ท่าเรือที่ 8
จะผิดไหม...ถ้าใจสั่น
[ P x Inn ‘s Special Part ]
Inn ‘s Partหากว่าโลกใบนี้มีคำนิยามของความรักอยู่มากมาย
แต่ทำไมนิยามความรักที่มาเกิดขึ้นกับผม มันถึงกลายเป็น...ความทุกข์
ในเวลาพลบค่ำวันจันทร์ที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสีดำ ผมยืนอยู่ตรงชานชาลาสายสุขุมวิทหนึ่งในเส้นทางเดินรถไฟฟ้าของสถานีสยาม ย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมืองหลวงที่ตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย จุดมุ่งหมายของแต่ละคนก็คงจะต่างกันไป ตัวผมที่เพิ่งแยกจากเพื่อนสนิทหลังจากจบภารกิจคัดตัวแทนหลีดของคณะเภสัชศาสตร์ก็มายืนรอรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน
ผมคือ อิน อินธัช วิชยกุล เพื่อนสนิทหนึ่งในสองของเจ้าพระยาที่ทุกคนคงรู้จักเป็นอย่างดี และบางทีเจ้าก็คงแนะนำตัวผมให้ทุกคนรู้จักไปบ้างแล้ว ก็ตามนั้นแหละครับ ไม่ว่าเจ้าจะแนะนำว่าผมเป็นเพื่อนแบบไหน แต่สำหรับผม เจ้าพระยาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม อ้อ รวมไอ้ภาคไปอีกคนนะ ไม่มีเพื่อนคนไหนเข้าใจผมไปมากกว่ามันสองคนแล้ว บางทีก็เข้าใจมากกว่า...คนในครอบครัวซะอีก
หลายคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนเงียบๆขี้อาย เหมือนที่ได้รู้จักผ่านไอ้ภาคและเจ้า แต่ความจริงแล้วผมก็คนธรรมดาที่มีทุกอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป ยิ้ม หัวเราะ มีความสุข เศร้า คิดมาก และอีกมากมาย ผมก็ผ่านทุกอารมณ์เหล่านั้นมาแล้ว แต่ที่เป็นคนเงียบๆอยู่ทุกวันนี้มันก็แค่ ‘กำแพง’ ที่ก่อตัวขึ้นจากความเสียใจ หลังจากวันที่ผมเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป พ่อและน้องสาวของผม
RrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrrr............... - My Heart – “สวัสดีครับแม่” ตอบรับปลายสายแทบจะทันทีที่กดรับ
( ถึงไหนแล้วลูก )
“รอรถไฟฟ้าอยู่สยามครับ”
( อ๋อ ถ้างั้นก็รีบกลับมานะอิน แม่ทำอาหารเย็นของโปรดลูกไว้รอนะ )
“ครับๆ อินจะรีบกลับนะ หิวมากเลย”
( จ้า นี่มอคค่า กับลาเต้ก็วิ่งวนคอยลูกอยู่หน้าประตูเลยนะ )
ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ฟังประโยคนั้น
“ได้เลย เอ่อ แม่ครับ แล้ว...” ผมชะงักค้างไม่กล้าเอ่ยถามคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
( ป้าเขายังไม่กลับหรอกจ๊ะ เขาไปงานเลี้ยงสมาคมกับคุณลุง ) คนปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเข้าใจ
“หรอแม่ อินจะรีบกลับนะ เจอกันที่บ้านครับ”
( จ้า เดินทางดีๆ )
ติ๊ด! กดวางสายจากคนที่เป็นทั้งหมดของชีวิตผมตอนนี้
หลายคนอาจจะกำลังสงสัยและอยากรู้ความเป็นไปของชีวิตผมตอนนี้ ถ้าจะให้ผมอธิบายชีวิตตัวเองก็คงมีแค่ประโยคสั้นๆ ว่า...เป็นความหวัง แต่รู้อะไรไหมว่าการเป็นความหวังที่ต้องแบกรับความกดดันมันเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ชีวิตไม่ใช่ของผมอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความรักของพ่อกับแม่ อยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ หลังจากนั้นก็มีน้องสาวที่เกิดมาเพื่อให้ผมปกป้องดูแลอีกหนึ่งคน พอผมขึ้นมัธยมต้นสมาชิกใหม่สี่ขาก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอีกตั้งสองตัว ‘มอคค่ากับลาเต้’ ของขวัญปีใหม่ของผมกับน้องอรที่ได้รับมาจากบุพการี บอกได้เลยว่าชีวิตตอนนั้นผมเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก
แต่โลกแห่งความสุขของผมก็ไม่เป็นนิรันดร์
เพราะมันสูญสลายหลังจาก ความตาย พรากพ่อและน้องอรไป
รถยนต์คันเดียวของครอบครัวที่พ่อขับออกไปรับน้องอรที่โรงเรียน นี่ก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ที่พ่อกับน้องอรไม่กลับมา และคงจะไม่มีวันกลับมา ตอนนี้ผมกับแม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านป้านิล พี่สาวแท้ๆของแม่ บ้านที่ใหญ่โต หรูหรา บ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่...ไม่มีความสุข เวลาที่ได้อยู่พร้อมหน้า
ระหว่างที่ยืนรำลึกถึงอดีตรถไฟฟ้าก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบชานชาลา ผมรอให้ผู้โดยสารที่ต้องการลงก้าวออกมาจนครบทุกคนก่อน ถึงจะเริ่มเดินตามแถวเข้าขบวนไป ซึ่งสำหรับตอนค่ำของวันจันทร์เช่นนี้คงไม่ต้องอธิบายถึงจำนวนคนใช่ไหม เพราะมันเยอะมาก โบกี้ที่ผมเคลื่อนตัวตามกระแสคนในแถวเข้ามาก็เบียดเสียดกันจนต้องยืนซ้อนหลัง ซ้อนไหล่กับบุคคลแปลกหน้าแบบไม่ถือสากัน
สิ้นเสียงแจ้งเตือนประตูอัตโนมัติก็ปิดลงให้รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาของสถานีสยามเพื่อมุ่งหน้าไปตามสถานีต่างๆในสายสุขุมวิท เหล่าผู้โดยสารร่วมขบวนแต่ละคนก็หยิบเอาอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยออกมาหาความบันเทิงใจในโลกส่วนตัวของตัวเอง ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ใช้มือข้างที่ว่างจากการเกาะเสาใกล้ประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูที่เดินเข้ามา หยิบสมาร์ทโฟนแบรนด์ผลไม้มาสไลด์เลือกเพลงในลิสต์เพลย์ที่ชอบ
แต่...ทำไมคนข้างหลังผมเขาฟังเพลงเสียงดังจัง
นิสัยขี้เผือกที่ติดไอ้ภาคมาก็กระตุ้นความอยากรู้ของผมจนต้องเบี่ยงหน้าไปทางซ้ายเพื่อหาต้นตอของเสียงเพลงที่เล็ดลอดออกมาจากหูฟังของใครสักคน
...อ่าว...
“พี่พี” มายืนตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ ทำไมผมไม่เห็น
“...”
“สวัสดีครับ” เอ่ยทักทายคนมีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบัน แถมยังเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนสนิทอย่างไอ้ภาคอีก ว่าแต่ ทำไมพี่เขากลับรถไฟฟ้าวะ ปกติขับรถมานี่ ที่ผมรู้ก็เพราะพี่พีเคยบอกตอนไปส่งผมที่โรงพยาบาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เดี๋ยวค่อยเล่าแล้วกัน
“อืม ทำไมกลับค่ำ ไหนว่ากลับค่ำไม่ได้” คนที่ตัวสูงกว่าผมถามเสียงเรียบ
“อ๋อ วันนี้ที่คณะมีคัดหลีด ผมโดนเรียกไป เพิ่งเลิกเนี่ย”
“คัดหลีด?” หัวคิ้วพี่พีกระตุกเข้าหากันเล็กน้อยหลังจากถาม “แล้วได้หรอ”
“ผมไม่ได้เป็นหรอก ไปขอพี่เขาว่าเป็นไม่ได้ แต่ไอ้เจ้าได้เป็นนะ โดนเรียกคนแรกเลย” ผมยิ้มกว้างประกอบคำตอบที่เอ่ยออกไป
“หึหึ” มาอีกละเสียงหัวเราะแบบนี้
“เอ้อ ละทำไมวันนี้พี่กลับรถไฟฟ้าอ่ะ?”
“ขี้เกียจขับรถ”
“แปลกนะพี่เนี่ย เขามีแต่ไม่อยากเบียดกับคนเยอะๆ”
“ยุ่ง”
“เอ้า ว่ากันเฉย”
“แล้วนี่กลับค่ำจะไม่เป็นอะไรหรอ” พี่พีถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่น
“โทรบอกแม่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก เขาก็ไม่อยู่ด้วย” สรรพนามที่ใช้เรียกป้าของผมก็หลุดปากออกไป
“เรียกเขาดีๆ” คนตัวสูงเอ่ยปราม
“เอ่อ ครับ ป้าไม่อยู่” แล้วทำไมผมต้องกลัวพี่เขาด้วยเนี่ย
ในระหว่างนั้น ผมกับพี่เขาก็ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นอีก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ แผ่นหลังของผมแนบกับช่วงตัวของใครสักคน ที่มันไม่ได้สร้างความตกใจ แต่กลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่า สิ่งที่บ่งบอกให้แน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนอื่นก็คือกลิ่นที่ผมรู้สึกคุ้นเคยของพี่พี แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็ตาม
สถานีต่อไป เอกมัย...Next Station Ekamai... เสียงประชาสัมพันธ์อัตโนมัติของระบบรถไฟฟ้าดังขึ้น แจ้งสถานีต่อไปซึ่งเป็นสถานีจุดหมายของผม ผมขยับตัวเตรียมพร้อมที่จะลง จำนวนผู้โดยสารที่เบาบางลงกว่าตอนแรกก็ทำให้ขยับกายง่ายขึ้น แต่ว่า ทำไมพี่พียังยืนใกล้ผมเหมือนเดิม ไม่อึดอัดหรือไงนะ
ขยับตัวไปด้านหน้าแล้วหันกลับมาทางคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่เดิม “ผมลงแล้วนะ สวัสดีครับ” พร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่หน้าดุ
“อืม”
เอกมัย...Ekamai เมื่อรถไฟฟ้าเทียบชานชาลานิ่งสนิท ประตูอัตโนมัติก็เปิดออกให้ผู้โดยสารที่ต้องการลงสถานีนี้ก้าวออกจากตัวรถ รวมถึงตัวผมเช่นกัน
แต่ทว่า...
“หืม พี่ลงมาทำไม” คนหน้าดุก้าวเดินออกจากตัวรถตามผมมาติดๆ
“มืดแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ นี่มันสองทุ่มแล้วพี่” กระตุกหว่างคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยประกอบความสงสัยในการกระทำของพี่เขา
“เดี๋ยวกูไปส่ง จะได้ไม่โดนด่า” รุ่นพี่หน้าดุตอบคลายความสงสัยทั้งๆที่ไม่หันมามองหน้าผม
ยกมือโบกปฏิเสธพี่พี “เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ วันนี้เขา เอ่อ ป้าไม่อยู่ ไม่โดนหรอก”
“เออ กูจะไปส่ง ไม่ต้องเถียง!” คนตัวสูงหันมาเอ่ยเสียงดุใส่ผม เอ่อ แล้วจะดุกันทำไมเนี่ย
“พูดดีๆก็ได้ ทำไมต้องดุเนี่ย” ผมก้มหน้าบ่นพึมพำด้วยเสียงที่คิดว่าคนข้างตัวฟังไม่รู้เรื่องแน่ๆ
แล้วก็เป็นผมที่ต้องสงบปากสงบคำระหว่างที่ลงจากตัวสถานีรถไฟฟ้า โดยมีพี่พี รุ่นพี่ปี 3 ต่างคณะที่อยู่ดีๆก็มาสนิท? สนิทหรือเปล่านะ เอ้อ มารู้จักกันนั่นแหละ
ถ้าทุกคนยังจำเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ ที่ผม เจ้า แล้วก็ไอ้ภาคนัดกันไปกินบิงซู แต่วันนั้นแผนก็ล่มเพราะผมได้รับข่าวจากป้านวล แม่บ้านของบ้านใหญ่ว่าลาเต้ สุนัขพันธุ์ปอมปอมของน้องอรท้องเสียหนักจนต้องพาไปโรงพยาบาลสัตว์ วินาทีที่ได้รับข่าวตอนนั้นตัวผมชาวาบ รู้สึกถึงความเย็นเฉียบเข้ามาปกคลุมหัวใจ ความกลัวคืบคลานเข้ามาในห้วงความคิด และปฏิเสธไม่ได้ว่าผมภาวนาอย่าให้ผมได้เจอกับ ‘ความสูญเสีย’ อีกเลย
วันนั้นพี่พีอาสาขับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่ยืมพี่เกียร์มา ไปส่งผมที่โรงพยาบาลให้ทันใจก่อนที่ผมจะไม่มีสติไปมากกว่านี้ จำได้ว่าเป็นการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ผมลืมความกลัวไปเลย เพราะความกลัวบางอย่างมันทับถมพื้นที่ในความคิดผมไปหมดแล้ว พี่พีพาลัดเลาะไปตามซอยท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมา ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงโรงพยาบาลที่ป้าแม่บ้านพาลาเต้มาส่ง ผมพาสภาพเนื้อตัวเปียกปอนไปหน้าห้องตรวจที่ป้านวลนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอป้าเห็นผมมาก็เลยขอตัวกลับไปดูแลบ้านต่อ ระหว่างที่รอคนตัวสูงที่ขับรถพาผมมาก็ยังไม่กลับไป พี่พีนั่งรอเป็นเพื่อนผมจนหมอที่ตรวจอาการของลาเต้ออกมาบอกผลการตรวจที่ทำให้ใจของผมกับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากมันบีบรัดตัวระหว่างที่รอจนผมเหนื่อย แต่อาการของลาเต้ก็ยังไม่หายดีจนสามารถพากลับบ้านได้ในวันนี้ ต้องให้รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อเพื่อดูอาการ
พี่พีก็เลยพาผมมาส่งที่บ้าน แต่มันก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมคาดไว้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะเพียงแค่ก้าวผ่านประตูเล็กข้างบานประตูอัลลอยด์ขนาดใหญ่เข้าไปแค่ก้าวเดียว ยังไม่ทันหันมาปิดประตูด้วยซ้ำ เสียงด่าทอบาดหัวใจของป้านิลก็ดังเข้ามาในโสตประสาททันที สาเหตุนั่นหรอ เพราะผมเหลวไหลกลับบ้านมืดจนทำให้คนอื่นวุ่นวายกับลาเต้ ป้านวลที่ปกติต้องคอยดูแลน้องพราวลูกสาวคนเดียวของป้านิลกลับต้องมาพาลาเต้ไปหาหมอ ผลของความวุ่นวายเลยมาตกที่ผม ตอนผมหันมาปิดประตูก็เลยได้เห็นว่าพี่พียังคงยืนพิงรถสองล้อราคาแพงนั้นอยู่ที่เดิม สายตาที่สบกันพอดีทำให้ผมรู้สึกถึงความห่วงใยที่ส่งมาพร้อมกับความสงสัยกับเหตุการณ์ขณะนั้น แต่ผมก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มจางๆกลับไปให้เพื่อบอกเขาว่า ‘ไม่เป็นไร’
เมื่อก่อนผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าป้านิล ผู้มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆนั้นจงเกลียดจงชังอะไรผมนัก ตั้งแต่ที่ผมกับแม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านป้าตามความต้องการของป้าเอง ผมก็ถูกด่าทอ ประชดประชันต่างๆนานา ถูกเปรียบเทียบกับน้องพราวอยู่ทุกเรื่อง ความไม่เข้าใจทำให้ผมเอ่ยถามแม่อยู่เสมอว่าทำไม? คำตอบที่มักได้รับกลับมาก็คือป้าเขาเป็นห่วงผม ป้าเขารักผมนะ นี่คือการแสดงความรักของป้าที่มีให้ผมหรอ
ทำไมความรักของป้า มันทำให้ผมรู้สึกทุกข์ใจเหลือเกินครับ
พอผ่านไปไม่นานผมก็ได้รู้ความจริงจากปากป้านิลเองว่า การเกิดมาของผมทำให้ครอบครัวที่มีหน้ามีตาในสังคมต้องอับอาย แม่ผมท้องกับพ่อก่อนแต่งงาน บ้านที่เคยมีความสุขก็เกิดปัญหาเพราะพ่อผมเป็นแค่คนธรรมดา ตายายเกิดความทุกข์ใจและขายหน้า ไม่มีใครเห็นด้วยกับความรักของพ่อกับแม่ ทุกคนในบ้านนี้ต่างพากันเกลียดพ่อที่ทำให้แม่ผมหมดอนาคต เพราะแม่เลือกหนีไปอยู่กับพ่อสร้างเพื่อครอบครัวเล็กๆขึ้นมา แม่บอกเสมอว่า แม่รักพ่อมาก ผมเชื่อแม่นะ ผมรับรู้มาตลอด แล้วการจากไปของพ่อก็ทำให้แม่ถูกบังคับให้กลับมาอยู่ร่วมชายคากับพี่สาวของตัวเองอย่างป้านิลอีกครั้ง แม่ยอมกลับมาเพราะความรู้สึกผิดบาปในการกระทำที่ผ่านมา ความเกลียดชังที่พ่อเคยได้รับ ตอนนี้มันมาตกที่ตัวผมแล้ว ผมก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ทำตามที่แม่พร่ำสอนว่าให้เป็นคนดี ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดจนผมสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ตามที่ผมชอบได้สำเร็จ แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ใช่คณะที่ป้านิลต้องการ
ระหว่างทางจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยกับบ้านผม เป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลมากทำให้ปกติผมเลือกที่จะเดินเข้ามา อีกนัยหนึ่งคือ ผมอยากยืดเวลาให้นานที่สุดก่อนที่จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน ในตอนนี้ผมกับพี่พีก็ไม่ได้เอ่ยบทสนทนาขึ้นระหว่างกัน มีเพียงความเงียบแผ่กระจายแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด
ผมเลือกที่จะก้าวเท้าให้ช้าลง จนกลายเป็นว่าเราทั้งสองคนเดินข้างกัน จากที่ก่อนหน้านี้พี่พีเป็นฝ่ายเดินตามหลังผมตลอด
“เอ้อพี่ ล้าเต้หายแล้วนะ กลับมาซนได้เหมือนเดิมแล้ว” ประโยคทำลายความเงียบของผมเกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
รุ่นพี่ตัวสูงเหลือบตามองมาทางผม “หรอ ดีแล้ว”
“อยากเข้าไปเล่นกับมันปะ หมาผมน่ารักนะ” เอ่ยคำชวนพร้อมยักคิ้วให้
“ได้หรอ ไม่ดีมั้ง” คนข้างตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ
“ได้ดิ วันนี้แม่ก็อยู่ เดี๋ยวอ้อมไปเล่นหลังบ้านเล็ก” คำชักชวนที่ออกมาโดยไม่รู้ว่าจะต้องชวนทำไม แต่แค่รู้สึกอยากรู้จักคนหน้าดุคนนี้เพิ่มขึ้นไปอีก
“อืม”
“เย้ พี่ต้องหลงรักมอคค่ากับลาเต้ของผมแน่ๆ” คำโฆษณาหลุดจากปากไม่ขาดสาย
คนตัวสูงหันมายิ้มมุมปากให้ผม “หึหึ...เด็กน้อย”
หลังจากบทสนทนาจบลงเพียงไม่นาน ผมกับพี่พีก็เดินมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่ปิดกั้นด้านหน้าด้วยประตูรั้วอัลลอยด์ เลยพารุ่นพี่ตัวสูงผ่านเข้าบ้านด้วยประตูเล็กแล้วเดินอ้อมสนามหญ้าไปทางหลังบ้านเล็กที่ผมอยู่กับแม่สองคน
บ๊อกๆ บ๊อกๆ เสียงทักทายจากสุนัขพันธุ์ปอมปอม ที่มีรูปหน้าคล้ายหมี เล็ดลอดออกมาจากประตูด้านหลังที่กั้นระหว่างครัวกับนอกบ้าน ยังไม่ทันก้าวเข้าไปประชิด ประตูบานนั้นก็เปิดออกจนสุนัขอ้วนกลมสองตัวกระโดดพุ่งออกมาตรงที่ผมยืนอยู่
“งื้ออออ ไงไอ้อ้วน พี่กลับมาแล้ว” ผมย่อตัวลงไปจับเจ้าตัวอ้วนกลมที่วิ่งส่ายก้นดุ๊กดิ๊กอยู่รอบๆตัวผม
“อ้าว อิน ทำไมเข้าหลังบ้านล่ะลูก แม่ก็ตกใจอยู่ดีๆเจ้าสองตัวก็วิ่งเข้าครัว”
“แหะๆ” หัวเราะเสียงแห้งใส่ผู้เป็นแม่
“แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ เพื่อนหรอ?” คำถามจากแม่ดังขึ้นหลังจากสายตาของแม่มองข้ามผ่านผมที่นั่งยองกับพื้นไป
“อ้อ นี่รุ่นพี่ที่มออ่ะแม่ ชื่อพี่พี” เอ่ยแนะนำเสร็จผมก็หันไปที่เจ้าของชื่อ “พี่พีนี่แม่ผมเอง”
“สวัสดีครับคุณน้า” คนตัวสูงยกมือพุ้มไหว้พร้อมกับก้มหัวแสดงความนอบน้อมกับผู้อาวุโสกว่ามาก
“หืม ไม่ต้องเรียกคุณน้าหรอ เรียกน้าแอนก็ได้ น้าไม่ถือจ๊ะ แล้วนี่รุ่นพี่คณะของอินใช่ไหม น้าฝากช่วยดูอินด้วยนะ มาๆเข้าบ้านก่อน” แม่ผมเอ่ยยาวไม่เว้นช่วงให้อธิบายความจริงเลย
ผมผุดขึ้นยืนแล้วเดินนำพี่พีเข้ามาในตัวบ้านในส่วนที่เป็นห้องครัว ที่บริเวณกลางห้องมีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารขนาดเข้ากับห้องตั้งอยู่ เลยพยักเพยิดส่งสัญญาณให้คนตัวสูงไปนั่งเก้าอี้ตรงนั้น
ระหว่างนั้นพี่พีก็อธิบายความจริงกับแม่ผม “ป่าวครับ ผมเรียนวิศวะฯโยธา”
“อ่าว แล้วไปรู้จักพี่เขาได้ยังไงล่ะ” คนร่างบางที่มีฐานะเป็นแม่หันมาถามผม
“พี่พีเป็นรุ่นพี่ของไอ้ภาคอ่ะแม่” ตอบพร้อมทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามแขกผู้มาเยือน โดยที่มีแม่ผมนั่งอยู่หัวโต๊ะ
“หรอจ๊ะ ถึงจะคนละคณะยังไงน้าก็ฝากอินด้วยนะ” แม่เอ่ยย้ำประโยคก่อนหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ได้ครับ” เจ้าของหน้าดุเอ่ยตอบแม่ของผม แต่ทำไมสายตาต้องมองมาที่ผมด้วยเนี่ย
“นี่ยังไม่ได้กินข้าวกันมาใช่มั้ย เดี๋ยวกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะพี”
“เอ่อ..” คนตัวสูงมีสีหน้าเกรงใจจนรู้สึกได้
“แม่ผมทำกับข้าวอร่อยมากนะ อร่อยกว่าเชฟภัตตาคารอีก พี่ต้องลอง” ผมรีบโฆษณาขายฝีมือทำกับข้าวของแม่ให้คนร่างสูงตอบตกลง
“ไม่ต้องเกรงใจนะลูก ปกติแม่ก็กินลูกชายแค่สองคนเอง” แม่หันไปเอ่ยสำทับด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นวันนี้ผมขอฝากท้องด้วยนะครับน้าแอน” พี่พีตอบรับคำชวนด้วยรอยยิ้มกว้าง
หืม พี่พียิ้ม นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของผมเลยนะ ฮ่าๆ
กินข้าวกันไปก็คุยกันไปหลากหลายเรื่องราว ส่วนใหญ่ก็หนักมาที่ผมถูกแม่เผาซะไหม้เป็นฝุ่นเลย เรื่องตลกในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของผมก็ถูกแม่ขุดค้นขึ้นมาเล่าให้พี่พีฟัง แทนที่ผมจะรู้สึกอาย แต่รู้อะไรกันไหมครับ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้มคือผมได้เห็นมุมแปลกใหม่ของพี่พี รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่สายตาติดดุนั้น มันทำให้ผมยิ้มตาม ทั้งยังให้ความรู้สึกว่า
รอยยิ้มกับพี่พีก็ดูเข้ากันดีนะ
อาหารมื้อเย็นของบ้านกับแขกผู้มาเยือนก็ผ่านพ้นไปด้วยดี รุ่นพี่ตัวสูงออกปากชมรสฝีมือของแม่ผมไม่ขาดปาก แม่ผมก็ปริ่มใจยิ้มแก้มแทบแตก แถมแม่ยังชวนพี่พีคุยเหมือนรู้จักกันมานาน ผมที่ถูกมอคค่าลาเต้ดึงความสนใจให้ไปหยอกล้อกับมันก็ปล่อยให้เขาทั้งสองคุยกันไป เพียงไม่นานที่แม่จัดการความเรียบร้อยภายในครัวเสร็จก็ปลีกตัวเข้าไปในบ้าน ปล่อยพี่พีไว้กับผม และสุนัขอีกสองตัว
“นั่งลงสิ”
รุ่นพี่ตัวสูงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างๆผม กลิ่นกายที่ไม่คุ้ยเคยของพี่พีทำให้เจ้าอ้วนทั้งสองตัวเกิดความสนใจเข้าไปทำจมูกฟุดฟิดวนรอบตัวของพี่พี คนหน้าดุที่กลายเป็นเป้าหมายการสำรวจของหมาอ้วนก็ได้แต่นั่งนิ่งสงบเสงี่ยมรอผลสำรวจ แล้วก็เป็นเจ้าลาเต้ สุนัขพันธุ์ปอมปอม เพศเมียของน้องอรที่อัธยาศัยค่อนข้างดีก็กระโจนขึ้นไปนั่งบนตักของพี่พี เจ้าตัวก็เลยยกมือขึ้นมาลูบหัวลูบตัวของลาเต้พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ส่วนเจ้ามอคค่าก็พาตัวกลมๆขึ้นมายคเหน้าตักของผมเป็นที่ซุกตัว เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของผมตลอดเวลาโดยเฉพาะรอยยิ้มนั้น
“มองอะไร” เป้าสายตาของผมเอ่ยถามโดยที่ไม่หันหน้ามามอง
“เอ่อ มองลาเต้ไง มันดูชอบพี่นะ”
“อืม อ้วนนะ” คนข้างๆผมเอ่ยตอบในขณะที่มือยังไม่เลิกสัมผัสขนของเจ้าลาเต้
“นี่ผอมลงแล้วนะเนี่ย เพิ่งหายป่วย แต่มันกินเก่ง เดี๋ยวก็อ้วนอีก”
“แล้วตัวนั้นทำไมไม่ค่อยซน”
“มอคค่าอ่ะหรอ มันเป็นหมาหนุ่มจอมสุขุม ฮ่าๆ” ก้มลงเอ่ยหยอกเหย้าเจ้าอ้วนบนตักพร้อมกับสางนิ้วไปตามเส้นขนสีน้ำตาลเข้ม
แช๊ะ! ผมเงยหน้าตามเสียงชัตเตอร์ที่ดังอยู่ใกล้ตัว “เห้ย ถ่ายรูปผมทำไมพี่?”
“กูถ่ายหมา” เขาตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก พร้อมกับยกมือขึ้นมาโคลงศีรษะผม
อ๋อหรอ...ตามนั้น
(มีต่อด้านล่าง)