ตอนที่ 24
"นี่ คุณกฤช ทะเลาะกับนายน้อยมาเหรอ”เม็ดฝนของฤดูใหม่ตกลงมาโดยไม่ทันตั้งเค้า คนงานบางส่วนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บางส่วนเมื่อเห็นลงเม็ดหนักขึ้น ลมเย็นพัดหอบเอาเมฆก้อนหนามาจากทิศตะวันตกก็พากันกลับบ้านไปก่อน ช่วงนี้ฟ้าแรง ฟังจากคำบอกเล่าของคนงานแล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อนก็เพิ่งผ่าควายท้ายหมู่บ้านตายไปสองตัว
ผมไม่ตอบ ยังคงหลบใต้ร่มไม้ ไม่ได้กันฝนได้เสียทีเดียวแต่ก็ไม่เปียกปอน ตั้งแต่กลับมาพร้อมขนมถุงโต ไอ้โจ้ก็ชะเง้อมองหาคนที่ไปด้วยกันไม่ห่าง
“ไม่ได้ทะเลาะ”
เมื่อสายตาใคร่รู้นั่นจับจ้องแน่นิ่ว ท้ายที่สุดผมก็ยอมตอบ ถอนหายใจปากิ่งไม้ที่หักเล่นออกไปด้านนอก กลิ่นของดินชื้นลอยขึ้น มันหอมชวนหวนระลึกถึงวันคืนเก่า ๆ
“แล้วทำไมนายน้อยไม่กลับมาด้วยกัน”
“เขาทำงาน” ผมว่า “คุณชนินทร์มีออฟฟิศที่นั่น แต่อะไรยังไม่ลงตัวเท่าไร นายน้อยต้องคอยไปพบลูกค้าใหญ่ ๆ เอง รอให้ได้ฐานลูกค้ามั่นคงกว่านี้คงให้ฝ่ายเซลกับการตลาดเป็นคนดูแล”
“ฟังดูงง ๆ ไม่เห็นเข้าใจ”
“เราไม่เข้าใจกันหรอก” ผมว่า “เอาเป็นว่าถ้าเขาจัดการเรื่องงานเสร็จเมื่อไรคงจะกลับมาล่ะมั้ง ข้าบอกไว้แล้วว่าถ้าอยากกลับให้บอก เดี๋ยวไปรับ”
“แล้วทำไมคุณกฤชไม่อยู่เป็นเพื่อนคุณหนึ่ง”
ผมถอนหายใจ ยังคงทอดสายตามองออกไปยังสายฝนที่ลงเม็ดหนักจนเห็นเป็นม่านสีขาว
“เพราะเขาไม่ได้ต้องการไงล่ะ เซ้าซี้จริง”
ไอ้โจ้ทำหน้าเศร้า ตาละห้อย มันเบียดกระแซะผมเมื่อโดนฝนสาดไปซีกหนึ่ง “โจ้คิดถึงนายน้อย”
“เขาไม่คิดถึงเอ็งหรอก ที่นั่นมันที่ของเขา เรามันคนละสังคม”
“คุณกฤชพูดจาใจร้ายชะมัด” มันว่า ก้มหน้าลงเขี่ยพื้นหญ้าสีเขียวที่ชุ่มน้ำ “นายน้อยต้องคิดถึงโจ้บ้างแหละ โจ้เป็นเพื่อนนายน้อยนา”
“คิดไปเองฝ่ายเดียวหรือเปล่า”
...เหมือนที่ผมคิดว่าตัวเองสำคัญกับอีกฝ่ายมากมายเสียเหลือเกินผมนั่งเป็นเพื่อนระหว่างมื้ออาหาร แขนของคุณชนินทร์ดีขึ้นมาก เปลี่ยนโรงพยาบาลมารักษาที่โรงเรียนแพทย์ในขอนแก่นจะได้ไม่ใช้เวลาเดินทางมากนัก อีกทั้งมีเพื่อนเป็นหมอออโธพิดิกส์ที่สนิทกันคอยดูแลโดยเฉพาะ แต่การจับวางอะไรยังเป็นไปได้ยาก กระดูกสมานตัวกันไม่ดีนักเหมือนเด็ก ๆ
บ่อยครั้งคุณชนินทร์จะโทรหาคุณหนึ่ง ผมนั่งฟังเงียบ ๆ ทางนั้นมีถามถึงผมบ้างแต่ไม่ได้ขอสายคุยด้วย ส่วนตัวเองก็เก็บมือถือปล่อยให้แบตหมดคากระเป๋าเดินทาง ไม่ได้สนใจ ผมพยายามลืมความหงุดหงิดใจทุกอย่าง แต่เมื่อนึกถึงว่าป่านนี้คุณตุลย์คงเข้ามาดูแลหนึ่งตะวันเต็มตัวก็อดไม่ได้ที่จะปวดแปลบในส่วนลึก
งานของหนึ่งตะวันยังไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้นเร็ววัน ผมได้เพียงภาวนาไม่ให้มีคนประวิงเวลาอยู่ที่นั่น และความห่างเหินจะทำให้เราคิดถึงกันมากขึ้นกว่าเก่า
แต่ทำไปทำมา...ดูคล้ายจะเป็นตัวเองที่อดรนทนไม่ไหว
“คุณกฤชโกหกโจ้ใช่ไหม”
ขณะที่กำลังเติมน้ำใส่รางให้แสงเพชรกับแสงฟ้าในวันหนึ่ง ลูกสมุนตัวดีก็เอ่ยถาม ผมไม่ได้ตอบในทันที พักนี้กลายเป็นคนพูดน้อยลงกว่าเก่า ไม่ได้เอาปัญหาออกมาเล่า แต่จากสีหน้าท่าทางไอ้โจ้คงเดาได้ไม่ยาก
“ทะเลาะกับนายน้อยจริง ๆ ใช่หรือเปล่า”
ผมไม่ตอบ ลากรองเท้าบูธเดินไปหยิบกองฟาง ทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติแม้จะยากเต็มที ไอ้โจ้ก้าวติด พันแข้งพันขาวุ่นวายเหมือนที่ถนัด
“คุณกฤชไม่คิดถึงนายน้อยบ้างเหรอ”
“เดี๋ยวเขาก็กลับมา”
“คุณกฤชเอาแต่รอให้นายน้อยทำนั่นทำนี่ ทำไมคุณกฤชไม่เคยง้อนายน้อยเสียบ้างเลย”
“ข้าง้อนายน้อยของเอ็งมาตลอด ไอ้โจ้”
“ถ้าง้อนายน้อยก็หาย ไม่ผูกใจเจ็บหรอก เขาไม่ใช่คนคิดมาก”
“แต่ข้าเป็นคนคิดมาก”
“ทะเลาะเรื่องหึงหวงล่ะสิ” ไอ้โจ้เดาตรงประเด็น ผมหันหน้ามองมัน คนตัวเล็กหลบตาวูบ
“เอ็งโทรหานายน้อยใช่ไหม”
“กะ...ก็ มันผิดสังเกต จู่ ๆ คุณกฤชก็กลับมาคนเดียว แล้วซึมกะทือ เสียอย่างกับคนอกหัก”
“วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง”
“โจ้เป็นห่วงหรอกน่า” มันว่าพลางตบสะโพกม้าเบา ๆ เสียงคำรามของแสงฟ้าดังขึ้นแผ่ว ไม่ได้หงุดหงิดแค่ครางประท้วงว่ามีคนมาวุ่นวายกับมันเท่านั้น
“คุณหนึ่งคิดถึงคุณกฤชนา ร้องไห้ให้โจ้ฟังด้วยว่าคุณกฤชไม่เข้าใจ”
“ถ้าเขาคิดถึงคงรีบกลับมา”
“ตอนแรกว่านายน้อยเป็นเด็ก” ไอ้โจ้ว่า “ตอนนี้กลายเป็นคุณกฤชเสียแล้วที่ไม่เข้าใจความจำเป็นของผู้ใหญ่”
“เอ็งอย่าพูดดีกว่า”
“เครียดอีกแล้วใช่ไหมล่ะ” เสียงถอนหายใจดัง ไอ้โจ้เขย่งตัวขึ้นบีบบ่าผมจากทางด้านหลัง “โจ้รักทั้งคุณกฤช ทั้งนายน้อยนาถึงได้มาวุ่นวายแบบนี้ อยากเห็นลงเอยกันด้วยดี ต่างคนต่างใจตรงกันแท้ ๆ”
“ข้าจะออกไปขี่ม้าเล่น เอ็งไปด้วยกันไหม”
“ไปก็ได้” เสียงทุ้มบอก “ขอแสงเพชรนะ ขี่ง่ายกว่า ไอ้แสงฟ้าเดี๋ยวนี้ขี้พยศ”
ผมพยักหน้าตกลง ลูบขนสีขาวเรียบของแสงเพชรไปตามเส้นแนว ดวงตากลมโตสีดำขลับของมันหลุบลง ไม่รู้ว่าจะคิดถึงคนเคยพาออกไปเดินเล่นริมน้ำตอนนั้นบ้างไหม
พักนี้ฝนตกเกือบทุกวัน น้ำในธารน้ำเล็ก ๆ หลังไร่เย็นฉ่ำแต่ค่อนข้างขุ่นกว่าในฤดูร้อน ผมนั่งบนขอนไม้ชื้น ๆ วันนี้ฝนไม่ตกแต่ครึ้มตลอดทั้งวัน ท่อนไม้ที่อมน้ำจากพายุเมื่อวานเลยยังไม่ระเหยออกไปบ้าง
“นึกถึงนายน้อยคราวนั้น ถอดเสื้อแสงได้ก็กระโจนลงน้ำตูมเหมือนเด็ก”
ไอ้โจ้พูดขึ้น หักกิ่งไม้มาเขี่ยใบไม้ที่ลอยอยู่เหนือน้ำเล่น “วันนั้นโจ้ก็เล่นด้วย แข่งกันจับลูกปลาเล็ก ๆ ที่มาตอดขา นายน้อยโกรธใหญ่ แพ้โจ้หลายขุม”
“ก็เอ็งมันเจ้าถิ่น”
“แต่สนุกดี ไม่ได้เล่นเป็นเด็ก ๆ แบบนี้นานแล้ว มาทีไรก็ได้แต่เอาขาหย่อน”
“อยากเล่นก็เล่นสิ” ผมว่า นึกถึงภาพของคนตัวขาวกับใบหน้าตื่นเต้นเมื่อแตะขาลงบนแอ่งน้ำ รอยยิ้มที่ประดับบนหน้าขาว เส้นผมสีน้ำตาลเข้มพัดพลิ้วไปกับแรงลมจนต้องเอามือข้างหนึ่งจับทัดหู
ผมเส้นนั้นยามสยายไปกับปลอกหมอน ยามคลอเคลียอยู่บนบ่า ยามจรดปลายจมูกเข้าดอมดม
คิดถึง...“คุณกฤช...”
ไอ้โจ้เรียก มันเอียงคอมองหน้า “เหม่ออีกแล้ว เป็นอะไรน่ะ”
“เปล่า”
“คิดถึงเขาก็ไปหาเขาเถอะ จะสัปดาห์อยู่แล้ว ไม่เหงาบ้างหรือไง”
ผมไม่ตอบแต่มองเหม่อออกไป ภาพของหนึ่งตะวันชัดอยู่ในอก ที่โหยหาคือกลิ่นกายและสัมผัสแนบเนื้อช่างเอาใจจากอีกฝ่าย รสรักที่ฝังใจ เสียงกระเง้ากระงอดและออดอ้อนอยู่ในที
ใช่...คิดถึง
คิดถึงเหลือเกิน
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าไม่อาจใจแข็งกับนายน้อยได้จริงเมื่อถัดมาได้ขออนุญาตคุณชนินทร์ไปกรุงเทพฯ นายไม่ได้ว่าอะไร พยักหน้ารับรู้ ครบรอบหนึ่งสัปดาห์พอดีที่ห่างหายนายน้อยมาโดยไม่ได้ติดต่อ
โทรศัพท์ถูกชาร์จไฟ ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ แปลว่ามันสงบนิ่งตลอดมานับตั้งแต่ผมก้าวออกจากที่นั่น ทั้ง ๆ ที่ติดต่อกับคุณชนินทร์ทุกวัน คุยกับไอ้โจ้บ้างแต่ไม่มีกะจิตกะใจจะโทรมาง้อบ้างเลยหรือ ผมถอนใจแต่ก็ไม่เก็บเอามาคิด นึก ๆ ดูวันนั้นตัวเองก็พูดแรงจนน่าโมโหเหมือนกัน
หนึ่งตะวันคงโกรธมาก
...แต่ถึงโกรธขนาดนั้น เขาก็ยังอยากให้ผมอยู่ข้าง ๆ อยู่ดี
ผมเก็บกระเป๋า เอาเสื้อผ้าไปไม่กี่ชุด ไม่ได้จำเป็นต้องออกไปพบใครหรืองานสังสรรค์ที่ไหน หรือถ้ามีอาจให้นายน้อยไปกับคุณพอร์ชคงสะดวกใจมากกว่า ผมไม่ชอบกรุงเทพฯ ไม่ชอบแสงสี ไม่ชอบงานเลี้ยง แต่เกลียดชีวิตที่ไร้ซึ่งดวงตะวันมากกว่าสิ่งไหน ท้ายที่สุดก็ยอมอ่อนให้คนเอาแต่ใจอีกคนจนได้
รถกระบะคันเดิมเป็นพาหนะพาผมออกเดินทางจากไร่ตะวันฉาย ไอ้โจ้โบกมือหย็อย ๆ ย้ำว่าอย่าลืมของฝาก พาคุณหนึ่งกลับมาหามันให้ไวที่สุดด้วย มันอยากไปเล่นน้ำที่ลำธารนั่นกับนายน้อยเต็มแก่ ผมรับปาก ก่อนเหวี่ยงตัวเองขึ้นรถกระบะสี่ล้อยกสูงตามถนัด มองกระจกหลังเห็นไอ้โจ้ตัวหดเล็กลงเรื่อย ๆ กระทั่งหายลับไป ทอดสายตามองบนถนนยาว นึกถึงใบหน้าของหนึ่งตะวันยามเจอกันอีกครั้ง เขาจะยิ้ม ร้องไห้ โผเข้ากอด หรือด่าทอ ล้วนเป็นสิ่งไม่อาจคาดเดาได้เลย
หากแต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมมั่นใจว่าจะรับมันด้วยรอยยิ้มของความคิดถึงแน่นอน
ล้อยางเบียดถนน เมื่อรถคู่ใจพาเดินทางมาถึงเป้าหมาย ประตูรั้วเปิดอยู่ แต่ผมไม่ได้เอารถเข้าไป ป้าจิ๋วกำลังจะเลื่อนปิดเมื่อเห็นรถทะเบียนคุ้นก็ชะโงกคอออกมาดู
“อ้าว คุณกฤช ไม่เห็นมีใครบอกว่าจะมา เอารถเข้าบ้านค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพักไว้ตรงนี้ก่อน ถ้าเอารถเข้าไปแล้วคุณหนึ่งจะรู้ตัว”
“ไม่ได้บอกนายน้อยไว้ใช่ไหมคะ” ป้าจิ๋วว่า “เล่นอะไรเหมือนเด็ก ๆ เลยสองคนนี้ ถ้าอย่างนั้นเข้ามาค่ะ นายน้อยเพิ่งกลับเข้าบ้านเมื่อครู่เอง”
ผมพยักหน้าช่วยป้าจิ๋วปิดประตู ก่อนชะงักขาเมื่อเมอร์เซเดสคันคุ้นตาจอดอยู่หน้าประตู ขาทั้งสองแน่นิ่ง เกร็งแข็ง ไม่อาจขยับได้ในทันที
“คุณตุลย์เหรอครับ”
“ค่ะ”
“เขามาบ่อยไหมครับ”
“ตั้งแต่คุณกฤชไม่อยู่นายน้อยไม่ยอมออกไปไหนค่ะ ซึมกะทือจนน่าเป็นห่วง คุณตุลย์เลยมาหาเกือบทุกวัน” คำตอบนั้นทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ชะเง้อผ่านหน้าต่างไปในห้องนั่งเล่นคุณตุลย์กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับเครื่องเล่นซีดี ผมก้าวต่อไปเงียบเชียบ มองลอดผ้าม่านที่ผูกมัดด้านหนึ่งเอาไว้ หนึ่งตะวันผอมลง สงบนิ่ง นั่งมองหน้าจอโทรทัศน์หรือบางทีอาจจะแค่เหม่อลอย
“คุณหนึ่งสบายดีไหมครับ”
“ทานน้อยกว่าช่วงที่คุณอยู่เยอะเลยค่ะ” ป้าจิ๋วบอก โดยที่ผมได้แต่พยักหน้า พักเดียวคุณตุลย์ก็เดินกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกัน วาดแขนพาดโซฟาทำให้คนที่นั่งอยู่ก่อนเกร็งตัวลุกขึ้นหลังตรง ไม่ยอมให้อีกฝ่ายโอบกอดแนบกาย
“คุณตุลย์เธอพยายามมาดูแลเต็มกำลัง”
“เขาดีกับคุณหนึ่งมากใช่ไหมครับ” ผมถาม แม้คำถามนั้นจะทำให้เจ็บปวดก็ตาม รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของคนสูงอายุกว่าพร่าเลือนเล็กน้อย ผมรู้สึกแสบตา แต่ไม่เกินจะอดทน
“อย่าหาว่าป้างั้นงี้เลยนะคะคุณกฤช” เสียงของหญิงวัยกลางคนทอดราบเรียบ ถอนหายใจสั้น “คุณตุลย์เธอดูรักนายน้อยมาก แล้วก็เหมาะสมกันมาก ป้าว่าไม่ดีเลยถ้านายน้อยจะมีคนพูดถึงว่าทำตัวเป็นสมภาร เมื่อครั้งคุณชนินทร์ก็ทีหนึ่งแล้ว กว่าจะผ่านเรื่องนั้นมาได้ก็หนักหนา อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเลยนะคะคุณ แค่ความรักมันไม่พอหรอกค่ะ คุณจะอยู่ข้างนายน้อยได้ยังไง คุยกันคนละภาษา นายน้อยเป็นนักธุรกิจ คุณเป็นคนไร่ คุณอึดอัดที่อยู่กรุงเทพฯ ยังไงนายน้อยก็อึดอัดตอนอยู่ที่ไร่แบบนั้น คุณมันคนตรง ไม่ซับซ้อน แต่โลกของนายน้อยวกวนกว่าที่คุณจะเข้าถึง จะไปกันรอดได้ยังไง”
ผมพยักหน้ารับรู้ กำมือแน่นเข้าหาตัว “ถ้าหวังดีก็ปล่อยมือเถอะค่ะ ป้าก็อยากส่งเสริมอยู่หรอกนะ เห็นทีแรกก็รักกันดี แต่พอคุณตุลย์เธอกลับมาดูแลนายน้อยไม่ขาดตกบกพร่องเลยแบบนี้ป้าก็เห็นใจแก แถมยังพูดจากันรู้เรื่องดีอีกต่างหาก”
“คุณหนึ่งน่ะ อยู่ใกล้ใครก็รักคนนั้นแหละค่ะ แกต้องการความรักอยู่แล้ว ช่วงนี้อาจจะยากหน่อย แต่คุณห่าง ๆ ไปนายน้อยก็ลืมเอง”
ป้าจิ๋วถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง “ป้าเลี้ยงคุณหนึ่งแกมา สงสารเถอะค่ะ ป้าก็อยากให้แกมีความสุข คุณดูแลนายน้อยไม่ได้หรอก เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องก็เหมาะสมแล้ว”
ผมครางรับคำ ส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้คู่สนทนา “ถ้าอย่างนั้นช่วยอย่าบอกคุณหนึ่งนะครับว่าผมมาหา”
ป้าจิ๋วแตะบ่าคล้ายปลอบใจ “ขอบคุณนะคะคุณ...”
ไม่มีคำพูดใดหลุดมา คล้ายกับหนักอึ้งอยู่บนริมฝีปากไล่ไปยังอก ผมก้าวเดินเงียบเชียบ เสียงฝีเท้ายามเหยียบย่ำลงไปบนผืนหญ้ายังดังเสียกว่า
ถนนช่วงบ่ายวันธรรมดายังไม่รกไปด้วยรถรามากนัก ผมจำไม่ได้ว่าเหยียบคันเร่งไปเท่าไร หรือบางทีอาจจะไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกตอนมากับกลับแตกต่างกันลับ หัวใจที่พองโตเหมือนลูกโป่งถูกเจาะให้แตกสลาย เมื่อดวงตะวันคล้อยต่ำ ผมตบไฟข้างจอดรถริมทาง ซบหน้าบนพวงมาลัยและปล่อยให้ความอัดอั้นทั้งหมดละลายลงมา
หยดน้ำที่ไหลรินจากตาผ่านร่องแก้ม ไหลหยดลงบนหน้าขาทีละหยด น่าขัน ผมกับคนที่บอกว่าไม่มีวันรัก ไม่มีวันแล ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นตัวเองที่หลั่งน้ำตาด้วยความชอกช้ำ ความสุขวันวานเป็นเพียงความฝัน เมื่อตื่นลืมตาความจริงที่ปรากฏก็ตอกย้ำว่ามันเป็นไปไม่ได้ ใช่ว่าใจเสาะ ไม่ยอมลุกขึ้นสู้ หากแต่ก็ไม่อาจเถียงว่าในสายตาทุกคนแล้ว สิ่งที่ผมกับคุณหนึ่งถูกพูดถึงอยู่ มีส่วนเสี้ยวของความจริง
ไม่คู่ควร
แม้แต่ตัวเองก็ยังสัมผัสได้ว่าไม่คู่ควรจริง ๆ
ผมกดโทรศัพท์ ใช้หลังมือเช็ดหยดน้ำสูดลมหายใจ ในช่วงจังหวะที่สมองอื้ออึงนึกถึงเพียงคนเดียว รอสายไม่นานนักอีกฝ่ายก็กดรับ
“พี่นุ่น...”
“ฮัลโหล กฤชเหรอ เป็นอะไร เสียงไม่ค่อยดีเลย”
“เปล่าครับ” ผมว่า “ที่โรงพยาบาลพี่ปูนยังรับสมัครหมอม้าร้างวิชาอยู่หรือเปล่า”
“รับสิ จะมาช่วยเหรอ”
ผมเงียบไปชั่วอึดใจ ตอบคำถามด้วยหัวใจที่ตั้งมั่น
“ครับ”
หมดเวลารักลวงของคนงานกับนายน้อยแสนซนสักที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณกฤช ทำไมกลับมาเร็วจัง”
ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ไอ้โจ้จะวิ่งมาถามเมื่อรถกระบะคันเดิมที่ออกไปจากไร่ในช่วงสายกลับมาอีกครั้งในค่ำวันเดียวกัน ผมไม่ตอบ หยิบสัมภาระบางส่วนลงจากรถแล้วเดินหนี ใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีเค้าของความเสียใจหลงเหลืออยู่
“คุณกฤช แล้วนายน้อยล่ะ ได้ไปหานายน้อยมาหรือเปล่า”
เสียงทุ้มถามไม่ห่าง มันวิ่งตามจนทัน ผมยังคงไม่มีคำตอบ เดินกลับขึ้นบ้าน ยกมือไหว้แม่หนึ่งครั้งแล้วโยนกระเป๋าลงบนพื้น ทิ้งตัวนอนหงายบนเตียงกว้าง มองเพดานฝ้าแบบที่ชอบทำเวลาใช้ความคิด
มันจบลงแล้วผมถอนหายใจ ยอมรับกับตัวเองว่าไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ไม่อาจดึงความรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากลับมาได้อีกเมื่อใครบางคนขาดหายไปจากชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือที่นี่ ทุกอย่างไม่มีความหมาย ว่างเปล่า เคว้งคว้าง เหมือนเรือลอยลำบนทะเลกว้างไกล
ใช้ความคิดเพียงลำพังไม่นานนักก็ตามไอ้โจ้ที่นั่งจ๋อยอยู่ตีนบันไดบ้านให้ขึ้นไปหาคุณชนินทร์ด้วยกัน
“จะออกไปทำคลินิกอย่างนั้นเหรอ”คุณชนินทร์ถาม แม่กับไอ้โจ้หน้าถอดสี ขณะที่ผมสงบนิ่งกว่าที่คิดไว้มาก นายท่านขมวดคิ้ว ถามต่อ “ทำไมปุบปับแบบนี้ล่ะ”
“พอดีที่โรงพยาบาลของพี่นุ่นคนขาดด้วยครับ รบเร้ามาหลายรอบแล้วแต่ยังคิดไม่ตก ช่วงนี้เลยว่าจะออกไปช่วยที่โรงพยาบาลในเมือง กับเป็นลูกมือให้ที่คลินิก”
“แต่ไป ๆ กลับ ๆ จากตัวเมืองมาที่นี่เหนื่อยแย่เลย บางวันรถติดอย่างกับอะไร ทำไมไม่เลือกทำที่คลินิกอย่างเดียวล่ะ ให้พอมีความรู้ ไว้ฟื้นวิชาได้มากพอก็มาเปิดคลินิกแถวบ้านเราเอา”
“ผมร้างมาหลายปี รักษาแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ มาตลอด ถ้าอยากเปิดคลินิกของตัวเองคงต้องกลับไปฝึกอีกมาก” ว่าพลางหลบตาคู่สนทนา กลัวว่าความจริงที่ซุกซ่อนอยู่จะหลุดรอดออกไปได้ “อีกอย่าง พี่นุ่นก็บอกว่าถ้าประจำอยู่ที่นั่นตลอดให้ไปค้างที่คลินิกของพี่นุ่นได้ครับ”
“ก็เลิกรากันไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ ไปอยู่แบบนั้น...”
“พี่นุ่นพักอยู่กับครอบครัวคุณปูนครับ อยากได้คนช่วย ถ้าผมอยู่เป็น ปีอาจขยายกิจการให้รับฝากสัตว์เลี้ยงได้จะได้มีคนเฝ้า”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” คุณชนินทร์ถอนหายใจ “ฉันไม่ได้ห้ามหรอกนะ แล้วจะพาแม่ออกไปอยู่ด้วยกันเลยหรือเปล่า”
ผมเหลือบตามองมารดา มีความไม่สบายใจปรากฏในนั้น “อันนี้แล้วแต่ความกรุณาของนายกับความสมัครใจของแม่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นให้สายใจอยู่ที่นี่ได้ไหม คนแก่อย่าให้เปลี่ยนที่อยู่เลย มันคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ อย่างน้อยก็อยู่เป็นเพื่อนกัน”
ผมพยักหน้ารับคำ คุณชนินทร์ถอนหายใจ เรียกไอ้โจ้เข้าหา “ว่าจะฝึกไว้ชั่วคราว เห็นทีรอบนี้จะต้องดูยาว ๆ แล้วไอ้โจ้”
มันสูดน้ำมูก น้ำหูน้ำตาไหล คุณชนินทร์หัวเราะ แต่ก็มีทีท่าไม่สบายใจเล็กน้อย “อย่าโยเยน่าไอ้โจ้ คุณกฤชเขาไปทำงาน ดึงตัวแม่เอาไว้เดี๋ยวเขาก็กลับมา”
“ครับ” มันว่าเสียงสั่น เห็นแล้วก็ขำนิด ๆ ไอ้โจ้มองค้อนขวัก ท่าทางจะโกรธเอาเรื่อง
“เอาล่ะ จะจัดการยังไงก็ลองวางแผนดี ๆ เรื่องนี้ฉันเองก็อยากให้กฤชสานฝันตัวเองมานานแล้ว ส่วนแม่ไม่ต้องห่วง ฉันเลี้ยงดูคนงานทุกคนดีไม่ขาดตกบกพร่องหรอก ที่เหลือก็โทรบอกพี่หนึ่งเขาหน่อยแล้วกัน พักนี้เห็นสนิทกันไม่ใช่หรือ”
“ครับ” ผมขานรับ ก่อนจะปลีกตัวออกมา
แสงสว่างวาบบนหน้าจอติด ๆ ดับ ๆ หลายรอบแล้ว อากาศที่โคราชเย็นลงทุกขณะ จากพื้นดินเฉอะแฉะ เมื่อตอนบ่ายฝนคงจะลงเม็ดหนักอยู่พักใหญ่
เดิมทีไม่คิดว่าจะยากเย็นอะไร ผมตัดสินใจชั่ววินาทีหลังจากที่คิดเรื่องนี้มานาน ความเหมาะสมของผม ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายแบบที่คุณตุลย์เคยพูดถึง แม้มันไม่น่าฟัง แต่เมื่อได้ยินหลายครั้งก็อดเอามาคิดไม่ได้ว่าทำไมถึงถูกมองแบบนั้น
ผมพึ่งบารมีของไร่ตะวันฉายมาตลอด
แม้ในขณะนี้ ทุกสิ่งก็ยังต้องพึ่งพาคุณชนินทร์และหนึ่งตะวัน กระนั้น แม้ตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้วการโทรไปร่ำลาอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายกลับดูยากเย็น
“คิดดีแล้วใช่ไหมกฤช”
เสียงหวานของมารดาเอ่ยก่อนก้าวท้าวเข้าหา เสื้อกันหนาวทาบทับลงมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่น
“มีปัญหาอะไรกับนายน้อยหรือเปล่า”
“ก็ไม่เชิงครับ” ผมว่า “แค่คิดว่ามีคนที่เหมาะสมกว่าผมเคียงข้างหนึ่งตะวันอยู่แล้วเท่านั้นเอง”
“นายน้อยเธอว่าอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ” ผมตอบ หนึ่งตะวันไม่เคยพูดอะไรด้วยซ้ำ เขามีความสุขกับการอยู่ด้วยกันไปวัน ๆ มีผมวนเวียนไม่ห่าง เป็นคนคอยดูแลและช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ “เพียงแต่ว่า บางทีศักดิ์ศรีของผู้ชายมันก็จำเป็นอยู่เหมือนกัน”
“ก็เอาเถอะ” หญิงวัยกลางคนว่า
“แม่จะไปกับผมหรือเปล่า”
“ไปอยู่ด้วยก็เกรงใจหนูนุ่นเปล่า ๆ อยู่ที่นี่พอได้หยิบได้จับอะไรเป็นประโยชน์บ้าง ไว้เราแวะมาเยี่ยมแม่บ้างก็พอ”
ผมพยักหน้า กอดแม่เอาไว้ พักเดียวก็ผละออก
“ลูกชายแม่โตเป็นหนุ่มแล้วนี่เนอะ”
การยิ้มรับเหมือนเป็นวิธีเดียวที่ทำให้การสนทนาไม่น่าใจหาย ผมไม่เคยห่างจากไร่ จากแม่ไปไหน ไอ้โจ้เองก็เหมือนกัน ถึงตอนนี้คงโมโหปึงปังงอนกลับไปบ้านแล้วแน่นอน
ถอนหายใจ มองฟ้าที่ไร้แสงดาว เมฆกลายเป็นสีขาวเมื่อเทียบกับผืนฟ้าสีดำกำมะหยี่ นึกถึงคราวที่ดนตรีบรรเลงลอยมากับสายลม คราวที่ได้โอบตะวันไว้แนบกาย อุ่นในใจจนไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเมื่อดวงตะวันหายไป จะเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยวได้ถึงเพียงนี้
ผมกดโทรศัพท์ในที่สุด
...ช้าเร็วก็ต้องเอ่ยคำลาอยู่ดี“ฮัลโหล”
ปลายสายรับเสียงเอื่อย ผมจำเสียงเขาได้ราวกับไม่เคยลบเลือน ยามตวาดเสียงลั่น ออดอ้อนเสียงอ่อน หรือแม้กระทั่งร้องครางเสียงหลง
“นายน้อย...”
“กะ...กฤช”
“ครับ”
“ทำไมเพิ่งโทรมา” เสียงเขากระตือรือร้น ผมหลับตา จินตนาการถึงใบหน้าที่กึ่งดุกึ่งยิ้มของคนรักออก
“ผมโทรมาลา”
“ลา?”
“ครับ...ลา”
ความเงียบผุดขึ้นระหว่างเรา มีเสียงลมโชยพัดในอากาศกอรปกับจิ้งหรีดร้องเรไร จากฝั่งนั้นทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว ไม่มีแม้เสียงของการขยับเขยื้อน
“ผมได้งานโรงพยาบาลสัตว์ในเมือง แล้วก็ช่วยพี่นุ่นทำคลินิก อาจจะกะทันหันไปหน่อย แต่เพิ่งมานึกได้ว่าอายุ 26 แล้วยังทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเสียที ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ”
"แล้วฉันล่ะ...""คุณหนึ่ง...ก็เป็นคุณหนึ่งเหมือนเดิม"
"ถ้าฉันไม่ให้ไป กฤช...ฉันคิดถึงนาย คิดถึงมาก...เรื่องพี่ตุลย์ฉันขอโทษ ฉันจะไม่ยุ่งกับเขาแล้ว ไม่เอาแล้ว กฤช....อย่าทิ้งฉัน ได้โปรด...จะให้...ให้ทำอะไรก็ได้ แต่กลับมาได้ไหม ให้ทำอะไรก็ได้ อย่าทิ้งฉันไปแบบนี้ ฉัน–"
"ผมรักหนึ่งนะ...รักมาก..แต่เราก็รู้ ลึก ๆ คุณเองก็รู้ดีว่าระหว่างเรามันมีอะไรมากกว่านั้น ผมหวังว่าพอเวลาผ่านไป เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น" คำพูดนั้นคล้ายปลอบประโลมตัวเอง รู้สึกคัดขึ้นมาในจมูก ความคิดถึงโหยหา ความรักที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจ ไม่อาจถมช่องว่างที่กว้างใหญ่ของกันและกันได้แม้แต่น้อย
หนึ่งตะวันเงียบไปอึดใจ ก่อนเอ่ยถาม
“ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร...นายก็ไม่เปลี่ยนใจอย่างนั้นเหรอ”
เสียงจากปลายสายสั่น ผมเม้มกลีบปากเข้าหากันก่อนตอบรับในลำคอ หลังจากนั้นเราต่างสื่อสารกันด้วยความรู้สึก ยามเริ่มต้นเราไม่มีถ้อยคำขอคบหากันจริงจัง พอมาถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าควรใช้คำว่าอะไร
“ไม่ว่าฉันจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีนาย...”
“คุณหนึ่งของผมเก่งจะตาย ทำไมจะอยู่ไม่ได้ครับ”
“กฤช...ฉันผิดเอง ฉันผิดไปแล้ว ฉันยอมทุกอย่างแล้ว ได้โปรด...ฟังฉัน อีกครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวฉันพร้อมจะอธิบายทุกอย่าง...”
“ไม่ต้องหรอกครับ” รู้สึกคล้ายดวงใจใกล้แหลกเหลว หนึ่งตะวันไม่เคยร้องขอมากขนาดนี้ เสียงเขาสั่น ไม่มีความมั่นใจ เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเสียจนไม่เหมือนตะวันดวงเดิมที่ผมเคยรู้จัก กระนั้น สิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงยืนยันในสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรก
“ขอให้...มีความสุขนะครับ”
ต่อไปนี้ไม่สามารถใช้คำว่าดวงตะวันของผมได้อีก เสียงอวยพรนั้นสั่นเครือ แต่จำเป็นต้องพูด อย่างน้อยให้หนึ่งตะวันรู้ว่าไม่จำเป็นต้องรอผม อยากให้เขาก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่า หากวันหนึ่งพบว่าหัวใจไม่อาจเป็นของใครได้ค่อยกลับมาทบทวนความสัมพันธ์ของเราก็ยังไม่สาย ผมไม่เปลี่ยนใจ ไม่มีทางเปลี่ยนไป หนึ่งตะวันคือคนที่ผมรักที่สุด รักแม้จะไม่ควรค่าที่จะให้รักแม้แต่น้อย
ปลายสายเงียบเสียงไปพักใหญ่ ก่อนเสียงสะอื้นฮักจะตามมา ขอบตาผมร้อนผ่าว พักเดียวก็ปล่อยน้ำตารินไหล กำโทรศัพท์เข้าหากันแน่นเมื่อเสียงสูดลมหายใจของอีกฟากสายดังกระชั้นเรื่อย ๆ
“จะไปไหนก็ไปเลย ไม่ต้องสนใจฉัน ไม่ต้องโทรมาลาแบบนี้ก็ได้ นายจะฆ่าใคร ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเขากำลังจะตาย! มันทรมานรู้ไหม!”
สองขาคล้ายหมดแรง ผมทรุดตัวนั่งลง ยกมือขึ้นเสยผมไปด้านหลัง แม้จะเงยหน้าสู้ฟ้าแต่น้ำตาก็ไม่ไหลย้อนกลับ
หัวใจบีบอัดคล้ายแหลกสลาย ลมหายใจที่สูดเข้าไม่อาจเติมเต็มให้อิ่มในปอด
ครั้งสุดท้ายที่เสียใจมากขนาดนี้มันเมื่อไรกัน
เราเงียบเพื่อฟังเสียงสะอื้นของอีกฝ่าย ไม่ได้ปล่อยโฮสุดกำลังแต่ก็ไม่อาจกลั้นความทรมานจากการปริแตกของหัวใจได้ เราต่างกันเกินไป ผมไม่เข้าใจเขา และหนึ่งตะวันก็ไม่อาจทำความเข้าใจถึงความคิดของผม เรามีปากเสียงกันบ่อย ไม่ถึงกับบ่อยจนทนไม่ได้ แต่มักจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่ไม่อาจมีใครยอมใครได้สักที
หนึ่งตะวันมีเรื่องที่อยากทำ ส่วนตัวผมก็มีเรื่องที่ต้องทำ
เราต่างมีเหตุผลของเราที่ไม่เคยเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย และไม่สามารถทำให้ใครสักคนคล้อยตามอีกคนได้ ยิ่งประดังประเดมาด้วยส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้ผมไม่อาจยืนเคียงข้างเขาอีกต่อไปแล้ว นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันในฐานะคนรักแบบนี้
น้ำตาไหลรินออกมาราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ร้องไห้อย่างพ่ายแพ้ ปวดร้าว ไม่หลงเหลือความกระดากอายซึ่งกันและกัน
ร้องไห้ครั้งสุดท้าย ปล่อยให้หัวใจได้ซาบซึมรสของบาดแผลเหวอะหวะยับเยิน
...ก่อนที่สุดท้ายดวงตะวันจะหลุดมือหายไป...http://www.youtube.com/v/UqzndIwoAb4? TBCถ้วยสุดท้ายแล้ว ไม่ม่าแล้ววว เพลงทิ้งท้ายเป็นเพลงแสดงความรู้สึกของพี่หนึ่งค่ะ นางก็น่าสงสารนะ อย่าดุนางมากเลย เป๋ไม่เป็นท่าแล้วเนี่ย ฮาาา
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นค่ะ ตอนแรกนึกว่ากฤชจะโดนด่า ผิดคาด ฮาาา ยังคงลุ้นต่อไปว่าตอนนี้ฟีดแบคจะเป็นยังไง
ใกล้จะจบแล้วอะ ใจหายจัง TvT แต่ยังไม่ได้เขียนตอนพิเศษเลย เคี๊ยกกก
ไอ้โจ้พย่ายามช่วยเต็มที่แล้วนะคะ แง รอบนี้ไม่ได้ผล เงินคุณหนึ่งไม่ถึง ฮาาาา
เจอกันใหม่ตอนหน้าน่้า
รักกก.