บทที่ 19
ทำไมต้องรู้สึก
“มึง เดี๋ยวเอาเลคเชอร์กูไปลอกแล้วกันนะ”
“อือ...”
“ภาษาไทยมันก็ไม่มีอะไรมาก มึงก็ใช้เซ้นส์เอา”
“อา...”
“กลางวันนี้กูจะไปกับเต้ ไม่ได้อยู่กินข้าวกับพวกมึง”
“อือ...”
“ไอ้มุ่ย”
“หื้อ...”
“ไอ้เชี่ยมุ่ย!”
“อะ เออ ว่าไง มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ย” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจกับเสียงเรียกของไอ้โป้ ชิบหายเรียกซะดัง ดีนะอยู่ในระหว่างเบรก คนอื่นๆ เลยไม่ได้สนใจพวกผม
“มึงเหม่ออะไรของมึงวะ กูเห็นนั่งลูบปากตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบ”
“กูมีเรื่องนิดหน่อยว่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้โป้ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“ไอ้สัด นี่มึงไปสะดุดตีนใครมาอีก คราวก่อนยังไม่เข็ดอีกหรือไง กูตามไปเคลียร์ให้ตลอดไม่ได้นะโว้ย” ไอ้โป้โวยวายทันทีทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ ฟังกูก๊อน
“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย หมายถึงมีเรื่องให้คิดอะ” ผมเลียริมฝีปากอย่างประหม่า ผมควรจะปรึกษากับมันดีไหมวะ ตะ...แต่ผมเขิน
หลังจากที่บีมฉวยโอกาสกินปากผม นานหลายนาที กินย้ำๆ ซ้ำอยู่อย่างนั้นจนแทบหายใจไม่ออก มันก็เห็นใจ หยุดการกระทำของตัวเองไว้แค่นั้น พอผละออกจากกันผมเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ลาลาลอยละลิ่วเลยครับ ตัวแข็งเป็นหินเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต จำได้ว่าบีมพาผมกลับเข้าร้านแล้วนั่งกินเค้กต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กินเลอะแล้ว” เจ้าของนิ้วเรียวเอื้อมมาเช็ดมุมปากให้ผม ใบหน้าหล่อยิ้มให้อย่างอ่อนโยนติดจะล้อๆ นัยน์ตาพราวระยับเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ
“หะ”
“น้องมึงลอยไปไหนวะ ฮัลโหลมุ่ยยังอยู่ไหม ตอบพี่ที”
“...กู มึง จูบ...”
“ตกใจเหรอ อย่าบอกนะว่าจูบแรก”
“บีม...”
“อ่า...ครั้งแรกจริงด้วย”
“...”
“ดีใจจัง”เราสองคนยังนั่งกินเค้กกันต่ออย่างงงๆ จนหมด บีมก็พากลับไปส่งที่บ้าน ไม่วายยังเอาปากมาชนกันอีก ด้วยความตกใจผมจึงทุบมันไปสองอั้ก บีมก็เอาแต่หัวเราะจนตัวงอ แต่ผมนี่ดิ วิญญาณที่ใกล้จะกลับเข้าร่างแล้วดันกระเด้งลอยไกลออกไปอีก
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ผมมานั่งเรียนวิชาภาษาไทยอย่างงงๆ ในช่วงเช้า ตั้งแต่เริ่มเรียนมาไม่ได้เข้าหัวสักอย่างเลยครับ มัวแต่คิดเรื่องเมื่อวาน
มันจูบทำไม
เพราะอะไรทำไมถึงจูบ
ชอบ...เหรอ?
ทำไมชอบล่ะ
“โว้ย! มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย” ดึงทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง
“สรุปเป็นเหี้ยอะไร” ผมหันหน้าไปหาไอ้โป้ทั้งที่ยังฟุบอยู่ มันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด
“ถ้ารู้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ ไม่งั้นกูขอให้ไอ้พี่เต้มีเมีย”
“เออ สักทีเหอะ”
“คืองี้ กูอะนะ...”
“อ่า”
“...แบบกู”
“เออ ว่าไง”
“คืองี้เว้ย กูอะ...”
“ไอ้ชิบหาย วันนี้กูจะฟังมึงรู้เรื่องไหม แผ่นสะดุดเหรอสัด โค้ะ!”
“โว้ย! จะให้กูพูดว่าเมื่อวานบีมมันจูบกูรึไงล่ะ ไอ้สัดโป้!” ผมดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะแล้วโพล่งออกไปอย่างไม่ทันคิด
“ห้ะ?”
“อุ้บส์...” ชิบหาย
“มุ่ย...นี่มึง” ทั้งผมและไอ้โป้ต่างตกใจกันทั้งคู่ มันอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่เหมือนจะพูดไม่ออก ผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าแหย ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน
“มึงมากับกู”
“เห้ยจะไปไหน หมดเบรกแล้วไอ้สัด” ผมว่าอย่างงงๆ เมื่อจู่ๆ ไอ้โป้ก็ลุกขึ้นแล้วคว้าขอมือผมให้เดินตามมันไป เจออาจารย์เดินสวนมาพอดี แกทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมจึงผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ สะกิดไอ้โป้ด้วยแต่มันก็ไม่สนสี่สนแปดใดๆ เอาแต่ลากแล้วก็ลากผมออกจากห้องเรียน
“เออ มาก่อน”
“เอ้า”
.
.
“ลากกูออกมาที่นี่เนี่ยนะ”
“อาจารย์เข้าแล้ว มึงจะคุยกันในห้องให้คนอื่นได้ยินหรือไงล่ะ” โป้ว่าพลางจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็คแล้วอัดเข้าปอดหนักๆ ก่อนจะพ่นออกมา มันพาผมมาแถวๆ ซอกหลืบของอาคารเรียน ดูก็รู้ว่าเป็นที่ๆ เหล่านักศึกษาแอบมาสูบบุหรี่กัน มอเรามีที่วังเวงแบบนี้ด้วยเหรอวะ
“กูจะบอกพี่เต้นะ” ผมเคาะหน้าจอโทรศัพท์เป็นเชิงเตือน
“กูลดอยู่ อาทิตย์นี้กูเพิ่งได้สูบ” มันนั่งยองๆ ลงกับพื้น ผมเลยนั่งลงตามบ้าง
“มะเร็งแดกตายเหอะไอ้สัด”
“คนอย่างมึงมีสิทธิว่ากูด้วยเหรอ” โป้เลิกคิ้วถามอย่างกวนๆ ผมเลยส่งนิ้วกลางไปให้อย่างหมั่นไส้ เลิกนานแล้วเหอะ
“ประเด็นคือมึงกับพี่บีมจูบกัน?” ไม่พูดพร่ำทำเพลงมันก็ถามออกมาทันที ทำเอาผมสะดุ้งโหยงอย่างไม่ทันตั้งตัว
“บีมเคยบอกกับกูว่าชอบมึง” ปล่อยให้ควันอบอวลอยู่ได้สักพัก มันก็พูดขึ้น
“กู...เชี่ย แม่ง กูไม่รู้ว่ะ”
“กูดูแล้วเขาน่าจะชอบจริงว่ะ สายตาแม่งเหมือนตอนไอ้ศรันย์มันมองมาที่มึงเมื่อก่อน” ผมก้มหน้าลงมองที่ข้อมือตัวเองข้างเดียวกับที่ช้ำพลางลูบไปมาอย่างเลื่อนลอย
“เกี่ยวอะไรกับไอ้ห่านั่น” ผมเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ไอ้เวรนี่ก็อีกคน ยังเคลียร์กันไม่รู้เรื่อง
“เอ้า ก็มันชอบมึง”
“เออ...”
“หึ”
“ดูเหมือนกูทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยว่ะ ก็แค่จูบเอง ใช่ปะ” ผมใช้นิ้วเขี่ยกับพื้นไปมา จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“สำหรับกูก็ใช่ แต่เรื่องแบบนี้มันเทียบกันไม่ได้รึเปล่า”
“...”
“คิดดีๆ ไอ้มุ่ย กูไม่อยากให้มึงเสียใจหรอก”
“กูโง่ว่ะโป้ กูไม่รู้เหี้ยไรเลยอะ ถึงได้เป็นงงอยู่อย่างนี้ไง” ผมดึงขาตัวเองเข้ามากอดแล้วซบลง สมองตอนนี้วุ่นวายไปหมด รวมไปถึงหัวใจที่แค่เอ่ยคำว่าบีมก็เต้นผิดจังหวะแล้ว
“มึงรีบตัดสินใจเร็วๆ ไม่งั้นมึงจะเจ็บ”
“ตอนนี้กูก็เจ็บ”
“...”
“จูบกูเพราะชอบเหรอ ทำไมถึงชอบล่ะ แล้วการชอบใครคนหนึ่งมันเป็นยังไง ถ้ากูชอบบีมกลับแล้ววันหนึ่งกูเลิกชอบล่ะวะ”
“...”
“มันยากสัดๆ กูไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง”
“สักตัวไหม?” เงียบนานหลายนาที โป้มันก็ยื่นซองบุหรี่มาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วล้วงหยิบหมากฝรั่งในกระเป๋ากางเกงมากินแทน
“ไม่อยากเจอหน้าบีมเลย...”
“กูก็อยากจะอธิบายช่วยนะ แต่เดี๋ยวมึงไม่อิน เรื่องอย่างนี้ถ้าคิดได้ด้วยตัวเองแล้วแม่งจะรู้สึกอเมซิ่งสัดๆ กูลองมาแล้ว” รอยยิ้มบางของโป้ผุดขึ้นเมื่อนึกถึงใครบางคน ผมมองมันอย่างเซ็งๆ รู้ดีเลยแหละเรื่องระหว่างมันกับพี่เต้ ดราม่าชิบหาย น้ำตาไหลท่วมจอแล้ว กว่าจะผ่านกันมาได้จนทุกวันนี้ เสียไปกี่หยดแล้ว
หมายถึงเลือดอะ
“ยากไหมวะ”
“เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน”
“ก็นะ...มึงมันก็เคยเป็นคนโง่เหมือนกู ดีนะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว” ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมมันแรงๆ อย่างนึกสนุก
“สัด” มันผลักหัวผมอย่างหมั่นไส้
“เออๆ กูคิดเองก็ได้วะ เฮ้อ” ผมถอนหายใจยาวพลางดันตัวเองให้ลุกขึ้น เตรียมจะเดินกลับออกไปแต่โป้มันก็พูดขึ้นมาซะก่อน
“เดี๋ยวจะช่วยสักหน่อยแล้วกัน”
“หือ”
“ได้ข่าวว่าไอ้ศรันย์โดนซ้อมมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้นอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล” ผมชะงัก
“แล้วมันเป็นยังไงบ้าง”
“ช่างหัวแม่งสิไอ้สัด สมน้ำหน้า” รอยยิ้มเย็นผุดขึ้น มองเข้าไปในแววตามันจะเห็นไฟลุกโชนไม่เหมือนกับกายหยาบที่สงบนิ่งอยู่แบบนี้
“บอกกูทำไมล่ะ” อันนี้ที่กูงง
“ก็มันชอบมึง ลองไปคุยกับมันดู เผื่อจะเก็ท” แล้วถ้ากูไปเยี่ยมมันจะไม่ดูประหลาดเหรอวะ ศัตรูไปเยี่ยมศัตรู เหอๆ
“แปลกนะเนี่ย ให้กูไปง่ายๆ ไม่ใช่ตามไปกระทืบศรันย์ทีหลังหรอกนะ”
“หึ”
“เออๆ เดี๋ยวเย็นนี้กูไปหามัน”
.
.
.
“เป็นไงเป็นกันวะ”
ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมือง เกือบตายเดี่ยวแล้วไหมละครับ เมื่อครู่เห็นพวกเพื่อนศรันย์เดินออกจากห้องมาพอดี ดีนะผมหลบทัน ไม่งั้นล่ะยาวเลย
“หายใจเข้าพุธ...หายใจออกโธ” ฟู่ว
“ขอให้มันช่วยได้จริงๆ เถอะ” ผมพ่นลมออกจากปากให้ตัวเองรู้สึกไม่กดดัน มือกำลูกบิดประตูแน่น ก่อนจะตัดสินใจเปิดเข้าไป
“ไง...” ผมส่งเสียงทัก ตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้หลับอยู่ แหงล่ะ เพื่อนเพิ่งออกไปได้แป้ปเดียวกูก็เข้ามาเลย
ผมเหวอกับสภาพของศรันย์ หนักใช่เล่นนะเนี่ย แขนข้างซ้ายหักต้องดามเฝือก พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นรอยช้ำตามแขนขาที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมา แผลบนใบหน้ามีคิ้วกับปากที่แตก
เหี้ย มันไปเหยียบตีนใครมาวะเนี่ย
“เอ่อ...” ผมทำหน้าไม่ถูกกับสายตาที่ศรันย์มองมา ได้แต่ยืนมองไปรอบห้องพลางลูบหลังคออย่างเขินๆ
“หึ” มันหันหน้าหนีผมอะ ไอ้สัด เมินกูได้ไง
“เป็นไงบ้างล่ะมึง ได้ข่าวไปมีเรื่องมา” ผมทำใจกล้าเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง แล้ววางถุงเยลลี่ไว้บนโต๊ะ ทำไมตอนจะตีกับมันกูไม่เห็นประหม่าขนาดนี้เลยวะ วิ่งเข้าหาอย่างเดียวไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วดูตอนนี้ดิ ผมดันเกร็งขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ยังไม่ตาย” มันพูด แต่ก็ยังไม่มองหน้าอยู่ดี
“อ๋อเหรอ...” ผมพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงเข้าใจ ผมนั่งกำแบมือที่ชื้นเหงื่ออย่างไม่รู้จะเริ่มยังไงดี โอ๊ย! อึดอัดแต๊ว่า
“มาทำไม” ระหว่างเราที่เงียบลงนานหลายนาที ศรันย์ก็เอ่ยปากขึ้นถาม
“หันมาคุยดีๆ ดิ้ มารยาทรู้จักเปล่า” กวนตีนก่อนน่าจะดี เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย ผมรู้ผมเรียนมา
เจ้าของร่างที่นอนแบบอยู่บนเตียงถอนหายใจออกมาเหมือนเบื่อหน่าย แล้วค่อยๆ หันกลับมามอง
“โห ฟัดกับหมามาเหรอวะ หน้าตาดูไม่ได้” พอได้เห็นในระยะใกล้กว่าเดิม ก็รู้สึกได้ว่าแผลหนักอยู่พอสมควร ไอ้เหี้ย หมาทั้งฝูงรึเปล่าเนี่ย
แผลภายนอกว่าเยอะแล้ว ไม่รู้ข้างในจะหนักแค่ไหน คนทำแม่งโหดจัด
“เหอะ” ศรันย์แค่นหัวเราะ ราวกับเรื่องที่ผมถามมันช่างตลกสิ้นดี มันมองตรงมาที่ผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แล้วเสมองถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
“ถุงอะไร”
“ของเยี่ยมมึงไง เยลลี่หมี”
“กูคงแดกได้หรอกนะ น้องมุ่ย” คนเจ็บพยายามจะพยุงตัวขึ้น ผมจึงลุกช่วยปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย วางหมอนให้ศรันย์พิงได้ถนัด
“แล้วตกลงมาทำไม”
“มาดูว่ามึงตายรึยัง จะได้เตรียมจัดงานให้” ผมยักคิ้วให้อย่างกวนๆ
“สัด”
“เอ้า เรื่องจริงทั้งนั้น” ผมแกะถุงเยลลี่แล้วหยิบเข้าปากทีเดียวสามอัน ความหวานของน้องๆ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างมาก
“ของเยี่ยมกูรึเปล่า”
“กูคนซื้อ กูจะกิน มึงจะทำไม”
“จะมากวนก็กลับไป เหนื่อยจะเถียงด้วย” แน๊! ทำเป็นเมิน
“เห็นไอ้โป้บอกว่ามึงเข้าโรง’ บาลอาการสาหัส เลยจะมาดูใจก่อนมึงตาย เอ้า ก็ยังอยู่ดีนี่หว่า”
“เฮ้อ” ศรันย์ทำหน้าเหมือนรำคาญผมเต็มทน แต่ด้วยสังขารที่เดี้ยงแบบนั้น ทำให้ไม่มีแรงลุกขึ้นมาเตะไล่ผม เจ้าตัวก็ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างจนใจ
“ไปเหยียบตีนใครมา ถามจริง”
“จำเป็นต้องบอก?” ทำมาเล่นตัว ไอ้เวร
“เออ”
“กูไม่ได้เหยียบตีนใคร...”
“แล้ว” ผมเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วเพราะรู้สึกหวานคอเกินไป
“ผัวมึงนั่นแหละน้อง”
พร่วด!
“สกปรกว่ะ” ผมพ่นน้ำออกมาอย่างตกใจ เมื่อได้ยินคำบางอย่างจากปากของศรันย์ ดีนะ หันไปอีกทางทันพอดี
“ห้ะ?” ...ใครนะ ขออีกที
“ก็นั่นล่ะ เล่นซะกูเกือบตาย อารมณ์รุนแรงดีนะ”
“เดี๋ยวๆ กูว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ” ผมยกมือขึ้นเป็นปางห้ามศรันย์พูด เบรกแม่งไว้ก่อนจะพูดอะไรบัดสีออกมา
“เจอกันก็ไม่บอกว่ามีผัวแล้ว ให้กูสารภาพรักหน้าแตกละเอียดยิบ อายชิบหาย”
“...มึงหยุดพูดคำนั้นที แสลงใจเบาๆ” กุมใจเลยกู
“หึ” ศรันย์ทำหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อหลายวันก่อน
“มึงเข้าใจอะไรผิดปะ คือกูยัง...ยังไม่มีแฟน โอเคนะเพื่อน” ผมพยายามอธิบายพูดกรอกสมอง ทำความเข้าใจใหม่ให้มัน แต่แม่งก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“แล้วไอ้เหี้ยนั่นจะมาแก้แค้นที่กูกระทืบมึงทำไม ถ้าไม่ได้เป็นผั-”
ผมชี้หน้าให้มันหยุดพูดคำนั้น กลืนลงไปเดี๋ยวนี้!
“เรื่องเข้าใจผิดรึเปล่า”
“ผิดกับตีนกูสิ กูเดินกับเพื่อนอยู่ดีๆ แม่งไม่พูดพร่ำทำเพลง จู่ๆ ก็เข้ามาถีบจนกูล้มคว่ำ ไม่พอ กระทืบซ้ำอีก เอาจนกูมีสภาพอย่างที่มึงเห็นนี่แหละ” ศรันย์พูดพลางทำหน้าเคียดแค้น สงสัยโมโหจริงว่ะ
“...เหี้ย”
“เออ แม่งโคตรเหี้ย ทิ้งท้ายอีกนะว่า อย่ามายุ่งกับน้องมุ่ยอีก แล้วจะให้กูคิดว่าไง”
“ผัวก็เหี้ยแล้ว! ไม่มีโว้ย!” ผมโบกมือโวยวายไล่ความคิดเหี้ยๆ ให้ออกไปไกลๆ เวรเอ๊ย อย่าให้กูรู้นะว่าเป็นใคร มาแอบอ้างอย่างนี้ได้ไงวะ
“ตกลงใคร”
“กูจะรู้มะ- เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ?” จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้คนนึง เหย ไม่ใช่หรอกมั้ง จำผิด
“ว่า”
“คนที่ทำมึง ขาวๆ สูงๆ ปะ”
“เออมั้ง กูเห็นหน้ามันแวบเดียวจากนั้นก็มีแต่ภาพตีนลอยเต็ม”
เอ...คงไม่ใช่หรอก
“แล้วทำไมมึงไม่บอกเขา ว่าไม่ได้ตั้งใจทำกูล่ะ”
“ยังไม่ทันพูดได้ซักแอะ แม่งก็ซัดเข้ามาแล้ว”
“กากว่ะ”
“กูไม่ได้ตั้งตัวป้ะสัด”
“แล้วเพื่อนมึงไม่เข้ามาช่วยรึไง”
“เพื่อนก็สภาพไม่ต่างจากกูเท่าไหร่หรอก ไอ้เหี้ยนั่นพวกเยอะกว่า”
“อ่อ” ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วระหว่างเราก็เงียบกันไป เมื่อหมดเรื่องจะคุย เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงด้วยซ้ำ มันยุบยิบอยู่ที่ปาก อยากจะพูดแต่ก็อายตัวเอง เลยได้แต่หาเรื่องชวนมันคุยอ้อมโลกอยู่แบบนี้
“เอ่อ”
“มีอะไรจะพูดอีกล่ะ”
“ก็...ไม่เชิง” ผมอ้อมแอ้มตอบ รู้สึกมือชื้นเหงื่ออีกแล้วพอเริ่มเข้าประเด็น
“จะถามก็ถามมา กูง่วงแล้ว”
“คือ...”
“...”
“มึงอย่าจ้องสิวะ มันกดดัน” ผมเอ็ดให้ศรันย์ เมื่อมันใช้สายตามองมาที่ผมไม่ละไปไหน
“เร็วๆ ดิ้ กู-”
“ทำไมมึงถึงชอบกู” ผมหลับตา กลั้นหายใจพูดออกไปอย่างเร็วปรื๋อ สองมือวางบนตัก ประสานบีบแน่นอย่างกลัวในคำตอบ
พูดไปแล้ว...
“...”
เงียบแดกเลยไหมล่ะ
“อันที่จริงมีเรื่องจะถามมึงเยอะมาก ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว” ผมเปิดเปลือกตา นับหนึ่งสองสามสี่อยู่ในใจ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาศรันย์ แต่มันดันเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากตอบ
“...”
“ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องมึงไม่เคยทำกู จะมีก็แค่ครั้งเดียว...แล้วที่มึงว่าชอบกู สรุปแล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่” ความค้างคาใจทั้งหมด พอได้ถามออกไปแล้ว รู้สึกโล่งขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด
“คำตอบมันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ” ศรันย์ผินหน้ากลับมาสบตากับผม แววตาเขาเจือความเศร้าอยู่ในนั้น แล้วไม่ใช่แวบเดียวก็หายไปเหมือนที่ผ่านมา นานหลายนาที เขาก็เริ่มเปิดปากพูด
“...”
“เพราะชอบ ถึงไม่ทำร้าย”
“...”
“เพราะชอบอีกนั่นแหละ ถึงไม่อยากเห็นมึงเจ็บ”
“...”
“แค่อยู่ต่างสถาบันก็ยากแล้วไหม คนเราจะทำเหี้ยกับคนที่ชอบได้ยังไงวะ”
“ละ...แล้วตอนนั้นที่มึงแทง...”
“เพื่อนกูเข้ามาข้างหลังมึง มันไม่มีทางเลือก” ศรันย์กำมือแน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมา ทำเอาผมอ้าปากค้างกับคำสารภาพที่ไม่เคยรู้มาก่อน
อย่างที่เคยบอกว่า หลังจากโดนมีดเสียบคาท้อง ผมก็ช็อคจนสลบไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็ไม่เจอมันอีกเลย
“กูตัดสินใจใช้มีดตัวเองแทงมึงก่อน กะเอาแฉลบ แต่พลาด หึ อย่างน้อยก็ทำให้เพื่อนกูเปลี่ยนเป้าหมาย”
“ฮึ?” หมายความว่าไง
“ไปฟันไอ้โป้แทน”
“เหี้ย! ไอ้สัด! นั่นเพื่อนกู”
“แล้วไง กูชอบมึง ไม่ได้ชอบมัน” เวร เวรแท้ๆ ไอ้โป้แม่งต้องมารับกรรมแทนกู
“โคตรเหี้ย”
“ไม่กลียดกูรึไง” ศรันย์หันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง
“เกลียด? เกลียดเรื่อง”
“ทุกอย่าง...ที่ผ่านมา ทั้งกับมึงแล้วก็เพื่อนมึง” ผมเงียบไปอึดใจ ไม่คิดว่าจะเจอกับคำถามนี้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ชัดเจนกับมันสักที ผมว่ามันน่าจะคิดมากแล้วก็โทษตัวเองอยู่แน่เลยอะ
“มึง คือทั้งหมด กูผิดเอง”
“หมายความว่าไง” มันหันกลับมามองอย่างไม่แน่ใจในคำพูดของผมเมื่อครู่
“กูเลือกเองอะ จะโทษมึงอย่างเดียวก็ไม่ใช่เปล่าวะ”
“...”
“เพราะงั้น สบายใจได้ว่ากูไม่เกลียดมึง แค่เหม็นหน้า ฮ่าๆ”
“หึ” บรรยากาศระหว่างเราดูผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากได้เคลียร์ใจกับเรื่องครั้งนั้น ผมรู้ว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก ทั้งผม ไอ้โป้ พี่เต้ แล้วก็ศรันย์ ต่างก็ได้รับผลของมันกันแล้วทั้งหมด ที่มาจากความเลือดร้อนและความคึกคะนองในตอนนั้น
“เออ แล้วที่มึงชอบกู”
“ทำไม”
“กูผู้ชายนะ”
“แล้ว?”
“ง่ายๆ งี้เลยอ๋อ”
“แล้วมึงจะทำให้มันยากทำไม” ศรันย์ขมวดคิ้วยุ่งขณะอธิบายให้ผมฟัง มันทำหน้าเหมือนผมโง่ซะเต็มประดา
“เออ กูโง่ ไม่ต้องทำหน้าเหยียดกูขนาดนั้นก็ได้ ก็รู้ตัวอยู่หรอก”
“อ่อ กูเข้าใจละ” จู่ๆ มันก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“แสดงว่าไอ้เหี้ยนั่นก็เป็นเหมือนกันสินะ ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” มันหัวเราะออกมาเสียงเบา ท่าทางอยากจะให้ดังกว่านี้แต่ด้วยร่างกายไม่เอื้ออำนวย ผมก็ได้แต่นั่งงง
“คนอย่างน้องมุ่ยน่ะ ไม่รู้หรอกว่าชอบคืออะไร”
“...”
“ใครก็ตามที่รู้สึกดีกับน้อง ไม่เหนื่อยก็ท้อจนถอยออกไปเอง”
“...”
“หรืออาจจะเป็นอย่างกูก็ได้ ที่ได้แค่มอง ฮ่าๆ ตลกชิบหาย”
“ศรันย์ ที่มึงกำลังดูถูกกูอยู่รึเปล่า” ผมถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่คนอื่นทำมาเป็นรู้ความคิดของผม
เข้าใจไหมว่าแบบ...
มึงเสือกเรื่องตัวเองให้รอดก่อน ค่อยมาใส่ใจเรื่องกูน่ะ
“หืม? หรือกูพูดอะไรผิดไป”
“จริงๆ ก็เปล่า ถูกทั้งหมดนั่นแหละ” ยกเว้นเรื่องนี้แล้วกัน ผมนอนคิดคนเดียวมาหลายคืน ก็ยังคิดไม่ออก ทุกอย่างมันอยู่ผิดที่ผิดทางไปซะหมด แล้วบางทีก็รู้สึกเหมือนมีชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป แล้วผมหาไม่เจอ
บีม ทำกูแย่ขนาดนี้ รู้ตัวบ้างรึเปล่าเนี่ย
“ชอบเขารึไง”
“...ไม่รู้”
“แต่กูมั่นใจ ว่ามึงชอบเขาแน่ๆ”
“รู้ดีกว่าตัวกูอีกนะสัด” คันหัวใจอีกละ ไม่ได้เลยนะ พอพูดถึงบีมแล้วเนี่ย ไม่ได้เลย
“ชอบก็คือชอบ มุ่ย อย่าไปหาเหตุผลให้มาก”
“แล้วรู้ได้ไงว่าชอบ ถ้าแม่งเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบล่ะวะ” ผมก้มหน้าลงพึมพำกับตัวเอง แต่หมาเสือกได้ยิน
“ถ้าเป็นอย่างนั้น มึงจะมานั่งคิดมากอย่างนี้ทำไม”
“คือกูไม่อยากให้เขาผิดหวัง กูกลัวทำให้เขาเสียใจ มึงเข้าใจไหม” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด กับความกดดันที่สั่งสมมา ใครๆ ต่างก็บอกให้ผมตัดสินใจซักที แต่ไม่รู้หรอกว่าผมก็เจ็บ เจ็บที่ให้คำตอบอะไรกับบีมไม่ได้เลย เห็นหน้ามันผมก็อยากจะร้องไห้ แม่งเอ้ย
แล้วโดนบีมจูบมา ทำให้ผมช็อคหนักเข้าไปอีก
หมดกัน เฮียมุ่ยผู้แข็งแกร่งดั่งหินผา ตอนนี้เหลวเป๋วยิ่งกว่าเยลลี่โดนแดดเผาซะอีก
“มุ่ย...”
“เออ”
“มึงแคร์เขาขนาดนี้ ก็คือต้องใช่แล้วไหม”
กึก!
“ยังต้องคิดอะไรอีก”
ผม...
“มึงจะลังเล โอเค ไม่แปลก แต่ถ้ามึงตอบใจตัวเองไม่ได้สักที คนที่จะเจ็บที่สุดก็มึงอยู่ดี”
“...”
“ที่ทำให้เขาเสียใจ”
แม่ง
แม่ง...
แม่งแทงใจกูดังจึ้กเลย
“พี่อ้อยพี่ฉอดเปล่าเนี่ย รู้ดีชิบหาย” ผมเปลี่ยนเรื่องแกล้งแซวมัน เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูอึดอัดมากไปกว่านี้
“กูต้องแข็งแกร่งแค่ไหนวะ ถึงให้คำปรึกษากับคนที่ชอบเพื่อที่จะให้เขาไปรักกับคนอื่นได้”
เนี่ย กูรู้สึกผิดเลย ถึงได้เปลี่ยนเรื่องไง
“บุญหนักนะเว้ย”
“สนที่ไหน ช่างเหอะ มึงจะไปไหนก็ไป เบื่อหน้าแล้ว” ศรันย์โบกมือไล่ผม พลางใช้มือข้างที่ปกติดีหยิบถุงเยลลี่ไปไว้อีกฝั่ง
“นี่กูเอามาพอเป็นพิธีนะเนี่ย”
“ออกไปได้แล้วโว้ย รำคาญ!” เจ้าตัวบ่นทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วหันหลังนอนตะแคงไปอีกทางเพื่อหนีหน้าผม
“เออ ขอบใจมากเพื่อน” ผมลุกขึ้นโบกไม้โบกมือลา แม้มันจะไม่เห็นก็ตาม พอเดินไปถึงประตูยังไม่ทันได้เปิดออก ก็ได้ยินเสียงมันพูดขึ้นซะก่อน
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าทำไมคนเราถึงชอบคนๆ นึงได้”
“...”
“มีแค่ตัวมึงเองนั่นแหละที่รู้”
“...”
“เอาแต่ถามคนอื่น ถามตัวเองรึยัง”
.
.
คล้อยหลังที่ฟ้ามุ่ยเดินออกจากห้องไปแล้ว ไม่ทันได้เห็นแววตาที่เขาหันมองไปที่ประตู ว่ามันเศร้าแค่ไหน
เจ้าของมือเรียวกำถุงขนมแน่น คำสารภาพที่พูดออกไป ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความเสียใจที่เขามี และยังคงจะเจ็บอยู่อย่างนั้นตลอดไป
ภาพจำยังคงฉายชัดอยู่ทุกครั้งที่เขานึกถึงฟ้ามุ่ย ว่าตัวเขาเองนี่แหละ ที่ทำร้ายคนที่เขารักกับมือ
“ขอโทษ”
.
.
.
ย้อนกลับไปหลายวันก่อนพลั่ก!
คนตรงหน้าถีบเข้ามาที่กลางท้องเข้าอย่างจัง จนเขาทรุดลงไปกับพื้น
“มือข้างนี้รึเปล่าที่แทงน้องมัน” ใบหน้าเรียบนิ่งแฝงความเย็นยะเยือกจ้องเข้ามาที่ตาของเขา สัมผัสได้ถึงอารมณ์คุกรุ่นรุนแรง แผ่ออกมาจากตัวชายคนนี้
“กูถาม ก็ตอบ”
อึ่ก!
ฝ่ามือเย็นจัดแรกเข้ามาที่กลุ่มผมของศรันย์แล้วกระชากขึ้นอย่างแรง เพื่อรั้งให้ตัวเขาเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น
สภาพเขาตอนนี้ สะบักสะบอมจนลุกขึ้นยืนแทบไม่ไหว หลังจากโดนอัดมาร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ ร่างกายปวดล้าไปหมดทั้งตัว แขนข้างซ้ายเหมือนจะหักด้วย
หึ นี่กูมาเจอกับตัวเหี้ยอะไรวะเนี่ย
“แล้วมึง แค่ก! จะทำไม” ถึงแม้ความรู้สึกกลัวจะคืบคลานเข้าเกาะกินหัวใจเขาเกินครึ่ง ร่างกายเริ่มอ่อนแรง เปลือกตาหนักอึ้งแต่ก็พยายามจะเหลือบมอง อยากรู้ว่าไอ้คนที่มันทำเขาเจ็บขนาดนี้หน้าตาเป็นยังไง แต่ก็พร่าเลือนเต็มที อีกทั้งความมืดในตอนกลางคืนบดบังมันไปซะเกือบครึ่งหน้า แต่ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมจำนนต่อคนตรงหน้าเด็ดขาด
“เล่นแรงเกินไป รู้ตัวรึเปล่า”
พลั่ก!
ปึ่ก!
มันละมือจากผมของเขาแล้วคว้าเข้าที่คอ จับกระแทกอัดเข้ากับกำแพงจนตัวงอ
“ถือซะว่า มึงชดใช้ให้น้องมันแล้วกัน” ดวงตาหรี่ปรือพร้อมจะปิดเต็มที่ เห็นเพียงรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกับเสียงกระซิบข้างหูก่อนสติจะดับวูบไป
“จำไว้ อย่ามายุ่งกับน้องมุ่ยอีก”
*************************************
ความจริงศรันย์เป็นคนน่ารักนะคะ ใครช่างทำศรันย์กันน้า