ตอนที่ ๙ คนผู้มิอาจไม่ชิงชัง
ล่วงเข้าสู่ชิงหมิง อากาศสดใสอาทิตย์ฉายแสงอบอุ่นสายลมพัดม่านคลุมพลิ้วไหวเผยให้เห็นว่าวน้อยลอยเกลื่อนฟ้า เสียงของกลุ่มเด็กน้อยดังอยู่ไม่ไกลกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินกันยิ่งนัก ข้าเอนกายอยู่บนรถม้าเฝ้ามองว่าวสีสันงามตระการลอยละล่องอยู่บนนภา ใบหลิวเอนไหวสายป่านต้องลมแรงขาดสะบัดว่าวน้อยขาดลอย ถอดทอนหายใจคราหนึ่ง...วันหนึ่งอยู่บนจุดสูงสุดทอดสายตามองคนทั่วหล้าในชั่วพริบตากลับร่วงลงแทบธรณีกลายเป็นเศษซาก ที่แท้ชีวิตคนเรามีอันใดแตกต่างกับว่าวเหล่านี้
ผ่านเขตถนนเมฆมังกรอันครึกครื้นเข้าสู่ถนนหลวงที่เงียบสงบ อาณาเขตของเคหาสน์ผู้ดีที่โออ่าอลังการโดยส่วนมากมักเป็นบ้านของเหล่าพระประยูรญาติ ต้นไม้ตัดแต่งงดงามบุปผาผลิบานสะพรั่งเฉิดฉาย ประตูวังหลวงอยู่ไม่ไกลกำแพงใหญ่กางกั้นราวกับไท่ซานบรรพต[1] รถม้าของจวนสกุลหลี่หยุดลงอย่างนิ่มนวล ข้าจับหน้ากากเงินอีกครั้งเมื่อมั่นใจแล้วว่ายังอยู่ดีมิเลื่อนหลุดไปไหนจึงลุกขึ้นเปิดม่านรถม้า บุรุษผู้สวมชุดขุนนางบู๊ลายพยัคฆ์องอาจน่าเกรงขามยืนรออยู่อย่างสงบนิ่งคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นหลี่ฮุ่ยเหอ กงกงจากตำหนักหลวงยืนคอยอยู่ไม่ไกล ข้าจัดชุดขาวสะอาดปักลายเหมยฮวาสีขาวพิสุทธิ์ที่ท่านเหมยเป็นผู้มอบให้ ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยสีขาวราวหิมะตอนพิศดูในกระจกรู้สึกว่าดูเยือกเย็นงามสง่าขึ้นมาหลายส่วน นี่เรียกว่าอาภรณ์ส่งเสริมชนโดยแท้
กงกงหนุ่มเหล่านั้นรู้งานดีอย่างยิ่ง พวกเขาคำนับฮุ่ยเหอแลข้าด้วยท่วงท่าพอเหมาะพอเจาะมิดูประจบประแจงเกินไปแต่ก็มิแข็งกระด้างเกินไปเจรจาปราศรัยพอเป็นมารยาทแล้วจึงเดินนำไปยังตำหนักหลวง ข้าและแม่ทัพหลี่สบตากันคราหนึ่งเดินตามหลังกงกงไปอย่างเงียบเชียบ ในใจข้านั้นทราบดีว่าฮุ่ยเหอยังคงเหลือคลางแคลงในตัวข้าอยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาก็สนับสนุนข้าโดยไม่บิดพลิ้วเมื่อได้รับคำยืนยันจากท่านเหมย
ในคราแรกหลังจากบอกแผนการแก่เขาฮุ่ยเหอนิ่งสงัดไปครู่ใหญ่พลันถอนหายใจออกมาอย่างสับสนตกปากรับคำทำตามแผนข้า ตอนนั้นข้าซาบซึ้งต่อน้ำใจเขาอย่างยิ่ง ทั้งที่ทราบดีว่าต่อจากนี้สกุลหลี่จักถูกนำมาพัวพันในวังวนอันยุ่งเหยิงกระนั้นก็สนับสนุนข้าด้วยใจจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าในมือข้ากำชะตาของสกุลหลี่เอาไว้ ยามรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ด้วยกันยามเป็นตายก็เป็นตายด้วยกันจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้โดยเด็ดขาดมิเช่นนั้นมิใช่เพียงตัวข้าที่เดือดร้อนแต่จักเป็นสกุลหลี่ทั้งสกุล
คิดถึงตรงนี้ก็อดจะนึกถึงคุณชายรองผู้นั้นมิได้ ในตอนที่ต้องจากลาเขาเพียงยิ้มน้อยๆเอ่ยคำอวยพรด้วยท่าทีสงบสำรวม แต่สายตาตัดพ้อของฮุ่ยเหอทำให้ข้าละอายใจอย่างยิ่ง เขามอบไมตรีให้ข้าด้วยความจริงใจเป็นมิตรแท้ที่สวรรค์ชักพามาให้ยามตกยาก สวนไผ่และเรือนเล็กของเขาเป็นดั่งแดนสวรรค์อันสุขสงบทำให้จิตใจอันทุกข์ตรมผ่อนคลาย แต่ข้ากลับเป็นผู้ชักนำเรื่องยุ่งยากสู่สกุลหลี่..ต่อจากนี้ไม่ทราบเมื่อใดจะได้พบกับเขาอีกครา
ส่วนเจ้าดำน้อยนั้นชาญฉลาดยิ่งนัก ราวกับมันจะรู้ว่าข้าต้องจากไกลจึงคอยคลอเคลียวนเวียนอยู่รอบตัวข้าตั้งแต่ในวันแรกที่กลับจากหมื่นวสันต์ เด็กน้อยตัวนี้กระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขกินไม่ได้นอนไม่หลับจ้องมองดูข้าตลอดวันตลอดคืน ข้าลูบหัวมันคราหนึ่งรักและอาลัยอย่างยิ่งแต่จักให้ติดตามไปในวังหลวงได้อย่างไร แม้แต่ในยามจากลามันก็ยังดื้อดึงอย่างยิ่ง ข้าลอบนำยาสลบใส่ในชามอาหารระวังให้เจือจางที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าสุนัขฉลาดตัวนี้จับได้ ที่ไหนได้มันกลับเมินชามอาหารมาติดตามข้าต้อยๆไม่ยอมห่าง ข้าถอนหายใจคราหนึ่งจะล่อลวงอย่างไรก็ไม่ยอมกิน จนต้องเอ่ยปากสั่งมันถึงได้ร้องครางประท้วงอย่างน่าสงสารถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินโซเซไปกินอาหาร เพียงชั่วหนึ่งก้านธูปเผาสุนัขน้อยก็หลับใหล สายตาตัดพ้อของมันจะลืมได้อย่างไร ข้าจุมพิตที่ศีรษะเล็กๆนั้นคราหนึ่งสะบัดชายชุดขาวขึ้นรถม้าจากมา เก็บวันคืนในสวนไผ่นั้นไว้ใจความทรงจำ ถึงเวลาต้องทดแทนบุญคุณสกุลหลี่ให้จงได้
ในยามนี้ทุกก้าวเดินจึงล้วนแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมันตั้งใจมิอาจถอยกลับไปได้อีกแล้ว.. ข้าแหงนพักตร์มองตำหนักอันประณีตงดงามที่คุ้นเคยหยุดคิดเรื่องยุ่งยากใจ สูดลมหายใจคราหนึ่งเดินตามก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดหินอย่างเยียบเย็น ภายในตำหนักมังกรเหินยังคงเดิมไม่มีที่ไหนแปรเปลี่ยนนับระยะเวลาที่ข้าจากไปยังไม่ทันสองมาสเลยกระมัง
หนึ่งก้าวย่างเหยียบ..หนึ่งความทรงจำปรากฏ บนตำหนักล้วนแต่มีภาพความทรงจำมากมายทั้งขื่นขมแลอบอุ่นอ่อนหวาน เหล่าขันทีน้อยที่กำลังปัดกวาดบันไดคำนับกายอย่างน่ารักเรียบร้อย เด็กเหล่านั้นล้วนดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก รอยยิ้มไร้เดียงสาและเสียงเสนาะราวนกน้อยของพวกเขาทำให้วันคืนในตำหนักแห่งนี้สดชื่นยิ่งนัก ที่ระเบียงยังคงมีตั่งไม้ตัวหนึ่งที่ข้ามักชอบมานั่งมองพวกเขาหยอกล้อเล่นกันและหวนคิดถึงตอนยังเล็กที่เป็นมารน้อยซุกซนไปทั่ว ในตอนนั้นวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าน่าเบื่อสุดจะพรรณนาเสียจนต้องลุกมาวาดภาพให้เด็กน้อยในตำหนักรอบหนึ่ง ยามวาดจนครบทุกคนก็ยังไม่คลายความรู้สึกเบื่อหน่ายจึงลงมือวาดอีกรอบ ข้าคลี่ยิ้มให้เหล่าขันทีที่คุ้นหน้าคุ้นตา หากบอกว่าหมื่นวสันต์คือบ้านเกิด ที่นี่ก็เป็นเรือนนอนที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
ผ่านเข้ามาในห้องโถงกว้างมองตั่งหยกที่ข้าเคยนั่งเคียงข้างเขา โต๊ะน้ำชามุกหรูหราเคยเป็นที่นั่งดื่มชาทอดอารมณ์ยามเบื่อหน่าย รูปวาดมังกรล้อเมฆสำราญที่ประดับอยู่ด้านข้าง ลายอักษรมังกรหงส์อันอ่อนช้อยงดงามเขียนเป็นคำมงคล กลิ่นกำยานหอมที่ปรุงแต่งจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของตำหนักมังกรเหินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นฝีมือข้าทั้งสิ้น เหม่อมองสิ่งของเหล่านั้นคิดถึงแววตาอบอุ่นแลรอยยิ้มอ่อนโยนหัวใจข้าก็สั่นสะท้านถึงเพียงนี้ แค่คิดว่าต้องพบเจอใบหน้าของเขา..ข้าไม่อาจทราบได้เลยว่าหทัยดวงนี้จะทานทนได้เพียงไหน
“ท่านหมอ” ข้าออกจากภวังค์ความคิดรักษาท่าทีสุภาพเยือกเย็นหันไปมองฮุ่ยเหอแลกงกงที่หยุดรออยู่แล้วคลี่ยิ้มจางๆคราหนึ่ง ดวงตาเขาดูห่วงใยคล้ายจะไต่ถามที่เห็นข้าชะงักฝีเท้า
“ขออภัย ข้ามิเคยพบความโอ่อ่าอลังการเช่นนี้จึงแสดงท่าทีน่าละอายเสียแล้ว” ฮุ่ยเหอพยักหน้าคราหนึ่งรั้งฝีเท้ารอคอยจนกระทั่งกงกงพวกนั้นเดินห่างไปหลายจ้าง[2]
“ไหวหรือไม่” คำถามดังเพียงเสียงกระซิบนี้ทำให้ข้าคลี่ยิ้มอ่อนจางพยักหน้าแทนคำตอบ ฝีเท้าของเหล่ากงกงหยุดลงที่หน้าประตูอันคุ้นเคยอย่างยิ่ง ข้าแลฮุ่ยเหอสบตากันคราหนึ่งสลัดทิ้งซึ่งความหวั่นไหวในจิตใจรักษาท่าทีให้สุขุมสำรวม ก้าวผ่านประตูนี้ไปก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขอีกแล้ว
“คุณชายลี่ฉางกำลังนิทรา ขอพวกท่านระมัดระวังด้วย” กงกงหนุ่มกระซิบบอก ข้าทอดสายตามองประตูห้องนอนที่เห็นจนชินชาเพ่งมองราวกับจะฉีกกระชากมันลงให้กลายเป็นเศษซาก วาดยิ้มขึ้นที่มุมปากเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดินมองบานประตูที่ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวังทั้งที่มือเย็นเฉียบแลระริกสั่นราวถูกแช่ไว้ในหิมะ
ห้องบรรทมอันกว้างใหญ่ที่เคยคุ้นปรากฏกลิ่นหอมหนึ่งกำจายอ่อนต้องนาสิก บนเตียงมังกรถูกบดบังด้วยม่านมุกขาว แผ่นหลังอันลางเลือนของเขาข้ายังจดจำได้ ความรู้สึกโหยหาล้นปริ่มอยู่ในอกเฝ้ามองเงาอันอบอุ่นของเขาจนอัสสุชลคลอคลอง แม่ทัพหลี่ลอบมองข้าคราหนึ่งจับเบาๆที่ชายเสื้อเพื่อดึงสติแล้วจึงคุกเข่าลงห่างจากเตียงอยู่หลายฉื่อข้าเองก็ปฏิบัติตามคุกเข่าลงก้มหน้าซ่อนแววตาที่ระริกไหวไม่อาจปิดบังน้ำตาหล่นลงบนหลังมือเม็ดหนึ่ง เป็นน้ำตาแห่งความคะนึงหาอยู่ทุกเชื่อวัน อาการปวดแปล็บในอกทำให้ต้องสูดลมหายใจลึกๆคราหนึ่งระงับความปั่นป่วนให้สงบลง
“กระหม่อมหลี่ฮุ่ยเหอถวายพระพรฝ่าบาท” เสียงราวกับกระซิบของฮุ่ยเหอทำให้ม่านมุกนับร้อยสายสั่นไหว เงาร่างของบุรุษผู้นั้นชัดเจนขึ้นทีละน้อย ท่าทีองอาจเข้มแข็งแลใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานยิ่งทำให้ต้องก้มหน้างุดราวมุสิก ข้าไม่อาจทนมองใบหน้าเขาได้นานไม่เช่นนั้นความโหยหาอย่างบ้าคลั่งที่บังเกิดขึ้นในอกนี้อาจทำให้ต้องเสียการ
“มาแล้วหรือแม่ทัพหลี่” น้ำเสียงเขาฟังดูสุขุมห่างเหิน ในกาลก่อนเขาเรียกแม่ทัพหลี่ว่าพี่สี่ยามอยู่ต่อหน้าข้า ปฏิบัติต่อกันอย่างพี่ชายน้องชายที่รักใคร่สนิทสนมภาพเช่นนั้นมีเพียงเหวินฉีลี่ฉางที่ได้เห็น มิคาดเลยว่าวันหนึ่งกลับต้องกลายมาเป็นคนนอก ข้าพลันหลับตาลงกลืนความขมขื่นที่แล่นมายังนัยน์ตาเก็บกลืนไว้ให้ลึกที่สุด เป็นเช่นนี้ล้วนถูกต้องแล้วเขาจะปฏิบัติต่อข้าซึ่งเป็นเพียงหมอแปลกหน้าผู้หนึ่งไม่เคยสนทนาปราศรัยกันแม้แต่ครึ่งคำ
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมพาท่านหมอเทวดาที่ฝ่าบาทปรารถนาจะพบมาด้วย” สิ้นคำแนะนำของฮุ่ยเหอพลันดวงตาคมกริบคู่นั้นก็เลื่อนมามองข้าอย่างพิจารณา แม้จะก้มหน้าหลบตายังคงรู้สึกได้สึกดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ข้าสูดลมหายใจเข้าในอกฝืนคลี่ยิ้มเยือกเย็นคำนับเบื้องหน้าเขาอย่างนอบน้อม
“กระหม่อมจิ่วเมิ่งหมอผู้ต่ำต้อยขอถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี” คำพูดพิธีรีตองเช่นนี้ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้เอ่ยมันออกมา ข้าแค่นยิ้มในอกสายตาของเขายังไม่ละไปราวกับจะจ้องให้ทะลุหน้ากากเงินที่ปิดบังอยู่ ข้าอาจหาญมองสบตาเขาพิศดูนัยน์ตาสีนิลกาฬลึกล้ำคู่นั้น ความรู้สึกมากมายเอ่อท้นจนเกือบเผลอหลุดปากเอ่ยนามเขาเช่นกาลก่อน โชคดีที่เสียงขยับตัวของคนบนเตียงทำให้จิ่นสือมุ่นคิ้วคราหนึ่งหันไปมองผู้หลับใหลหลังม่านมุกอย่างห่วงหาอาทร ข้าเฝ้ามองแววตาเช่นนั้นรู้สึกหวงแหน ในอกตีร้อนรุ่มจนอยากฉีกกระชากคนบนบรรจถรณ์ให้ขาดวิ่นในมือคู่นี้
“ลุกขึ้นเถิด” เขาเอ่ยอนุญาตเสียงเบา ท่าทางระมัดระวังไม่ให้ร่างงามใต้ม่านมุกนั้นตื่นขึ้น ข้าแค่นหัวเราะอยู่ในอกตอบเขาด้วยความสุภาพนุ่มนวล
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ท่านหมออย่าได้มากพิธีรีตองเลย แม่ทัพหลี่บอกเราว่าท่านมีฝีมือรักษาเก่งกาจเลิศล้ำ เรื่องที่ท่านจำเป็นต้องสวมหน้ากากนั้นเราให้อนุญาต ขอเพียงแต่ต้องรักษาคนผู้นี้ให้หายเรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ เราพูดเช่นนี้ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” ข้าพลันคลี่ยิ้มขื่นขม คำว่า‘เรา’นี้ฟังดูห่างเหินอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยถือพิธีรีตองกับข้าทุกกฎเกณฑ์ล้วนแต่ไร้ความหมายไม่อยู่ในสายตา มาบัดนี้เมื่อฟังคำว่า ‘เรา’ ในอกรู้สึกปวดแปลบจนไม่อาจทานทน
“ขอฝ่าบาทอย่าทรงกังวล กระหม่อมจะรักษาคนสำคัญผู้นี้เป็นอย่างดี” ข้าฝืนคลี่ยิ้มเยือกเย็นแผ่นหลังตั้งตรงอย่างทระนงเฝ้ามองเขาที่พยักหน้าพึงพอใจ จิ่นสือเลิกม่านมุกเผยให้เห็นร่างกายอันงดงามที่จมอยู่ในนิทรารมย์ ใบหน้าเลิศล้ำที่เคยพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันปรากฏแก่สายตา ข้าจิกนิ้วลงบนฝ่ามืออย่างอดกลั้นมองร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งข้างคนที่หลับใหล ไต่ถามอาการตามหน้าที่หมอ
“ไม่ทราบอาการของคุณชายเป็นเช่นไรหรือพะย่ะค่ะ”
“เขาไม่พูดจากับใคร มีท่าทางหวาดกลัวผู้อื่น ท่าทางแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงไม่คล้ายเหวินฉีลี่ฉางที่ข้ารู้จัก” ข้าพยักหน้าคราหนึ่ง มองนิ้วแกร่งกระด้างเพราะจับดาบลงสู่สมรภูมิตัั้งแต่ยังเล็กไล้ตามใบหน้างดงามราวกับทะนุถนอมหยกล้ำค่า ดวงตาของเขามิได้เย็นชาห่างเหินแต่กลับกลายเป็นแววตาอ่อนโยนที่ข้าเคยพบเห็นจนชินตา ตอนนี้ทำได้เพียงจ้องมองสัมผัสแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความรัก น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งหล่นลงมาโชคดีที่มีหน้ากากกั้นไม่เช่นนั้นคงเป็นที่น่าสงสัย ความแสบร้อนที่ปลายจมูกทำให้เผลอย่นคิ้วไปหลายครา
“เช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จออกไปรอด้านนอก กระหม่อมจะได้ตรวจดูอาการของคุณชายอย่างถี่ถ้วน” นิ้วแกร่งกร้านคู่นั้นหยุดชะงัดลงที่ข้างแก้มนวล ใบหน้าเขาพลันเคร่งเครียดดูคล้ายไม่วางใจข้าอยู่หลายส่วนแม้จะซ่อนไว้ใต้ใบหน้าเยือกเย็นอย่างมิดชิดแต่คนที่ร่วมหมอนกับเขามีหรือจะไม่ทราบได้
“ทำไมเราต้องทำตามที่เจ้าบอก”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจำเป็นต้องวินิจฉัยอาการของของคุณชายให้ประจักษ์ชัดจึงจะรักษาได้อย่างแม่นยำ กระหม่อมกังวลหากฝ่าบาทประทับอยู่ด้วยอาจทำให้การวินิจฉัยคาดเคลื่อนได้”
“ฝ่าบาททำตามที่ท่านหมอบอกดีกว่าพะย่ะค่ะ ”แม่ทัพหลี่ที่อยู่ด้านข้างรีบออกหน้าช่วยเหลือ
"ดูแลเขาให้ดี" จิ่นสือมองข้าอย่างเยียบเย็นครู่หนึ่งเอ่ยประโยคนี้เสร็จสิ้นแล้วจึงหันไปมองใบหน้าที่หลับพริ้มก้มลงจรดจูบเบาๆที่หน้าผากงามอย่างห้่วงใยแล้วจึงหมุนกายออกจากห้องไป ข้ารอจนเสียงประตูปิดลงมือที่กำแน่นหากันจึงได้คลายออก หรี่ตามองร่างกายของตนผ่านม่านมุกขาวกระตุกยิ้มชิงชังคราหนึ่ง
ใยมันจึงได้หลับสนิทอย่างเป็นสุข ในขณะที่ข้าต้องฝันร้ายทุกวันทุกคืน!
“พี่จื่อหรง” ทันทีที่สิ้นเสียงกระซิบของข้า บุรุษในชุดดำก็เผยตัวออกจากเงาอย่างเงียบเชียบ เขาติดตามข้ามาตั้งแต่วันที่กลับจากหมื่นวสันต์ บุรุษผู้นี้ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนม็หลับพักผ่อนเฝ้าดูแลข้าอยู่ไม่ห่าง จนต้องบอกให้เขาเพลาความขยันนี้ลงบ้างถึงได้ยินยอมไปพักผ่อน ข้าทราบดีว่าเขาห่วงใยข้าไม่แพ้ท่านเหมย เราทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ในตอนเด็กมีเขาปกป้องคุ้มครองข้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีกเมื่อยอดยุทธของตำหนักหมื่นวสันต์แลแผ่นดินคือพี่เลี้ยงของข้าผู้นี้ ข้าเพียงสบตาเขาคราหนึ่งต่างรู้ความนัยกันทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยแม้ซักครึ่งคำ
“ที่นี่ไม่มีองครักษ์เงาแล้ว” ข้าคลี่ยิ้มจางๆ องครักษ์เงาล้วนมาจากตำหนักหมื่นวสันต์ นอกจากจิ่นสือที่ควบคุมเขาได้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่สามารถสั่งการพวกเขานั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ได้ท่านเหมยมาหนุนหลังข้ายังจะต้องกังวลเรื่องใดอีก สบตากับพี่จื่อหรงอีกคราร่างสูงใหญ่ของเขาก็เลี่ยงหลบไปเงามืด
ข้าหย่อนตัวลงนั่งข้างเตียงกว้าง หรี่ตามองคนที่หลับอย่างเป็นสุขด้วยแววตารังเกียจ ใบหน้าของข้า ร่างกายของข้า ความรักของข้า...มันกล้าดีอย่างไรจึงมาแย่งชิงจากมือของข้าไป ข้าพิศดูร่างกายตนเอง กลิ่นหอมสายหนึ่งกำจายอ่อนจากร่างนี้ ความงามอันเป็นเลิศก่อเกิดความรู้สึกหวงแหนมากล้นในอก ใช้นิ้วมือกระด้างดำของร่างนี้ลากไล้ตามผิวอ่อนนุ่มของตนอย่างระมัดระวังสำรวจความเปลี่ยนแปลงของร่างตน เฝ้ารอกระทั่งแพขนตายาวกระพริบขึ้นลง ดวงตาหงส์คู่นั้นลืมขึ้นอย่างงัวเงีย
"อ๊ะ!" ใบหน้าตื่นตระหนกลนลานอย่างกระต่ายน้อยตื่นผู้คนทำให้ข้าเหยียดยิ้มคราหนึ่ง มันกระถดร่างถอยห่างอย่างขลาดกลัวขณะที่เหวินฉีลี่ฉางมีหรือจะทำตัวอ่อนแอเช่นนี้ แม้เวลาที่ข้าจนตรอกยังไม่ยอมเผยความหวาดหวั่นให้จิ่นสือได้เห็นสักคราประสาอะไรกับผู้อื่น เจ้าขโมยนี่จะถูกท่านเหมยสงสัยก็ไม่แปลกนักดอก แค่ยิ้มมองทะลุร่างนี้อย่างชิงชัง มือที่ลูบอยู่ยังข้อมือบางพลันจับแน่นขึ้นจนขึ้นรอยแดงจางๆ
“คุณชายท่านตกใจสิ่งใดกัน อย่าเพิ่งตกใจให้มากไปนักเลย ยังมีอีกหลายอย่างที่เปิดหูเปิดตาท่านมากกว่านี้” ข้าคลี่ยิ้มเย็นมองคนที่ดิ้นรนถอยร่างเข้าสู่มุมเตียง มือเลื่อนไปที่เยียบเย็นปลดหน้ากากเงินออกเผยโฉมหน้าอัปลักษณ์สังเกตท่าทีของคนในร่าง มองดวงตาหงส์ตื่นตระหนก ข้ารู้ได้ทันทีท่าท่างตกใจเช่นนี้ไม่ใช่ตกใจที่เห็นใบหน้าอัปลักษ์ แต่เป็นการตกใจที่มากเกินกว่านั้น...ข้ากระตุกยิ้มประจักษ์ในใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด
“ทำไมถึงตกใจเล่า นี่มันร่างเจ้ามิใช่หรือ หืม จะถอยหนีข้าไปทำไมกัน” ข้าเอ่ยวาจาเยือกเย็นรุกคืบเข้าไปดวงตาจับจ้องมองร่างกายตัวเองอย่างแข็งกร้าว เจ้าขอทานนั่นริมฝีปากสั่นระริก ท่าทางลนลานหวาดกลัวคล้ายจะเสียสติ ทำท่าทางเช่นนี้ในร่างกายข้ายิ่งรู้สึกชวนสมเพช
“ท...ทำไม ม..ไม่จริง..ฮึก..ม..ไม่” ท่าทางราวเด็กขวัญเสียทำให้ข้าหัวเราะเยียบเย็นคราหนึ่ง มือค่อยยื่นไปลูบไล้ที่ใบหน้างามเลิศของตัวเองแผ่วเบา ท่าทางน่าสงสารชวนทะนุถนอมปกป้องเช่นนี้ทำให้หัวใจคนทั่วหล้าไหวหวั่นแต่ไม่ใช่กับข้าแน่นอน!
“ทำไมจะไม่จริงเล่าหรือจำใบหน้าอัปลักษณ์ของตนเองมิได้ อยู่ในร่างข้าไม่ทันไรเจ้าลืมร่างนี้ไปแล้วเช่นนั้นหรือ!?” ข้าคลี่ยิ้มเย็นจับเส้นผมของมันกระชากเข้าหาตัว ใบหน้าอัปลักษณ์โน้มหาใบหน้างาม แลดูคล้ายภาพวาดเปรียบเทียบของเทพเซียนแลปีศาจ คนที่ไม่ทันตั้งตัวละล่ำละลักหนีอย่างขวัญเสีย ข้ากระตุกยิ้มคราหนึ่งแค่นยิ้มสมเพชเวทนา
“ข้าอยากรู้นัก ขอทานสกปรกเช่นเจ้าใช่เล่ห์เพทุบายใดจึงแย่งชิงร่างของข้าไปได้ หืม..ตอบมาสิ เจ้าใช้เล่ห์อันใดแย่งชิงร่างข้า! ตอบ!!”
“ข..ข้าไม่รู้ อ..อยู่ๆก็ตื่นมาในร่างนี้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าทำไม ข้าไม่รู้จริงๆ” ข้าแค่นหัวเราะ มองใบหน้างดงามที่กำลังร่ำไห้ น้ำตากลิ้งกลอกร่วงรินลงอย่างน่าสงสารราวกับกลีบดอกหลีต้องสายฝนโปรยปราย เข้าใจความรู้สึกของจิ่นสือขึ้นมาบ้างว่าทำไมจึงไม่อาจทนมองข้าร่ำไห้ได้ แต่ว่าตอนนี้คนที่สมควรร่ำไห้ให้ฟ้าถล่มให้กำแพงเมืองล่มสลายนั้นสมควรเป็นข้าผู้นี้! ข้าผู้นี้ต่างหาก!! ข้าไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นไว้ในอกน้ำตาร่วงหล่นลงอย่างไม่ขาดสายดวงตาแดงฉานราวกับปีศาจร้าย ความรู้สึกเจ็บปวดของข้าใครจะเข้าใจบ้าง ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียทั้งชีวิตให้ผู้อื่น ผู้ใดเล่าจะเข้าใจข้าบ้าง! ตัวมันมีสิ่งใดให้ทุกข์ทเวษจนต้องร้องไห้โศกา ทั้งที่ชิงทุกสิ่งไปจากข้ากลับมาร่ำไห้น่าเวทนา!
“ไม่รู้? ตอบได้แค่ไม่รู้หรือ เจ้าแย่งชิงร่างข้าไป แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไป เจ้ากล้าตอบคำบัดซบเช่นนี้ออกมาหรือ!” ข้าตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ มือกระชากผ้าห่มอันอ่อนนุ่มบนเตียงมาคลุมใบหน้าเขาบีบคอนั้นอย่างโกรธแค้นเขย่าจนม่านมุกสั่นไหวคล้ายเสียสติไปแล้ว กระทั่งถูกมือหนากุมไว้พี่จื่อหรงออกจากเงามืดดึงข้าเข้าสู่อ้อมกอดกระซิบดุเบาๆให้สงบจิตใจ ข้าสูดหายใจลึกรวบรวมสติคลายมือที่บีบคอร่างงามนั้นออกหลับตาปล่อยสายอัสสุชลให้ร่วงรินเพียรสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในอก รอกระทั่งรู้สึกสงบลงบ้างแล้วจึงกระซิบตอบเขาว่าไม่เป็นไรให้เห็นข้าคืนสติพี่เลี้ยงประจำกายจึงหมุนกายหายไปในเงาดั่งเดิม
ข้าหย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงอีกครากระชากผ้าห่มออกก้มลงมองใบหน้างดงามที่บิดเบี้ยวเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาด้วยความสงบเยือกเย็นขึ้นบ้าง ข่มกลั้นอารมณ์มองคนบนเตียง “ตอบข้ามาเจ้ามาอยู่ในร่างข้าได้อย่างไร”
“ข..ข้าไม่รู้ ฮึก ข..ข้าขอโทษ ข..ข้าไม่รู้” ข้าเฝ้ามองเขาร่ำไห้ราวกวางน้อยพลัดฝูง อารมณ์โมโหคล้ายถูกกวนให้ขุ่นอีกครา
“เล่ามา..จงเล่ามาว่าเจ้าเป็นผู้ใด ใยจึงมาอยู่ในร่างข้า!”ข้าตวาดด้วยเสียงดุจริงจัง จ้องมองเขาขเม็งจนร่างกายนั้นไม่อาจทนทานสั่นไหวราวดอกหลีต้องลม ริมโอบฐ์น้อยขบเม้มเข้าหากันหลายคราครู่หนึ่งศศกขี้ขลาดจึงค่อยรวบรวมความกล้าโผล่หัวจากโพรง
“ข..ข้าชื่อซีหยาง...หลิวซีหยาง”
“เป็นเช่นไรบ้าง” ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็พบกับแม่ทัพหลี่ มองไปรอบข้างพบว่าจิ่นสือไม่อยู่แล้ว ฮุ่ยเหอคล้ายจะทราบสิ่ที่ข้าต้องการรู้จึงรีบพูดต่อ “มีเรื่องเร่งด่วนฝ่าบาทจึงต้องเสด็จไปยังท้องพระโรง”
ข้าร้องอาพยักหน้าคราหนึ่งถูกความเคร่งเครียดทั้งวันเล่นงานจนเมื่อยล้าทั้งกายใจเผลอเซไปเล็กน้อยขณะก้าวเดิน ฮุ่ยเหอเข้ามาจะช่วยพยุงข้าพลันกระแอมคราหนึ่งแผ่นหลังกลับมาตั้งตรงวางท่าทระนง
“ขออภัยวันนี้ข้ารู้สึกไม่สบาย พรุ่งนี้ค่อยมาพบกันได้หรือไม่” แม่ทัพหลี่พยักหน้าอย่างรู้ความ ไม่พูดอะไรมากเพียงบอกให้ขันทีน้อยเดินนำข้าไปยังเรือนพักเล็กๆที่จัดเตรียมไว้ให้ไม่ห่างจากตำหนักมากนัก ข้าเดินตามไปอย่างว่าง่ายไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ถึงพาร่างอันไร้ซึ่งวิญญาณมาถึงเรือนพักได้ กลอกตามองเรือนพักน้อยที่แม้ไม่กว้างขวางแต่เครื่องเรือนล้วนหรูหราล้ำค่าสมกับที่เป็นเรือนในอาณาเขตตำหนักหลวง ข้าหย่อนตัวลงกับเตียงหัวใจอ่อนล้าจนไม่อาจทานทนไหว
"พี่จื่อหรง คนไร้หัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งกำเนิดจากคณิกาในซ่องชั้นต่ำถูกจับไปเป็นทาสพิษตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากเป็นทาสพิษก็ถูกโยนทิ้งข้างกองขยะกลายเป็นขอทานแลอดตายด้วยความหิวโหย หลังจากนั้นเขากลับไม่ตายกลายเป็นคนผู้งามเลิศท่านเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนหรือไม่" ข้าเอ่ยถามความว่างเปล่าหัวเราะร่วนขบขันกับละครฉากนี้อย่างยิ่ง เป็นเสียงหัวเราะร้าวรานสายนี้ทำให้บุรุษชุดดำผู้ปรากฎกายอยู่ด้านข้างคุกเข่าลงแลลูบมือข้าราวกับจะปลอบ
"ข้าทราบดีว่าเขาไม่ผิดแต่ว่าข้าอดชิงชังเขาไม่ได้ ใยสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้...ต..ต้องรังแกข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" ข้าไม่อาจอดทนไหว ดึงหน้ากากเงินออกทอดร่างคว่ำลงกับหมอนร่ำไห้จนสาแก่ใจ หรือเพราะเทพเซียนชิงชังข้า ต้องการจะลงโทษข้าจึงส่งบทลงโทษอันทุกข์ทรมานนี้มาให้ ต้องเฝ้ามองร่างกายเป็นของผู้อื่น เฝ้ามองคนที่รักรักใคร่ผู้อื่นอย่างลึกซึ้งโดยไม่อาจปริปากเอ่ยสิ่งใดได้เลย สิ่งที่เคยเป็นของข้าถูกแย่งชิงไปจนสิ้นเช่นนี้จะทนได้เช่นไร...ความเจ็บปวดเช่นนี้จะทนไหวได้อย่างไร
“นายน้อยท่านร่ำไห้ให้พอ เหนื่อยล้าก็หลับไหลเสียก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยลุกขึ้นมาสู้ใหม่ อย่าลืมว่าข้าแลนายท่านอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” เจ้าของมืออุ่นคู่นั้นแตะลงที่ไหล่อย่างปราณีดึงข้าเข้าสู่อ้อมกอด ข้าทอดกายอยู่กับอกพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างอ่อนล้า เพียงได้ยินคำพูดปลอบประโลมแลนามท่านเหมยก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ก่อนที่ร่างกายจะจมสู่ห้วงนิทราได้แต่บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้หากตื่นมาขอให้อย่าอ่อนแอเช่นนี้อีก
เชิงอรรถ
[1] ไท่ซาน - ภูเขาไท่ซาน ตั้งอยู่ที่เมืองไท่อาน ทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ยอดบนสุดของ ภูเขาไท่ซาน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,545 เมตร มีหินผาตั้งเรียงรายจำนวนมาก กวีเอกแห่งจีนหลายท่านเคยจารึกบทกลอนมากมายไว้ที่ภูเขาไท่ซานแห่งนี้ จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะกลางแจ้งที่สะท้อนสัญลักษณ์แห่งอารยธรรมเก่าแก่ของจีน และภายหลังยูเนสโกได้ยกย่องให้ ภูเขาไท่ซานเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987
[2] จ้าง - หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 จ้าง = 10 ฉื่อ ประมาณ 2.27 – 2.31 เมตร
ทักทายนักอ่าน
เมื่อวานนี้เพิ่งกลับจากการไปทำค่ายจิตอาสาให้น้องๆประถม บอกเลยว่าสนุกมาก...จริงๆนะT____T เด็กวัยประถมที่กำลังซนพี่ๆจะเป็นลมกันเลยทีเดียว 5555 ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ตอนนี้มาช้า เราตัดสินใจแล้วว่าจะอัพวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันใดวันหนึ่ง นักอ่านแวะมาเช็คตอนกันได้ทุกวันอาทิตย์นะคะ สำหรับตอนนี้ตอนอ่านนั่งหาอะไรมาบิ้วท์พอได้ฟังเพลง 爱殇 รู้สึกเลยว่ามันใช่ ตอนนี้เหมือนมันเป็นตอนที่มันปล่อยความอัดอั้นตันใจอะไรซักอย่างออกมา มันเป็นความคับแค้นใจด้วยส่วนหนึ่ง เสียใจด้วยส่วนหนึ่ง ทุกข์ทรมานด้วยอีกส่วนหนึ่ง คงเป็นตอนที่สะท้อนนิสัยของเหวินฉีลี่ฉางให้ทุกคนได้เห็นได้ดีอีกตอนหนึ่ง อย่างที่บอกว่าในเรื่องนี้ไม่มีตัวละครไหนดีหรือเลวเต็มร้อย แม้แต่ตัวเอกเองก็ยังพยายามสร้างให้เป็นคนเทาๆ ถึงรู้ว่าหนูซีหยางก็ไม่ผิดแต่มันก็อดเกลียดไม่ได้จริงๆ พูดถึงหนูซีหยางในที่สุดก็มีชื่อให้ทุกคนเรียกซักที เรียกขอทานกันมาตั้งนาน 555555 เจอกันใหม่อาทิตย์หน้าค่า^^