ฝนหยดที่ 3
“คุณเป็นคุณแม่ของเกรซจริงๆ เหรอครับ” นัยน์ตากลมใสของเด็กชายหันสบมองคนข้างกายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้เขาอย่างมีความสุข ทั้งยังให้คุณลุงตัวโตๆ สองคนข้างหลังไปซื้อขนมมาให้เขาอีกต่างหาก ถึงคุณย่ากับคุณพ่อจะสั่งห้ามไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าก็เถอะ แต่กับคนคนนี้เขาปฏิเสธไม่ลงจริงๆ นี่นะ
“แล้วน้องเกรซคิดว่ายังไงล่ะครับ” รอยยิ้มอ่อนโยนกับฝ่ามืออุ่นนุ่มที่ลูบหัวเขาเบาๆ บอกเลยว่ามันมีแต่ความรักที่ถ่ายทอดออกมาให้เกรซรับรู้เท่านั้น
“ก็...” เพราะฉะนั้นเขาเลยตอบคำถามไม่ได้
“น้องเกรซยังไม่ต้องเชื่อแม่ก็ได้ แต่ว่า....”
“คุณเกรซ!!”
เกลที่กำลังพูดคุยอยู่กับลูกชายตัวน้อยอยู่นั้น ต้องหยุดการสนทนาลงทันทีเมื่อเสียงตะโกนเรียกชื่อของเด็กชายดังลั่น จนพวกเขาที่อยู่กันในบริเวณนั้นต้องหันกลับไปมองผู้มาใหม่ที่มีอาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด กำลังวิ่งตรงมายังเก้าอี้ยาวที่เกลและเกรซนั่งอยู่
“คุณเกรซ ทำไมถึงวิ่งออกมาคนเดียวอย่างนี้ครับ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา อาจะไปบอกคุณพ่อของคุณยังไง”
คนมาใหม่ที่แสนคุ้นเคยของเกลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กชายพร้อมทรุดตัวลงเพื่อกอดร่างเล็กๆ นั้นเอาไว้อย่างเป็นห่วงและโล่งออก เมื่อเห็นว่าลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้านายที่ตนรักและเคารพปลอดภัยดีทุกกระเบียดนิ้ว
“เกรซขอโทษครับอาชาติ” มือเล็กๆ นั้นรีบยกขึ้นพนมเข้าหากันพร้อมกับเอ่ยขอโทษคนตรงหน้าที่ตนเรียกอย่างเคารพว่า ‘อา’
“แค่คุณปลอดภัยอาก็ดีใจแล้วครับ” ชาติเอ่ยกับเด็กชายก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เกรซ ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ช่วยดูแลเจ้านายตัวน้อยให้เขาในระหว่างที่อีกคนวิ่งหนีเขามา
“ผมต้องขอบคุณคุณมากนะครับทะ.....คุณเกล” แต่ทันทีที่ชาติเงยหน้าขึ้นมามองผู้ชายรูปร่างโปร่งบางข้างๆ เขาก็ถึงกับเบิกตาโตอย่างตกใจจนรีบลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้คนทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ยาวซึ่งเกลนั่งอยู่รีบรุดเข้ามาใกล้ แต่กลับโดนคนที่นั่งอยู่ยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่เจอกันนานนะ ชาติ”
รอยยิ้มบางๆ ยังคงประดับอยู่บนหน้าของเกล เมื่อเห็นว่าคนมีท่าทีตกใจตอนเห็นตนนั่งอยู่ตรงนี้นั้นเป็นใคร ชาติ คือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของชิตรัตน์ และเป็นคนที่คอยดูแลเขาแทนชิตรัตน์ในตอนที่เขาทั้งสองคนต้องอยู่ห่างกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ชาติจะจดจำเขาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
“อาชาติรู้จักคุณ..เอ่อ...”
เกรซเอ่ยถามชาติแต่ยังคงละฐานะของเกลเอาไว้อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะพูดว่าอะไรดี แต่ก็ยังไม่วายแอบเหลือบตามองคนข้างๆ ที่พอเห็นว่าเขาหันไปมองก็ส่งยิ้มกลับมาให้อย่างรักใคร่
“รู้จักสิครับ อารู้จักดีเลย”
ชาติตอบโดยที่สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าหวานสวยของเกล ใครจะไปคิดกันล่ะว่าอยู่ๆ เขาจะได้มาเจอคนที่เจ้านายตามหามานานง่ายๆ ขนาดนี้ ทีนี้คุณหนูน้อยของเขาจะได้ไม่ต้องทนนอนร้องไห้อีกต่อไป เพราะตอนนี้โชคชะตามันหมุนวนพาทั้งคู่มาพบกันแล้ว.....
“ก็เขาเป็นแม่ของคุณเกรซนี่ครับ”
!!
คราวนี้ถึงตาที่เด็กชายจะแสดงอาการตกใจออกมาบ้าง และไม่ใช่แค่เกรซหรอกที่ตกใจ เพราะอีกสามคนข้างหลังก็ยังคงมองตากันเลิกลั่กกับคำพูดของชาติที่ดูจริงจังอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นจริงอย่างหนึ่งให้กับเกลว่า ตนไม่ได้จำลูกชายตัวน้อยของตนผิดไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือแม้จะไม่ได้เห็นรูปถ่ายของลูกเลยสักใบ แต่เขาก็ยังสามารถจดจำได้ว่า เกรซคือลูกของเขา
“คุณน้าเป็นแม่ของเกรซจริงๆ เหรอ”
เกรซหันกลับไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เหมือนคนจะร้องไห้ แต่คนถูกถามกลับไม่ยอมตอบอะไรนอกจากอ้าแขนทั้งสองข้างออกช้าๆ แทนคำตอนที่ถูกถามมา
ถึงไม่ตอบอะไรออกมา เกรซก็เชื่อสนิทใจแล้วว่าคนตรงหน้าเขานี่แหละคือ แม่ของเขา คราวนี้เขาจึงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยที่จะพุ่งตัวเข้าไปกอดคนตรงหน้าอีกครั้ง
“คุณแม่ของเกรซ คุณแม่” เด็กน้อยร้องไห้ออกมาพร้อมรอยยิ้มขณะซุกกอดอยู่ตรงอกของเกลแน่นไม่ยอมปล่อย
ทางด้านของโจนาธารที่บอกกับน้องชายว่าจะเข้ามาดูความเรียบร้อยของบริษัทก็หาได้ไปจริงอย่างที่ว่าไม่ เพราะตอนนี้ทั้งเขาและไรอัลกำลังนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ‘ดิ พาราไดซ์‘ โรงแรมหรูระดับห้าดาวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่อรอจะเจอกับใครบางคนอยู่
“แน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนี้ ถ้าเกิดว่า...”
“มันต้องดีสิ อะไรที่ฉันคิดว่ามันดี มันก็ต้องดี ไอ้หมอนั่นมันต้องเจ็บเหมือนที่น้องฉันเจ็บ” ธารว่าเสียงเรียบนิ่ง
“นายเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่ามันให้คนออกตามหาเกล แสดงว่ามันยังรักเกลอยู่และนั่นแหละที่ฉันต้องการ ฉันต้องการให้มันมาเห็นกับตาของมันเองว่าเพราะมันเกลถึงต้องมีสภาพแบบนี้ มันจะต้องจมปลักกับความผิดของมันที่ทำกับ เกลแบบนั้น เพราะงี้ไงล่ะ ฉันถึงจงใจปิดบังข้อมูลทุกอย่างของเกลจากมันก็เพื่องานนี้” ไม่ให้รับรู้อะไร ไม่ให้เจอ กระวนกระวายไปซะเถอะ แล้วฉันนี่แหละจะเป็นคนพาเกลมาพบแกเอง
ไรอัลนั่งมองธารพูดถึงเหตุผลของการที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนต้องมานั่งอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในกิจการหลักของ ‘นพเทพสวัสดิคุณ กรุ๊ป’ แล้วคนที่พวกเขารออยู่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ชิตรัตน์นั่นแหละ และก่อนที่ธารจะจมกับแผนการในหัวไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาทางที่พวกเขานั่งอยู่จึงสะกิดอีกฝ่ายแล้วยืนขึ้น
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้รอนาน”
เสียงติดจะแหลมเล็กน้อยของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ธารที่นั่งอยู่ต้องหันกลับไปมองเจ้าของเสียง
“ผมเป็นเลขาของคุณชิตรัตน์ชื่อแก้วกล้าครับ คุณชิตรัตน์ให้ผมมาพาคุณสองคนไปพบที่ห้องทำงานครับ”
แก้วกล้าที่เอ่ยทักคนตรงหน้าไปแต่ไม่มีวี่แววว่าจะขยับหรืออย่างไร ก็อดวิตกไม่ได้ ก็ไหนคุณชินบอกว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งพูดไทยได้ไงล่ะ แล้วทำไมยืนนิ่งแบบนี้ หรือว่าเขาเข้าใจอะไรผิด
“Sorry, I forget to”
ธารมองสำรวจคนท้องที่เริ่มลนลานรีบแปลถ้อยคำก่อนหน้าเป็นภาษาอังกฤษให้เขาฟังใหม่อีกรอบ เพราะคิดว่าเขาอาจฟังไม่เข้าใจ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันจนยกยิ้มที่มุมปาก
“ไม่เป็นไร ผมพูดไทยได้ คนของผมเองก็ฟังออกครับ” ธารเอ่ยแก้ความเข้าใจให้อีกคน
เมื่อได้ยินแบบนั้น แก้วกล้ารู้สึกดีขึ้นก่อนค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยพาแขกและคนติดตามไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปหาเจ้านายของตนที่รออยู่ โดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มเมื่อกี้นี้เผลอทำเอาหัวใจของใครบางเต้นไม่เป็นจังหวะไปซะแล้ว
แก้วกล้าเดินนำแขกทั้งสองเข้ามาในลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นออฟฟิศของโรงแรม แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเจอปัญหาเสียแล้วสิ เมื่อเขาต้องมาขึ้นลงลิฟต์ตั้งสิบกว่าชั้นแถมยังต้องเดินไปหาแขกด้วย ทำให้ตอนนี้เขาเริ่มปวดหลังเบาๆ ซะแล้วสิ
“คุณปวดหลังเหรอครับ”
อยู่ๆ ธารก็เอ่ยถามขึ้นมากลางความเงียบ เมื่อธารสังเกตว่าคนตัวเล็กมีอาการปวดหลังแสดงออกมาให้เห็น
“ใช่ครับ ท้องเริ่มใหญ่ขึ้น เวลายืนนานๆ มันก็ต้องมีบ้างน่ะครับ”
เมื่อถูกถามแก้วกล้าเลยตอบไปตามความจริง แล้วก็ต้องรีบโบกมือปฏิเสธความช่วยเหลือของคนเป็นแขกที่จะเข้ามาประคองเขา
“งั้นมาครับ ผมช่วย” ธารอาสา
หมับ
แต่มือข้างที่ธารยื่นออกไปจะจับต้นแขนเล็กของอีกฝ่ายกลับโดนมืออีกข้างของแก้วกล้าจับเอาไว้เสียก่อน ธารมองหน้าคนตัวเล็กกว่าอย่างสงสัย ก่อนจะกระจ่างเมื่อแก้วกล้าจับมือข้างนั้นของเขาออกจากต้นแขนของตน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเป็นการรักษามารยาเมื่อรู้สึกไม่ชอบใจแต่ไม่สามารถพูดได้ ก่อนจะเดินออกนำเขาไปทันทีเมื่อลิฟต์เปิดโดยไม่มีการสนทนาใดขึ้นมาอีกเลย
“ไรอัล นายไปหาประวัติของเด็กคนนี้ให้ฉันหน่อยสิ เอาเพิ่มเติมจากครั้งก่อนนะ” ธารหันไปพูดกับไรอัลขณะที่อยู่ในลิฟต์เบาๆ แล้วเดินตามอีกคนออกจากลิฟต์ไป
การปฏิเสธของแก้วกล้าเมื่อครู่นี้ ธารยอมรับเลยว่ารู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อยอาจเพราะว่าตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีใครปฏิเสธพร้อมทำท่าทางเหมือนไม่พอใจใส่เขาเช่นคนคนนี้มาก่อน ถึงจะรู้สึกเสียหน้าไปบ้าง แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความสนใจ เขาสนใจในตัวเลขาคนนี้ของชิตรัตน์มากกระทั่งเก็บอาการไว้ไม่อยู่ จนต้องเข้าไปแกล้งคนท้องตัวเล็กที่ดูๆ ไม่น่าจะรับน้ำหนักลูกในท้องไหว เมื่อคิดได้ดังนั้นธารจึงรีบเดินตามอีกคนไป ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่แก้วกล้าไม่ทันระวังตัวโอบรั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เพื่อช่วยพยุง โดยให้เหตุผลว่าอีกคนนั้นเดินช้าให้ตนพยุงนั่นแหละจะได้ถึงไวกว่า
แก้วกล้ามองคนหน้าเป็นที่ลอยหน้าลอยตาไม่สนสายตาของเหล่าพนักงานคนอื่นๆ ที่หันมามองยังพวกเขาสองคน แม้จะไม่พอใจแต่อย่างเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงแขกของเจ้านาย เลยได้แต่บ่นในใจและพยายามบิดตัวออกจากอีกคนแทน เพราะโดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ชอบให้คนไม่รู้จักมาถูกเนื้อต้องตัวเท่าไร แล้วยิ่งตอนนี้ท้องด้วยอารมณ์เลยยิ่งหงุดหงิดมากกว่าปกติ ผิดกับอีกคนที่ทำหน้าระรื่นไม่แยแสเลยว่าจะถูกคนตัวเล็กกว่าด่าอะไรในใจหรือไม่ ซี่งบางทีทั้งคู่อาจลืมไปแล้วว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ ยังมี ไรอัลค่อยเดินตามมาห่างๆ อย่างนึกสงสารเลขาคนสวยที่ดันไปถูกใจเจ้านายตนเข้าอย่างจัง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกให้ชิตรัตน์เงยหน้าจากเอกสารในมือก่อนจะเชิญให้คนมาใหม่ซึ่งอยู่นอกประตูเข้ามา แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าคนเป็นแขกของเขานั้นเดินพยุงเลขาคนสวยเข้ามาด้วยหน้าตาที่ดูจะมีความสุขไปหน่อยถ้าเทียบกับอีกคนที่ถูกพยุง กลับทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตกลงตรงหน้าเสียให้ได้
“พอดีตอนอยูในลิฟต์ผมเห็นว่าเลขาของคุณเขาปวดหลังเลยช่วยพยุงเดินเข้ามาน่ะ” ธารเอ่ยก่อนจะยอมให้แก้วกล้าบิดตัวออกจากตนไปอย่างง่ายดาย
“เอ่อ...ครับ ขอบคุณแทนแก้วเขาด้วยยังไงก็เชิญนั่งก่อนสิครับคุณโจนา-ธาร” เมื่อเข้าใจเรื่องราวชิตรัตน์ก็ผายมือชวนให้อีกคนนั่งบนโซฟาเพื่อคุยเรื่องราวต่างๆ กัน
“เรียกผมว่า ‘ธาร’ เฉยๆ ก็ได้ครับ ดูแล้วเราสองคนน่าจะอายุพอๆ กัน คงไม่ต้องพิธีอะไรมากหรอกครับ”
“ได้ครับ”
“ที่ผมมาในวันนี้ ก็เพราะเห็นว่าบริษัทเราอยู่ไม่ไกลกันมากเลยอยากจะมาทำความรู้จักกันเล็กๆ น้อยๆ” ธารว่าก่อนจะหันไปหาไรอัล เพื่อให้อีกคนนำกระเช้าดอกไม้ที่ตนนำมามอบให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณมากนะครับ สวยมากเลยครับ” ชิตรัตน์ตอบรับน้ำใจพร้อมเอ่ยชมดอกไม้เหล่านั้น แม้สีขาวของกุหลาบในกระเช้าจะทำให้ตนชะงักไปเล็กน้อยก็ตามเมื่อเขายังจำได้ว่ามันเคยเป็นกุหลาบสีโปรดของใคร
“แน่นอนอยู่แล้วครับ ก็มันเป็นกุหลาบสีโปรดของ ‘น้องชาย’ ผม ผมก็ต้องเลือกอันที่สวยที่สุดอยู่แล้วสิครับ” ธารจงใจเน้นคำว่าน้องชายเป็นพิเศษให้ชิตรัตน์ได้ฟัง
“อย่างนั้นเหรอครับ” แต่ดูชิตรัตน์จะดูไม่ติดใจอะไรมาก ต่างจากแก้วกล้าที่เริ่มดูมีอคติเล็กน้อยกับธาร จึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจเน้นคำคำนั้นให้ชิตรัตน์ได้ยิน
“ว่าแต่ คุณโจนาธารมาที่นี่ คงไม่ใช่แค่จะมามอบดอกไม้ให้กันแค่นี้ใช่ไหมครับ” ด้วยความปากไว ทำให้แก้วกล้าโผล่งขึ้นมาเช่นนั้นเสียดื้อๆ จนชิตรัตน์หันไปปราม
“แก้ว”
“หึหึ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ธารยกยิ้มชอบใจกับท่าทีที่ดูจะระแวดระวังตัวเป็นพิเศษของคนท้อง ถึงจะตัวเล็กเท่าลูกแมวแต่กลับกล้าที่จะชนกับเขาตรงๆ
“จะพูดยังไงดีน่ะ คือพอดีผมมีที่ดินว่างอยู่ที่หนึ่งทางใต้”
ธารเกริ่นขึ้นก่อนหยิบเอาซองเอกสารขนาดเล็กที่อยู่ด้านในเสื้อสูทตัวนอกออกมาวางไว้ตรงหน้าชิตรัตน์
“มันเป็นชายหาดส่วนตัวของที่บ้านผม แต่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร จะปล่อยทิ้งไปเรื่อยๆ ก็ดูน่าเสียดาย ผมเลยเอามาเสนอให้คุณดูเผื่อว่าคุณจะสนใจ”
ธารว่าอย่างสบายอารมณ์ผิดกับคนข้างกายที่หันขวับมามองเขาอย่างไม่เข้าใจเจตนาสลับกับรูปภาพที่อยู่ในมือของชิตรัตน์ไปมา
ภาพที่ดินเปล่าติดชายทะเลดูเงียบสงบแต่ก็ไม่ห่างไกลจากความเจริญเสียเท่าไร สำหรับนักธุรกิจด้านการโรงแรมอย่างชิตรัตน์ย่อมมองออกมาว่านี่คือทำเลทองที่จะสามารถทำประโยชน์ให้แก่ธุรกิจของตนเป็นอย่างมาก
“ที่ดินผืนนี้สวยมากเลยครับ” ชิตรัตน์ว่า ก่อนส่งรูปที่อยู่ในมือให้เลขาไปดูต่อ
“พอดีผมกำลังมีโครงการใหม่ที่ทางใต้พอดี คุณธารจะรังเกียจอะไรไหมถ้าผมอยากจะขอซื้อที่ดินตรงนี้ของคุณ”
ถ้าหากเขาได้ที่ดินตรงนี้มาจริงๆ มันก็เท่ากับว่าเขาสามารถตีตลาดของกลุ่มผู้ชอบความเป็นส่วนตัวได้ดีและนั่นก็หมายถึงผลกำไรที่จะตามมาของบริษัท เขาช่างโชคดีเสียจริงที่คนตรงหน้าเสนอที่ผืนงามนี้มาให้
“ไม่เลยครับผมยินดีมาก” ธารตอบ
“แล้วคุณจะเรียกเท่าไรครับ” เมื่อไม่มีอะไรติดขัดชิตรัตน์จึงหันมาคุยเรื่องราคาการค้าขายกับธารแทน
“ใครว่าผมจะขายครับ” สิ้นคำชิตรัตน์ก็ออกอาการหน้าเหวอทันทีกับคำพูดของธารที่ดูกลับคำกับเมื่อครู่
“ก็ไหนคุณว่า..”
“ผมบอกว่าเอามาเสนอให้ มันก็หมายถึงว่าผมเอามาให้คุณ ไม่ได้เอามาขายเสียหน่อย” ธารแก้ไขความเข้าใจของชิตรัตน์ใหม่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องตีหน้าไม่เข้าใจเขามากกว่าเก่า
“ให้กันฟรีๆ แบบนี้ผมว่ามันคงไม่ใช่แน่ คุณโจนาธารต้องการอะไรกันแน่ครับ” ก่อนที่ชิตรัตน์จะได้พูดอะไรออกมาแก้วกล้าก็เอ่ยตัดหน้าขึ้นมา
“ดูท่าทางเลขาคุณจะหัวไวใช่ได้เลยนะครับ ดีเหมือนกันผม ชอบ ” ธารมองไปยังคนที่เขานึกสนใจอย่างชื่นชม
“แล้วคุณต้องการอะไรครับ” ชิตรัตน์ชิงพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเริ่มไม่สบอามรณ์ของแก้วกล้า
“ผมต้องการกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งของการเป็นผู้ถือหุ้นในสิ่งที่กำลังจะปลูกสร้างในที่ดินผืนนี้และการตัดสินใจใดๆ ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคุณก็ต้องผ่านผมด้วยเช่นกัน”
คำเรียกร้องของธารที่ฟังดูเหมือนการต่อรองทางธุรกิจทั่วไป แต่มันกลับสะกิดใจคนฟังอย่างชิตรัตน์และแก้วกล้าเป็นอย่างมาก แต่เพื่อไม่ให้เสียลูกค้าที่เสนอตัวเข้ามาร่วมหุ้นกับทางฝ่ายของตัวเอง ชิตรัตน์จึงขอให้ธารสละเวลาเพื่อจะได้นั่งคุยรายละเอียดคร่าวๆ ด้วยกันเพื่อเป็นการสร้างข้อตกลงและทำความเข้าใจของพวกเขาทั้งสองฝ่าย
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะการคุยรายละเอียดของการร่วมหุ้นสร้างรีสอร์-ตแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นก็ผ่านไปด้วยดี และคนที่ดูจะดีใจที่สุดคงเป็นแก้วกล้า ที่จะไม่ต้องทนต่อสายตาของใครบางคนซึ่งมักจะเหลือบมองมาทางเขาเป็นระยะๆ
“งั้นก็เป็นไปตามนี้นะครับ อีกสองอาทิตย์เราค่อยไปดูที่ที่จะสร้างรีสอร์ตกันส่วนเรื่องวันเวลาค่อยตกลงกันอีกทีนะครับ”
“ครับ ยังไงก็ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ ผมยังใหม่อยู่สำหรับธุรกิจด้านนี้”
เมื่อเห็นว่าการเจรจาเรื่องต่างๆ เป็นไปด้วยดีและทางเขาเองก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรให้กับธารมากนัก ชิตรัตน์จึงกำหนดวันที่จะไปดูที่ดินที่จะร่วมหุ้นกับธาร ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรก่อนธารและไรอัลจะขอตัวกลับก่อน โดยมีแก้วกล้าเดินไปส่งแค่หน้าลิฟต์เท่านั้น
“คุณชิน ผมว่าคุณธารอะไรนั่นไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไรเลยนะครับ” ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงแก้วกล้าก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“คิดมาไปหรือเปล่า หรือยังโกรธที่เขาแตะเนื้อต้องตัวนายอยู่” ชิตรัตน์ว่าปัด
“ก็มีส่วน แต่มันก็จริงๆ นะคุณชิน ผมรู้สึกได้ แววตาขอผู้ชายคนนั้นเวลามองมาที่คุณมันเหมือนซ่อนอะไรเอาไว้ เขาต้องคิดไม่ดีกับคุณแน่ๆ เชื่อผมสิผมสัมผัสได้”
ชิตรัตน์ส่ายหัวเบาๆ กับความคิดของเลขาตัวเล็ก เพราะเขาคิดว่ามันคงไม่มีอะไรมาก อาจเป็นอาการณ์ของคนท้องที่มักจะกังวลหรือระแวงเกินเหตุไปตามเรื่อง อาจเพราะเมื่อก่อนตอนที่เกลท้องอีกฝ่ายก็มีอาการแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่เขากลับคอนโดดึกกว่าปกติ ร่างสูงจึงรู้ดีว่าควรทำอย่างไรให้คนท้องรู้สึกดีขึ้น
“โอเคๆ ฉันเชื่อที่เธอพูดนะแก้ว แล้วฉันจะระวังตัวเองละกันนะ” แต่ดูท่าแล้วการโอนอ่อนตามจะไม่เป็นผลเมื่อนำมาใช้กับแก้วกล้าเวลานี้
“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณเชื่อผมน่ะ คอยดูนะผมจะหาหลักฐานมาให้ได้เลยว่าเขาน่ะไม่ได้มาแบบบริสุทธิ์ใจ”
พูดเสร็จแก้วกล้าก็เดินออกจากห้องของเจ้านายเพื่อกลับไปสะสางงานอื่นๆ ต่อ ทิ้งให้ร่างสูงของชินรัตน์กุมขมับกับอาการที่ท่าทางจะหนักกว่าที่เขาคิดเอาไว้
เมื่อถึงโต๊ะประจำของตัวเอง แก้วกล้าก็หมายมั่นว่าจะต้องหาทางจับผิดผู้ชายคนนี้ให้ได้ ถึงจะยอมรับว่าอคติกับอีกฝ่ายแต่นั่นมันส่วนน้อย น้อยนิดจริงๆ นะ ทำไมชิตรัตน์ถึงไม่เชื่อก็ไม่รู้ คนที่อยู่ๆ มาโดนตัวคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะต้องไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์แน่ แต่ก่อนที่คนตัวเล็กจะหมายมั่นกับการหาความจริงอะไรไปมากกว่านั้น เสียงเตือนเรียกเข้าของเขาก็ดังขึ้น มือเรียวหยิบเอาแท็บเล็ตส่วนตัวที่เขามักเอาไว้ใช้สำหรับการจัดตารางงานทั้งของเขาและของชิตรัตน์มาดู พร้อมหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องที่ดังเมื่อกี้มาเทียบดูกำหนดการในวันพรุ่งนี้กับข้อความที่ถูกส่งมาให้ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาหรือมีกำหนดการอะไรที่เร่งด่วนของตนเอง ว่าที่คุณแม่มือใหม่จึงเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองลงกระเป๋า แล้วเขียนใบลาสำหรับวันพรุ่งนี้เพื่อเอาไปให้ชิตรัตน์พร้อมกำหนดการของเจ้านายในวันพรุ่งนี้ที่ตนไม่ได้มา และส่งเข้าอีเมล์ให้ชาติเพื่อที่อีกคนจะได้จัดการงานต่างๆ แทนตนได้ถูกต้อง
“ดูคุณจะสนใจคุณเลขาคนนั้นจังเลยนะ” ไรอัลพูดขึ้นเมื่อรถยนต์ส่วนตัวที่พวกเขานั่งอยู่นั้นแล่นออกมาได้สักพัก
“หึ ก็ไม่ได้สนสักหน่อยนี่ รีบไปหาน้องเกลกันเถอะ ปล่อยให้รอนานแล้วไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไงมั่ง อ้อ เรื่องประวัตินั่นฉันขอเป็นวันพรุ่งนี้เช้าเลยนะ แต่วันนี้ฉันขอตารางงานของแม่แมวน้อยมาก่อนละกัน”
ธารว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนเปิด GPS เพื่อมองหาตำแหน่งที่อยู่ล่าสุดของน้องชายสุดที่รักไปพลางๆ ผิดกับไรอัลที่อยากถามเหลือเกินว่า แบบนี้คือไม่สนใจแล้ว ถ้าสนใจนี่ไม่ไปแอบซุกอยู่ใต้ที่นอนเลยหรืออย่างไร หนุ่มอังกฤษตัวบางทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องของตนให้จัดการเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายมาเมื่อครู่นี้
ตลอดระยะทางตั้งแต่แยกกันที่หน้าลิฟต์จนตอนนี้ที่รถแล่นออกจากโรงแรมหน้าของเลขาคนสวยเป้าหมายของเขายังคงตรึงใจเขาอยู่
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกสนใจได้ขนาดนี้ และนานขนาดไหนกันที่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า เขาเองก็เป็นฝ่ายที่ถูกปฏิเสธได้เหมือนกัน นานแค่ไหนที่เขาเอาแต่คิดถึงท่าทางของแก้วกล้าที่ดูจะไม่ยอมอ่อนลงให้เขาง่ายๆ ยอมรับเลยว่าเขาเองก็คงจะหลงเสน่ห์คนท้องเข้าให้แล้วจริงๆ ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังท้องอยู่ ซึ่งนั่นหมายความว่าแม่แมวน้อยที่เขาติดใจนั้นต้องมีเจ้าของอยู่แล้ว แต่ใครจะสนล่ะ เขาสนใจซะอย่าง ถึงจะไม่ได้มาแต่แค่ได้หยอกเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นหมาหยอกไก่แบบนี้เขาก็พอใจแล้ว แต่ถ้าจะให้ดีนะ ต้องไม่มีเจ้าของแล้วเขาจะพอใจมากกว่านี้อีก
แต่พอพูดถึงท่าทีเป็นแมวขู่ของอีกคนแล้วมันทำเขานึกขำเบาๆ ก็แหม มันไม่มีใครทำท่าทางแบบนี้ใส่เขาเลยนี่นะ จะมีก็แต่ เน็ตตี้ เจ้าเหมียวพันธุ์เปอร์เซียสีขาวตัวโปรดของน้องชาย ซึ่งตอนนี้เขาส่งไปรอที่บ้านแล้วเท่านั้นที่ชอบทำท่าทางขู่ใส่เขา ทั้ง ๆ ที่เขาแค่จะลูบขนมันเล่นแค่นั้นเอง และอีกเรื่องที่ทำให้หนุ่มลูกครึ่งรู้สึกสนใจคนตัวเล็กนั้นที่จริงแล้วอาจเป็นสายตานั่น สายตาที่เหมือนจะหาความจริงบางอย่างเวลาที่เผลอไปสบกัน มันเหมือนว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นั่นล่ะที่เขา ชอบ
“ฉันอยากรู้จัง ว่าตอนนี้แม่แมวตัวเล็กของฉันจะทำอะไรอยู่นะ”
_______________________________________________________________
อ้าวววว พี่ธารไหนว่าจะมาเคลียร์ปัญหาให้น้องไง ไหนมาหลงหนุ่มแถมนี้ได้ละเนี้ย????
แล้วน้องเกรซจะบอกพ่อไหมว่าเจอแม่แล้ว ????
รอพบคำตอบได้ในวันจันทร์เน้อ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ