วันนี้เป็นวันหยุด ในตอนบ่ายวิศรุตใช้เวลาว่างด้วยการตั้งใจไปว่ายน้ำที่สปอร์ตคลับสุดหรูที่ตนเป็นเมมเบอร์อยู่สปอร์ตคลับแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอนโดมิเนียมหรูหราย่านใจกลางเมืองที่นับเป็นโครงการหนึ่งของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่างทัดเทวา
หลังจากจัดการเรื่องบัตรเมมเบอร์เพื่อเข้าใช้บริการ ชายหนุ่มก็สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไหล่เพื่อตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อ เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงว่ายน้ำเรียบร้อย วิศรุตก็เดินตรงไปยังสระว่ายน้ำขนาดใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของบรรดาพนักงานสปอร์ตคลับสาวๆที่จ้องมองรูปร่างอันสวยงามที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมส่วนตามแบบบุรุษเพศของตนด้วยแววตาหลงใหล
เมื่อหย่อนตัวลงมาบริเวณขอบสระ มือหนาก็สวมแว่นตาว่ายน้ำให้เข้าที่เพื่อเตรียมพร้อม แต่เสียงที่ดังอยู่เหนือศีรษะ ทำให้วิศรุตต้องแหงนหน้ามองผู้มาใหม่
“มาว่ายน้ำที่นี่บ่อยเหรอ” นภัทรที่อยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำขาสั้นแบบเดียวกันเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน ในตอนนี้ที่คุณหมอหนุ่มไม่ได้ใส่แว่นสายตา ยิ่งทำให้ใบหน้าที่เคยคมคายอยู่แล้วกลับยิ่งโดดเด่นมากขึ้น ชวนให้หัวใจของวิศรุตเกิดวูบไหวขึ้นมาอย่างประหลาด
“ก็ไม่บ่อยหรอก นี่ก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกหลังกลับจากอังกฤษ” วิศรุตตอบคำถามพร้อมกับนภัทรที่หย่อนตัวลงมาในสระน้ำข้างๆกันกับเขา
“มิน่าล่ะ ถึงไม่ค่อยได้เจอ”
“มาคนเดียวเหรอ” นภัทรพยักหน้าก่อนจะถามกลับว่าแล้วอีกฝ่ายล่ะ มากับใครหรือเปล่า
“ฉันก็มาคนเดียวเหมือนกัน ทำไมล่ะ คิดว่าฉันจะมากับยัยศราหรือไง” ประโยคสุดท้ายอดไม่ได้ที่จะค่อนแคะนภัทรและพาดพึงไปถึงน้องสาวตัวเองที่ตอนนี้คงกำลังวุ่นอยู่กับการศึกษาเอกสารที่เขามอบหมายให้ไปเสียกองโตอยู่ที่บ้านนั่นแหล่ะ
นภัทรอ่อนใจกับคำพูดคนตรงหน้า หากวันไหนที่เจอหน้ากันแล้ววิศรุตไม่พูดจากระแนะกระแหนเขากับศรารัตน์ วันนั้นหิมะก็คงตกแล้วล่ะ
“ก็แล้วทำไมนายไม่ชวนคุณศรามาด้วยกันกับนายล่ะ” นภัทรเริ่มยั่วโมโหฝ่ายนั้นบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คุณหมอหนุ่มจึงมักแอบขำในใจเงียบๆเมื่อได้เห็นท่าทางหวงน้องสาวหรืออะไรก็ไม่ทราบที่วิศรุตแสดงออกมาให้เห็น
วิศรุตแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ดีแล้วล่ะที่วันนี้ไม่นึกชวนยัยศราให้ออกมาด้วยกัน นภัทรอมยิ้มอย่างนึกรู้ทันความคิดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนจะอยู่ในท่าเตรียมพร้อมในการว่ายน้ำ
“เรามาว่ายน้ำแข่งกันไหม” จู่ๆวิศรุตก็เอ่ยท้าขึ้นมา ทำให้นภัทรที่เตรียมออกสตาร์ตต้องหันกลับมามองคนที่เป็นฝ่ายท้าทายเขา
“แน่ใจเหรอว่าจะแข่ง” วิศรุตพยักหน้าให้อย่างถือดี ดวงตาสีน้ำตาลโศกฉายแววรั้นอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“นายคงลืมไปแล้วว่าฉันเป็นนักกีฬาของโรงเรียน”
“อย่าดูถูกให้มากนักเลย กีฬาว่ายน้ำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบแล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย นายเองก็อย่าประมาท
แล้วกัน”
“ถ้างั้นนายก็เตรียมตัวแพ้ไว้ได้เลย แล้วก็อย่าเป็นพวกแพ้แล้วพาลล่ะ” คำสบประมาทของอีกฝ่ายทำให้วิศรุตเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“แล้วถ้าฉันชนะ นายจะว่ายังไง”
“แล้วถ้าหากฉันเป็นฝ่ายชนะ ฉันจะได้อะไรล่ะ” คำถามย้อนกลับทำเอาวิศรุตตาวาวโรจน์ก่อนสมองจะคิดอะไรบางอย่างออก
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครชนะจะต้องเลี้ยงข้าวเย็นอีกฝ่าย ตกลงไหม” นภัทรรับคำท้าก่อนที่ทั้งคู่จะออกสตาร์ตการแข่งขันว่ายน้ำไปพร้อมๆกัน
และผลการแข่งขันก็กลายเป็นว่าคนที่ชนะคือนภัทร โดยในตอนแรกทั้งคู่ว่ายตีคู่กันมาแบบสูสี ก่อนที่นภัทรจะเริ่มออกนำในตอนกลางสระและแซงได้ในที่สุดจนเป็นฝ่ายชนะ ว่ายไปถึงขอบสระอีกด้านหนึ่งก่อน เฉียดชนะวิศรุตไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“สรุปว่าฉันชนะนาย” นภัทรยิ้มในหน้าก่อนจะเหล่มองใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรของวิศรุตที่ทำหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
“ก็แค่ชนะนิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ”
“แต่ก็ชนะ” นภัทรเน้นเสียงที่คำว่าชนะก่อนจะบอกให้วิศรุตรักษาสัญญาด้วย ที่ว่าใครแพ้จะต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวเย็นคนที่ชนะ วิศรุตตอบกลับว่าไม่ลืมหรอก ชายหนุ่มมองตามผู้ชนะที่ว่ายน้ำออกห่างจากเขาไปเรื่อยๆ สีหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นยิ้มที่มุมปากด้วยความสมใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ สุดท้ายแล้วดินเนอร์คืนนี้เขาก็ได้ทานข้าวกับนภัทรสองต่อสองอยู่ดีนั่นแหล่ะ
หลังจากว่ายน้ำเสร็จ ทั้งคู่ก็ไปออกกำลังกายในฟิตเนสด้วยกันอีกประมาณสองสามชั่วโมงแล้วจึงเลิก ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ฟ้าจึงมืดเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ตอนแรกวิศรุตตั้งใจว่าจะพานภัทรไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารอิตาเลียนร้านโปรดของตน แต่พอดีว่านภัทรเองก็ขับรถมาด้วย คงไม่สะดวกที่จะให้นภัทรขับรถตามไปแน่ๆ ดังนั้นวิศรุตจึงตัดปัญหาด้วยการชวนนภัทรดินเนอร์ที่ร้านอาหารของสปอร์ตคลับแทน ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฎิเสธแต่อย่างใด
“นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เรากินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้” นภัทรพูดขึ้นหลังจากสั่งอาหารกับบริกรเรียบร้อยแล้ว
“ก็คงอย่างนั้นล่ะมั๊ง” วิศรุตเลี่ยงคำถามด้วยการยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม สีหน้าคนถูกถามเจือแววระเรื่อเล็กน้อย
ทั้งวิศรุตและนภัทรเงียบไปสักพักอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ไม่ได้ถือว่าสนิทสนมกันถึงขนาดคุยกันได้ทุกเรื่องอย่างสนิทใจและก็ไม่ได้ห่างเหินเสียจนเป็นแค่คนรู้จัก ดังนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้จึงออกจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย จนในที่สุดนภัทรก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น
“วันนั้นน่ะ... วันสอบวันสุดท้ายก่อนที่นายจะไปอังกฤษ” วิศรุตชะงักจากการคลึงแก้วในมือเล่นไปมาก่อนจะมองสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาที่นภัทรอ่านความหมายไม่ออก “กระดาษแผ่นนั้นที่นายเคยเขียนให้ฉัน ฉันยังเก็บมันเอาไว้อยู่เลย”
คงเป็นกระดาษที่เขาเขียนคำว่าขอโทษแล้วสอดไว้ในหนังสือของนภัทรแน่ๆ วิศรุตนึกในใจ ไม่น่าเชื่อว่านภัทรยังเก็บมันไว้ทั้งที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องขยำมันทิ้งอย่างแน่นอนหลังจากที่ได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นจบ
“นายยังเก็บมันไว้อยู่อีกเหรอ” นภัทรพยักหน้า
“หลังจากที่ได้อ่านข้อความในนั้น ฉันก็พยายามวิ่งหานายไปทั่วโรงเรียนเลย แต่ก็ไม่ทันเพราะว่านายขึ้นรถไปแล้ว”
“นี่นายยังไม่ลืมเรื่องเมื่อก่อนอีกเหรอ” วิศรุตกลั้นใจถามออกไป
“แล้วนายล่ะ ลืมไปแล้วหรือยัง” นภัทรสบตาสีน้ำตาลโศกของคนตรงหน้าแล้วถามกลับด้วยคำถามเดิม วิศรุตสูดลม หายใจลึกก่อนเอ่ยเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากกระซิบ
“ฉันพยายามลืมแล้ว แต่ทำยังไงก็ยังลืมไม่ได้เสียที”
“นี่คงเป็นเหตุผลที่นายพยายามหลบหน้าฉันมาตลอด รวมถึงการแกล้งว่าไม่รู้จักและพวกคำพูดที่คอยแดกดันฉันกับคุณศราอยู่เสมอๆสินะ” เสียงหึในลำคอของวิศรุตทำให้นภัทรรู้ว่าตนเดาถูก คุณหมอหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับพฤติกรรมของคนตรงหน้า เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจตอบสนองความรักอย่างที่วิศรุตต้องการได้ แต่อย่างน้อยเขากับฝ่ายนั้นก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่นา
บรรยากาศอาหารค่ำในวันนี้ก็กลับไปสู่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งคู่ทานอาหารกันโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็ยังมีเรื่องราวที่ค้างคาอยู่ในใจ หลังจากทานอาหารเสร็จ วิศรุตและนภัทรเดินเคียงกันออกมายังลานจอดรถของสปอร์ตคลับ จากนั้นวิศรุตก็ทำท่าจะแยกไปยังบริเวณที่ตนจอดรถเอาไว้ แต่นภัทรเรียกเอาไว้ก่อน
“มีอะไรเหรอ” วิศรุตถาม
“ฉันแค่จะบอกว่า ที่ฉันวิ่งตามหานายไปทั่วโรงเรียนแบบนั้นเป็นเพราะฉันเองก็มีบางอย่างที่อยากจะพูดกับนายเหมือนกัน” นภัทรเว้นวรรคไปอึดใจหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาช้าๆ ทว่าน้ำเสียงมั่นคง “ฉันยกโทษให้นายแล้วนะวิศรุต” สมองของวิศรุตมึนตื้อไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“นายยกโทษให้ฉันแล้วจริงๆเหรอ” นภัทรพยักหน้า แต่แล้วคำพูดถัดมาก็ทำเอาวิศรุตต้องยิ้มค้าง
“ฉันยกโทษให้เพราะอยากจะลืมเรื่องในอดีตเกี่ยวกับนายให้หมดยังไงล่ะ นายจะได้ไม่เหลือตัวตนอยู่ในความทรงจำของฉันอีกต่อไป” คำพูดเรียบนิ่งของนภัทรเป็นเสมือนมีดที่กรีดให้หัวใจของวิศรุตเป็นแผลเหวอะขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนนึกสมเพชตัวเองว่าไม่ควรไปหวังอะไรลมๆแล้งๆจากคนใจร้ายอย่างนภัทร วิศรุตพยายามกลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบากก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังรถที่จอดอยู่ด้วยอาการที่เหมือนคนหมดแรง
“ฉันต้องการให้สมองฉันลบความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับนายทิ้งไปให้หมด เพื่อที่ว่าพอได้มาเจอกันอีกครั้ง เราสองคนจะได้เริ่มทำความรู้จักกันใหม่ตั้งแต่แรก” คำพูดที่ดังเข้าโสตประสาททำให้วิศรุตชะงักกึกอีกรอบ นี่เขาฟังไม่ผิดใช่ไหม คราวนี้ นภัทรไม่ได้ล้อเขาเล่นอีกแล้วใช่ไหม
วิศรุตเหลือบตาสีน้ำตาลคู่สวยจ้องลึกลงไปอย่างต้องการค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในดวงตาสีถ่านของฝ่ายนั้น
“คราวนี้นายไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม” นภัทรยิ้มกว้างไม่ยอมตอบ แต่กลับยื่นมือข้างหนึ่งมาข้างหน้า
“สวัสดีครับ ผมชื่อนภัทร อิสรีย์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณวิศรุต ทัดเทวา”
คืนนี้วิศรุตจึงขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีผิดปกติ แม้ว่าตอนนี้นภัทรจะยังไม่ได้รักเขาก็ตาม แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้นึกเกลียดเขาอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว ความกังวลในใจเริ่มคลายตัวทีละน้อย และเมื่อชายหนุ่มย้อนคิดถึงคำพูดของนภัทรที่ลานจอดรถสปอร์ตคลับเมื่อสักครู่ก็อดอมยิ้มบางๆกับตัวเองไม่ได้
เมื่อกลับมาถึงบ้านทัดเทวา วิศรุตจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาอิงอรเพื่อขอให้ช่วยติดต่อเรื่องบางอย่างให้ตน โดยไม่ลืมกำชับเรื่องเอกสารโครงการที่เขากำลังดูแลอยู่ด้วย
“สวัสดีครับคุณอร ผมโทรมากวนคุณหรือเปล่าครับเนี่ย” วิศรุตเหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าตนจะโทรมารบกวนการพักผ่อนของคู่สนทนาหรือเปล่า เมื่อปลายสายปฎิเสธว่าไม่รบกวนเพราะเธอยังไม่ได้เข้านอน วิศรุตจึงพูดเข้าเรื่องถึงจุดประสงค์ที่โทรไปทันที “คือว่าผมอยากให้คุณอรช่วยสั่งคนให้จัดการเรื่องคอนโดฯ ให้หน่อยน่ะครับ ผมต้องการเปิดห้องที่คอนโดฯ แถวๆสาทร ไอ้ที่เป็นหนึ่งในสี่โครงการใหญ่ของทัดเทวานั่นแหล่ะครับ ใช่ครับ ขอบคุณมาก” หลังจากบอกความต้องการของตัวเองเรียบร้อยแล้วและอิงอรตอบกลับมาว่าจะรีบจัดการให้เรียบร้อย เจ้านายหนุ่มก็วกกลับเข้ามาที่เรื่องงานต่อ “ส่วนเอกสารเกี่ยวกับโครงการใหม่ทั้งหมด พรุ่งนี้รบกวนคุณอรเอามาวางไว้บนโต๊ะผมด้วยนะครับ ผมอยากจะดูความคืบหน้าว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว” วิศรุตสั่งงานอีกสองสามอย่างก่อนจะวางสายไป พอดีกับที่ศรารัตน์มาเคาะประตูห้องของเขา
“เข้ามาสิ” เมื่อเจ้าของห้องอนุญาต ประตูก็ถูกเปิดออกแล้วศรารัตน์ก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มเอกสารกองโต
“ฉันอ่านเอกสารพวกนี้จบแล้ว” หญิงสาวเอาแฟ้มไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของวิศรุตก่อนจะหันมาพูด “เท่าที่อ่านพวกเอกสารประเมินโครงการก็คิดว่าโอเคเลยนะ โครงการนี้ก็น่าจะไปได้สวยอย่างที่นายหวังเอาไว้”
“เธออ่านรายงานงบประมาณจากฝ่ายการเงินที่ภาคินเสนอมาให้หรือยัง” ศรารัตน์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเธอเห็นงบที่ว่านั้นแล้ว “คิดว่าไงบ้าง” วิศรุตถามต่อ
“ฉันว่าตัวเลขมันดูแปลกๆพิกล ดูจะเกินจริงยังไงก็ไม่รู้ หรือนายคิดว่า...” วิศรุตพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่ศรารัตน์คิด ก่อนที่จะเอาเอกสารทั้งหมดให้ศรารัตน์ ชายหนุ่มลองอ่านมาหมดแล้วและก็ดันมาสะดุดตาที่รายงานงบการเงินของโครงการนี่แหล่ะ เขาจึงอยากฟังความเห็นของศรารัตน์ในฐานะที่หญิงสาวผ่านงานแนวนี้มามากกว่าเขา
“ฉันก็ว่าตัวเลขมันดูสูงไป ค่าวัสดุก็แพงจนโอเวอร์ ทั้งๆที่เทียบกับโครงการอื่นๆที่ใช้วัสดุแบบเดียวกัน”
“นายกำลังคิดว่าภาคินแอบตกแต่งงบใหม่เพื่อยักยอกเงินบริษัทงั้นเหรอ”
“ฉันถึงอยากให้เธอคอยจับตาดูไอ้ภาคินให้ดี ถ้ามันโกงบริษัทจริงๆ ฉันไม่เอามันไว้แน่” วิศรุตหมายความอย่างที่พูด เพราะหากภาคินทำผิดและเขาสามารถหาหลักฐานมามัดตัวฝ่ายนั้นได้ล่ะก็ เขาจะจัดการกับทายาทนอกสายเลือดอย่างภาคินโดยไม่ไว้หน้าใครเลยคอยดู แม้แต่คุณอาวันชัยก็ตาม
เมื่อวิศรุตมาทำงานในตอนเช้า ชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อได้รู้ข่าวจากพนักงานในบริษัทว่าอิงอรประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างแรงเมื่อเช้านี้ขณะกำลังเดินทางมาทำงานที่บริษัทตามปกติ วิศรุตใจหายวูบเพราะเมื่อคืนยังได้คุยกับอิงอรอยู่เลย ไม่นึกว่าเช้ามา เลขาฯ ของเขาจะประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสเสียแล้ว
วิศรุตตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากการไปตรวจไซต์งานในตอนบ่ายเพื่อไปเยี่ยมอิงอรที่โรงพยาบาลแทน เมื่อชายหนุ่มไปถึง อิงอรก็ถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษแล้ว แต่เลขาฯคนเก่งก็ยังไม่รู้สึกตัว ดังนั้นเมื่อวิศรุตไปเยี่ยม เธอจึงยังไม่ฟื้น พบเพียงแต่สามีของอิงอรที่นั่งเฝ้าอาการภรรยาอยู่ด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น
“อรเค้ายังไม่ฟื้นเลยครับคุณวิศรุต” ธนินทร์ผู้เป็นสามีบอกหลังจากที่วิศรุตแนะนำตัวเองว่าเขาเป็นเจ้านายของอิงอร
“แล้วทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุได้ล่ะครับเนี่ย”
“รู้สึกว่ารถของอรจะชนเข้ากับรถสิบล้ออย่างแรงเลยล่ะครับ ตอนนั้นอรคงขับเร็วมากจนเมื่อเบรกกะทันหันรถก็เลยเสียหลักพลิกคว่ำ” วิศรุตมองผ้าพันแผลรอบตัว กระดูกขาที่ต้องดามเฝือกและใบหน้าฟกช้ำของอิงอรแล้วถอนหายใจบาง ดูท่าคงจะต้องพักงานเป็นเดือนแน่ๆ
“คุณธนินทร์ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ เพราะทางบริษัทเรามีสวัสดิการการประกันอุบัติเหตุให้กับพนักงานอยู่แล้ว เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะจัดการให้เอง” ธนินทร์กล่าวขอบคุณในน้ำใจของเจ้านายภรรยาตน ก่อนที่วิศรุตจะขอตัวกลับ หลังจากที่อยู่เยี่ยมได้สักพัก
วิศรุตเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลก่อนจะเจอกับนภัทรที่เดินสวนมาโดยบังเอิญ ชายหนุ่มมัวแต่คิดเรื่องอุบัติเหตุของอิงอรจนลืมไปเสียสนิทว่านภัทรก็เป็นหมอที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย
“มาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามาเยี่ยมใครหรือเปล่า” นภัทรเป็นฝ่ายทักขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้กัน
“พอดีว่าฉันมาเยี่ยมเลขาฯน่ะ เธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อเช้านี้เอง” นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะทำสีหน้าโล่งใจแล้วบอกว่าตอนแรกคิดว่าวิศรุตป่วยเป็นอะไรถึงต้องมาที่โรงพยาบาล แต่ในเมื่อวิศรุตไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว “นายเป็นห่วงฉันเหรอ” วิศรุตกลั้นใจรอคำตอบ แต่คนถูกถามกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆโดยไม่พูดอะไร
“แล้วนี่นายจะกลับแล้วเหรอ” วิศรุตพยักหน้าแล้วบอกว่าเขามีงานค้างอยู่ต้องรีบกลับไปทำต่อ นภัทรมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจพูด “นี่ฉันกำลังจะออกเวรพอดี ว่าจะชวนนายไปดื่มกาแฟด้วยกัน แต่ถ้านายกำลังยุ่งก็ไม่เป็นไร” นี่เป็นครั้งแรกที่นภัทรเอ่ยปากชวนวิศรุตก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ อย่าหวังไปเลยที่อีกฝ่ายจะมาญาติดีกับเขาด้วย แต่ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และนภัทรก็ยอมให้อภัยกับเรื่องในอดีตของเขาแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิม อย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว
“เอาสิ ฉันไปดื่มกาแฟกับนายก็ได้” วิศรุตตอบโดยไม่ต้องคิดเพราะไม่อยากพลาดโอกาสนี้
“อ้าว ไหนว่าต้องรีบกลับไปเคลียร์งานต่อไง” นภัทรเริ่มงงกับคำพูดกลับไปกลับมาของคนตรงหน้า
“งานน่ะปล่อยไว้ก่อนก็ได้ ยังไงบริษัทก็ไม่หนีไปไหนอยู่ดีนั่นแหล่ะ อีกอย่างนายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นประธานบริษัทนะ ใครจะกล้ามาออกคำสั่งกับฉันได้” นภัทรหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินนำวิศรุตไปยังร้านคอฟฟี่ช็อฟของโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
ด้วยความที่อิงอรประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้ารักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นแรมเดือน ประกอบกับการคะยั้นคะยอบ่อยครั้งของวันชัยทำให้วิศรุตตัดสินใจรับเมริษาเข้ามาทำงานเป็นเลขาฯส่วนตัวของเขาชั่วคราวแทนตำแหน่งของอิงอร แม้ในใจจะไม่อยากรับเมริษาเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้เท่าใดนัก แต่งานและโครงการที่เขารับผิดชอบนั้นก็ต้องดำเนินต่อไป โดยวิศรุตค่อนข้างมั่นใจลึกๆว่าเมริษาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ต้องการจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาฯของเขาเพียงอย่างเดียวแน่ และเมื่อวิศรุตเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ภาณุฟัง เพื่อนสนิทกลับมีความเห็นตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง
“แล้วแกจะรับยัยเมริษาอะไรนั่นมาเป็นเลขาฯทำไมวะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ ทั้งๆที่รู้ว่ายัยนั่นมีจุดประสงค์แอบแฝงในการเข้ามาทำงานกับแก ก็ยังจะไปรับเค้าเข้าทำงานอีก” ภาณุไม่เข้าใจความคิดของวิศรุตเลยจริงๆ นี่เพื่อนของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ไปรับคนของวันชัยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวแบบนี้
“ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยอยากจะรับหรอก แต่คุณอามาคอยตื๊อตอแยเรื่องเมริษาบ่อยๆจนฉันรำคาญว่ะ อีกอย่างถ้าคิดในแง่ดีนะเว้ย ตอนนี้ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของเค้า เอาให้มาทำงานใกล้ๆตัวน่ะดีแล้ว จะได้จับตาดูได้อย่างถนัดหน่อย”
“ว่าแต่ยัยคุณเมริษาเนี่ยสวยหรือเปล่า” สายตาของภาณุเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องผู้หญิง วิศรุตยิ้มเหยียดก่อนจะยอมรับว่าเมริษาทั้งสวยและฉลาด แต่ผู้หญิงแบบนี้ดูจะอันตรายพอสมควร
“นั่นแน่ะไอ้โอม แกสนใจล่ะสิ” ภาณุยักไหล่ไม่ตอบ ในใจก็คิดว่าสักวันเขาคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่บริษัทบ้างแล้ว จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับเลขาฯคนใหม่ของวิศรุตแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเธอสวยและฉลาดสมคำกล่าวอ้างของคนตรงหน้าหรือเปล่า
“แกให้คนไปจัดการกับนังเลขาฯนั่นเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” วันชัยถามเสียงเย็นซึ่งภาคินก็พยักหน้ารับ
“ตอนนี้ผมให้พวกมันหลบหน้าตำรวจไปก่อนสักพัก พอจัดการให้เรื่องเงียบแล้วค่อยติดต่อมาใหม่” วันชัยสำทับอีกครั้งว่าอย่าให้พวกมันซัดทอดมาถึงเขาและภาคินได้ ซึ่งภาคินเองก็บอกพ่อว่าไม่ต้องห่วงเพราะลูกน้องที่เขาจ้างมาแต่ละคนไว้ใจได้ทั้งนั้น
“ว่าแต่ไอ้วินมันตกลงให้เมไปทำงานเป็นเลขาฯมันแล้วใช่ไหมครับพ่อ” วันชัยพยักหน้ารับก่อนจะบอกให้ภาคินติดต่อบอกเรื่องนี้กับเมริษาทันที เขาต้องการให้เมริษาเข้าไปสืบความลับเรื่องโครงการใหม่ของทัดเทวาที่วิศรุตกำลังดูแลอยู่ เพื่อที่ว่าเขาจะได้วางแผนหาโอกาสทำลายความน่าเชื่อถือของวิศรุตต่อกรรมการบริหารทั้งหมดให้เร็วที่สุด ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ บริษัททัดเทวายิ่งจะกลายมาเป็นของเขาเร็วเท่านั้น วันชัยจุดยิ้มที่มุมปากแววตามาดร้าย
Aislin: มาอัพต่อให้แล้วค่ะ ขออภัยที่หาไปนานหลายวันนะคะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างเอ่ย วินนี่เจ้าเล่ห์จริงๆเลยใช่ไหมล่ะ ฮาๆๆ ยื่นข้อเสนอแบบนี้ก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย และเดี๋ยวเรื่องนี้จะค่อยๆเข้มข้นขึ้นทุกขณะแน่นอนค่ะ อย่าพลาดติดตามเด็ดขาดนะคะ เพราะเรื่องนี้มีครบทุกรสเลย เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม คลุกเคล้าน้ำตา สนุกแน่นอน รับประกัน อิอิ ^0^
ปล. ตอนนี้ Aislin โพสรายละเอียดการสั่งซื้อนิยายรูปเล่มให้เรียบร้อยแล้วนะคะในแฟนเพจ ถ้าหากใครสนใจก็เข้าไปติดตามกันได้เลยค่ะ
ราคาเล่มละ 430 บาท (ถ้าหากสั่งซื้อเข้ามาภายในวันที่ 15 มี.ค.58 นี้ เหลือราคาเล่มละ 400 บาท แต่ถ้าหากเป็นนักอ่านเก่าที่เคยซื้อเวอร์ชั่นแรกไปแล้ว จะลดพิเศษเหลือเล่มละ 350 บาทจ้ะ) ใครรักใครชอบเรื่องนี้ ฝากอุดหนุนกันหน่อยนะคะ
ในเล่มจะมีตอนพิเศษเพิ่มเติมให้อีก 3 ตอนค่ะ รับรองว่าฟินสุดติ่งกระดิ่งแมวแน่นอนนนน ^0^
ใครสนใจเชิญได้ที่
www.facebook.com/aislin.napoon และเดี๋ยว Aislin จะเอารายละเอียดมาโพสแจ้งเพิ่มเติมในห้องซื้อขายของเล้าเป็ดด้วยจ้ะ