ไม่อยากให้ไป
คืนนี้ตอนเกือบตีสามฝนตกหนัก ผมนอนคลุมโปงอยูบนเตียง ความมืด เสียงลมและฟ้าฝ่าดังติดกันอยู่หลายรอบทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย คืนนี้ภัทรไม่อยู่ เขาไม่ได้มาที่นี่เกือบเดือนแล้ว เราโทรหากันบ้าง แชทบ้าง แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ
...ผมคิดถึงภัทร...
ต่อให้เขาจะไม่ชอบถอดถุงเท้าเวลาขึ้นเตียงหรือชอบกวนยังไง ผมก็แค่อยากมีเขามานั่งยิ้มอยู่ข้างๆผมเหมือนเคย
ท่ามกลางบรรยากาศเย็นชื้น ตัวผมเองครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมได้ยินเสียงมือถือของตัวเองดังแว่วมาจากโต๊ะตรงหัวเตียง ผมคลี่ยิ้มออกก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบมัน จนเมื่อเห็นว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์โทรของน้องสาวของคนที่คิดถึง ผมถึงได้หุบยิ้ม ผมรับโทรศัพท์หวังว่าจะได้ยินเสียงเขา แต่กลับได้ยินแค่เสียงสะอื้นหนักที่ปลายสาย
ผมเริ่มใจเสีย...แต่ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร
จนเมื่อเธอพยายามพูดด้วยเสียงที่สั่นเทาว่าพี่ชายของเธอรถคว่ำตอนที่ทะเลาะกับแม่แล้วออกมาหาผม ตัวผมก็เย็นเฉียบ ผมพยายามถามเธอด้วยสติที่แทบไม่เหลือว่าภัทรของผมเป็นยังไงบ้าง เขาอยู่ไหน เขาปลอดภัยหรือยัง น้องสาวของภัทรเอาแต่ร้องไห้ เธอร้องไห้เหมือนใจจะขาด
ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู เป็นเสียงของแม่ภัทรที่เคยคุยกับผมอยู่สองถึงสามครั้ง ปกติเสียงของแม่ภัทรจะดุและเฉียบขาด แต่คราวนี้กลับเป็นเสียงของคนที่หมดแรง
ท่านบอกว่าภัทรของผมขับรถเร็วแล้วเกิดอุบัติเหตุ
...และตอนนี้ภัทรไม่อยู่แล้ว คนรักของผมจากผมไปแล้ว...
ผมพยายามบอกตัวเองให้ตื่น ผมไม่เชื่อ ผมวิ่งออกไปที่ถนนใหญ่โดยที่ฝนยังตกหนักอย่างคนไม่ได้สติ
‘Rrrrrrrrrrrrr’
ผมสะดุ้งตื่นมาเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ผมพยายามไล่ความรู้สึกทั้งหมดจากฝันร้ายออกไปแต่ตอนที่กดรับโทรศัพท์มือก็ยังสั่น
“เปิดประตูให้หน่อย อยู่หน้าห้อง ฝนตกหนักเคาะยังไงมึงก็ไม่เปิด”
“มาทำไมตอนนี้” ผมโกรธที่ภัทรออกมาในตอนที่ฝนตกหนักขนาดนี้ เวลานี้เขาควรนอนอยู่ที่บ้าน พอเปิดออกไปผมก็เห็นคนคุ้นตาที่ยืนเปียกไปทั้งตัว ผมดึงเขาเข้ามาในห้องก่อนจะกอดภัทรไว้แน่น
“ก็ว่าจะไม่มา แต่คิดถึง” ภัทรว่าก่อนจะกดจูบลงบนกระหม่อมผม ผมพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติทั้งๆที่หัวใจยังเต้นถี่
“ทีหลังไม่ต้องออกมานะ มันอันตราย” ผมบอกเขา ภัทรยิ้มด้วยหน้าตาที่เหมือนเหนื่อยเต็มทน แต่ก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ขอโทษนะ ช่วงนี้ไม่ได้มาหาเลย”
ผมส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร แต่เราต่างรู้ว่าเราเหนื่อยเหลือเกิน พักหลังมานี้แม่ของภัทรมักจะแวะมาที่นี่บ่อยครั้ง มาเพื่อให้เห็นกับตาว่าลูกชายเขาไม่ได้มาหาผม และถ้าเห็นภัทรอยู่กับผม ผู้หญิงมีอายุที่ยังดูสวยสง่าจะเดินมาหาเรา และให้ภัทรเลือก
...ระหว่างแม่ผู้ให้กำเนิด กับผมที่เป็นใครก็ไม่รู้...
“ทำงานเป็นไงบ้าง”
“ก็ดี ยุ่งมากทุกวัน”
ภัทรเรียนจบได้เกือบสามเดือนแล้ว เขาเข้าไปทำงานทำงานในบริษัทของพ่อตัวเอง สำหรับภัทรแล้วพ่อเป็นไอดอลของเขา ในขณะที่เขาบอกผมว่าแม่ไม่เคยรักเขา ภัทรกลับบอกผมอยู่เสมอว่าพ่อรักเขา
“แล้วฝึกงานเป็นยังไงบ้าง”
เพราะผมเรียนช้ากว่าเขาอยู่หนึ่งเทอม เทอมสุดท้ายผมจึงกำลังฝึกงานอยู่ในบริษัทอสังหาฯแห่งหนึ่ง ทำเกี่ยวกับการตลาดที่ผมชอบ
“ก็ดี เขาบอกฝึกเสร็จจะรับเข้าทำงานเลยด้วย” โชคดีที่ตอนนี้งานของเรากำลังไปได้ด้วยดี เมื่อไหร่ที่ผมฟุ้งซ่านผมก็จะหยิบงานขึ้นมาทำ
“เก่งนี่” ภัทรยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่เหนื่อยเหลือเกิน
“ภัทร”
“ครับ”
“ต่อไปนี้ดึกๆไม่ต้องมาอีกนะ”
“ทำไม”
“กูกลัว” ผมบอกไปตามจริงก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดผมให้เขา ภัทรยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ปลายจมูกโด่งของเขาคลอเคลียอยู่ที่แก้มผม
“กลัวอะไร”
“กลัวจะไม่ได้เจอมึงอีก” ผมหลุบตาลงต่ำมองมือเขาที่จับเอวผมไว้มั่น
“มึงก็รู้ว่าถ้าเป็นเวลาปกติแม่ไม่ยอมให้กูออกมาหรอก” ภัทรไม่ได้ดื้อขนาดที่จะทำตัวมีปัญหากับครอบครัว
“กูอยากบอกพ่อเรื่องของเรา”
ผมยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้า
“อย่าเลย” ที่ผมดูออกว่าแม่ของภัทรเป็นห่วงลูกชายของเขาแค่ไหนเพราะแม่ของเขายังไม่บอกพ่อ ผมรู้ว่าถ้าเรื่องของเรามันบานปลาย คนที่เดือดร้อนจะไม่ใช่แค่ภัทร ดูเหมือนครอบครัวใหญ่แบบนั้นน่าจะรวนไปหมดกับการที่หลานชายคนสืบทอดโรงงานใหญ่มีปัญหาแบบนี้
ผมเห็นพ่อของภัทรบ่อยในหนังสือหรือคอนเทนท์เกี่ยวกับธุรกิจ ครอบครัวเขาเป็นนักธุรกิจที่มีหน้ามีตา พ่อของเขาดูเด็ดขาด
“แต่กันต์...”
“พรุ่งนี้ไปรับแม่ด้วยกันนะ แม่กูจะมาเยี่ยม” ผมเปลี่ยนเรื่อง คนที่สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มพยักหน้ารับก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด
“กันต์”
“ว่าไง” ผมตอบรับเขาในความมืด ภัทรเงียบไปเหมือนคิดอะไรหลายอย่าง
“นอนเถอะนะ” ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปวางที่เอวเขาหลวมๆ
ปกติในหนึ่งปีผมจะกลับไปต่างจังหวัดช่วงปิดเทอมสองครั้ง และแม่จะมาหาบ้างในบางครั้ง อย่างครั้งนี้แม่ก็ปิดร้านข้าวแกงของแม่อาทิตย์หนึ่งเพื่อมาเยี่ยมผม วันนี้ผมซื้อผัดไทยเจ้าดังที่แม่เคยบอกว่าอร่อยกลับมาที่ห้องหลังจากเลิกงานในตอน 5 โมงเย็น ผมเห็นว่าแม่นั่งคุยกับใครสักคนอยู่ที่เก้าอี้ใต้หอพัก
และใครคนนั้นคือแม่ของภัทร
ปกติแล้วแม่ของภัทรมักจะมาถามแค่ว่าลูกชายอยู่หรือเปล่า ผมรู้ว่าเขาไม่ค่อยอยากคุยกับผมเท่าไหร่ แต่แปลกที่วันนี้เขากลับดูเหมือนตั้งใจมาหาผม
“กันต์ลูก มีคนมาหา”
ผมยกมือไหว้คนที่มองตรงมา
“มาพอดีเลย จะได้คุยพร้อมๆกันทีเดียว”
“อะไรกันลูก” บางทีแม่คงจะเห็นสีหน้าผมถึงได้ถาม แม่ผมมองผมสลับกับผู้หญิงวัยเดียวกัน
“คุยสอนลูกคุณยังไง” นี่นับเป็นประโยคเริ่มต้นที่ดี
“แม่ผมไม่เกี่ยวนะครับ แม่ขึ้นไปรอที่ห้องก่อนนะเดี๋ยวกันต์ตามไป” ปลายประโยคผมหันไปบอกแม่แล้วยื่นกล่องข้าวให้เพื่อบอกว่าอยากให้แม่ขึ้นไปก่อน แต่แม่ผมคงไม่ยอม
“อะไรกัน อยู่ดีๆก็มาถามหาแล้วด่า”
ผมหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ผมไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลย ผมไม่อยากให้แม่ของผมมาปวดหัวกับเรื่องนี้
“คุณเป็นแม่คุณก็ต้องเข้าใจว่าแม่อย่างฉันเหมือนกันว่าอยากให้ลูกชายไปเจอในสิ่งที่ดี ตอนนี้ครอบครัวฉันไม่มีความสุขเพราะลูกคุณ เขาไม่ยอมเลิกยุ่งกับภัทร”
ผมที่รู้สึกว่าตัวผมอยู่ในที่ของตัวเองมาตลอด ฉุกคิดว่าตัวเองกลายเป็นจุดบอดของอีกครอบครัว
“กันต์ เล่าให้แม่ฟังหน่อย”
“นี่ลูกคุณยังไม่บอกเหรอว่าหลอกคบหลอกเอาเงินลูกฉันไปเท่าไหร่”
ผมส่ายหน้าเพื่อที่จะบอกว่าผมไม่ได้ทำ แต่ผมกลับพูดไม่ออกสักคำ
“ถึงเราจะไม่มีเงินแต่เราก็ไม่เคยทำตัวแบบนั้น” แม่ของผมว่าด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
“เหรอคะ แต่การมาเกาะลูกชายคนอื่นกินแบบนี้มันดีเหรอ ฉันรู้นะว่าภัทรมันไปรับไปส่งคุณกับลูกคุณด้วย”
“อย่ามาว่าลูกฉันแบบนี้” ในที่สุดแม่ของผมก็ร้องไห้ เพราะผมเองที่เป็นสาเหตุทั้งหมด ผมเหนื่อยเหลือเกิน
ช่วงนี้ผมฝันร้ายอีกแล้ว ผมฝันว่าภัทรหายไป มันทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะนอนเท่าไหร่ อย่างคืนนี้ผมก็เลือกที่จะนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ รอให้ร่างกายมันหลับไปเองมากกว่าที่จะตั้งใจนอนเหมือนทุกที แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“กันต์”
“ก็บอกว่าอย่ามาดึกๆไงวะ!” ผมตวาดใส่คนที่ไม่ได้เจอเกือบสองอาทิตย์ ภัทรดูสีหน้าเหนื่อยล้าต่างจากปกติ
“หมายความว่าไงกันต์ ทำไมแม่กูบอกว่ามึงจะเลิก”
วันที่แม่เขาบังเอิญมาเจอแม่ผม เรื่องมันบานปลายถึงขั้นว่าแม่ของภัทรบอกจะแจ้งความไม่ให้ผมเข้าไปใกล้ลูกชายเขา ผมเลือกที่จะไม่บอกภัทรและคิดอยู่แล้วว่าเรื่องมันต้องเป็นไปในทิศทางนี้ ผมยังทำตัวเหมือนปกติ โทรหาเขาบ้าง แชทไปหาเขาบ้าง ให้กำลังใจเขาเพราะช่วงนี้ภัทรงานยุ่งมาก
“ไม่ตลกนะกันต์” ภัทรจับข้อมือผมแน่น นัยน์ตาเขาสั่นไหว
“กูกำลังพยายามอยู่กันต์ กำลังตั้งใจทำงานให้เขาเห็น กูอยากดูแลมึงให้ได้”
ภัทรบอกด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ผมรู้ว่าเขาเหนื่อยจริงๆ แพทบอกผมตั้งหลายอย่างว่าที่บ้านภัทรจัดการกับเขายังไง
ภัทรคือชายหนุ่มวัย 22 ที่กำลังตั้งใจทำงานแต่แม่จ้างให้นักสืบตามเกือบทุกฝีก้าว เขาขยับตัวแทบไม่ได้ แม่เขาขู่ว่าถ้าเขายังไม่เลิกกับผมแม่เขาจะบอกพ่อของเขา จะใช้เส้นสายที่มีบอกให้บริษัทที่ผมกำลังฝึกงานจัดการกับผม ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำได้จริงหรือเปล่า แต่มันทำให้ผมเหนื่อยเหมือนกัน
“อย่าร้อง” ภัทรบอกแล้วรวบตัวผมเข้าไปหา ผมสูดหายใจเข้าปอด ก่อนจะบอกสิ่งที่แม่ผมบอกผมมาตั้งแต่วันที่แม่กลับบ้านไป
“รักอย่างเดียวมันไม่พอหรอกภัทร”
เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะผละตัวออกไป
“ไม่หรอก มึงแค่รักกูไม่พอ” ภัทรคลี่ยิ้มบางๆให้พร้อมกับแววตาเย้ยหยันอย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน
แม่เขาพูดว่าผมหลอกลูกชายเขา เจคก็เป็นอีกคนที่ชอบพูดเรื่องทำนองนี้ หลายครั้งเจคหลุดปากออกมาว่าผมรักภัทรไม่เท่ากับที่ภัทรรักผมด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างมันไม่แย่เท่ากับที่แม้แต่ตัวภัทรเองก็ไม่เชื่อผม
ผมมองเขาด้วยตาที่พร่าเพราะน้ำตาตัวเอง ภัทรอาจจะมองในมุมมองของเขาที่ให้ผมมากมาย เชื่อไหมว่าถ้าผมมีพร้อมเหมือนเขา...ผมก็จะให้เขาเหมือนกัน
ผมก็อยากไปรับไปส่งเขา ดูแลเขาแบบที่เขาทำให้ผมบ้าง ผมมีสิ่งที่อยากทำให้ภัทรเต็มไปหมด ผมอยากพาเขาไปเที่ยวด้วยกัน อยากซื้อของหลายอย่างให้ อยากพาไปกินอาหารดีๆ แต่สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือพยามเข้าใจว่าเขางานยุ่ง ผมถึงไม่เรียกร้องทั้งๆที่ผมคิดถึงเขาแทบตาย ไม่เล่าเรื่องที่แม่ของภัทรมาที่นี่ และไม่เล่าว่าแม่ผมบอกให้เราเลิกกันทุกครั้งที่แม่โทรมาหาผม เพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก
ผมพยายามสนับสนุนเขาโดยการที่ไม่ทำตัวเป็นภาระ ส่วนเรื่องการกระทำ ถ้าภัทรมองว่าการที่เรากอดกันมันไม่ใช่ความรัก...ผมก็ไม่เหลืออะไรให้แล้ว
“แล้วต้องรักขนาดไหนล่ะ ถึงจะพอ”
ผมถามเขาพร้อมกับปาดน้ำตาลวกๆ ตอนเด็กๆพ่อผมบอกว่าผู้ชายจะต้องไม่ร้องไห้และผมก็เชื่อ ผมไม่เคยร้องไห้เลยไม่ว่าจะโดนแกล้งหรือโดนคนอื่นดูถูกยังไง แต่โตมาผมกลับเป็นคนที่อ่อนแอเหลือเกิน
‘Rrrrrr’
เสียงโทรศัพท์ของภัทรดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เพราะมันเงียบสงัดผมถึงได้ยินเสียงพูดกึ่งตะโกนดังออกมา
‘พี่ภัทร แม่วูบแล้วล้มในห้องน้ำ! พี่ภัทร’
ภัทรเบิกตากว้าง เขาดูตกใจจนแทบไม่มีสติ ผมได้ยินว่าตอนนี้คนที่บ้านกำลังพาแม่ของเขาพาไปที่โรงพยาบาลใกล้บ้านถึงได้จับมือของภัทรเดินลงมาข้างล่างหอพัก เรียกแท็กซี่แล้วบอกว่าเขาควรจะไปที่ไหน
“ไม่อยากให้ขับรถ มึงขับรถเร็ว ค่อยมาเอารถวันหลังนะ”
ผมปล่อยมือเขาในตอนที่เห็นว่าแท็กซี่จอดลงตรงหน้า
“กันต์ ไปกับกู”
ผมยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะส่ายหน้า จริงๆแล้วผมไม่อยากให้เขาไปไหนด้วยซ้ำผมอยากให้เขาอยู่กับผม
“ไปด้วยไม่ได้หรอก มึงไปเถอะ ครอบครัวมึงรออยู่”
TBC.
_______________________________________
เรื่องเปลี่ยนพล็อตที่เราชอบพูดถึง ไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนคนนะคะ แต่เป็นการเปลี่ยนปมของเรื่องค่ะ ส่วนที่บอกว่าครึ่งเรื่องคือเหลือดราม่าอีกจิ๊ดนึง หลังจากนั้นน่าจะหายใจหายคอได้แล้ว