ตอนที่ 18 เวลาของใครเอ๊: เธอ
เอ๊: ขอโทษที่ทักมาแต่เช้านะ
เอ๊: แต่ผมนอนไม่หลับเลย
เอ๊: ผมไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับใคร
เอ๊: แต่เพื่อนในแชตของผมเขาบอกว่าตอนนี้เป็นเดือนธันวาคมแล้ว
เอ๊: ผมก็ยังไม่กล้าฟันธงอะไรหรอกนะ เพราะควั๊นก็ดูไม่ค่อยเต็ม เขาอาจจะดูปฏิทินพลาดก็ได้
เอ๊: เธอว่าโลกที่เราอยู่นี้เป็นยังไง
เอ๊: เวลาผิดเพี้ยนหรือเปล่า
Bee : ใจเย็นก่อนนะคะเอ๋ เอ๋ลองถามคนอื่นหรือยังคะ
เอ๊: ถามแล้ว ไอ้พี่หมอแพร์ห้องข้างๆ บอกว่าผมประสาทด้วยล่ะ เพราะผมเอาแต่ถามเรื่องวันเดือนปีกับเขา
เอ๊: ว่าแต่เธอถามพี่เอให้หน่อยได้มั้ย ผมอยากรู้ว่าพี่เดือนแพทย์คนนั้นโดนยิงตอนไหนแล้วใครยิงเขา มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
Bee : พี่เอติดต่อไม่ได้อีกแล้วล่ะเอ๋ แต่บีว่าพี่เอคงไม่รู้เรื่องมากนักหรอก
เอ๊: แล้วผมควรจะทำยังไงดี เพื่อนของผมทั้งคน เขาเป็นเพื่อนรักเพื่อนตาย เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเลยนะเธอ ผมไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
Bee : บีจะหาทางติดต่อพี่เอนะเอ๋ แต่บอกตามตรงเลยนะว่าเป็นเรื่องยาก บีเคยคิดจะไปเยี่ยมแต่ไม่เคยไปถึงเลย แท็กซี่บอกว่าไม่รู้จักมอ J พอเราพยายามไปเองมันก็หลงทุกที
เอ๊: เธอ เธอว่าจริงๆ แล้วเรามีตัวตนอยู่มั้ย โลกที่เราอยู่นี้มันเป็นจริงมั้ย ทั้งผมทั้งเธอหรือทุกๆ คน เรามีอยู่จริงหรือเปล่า
Bee : เอ๋กำลังฟุ้งซ่านแล้วนะคะเนี่ย ถ้าเราไม่มีตัวตนแล้วเราเป็นอะไรล่ะคะ
เอ๊: ไม่รู้เหมือนกัน ผมยอมรับเลยว่าความคิดของผมวิ่งวุ่นไปหมด
Bee : ทำใจให้สบายก่อนนะคะเอ๋ ตอนนี้ทุกอย่างปกติดี พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นกลับด้าน
เอ๊: งั้นเธอคิดว่าพี่เออยู่โลกเดียวกับเรามั้ย แล้วถ้าไม่ใช่ ถ้าเวลาของโลกพี่เอเร็วกว่าเวลาของโลกเรา งั้นแสดงว่าอีกไม่กี่เดือน เพื่อนของผมก็จะตายด้วยหรือเปล่า
Bee : ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกค่ะ ถ้าอยู่คนละโลกแล้วบีกับพี่เอจะเป็นพี่น้องกันได้ยังไงคะ พี่เอเพิ่งมาขาดการติดต่อไปไม่นาน
Bee : หรือนานกันนะ
เอ๊: ยังไงแน่เธอ
Bee : ไม่แน่ใจ แต่บีมาคิดๆ แล้วนะคะเอ๋ พี่เจ้ากับเจ้าอาจจะเป็นฝาแฝดกันก็ได้
เอ๊: แต่ผมกลับรู้สึกว่าคนชื่อเจ้า จักรพรรดิมีคนเดียวในโลก
เอ๊: ผมสังหรณ์ใจว่าในเดือนธันวาคมของอีกโลกนั้น หมายถึงถ้ามันมีอีกโลกอยู่จริงๆ เจ้า จักรพรรดิอาจจะตายไปแล้วก็ได้ คงเกิดเรื่องขึ้นก่อนหน้านั้น เพราะงั้นฝากเธอหน่อยได้ไหม ถามพี่เอให้ที ไม่ต้องรู้เรื่องทั้งหมดก็ได้ แค่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เกิดเรื่องขึ้นก็พอ
Bee : ได้เลย หวังว่าจะติดต่อพี่เอได้อีกครั้งนะ เอ๋ก็อย่าเพิ่งคิดมากเลยตอนนี้ ทำใจให้สบายดีกว่าค่ะ
“นายเอ๋!” เสียงร้องเรียกดังขึ้นจากทางด้านหลังทำเอาไอ้เอ๋ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โทรศัพท์มือถือเกือบหลุดจากมือร่วงไปบนพื้น ดีที่ว่านึกถึงหน้าดุๆ ของแม่จ๋าได้ มันจึงกำแน่น รักษาไว้เท่าชีวิต เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์มือถือปลอดภัยดีแล้วจึงหันมองเจ้าของเสียงเรียกที่กำลังเดินใกล้เข้ามา
ไอ้เจ้ากำลังเดินตรงมาทางนี้ เรียกสายตาจากสาวๆ ที่กำลังนั่งเม้ามอยกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าตึกคณะให้มองกันจนเหลียวหลัง แต่พ่อเจ้าประคุณหาได้สนใจสายตาเหล่านั้นไม่ ความสนใจเพียงหนึ่งเดียวคือไอ้เอ๋เพื่อนซี้ที่กำลังนั่งปลีกวิเวกอยู่ใต้เงาร่มไม้ที่มันใช้เป็นที่จอดจักรยานคู่ใจอยู่บ่อยครั้ง
“โห ตกใจอะไรขนาดนั้น” ไอ้เจ้าถามด้วยแววตาขบขันเมื่อเห็นไอ้เอ๋ตกใจแทบเสียสติ ผมที่ฟูอยู่แล้วก็เหมือนจะฟูขึ้นยิ่งกว่าเดิม หน้าตาตื่นๆ ของมันยิ่งน่าแกล้ง “แล้วนี่ทำไรอยู่นาย หน้าเครียดเชียว”
“คือ…ว่า แบบ...” ไอ้เอ๋หาข้ออ้างไม่ทัน มันตะกุกตะกักจนน่าสงสัย ไอ้เจ้าจึงนั่งลงเคียงข้าง
“เป็นไรนาย ทำหน้าเหมือนเห็นผี”
ไอ้เอ๋ยิ้มแหย รีบบอกขอโทษขอโพย “โทษทีเพื่อนรัก ผมแค่กำลังคุยเรื่องเครียดๆ กับแม่ยอดยาหยีดาวเภสัชฯ”
“เห...ไอ้หมอแพร์อกหักดังเป๊าะแล้ว นายกลับไปคุยกับหล่อนเหรอ ที่จริงก็ไม่ได้เจอหล่อนนานแล้วนะ คิดถึงช่วงที่ฟาดฟันกันเรื่องธราแล้วก็อดอยากเจอหล่อนไม่ได้ หล่อนคงสบายดีใช่มั้ย” ไอ้เจ้าแซว วันนี้มันดูอารมณ์ดีผิดปกติ
“ก็สบายดีนะ มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย” ไอ้เอ๋ให้คำตอบ ก่อนจะลอบมองไอ้เจ้าที่ใบหน้าคมคายของมันเจือรอยยิ้มน่ามองยิ่งกว่าทุกวัน “ว่าแต่นายเถอะ แย้มบานกว่าปกตินะวันนี้ มีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นเรอะ”
“แน่น๊อน” ไอ้เจ้ายักคิ้วขึ้นเพียงข้างเดียวอย่างเท่ๆ “ธรายอมรีเทิร์นกับผมแล้วนาย ถือเป็นเรื่องราวดีๆ มั้ย”
ไอ้เอ๋ทำท่าราวกับจุดพลุในจินตนาการของมันเพื่อเป็นการเล่นใหญ่อวยพรไอ้เจ้า “ก็คือถ้าผมเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ ผมจะลงข่าวหน้าหนึ่งเพื่อแสดงความยินดีให้นายเลย”
“ก็ทุ่มเทไป” ไอ้เจ้าหัวเราะร่วนพลางผลักหัวไอ้เอ๋เบาๆ “แต่ก็ขอบใจ ยังไงตอนนี้ไปกินข้าวกันก่อนเอ๋ หิวแล้ว”
“อือ” ไอ้เอ๋ตอบรับ พอสบตากับไอ้เจ้าแล้วความกลัวเรื่องที่มันครุ่นคิดอยู่หลายคืนจนทำให้นอนไม่หลับก็ประดังประเดเข้ามา จะเป็นอย่างไรกันนะถ้าในตอนนี้ ณ วินาทีนี้ ไอ้เจ้าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ผิดที่ผิดทาง
“นายหงอยมากเลยเอ๋ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเพื่อนรัก”
ไอ้เอ๋เม้มริมฝีปาก มันรู้สึกจุกแน่นที่อก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรระบายความรู้สึกที่กำลังรู้สึกอยู่นี้ด้วยวิธีการใด จึงเลือกที่จะโกหกเพื่อนรักของมันออกไป “ผมฝันว่านายตายไปแล้ว”
ไอ้เจ้าชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะคลี่ยิ้ม “มันก็แค่ความฝัน”
“ถึงงั้นก็เถอะ นายต้องระวังตัวนะนายเจ้า” ไอ้เอ๋บอกด้วยสีหน้าจริงจัง “นายอย่าไปมีเรื่องกับใคร ถ้าเห็นท่าไม่ดีนายต้องวิ่งหนีนะ อย่าทำตัวกวนตีนเหมือนที่ชอบทำใส่ผม ใครในโลกนี้ก็ไม่ใจเย็นเท่าผมหรอก นายรู้ ผมรู้ ว่าผมไม่สู้คน ต่อให้นายกวนตีนแค่ไหนผมก็จะอดทนไว้ ผมคือนายมั่นคง รักดีที่ไม่เคยมีเรื่องต่อยตีกับใคร”
“เหมือนนายกำลังหลอกด่าผมและอวยตัวเองแบบสุดกู่อยู่เลยนะเพื่อน”
“มันคือความห่วงใยจากผมต่างหาก”
ไอ้เจ้าส่งเสียงหัวเราะในลำคอ มันยกแขนขึ้นคล้องคอไอ้เอ๋ ก่อนพูดด้วยเสียงทุ้มน่าฟัง “นายเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยเอ๋ นายไม่เคยเปลี่ยนเลย”
ไม่ว่าจะเริ่มต้นใหม่อีกสักกี่ครั้ง ก็ยังเหมือนเดิม
“นายเจ้า”
“ว่ายังไง”
“นายจะไม่หายไปใช่มั้ย” หางเสียงของไอ้เอ๋สั่นเล็กน้อย ความกลัวครอบงำความรู้สึกจนไม่อาจทำตัวเป็นปกติได้
“นอกจากธราแล้ว นายก็เป็นคนที่สองที่ถามผมแบบนี้” ไอ้เจ้าฉีกยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นลูบศีรษะของไอ้เอ๋เบาๆ “ทำไมทั้งนายและธราถึงชอบคิดว่าผมจะหายไป เห็นผมเป็นคนที่ทิ้งขว้างคนอื่นได้ลงคอเหรอ ผมเคยใจร้ายขนาดนั้นด้วยเหรอ”
“เคย” ไอ้เอ๋ตอบโดยไม่คิด ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจที่หลุดคำพูดออกไป เพราะไม่รู้ทำไม จู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดวาบขึ้นในหัว “ผมหมายถึง...ไม่รู้สิ อาจจะเคยละมั้ง”
“วันนี้นายดูเครียดเกินไปนะ” ไอ้เจ้าว่าอย่างนึกห่วง “เราไปกินของหวานกันมั้ย บิงซูคงทำให้นายรู้สึกดีขึึ้น”
ต่อให้ตอนนี้มีบิงซูเป็นสิบๆ ถ้วยวางอยู่ตรงหน้า ไอ้เอ๋ก็แน่ใจว่ามันคงเครียดอยู่เหมือนเดิม แต่เพราะไม่อยากให้เพื่อนรักของมันเป็นกังวลไปมากกว่านี้จึงรีบกลบเกลื่อน เรียกองค์ชอบของฟรีประทับร่าง “นายเลี้ยงมั้ยนายเจ้า”
“แน่นอน ผมต้องฉลองที่ได้คืนดีกับธราอยู่แล้ว”
“งั้นหลังกินข้าวเสร็จก็ไปต่อบิงซูกันเลย!”
“ได้ วันนี้ได้ตามที่นายขอทั้งนั้น เพราะผมอารมณ์ดีมากๆ”
“แหม ผมนี่แทบอยากหาพวงมาลัยกับน้ำแดงไปไหว้ธราเลยนะ” ไอ้เอ๋ส่งเสียงประชดประชัน “เก่งนัก เปลี่ยนคนหงอยเป็นคนดีดได้ ผมเล่นตลกให้นายดูจนหมดมุขนายก็ยังเอาแต่ซึม”
“ไม่ได้ชื่อธราก็แย่หน่อยอะ”
“คำว่ามิตรภาพนะนาย”
“ผมก็บอกว่ามันกินไม่ได้ นายก็ไม่เคยจำ เฮ้อ” ไอ้เจ้าแสร้งถอนหายใจใส่ เห็นไอ้เอ๋ทำหน้างอแล้วก็ยิ่งชอบใจ อยากแกล้งให้ร้องไห้วิ่งกลับไปฟ้องแม่จ๋าของมันเสียจริงๆ
“นาย” อยู่ๆ ไอ้คนหน้างอก็เปลี่ยนเป็นโหมดหน้าหงอยอีกครั้ง เรื่องที่ทำให้มันนอนไม่หลับกลับมาโจมตีมันอีกหนเมื่อเห็นรอยยิ้มของไอ้เจ้า
ไม่อยากให้หายไป...จริงๆ นะ
“หืม”
“นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเลยนะนายเจ้า”
“ฮะ?” ไอ้เจ้าทำหน้างงกับโหมดดราม่าของไอ้เอ๋ “ผมน่ะก็รู้ตัวดีว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีนะเอ๋ นายไม่ต้องเยินยอผมขนาดนี้ ผมก็เลี้ยงข้าวเลี้ยงบิงซูนายอยู่แล้ว”
“ผมน่ะนะ...” ไอ้เอ๋ไม่ได้ฟังคำพูดพร่ำยกหางตัวเองของไอ้เจ้า แต่มันกลับเอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตากำลังไหลอาบแก้ม “ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย ดีใจมากที่สุดในชีวิตเลย”
“เอ๋ นายเป็นอะไร” ไอ้เจ้าถามด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ ไอ้เอ๋ก็ร้องไห้ออกมา “ใครทำอะไรนายหรือเปล่าเพื่อน”
ไอ้เอ๋ส่ายหน้า ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆ ดวงตาแดงก่ำของมันเอาแต่จ้องมองไอ้เจ้า มือของมันจับแน่นที่แขนของเพื่อนราวกับต้องการยืนยันกับตัวเองว่าเพื่อนรักเพื่อนตายของมันมีตัวตนอยู่จริงๆ “ผมน่ะไม่เคยเข้าใจความทุกข์ใจของนายหรอกนะ เรื่องที่นายรักธรามากๆ ทั้งที่เขาใจร้ายกับนาย นายก็ยังอดทน ไม่เลิกรักเขา ผมก็ไม่เคยเข้าใจ ผมเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลืออะไรนายไม่ได้เลย” พูดพลางสะอื้นเบาๆ “แต่อย่าเลิกเป็นเพื่อนกับผมนะ อยู่ด้วยกันต่อ รับปากได้มั้ยนายว่าจะไม่ไปไหน"
“กาวหรือทินเนอร์ที่เกินขนาดกันนะถึงทำให้นายเล่นบทดราม่าได้เป็นฉากอย่างนี้” ไอ้เจ้าเอ่ยแซว แต่ไอ้เอ๋ไม่เล่นด้วย
“ผมจริงจังนะนายเจ้า” ใบหน้าของไอ้เด็กกาวหัวฟูจริงจังจนไอ้เจ้าหุบยิ้ม “อย่าหายไปไหน รับปากกับผม”
“ฟังนะเอ๋ ผมจะไปไหนได้ ผมก็ยังอยู่กับนายนี่แหละ” ไอ้เจ้าถามกลับ “หรือว่านายงอแงเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอผมเหรอ” พูดเองสรุปเองจนไอ้เอ๋ไม่มีโอกาสแทรก “แต่่ก็แย่หน่อยนะ ช่วงนี้ผมต้องให้เวลากับธราแล้วก็หลังจากนี้ด้วย แบบยังไงดีอะนาย คืนดีกันแล้วก็ต้องจู๋จี๋กันเป็นเรื่องธรรมดา ตัวติดกันก็เป็นเรื่องปกติ นี่แหละ วิถีของคนมีแฟน นายอาจจะไม่ค่อยเข้าใจนะเอ๋ เพราะนายยังลงจากคานไม่ได้”
ไอ้เจ้าพานอกเรื่องไปไกล แต่ไอ้เอ๋ก็ยังวกเข้าประเด็นเดิม “นายไม่รับปากผมอะ”
“คือบางทีผมก็มีธุระของผมนะเพื่อน” แต่ไอ้เจ้าก็ยังพลิ้ว
“ไม่ใช่ในความหมายนั้นสินาย ผมหมายถึง...” ไอ้เอ๋ดูหัวเสียเล็กน้อย มันทึ้งหัวแล้วขมุบขมิบปากจนนึกกลัวว่ามันจะหัวล้านก่อนวัยอันควร “ไม่รู้จะอธิบายให้นายเข้าใจยังไงดี แต่เอาเป็นว่ารับปากผมก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นว่าไอ้เอ๋จริงจังไม่เลิก ไอ้เจ้าก็เลิกเล่นเหมือนกัน มันตั้งคำถามพร้อมกับจ้องหน้าไอ้เอ๋ “นายกลัวอะไรอยู่เหรอหรือมีเรื่องรบกวนจิตใจนายอยู่ เอ๋บอกผมได้มั้ย”
“ผม…” ไอ้เอ๋พูดไม่ออก มันจะบอกเรื่องที่คุยกับแม่ยอดยาหยีดาวเภสัชฯ ให้ไอ้เจ้าฟังได้อย่างไรกัน ในเมื่อแม้แต่มันเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ถ้าไม่เพ้อไปเองก็คงจะหลอนจนกู่ไม่กลับ “ไม่มีอะไร” สุดท้ายก็เลือกคำแก้ตัวง่อยๆ ที่ไม่นำพาให้คนฟังรู้สึกเชื่อ “เออจริงสิ ผมไม่รู้เลยนะว่าจริงๆ แล้วนายแก่กว่าผมกี่ปี เอาแต่เรียกนายแบบนี้ บางทีก็เหมือนไม่ให้เกียรติอายุนาย”
“ไม่เห็นต้องคิดมาก แต่คงจะสี่ปีมั้ง เอ...หรือมากกว่านั้น” ไอ้เจ้าตอบ สีหน้าลังเลเล็กน้อย “ผมก็ไม่แน่ใจแฮะ โทษทีนะเพื่อน ผมจำปีเกิดของนายไม่ได้”
“งั้นถ้านายไม่ซิ่ว ตอนนี้นายเรียนหรือทำงานเหรอนายเจ้า” ไอ้เอ๋ถามด้วยความกระตือรือร้นตามนิสัยชอบใส่ใจเรื่องชาวบ้านของมัน ทำให้ไอ้เจ้าไม่ผิดสังเกตแต่อย่างใด
“ถ้าไม่ซิ่วผมก็คงอยู่ปีสี่” ไอ้เจ้าตอบเสียงเรียบ “ว่าแต่เราเดินไปด้วยมั้ย ผมหิวข้าว”
“ได้สิได้ เดินนำเลย ก๋วยเตี๋ยวป้าแย้มกำลังรอนายไปลิ้มลองอยู่นายเจ้า” ไอ้เอ๋ผายมือเชื้อเชิญ ในขณะที่ไอ้เจ้าออกเดินนำ มีไอ้เอ๋คอยเดินตามติดๆ ปากก็ยังไม่ละประเด็นสนทนา “เออ...งั้น นายก็อยู่ปีสี่เท่าธราเลยนะ ใช่ไหม”
“อืม แต่ผมแก่กว่าธราสองปี โอ๊ะ ร้านป้าแย้มปิดอะนาย กินข้าวมันไก่ก็แล้วกัน”
“นายเรียนคณะอะ...โอ๊ย!” หน้าแข้งเจ้ากรรมชนเข้ากับขาโต๊ะเข้าอย่างจังเพราะไอ้เอ๋เอาแต่จ้อไม่ทันได้มองทาง
“เป็นอะไรมากมั้ยเอ๋” ไอ้เจ้าถามขึ้นทันที มันเผลอกวาดตามองสำรวจร้านข้าวในโรงอาหารคณะแค่แป๊บเดียว ไอ้เอ๋ก็กุมหน้าแข้งดิ้นเร่าๆ อย่างน่าสงสาร พอถกขากางเกงขึ้นดูก็เห็นรอยแดงช้ำปรากฏบนหน้าแข้งขาว “ให้ตายเถอะนาย ถ้าขาโต๊ะโรงอาหารคณะหักขึ้นมา พวกไอ้คิ้มต้องมารีดไถเงินจากนายแน่”
“คราวนี้ขาโต๊ะโรงอาหารไปเกี่ยวอะไรกับพวกมันอี๊กกกก” ไอ้เอ๋ถามอย่างหัวเสีย ลากเสียงไฮโน๊ตด้วยความเจ็บใจกับความซุ่มซ่ามของตัวเอง
จะได้เรื่องอยู่แล้วเชียว ดันมาพลาดชนขาโต๊ะซะได้ ทีนี้จะเริ่มพูดขึ้นอีกยังไงดีเล่า
“พวกมันทำงานสโมฯ ไง นายบอสเพื่อนมันก็ตำแหน่งใหญ่โตเชียว เหรัญญิกหน้าเลือด” ไอ้เจ้าแจกแจงให้ฟัง
“นายบอสที่ธรรมะธรรมโมคนนั้นน่ะนะ” ไอ้เอ๋ทวนถามอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะเล่าวีรกรรมของนายบอสให้ไอ้เจ้าฟัง “วันก่อนผมได้ซองผ้าป่าตั้งสามซองจากนายบอส เขาน่ะบอกให้ร่วมทำบุญเพื่อซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีให้หลวงเจ๊ แต่ผมก็บอกไปแล้วว่าผมนับถือแค่วันพีซเท่านั้น ไม่สนใจร่วมทำบุญ”
“ก็ไม่อยากจะถามอย่างนี้หรอกเพื่อนรัก” ไอ้เจ้าเบรกความเมาของไอ้เอ๋ ก่อนมันจะฟุ้งไปมากกว่านี้ “แต่วันพีซไม่ใช่ศาสนาไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าใจนายบอกว่าใช่ อะไรก็เป็นไปได้หมดนั่นแหละ” ไอ้เอ๋ตอบกลับด้วยคำพูดที่มันคิดว่าเท่พลางยักคิ้ว “พอ พูดขึ้นมาแล้วก็อยากกลับไปดูตั้งแต่ตอนแรกที่ลูฟี่ออกทะเล นายรู้มั้ยว่าฉากที่ซึ้งที่สุดคือฉากไหน”
ไอ้เจ้าพรูลมหายใจพลางเอ่ยถาม “ฉากที่ต้องลาจากกับเรือใช่มั้ย”
“ใช่ ฉากนั้นเลย” ไอ้เอ๋พยักหน้าหงึกแล้วทำหน้าเลื่อมใสใส่ไอ้เจ้า “นายรู้ได้ไง”
“นายคร่ำครวญให้ฟังหลายครั้งนี่เอ๋ ผมคือคนที่ผ่านสามอาทิตย์ที่กินข้าวไม่ลงไปกับนายนะ”
จำได้ว่าไอ้เจ้าต้องลำบากแค่ไหนที่ต้องคอยลากไอ้เอ๋ไปกินข้าวแทบทุกวัน ทั้งขู่ทั้งบังคับ แต่มันก็ดื้อ อีกทั้งยังชอบทำร้ายตัวเองด้วยการกลับไปดูฉากนั้นซ้ำๆ รีรันไม่รู้กี่รอบ รู้ว่าดูแล้วจะต้องร้องไห้แต่ก็ไม่เลิกดูสักที
“ใช่ๆ ผมร้องไห้อยู่สามวัน กินข้าวไม่ลงตั้งสามอาทิตย์”
“มันต้องขนาดนั้นเลยนะ”
“ผมเศร้ามากอะนายเจ้า คิดดูว่าขนาดเป็นแค่การ์ตูนยังขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆ ผมคงตรอมใจ”
“นายเผื่อใจไว้บ้างก็ดีนะเอ๋ ยังไงทุกคนก็ต้องจากลากันอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ทุกคนก็ต้องไป โอ๊ะ ร้านนั้นคนน้อย กินข้าวมันไก่ละกันนะนาย เดี๋ยวซื้อมาให้”
ไอ้เอ๋นิ่งงันไปกับคำพูดของไอ้เจ้า มองร่างสูงโปร่งของเพื่อนแล้วอยู่ๆ ก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาว่าใบหน้าของไอ้เจ้าเป็นใบหน้าที่มันรู้จักจริงๆ หรือเปล่า เกิดความรู้สึกชั่วครู่ที่รู้สึกราวกับเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
ความไม่แน่ใจเกิดขึ้นอยู่ในห้วงคิดของไอ้เอ๋หลายครั้ง มันเงียบงัน จ้องมองพลางขบคิด แม้ไอ้เจ้าจะผละเดินไปที่ร้านขายข้าวมันไก่แล้วก็ตาม
ไอ้เอ๋สะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้น หลายคืนมานี้มันนอนไม่หลับ คิดว่าคงเบลอไปเองมากกว่า
ไม่มีทางที่ไอ้เอ๋จะจำหน้าของไอ้เจ้าไม่ได้หรอก ไม่มีทางเลย
.
.
(กรุ๊ปไลน์) หมอชอบฟัน (4)
J. : เดี๋ยวนี้นะ มันชักจะเหิมเกริม
P. : เป็นการเปิดแชตในรอบเดือนที่งงๆ อยู่นะมึง ฟันคุดไอ้มินเดือนบริหารบดขยี้ไอคิวมึงเหรอถึงได้ดูอ๊องๆ แบบนี้
J. : ไปดูไอจีของคนขี้ขิงสิไอ้สัดจะได้หายโง่!
J. : แล้วก็อย่าพาดพิงฟันคุดว่าที่ผัวกูจ้า ฟันคุดแห่งรักน่ะรู้จักมั้ย!
K. : 555 กูว่ากูเข้าใจ
J. : ใช่มั้ย มันมีคนขี้อวดว่ามีพระเจ้าเป็นของตัวเองอยู่ทุกสามชั่วโมงอะ
P. : ไอ้เหี้ยยย กูตกข่าวเหรอ อะไรยังไง ลูกกูเหรอ มันอวดใครวะะะะ
K. : ควายจริงๆ ไอ้แพร์ เสียสถาบันคนขี้เสือกหมด
P. : วันๆ หนึ่งกูทำวิจัย แก้แล็ปไฟลุก แล้วมึงจะให้กูเอาเวลาไหนเสือก!
P. : เวลาจะเต๊าะเด็กยังไม่มีไอ้เหี้ย
K. : ก็คือระบายจริงจัง เอาเป็นว่ากูเข้าใจ
J. : เนี่ย หัวอกเดียวกัน แต่ที่กูไม่เข้าใจคือทั้งๆ ที่พวกเราแห้งเหี่ยวกันอยู่บนคาน แต่ไอ้สัดดินมันชื่นบานอยู่คนเดียวได้ยังไง!
K. : เป็นคนเดียวที่คงคอนเส็ปชื่อกลุ่มได้อย่างน่านับถือด้วย
J. : โคตรขี้อวด ทำอย่างกับไม่เคยมี ถ่ายตั้งแต่เล็บตีนพี่เจ้ายันติ่งหู ไม่รู้เลยว่ารักเขามากแค่ไหน
J. : @D. มึงจะถ่ายทอดชีวิตประจำวันของพี่เจ้าผัวกูขนาดนี้ไม่ได้นะลูก อัพรูปถี่จนกูอยากบอกว่ามึงไลฟ์สดเลยก็ได้ไอ้ห่า
D. : แต่มึงก็ตามกดหัวใจทุกรูปไอ้เหี้ยจอม เป็นอะไรกับแฟนกูนัก
P. : อู๊วววว โผล่หัวมาแล้วและมาแบบชัดเจน
K. : โอ้โห ชัดขนาดนี้แล้วคนนั้นเล่าพี่มึง เขี่ยทิ้งแล้วหรือยังไง
J. : เออ กูก็เห็นออกไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ในไอจีก็ยังลงรูปมึงอะ แต่คือมึงเป็นแฟนกับพี่เจ้าของกูแล้ว
J. : ไม่มึงงงก็กูนี่แหละงง
D. : งงไรวะ คนอื่นจะยังไงก็เรื่องเขาดิ ส่วนเรื่องกูก็มีแค่กูกับเจ้า
P. : ซีนนี้คนเป็นพ่ออย่างกูต้องร้องไห้มั้ย กูรู้สึกว่าลูกกูเลิกเหี้ยว่ะ เหี้ยไม่ใช่ดินแล้ว แต่เหี้ยหมายถึงสัตว์ชนิดหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยสิงร่างลูกกูมาก่อน
J. : ในฐานะแม่ก็อยากจะบอกว่าภูมิใจ แต่ถ้าเมียลูกไม่ใช่ว่าที่ผัวของแม่ แม่ก็จะภูมิใจมากกว่านี้ ฮรึกกก
K. : ตกลงมึงจะเอาใครแน่ไอ้จอม ไอ้เจ้าหรือไอ้มิน
P. : มึงก็ถามเหมือนมันเลือกได้ แต่ความจริงถามว่ามีสักคนที่สนใจมันมั้ย
D. : ก็ไม่
J. : เจร่บบบบบบ
P. : เออ พูดถึงไอ้เจ้า กูว่าเพื่อนไอ้เจ้าช่วงนี้แปลกๆ
J. : ขอคิดจุดเชื่อมโยงก่อน ทำไมมึงพูดถึงเพื่อนพี่เจ้านะพ่อมึง
K. : ครอบครัวเราจะมีแม่อย่างมึงจริงๆ เหรอจอม ให้กูเป็นแค่ลูกติดไอ้แพร์ได้มั้ย มันดูฉลาดคู่ควรกับสมองกูดี
J. : ยอมรับก็ได้ว่าโง่ แต่ช่วยบอกกูหน่อยว่าทำไมมันพูดถึงเพื่อนพี่เจ้า
D. : มันจีบอยู่ แต่เพื่อนเจ้าไม่ชอบมัน
K. : กูว่าใช้คำว่ารังเกียจได้เลยนะ น้องดูแขยงเวลามันเข้าใกล้
J. : เอ้า นี่พ่อมึงไปนอกใจกูตอนไหนวะ อยู่ข้างห้องกันมานานไหนบอกไม่เอา ไม่ชอบไง
P. : โง่
D. : @P. มันแปลกอยู่แล้วไม่ใช่?
P. : ถ้าอิงบนพื้นฐานความกาวของน้อง กูก็ว่าปกติ แต่แบบช่วงนี้มันยิ่งไม่ปกติว่ะ
K. : ยังไงวะ? น้องมันมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า
J. : นั่นสิ อยู่ข้างห้องกันก็ถามหน่อยก็ดีนะเว้ย น้องอยู่คนเดียวด้วย น่าจะเหงา เพราะช่วงนี้พี่เจ้าโดนไอ้ห่าดิน ลูกทรพีของกูยึดตัว น้องคงไม่มีเพื่อนเล่นด้วย
P. : เออ กูก็ถามแหละ เพราะมันเอาแต่ถามเรื่องวันเดือนปี
K. : คณะให้ทำสำรวจอะไรหรือเปล่าวะ
P. : ไม่ มันเอาแต่ถามว่าวันนี้วันอะไร
J. : เชี่ยยย น้องหาเรื่องคุยกับมึงหรือเปล่า เหยยย แก บ้าน่า ไอ้แพร์จะลงจากคานก่อนกูเหรอ ไม่ได้นะเว้ยพ่อมึง เราจะยังหย่ากันไม่ได้
K. : คือมีผัวทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว
D. : น้องมันถามทำไมไอ้แพร์ @P.
P. : ไม่รู้เหตุผล แต่ที่แปลกคือกูก็ตอบไม่ได้ว่ามันคือวันอะไร
K. : มึงลืมเหรอ
J. : โง่จริง จำวันไม่ได้ก็เปิดปฏิทินดู
P. : แล้ววันนี้วันอะไร
K. : ใครจะรู้วะ
J. : ควายกันทั้งหมด วันนี้วันอังคารไง กูจำได้ว่าห้องเด็กวันอังคาร ตอนเลิกคลินิกกูยังคิดว่าจะไปหาหมอตรวจหูอยู่เลยนะไอ้เหี้ย เสียงร้องไห้ทำลายแก้วหูกูมาก ถ้าไม่ใช่ไอ้ดินคือสยบไม่ได้จริงๆ นะ ฟันน้องต่ายคือไอเทมพิเศษ
K. : ห้องเด็กย้ายวันแล้วนี่ไอ้จอม ย้ายไปวันศุกร์ไม่ใช่เหรอ วราพลจัดตารางใหม่แล้ว
D. : ไม่ ไม่ใช่วันศุกร์ เมื่อวานต่างหากห้องเด็ก
P. : แล้วเมื่อวานวันอะไร
J. : ดูปฏิทินแป๊บ
K. : ของกูรวนว่ะ มันดูไม่ได้ เปิดแล้วจอมันกระพริบ
P. : จอมว่าไง
D. : เมื่อวานวันพุธ
K. : บ้าน่า เมื่อวานกูนอนตีพุงอยู่ห้องนะเว้ย มันวันอาทิตย์ไม่ใช่เหรอวะ
P. : @J. จอม ว่าไง
K. : รู้สึกถึงความเคร่งเครียดผ่านตัวอักษร มีไรหรือเปล่าไอ้แพร์
P. : รอไอ้จอมก่อน
J. : โทษที มือถือกูดับไปเลยอะ เข้าแอพแล้วค้าง หน้าจอเบลอหมดแล้วมันก็ดับ
P. : เป็นเหมือนกู
K. : ของไอ้ดินไม่เป็นใช่ปะวะ
D. : เปล่า
D. : เป็นเหมือนกัน
P. : แล้วมึงรู้ได้ไงว่าวันพุธ
D. : ดูจากมือถือเจ้า
P. : อืม ก็ยังดีที่ไม่พังกันหมด แอพเจ๊งอย่างนี้กูจะร้องเรียนผู้พัฒนา
K. : แต่กูพูดจริงๆ ว่าเมื่อวานไม่ได้ไปเรียน กูมั่นใจว่าเป็นวันอาทิตย์ก็เลยนอนอยู่ห้องจริงๆ นะเว้ย
P. : มึงมาเรียนนะคิน กูเจอมึงที่ห้องเอ็นโดแต่ไม่ได้ทัก
K. : กูไม่ได้ไปไอ้เหี้ย
J. : วันนี้ห้องเด็กจริงๆ นะมึง หูกูยังวิ้งๆ ไม่หายเลย
D. : วันนี้มึงอยู่ศัลฯ ไอ้จอม กูยังเห็นมึงโดนวราพลสวดยับ
K. : …
K. : กูว่านะ
K. : ไม่ควรแกล้งกันแบบนี้
K. : โบราณเขาถือนะเว้ย
P. : กูไม่ได้แกล้ง
D. : กูก็เหมือนกัน
J. : กูก็พูดจริงว่าวันนี้คลินิกเด็ก
K. : เกิดเรื่องเหี้ยไรขึ้นวะ
P. : กูจะรู้มั้ย
D. : คุยกันไปก่อนนะ เจ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว มันบอกจะนอนเลย กูดูมันก่อน
J. : หูยยย นอนเร็ว จะทำไรกันป่าวเนี่ย ไม่เอานะลูก ยังเด็กยังเล็ก
D. : ก็ยังจะเล่นไอ้ห่า มันไม่สบาย
P. : อ้าว มันเป็นไรวะ ตั้งแต่ไปร้านเหล้าฉลองครบสองปีของพวกมึงวันนั้นก็ไม่เจออีกเลย
D. : มันไปห้องไอ้น้องเอ๋บ่อยๆ มึงไม่เจอมันเลยหรือไง หรือว่ามันโกหกกูว่าไปหาเพื่อนวะ
J. : อ้าว ไอ้สัดแพร์ เผาบ้านเพื่อนไอ้ห่า
P. : เออ ไม่มีไรหรอกมั้งมึง กูก็ไม่ค่อยได้กลับห้องอะ ช่วงนี้ไม่อยู่คณะก็ช่วยไอ้แพมทำแล็ป
D. : ก็แล้วไป เกือบได้รังแกคนป่วย
K. : หาเรื่องรังแกอยู่แล้วปะวะ หึ
P. : แล้วมันเป็นไร ปกติแข็งแรงจะตายห่า ไม่เคยเห็นมันป่วย
D. : ไม่รู้ว่ะ จะพาไปหาหมอมันก็ไม่ไป
J. : เป็นไข้เหรอวะ
D. : ไม่นะ แต่สีหน้ามันทรมานเหมือนเจ็บอะไรสักอย่าง ถามก็ไม่บอกว่าเจ็บตรงไหน เจ็บจนหน้าซีดแทบไม่มีสีเลือดแล้วยังบอกไม่เป็นไร โคตรน่าตี
J. : พาไปหาหมอเถอะอย่างนี้ ไม่ใช่เล่นแล้วอะ
D. : มันไม่ไปท่าเดียว ทะเลาะกันไปหลายรอบแล้ว
K. : ให้ไอ้รพินทร์น้องไอ้พีมไปดูมันมั้ย เผื่อช่วยไรได้
J. : ไอ้รพินทร์มันเพิ่งเรียนผ่าอาจารย์ใหญ่ไปเมื่อวาน จะช่วยพี่เจ้าของกูได้ยังไงไอ้โง่ พาไปหาหมอจริงๆ สิโว๊ย!
K. : สายรหัสมันไง พวกเอ็กเทิร์นก็น่าจะได้
P. : เอ็กเทิร์นมอเราช่วงนี้แยกไปฝึกต่างจังหวัดไม่ใช่เรอะ ล่าสุดกูยังเห็นไอ้พี่แจ๊บโพสรูปแดกเหล้าอยู่กับยามฯ หน้าตึกผู้ป่วยนอกที่สุรินทร์
P. : เพราะงั้นอย่างที่ไอ้จอมบอก ลากมันไปหาหมอ
D. : กูเคยพาไป
D. : แต่ไม่เคยไปถึงว่ะ เพราะมันไม่เคยป่วยก็เลยไม่ได้เฉียดโรงพยาบาลกันเลย แล้วพอจะไปจริงๆ รถก็เสียบ้าง ยางแบนบ้าง สารพัดอุปสรรค ลากขึ้นแท็กซี่ แท็กซี่ก็พาไปไม่ถูก
K. : ว๊อทททท โรง’ บาลมอตั้งตระหง่าน อยู่บนดอยอินทนนท์มองลงมาก็ยังเห็นยอดตึก อธิการมอเราเวอร์แค่ไหนมึงก็รู้ แต่อะไรคือไปไม่ถูก
J. : แต่ถ้าเขาไปไม่ถูก มึงไม่บอกทางเขาเหรอวะไอ้ดิน ศูนย์ทันตกรรมมอเรากับโรงพยาบาลมอมันตั้งอยู่ข้างๆ กันเลยนะ เมื่อก่อนตอนมึงเคลมดาวแพทย์มึงก็ปีนรั้วไปหาบ่อยๆ ไม่ใช่เรอะ ว่าแล้วกูยังนับถือความพยายาม รั้วห่างกันครึ่งกิโลก็ยังหาทางส่งข้าวกล่องให้กันจนได้
D. : เออ ก็ใช่ กูก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ถ้าคันเดียวกูก็ยังจะคิดว่าแม่งอิดออดไม่อยากไปส่งเพราะเส้นหน้ามอรถติด แต่คือทุกคันเลยนะที่ไปไม่ถูก ส่วนกูบอกทางไม่ได้เพราะพอขึ้นบนรถแล้วงงเลยว่าอยู่ทิศไหน มองผ่านกระจกรถแล้วมันไม่คุ้นตาไปหมด
D. : พอจะพาไปคลินิกเล็กๆ แถวคอนโดฯ มันก็บอกหายแล้ว ไม่เจ็บแล้ว ท่าทางก็ดีขึ้นจริงๆ กูก็เลยไม่รู้เนี่ยว่าตกลงมันโกหกหรืออะไรยังไง
J. : พี่เจ้าไม่เคยโกหก มึงจำ!
K. : มีแต่เรื่องแปลกๆ หรือพวกเราเรียนหนักจนเบลอกันวะ ตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคมของปีสามก็คือไม่รู้จักคำว่าปิดเทอมอีกเลย
P. : ไม่รู้แม่ง แต่ตอนนี้มึงไปดูมันเถอะไอ้ดิน มีไรให้ช่วยก็บอก
D. : อือ ถ้าจะมีอะไรให้ช่วยก็คือมาช่วยกูลากมันไปหาหมอนี่แหละ ดื้อฉิบหาย
J. : เคๆ แยกย้าย