ตอนที่สิบเจ็ด
เพราะสายตาบอกว่าเหงา
เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วหลังจากเหตุการณ์เลือดตกยางออก ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปในทิศทางที่ดี เขาเข้ามาเติมเต็มความเป็นเด็กที่ผมขาดหายไป เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันสองคน ทำอะไรด้วยกันมากมายหลายอย่าง อย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ความรู้สึกดีดีเพิ่มมากขึ้น พวกเราเพลินและเผลอหลงลืมสิ่งรอบข้าง ความเคยชินเป็นภัยเงียบที่คอยกัดกินความสัมพันธ์อย่างช้าๆ ความประมาท ไม่ระมัดระวังทำให้เราพลั้งพลาด
สุดสัปดาห์นี้เราอยู่กันที่ปราณบุรี เป็นวันพักผ่อนแรกที่ครอบครัวของเราออกต่างจังหวัด เรามากันพร้อมหน้าพร้อมตา ครอบครัวเรามากันหมดทั้งบ้าน ไม่เว้นแม่แต่พี่จันทรา ยังมีเจ้าก่อที่หนีบพี่ปลื้มมาด้วย ท่าทางพี่ปลื้มคล้ายจะโดนบังคับมา ผมยังไม่รู้คำตอบระหว่างพวกเขาสองคน อยากรู้นะ แต่ไม่อยากถาม กลัวเสียมารยาทละลาบละล้วงเรื่องคนอื่น เรามาด้วยรถตู้ของบริษัท เตี่ยบอกว่าประหยัดดี ส่วนเรื่องของที่พัก ก็ตามประสาคนมีอันจะกินมักซื้อบ้านพักตากอากาศเอาไว้ใช้พักผ่อนส่วนตัวหลายๆที่ แต่เตี่ยก็คือเตี่ย ทุกการลงทุนย่อมต้องมีผลกำไร เพราะบ้านพักหลายๆ หลังที่เตี่ยสร้างไว้ จะปล่อยให้เช่าแบบชั่วคราว เซอร์วิซแบบโรงแรมมีแม่บ้านประจำมีพนักงานในการรับจอง ผมตามพี่ปลื้มขึ้นไปนั่งเบาะหลังสุด เจ้าก่อตามหลังผมขึ้นมา ขอสลับที่กันกับผม สุดท้ายเด็กยักษ์ก็ลากผมไปนั่งด้วย ใช้เวลาไม่นานก็ถึงปราณบุรี
“กูล ผมนอนกับพี่ปลื้มนะ” ผมไม่ได้คุยกับพี่ปลื้มนานพอควร ไลน์ หรือ สื่อช่องทางอื่นก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย เด็กยักษ์มันไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ ผมก็ค่อนข้างแคร์เขามากขึ้นกว่าแต่ก่อน เขามักจะเช็คข้อความในสมาร์ทโฟนของผมอยู่บ่อยครั้ง คล้ายแม่บ้านจับผิดสามียังไงไม่รู้ เด็ดสุดคงจะเป็น ไล่ด่าคนที่อินบ็อกเข้ามาจีบผม ซึ่งปกติผมจะปล่อยผ่าน ไม่ได้ตอบกลับอย่างเด็กยักษ์มันทำให้ผมได้หงุดหงิดบ่อยๆ
“ไม่ได้ ถึงจะเป็นพี่ข้างบ้านไอ้ก่อ ผมก็ยังไม่ไว้ใจคนที่เคยมาจีบคุณ”
“ผมไม่ได้ชอบพี่ปลื้มแล้ว”
“นี่ แสดงว่าเมื่อก่อนคุณ...... โว้ย!! ทำไมต้องทำให้ผมเป็นบ้าด้วยวะ” เด็กเอาแต่ใจลากผมขึ้นมาชั้นบนของบ้าน ผลักดันผมเข้าไปด้านใน โยนกระเป๋าเสื้อผ้า สัมภาระ ทิ้งไป ไล่ตะบี้ตะบันจูบผมอย่างเอาแต่ใจ หายใจหายคอแทบไม่ทัน พักหลังๆยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน ยังดีหน่อยเพียงแค่จูบไม่ได้เกินเลยไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นผมคงแย่ จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปสู้กับเด็กยักษ์อย่างกูล
“อื้อ.... ปล่อยก่อน” ผมทุบไหล่รัวๆ เพื่อให้เขาปล่อยจากพันธนาการ มือที่อยู่ไม่สุกกำลังจะเกี่ยวขอบกางเกงผมลง แล้วจะให้ไว้ใจนอนกับเขาได้อย่างไร จอมฉวยโอกาส
“จุ้นนนนนนน ขออีกหน่อยได้ไหม”
“ไม่เอาแล้ว ไม่งั้นผมจะหนีไปนอนกับพี่จันด้านล่าง ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัย ผมจะเอาอะไรไปสู้เด็กเอาแต่ใจอย่างคุณ”
“ผมควบคุมตัวเองได้น่า อีกหน่อยนะ” ผมหันไปคว้ากระเป๋าผมขึ้นมา ตั้งใจจะไปนอนกับพี่จันทราจริงๆ ถ้าเด็กมันจะยังพูดไม่รู้ความ ไม่น่าสงสารเลยสักนิด
“ก็ได้ ก็ได้ ผมยอมแล้ว” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นยอมแพ้ สีหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจ ผมจึงเอากระเป๋าไปเก็บ นำเสื้อผ้าแขวนไว้ในตู้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครัน อย่างกับโรงแรมห้าดาว เลื่อนม่านออกไปก็เห็นวิวทะเลเลยละ เลื่อนประตูออกไปลมหอบอายทะเลพัดเข้ามากระทบกับใบหน้า รู้สึกดีชะมัด เห็นพี่ปลื้ม เดินชายหาดคนเดียวไกลๆ ทำไมถึงได้เดินออกไปคนเดียวนะ ผมคิด
“กูล ไปเดินสำรวจชายหาดนะ”
“อื้อ ผมไม่ไปนะขอพักสายตาสักครู่ แดดร้อนเอาหมวกไปด้วยละ”
ผมรีบเดินออกมาเพื่อจะตามพี่ปลื้มให้ทัน ดูเขาไม่สบายใจอย่างไรไม่รู้ ทั้งท่าทีตั้งแต่แรกก็รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจมาด้วยกัน เขาเงียบไปมากกว่าเมื่อก่อน รอยยิ้มที่มีให้ผม หรือสายตาที่อ่อนโยนนั่น ไม่ได้มองมาทางผมเลยด้วยซ้ำ รู้สึกลึกๆว่าเขาคงไม่อยากเจอหน้าผมสักเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม ยังไงผมก็ยังเหมือนเดิม ผมอยากคุยกับเขา พี่ปลื้มเป็นคนดีถ้าผมช่วยอะไรเขาได้บ้างผมก็จะทำ จะใช้คำว่าตอบแทนที่เขาเคยทำอะไรดีดีให้กับผมก็ได้
“พี่ปลื้ม”
ผมตะโกนเรียก ให้เขาหยุดเดินเพราะผมเริ่มเหนื่อยแล้วที่จะวิ่งตามให้ทัน คนอะไรเดินเร็วชะมัด แล้วเขาก็หยุดหันมามองตามเสียงเรียก เขาถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเป็นผมที่ตามมา
“เดินเร็วมาก วิ่งตามแทบไม่ทัน ยิ่งขาสั้นๆอยู่ด้วย”
“เย่! ยิ้มแล้ว น่าจะเป็นสิ่งดีดีในรอบวัน”
“เวอร์ไป” พี่ปลื้มขยี้หัวผมเบาๆ ชอบสัมผัสนี้จัง ความรู้สึกเดิมๆเริ่มกลับมา
“พี่พักก่อนได้ไหม เหนื่อยมาก” พี่น่าจะรู้ว่าผมวิ่งตามมา เสียงลมหายใจแรงขนาดนี้ยังใจร้ายจะเดินต่ออีก
“ฮ่าๆ ทำไมเราตลกขึ้น”
“โท่ ก็ว่าไป”
“เหมือนจะดูมีความสุขมากกว่า หรือ เพราะพี่ไม่ได้จีบแล้วเลยดูสบายใจขึ้น”
“เอาจริงๆก็มีส่วน เพราะพี่ปลื้มเป็นคนดีมาก ผมเลยคิดว่าผมคงไม่เหมาะ”
“ชอบคนอื่นอยู่แล้วก็บอก”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า”
“กับกูลเป็นยังไง”
“พี่รู้?”
“ก่อบอกพี่หนะ”
“แล้ว...เอ่อ ผมถามพี่ได้ไหม”
“เรื่องไหน เรื่องพี่กับก่อเหรอ”
“ครับ” ผมพูดเสียงอ่อนลง อยากจะขอโทษ ผมไม่น่าถามเลยเพราะสายตาพี่ปลื้มเศร้าลงไป เหมือนว่าเขาไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้
“ผมขอโทษครับ ที่ทำให้ไม่สบายใจ เอาอย่างนี้ขากลับผมให้พี่ขี่หลังเลย” ผมอยากเห็นคนๆนี้ยิ้มมากกว่า เขาเป็นคนยิ้มแล้วโลกทั้งโลกสว่างสดใสขึ้นมาทันตา ไม่คู่ควรกับความเศร้าเลยสักนิด แต่ตอนนี้ เขาเอาแต่ถอนหายใจอยู่หลายครั้ง มองออกไปทางท้องทะเลกว้างใหญ่ ไม่ได้หันมาให้คำตอบผม จนคิดว่าเอาอย่างไรดี ผมทำเสียบรรยากาศไปเสียแล้ว
“ก่อเป็นเด็กที่บ้านอยู่ติดกัน พี่จะเจอก่อทุกๆปิดเทอมของเขา เขาเป็นเด็กร่าเริง ชอบเอาใจ จนติดตลก เขาเหมือนน้องชาย ตอนนั้นก่อเป็นเด็กน่าสงสารที่เข้มแข็งมากๆ พ่อแม่เขาแยกทางกัน ก่อต้องไปอยู่กับแม่ที่ต่างประเทศ แล้วจะกลับมาอยู่กับพ่อทุกๆปิดเทอม เฉลี่ยกัน ก่อ ไม่เคยแสดงด้านแย่ หรือแสดงความอ่อนแอให้เห็นเลยสักครั้ง ทั้งๆที่ พ่อของเขาไม่ได้มีเวลาให้มากนัก ก่อเลยติดพี่แจ อยู่กับพี่ทั้งวันหรือบางคืนก็นอนด้วยกันที่บ้านของพี่ เราสนิทกันมาก จนกระทั่งปีหนึ่งเขากลับมา แล้วรู้ว่าพี่ไม่ชอบผู้หญิง ก่อรับไม่ได้ และต่อต้านอย่างหนัก เรามึงตึงต่อกัน เราไม่ได้คุยกันเหมือนเก่า เขาจะพูดจาร้ายๆใส่พี่หลายสิ่งหลายอย่าง แต่พี่ก็ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของเขา เพราะตอนนั้นพี่มีแฟน พี่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับแฟนของพี่ พี่จึงไม่มีเวลาให้เขา พี่มักจะเจอเขาอยู่ที่บ้านทุกครั้งเวลาพี่กลับ เขาจะพูดด่าพี่เสียๆหายๆ เป็นอังกฤษบ้างไทยบ้าง จนบ้างครั้งพี่ก็ตลก ขำหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายเป็นก่อเองที่โมโหแล้วเดินตึงตังกลับไปนอนบ้านของเขา จนวันที่เขากลับประเทศ พี่ไม่ได้ไปส่งเขาเช่นเดิมอย่างที่เคยทำ พี่คิดแค่ว่ามันก็เรื่องปกติจะไปจะกลับ ยังไงปิดเทอมหน้าเขาก็กลับมาอยู่ดี คุณแม่ของพี่เล่าให้ฟังว่า ก่อชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่บ้านเพื่อรอพี่กลับมา นั่งๆนอนๆของเขาอยู่คนเดียว ขอแค่ได้เจอหน้าพี่แล้วเขาถึงจะยอมกลับ คุณแม่หัวเราะในความติดพี่ของก่อ แต่พี่ไม่ได้หัวเราะไปกับคุณแม่ พี่กลับรู้สึกว่าในตอนนั้นก่อคงเหงามากแค่ไหนนะ เขารอพี่ทุกวัน ทำอย่างนั้นไปทำไม เราไม่ได้บังเอิญเจอกันตอนพี่กลับบ้าน เขารอเจอหน้าพี่ต่างหาก รอทุกวันจนกลับต่างประเทศ ไม่รู้ว่าตอนที่อยู่สนามบินเขาจะรอพี่ด้วยหรือเปล่า พี่นะโคตรรู้สึกผิดเลยที่ทิ้งเขาให้อยู่คนเดียว พี่แค่อยากขอโทษ”
“พี่ปลื้ม พอก่อนก็ได้ครับ พี่อย่าร้องสิ” โอ้ย!! ผมทำอะไรลงไป เป็นผมเองที่รู้สึกผิดเหมือนผมบังคับให้เขาเล่า พี่ปลื้มกลับส่ายบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล เขาเช็ดน้ำตาลวกๆ แล้วเล่าต่อ
“จนปิดเทอมที่ผ่านมา เขาก็กลับมาเมืองไทยเช่นเคย คุณแม่บอกกับพี่ว่าก่อกลับมาแล้วนะ มาได้สองสามวันแล้ว เขาไม่มาเจอพี่ เขาคงโกรธมากจริงๆ ตอนนั้นพี่เลิกรากับแฟนไปแล้ว พี่ไม่มีใครเลย จึงมีเวลาให้คิด คิดว่าจะชดเชยให้เขา จะขอโทษเขา แล้วเราจะกลับมาเป็นพี่น้องที่สนิทกันเหมือนเคย พี่เลยไปหาเขาที่บ้านเพื่อจะขอโทษ
“มาทำไม” ก่อพูดเสียงแข็งใส่ ตอนนั้นเขานั่งดูรายการกีฬาอยู่ที่บ้านคนเดียว ไร้พ่อของเขาเหมือนเดิม เขาเป็นเด็กที่ไม่เรียกร้องหรือโหยหาความรักจากผู้เป็นพ่อเลยสักนิด เป็นเด็กที่เข้าใจผู้ใหญ่ที่ต้องทำงาน เพื่อเลี้ยงดูส่งเสียครอบครัวใหม่ของพ่อซึ่งอยู่อีกบ้าน เขาเข้าใจในความสำคัญของสถาบันครอบครัว ถ้าพ่อของเขามาดูแลเขาครอบครัวใหม่ของพ่อคงมีปัญหาเหมือนกัน เขาเคยพูดให้พี่ฟังแบบนี้ แต่แววตากลับไม่ใช่อย่างที่พูดเลย แล้วเด็กอย่างก่อก็ไม่เคยกลับไปบอกแม่เขาเลยว่าอยู่ที่เมืองไทย เขาต้องอยู่คนเดียว
“เอ่อ... พี่อยากจะมาขอโทษ” เพราะเสียงแบบนั้นพี่เลยประหม่า ไม่กล้าเข้าใกล้เขา จนก่อเริ่มหมดความอดทน สิ่งที่อยู่ในใจเลยปะทุออกมา
“พี่รู้ไหม ทั้งๆที่พี่เป็นคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของผม ผมคงคิดผิด ผิดที่สำคัญตัวเองผิดไป พี่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย พี่ไม่เข้าใจผมเลย” เขาพูดประโยคนี้แล้วเขาร้องไห้ พี่ไม่เคยเห็นความอ่อนแอของเขาเลยสักครั้ง แต่เป็นเรื่องของพี่เขาจึงอ่อนแอ อ่อนแอจนหลั่งน้ำตา ตอนนั้นนะพี่อยากจะเข้าไปปลอบเขา เด็กตัวสูงที่ยืนร้องไห้
“ต้องให้ผมชอบผู้ชายเหมือนพี่ใช่ไหม พี่ถึงจะอยู่กับผม พี่ถึงจะไม่ไปไหน พี่ถึงจะไม่ทิ้งให้ผมรอ” เขาเขย่าตัวพี่จนสั่นไปหมด จะเข้าไปกอดก็กลัวก่อรังเกียจที่พี่เป็นแบบนี้ พี่จึงทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่เฉยๆ
“พี่รู้ไหมผมสับสนขนาดไหน ผมต้องอยู่กับความสับสนนั้นคนเดียว คิดคนเดียว ตัดสินใจคนเดียว ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้วละ พี่ไปเสียเถอะ ไปอยู่กับแฟนของพี่ ส่วนผม อยู่ตรงนี้คนเดียวได้ สบายมาก” ก่อปาดน้ำตาแล้วยิ้มเฝื่อนมาให้ ดันหลังให้พี่ออกจากบ้านของเขา แล้วปิดประตู พี่จึงต้องถอยออกมา พรุ่งนี้ก่อคงดีขึ้น
แต่พี่คิดผิด เพราะหลังจากพี่กลับบ้านไป ก่อก็บินกลับประเทศ ตอนเช้าประตูหน้าบ้านใส่กุญแจดังเดิม ดั่งเช่นตอนที่ก่อเปิดเทอมอยู่ที่โน่น ก็ไม่แปลกอะไรเพราะคนที่รู้จักที่นี่ ก็คงมีเพียงพ่อของเขากับครอบครัวของพี่ นอกนั้นเขาก็ไม่มีใคร เมื่อเขาไม่มีใครเขาก็ต้องกลับ แต่คนที่แปลกคือพี่ พี่คงชอบก่อที่ไม่ใช่พี่น้องคนสนิทกันเหมือนเมื่อก่อน แล้วถ้าไม่ผิดก่อก็คงชอบพี่เหมือนกัน พี่จึงตัดสินใจบินตามก่อไป เราจะต้องพูดกันให้รู้เรื่องดีกว่าการหนีปัญหาอะไรพวกนี้ สามวันพี่ซื้อตั๋วทำเรื่องลาหยุดเรียนพร้อมหาข้อมูลที่อยู่จากพ่อของเขา ให้เหตุผลที่บ้านว่าอยากไปเที่ยวประเทศนี้นานแล้ว จะไปพักอยู่กับก่อ ติดต่อกันไว้แล้ว ความจริงไม่เลย ไปตายเอาดาบหน้าล้วนๆ ตอนนั้นนึกไปแล้วยังขำ ทำไมทุ่มเทขนาดนั้นวะ
แต่สุดท้ายสิ่งพี่ก็ต้องบินกลับมา เพราะ พี่ไปดักรอเขาที่ไฮสคูล หลังเลิกเรียน แล้วพี่ก็ได้เจอเขาจริงๆ เด็กเอเชียตัวสูงโย่งหัวดำหน้าตาหล่อเหลา ดูโดดเด่น กำลังเดินออกมา เขาดูเป็นธรรมชาติมาก ความสดใสกลับมาเหมือนเมื่อก่อน ตอนที่เราอยู่ด้วยกัน แต่เขาไม่ได้ออกมาคนเดียว มีผู้หญิงแหม่มผมทอง ควงเขาออกมาด้วยกัน ตอนนั้นนะคิดว่าคงต้องเป็นเพื่อนกันแน่ๆ เลยเดินตามพวกเขาไปเรื่อยๆ ลัดสวนสาธารณะ แล้วพวกเขาก็จูบกัน ก่อจูบกับผู้หญิงคนนั้น ต่อหน้าต่อตา สิ่งที่คิดไว้มันพังไปหมด พี่ยืนตัวแข็งทื่อก้าวขาไม่ออก จนก่อค่อยๆหัน มาแล้วเจอพี่ เขาชะงักไปเล็กน้อย
ตอนนั้นน้ำตาพี่ดันไหลไม่หยุด คิดได้แต่เพียงว่าต้องออกไปจากที่นี่ ทำบ้าอะไรอยู่วะ พี่จึงวิ่งออกมาเลย วิ่งไปเรื่อยๆกลัวเขาตามมา สุดท้ายเหนื่อยจึงหยุด หันไปเผื่อว่าเขาจะตามมา แต่ไม่เลย ไม่มีแม้แต่เงาของเขา คนบ้าที่วิ่งพล่านไปเอง เขาไม่ได้ชอบเรา เขาไม่ได้หลอกเรา เราต่างหากที่หลอกตัวเอง คิดไปเอง รู้สึกไปเองว่าเขาคิดเหมือนกัน การตีความหมายแย่มาก ต้องกลับไปเรียนใหม่เสียแล้ว ประโยคที่ว่า
“ต้องให้ผมชอบผู้ชายเหมือนพี่ใช่ไหม พี่ถึงจะอยู่กับผม” ตีแสกหน้าอย่างจัง เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาชอบพี่ ห้าวันพี่นอนทำใจที่โรงแรมไม่ได้ออกไปไหน คิดๆไปก็ตลกดีเที่ยวต่างประเทศแต่กลับขลุกตัวอยู่แต่ในโรงแรม บินกลับพร้อมความช้ำ อกหักที่เจ็บโคตรๆ ดันไปชอบผู้ชายแท้ๆเข้าให้ เขาไม่ชอบเราในแบบนั้น กลับมาก็เรียนอย่างหนัก ทำกิจกรรมอย่างคนบ้าคลั่ง แต่ก็ยังไม่เลิกคิดถึงเขาสักที ภาพเก่าๆที่เราอยู่ด้วยกัน ย้อนเข้ามาทำให้พี่เจ็บทุกที คงเป็นไปในแบบเดิมไม่ได้แม้แต่คำว่าพี่น้อง จนคิดว่า พี่ต้องมีแฟนสักคนเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ แล้วจุนก็คือคนนั้น”
“คิดจะเอาผมไปเป็นตัวแทนเหรอ ผมขออนุญาตโกรธพี่นะ” ผมกอดอกทำท่าทีขึงขัง ไม่ได้โกรธพี่ปลื้มจริงหรอก แค่ไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ชอบจุนเพราะ รอยยิ้ม ความสดใส ความร่าเริง แต่พี่เห็นแววตาเศร้าของจุนนะ แววตาที่โดดเดี่ยว เหมือนโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว แต่จุนก็เข้มแข็ง เหมือนเขา คงเหงามากใช่ไหม พี่เลยอยากดูแลจุน”
“เพราะพี่อยากดูแลก่อ มากกว่า”
“ก็คงใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ เขาเข้มแข็งมากเกินไป จนตอนนี้พี่รู้สึกเหมือนไม่รู้จักเขาเลย ก่อคนนั้นหายไป”
“พี่ปลื้ม หนีมาอีกแล้ว” ไม่ทันที่พี่ปลื้มจะพูดต่อ ก่อ ก็เดินเข้ามาลากแขนพี่ปลื้มออกไป ทำให้ผมก็ต้องลุกขึ้นเดินตามพี่ปลื้มไปด้วย เดินเรียบหาดที่ไม่ค่อยมีผู้คน พี่ปลื้มก็ได้สะบัดมือ ผลักเด็กก่ออย่างแรงลงไปนอนจมกองทราย ผมพยายามจะช่วยก่อเพราะเหมือนทรายจะเข้าตา ผมมองหาร้านขายน้ำเพื่อมาล้างตา แต่พี่ปลื้มวิ่งลงไปในทะเล ลงไปเรื่อยๆ เผลอพริบตาเดียวพี่ปลื้มก็หายไป
“ก่อ พี่ปลื้มหายไปในทะเลแล้ว”
“ปลื้ม”
เด็กก่อตะโกนเสียงดังลั่น อย่างตกใจ เขากระโดดดำลงไปในน้ำ ผมตั้งสติโทรหากูล บอกว่าพี่ปลื้มจมน้ำ ออกมาช่วยหน่อยได้ไหม ผมว่ายน้ำไม่เป็นได้แต่ตะโกนหาให้คนช่วย
ขอให้พี่ปลื้มไม่เป็นอะไร
Guide Line Thanks.
ปล. บางตอนเป็นบทเล่าโดยพี่ปลื้ม เล่าเรื่องราวให้จุนฟังอย่างตั้งใจ