-3-
เช้าวันนี้เขาตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปตามที่เขาคิด ยังไม่ทันที่จะได้อาบน้ำแต่งตัวเสียงกดกริ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน ร่างโปร่งเดินตรงไปที่ประตูไม้บานใหญ่ของอพาร์ทเม้นต์ เมื่อส่องมองผ่านตาแมวก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของเพื่อนสนิท
“ลมอะไรหอบมาแต่เช้าวะ ไอ้เทพ”
“ลมแห่งความคิดถึงไง”
กันต์กวีทำหน้าแหยก่อนจะเดินยังส่วนที่ทำเป็นห้องครัวและชงกาแฟใส่แก้วเซรามิกให้ผู้มาเยือน
“เป็นไง ได้เรื่องไหม”
“จะไม่ถามสารทุกข์สุกดิบก่อนเลยเหรอ ใจดำชะมัด”
“อย่าโยกโย้น่า รีบๆบอกมา”
“ครับๆท่านชาย…มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ แต่ดูเหมือนเธอก็พึงพอใจฉันอยู่เหมือนกัน”
ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะยกแก้วขึ้นจิบกาแฟ
“ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด ก็รอเพียงแค่เวลาเท่านั้น ทำให้เธอหลงรัก พอเธอรักก็เขี่ยทิ้ง อย่าไปรักเธอตอบเพราะชีวิตนายเป็นของฉัน รู้ไหม”
อดิเทพยิ้มแต่เพียงปาก ใช่…ชีวิตของเขาเป็นของกันต์กวีตั้งแต่วันที่ครอบครัวของชายหนุ่มช่วยเหลือเขาไว้ในวันที่เขาประสบปัญหาชีวิต หลังจากนั้นเมื่อกันต์กวีสูญเสียครอบครัวเขาก็ตั้งใจว่าจะดูแลคนๆนี้ตลอดชีวิต
“เราทำดีขนาดนี้ ไหนล่ะรางวัลของเรา”
“จะเอาอะไรล่ะ เงินเดือนนายก็ตั้งเยอะแยะไปหาซื้อเอาเองสิ”
กันต์กวีบอกก่อนจะเดินไปทำโน่นทำนี่ อดิเทพก็ได้แต่มองตามก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ใช่…เขามีเงินเดือนเหลือเฟือพอให้ใช้ แต่สิ่งที่เขาอยากได้เงินทองมันหาซื้อมาไม่ได้
“หมอดินเป็นยังไงบ้าง”
“เรียกเพราะไปไหม คนอย่างมันเหรอจะเป็นยังไงฉันก็ไม่ใส่ใจหรอก”
“อย่าไปตกหลุมรักเข้าเชียวนะ”
ชายหนุ่มร่างโปร่งหันขวับกลับมามองทันที
“วันนี้อารมณ์ดี อย่ามาพูดจาให้ระคายหูได้ไหม”
“ขอโทษที”
เขาไม่อยากให้กันต์กวีไปอยู่ใกล้ใครหรือให้ใครมาเข้าใกล้ เพราะเขากลัว…เขาว่าจะสูญเสียอีกคนหนึ่งไป ยิ่งเมื่อความรักชอบเล่นตลกกับคนเรา เขาก็ยิ่งหวั่นว่าสักวันกันต์กวีจะมีแต่คนอื่นอยู่เต็มหัวใจ
“อย่าไปรักเข้านะ เราหวง”
“ว่าไงนะ”
เสียงที่ได้ยินเพียงแผ่วเบาทำให้ชายหนุ่มร่างโปร่งต้องหันกลับไปถาม
“เปล่า…แค่บอกว่าอย่าห่วงเรื่องเธอคนนั้นเลย เราจะจัดการให้เอง”
กันต์กวียิ้มก่อนเดินลงมานั่งข้างๆแล้วลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ
“ดีมาก…พูดจาอย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”
อดิเทพคว้ามือเรียวของอีกคนมากุมไว้ก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาคู่โศกอย่างสื่อความหมายแต่กันต์กวีกลับสะบัดมือออกก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่และทอดสายตามองไปอย่างไร้จุดหมาย
“สิ่งที่เทพคิดอยู่มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
ประโยคสั้นๆแต่สื่อความหมายลึกซึ้งเสียจนใจบาดลึกในความรู้สึกทำให้อดิเทพล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจให้ซึ่งเขารู้ดีและรู้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็หวังว่าคนๆนั้นจะหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเสมอสักครั้ง
“อืม…ฉันรู้”
แต่อยู่ๆกันต์กวีก็หันมายิ้มให้
“แต่ถึงอย่างไรก็ดีใจนะ ที่มีนายอยู่ข้างๆ”
“อ่า…พูดแบบนี้ค่อยมีกำลังใจขึ้นหน่อย”
“ไปทำงานได้แล้วไป ขอบใจที่แวะซื้อของกินมาให้แต่เช้า”
“วันนี้เข้างานสายได้ รีบไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวไปส่งที่ทำงาน”
“ไม่ต้องหรอก วันนี้จะขับรถไปเพราะเดี๋ยวมีเรื่องต้องสะสางต่อตอนเย็น”
“เรื่องหมอดินน่ะเหรอ”
“นอกจากเรื่องของคนตระกูลนั้นฉันก็ไม่ได้เรื่องอื่นอีก”
“น่าอิจฉาจัง”
“นายอยากให้ฉันแค้นนายจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยเหรอไง”
“เปล่าหรอก”
แต่ถ้าเกลียดแล้วทำให้อีกฝ่ายนึกถึงได้ทุกลมหายใจเข้าอย่างนี้แล้วล่ะก็…เขาก็อยากเป็นคนๆนั้น
“ไปทำงานได้แล้วไป เดี๋ยวฉันจะอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานบ้าง”
“อืม…งั้นไปนะ”
“อือ…ตั้งใจทำงานล่ะ ไว้เจอกัน”
“ครับ ไปล่ะนะ”
อดิเทพเอ่ยลาก่อนที่ร่างโปร่งจะเดินมาส่งที่หน้าประตูแล้วหันหลังกลับมาทำกิจวัตรประจำวันต่อ
เมื่อมาถึงที่ทำงานก็ต้องประหลาดใจเมื่อบนโต๊ะทำงานมีอาหารกล่องรับยามเช้าวางอยู่ จะว่าเป็นอดิเทพก็คงไม่ใช่หรือว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานคนใดคนหนึ่งของเขากัน
“พีท อาหารกล่องบนโต๊ะใครเป็นคนส่งมา”
กันต์กวีเอ่ยถามเลขาฯส่วนตัวที่มาทำงานก่อนหน้าเขา
“ไม่รู้ครับพี่ แต่ลองดูที่ฝากล่องสิครับ อาจจะมีโพสอิทติดไว้”
ชายหนุ่มร่างโปร่งหยิบกล่องข้าวขึ้นมาดูก็เห็นลายมือตัวตวัดแต่เป็นระเบียบเหมือนกับลายมือของ…หมอ
*มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด ทานเยอะๆนะครับ จาก ดิน*
เหนือความคาดหมาย กษิดินทร์รู้ได้อย่างไรว่าที่นี่คือที่ทำงานของเขาแถมยังส่งข้าวกล่องมาให้อีก
“นั่นแน่…แฟนส่งข้าวกล่องมาให้ด้วย น่ารักจัง”
“ไม่ใช่แล้ว น้อยๆหน่อย”
“ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ใช่ไหมล่ะครับ พี่วี”
“พอเถอะน่า ไปทำงานต่อไป”
กันต์กวีเอ่ยไล่ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษที่ใครคนนั้นเคยให้ไว้ก่อนจะกดโทรศัพท์ตามเบอร์ที่โชว์อยู่ในนามบัตร
รอสักครู่ก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ปลายสาย
-ดินรู้ได้ไงว่าวีทำงานที่นี่-
*ตอนที่เราเดินชนกันที่โรงพยาบาลครั้งแรก วีทำนามบัตรตกไว้น่ะครับ แต่ผมไม่กล้าโทรไปเพราะกลัวหาว่าเสียมารยาท*
-อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่ทานข้าวเช้ายังล่ะครับ-
“เรียบร้อยแล้วครับ วีเองก็รีบๆทานนะครับ ว่าแต่…มื้อเย็นมีนัดหรือยังครับ ถ้ายังไม่มีสละเวลาให้หมอคนนี้ได้ไหม”
กันต์กวีกลั้วหัวเราะในลำคอก่อนตบปากรับคำชวน อ้อยเข้าปากช้างทั้งทีจะปฏิเสธได้อย่างไร
ยามเย็นมาถึงชายหนุ่มร่างโปร่งเคลียร์โต๊ะทำงานก่อนจะเดินไปยังลานจอดรถของบริษัทแต่แล้วก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจึงหันไปมอง กษิดินทร์เปิดกระจกรถก่อนจะกวักมือเรียก ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“ไปทางเดียวกัน รถคันเดียวก็พอครับ ประหยัดพลังงาน”
“ประหยัดจังนะครับ”
กันต์กวีนั่งที่ข้างคนขับก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัย
“วันนี้คนไข้เยอะหรือเปล่าครับ”
“เยอะเหมือนเดิมทุกวันแหละครับ”
“เหนื่อยแย่เลยนะครับ”
กษิดินทร์ส่งยิ้มกลับมาให้ ดวงตาคู่คมเป็นประกายยามมองใบหน้าหมดจด
“หายเหนื่อยแล้วล่ะครับ”
“วันนี้มาชวนวีไปทานข้าว แฟนดินไม่ว่าเอาเหรอ”
ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจยาวก่อนจะมองไปที่พื้นถนนแทน
“ช่วงนี้เราห่างๆกันน่ะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
กันต์กวีแอบเหยียดยิ้มเมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นหม่นเศร้าก่อนจะปรับใบหน้าทอดสายตามองอย่างเห็นใจก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหลังมือของคนขับรถ
“มีอะไรปรึกษาวีได้นะ”
เมื่อรถจอดสนิทหน้าร้านอาหารมือใหญ่ก็คว้ามือเรียวมากุมไว้เองก่อนจะระบายยิ้มให้
“ขอบคุณนะวี”
เมื่อทานมื้อเย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อย กษิดินทร์ก็อาสาจะไปส่งที่บ้านแต่กันต์กวีไม่อยากให้อีกคนรู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหนจึงบอกปัดปฏิเสธไป แต่ร่างสูงอยากรั้งให้อยู่ด้วยนานกว่านี้จึงเอ่ยชักชวน
“ไปดื่มเป็นเพื่อนผมต่อได้ไหม”
“ร้านไหนดีล่ะครับ”
“ถ้าไม่รังเกียจไปอพาร์ทเม้นต์ของผมได้ไหมครับ”
กันต์กวีชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตอบตกลง ตอนนี้ทั้งคู่กำลังยืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่สีขาว เมื่อประตูเปิดออกก็เห็นภายในที่กว้างขวางโอ่อ่าตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น เฟอร์นิเจอร์จัดวางอย่างเป็นระเบียบทำให้เขานึกชมว่าอีกฝ่ายก็รสนิยมดีไม่น้อย
เสียงเปิดกระป๋องเบียร์ดังขึ้นก่อนชายหนุ่มร่างโปร่งจะสะดุ้งน้อยๆเมื่อถูกความเย็นสัมผัสที่ซีกแก้ม
“จะดื่มทั้งที ผมจะพาไปมุมประจำที่ผมชอบนั่ง”
ร่างสูงเดินนำอีกคนมานั่งเก้าอี้ที่ระเบียง ลมเย็นพัดมาเป็นระยะๆทำให้ใจของกันต์กวีรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก แสงไฟระยิบระยับจากพื้นดินดูไปดูมาเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า บรรยากาศที่นานๆครั้งจะได้สัมผัสทำให้ดวงตาคู่โศกมองอย่างเพลิดเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าจะมีดวงตาอีกคู่หนึ่งมองมา
“ที่นี่บรรยากาศดีมากเลย”
กันต์กวีบอกก่อนจะหันไปสบตาเข้ากับดวงตาคู่คมพอดี ปลายนิ้วยาวของมือใหญ่ยื่นมาก่อนจะเกลี่ยฟองเบียร์ที่เลอะแนวริมฝีปากบนออกให้ มือเรียวคว้ามือใหญ่ไว้ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้จนกระทั่งได้สัมผัสเรียวปากอุ่น แม้จะเพียงแผ่วเบาและผิวเผินแต่ก็ทำให้กษิดินทร์ใจเต้นโครมครามได้
“ขอโทษนะ พอแอลกอฮอลล์เข้าปากทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที”
ร่างโปร่งทำเป็นขอโทษขอโพยและจะเบี่ยงตัวออกห่างแต่กลายเป็นว่ามือใหญ่โอบรั้งร่างของกันต์กวีไว้และแนบจูบหวานลึกซึ้งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเร่งเร้าร้อนแรง เมื่อริมฝีปากละออกจากกันร่างโปร่งก็อ่อนลงซบแนบกับแผ่นอกกว้างฟังเสียงหัวใจที่เต้นระรัว
“ดึกแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งนะ”
กษิดินทร์เอ่ยบอกขณะที่ลูบเรือนผมเส้นละเอียดเล่นอย่างแผ่วเบา
“เดี๋ยววีกลับแท็กซี่เองดีกว่า ดินดื่มไปเยอะขับรถจะอันตราย”
ก่อนกันต์กวีจะขึ้นแท็กซี่ไปมือใหญ่ยื่นมากุมมือเรียวไว้พร้อมกับยิ้มบางๆ ไม่มีใครเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่คมก็รับรู้ได้ในทันทีว่า…
กษิดินทร์ติดกับที่เขาวางไว้เสียแล้ว
ToBeCon…
(มาอัพแล้วนะคับ :mc4:ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์และการติดตามนะคับ ปล อย่าไปอย่าเครียดไปนะคับ 555+ ช่วงแรกๆจะยังไม่ค่อยดราม่าหรอกคับ เพิ่งแค่เริ่มต้น…แต่ไนท์จะพยายามไม่ให้ดราม่ามากนะคับ ถ้าเป็นไปได้ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้กันต่อๆไปเรื่อยๆก่อนนะคับ ขอบคุณคับ
)