่านก็เป็นคนที่ไปเตือนต้าอ๋องให้ระวังนางเอาไว้... คิดว่าท่านคงจะจำได้”

   “แน่นอน ข้าจำได้”

   “ข้าเองก็เหมือนกัน... ข้าก็อยากจะทำหน้าที่บ่าวที่ดีที่สุดในการเตือนภัยให้เจ้านาย   ในเมื่อท่านเองก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ท่านก็น่าจะเข้าใจดี”

   ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ตนเคยเตือนต้าอ๋องไปวันนั้นเป็นเช่นดาบสองคม แต่ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันที่มันจะกลับมาทำร้ายตนได้เช่นนี้

   และแต่ละคำที่อีกฝ่ายพูดมา ต่างก็เป็นความจริงทั้งนั้น

   “ข้าเข้าใจ... แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่ากรณีของข้าต่างจากกรณีของท่านต้าอ๋อง”

   “หากท่านจะคิดเช่นนั้นเราก็ห้ามท่านไม่ได้ แต่ขอให้ท่านกรุณาฟังคำขอร้องของเรา มิฉะนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจแพร่กระจายทำลายชื่อเสียงของท่านอีกครั้งก็เป็นได้”

   หลี่ไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง... วูบแรกนั้นเขาไม่เข้าใจ แต่สักพักหนึ่งเขาถึงเพิ่งได้ตระหนักว่านั่นคงมิใช่แค่คำบอกเล่าธรรมดา

   “นี่ท่านขู่ข้าหรือ”

   “แล้วแต่ท่านจะคิด เรื่องราวเช่นนี้หากมีคนอื่นรู้เข้าคงจะปิดกันไม่ได้ง่ายๆ และข่าวอาจจะบิดเบือนไปเป็นอย่างอื่นที่ร้ายแรงกว่านี้ก็เป็นได้”

   “อย่างเช่นอะไรล่ะ” หลี่ไป๋เริ่มโมโห

   “อย่างเช่น องค์รัชทายาทถูกล่วงเกิน... หรือไม่ก็ถูกข่มขืน โดยองครักษ์ของต้าอ๋องแห่งซานหลง---”

   “มันจะมากไปแล้วท่าน!”

   “ท่านเองน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าข่าวลือน่ากลัวเพียงใดมิใช่หรือ... หากไม่คิดถึงตัวเอง ก็กรุณาคิดถึงท่านเป้ยหมิงด้วย”

   หลี่ไป๋กัดฟันแน่น พูดไม่ออก... จะแก้ไขแก้ตัวอะไรก็ไม่ได้ จนสุดท้ายก็ต้องปล่อยให้แขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองออกจากห้องไปอย่างไร้เยื่อใย

   ...เขาเองนี่แหล่ะคือคนที่ถูกข่าวลวงทำร้ายมากที่สุด และถ้าจะให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองเขาคงยอมไม่ได้... โดยเฉพาะเมื่อชื่อเสียงของเป้ยหมิงจะต้องถูกทำลายไปกับเขาด้วยแล้ว

   เขาไม่อยากจะเป็นคนที่ทำร้ายเป้ยหมิงเสียเอง

   ต่อให้ฝ่ายคนรับใช้ของเป้ยหมิงจะไม่ได้ปล่อยข่าวลืออย่างที่ขู่เอาไว้ แต่การใกล้ชิดกันของพวกเขาก็ต้องทำให้เกิดข่าวลืออันร้ายกาจได้เองในสักวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่เหลือคืออย่าพานพบหน้าเป้ยหมิงอีกเช่นเลยกระนั้นหรือ?

   เรื่องราวของพวกเขาเป็นได้แค่เส้นขนาน พรหมลิขิตคงบันดาลมาให้เพียงแค่นั้น...
   




หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 18 จันทร์หลุดมือ]
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 25-12-2013 22:54:41
บทที่ 18 จันทร์หลุดมือ



   เวลาหนึ่งทุ่ม ทหารยามรอบประตูวังจะเปลี่ยนกะ วนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก... ตั่วหยางมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นที่จะใช้โอกาสนี้ลักลอบเข้าไปในวังให้ได้

   บรรยากาศของหลายวันที่ผ่านมานี้ดูตึงเครียด เมื่อตะวันลับฟ้าบ้านทุกหลังก็ปิดประตูหน้าต่างกันเงียบสนิท มีทหารม้าเฝ้าตรวจตราถนนทุกเส้นในเมือง   ในวันนั้นหลินไน่ได้บอกเส้นทางและช่วงเวลาหลบหนีจากทหารให้เข้าไปถึงกำแพงวัง   หลายวันต่อมาตั่วหยางหลบหนีเข้ากำแพงเมืองมาโดยการซ่อนตัวอยู่ในเกวียนบรรทุกสินค้า ส่วนหลินไน่ก็ซ่อนตัวอยู่กับกลุ่มกบฏที่ประชุมกันในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง

   แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า... อีกไม่กี่คืนแสงจันทร์ก็จะไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว นั่นทำให้เขาเหลือเวลาน้อยลงเต็มที เพราะสัญญากับหลินไน่ไว้ว่าถึงคืนเดือนแรมเมื่อไรแล้วเขายังฆ่าหงฟี่ไม่ได้ กลุ่มกบฏจะปลุกระดมประชาชนเคลื่อนไหวเข้ายึดวังในทันที

   ทุกอย่างเงียบสนิท แม้ใบไม้ที่กำลังร่วงก็ยังไม่ส่งเสียง   ทหารสองนายที่ยืนเฝ้าประตูเล็กทิศตะวันตกอยู่ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกจับตามอง   เพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้นก็มีเงาดำพุ่งเข้าใส่ทหารคนหนึ่งจากด้านบน  ถูกสันมือฟาดลำคอตรงจุดที่ทำให้สลบชั่วคราวก่อนจะล้มฟุบลงไป   พลันชายทหารอีกคนที่ยืนข้างๆหันขวับมาเห็น จะชักดาบออกมาสู้เงาประหลาดนั้นแต่ก็ไม่ทันลีลาต่อสู้ที่เตะอาวุธในมือเขาให้ลอยหวือออกไปไกล   เงานั้นกระโดดไต่กำแพงขึ้นสูงโผล่ไปด้านหลัง รู้สึกตัวอีกทีทหารนายนั้นก็ถูกเข็มพิษทิ่มลงที่หลังคอ  สลบล้มลงหมดสติไปได้ทั้งคืน

   ตั่วหยางรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองกับทหารนายนั้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  เปลี่ยนให้ชายทหารใส่เสื้อเก่าๆที่เขาขโมยชาวบ้านมา แล้วลากไปนอนอยู่ข้างพุ่มไม้ที่สุดถนนให้ดูเป็นเพียงชายไร้บ้านคนหนึ่ง   เมื่อสวมชุดทหาร สวมหมวกเกราะจนมองไม่เห็นใบหน้าของตนแล้ว ตั่วหยางถึงได้ปลุกชายทหารอีกคนที่สลบไปก่อนหน้าให้ตื่นขึ้น ปลอบใจว่าเขาคงเฝ้าเหนื่อยจนสลบไป ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

   ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ก่อนที่ทหารกะชุดใหม่จะเข้ามาเปลี่ยนเวร

   แผนนี้สำเร็จไปได้อย่างงดงาม เขาเข้ากำแพงวังได้แล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่หาทางเข้าหาหงฟี่ให้ได้เท่านั้น

   เมื่อได้โอกาสดีเขาก็ผละจากทหารคนอื่นเดินลัดเลาะเข้าไปตามทางเดินในวัง... ป่านนี้หงฟี่คงจะนั่งดื่มเหล้าฆ่าเวลาอย่างเช่นทุกคืนกระมัง หรือว่าจะถูกบังคับให้ไปอยู่ในห้องอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้ก็ไม่รู้ได้  หนทางเดียวที่เขาจะรู้ก็คือต้องเดินตามหา เก็บรวบรวมข้อมูลเท่าที่ได้ เพื่อที่จะไม่สร้างพิรุธมากไปกว่านี้

   แม้แต่ในวังเองก็ยังเงียบสนิท มีทหารประจำอยู่ทุกหัวมุมทางเดิน  แต่แล้วพอเขาย่างเท้าเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในก็ถูกดักไว้โดยทหารอีกสองนาย

   “มีธุระอะไร”

   “ข้าถูกสั่งให้เข้าไป”

   “ใครสั่ง”

   ตั่วหยางชะงัก  เกือบตอบไปแล้วว่าหลี่ไป๋... แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าชายผู้นั้นสิ้นชีพคามือเขาไปแล้ว

   สะท้อนใจได้เพียงครู่เดียวก็ต้องรีบตอบไป “ก็ท่าน...หัวหน้าน่ะสิ”

   “ท่านหัวหน้าชื่ออะไร”

   ตั่วหยางสะอึก เริ่มรู้ตัวแล้วว่าหนีพิรุธครั้งนี้ไปไม่รอดแน่ๆ

   “ข้าจำชื่อท่านไม่ได้หรอก ท่านเพิ่งรับตำแหน่งใหม่แค่ไม่กี่วันเองไม่ใช่หรือ”

   ทหารยามทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างงงงวย

   “ก็... ก็ท่านหลี่ไป๋เพิ่งจะสิ้น...”

   มีแค่ความเงียบสงัด ทหารทั้งสองมองหน้ากันอีกรอบ และเพียงเท่านั้นทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งชัดเจน

   สองดาบถูกชักออกมาจู่โจมผู้บุกรุกไม่ให้ทันตั้งตัว  ตั่วหยางรีบวาดดาบขึ้นกันแม้ว่าจะเกือบหลบไม่ทัน  ทหารทั้งสองบุกเข้าจู่โจมรุนแรง แต่ก็ยังได้ยินเสียงทหารอื่นหันไปตะโกนก้อง ประกาศว่ากบฏผู้นั้นกลับเข้ามาในวังแล้ว

   สถานการณ์พลิกผันภายในชั่วพริบตาเดียว พลันได้ยินคำประกาศตั่วหยางก็รู้ดีว่าควรถอยหนีเสียตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่ทหารจะแห่มากันทั้งวัง  แต่พอได้โอกาสดีหาทางหนีออกมาจากหน้าประตูวังชั้นในได้แล้ว ก็ดันพบกับทหารกลุ่มใหญ่ดักรออยู่ตรงหัวมุมจนแทบชะงักเท้าไม่ทัน

   สถานะตอนนี้เขากลายเป็นสุนัขจนตรอก ถ้าจำต้องสู้กับศัตรูจำนวนมากขนาดนี้เขาก็คงจะไม่รอดแน่ๆ... ไม่ได้แม้แต่จะเห็นหน้าหงฟี่เป็นครั้งสุดท้าย

   หันไปมองรอบๆก็เห็นทหารเหล่านั้นค่อยๆตีล้อมเข้ามาเป็นวง ประกาศกร้าวให้เขายอมจำนนเสีย

   ...ถึงตายเขาก็จะสู้

   “อย่าให้ยืดเยื้อเลย พวกเจ้าเข้ามาซะ!”

   “อย่าเข้าไป”

   เสียงๆหนึ่งดังมาจากนอกวงทหาร... เป็นเสียงทุ้มต่ำที่ทำให้ตั่วหยางขนลุกชันขึ้นมาทันที

   “ท่านต้าอ๋องสั่งให้จับเป็น”

   ชายร่างสูงผู้นั้นเดินแหวกกำแพงทหารเข้ามา  นั่นคือชายทหารตาเดียวที่เคยประมือกับเขามาแล้วสองครั้ง... และเคยสิ้นชีพต่อหน้าเขามาแล้วด้วยซ้ำ!

   “เจ้า... ทำไมเจ้ายังไม่ตาย!”

   “ข้าโชคดี” หลี่ไป๋ตอบเรียบๆ เครียดขึ้งดุดันอย่างที่เขาไม่เคยเห็น “แต่เจ้าจะไม่โชคดีอย่างข้าแน่... จับมัน!”

   สิ้นคำสั่ง ชายทหารหลายนายก็กรูกันเข้ามาจับชายกบฏไว้ในทันที  จับมือเขาไพล่หลัง ดันให้ทรุดเข่าลงนั่ง กดหัวให้ต่ำลงไปอยู่กับพื้น

   ตั่วหยางตั้งสติ... หากคำบอกที่ว่าต้าอ๋องสั่งให้จับเป็นเขาเป็นจริง  ไม่แน่นี่อาจจะยังไม่ใช่จุดจบ


...................................................................


   ชายกบฏถูกจับถอดเสื้อผ้าทุกอย่าง ค้นจนหมดว่าไม่มีอาวุธอะไรหลงเหลืออยู่ ก่อนที่จะถูกจับใส่ชุดนักโทษ โยนไว้ในห้องขังที่มีเพียงประตูลงกลอนหนาแน่น ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงอะไรทั้งนั้น

   ตั่วหยางนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นเพียงครู่หนึ่ง ไม่นานนักช่องเล็กๆบนประตูก็เลื่อนเปิดออก ได้ยินเสียงทหารประกาศดังมาแต่ไกล

   “ท่านต้าอ๋องเสด็จ ทำความเคารพด้วย”

   ชายกบฏผุดลุกขึ้นจากที่นั่งอยู่บนพื้น ลุกขึ้นเกาะประตู มองลอดไปที่ช่องเล็กๆที่มีไม้กั้นเป็นซี่กรงแคบเกินกว่าที่จะยื่นมือออกไปได้... ทั้งๆที่ห้ามใจแล้วแท้ๆ แต่เมื่อได้เห็นหน้าหงฟี่อีกเพียงครั้งเดียวก็ดันกลับไปรู้สึกเช่นเคยอีกครั้ง

   “หงฟี่...”

   ทหารที่ติดตามมาด้วยตวาดลั่น “นี่เจ้าบังอาจเรียกนามท่านต้าอ๋องเชียวหรือ”

   “ไม่เป็นไรหรอก” หงฟี่ตัดบทเรียบๆ ทำให้ทหารนายนั้นนิ่งเงียบไป

   ตั่วหยางเกาะช่องเล็กๆตรงประตูอย่างสิ้นหวัง นึกทรมานเสียจนถ้าถูกทหารลงทัณฑ์ไปตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วคงจะดียิ่งกว่า

   “ท่านจับเป็นข้าทำไม”

   “ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าอีกสักครั้ง... ก่อนที่ข้าจะไม่มีโอกาสอีก”

   “ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถอะ ครั้งนี้ข้าตั้งใจมาหาท่านจริงๆ ข้าไม่ได้คิดเรื่องลอบสังหารเลย...”

   “คำพูดทุกคำของเจ้าล้วนเป็นคำโกหกทั้งนั้น ข้าคงไม่อาจเชื่อคำพูดใดของเจ้าได้อีก”

   ตั่วหยางหน้าชา... ถึงแม้ว่าที่เอ่ยไปเมื่อครู่ก็เป็นคำโกหกก็ตาม แต่การที่เขาสูญเสียความเชื่อใจจากหงฟี่ไปเช่นนี้มันกลับทำร้ายจิตใจอย่างบอกไม่ถูก

   “ถ้าเช่นนั้น... หากท่านไม่เชื่อข้าแล้ว ท่านจะเก็บข้าไว้ทำไม”

   “ข้าแค่รอเวลา” หงฟี่ตอบกลับมาเรียบๆ “ให้เจ้าทบทวนตัวเองอยู่ในนี้คงทำให้เจ้าทรมานเท่ากับข้าได้บ้าง”

   “หงฟี่...”

   เจ้าครองแคว้นหันไปพูดกับทหาร “ดูแลนักโทษคนนี้ให้ดีๆ ถ้ามีคำสั่งอะไรอีกข้าจะสั่งลงมาอีกที”

   “ขอรับ”

   ต้าอ๋องหันหลังเดินกลับไปอย่างไร้เยื่อใย เพียงแค่นั้นตั่วหยางก็ตะโกนออกมาสุดเสียง

   “หงฟี่!... หงฟี่ ข้ากลับใจแล้ว หงฟี่! ได้โปรด...”

   แสงสว่างจากช่องเล็กๆหายวับไปเมื่อต้าอ๋องและเหล่าทหารอารักขาเดินออกไปจากห้อง ทิ้งตั่วหยางเอาไว้กับความมืดสนิท เงียบสงัด ลำพังในห้องสี่เหลี่ยมที่คงจะทำให้เขาเป็นบ้าไปได้ในไม่ช้า

   ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง... กัดฟันแน่น   หากหงฟี่หมดรักเขาแล้ว เขาก็จะได้ตัดใจได้ง่ายขึ้น เมื่อครู่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอหน้ากันแล้ว  หากเขาหนีจากห้องขังนี้ไปไม่ได้ อย่างไรเสียอีกไม่กี่คืนข้างหน้าการกบฏก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี

   แต่ตอนนี้เขาจะไม่สิ้นหวัง... เพื่อหยาโจวแล้วเขาจะทำ ทุกวิถีทางเท่าที่มี...


...................................................................


   จันทร์ใกล้ดับ ความตึงเครียดในวังพุ่งถึงเกือบขีดสุด แทบจะไม่มีใครเดินไปในมาไหนได้เพียงลำพัง

   แม้แต่ศาลาริมน้ำที่หลี่ไป๋เคยไปตรวจตราทุกวัน เขาก็ไม่กล้าที่จะย่างกรายเข้าไปใกล้อีก หนึ่งคือเพราะหน้าที่ของเขาที่จำต้องประกบหงฟี่ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น กวดขันตรวจตรารอบบริเวณวังให้แน่นหนายิ่งขึ้น และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เขาตั้งใจที่จะไม่ไปพบหน้าเป้ยหมิงอีกแล้ว

   ในสถานการณ์เช่นนี้เป้ยหมิงก็คงไม่สามารถที่จะลอบออกมาหาเขาได้เช่นกัน คาดว่าบรรดาอาคันตุกะจากป๋ายเซว่คงอึดอัดอยากกลับแคว้นกันเต็มทนแล้ว... และนี่ก็เป็นเหตุผลเดียวที่หลี่ไป๋ใช้ปลอบใจตัวเองได้ ว่าเขาต้องอดทนอีกแค่ไม่นานเท่าไรเป้ยหมิงก็จะต้องกลับแคว้น และความทรมานทั้งหมดนี้จะได้สิ้นสุดลงเสียที

   ฝ่าเท้าที่ย่ำอยู่กลางราตรีหยุดกึก... หัวใจเผลอบีบแน่นอย่างห้ามไม่ได้

   แต่แล้วในความเงียบงันนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาไกลๆ   หลี่ไป๋ชะงักนิ่ง ปลายประสาทคมกริบ เตรียมพร้อมรับอันตรายทุกชนิดที่กำลังใกล้เข้ามา

   มือขวาเลื่อนลงไปอยู่ตรงด้ามดาบ รอจังหวะให้ฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาแล้วเขาจะได้จัดการ...

   “ท่านหลี่ไป๋...!”

   ชะงักตัวเองเกือบไม่ทันเมื่อหันหลังขวับกลับไปหา เกือบชักดาบออกมาฟาดร่างตรงหน้าเสียแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย

   ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งสติไม่ทัน เพียงได้เห็นหน้าคนตรงหน้าชัดๆอีกครั้งก็เหมือนกับถูกช่วงชิงลมหายใจไปเสียแล้ว

   “ท่านหลี่ไป๋... ท่านหลบหน้าข้าทำไม...”

   ใบหน้างดงามที่แฝงความเศร้าอยู่เป็นนิจของเป้ยหมิงคราวนี้กลับระเบิดความเจ็บปวดออกมาอย่างไม่ปิดบัง... หลี่ไป๋ทนดูไม่ได้ แม้ว่าจะนึกเป็นห่วงคนตรงหน้าสุดใจก็ตาม

   “ท่านออกมาเดินทำไมขอรับ ท่านก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้อันตราย---”

   “ท่านไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย”

   หลี่ไป๋เถียงไม่ออก ได้แต่กล้ำกลืนน้ำขมลงไปในคอ

   “ท่านรออยู่ตรงนี้นะขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปตามทหารให้ไปส่งท่านกลับตำหนัก”

   “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าข้าจะพูดกับท่านให้รู้เรื่อง”

   “แต่ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่านแล้วขอรับ”

   หันหลังกลับคิดจะเดินหนี กลัวจะแพ้ใจตัวเองหากต้องยืนอยู่ตรงนี้นานกว่านี้... แต่ผละก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกมือของเป้ยหมิงดึงข้อมือเขาเอาไว้ได้เสียก่อน

   “แต่ข้ามี!” น้ำเสียงนั้นร้อนรนยิ่งนัก “...ได้โปรดตอบข้ามาเถิด เกิดอะไรขึ้นหรือหลี่ไป๋”

   “ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะขอรับ”

   “ไม่จริง! ถ้าไม่มีอะไรทั้งนั้นแล้วท่านจะหนีหน้าข้าทำไม” เป้ยหมิงพยายามเดินวนมามองหน้าเขาให้ได้ “...หรือเฉินซื่อมาพูดอะไรกับท่าน”

   “ต่อให้เฉินซื่อมาพูดอะไรกับข้า ข้าก็เป็นคนตัดสินใจเองขอรับ”

   “อะไร? แปลว่าเป็นเพราะเฉินซื่อจริงๆใช่ไหม... ข้าจะไปจัดการ---”

   “ก็ข้าบอกท่านแล้วไงขอรับ ว่าข้าเป็นคนตัดสินใจเอง”

   พลันนั้นเป้ยหมิงก็เงียบไป ในสายตาเต็มไปด้วยความงุนงงและรวดร้าวเสียจนน่าสงสาร

   “ตัดสินใจ... ตัดสินใจอะไร”

   “เรื่องของเรา ให้มันจบลงเพียงเท่านี้เถิดขอรับ”

   ริมฝีปากเป้ยหมิงแห้งผาก หายใจแรงอย่างใจสลาย “ทำไม.... บอกเหตุผลกับข้าได้ไหม”

   “ข้า... ข้ามาคิดๆดูแล้ว... ข้าไม่คู่ควร”

   “ไม่คู่ควรเช่นไร? บอกข้ามาสิ!” เป้ยหมิงก้าวเข้ามาดึงเสื้อเขาไว้แน่น “ท่านอายหรือที่จะบอกใครๆว่าเรารู้สึกอย่างไรต่อกัน แต่ข้าไม่อาย---”

   “ท่านแน่ใจหรือว่าเราคิดเหมือนกัน”

   องค์รัชทายาทที่ละล่ำละลักคำพูดอยู่นั้นถึงกับชะงักกึก ใจหายวาบ แทบไม่เชื่อหูว่าเพิ่งได้ยินสิ่งใด

   “แปลว่าอะไร... แปลว่าข้าคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือ”

   “ข้าฆ่าคนมาแล้วนับร้อย คนทั้งแผ่นดินโจวคิดว่าข้าสังหารองค์จักรพรรดิ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ข้าเล่ามาเป็นความจริง? แล้วการที่ข้าใกล้ชิดกับท่านเช่นนี้ ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ฆาตกรเลือดเย็นคนนี้ไม่ได้คิดจะล่อลวงท่าน ขืนใจท่าน วางแผนสังหารท่าน เพื่อความสนุกสนานของตัวข้าเอง...”

   “นั่นมันเหลวไหลทั้งเพ หลี่ไป๋!---”

   สายตาพลันเหลือบไปเห็นทหารยามที่เดินตรวจตราสองนายเดินผ่านบริเวณเข้ามา

   “ทหาร! ช่วยพาท่านเป้ยหมิงกลับไปส่งที่ตำหนัก”

   “หลี่ไป๋! มองหน้าข้า!” เป้ยหมิงจับใบหน้าของเขาให้หันมาสบตาตน “ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น!”

   “แต่ทุกคนคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้น!”

   “ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป! แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่---”

   ทหารสองนายวิ่งมาถึงตัวเป้ยหมิงแล้ว ทั้งสองเห็นสถานการณ์ก็รีบดึงตัวองค์รัชทายาทให้หลุดออกมาจากหลี่ไป๋อย่างสุดความสามารถ

   “ตัดใจเสียเถิดขอรับ... กลับแคว้นป๋ายเซว่ของท่านไป”

   “หลี่ไป๋ ท่านอย่าพูดเช่นนี้”

   “ข้าเป็นเพียงแค่เดรัจฉาน... ที่หมายปองดวงจันทร์”

   ความคิดที่วนเวียนอยู่ในจิตใจตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรกพลันหลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หลี่ไป๋ไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าการเล่นละครตบตาทั้งหมดที่เขาได้ทำมามันพังทลายลงด้วยคำๆนี้  แต่ก็สายเกินกว่าที่เป้ยหมิงจะรั้งเขาเอาไว้ได้อีกแล้ว  ตอนนี้องค์รัชทายาทดิ้นพล่านแต่ก็ไม่อาจจะหลุดจากการจับกุมของทหารทั้งสองนายออกมาได้ดั่งใจ

   “หลี่ไป๋... ท่านหลี่ไป๋... ท่านไม่ใช่---”

   “ลาก่อนขอรับ”

   เป็นคำบอกลาที่เจ็บปวดราวกับจะทำให้สิ้นใจ แต่เขาก็ทำได้แค่นี้... หลี่ไป๋หันหลังกลับ ฝืนเท้าย่ำไปข้างหน้า ทิ้งให้เสียงร้องตะโกนเรียกชื่อเขาค่อยๆถูกทิ้งให้ลับหายไป

   ...จันทร์งดงามดวงนั้น หลุดลอยจากมือเขาไปตลอดกาล





--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ปล.วันคริสต์มาสอีกแว้ววววว
Merry X'mas 2013 ค่ะทุกคนนนนน :กอด1:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 19 คืนจันทร์ดับ] // บทหน้าอวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 02-01-2014 20:35:25
บทที่ 19 คืนจันทร์ดับ





   ท้องฟ้ามืดมิด ถึงคืนจันทร์ดับสนิทแล้ว

   ชายคนหนึ่งมองสำรวจฟ้าที่ดาวพร่างพรายผ่านหน้าต่างกรอบไม้เล็กๆ น่าแปลกที่โรงน้ำชาแห่งนี้ยังคงมีคนนั่งชุมนุมกันอยู่ภายใต้เทียนไม่กี่ดวงที่จุดไว้เพียงแค่สลัวๆ เพื่อพรางทหารยามทั้งหลายให้ไม่สงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายใน

   หลินไน่นั่งจ้องมองฟ้านิ่งเงียบ ราวกับจะนั่งนับลมหายใจเข้าออกที่เวลาผ่านไปทุกชั่วยาม

   “ตกลงต้องรอให้ถึงเที่ยงคืน หรือต้องรอให้หมดคืนกันแน่”

   ชายร่างใหญ่หนาเคราดกครึ้มกระโชกเสียงถาม หลินไน่หันมาตอบเรียบๆ

   “จบคืนนี้”

   “เราส่งสาสน์ให้ประชาชนทั่วทั้งซานหลงได้รู้เจตนารมณ์ของเราแล้ว เที่ยงคืนคืนนี้เราก็พร้อม!”

   “ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าวู่วาม! เพื่อนของข้ายังอยู่ในวังนั้น”

   “อยู่ดีๆเกิดก็เชื่อใจเพื่อนขึ้นมาเช่นนั้นหรือ เห็นก่อนหน้านี้เจ้ายังโกรธเกลียดเพื่อนของเจ้าอยู่เลย”

   หลินไน่สูดหายใจลึกเมื่อความโกรธแล่นขึ้นมาทันควัน

   “ถึงข้าจะโกรธจะเกลียดเพื่อนข้าเช่นไร... ข้าก็ยังไว้ใจเขา”

   บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ชายอีกเกือบสิบคนที่นั่งๆนอนๆอยู่ในโรงน้ำชาหันมามองการสนทนาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางควันยาสูบลอยฟุ้ง

   “ใจเย็นๆเถิดทุกท่าน” ภรรยาเจ้าของโรงน้ำชาคนงามเดินมายุติความตึงเครียดอย่างเฉียบขาด สายตาคมกริบของนางค่อยๆเลื่อนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเช่นกัน

   “อดใจรออีกเพียงคืนเดียว เพียงตะวันขึ้นจากฟ้า เราก็จะได้รู้ชะตากันแล้ว”

   สิ้นคำของนาง ผู้ร่วมกลุ่มกบฏทุกคนก็แทบจะหันมองนอกหน้าต่างพร้อมกัน... ความตึงเครียดนั้นไม่ได้จางหายไปไหน เพียงแต่มันถูกดูดกลับไปเก็บอยู่ในความเงียบอันทรมานเช่นเดิมเท่านั้น

   มีเพียงหลินไน่ที่ผละสายตาหันมามองกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างตัว ได้แต่ลูบมือบนฝากล่องเพียงแผ่วเบา ราวกับจะสื่อสารให้เจ้าของวิญญาณที่ศีรษะหลับอยู่ในกล่องนั้นได้รับรู้ความในใจ

   รออีกเพียงอึดใจเดียว หยาโจวเอ๋ย... แล้วฝันของเราจะเป็นจริง


...................................................................


   เสียงช่องไม้บนประตูเลื่อนเปิดออกเสียงดัง ตั่วหยางสะดุ้งตื่นขึ้น  ถึงได้เห็นว่ามีทหารนายหนึ่งยื่นชุดคลุมให้เขาลอดผ่านช่องกรง

   “ใส่นี่ซะ นี่เป็นคำสั่งจากท่านต้าอ๋อง”

   “ท่านต้าอ๋อง?... ทำไม?”

   “ท่านมีคำสั่งให้นำตัวเจ้าขึ้นไปบนลานตะวันออก เดี๋ยวนี้”

   ตั่วหยางไม่กล้าพูดอะไรอีก มีเพียงความสงสัยที่ครอบงำในจิตใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ได้แต่หยิบชุดคลุมที่ถูกโยนลงมาบนพื้นขึ้นมาใส่ พยายามตั้งสติหาทางหนีทีไล่จากสถานการณ์นี้

   “ท่านต้าอ๋องยังมีคำสั่งอีกว่า อย่าคิดหาทางหนีหรือทำร้ายทหารที่ถูกส่งมา ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น นี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย”

   ยิ่งฟังตั่วหยางยิ่งไม่เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่จากถ้อยคำที่ท่องมาอย่างดีนั้นก็รู้ได้ว่านี่ไม่น่าจะเป็นแผนการหรือเรื่องตลกอะไร และเพียงแค่เขาได้ยินคำว่า “การพบกัน” มันก็ทำให้เขาลืมตรรกะเหตุผลไปได้สิ้นแล้ว

   แม้จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย... ก็ดีกว่าจะไม่มีการพบกันอีกเลย

   เมื่อหยิบชุดคลุมนั้นขึ้นมาสวมใส่ ทั้งๆที่ยังไม่มีแสงมากพอจะทำให้เห็นเนื้อผ้าได้ชัด ตั่วหยางก็พลันจำได้ว่านี่คือชุดคลุมของหงฟี่ที่ใส่ในวันฉลองการสถาปนาแคว้นที่พวกเขาไปเที่ยวด้วยกัน เหตุเพราะสัมผัสและกลิ่นของหงฟี่ที่ติดอยู่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าเขาจำไม่ผิดแน่

   ประตูห้องขังค่อยๆถูกเลื่อนเปิดออก แสงสว่างที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันค่อยๆพุ่งเข้ามาสู่สายตา พร้อมกับที่เห็นว่าทหารเกือบสิบนายถืออาวุธพร้อมสรรพรอเขาอยู่ตรงประตู เตรียมพร้อมรับมือถ้าเขาจะพุ่งเข้าทำร้ายได้ในทุกวินาที

   ตั่วหยางมองไปรอบๆ... หลี่ไป๋ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้

   เหล่าทหารต่างพากันดูแปลกใจที่เขาไม่มีทีท่าว่าจะต่อสู้ขัดขืน ตั่วหยางค่อยๆก้าวออกมาสู่แสงสว่าง  ก่อนจะถูกทหารนายหนึ่งจับมือเขามัดไพล่หลัง จับตรวนใส่ข้อมือทั้งสองข้างของเขาอย่างแน่นหนา เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนักโทษก็ถูกพาตัวออกมาจากห้องขัง มีทหารเกือบสิบนายล้อมรอบราวกับเขาเป็นฝ่ายถูกอารักขาเสียเอง

   เมื่อได้ก้าวออกมาสู่ระเบียงวังอีกครั้งแล้ว ตั่วหยางถึงได้เห็นว่าคืนนี้นี่เองที่เป็นคืนจันทร์ดับ... เลือดในกายพลันแล่นพล่าน แต่ก็จำต้องสงบสติอารมณ์ไว้  ค่อยๆเดินตามกลุ่มทหารเหล่านี้ไปจนสุดทาง

   หลับตา พยายามนึกใบหน้าของหยาโจวไว้... นึกใบหน้าของคนทั้งหมู่บ้าน... คนทั้งซานหลงที่รอคอยความสำเร็จในค่ำคืนนี้ของเขา

   ทั้งวังเงียบกริบราวกับเป็นสุสาน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆนอกเหนือจากฝีเท้าของพวกเขา ตั่วหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกพาไปที่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ลานตะวันออก” คือสถานที่อะไร   ไม่แน่มันอาจจะเป็นลานประหารชีวิตของเขา และตอนนี้ประชาชนทั้งซานหลงอาจจะมารอดูความตายของเขาแล้วก็เป็นได้

   แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น...

   ประตูบานใหญ่ถูกผลักเปิดออกหลังจากขึ้นบันไดมาหลายชั้น ตั่วหยางถึงได้พบคำตอบว่าลานตะวันออกนั้นคืออะไร... แท้จริงแล้วมันคือลานระเบียงกว้างที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีโต๊ะหมากรุกตัวหนึ่งวางอยู่กลางลาน เมื่อมองลงไปจะเห็นทัศนียภาพของนครซานหลงที่กำลังหลับใหลอยู่ภายใต้อ้อมกอดของดวงดาว

   ...และมีหงฟี่ยืนรอเขาอยู่ที่ระเบียงนั้น

   เหล่าทหารปลดตรวนจากข้อมือของเขาออก ปิดประตูลงตามหลังเขา น่าแปลกใจเป็นที่สุดว่าไม่มีทหารคนไหนยืนเฝ้าคอยดูพวกเขาอยู่เลย

   เนิ่นนานที่ไม่มีคำพูดใดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

   คล้ายเป็นความฝัน... ตั่วหยางไม่คิดว่าจะได้เจอหงฟี่อีกครั้ง โดยเฉพาะสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ มันแทบจะเป็นความจริงไปไม่ได้  และแค่เพียงหงฟี่หันหน้ามาสบตาเขาอีกครั้ง ก็ยังดูเหนือจริงเสียเหลือเกิน

   “มีรายงานว่าคืนจันทร์ดับ หากข้ายังไม่จบชีวิตลง กลุ่มกบฏจะปลุกระดมประชาชนให้ลุกฮือเข้ายึดวัง... จริงหรือไม่”

   ตั่วหยางหายใจกระตุก ชะงักงันไม่กล้าตอบความจริง

   “ท่านรู้ได้เช่นไร”

   “แสดงว่าเป็นเรื่องจริง”

   หงฟี่เดินเข้ามาใกล้ มีเพียงแสงโคมเพียงไม่กี่ดวงที่ถูกจุดไว้ตามเสาวังฉายให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย... เพียงแต่แววตาเย็นชานั้นกลับแข็งกร้าว เป็นหงฟี่คนเดิมที่เขาเคยไม่รู้จัก

   “หงฟี่...”

   “ข้าเก็บมีดของเพื่อนเจ้าเอาไว้ให้... ใช้มันเสียสิ”

   หงฟี่หยิบมีดเล่มเดิมที่เขาจำได้ขึ้นใจออกมาจากด้านในเสื้อของตนเอง เห็นด้ามมีดที่แกะสลักตัวอักษรอย่างงดงามว่าหวังหยาโจว มีเล่มเดียวบนโลกหล้า เล่มที่ถูกกำหนดมาเพื่อคืนนี้

   อยู่ดีๆใจก็หายวาบ... นี่หงฟี่เตรียมใจตายแล้วเช่นนั้นหรือ  และมากไปกว่านั้นคือยินยอมตายด้วยน้ำมือเขา ด้วยอาวุธของเพื่อนเขาเช่นนั้นหรือ

   “จะให้ข้า...”

   “ทำภารกิจของเจ้าให้เสร็จสิ้น คืนนี้ทุกอย่างจะได้สิ้นสุดลงเสียที”

   “หงฟี่... ท่านคิดดีแล้วหรือ”

   อยู่ดีๆก็มีแต่ความเงียบงัน... หากแววตาของต้าอ๋องไม่มีแม้แต่การวูบไหวเลยแม้แต่น้อย

   “ข้าคิดดีแล้ว”

   ปมปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย ไม่จำเป็นต้องลอบสังหารอีกต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด ในเมื่อคนตรงหน้ายินยอมพร้อมที่จะตาย จุดจบของเรื่องราวได้ดำเนินมาง่ายดายถึงเพียงนี้

   แต่ทำไมเล่า... เขาถึงตัดใจทำไม่ลง

   “รออะไรอยู่ล่ะ? นี่ข้าจะเป็นศพแรกของเจ้าหรือ”

   “ใช่...”

   “ไม่น่าเชื่อ...” หงฟี่รำพึงแผ่วเบา “...ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางเลือกแล้ว”

   ต้าอ๋องชักมีดออกมาจากฝัก หันมีดขึ้นในตำแหน่งที่จะปักลงกลางหัวใจ   ทันใดนั้นตั่วหยางก็พุ่งกระโจนเข้าไปหา จับด้ามมีดและมือหงฟี่เอาไว้ในมือตน

   “หงฟี่ อย่า!”

   “ทำไม? เจ้าจะห้ามข้าไว้ทำไม... ในเมื่อเจ้ามาหาข้าก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ”

   ตั่วหยางแย่งมีดเล่มนั้นกลับมาไว้ในมือตนได้สำเร็จ ผละตัวออกมาหอบหายใจลึก

   “ไม่ใช่... ไม่ใช่แบบนี้”

   “งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง...”

   ชายกบฏยังคงเหนื่อยหอบ หัวใจเต้นรัว ไม่มีสติจะคิดว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

   “ทำไม... ทำไมท่านถึงตัดใจ ทำไมถึงยอมตายได้ง่ายดายเช่นนี้”

   “ข้าเข้าใจเหตุผลของท่านพี่รองแล้ว”

   ตั่วหยางเงยหน้าขึ้นมาสบตา... แต่สิ่งที่เห็นจ้องมองกลับมามีเพียงความว่างเปล่าอันไร้หัวใจ หงฟี่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง

   “จำเรื่องตำนานมังกรปฐพีได้ไหม... สองพี่น้องนั้นไม่ต่างอะไรจากพี่ข้า เพียงแต่แทนสาวงามที่ถูกแย่งชิงแท้แล้วคือบัลลังก์ที่ว่างเปล่า และการถูกเนรเทศก็คือความตายของทั้งสอง”

   คนฟังนิ่งเงียบ ไม่คิดว่าอยู่ๆหงฟี่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

   “มีคนลือกันว่าข้าเป็นคนฆ่าท่านพี่รองเพื่อจะได้ขึ้นเป็นอ๋อง” หงฟี่พ่นลมหายใจอย่างนึกสมเพช “หึ... ถ้าข้าทำเช่นนั้นแล้วข้าจะได้อะไร?”

   “แล้วเรื่องจริงมันเป็นเช่นไร”

   “การเป็นอ๋องสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการแล้วก็เป็นเพียงคำสาป” คำพูดอันเย็นเยียบนั้นขมขื่นนัก “ท่านพี่รองเพียงแค่อยากเอาชนะท่านพี่ใหญ่ อย่างเช่นที่ทั้งสองเคยเข่นเขี้ยวกันมาตลอด... แต่เมื่อบัลลังก์ตกมาถึงมือตนแล้ว ท่านพี่รองถึงได้เข้าใจความจริงข้อนี้”

   ในแววตาของหงฟี่... ภาพของท่านพี่รองในคืนสุดท้ายได้กลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง

   “ท่านพี่รองจะตรอมใจตายด้วยความเสียใจที่ฆ่าท่านพี่ใหญ่ก็ทำได้ แต่ท่านกลับเลือกจะใช้มีดสั้นเสียแทน”

   มีดสั้นที่สลักชื่อหยาโจวเงาปลาบ สะท้อนแสงโคมเป็นประกาย

   “ข้าอยู่กับเขาตอนที่สิ้นใจ...”

   ทั้งลานกว้างปกคลุมด้วยความเงียบ ตั่วหยางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

   “ท่านบอกเรื่องนี้แก่ข้าทำไม”

   “ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลของท่านพี่รองแล้ว ...สิ่งเดียวที่ข้าจะทำประโยชน์ให้แคว้นนี้ได้ ก็มีเพียงแต่ต้องตายเท่านั้น”

   “หงฟี่...”

   “ลงมือซะ! ลงมือเดี๋ยวนี้...” พลันหงฟี่ตะคอกเสียงกร้าว “...ฆ่าอ๋องทรราชของเจ้าซะ ก่อนที่ทั้งซานหลงจะลุกเป็นไฟเมื่อตะวันขึ้น... ฆ่าข้าซะ ก่อนที่ข้าจะลืมเจ้า”

   “อย่าพูดเช่นนั้น!”

   “เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าลืมเจ้าเองมิใช่หรือ”

   “ข้า...”

   ชายกบฎหมดเรี่ยวแรงเสียจนเข่าทรุดลงกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงจุดนี้คงไม่มีทางออกใดอีกแล้วนอกจากที่เขาต้องเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อหยุดยั้งมหาโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

   จำต้องเสียสละ... หัวใจที่ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป

   “ข้าขอถามท่านหนึ่งคำ... ที่ท่านเคยขอพาข้าไปที่ไหนก็ได้ในโลกหล้า ท่านยังจะอยากพาข้าไปอยู่ไหม”

   ในความเงียบงันนั้น หงฟี่ค่อยๆทรุดเข่าลงนั่งตรงหน้าเขา

   “อยากสิ”

   “ท่านอยากจะพาข้าไปที่ไหน”

   “แล้วแต่เจ้า...  ทุกที่ที่เจ้าอยากจะไป”

   “แม้ว่าท่านจะรู้ ว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเราจะไม่มีวันรักกันได้อย่างนั้นหรือ”

   หงฟี่เงียบไป เพียงอึดใจก่อนที่จะเห็นว่าน้ำตาหยาดบางกำลังไหลลงอาบหน้าตั่วหยาง

   “ใช่...”

   “มีที่ที่หนึ่ง... ที่ไม่ใช่ภพนี้”

   คนฟังนิ่งเงียบ   ไร้สรรพเสียงใดในซานหลง... บัดนี้หงฟี่รู้แล้วว่าตั่วหยางกำลังคิดสิ่งใด

   ใบหน้างดงามที่ไม่เคยเปลี่ยนนั้นเงยขึ้นมามองเขาทั้งน้ำตา

   “...ท่านยังจะพาข้าไปอยู่ไหม?”

   ตั่วหยางสิ้นแรงทรุดลง ทั้งร่างโยกไหวเพราะแรงสะอื้น น้ำตามากมายที่ไม่รู้ว่าเอ่อล้นออกมาจากที่ใดยังคงไหลทะลักท่วมท้นออกมาไม่ขาดสาย หงฟี่ได้แต่ประคองร่างตรงหน้าไว้ พาลมีหยดน้ำเย็นๆไหลออกมาจากหางตาของเขาเช่นกัน

   ไม่เสียใจ ที่ต้องพูดคำนี้ออกไป

   “ไปสิ... ข้าจะพาเจ้าไป...”

   มีเพียงความเงียบสงัดชั่วอึดใจ ก่อนที่ตั่วหยางจะระเบิดเสียงร้องอันเจ็บปวดออกมาดังก้อง... ดังพอที่จะปลุกชาวเมืองซานหลงให้ตื่นขึ้นได้ เป็นเสียงร้องจากใจที่แตกสลาย จากวิญญาณที่รู้ตัวว่าค่ำคืนนี้คือคืนสุดท้าย

   หงฟี่ได้แต่กอดนักโทษผู้นี้ไว้ กอดดวงใจของตัวเองที่อยู่ในร่างของคนๆนี้

   อยากจะนั่งอยู่ด้วยกันเช่นนั้นเนิ่นนาน... แต่ก็รู้ว่าเวลามีแต่ต้องดำเนินไป

   ได้ยินเสียงฝีเท้าทหารยามมากมายวิ่งกรูกันใกล้เข้ามาที่ลานแห่งนี้  ทหารทุกคนคงจะรู้ตัวจากเสียงร้องของเขาเมื่อครู่  และเมื่อได้ยินเสียงตะโกนสั่งการของหลี่ไป๋ที่คุ้นเคยดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่   ตั่วหยางถึงได้รู้ว่าหงฟี่คงเตรียมใจไว้แล้วจริงๆ ถึงขั้นวางแผนกันหลี่ไป๋ให้ออกไปตรวจตราที่อื่นเพื่อไม่ให้แผนการนี้ถูกขัดขวางได้   

   ทั้งสองมองหน้ากันในแสงสลัวราง หงฟี่จับมือตั่วหยางที่ถือมีดอยู่ให้กำด้ามแน่นสนิท มืออีกข้างเสยผมสีดำขลับที่ตนหลงใหลให้ได้มองเห็นใบหน้างดงามได้ชัดยิ่งขึ้น

   “ให้ข้าไปก่อน...”

   หงฟี่เอ่ยเพียงสั้นๆ... เวลาใกล้หมดลงแล้ว   ตั่วหยางทำได้เพียงดึงหน้าอ๋องที่ตนเคยชิงชังลงมารับจุมพิตหวานเป็นครั้งสุดท้าย มอบความรู้สึกทั้งหมดให้แบบที่ไม่เคยให้ใคร

   วูบหนึ่งเขาคิดถึงเด็กสาวผู้ร่าเริงที่รอคอยเขาอยู่ที่หมู่บ้าน... ความรู้สึกผิดวิ่งแล่นเข้ามากระแทกอกเมื่อนึกได้ว่าเคยให้สัญญากับนางไว้ ว่าให้นางเก็บรักษาใจของเขาให้ดีๆจนกว่าเขาจะกลับมา... แต่ในตอนนี้ เขาเพิ่งมารู้ตัว ว่าใจเขาไม่ได้อยู่ที่นางมานานแสนนานแล้ว

   หากเขาจะกล้าหาญ ยอมรับความจริงข้อนี้ตั้งแต่ต้นได้ก็คงดี...

   เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาอีก ผละใบหน้าออกมาจากจุมพิตเพียงเล็กน้อย... ในแววตาของหงฟี่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความกลัว ไม่มีแล้วความขมขื่น มีเพียงแค่ความอาลัยรักเพียงเท่านั้น

   หงฟี่หลับตาลง คล้ายเป็นสัญญาณให้เขา

   ฟาดมีดลงมาสุดแขน หงฟี่ตัวแข็งทื่อ เขาได้ยินเสียงโลหะจมลงไปในเนื้อ เห็นเลือดสีแดงฉานทะลักกระฉูดจากอกซ้ายออกมารุนแรง สาดละเลงบนใบหน้าของเขา จบสิ้นกันแล้ว จบสิ้นกันที...

   แต่คราวนี้ ภาพที่เกิดขึ้น... คือความจริง

   ประตูใหญ่เปิดผาง ทหารคนแรกที่บุกอยู่ตรงหน้าประตูนั้นไม่ใช่ใคร  หลี่ไป๋กวาดสายตามองภาพตรงหน้า ตกตะลึงที่เห็นนายเหนือหัวของตนอยู่ในอ้อมกอดของชายกบฏ เลือดพุ่งทะลัก แน่นิ่งสิ้นลมหายใจ

   “เจ้า! หยุด!”

   ตั่วหยางหันมามองช้าๆ มีเพียงคราบน้ำตาเพียงจางๆ เอ่ยเพียงประโยคที่จำได้ขึ้นใจ

   “โทษของกบฏคือความตาย”

   จบคำนั้น มีดที่ยังเงื้อสุดแขนนั้นก็ฟาดลงมาอีกครั้ง... หลี่ไป๋ตะโกนร้อง แต่ก็ไม่ทันเลือดมหาศาลที่พุ่งออกมาจากอกของชายกบฎ ตั่วหยางสำลักเลือดที่พุ่งสวนลำคอขึ้นมา ไม่คิดว่าความเจ็บปวดในห้วงสุดท้ายของชีวิตจะมึนชาถึงเพียงนี้

   ภาพที่เห็นค่อยๆถูกยืดออกไปอย่างช้าๆ ตัวของเขาค่อยๆล้มลงคว่ำหน้ากับพื้น ซบลงไปกอดบนร่างของหงฟี่ที่นอนแน่นิ่งบนทะเลสีแดงฉาน   เห็นเท้าของหลี่ไป๋ที่รีบวิ่งพุ่งเข้ามาหาพร้อมๆกับฝีเท้าของทหารอีกนับสิบคน แต่กลับเป็นว่ายิ่งพวกเขาเร่งฝีเท้าเท่าไรก็กลับวิ่งช้าลงเท่านั้น

   ตั่วหยางหลับตาลง... ภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว

   ต่อจากนี้จะเป็นการเดินทางของเขากับหงฟี่ เพียงสองคนเท่านั้น ไปทุกที่ที่เขาอยากจะไป

   ตามหาแม้เพียงภพหนึ่ง... ภพเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะได้ครองรักกันชั่วนิรันดร์








-----------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทหน้าอวสานจ้ะ

สวัสดีปีใหม่ 2014 จ้าาาา :D

หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 09-01-2014 21:38:26
บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย



   ใบไม้ใบสุดท้ายร่วงหล่นจากซานหลง

   งานพิธีศพของต้าอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ ในวังจัดเตรียมงานให้อย่างเต็มที่ ส่วนประชนชนก็ไว้ทุกข์ให้ตามธรรมเนียม ...แต่ถึงกระนั้น ก็เป็นที่รู้กันดีโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยว่าเหตุการณ์นี้นำความปิติยินดีมาให้ราษฎรมากมายเพียงใด

   กบฏไร้นามผู้นั้นกลายเป็นวีรบุรุษให้เล่าขาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใครหรือหน้าตาเป็นเช่นไร... รู้แต่เพียงว่าศพของเขาก็ถูกจัดการภายในวังเช่นเดียวกัน

   เหล่าอาคันตุกะจากป๋ายเซว่เลื่อนกำหนดกลับไปอีกจนกว่างานพิธีศพจะสิ้นสุดลง  ส่วนองครักษ์เอกของหงฟี่ก็ถูกย้ายตำแหน่งให้มาเป็นองครักษ์เอกของพระมเหสี... หรือที่คณะขุนนางได้ตัดสินใจแก้ไขกฎมณเฑียรบาลใหม่ให้สตรีสามารถขึ้นครองแคว้นเป็นอ๋องคนต่อไปได้

   เมื่องานพิธีศพสิ้นสุดแล้ว งานขึ้นครองราชย์ก็ถูกจัดขึ้นในวันต่อไปในทันที อ๋องหญิงโหม่วซาขึ้นรับตำแหน่งบนบัลลังก์ที่หงฟี่เคยนั่ง ได้สวมมงกุฎที่อดีตสวามีเคยสวม

   หลี่ไป๋ยืนอารักขานิ่งอยู่เบื้องหลัง จิตใจเลื่อนลอยว่างเปล่าไม่ได้ฟังถ้อยคำแถลงจากอ๋องคนใหม่... ไม่ได้ฟังว่าสถานการณ์แคว้นต่างๆในแผ่นดินโจวเริ่มแข็งข้อ ราชการหลวงเริ่มระส่ำระส่าย ไม่ได้ฟังว่าแคว้นเล็กแคว้นน้อยเข้าทำศึกสงครามกันจนแตกพ่ายถูกกลืนกินไปแล้วมากมายเท่าใด...  สิ่งที่มีอยู่ในจิตใจเขาในขณะนี้คือความว่างเปล่า   สูญเสียเป้าหมายในชีวิตเมื่อนายเหนือหัวคนที่สองลาจากโลกนี้ไป

   ...และยังดวงใจของเขาอีก เขาคงต้องเสียเป้ยหมิงไปแล้วตลอดกาล

   แต่พลันนั้นก็มีใครบางคนสะกิดข้างหลังของเขาเบาๆ หลี่ไป๋แทบไม่ได้ขยับไปมอง แต่ก็มารู้สึกตัวว่ามีทหารชั้นผู้น้อยยื่นม้วนสาสน์ม้วนเล็กยัดใส่มือของเขา กระซิบเบาๆว่าสาสน์นั้นมาจากใคร

   ทหารองครักษ์เอกยิ่งแน่นิ่ง แทบไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน

   แอบเปิดอ่านกระดาษแผ่นน้อยเพียงแผ่วเบา... ไม่มีใครอื่นเห็นว่าข้อความนั้นคืออะไร ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขาในขณะที่อ่าน  และในขณะเดียวกันหลี่ไป๋เองก็มองไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินสิ่งใด...

   ไม่ได้ยินว่าอ๋องคนใหม่ ตัดสินใจรวมแคว้นซานหลงเข้ากับแคว้นสุ่ยเหลียงอันเป็นบ้านเกิดเดิมของนาง ด้วยเหตุผลทางการปกครองว่าการรวมแคว้นจะทำให้แข็งแกร่งยิ่งกว่า ต้องพร้อมที่จะรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เกินกว่าที่จะรับมือได้ทัน

   ไม่มีอีกแล้ว ใบไม้ที่ร่วงหล่นจากซานหลง... เพราะซานหลงได้ร่วงหล่นหายไปกับใบไม้นั้นเช่นกัน


...................................................................


   ม้าสีน้ำตาลอ่อนวิ่งเหยาะใกล้เข้ามา หญิงสาวที่นั่งรออยู่หน้าหมู่บ้านเงยหน้าขึ้น ถึงได้เห็นว่าผู้มาเยือนนั้นคือผู้ที่จากไปเมืองหลวงเมื่อเดือนก่อน

   เพียงแค่นั้น เหล่าเด็กน้อยในหมู่บ้านก็พากันวิ่งกรูกันออกมา ส่งเสียงเรียกกระจองอแงถึงพี่ชายใจดีของพวกเขา ในขณะที่หญิงสาวก็ลุกขึ้นยืนรอด้วยใจจดใจจ่อ มองหาม้าอีกสองตัวที่จะวิ่งตามมา

   ...แต่ก็ไร้วี่แวว

   ชายที่กลับมามีเพียงแค่หลินไน่ บนม้าตัวเดิมที่ดูเหนื่อยล้า ในมือหนึ่งกอดกล่องไม้เอาไว้แน่น...   บัดนี้ไม่เหลือรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าของชายผู้นี้อีกแล้ว ไม่แม้แต่จะทักทายกับเด็กๆที่เข้ามากอดแข้งกอดขาเขาอย่างดีใจ

   และเพียงแค่ไหนจื่อเห็นสีหน้าโศกเศร้าของเขานั้น รอยยิ้มของนางก็ค่อยๆหายไปจากหน้า... เข้าใจได้ไม่ยากว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร

   ไม่ต้องมีคำพูดจาใดๆ... หลินไน่เอื้อมมือลงไปในเสื้อ หยิบสร้อยหินสีแดงเส้นหนึ่งออกมา

   ...เป็นหินที่เย็นเยียบ ไร้ค่า เมื่อเจ้าของไม่ได้อยู่กับมันอีกต่อไปแล้ว

   หลินไน่เอ่ยคำที่เพื่อนฝากมาคำสุดท้าย ก่อนจะวางหินก้อนนั้นลงบนมือของหญิงสาว

   เพียงแค่นั้น ไหนจื่อก็ทรุดเข่าลงกับพื้น ละเลงน้ำตาให้ไหลท่วมธรณี...


...................................................................


   ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ขอบใบเรือพัดโป่งตามสายลมทะเล พาสำเภายักษ์ลอยออกจากฝั่ง มุ่งหน้ากลับสู่ถิ่นเดิมที่มันจากมา

   ลูกเรือทำงานกันขวักไขว่ดูขะมักเขม้น องค์รัชทายาทเดินฝ่าพวกเขาไปที่หัวเรือ ยืนเฝ้ามองท้องนภายามสายัณห์ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันงดงามยิ่งกว่างานศิลปะชิ้นเอก

   สายลมเย็นที่พัดมาปะทะใบหน้าทำให้ใจสงบนิ่ง เป้ยหมิงหลับตาลง ดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

   ลาก่อน อดีตนครงดงามนามว่าซานหลง... เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต

   หลากหลายเรื่องราวเหลือเกินเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้... เป็นที่ที่เขาได้พบคำตอบ และเป็นที่ที่เขาได้พบคำถาม

   อนาคตจะเป็นเช่นไรนับแต่นี้?

   พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งมาหยุดอยู่เบื้องหลัง ทำให้เป้ยหมิงหันไปมอง... และแล้วคำถามที่มีก็หายลับไปจากใจ
   แค่มีคนๆนี้อยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่จำเป็นต้องถามคำถามนั้นอีกต่อไปแล้ว

   ...เพียงเพราะสาสน์เล็กๆสาสน์สุดท้ายที่เขาตัดสินใจส่งไปให้ในวันขึ้นครองราชย์อ๋องคนใหม่ เป็นสาสน์เล็กๆสาสน์เดียวที่นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา

   บนกระดาษแผ่นน้อยนั้น เขียนไว้เพียงว่า



   “ข้ามิใช่ดวงจันทร์และท่านก็มิใช่เดรัจฉาน
   เราต่างก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน
   เหตุผลเพียงแค่นั้น จะทำให้เรารักกันมิได้เลยหรือ?”




   หลี่ไป๋ไม่พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้ามาใกล้... ชี้มือไปทางริมขอบทะเล ชวนให้ดูเสี้ยวยิ้มของจันทร์ที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาทักทาย
   เป้ยหมิงเอนร่างลงพิงองครักษ์คนใหม่ของตนอย่างแผ่วเบา ยิ้มกลับให้กับจันทร์ดวงนั้น

   และแล้วจันทรา ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง...






อวสาน
剧终
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 09-01-2014 23:10:14
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: oujoong ที่ 10-01-2014 01:37:47
สุดยอด เรื่องนี้ กดดันในอกจริงๆ บีบมากๆ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 10-01-2014 19:08:56
เศร้าจริงๆ... แต่ก็ซาบซึ้งใจมาก T^T  :hao5:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 10-01-2014 20:36:42
อ่านรวดทีเดียวจบ  ตอนอ่านก็ลุ้นอยู่ว่าจะมีพลิกล๊อกหรือเปล่า  สรุป...  มันพลิกล๊อคจริงๆด้วย  มาแบบรันทดเศร้าสุดๆ :hao5:  ไอ้เราก็อยากได้ตอนจบแบบแฮบปี้ 

แต่จบแบบนี้ก็ดีค่ะ  เศร้าได้ใจดี  แต่ก็....  น่าสงสารอ่ะ   :mew6: ฮึกๆ  (น่าสงสารคู่เอก)

ขอบคุณที่เอานิยายดีมาลงค่ะ :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 10-01-2014 21:33:48
เฮ้อ จบแบบบีบหัวใจจัง จบอย่างนี้ก็คงดีที่สุดของคู่หลัก..มั้ง หน้าที่ กับความรัก บางทีก็ไปด้วยกันไม่ได้น้อ เศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: ikoolpaul ที่ 11-01-2014 14:43:49
โอยยยย ร้องไห้ตาบวมอะ TT TT
จบคู่หลักได้เจ็บมาก
แต่มันคือตอนจบที่สมบูรณ์ที่สุดแล้วเนอะ
ปวดใจตรงหงฟี่บอกว่า
"สิ่งเดียวที่ให้แผ่นดินนี้ได้คือตายอะ"
ใครจะมารู้ความเจ็บปวดของคนที่แบกทั้งแผ่นดินไว้ทั้งที่ไม่เคยอยากทำอะ
ฮื่ออออออ
นิยายดีมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: blackcoriander ที่ 14-01-2014 21:53:21
[จากคนเขียน]


จบแล้ววววววววว!!!!!!!!!!!!! >_________________<

จบแล้วนิยายจีนที่(ดอง)เอ๊ย เขียนทิ้งไว้นานมาก  คือเริ่มเขียนตั้งแต่มัธยมปลายมั้ง นี่จบป.ตรีมาจะปีนึงแล้ว (แม่เจ้าาาา!!!)




ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด ถึงจะไม่ค่อยป๊อบเท่าเรื่องอื่นๆ (ฮาาา) แต่ก็ดีใจที่ได้เขียน และดีใจที่มีคนอ่านนะคะ >__< บางทีก็ท้อบ้างอะไรบ้าง แต่เพราะคอมเม้นท์ของทุกคนก็เลยทำให้มีกำลังใจจะต่อให้จบ เย้



ในเมื่อตอนนี้ต้องทำงานหาเงินแล้ว - -a ก็คิดว่าอยากจะส่งสำนักพิมพ์อยู่บ้างแหล่ะค่ะ   ถ้าใครมีสำนักพิมพ์ไหนแนะนำอยากให้ส่งก็โพสไว้ได้ (หรือกระซิบบอกมาก็ได้ค่ะ)

อ้อ สำหรับท่านที่สงสัย เรื่องซานหลงนี้อยู่ในช่วงปลายราชวงศ์โจวของจีนค่ะ ราชวงศ์โจวแบ่งการปกครองเป็นหลายๆแคว้น แต่ละแคว้นปกครองโดยอ๋อง ช่วงปลายราชวงศ์แต่ละแคว้นเริ่มแข็งข้อ ทำให้จบด้วยการที่แต่ละแคว้นห้ำหั่นกันเอง แผ่นดินแตกแยก จนกระทั่งมีผู้รวบรวมทุกแคว้นให้กลับมาเป็นแผ่นดินจีนได้อีกครั้ง นั่นคือ "จิ๋นซีฮ่องเต้" ผู้ก่อตั้งราชวงจิ๋น (ฉิน) ค่ะ

แต่ว่าชื่อแคว้น ชื่อบุคคล เหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง รวมไปถึงตำนานสามมังกรของแคว้น อันนี้แต่งขึ้นเองนะคะ :)

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่อยู่ร่วมกันมา หวังว่าจะได้เจอกันในเรื่องหน้าอีก.... สำหรับใครที่เพิ่งอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ลองแวะไปอ่านเรื่องอื่นๆของเราได้นะคะ




ด้วยรักและห่วงใย


จอมยุทธ์ผักชีดำ
(กร๊ากกกก >___<)
Black Coriander ค่ะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 14-01-2014 22:52:02
เศร้ามาก T_T เดาตอนจบไว้แล้ว แต่ก็เศร้าอยู่ดี
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 19-01-2014 01:38:44
จบแบบนี้มันปวดใจ ตายเพราะหน้าที่กับความรักมันไปด้วยกันไม่ได้ แต่ดีใจกับอีกคู่นึงที่สมหวังกันในตอนสุดท้าย ขอบคุณมากๆจ้า ปกติไม่ค่อยได้อ่านแนวจีนเท่าไร พอมาเจอเรื่องนี้ทำให้ติดงอมแงมเลย อ่านรวดเดียวจบ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 08-02-2014 23:58:24
เศร้ามาก มาม่าอืดแล้วอืดอีก
รันทดใจกับคู่เอก
ยังดีที่มีคู่รองมาช่วยหวานกันไม่ให้เรื่องมันเศร้าหนักกว่านี้
สงสารหงฟี่กับตั่วหยางสุด
ตายกันภพนี้ เพื่อรักกันในภพหน้า
ภาษาสวยมากค่ะ อาจจะมีตำนานแทรกมาเยอะหน่อย
แต่โดยรวมแล้วชอบค่ะ แต่งดีมากๆ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 20-01-2015 15:33:21
อ่านตอนจบยิ่งเศร้า น่าจะวางแผนให้เหมือนลอบสังหารแล้วทั้งคู่ก็หนีไปในที่ที่คนไม่รู้จัก
แต่มันก็คงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเพื่อน จบแบบนี้มันก็ดีทั้งไม่ดี
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: Maxshu ที่ 27-01-2015 01:27:58
ร้องไห้ น้ำตาท่วมจอเลยค่ะ รักกันมากแต่ก้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เศร้า ขอยกให้เป็นนิยายสุดตราตรึงใจเรื่องแรกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 05-04-2015 11:40:34
อ่านถึงกลางเรื่องก็พอรู้อยู่แล้วละว่าตอนจบต้องตายกันทั้งคู่แน่  ทำใจไว้แล้วนะ แต่ก็อดที่จะเสียใจไม่ได้
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 01-09-2016 22:18:33
เศร้า :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 02-09-2016 16:23:49
น้ำตาไหลเป็นน้ำตกเลย 5555
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 07-09-2016 20:24:24
เดาได้ว่าจบแบบไหน แต่ก็อ่าน หน่วงจิตดี เรียกน้ำตาเป็นปี๊ปเลย ฮือออออ  :mew6:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 24-09-2016 17:07:18
อ่านไปก็คิดนะว่าบทสรุปเหมาะจะตายไปด้วยกัน แต่ก็อ่านจนจบด้วยเสน่ห์ของเรือง  เฮ้อ แล้วอีกคู่จะเป็นไงนี่
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-09-2016 18:19:00
 o13 o13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 20-09-2018 14:49:58
 :pig4: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 21-09-2018 17:45:40
ศร้าเลย แต่ก็สนุกมากจ้า ^^ ขอบคุณๆ
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:54:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 06-10-2020 13:53:56
สงสารท่านอ๋องหงฟี่กับตั่วหยางจังเลย :hao5:ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 25-10-2020 10:30:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 03-03-2021 23:20:37
จบแบบน้ำตาท่วมมากค่ะ

สงสารทั้งสองคน ในที่สุดก็เลือกความตาย
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 21-03-2021 20:01:24
 :mew4:
หัวข้อ: Re: 三龍 ซานหลง - มังกรเริงแสงจันทร์ [บทที่ 20 สาสน์สุดท้าย] // อวสาน
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 22-03-2021 15:43:56

 :m15: :m15: :m15:

 :pig4: :pig4: :pig4: