Chapter 7
อินทัชพากนธีไปยังสระว่ายน้ำของอาคาร สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งจากตรงเลานจ์ ยังพอได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาแต่ก็ไม่รบกวนนัก ผู้คนในสระดูบางตา ส่วนใหญ่ใช้ฟิตเนส ด้านนอกที่เป็นบริเวณกลางแจ้งเลยค่อนข้างเงียบสงบ
เขาจูงมือคนที่หยุดร้องไห้ไปยังที่นั่งริมสระ จากตรงนี้มองผ่านกระจกใสเห็นวิวตึกสูงใจกลางเมือง แสงไฟจากอาคารส่องสว่าง ท้องฟ้าคืนนี้ค่อนข้างกระจ่างใส เมฆบางลอยเรื่อยไปตามแรงลม
กนธีนั่งลงตามแรงกดแผ่วเบาที่หัวไหล่ เขาพอจะบังคับตัวเองให้สงบลงได้แล้ว น่าตลก..ที่คราวนี้เขาคุมตนไม่อยู่ นับจากเรื่องราวที่สูญเสียศรัณย์ เขายังไม่เคยเผลอหลุดความอ่อนแอแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเลย
“นี่ครับ” อินทัชยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
อีกฝ่ายรับมา ไม่ได้ใช้ตามที่คนตรงข้ามเสนอ แต่นั่งมองมันอยู่อย่างนั้น
ลมอุ่นๆของช่วงฤดูพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นหอมเย็นของดอกลีลาวดีที่ปลูกไว้ในกระถางให้สัมผัสบางเบา ไม่หนักอึ้งเหมือนช่วงแรกที่เสียใจอย่างหนัก
“พี่ขอโทษ..” ในที่สุด กนธีก็เปิดปาก เขาก้มหน้านิ่ง บนใบหน้าเหลือเพียงคราบน้ำตา และกำแพงที่ขวางกั้นความรู้สึกเอาไว้ก็กำลังจะกลับมากร้าวแข็งอีกครั้ง “ช่วยลืมภาพเมื่อครู่นี้ไปหน่อยเถอะนะ..”
อินทัชมองคนที่ตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน “คนๆนั้น..สำคัญมากใช่ไหมครับ”
เจ้าตัวหยุดนิ่ง ไม่หันมามอง
“เขาที่อยู่บนฟ้า” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองด้านบน “ชื่ออะไรหรือครับ”
กนธียิ้มจาง “ศรั...”
เมื่อพูดชื่อนี้..เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกในคอ มือเริ่มสั่น เปลือกที่กำลังห่อหุ้มหัวใจมีรอยร้าวขึ้นอีกหน มันเหมือนสายน้ำที่ไหลแรง แต่เขาไปปิดก๊อกกะทันหัน เมื่อมีอะไรกระทุ้งเข้าอีกก็พร้อมจะปล่อยให้ทะลักทลายออกมา
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว..ช่วยนั่งเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมครับ” อินทัชพูดเสียงอ่อนโยน
เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ยอมนั่งลงเหมือนเดิม อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเองก็เปิดเปลือยความอ่อนแอของตนเองให้เด็กคนนี้รู้ไปแล้ว จะมีประโยชน์อะไรกับการแข็งใจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กนธีนั่งเงียบ เขาไม่มีอะไรจะคุย ได้แต่เหม่อมองดูระลอกน้ำที่ไหวกระเพื่อมอยู่ในสระ แสงจากสปอร์ตไลท์สะท้อนผิวน้ำเป็นสีเหลืองนวล
“เพลงที่ผมร้องวันนี้..จริงๆผมก็ร้องให้คนๆหนึ่งเหมือนกันนะ” อินทัชพึมพำ “ทุกๆคนมีคนที่รัก..ได้เจอคนที่ทำให้รัก แล้วก็ต้องจากคนที่รัก..ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนใหญ่มันก็ยากที่จะทำใจ”
เขายังคงมองนิ่ง ไม่ได้โต้ตอบอีกฝ่าย
“พี่รู้ไหมว่า..ผมก็มีคนบนฟ้าอยู่หนึ่งคน”
กนธีเงยหน้า จับจ้องที่ดวงตาเศร้าสร้อยของเด็กหนุ่ม
“แม่ผมเอง” อินทัชยิ้มจาง
“พี่..” เขาอึกอัก “เสียใจด้วยนะ” หมอนี่ยังเด็กอยู่แท้ๆ ต้องเสียคนใกล้ชิดขนาดนี้ไปแล้วหรือ
“เรื่องมันนานมาแล้วครับ แต่เวลาคิดขึ้นได้ มันก็รู้สึกทุกข์เหมือนกันนะ”
กนธีนิ่งฟัง อินทัชเล่าว่าเขาเป็นคนจังหวัดน่าน พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยาคนใหม่ ทิ้งแม่ เขา และน้องชายอีกสองคน พอแม่เลิกกับพ่อก็ไปอยู่กับยาย พวกเขามีกันเพียงแค่นั้น
“ช่วงที่ผมเรียนมัธยม แม่ไม่สบายครับ” เขาก้มลงมองฝ่ามือตัวเอง “ตอนนั้นเราไม่มีเงินติดตัวนัก เพราะแม่เป็นคนทำงานหนักคนเดียว ผมอาศัยทุนนักกีฬาเรียน เวลาว่างก็หาเงินจากการส่งของชำตามบ้าน ใครใจดีก็ให้ค่าแรงเพิ่ม แต่บางวันก็ส่งของฟรี ไม่ได้อะไรเลย แต่พี่รู้ไหม ผมไม่ได้เป็นเด็กดีนักหรอก บางครั้งเงินที่ผมได้มา ผมก็คิดว่า เราทำงานเหนื่อย ทำไมต้องเอาไว้กองกลาง ให้แม่ ให้ยาย ให้น้องใช้ด้วย พอคิดแบบนั้น ครั้งไหนที่ได้เงินมา ผมก็แอบเอาไปซื้อขนมกินคนเดียวจนหมด นานๆครั้งถึงจะเอามาให้แม่”
สุดท้าย..เงินที่พวกเขามีอยู่ก็ไม่พอที่จะใช้จ่าย ไหนจะค่ารักษาพยาบาลยาย ค่าเรียนของน้องอีกสองคนที่ยังเล็ก เหลือมาก็แทบไม่พอกิน จนแม่มาเจ็บป่วยเพิ่ม เขาเองก็ยังไม่รู้
มีวันหนึ่ง อินทัชเก็บเงินได้ห้าสิบบาท แทนที่เขาจะเอาไปให้ครู เขากลับเห็นเงินนั่นแล้วตาวาว เอาไปซื้อขนมกินจนอิ่ม และซื้อข้าวเกรียบมาฝากน้องคนละถุง
ตอนที่มาถึง เขาเห็นแม่นอนงอตัว ร้องโอดโอยอยู่ตรงบันไดเรือน เขารีบประคองแม่ไปที่อนามัย ทางนั้นตรวจเบื้องต้นแล้วแต่ตอบอะไรไม่ได้ อุปกรณ์การรักษาก็มีไม่เพียงพอจึงบอกให้เขาไปโรงพยาบาลในตัวเมือง แต่รถของทางอนามัย เจ้าหน้าที่เอาไปใช้ตรวจคนตามบ้าน ต้องเรียกสามล้อไปต่อ
มีคนเจ็บโผล่มาอีกหนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็มีกันอยู่แค่นั้น อินทัชเลยต้องช่วยเหลือตัวเอง เขาให้แม่นั่งรอที่อนามัย ตัวเองออกไปเรียกรถสามล้อตรงปากซอย คนขับรถเห็นเขาเนื้อตัวคลุกฝุ่นก็คิดว่าคงจะมาโดยสารฟรี พวกนั้นถามหาเงินก่อนเพื่อน
..น่าเจ็บใจที่ในตัวมีอยู่เพียงห้าบาท..ไม่พอสำหรับค่ารถ..
..ห้าสิบบาทเมื่อเช้า ถ้าเขาไม่ได้ใช้ไป ก็คงไม่ต้องวิ่งโร่ ไหว้ขอความช่วยเหลืออย่างน่าสมเพช..
ในที่สุด มีผู้ชายใจดีอาสาพาไป อินทัชพาแม่ไปโรงพยาบาล หมอให้นอนค้างคืน ตรวจอาการอะไรหลายอย่างเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ผู้ป่วยกับญาติรับรู้
“แม่ผมเป็นมะเร็งปากมดลูก” อินทัชเล่า “แม่ไม่ยอมรับการรักษา บอกผมว่าไปกินยาหม้อเอาก็ได้ หายเหมือนกัน ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันร้ายแรงแค่ไหน แม่บอกว่าอะไรก็ยอมตามนั้น”
กนธีเงียบกริบ
แม่ของเขาทนทรมานจากความเจ็บปวดอยู่นาน กระทั่งมะเร็งเริ่มลามหนักขึ้น แกนอนงอตัว คอยทุบท้อง ร้องครวญครางทั้งวันทั้งคืน ได้แต่สั่งให้เขาไปเอายาแก้ปวดมาบรรเทาแต่มันก็ไม่ช่วยอะไร
อินทัชตัดสินใจพาแม่ไปรักษาอีกครั้ง พวกเขามีบัตรสำหรับคนไข้ที่ไม่มีเงิน แต่เงื่อนไขที่ต้องยอมรับก็เป็นเรื่องยาก
“หมอบอกว่า ถ้าใช้สิทธิ์บัตรนี้ ก็ต้องเป็นไปตามลำดับ รอคิวฉายแสงประมาณสามเดือนเพราะคนเยอะมาก..” เขาบอก “แต่ถ้ามีเงินประมาณสองหมื่น..ก็ลัดคิวเข้าไปรักษาวันนี้ได้เลย”
กนธีมองเห็นความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ของอีกฝ่าย
“พี่รู้คำตอบใช่ไหม..” อินทัชน้ำตาคลอ “เราไม่มีเงิน..แม่ต้องรอ..ทั้งที่ตอนนั้นแกเป็นระยะสุดท้ายแล้ว”
“โอ๊ต..” เขาลูบหลังมือคู่นั้น
“ทุกวันนี้ผมหาเงินได้เดือนละเกินสี่หมื่น..” เขาหัวเราะอย่างสมเพชตน “ถ้าเพียงแต่วันนั้น..ผมมีเงินแค่ครึ่งเดียวของตอนนี้..ผมก็คงจะช่วยแม่ได้ ถึงแกจะไม่หายขาด ถึงจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็ยังดีกว่ายืนอยู่เฉยๆ มองแม่ค่อยๆตายอย่างทรมาน..อย่างน้อยผมก็จะได้รับรู้ ว่าผมพยายามเต็มที่แล้วเพื่อช่วยแม่”
กนธีลูบบ่ากว้างอย่างปลอบประโลม ความทุกข์ของเขา..เมื่อได้ฟังความทุกข์ของคนอื่นแล้ว มันก็ดูจะเบาบางลงไป ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกอีก
“ผมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ช่วยคนที่ผมรักไม่ได้มานาน มีแต่เวลาที่ช่วยได้” อินทัชมองหน้าของอีกฝ่าย “และผมก็รู้ดี ว่าเวลาที่เราโทษตัวเอง..มันทรมานแค่ไหน ผมถึงไม่อยากให้พี่เป็นแบบผม”
เขามองใบหน้าของเด็กคนนี้ ความรู้สึกอาทรอุ่นวาบขึ้นในใจ อินทัชเป็นคนที่เผชิญกับอะไรมามาก ไม่ได้เป็นเด็กที่เอาแต่เที่ยวเล่น ไร้สาระไปวันๆ ทุกการกระทำของเขามีความหมายเสมอ และนั่นคือเหตุผลที่อินทัชต้องการเงินมากมายไว้เป็นหลักประกันในชีวิต
..เขาเองเสียอีก..ที่หว่านเงินของตนอย่างไม่รู้คุณค่าอะไรเลย..
“คนสำคัญของพี่..ชื่อศรัณย์..”
กนธียินยอมที่จะเปิดภาพความสัมพันธ์ในทุกแง่มุมที่ไม่เคยเล่าให้พสิษฐ์ฟังกับเพื่อนใหม่คนนี้ด้วยหลายเหตุผล
หนึ่ง..อินทัชได้เห็นความอ่อนแอของเขาไปแล้ว และไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังมันอีก
สอง..เขาไม่จำเป็นต้องรักษาภาพพจน์ใดๆกับเด็กคนนี้ แต่กับพสิษฐ์..ที่เป็นทั้งน้องของเขาและเป็นเพื่อนกับศรัณย์ เขารู้สึกว่ายังอยากจะให้น้องมองเขาในภาพที่ดีต่อไป
และสาม..อินทัชเป็นเหมือนเพื่อนที่ช่วยแชร์ความทุกข์ เรื่องอะไรก็ตามที่ได้แลกเปลี่ยนกัน ก็เหมือนได้ช่วยเยียวยาจิตใจซึ่งกันและกันในแบบที่แต่ละคนต่างเข้าใจอีกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่คนนอกทุกคนจะมาเข้าใจได้
“ตอนที่พี่เริ่มคบกับรัณย์ พวกเราไม่ได้มองถึงความต่าง เรามองเห็นแต่คนสองคนที่ใจตรงกัน เห็นแต่ช่วงเวลาที่มีความสุข เหมือนน้ำที่เชี่ยวแรง ยิ่งไม่มีใครห้าม เราก็ยิ่งไม่มองออกไปให้ไกล ไม่มองให้ลึกถึงข้อจำกัดของอีกฝ่าย”
เขาอาจจะเป็นคนใจดี เป็นกันเอง ไม่ถือตัวในสายตาของศรัณย์ แต่นิสัยเสียของเขาก็มีเยอะ เขาเป็นคนไม่ค่อยมั่นคง มักจะคิดมาก ชอบตีความหลายอย่างในแบบของตน ลึกๆแล้วมีความไม่มั่นใจในตัวเอง บางครั้งก็เอาแต่ใจ ทั้งยังเป็นพวกยึดติดที่สุด อาจจะเพราะการเสียแม่ไปในช่วงที่อายุน้อย ทั้งพ่อก็มีครอบครัวใหม่ จะมีก็แต่อาวรรณรีคนเดียวที่เขาพอจะพึ่งพาได้ น้องชายอย่างพสิษฐ์ก็อยู่ไกล พอศรัณย์เข้ามา ก็เหมือนจะเป็นเสาหลักให้กับไม้เลื้อยที่จิตใจไม่ค่อยแข็งแรงนักอย่างเขา
ในขณะที่ศรัณย์ เป็นคนที่เจียมตัว แต่ก็มีทิฐิในแบบของตนเอง เขาทำงานตั้งแต่อายุน้อยก็เพราะเป็นคนทะเยอทะยาน มีจุดยืนที่ชัดเจน เรื่องอะไรที่เขายอมได้ เขาก็ยอม เรื่องอะไรที่ศรัณย์คิดแล้วว่าจะไม่ทำตาม เขาก็จะยืนยันเสียงแข็งโดยไม่ฟังเหตุผล นอกจากนี้ ศรัณย์เป็นคนมีปมด้อยในเรื่องของฐานะและต้นตระกูล การที่ได้เป็นแฟนกับกนธีก็ถูกคนอื่นมองในทางลบอยู่แล้ว นั่นเหมือนหนามแทงใจที่ทำให้ศรัณย์มักจะทำตัวแข็งข้อ ยืนกรานในความคิดของตนเพื่อแสดงภาวะของความเป็นผู้นำ มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด..กนธีรู้ว่าศรัณย์อยากจะสร้างตัวเป็นไม้ใหญ่ แยกตัวเป็นเอกเทศ โดยมีกนธีคอยอาศัยพึ่งพิง ไม่ใช่ต้องหลบอยู่ใต้เงาของคนรักไปจนชั่วชีวิต
“คนอื่นมองว่าเรารักกันมาก” กนธียิ้มจาง “แต่ในความเป็นจริง..นั่นแค่ช่วงแรกเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็สามวันดี สี่วันไข้ คนสองคนต่างกัน ทั้งอายุ ฐานะ ครอบครัว มันก็เป็นธรรมดาที่ต้องทะเลาะกัน”
เขายอมรับว่าความรักของพวกเขายังคงเหมือนเดิม ไม่มีเรื่องของมือที่สาม แต่สิ่งที่ทำให้ขัดแย้ง ก็คือเรื่องของทัศนคติของแต่ละฝ่าย นิสัยส่วนตัว และการที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทิฐิของตน
ศรัณย์มีความฝันที่จะเป็นวิศวกร แต่ในทันทีที่เรียนจบคณะที่เจ้าตัวพากเพียรเข้าไปศึกษา กนธีก็จัดการพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ของตนซึ่งก็คืออาวรรณรี เพื่อจะหาที่ทำงานให้คนรักและยื่นตำแหน่งหัวหน้าให้โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว ในตอนแรก ศรัณย์ยืนกรานไม่ยอมรับตำแหน่งในบริษัทส่งออกของสิงหนาท เพราะไม่ใช่สายงานที่เขาเรียนจบมา ทั้งตัวเองก็ไม่ทันได้มีประสบการณ์มาก่อนแต่ด้วยความเกรงใจและเห็นแก่ความรู้สึกของกนธี เขาเลยจำยอมทำตามด้วยความอึดอัด
แน่นอนว่าปัญหาที่ตามมาก็คือคำนินทาและคำดูถูก ศรัณย์ต้องอดทนต่อคำพูดลับหลังที่ว่าเขาอาศัยเส้นสายของผู้บริหารขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ จากเด็กเดินเอกสาร ไต่เต้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และมันก็ลามไปกระทั่งเรื่องที่ว่าเขา ‘ขายตัว’ เพื่อจะแลกกับผลประโยชน์ เขาต้องพิสูจน์ความสามารถของตนเองอยู่นานปี กว่าจะทำให้ทุกคนเชื่อถือในตัวเขาได้ แต่ในระหว่างนั้น เขาก็ทะเลาะกับกนธีมาหลายต่อหลายหนด้วยเรื่องความหวังดีที่เสียดแทงใจจากคนรัก
ไม่เพียงแต่เรื่องงานที่กนธีจัดการให้โดยไม่ถามความสมัครใจ แม้แต่การกินอยู่หลับนอน กนธีก็จะมีส่วนในทุกเรื่อง เขาไม่ได้เข้ามาบงการชีวิตของศรัณย์ แต่เขายินยอมพร้อมใจที่จะ ‘อำนวย’ ความสะดวกในทุกๆเรื่อง จ่ายเงินให้กับทุกๆอย่าง ในสายตาของกนธี เขาก็แค่เป็นผู้ดูแล เป็นผู้ปกครอง แต่ในสายตาของคนอื่น กนธีคือเศรษฐีหนุ่มที่เปย์หนักเพื่อเอาใจ ‘คู่ขา’ วัยเด็ก
ต่อให้ศรัณย์มั่นคงและหนักแน่นแค่ไหน คำพูดที่ลอยเข้ามากระทบหู ก็ทำให้เก็บเอามาเป็นอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจได้เช่นกัน และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทะเลาะกันโดยตรง แต่ศรัณย์ก็ตั้งใจว่าจะต้องเป็นที่พึ่งพาให้กนธีได้ในสักวัน
นอกจากนี้ ในการใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ต้องมีเรื่องความหึงหวงเข้ามาเป็นตัวแปร
ศรัณย์นั้นแม้จะรู้ว่ากนธีเลือกเขา แต่ก็ไม่วายเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ความหึงหวงของเขาไม่ได้แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่จะเป็นลักษณะของคนที่คิดมาก มองว่าตนไม่มีค่าพอ ทั้งยังเก็บเอาเรื่องของคนนอกมาตอกย้ำความด้อยกว่า สุดท้ายก็บีบบังคับ ผลักดันตนให้ทะเยอทะยานมากขึ้นเพื่อจะควงคู่กับกนธีได้อย่างไม่อายใคร
กนธีเองก็เคยบอกไว้แล้วว่าต่อให้ศรัณย์หวงเขามากแค่ไหน ก็สู้ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของที่เขามีต่ออีกฝ่ายไม่ได้ พื้นฐานของกนธีเป็นคนยึดติด ไม่มั่นคง และไม่มั่นใจในตัวเอง เป็นธรรมดาที่เขาจะปลูกฝังความหวาดระแวงอยู่ลึกๆ ยิ่งศรัณย์เป็นคนหน้าตาดี เก่ง ขยันทำงาน อัธยาศัยดี เป็นสุภาพบุรุษ ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า คุณสมบัติพวกนี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดใครต่อใครให้เข้ามาหาได้มากแล้ว มันจึงไม่แปลกเลยที่กนธีจะอยู่ไม่สุขบ่อยๆ
บ่อยครั้งที่พวกเขาทะเลาะกันด้วยเรื่องของบุคคลอื่น ในโลกนี้มีบุคคลบางจำพวกที่ต่อให้รู้ว่าคนของเรามีแฟนแล้ว แต่ก็ยังอยากจะเข้ามาเป็นมือที่สาม ถึงแม้ศรัณย์จะไม่ได้เล่นด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันเด็ดขาดลงไป กนธีรู้สึกเหมือนถูกหยามน้ำใจเมื่อพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเพียรพยายามเข้าหาคนรักของเขาอย่างโจ่งแจ้ง
เขาเคยเตือนเธอแล้วให้อยู่ห่างจากศรัณย์ แต่ในเมื่อเธอไม่ฟัง เขาก็สั่งให้คนรักจัดการเลิกโปรเจ็คที่ทำร่วมกับฝ่ายนั้น หรือไม่ก็ย้ายเธอไปแผนกอื่น ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกันอีก แต่ศรัณย์ที่ยึดเอาความบริสุทธิ์ใจเป็นหลักก็ไม่ได้ทำตาม เขาเป็นคนหัวรั้น อะไรที่มองว่าไม่ถูกต้อง ก็ไม่คิดที่จะทำตามโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง
เมื่อคำสั่งไม่ได้ผล กนธีก็จัดการขอย้ายงานของศรัณย์โดยพละการ เขาจัดการให้คนรักได้ตำแหน่งที่สูงกว่าแต่เป็นแผนกอื่นก็เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และเพื่อจะแสดงอำนาจของตนเองว่าอยู่เหนือผู้หญิงคนนั้นในทุกๆทาง ถ้าเธอยังคงยืนกรานจะเข้ามาแทรกแซงชีวิตพวกเขา กนธีจะทำให้เรื่องมันเด็ดขาดลงไปโดยไม่สนใครหน้าไหนอีก
ศรัณย์มองว่ากนธีใช้แต่อารมณ์ เขาปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่ง การทะเลาะกันครั้งนั้น ทำให้กนธีเผลอหลุดคำพูดลำเลิกความดีของตนเอง ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องบ้าน หรือเรื่องชีวิตที่เขาให้อีกฝ่าย ศรัณย์ที่ทิฐิสูงมากพออยู่แล้ว เมื่อถูกพูดแทงใจก็ผลุนผลันออกไปอยู่เองตามลำพัง ช่วยตอกย้ำความไม่มั่นคงทางใจของกนธี ยิ่งเมื่อกนธีมารู้ว่าศรัณย์แอบซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง เขาก็ยิ่งระแวงหนัก
เขาไม่รู้ว่าการที่คนรักมีความลับกับเขาในเรื่องนี้ มันจะนำไปสู่ความลับในเรื่องอื่นๆหรือเปล่า และความตั้งใจที่จะมีที่อยู่เป็นของตัวเองโดยไม่ปริปากบอกกันสักคำ มันหมายถึงสัญญาณของการเลิกรากันใช่หรือไม่
ในความเป็นจริง ศรัณย์แอบเอาเงินส่วนตัวไปผ่อนบ้านหลังนี้ไว้เพราะอยากเซอร์ไพรส์คนรัก เขาแค่อยากจะขอให้กนธีย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่..เพื่อมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาในบ้านจัดสรรหลังกะทัดรัดที่มาจากความอุตสาหะของตนเอง แต่เขาไม่ได้บอกเล่าความตั้งใจนี้ให้กนธีฟัง จะเล่าก็แต่พสิษฐ์ที่เป็นเพื่อนสนิท
กนธีรักศรัณย์สุดหัวใจ และเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ยกให้ได้ทุกอย่าง เพียงเพื่อให้ศรัณย์ยังอยู่ด้วยกัน ถึงเขาจะเอาแต่ใจ แต่เขาก็พร้อมที่จะง้องอนเพื่อให้คนรักกลับมา
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสามวันดี สี่วันไข้อย่างที่กนธีนิยาม ทะเลาะกันครั้งหนึ่ง ขอคืนดีกันครั้งหนึ่ง จากนั้นก็วนเข้าวงจรเดิมๆ ทุกครั้งที่เคลียร์เรื่องหนึ่งลงไป มันจะต้องมีเรื่องใหม่เข้ามา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต่างไปจากหัวข้อเก่าๆ การหวังดีไม่เข้าเรื่อง การเข้าไปก้าวก่าย เรื่องความหึงหวง และเรื่องที่ต่างคนต่างอยากจะเป็นที่พึ่งพาของอีกฝ่าย ทั้งยังขุดคุ้ยเอาเรื่องในอดีตขึ้นมาพูดต่อได้ไม่รู้จักจบสิ้น ยิ่งมีตัวยุยงจากผู้ไม่หวังดีที่ริษยาชีวิตของคนอื่น ความรักที่มีข้อแตกต่างมากมายก็สั่นคลอน
เพียงแต่ว่า..มันยังไม่ทันถึงจุดแตกหัก เพราะศรัณย์มาจากไปเสียก่อน
..ด้วยความโง่เง่าของเขาเอง..
..เขาฆ่าศรัณย์..
“พี่ควรจะรู้..ควรรู้มานานแล้ว” กนธีปล่อยน้ำตาไหลเงียบเชียบ “ศรัณย์รักพี่คนเดียว..รักพี่ที่สุด แต่ความรักของพวกเรา มันไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุข เราสองคน..อ่อนไหวเกินไป”
..โง่เง่าเกินไป..กับการใช้ชีวิตคู่..
อินทัชดึงมือฝ่ายตรงข้ามมากอบกุมเมื่อรู้สึกได้ว่ากนธีเริ่มตัวสั่นอีกครั้ง เขาไม่ทัก ไม่ท้วง ไม่ถาม หรือออกความเห็นใดๆ ไม่ตัดสิน ไม่วิจารณ์..ทำเพียงแค่รับฟัง และเข้าใจ
“ผมรู้ว่าพี่เองก็รักเขามาก..” เด็กหนุ่มพึมพำ “รักมาก..ยิ่งรู้สึกผิดมาก”
กนธีหลับตานิ่ง เขาพยักหน้า น้ำตามากมายร่วงลงไม่หยุด ถึงอย่างนั้นก็พยายามจะยกหลังมือขึ้นปัดมันออกผ่านๆ พยายามฝืน..เพื่อทำตัวเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้
อินทัชรั้งข้อมือข้างนั้นไว้ “ร้องไห้ออกมาเถอะครับ..ไม่มีใครโทษว่าพี่อ่อนแอ ไม่มีใครตรงนี้จะมาสั่งให้พี่เข้มแข็ง” เขากระซิบ “ผู้ชายอย่างพวกเรา..มันก็ต้องมีวันเศร้าๆแบบนี้บ้างเป็นธรรมดา”
“ขอโทษ..” กนธีพูดเสียงเครือ “ขอโทษนะ”
คนฟังเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดขอโทษเขา..แต่เมื่อลองคิดดูดีๆแล้ว กนธีอาจจะกำลังพูดผ่านไปยังใครอีกคนที่ซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของเขาคนนี้ก็ได้
“ขอโทษ..ที่พี่ทำให้รัณย์รู้สึกแย่..ทำให้รัณย์อึดอัด”
อินทัชเงียบไปครู่
“ขอโทษ..ที่ไม่เคยทำให้รัณย์มีความสุข” กนธีน้ำตาไหล
“พี่กุนต์..” ร่างสูงกอดปลอบคนตรงหน้า เขารั้งร่างกนธีเข้ามาหา
“พี่ทำร้ายรัณย์..” เขายั้งตัวเองไม่อยู่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตั้งใจพูดกับใคร ทั้งยังไม่รู้ตัวเลย..เมื่อตนเองยกมือขึ้นมาพนม “ยกโทษให้พี่ด้วย..ยกโทษ..”
อินทัชรู้สึกเสียดแทงใจกับภาพตรงหน้าจนลำคอแห้งผาก เขารับรู้อารมณ์ ความเศร้าโศก ความรู้สึกผิดที่เหนี่ยวรั้งคนๆหนึ่งเอาไว้ รับรู้อย่างลึกซึ้งเมื่อมองใบหน้าที่มีแต่น้ำตาของความเจ็บปวด
เขาปรามตัวเอง ให้เพียงแต่เข้าใจ..ไม่ใช่ร่วมรู้สึกจนเผลอทำให้ตนเองดำดิ่งไปด้วย
“จะเลิกรักพี่ก็ได้..จะโกรธ จะเกลียดพี่ก็ได้..พี่แค่อยากให้รัณย์รู้..ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ไม่เคยคิดร้ายกับรัณย์..”
ฝ่ามืออุ่นกุมปลายนิ้วเย็นเยียบนั้นไว้แผ่วเบา “ผมรู้ว่าพี่กุนต์กำลังโทษตัวเอง รู้ว่าพี่จมอยู่กับเรื่องวันนั้นมานานแค่ไหน..รู้ว่าพี่เสียใจ..เหมือนพี่เป็นต้นเหตุให้เขาจากไป”
เขาเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“แต่พี่กุนต์รู้ไหมครับ..หากว่าวันนี้ศรัณย์ยังอยู่ ผมเชื่อว่าเขาจะต้องบอกพี่..” อินทัชพูด “ให้อภัยตัวเองเถอะครับ”
กนธีร้องไห้
“ศรัณย์ไม่ได้อยู่กับพี่เพราะจำใจอยู่ ไม่ได้อยู่แบบไม่มีความสุข เขาไม่มีเหตุให้ต้องฝืนทน ในเมื่อเขาเองก็ไม่คิดจะเอาอะไรจากพี่กุนต์อยู่แล้ว แต่ที่เขาอยู่ ก็เพราะว่าเขา ‘รัก’ พี่ และเขาก็ ‘มีความสุข’ ที่ได้อยู่กับพี่ แต่ในความสัมพันธ์ เราคงขอให้มันมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นไม่ได้ ในทุกๆครั้งที่เราโกรธกัน มันคือการได้เรียนรู้กันมากขึ้น และพวกเราก็ได้รู้ว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะมีเรื่องไม่ดีเข้ามา มีข้อบกพร่องแค่ไหน แต่เราก็ยังอยู่ด้วยกัน..เพราะว่าเรารักกัน”
หยดน้ำตาร้อนผ่าวไหลลงไม่หยุด
“ศรัณย์อยู่ตรงนี้ อยู่ในใจของพี่กุนต์ ไม่เคยไปไหน” อินทัชวางมือลงบนอกด้านซ้าย สัมผัสเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ “ผมรู้ว่าเขาไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียดพี่เลยสักวัน..เขารับรู้ได้แน่..ว่าพี่ไม่มีวันทำร้ายเขา”
กนธีพยักหน้าทั้งน้ำตา
“ยกโทษให้ตัวเองได้ไหมครับพี่กุนต์” อินทัชถาม ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำใสบนแก้มออก “ศรัณย์คงไม่สบายใจ ที่เห็นพี่กุนต์โทษตัวเอง เขาคงอยากให้พี่ลุกขึ้นยืน และมีชีวิตที่ดีต่อไป..เพื่อเขา..เพื่อคนที่พี่รัก..”
คนฟังกัดปากตนเองแน่น มือที่กำไว้ค่อยๆคลายลงเมื่ออีกฝ่ายสอดนิ้วเข้ามาลูบคล้ายจะปลอบประโลม
“ความรักครั้งนั้น..จะอยู่ในใจพี่เสมอ”
.
.
.
[ต่อข้างล่างจ้า]