♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59  (อ่าน 43596 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



♧♣ลิขิตชะตารัก♣♧


By RyuKi



***ภาคต่อ : หทัยเทพสวรรค์***

ลิขิตชะตารักจะไม่ได้เกริ่นถึงที่มาที่ไปเริ่มต้นของตัวละคร จึงเเนะนำให้อ่านหทัยเทพสวรรค์ที่ลิงค์ด้านล่างก่อนนะจ้ะ

Link : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49425.0


Start : 25/12/2015

End : .......

 


เรื่องย่อ

 
ไม่รู้นับว่าเป็นปีซวยรึไม่ ทั้งที่ออกตรวจราชการอย่างเงียบๆ

ดวงกลับสมพงศ์ให้มาเจอะกับคู่ปรับที่ฝีปากเป็นหนึ่งโวยวายเป็นสอง

หนำซ้ำเจอกันทีไรล้วนประสบพบเภทภัยทุกครา

ยังมีเสน่ห์ที่ยังมิได้ใช้ออกที่ดึงดูดทั้งบุรุษแลสตรีเข้ามาปั่นป่วนมิหยุดหย่อน


 

          ได้ฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มก็มีอันต้องฉุนกึก โต้เสียงแข็ง “บางทีอาจเป็นเจ้าที่ไม่ได้เรื่องมากกว่า”

          “นี่เจ้าหาว่าข้าไม่ได้เรื่องงั้นรึ”

          “ใช่ แล้วจะทำไม”

          ไป๋เซ่อตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ละล่ำละลักชี้หน้าด่า “จะ เจ้านั่นแหละที่ไร้น้ำยา” สิ้นเสียงกล่าวซวนหยวนหมิงไท่ก็เผยสีหน้าขุ่นเคืองอย่างที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน จู่ๆก็รู้สึกประหวั่นอยู่ลึกๆ เขาลอบร้องในใจ..แย่ล่ะสิ

          ยังมิทันจะถอยหนีต้นคอก็ถูกรั้ง กรามถูกจับตรึงไว้จนเจ็บ ต่อด้วยปากถูกกระแทกขบเม้มจนมิอาจหลุดคำด่าได้อีก นอกจากนี้เอวยังถูกรวบดึงเข้าในอ้อมกอดอันรุ่มร้อน

          ...นี่ตนใช่ฝันไปรึไม่ บุรุษผู้ซึ่งเยือกเย็นอยู่เสมอ ไฉนจึงมีอีกด้านหนึ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ได้...



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Fanpage : https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2016 20:09:59 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทนำ นามที่หายไป

 

          ท้องฟ้าสีครามทางฝั่งบูรพาอันไพศาล ณ ดินแดนอันอุดมไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ฝูงนกยวนยางเคียงคู่แหวกว่ายในลำธารน้ำใส ลมพลิ้วไหวพัดพาเมฆาสีขาวล่องลอย แค่ต้องมองภาพเหล่านี้อยู่ทุกเชื่อเมื่อวัน คนที่นั่งชันเข่า มือถือไว้ด้วยไม้กวาดแถวลานหน้าประตูตำหนักหวางซินก็ต้องสัปหงกแล้ว

          พอดีกับที่ผู้เฒ่าจันทราผู้มีเส้นผมและหนวดเคราสีขาว ถือไม้เท้าประจำตัวก้าวข้ามประตูด้วยสีหน้าอันเหนื่อยล้า ก่อนหน้านี้ตรวจดูบันทึกรายนามเนื้อคู่จำนวนเหยียดยาว ทั้งยังล่วงหน้านับพันกว่าปีก็ชวนให้ล้าแก่สายตายิ่งนัก หากได้แวะไปผ่อนคลายยังทะเลตงไห่คงจะดีไม่น้อย

          ทว่าฉับพลันนั้นสายตาก็สะดุดเข้าที่เด็กหนุ่มในชุดสีเขียวอ่อน หน้าผากคาดไว้ด้วยผ้าดิบสีดำตัดกับเส้นผมสีเทาอ่อน กำลังนั่งหลับตาด้วยสีหน้าฝันหวาน มุมปากของผู้เฒ่าจันทราก็ถึงกับกระตุก มือพลันขยับไม้เท้าเขี่ยก้นน้อยๆที่รากงอกอยู่บนพื้น “เจ้าตัวขี้เกียจ มาอยู่มิทันไรก็อู้เสียแล้ว”

          “อ้ะ นกเป็ดน้ำย่างก็ดีเหมือนกัน” เด็กหนุ่มงัวเงียหลุดพูดอย่างไม่ระวัง ครั้นหรี่ตาขึ้นก็ใช้มือปาดเอาน้ำลายที่มุมปากอย่างส่งๆ

          ผิดกับทางผู้เฒ่าที่ฟังแล้วลมแทบจุกอก หันไปมองดูฝูงนกยวนยางที่เคยลอยกันอย่างสงบต้องพากันแตกฮืออย่างน่าสงสารในทันทีก็หน้าเครียดขมึง มิน่าตั้งแต่เจ้าเด็กคนนี้มาทำความสะอาดที่นี่ ฝูงนกของเขาก็เกิดอาการเครียดจนขนร่วงเป็นกระจุก “หนอย หากยังคิดมิดีมิร้ายกับนกของข้าอีก ข้าจะไปรายงานท่านมหาเทพ”

          เสียงตวาดทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น ก่อนจะสบสายตาเข้าที่ใบหน้าดำแดงของผู้เฒ่าเคราขาว ครั้นทำความเข้าใจได้ก็เอ่ย “อ้ะ เรื่องนี้โทษข้ามิได้นะ ก็ใครใช้ให้ตำหนักท่านมีแต่เจ้าเป็ดน้ำพวกนี้” ของว่างอร่อยๆก็ไม่มี เทียบมิได้กับตำหนักของท่านมหาเทพเลยสักนิด

          “เฮอะ วันๆคิดแต่เรื่องกิน” เฒ่าจันทราแค่นเสียงมิพอใจ ไฉนเจ้าเด็กปากดีเอาแต่ใจที่ชอบสร้างความปั่นป่วนให้กับพิภพสวรรค์ถึงต้องถูกลงโทษมาทำความสะอาดที่นี่ด้วย “ช่างเถอะ ถือเสียว่าตาแก่อย่างข้าโชคไม่ดี” เขาพึมพำ หวังว่าคราวหน้าเจ้าเด็กคนนี้ทำผิดแล้วต้องจับไม้ติ้ว คงจะไม่โชคร้ายจับโดนตำหนักเขาอีกครากระมัง

          “ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าเข้าไปทำความสะอาดด้านในก็แล้วกัน แต่จำไว้ห้ามแตะต้องบันทึกที่อยู่บนโต๊ะทำงานของข้าเด็ดขาด”

          “ไว้ใจข้าได้เลย” เขายืดอกเต็มที่ ทว่าท่านผู้เฒ่ากลับมีสีหน้าไม่ไว้ใจนัก อีกทั้งก่อนจะไปยังหันมากำชับกำชาครั้งแล้วครั้งเล่า

          “ยังมีนกยวนยางทั้งหมดพันตัวของข้า หากหายไปแม้แต่ตัวเดียว ข้าจะรายงานท่านมหาเทพ”

          คำก็ท่านมหาเทพ สองคำก็ท่านมหาเทพ ฟังแล้วร่างสีเขียวก็เบ้ปาก รอจนร่างของผู้เฒ่าลับไปเขาก็โผทะยานตัวเหนือน้ำ คว้าตัวเจ้านกเป็ดน้ำตัวอ้วนตัวหนึ่งไว้ในมือ “ฮึ ฮึ ในเมื่อหวงนักข้าก็จะค่อยๆเอ็นดูเจ้าเอง” มุมปากพลันแสยะขึ้น ทำเอานกยวนยางซึ่งดวงตกต้องตัวลีบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          หนีบเจ้านกอ้วนเข้าไปด้านในตำหนัก ไม่นานก็พบข้าวของจำพวกม้วนกระดาษยาววางสุมๆกันอยู่บนโต๊ะ มองซ้ายแลขวาก็สักครู่ก็โพล่งออกมาอย่างมิเข้าใจ “ก็สะอาดดีนี่ ไม่เห็นต้องให้ข้าทำความสะอาดเลย” จะว่าไปแล้วทุกตำหนักที่เขาโดนลงโทษให้ไปทำความสะอาดกลับไม่เคยเห็นฝุ่นเลยสักครั้ง เช่นนั้นแล้วจะส่งเขามาทำไมกัน

          ได้ทีก็ถือโอกาสสำรวจ วางเจ้านกเป็นน้ำตัวอ้วนบนโต๊ะ แล้วหันไปหยิบม้วนกระดาษขึ้นแทน ลืมคำกำชับก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น “นี่คงมิใช่บันทึกเนื้อคู่หรอกนะ” รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้น เขาคลี่ม้วนกระดาษออกดู ดูว่าบางคู่มีคำอธิบายเล็กๆหรือคำทำนายกำกับอยู่ คล้ายเป็นคู่ที่มีชะตาต้องฝ่าฝันอุปสรรคชวนซึ้งน้ำตาไหล บ้างพบพรากแยกจาก

          มาตรว่าอ่านฆ่าเวลาในช่วงแรกก็ใคร่รู้สึกสนุก ทว่าพอผ่านพ้นไปช่วงระยะหนึ่งก็ชักจะง่วงงุน “เฮ้อ น่าเบื่อจริงๆ ไม่มีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจกว่านี้หรือ” ขณะที่กำลังหาวหวอดเป็นครั้งที่สี่ สายตาเรียวก็พลันสบเข้ากับม้วนไม้ไผ่ที่ซึ่งมีเจ้าเป็ดยวนยางนั่งทับอยู่

          เขาดึงมันออกมาอย่างสงสัย คลี่ออกบนโต๊ะแล้วจึงได้พบกับความแตกต่าง ในม้วนไม้ไผ่นี้แม้เป็นบันทึกเนื้อคู่เฉกเช่นเดียวกับม้วนกระดาษอื่น หากแต่รายนามกลับเป็นของเชื้อพระวงศ์ในพิภพมนุษย์ทั้งสิ้น “อืม อันนี้ดูสนุกกว่าของอันก่อนตั้งเยอะ” เนื่องเพราะคำทำนายชวนให้ดูยุ่งยากกว่าคนธรรมดา ทำให้เขานึกสนุกอยากจะไปสอดส่องยังพิภพมนุษย์

          ครั้นระหว่างที่อ่านก็รินชายกขึ้นดื่มดับกระหาย จากนั้นวางถ้วยน้ำชาที่ยังคงไม่หมดไว้บนโต๊ะข้างตัว มิทันได้สังเกตถึงนกยวนยางตัวอ้วนที่กำลังย่างก้าวเข้ามานั่งไซร้ขนยังปลายม้วนไม้ไผ่ที่คลี่วางอยู่ รอจนเด็กหนุ่มขยับดึงขึ้น มันก็ตกใจไถลไปชนกับถ้วยชาที่พึ่งวางลง

          “ว๊ากกก นี่เจ้าทำอะไรเนี่ย” ร่างสีเขียวร้องลั่น มองน้ำชาที่เนืองนองบนบันทึกในมือแล้วก็ตะลึงลาน หากเรื่องนี้ถึงหูท่านมหาเทพ เขามิต้องถูกส่งไปทำความสะอาดอีกหรือ ว่าแล้วก็รีบใช้ชายเสื้อเช็ดรอยน้ำ ขัดถูวนไปวนมาอย่างบ้าคลั่ง ต่อเมื่อมันแห้งสนิทก็ยิ้มปาดเช็ดเหงื่อ

          ...เช่นนี้คงไม่มีปัญหาแล้วกระมัง ทว่าเมื่อผละมือออกจากตำราที่แห้งสนิท ดวงตาเรียวก็มีอันต้องเหลือกขึ้น

          “ไม่จริงน่า” ที่มุมหนึ่งของบันทึกกลับมีร่องรอยถูกลบไป คงมิใช่เป็นเพราะเมื่อกี้หรอกนะ เขากลืนน้ำลายดังเฮือกพลางก้มหน้าพิสูจน์

          เจ้าผู้ครองแผ่นดินซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่ ถือทศพิธราชธรรม เป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้า ยึดถือน้ำใจเป็นหลัก วาสนารายล้อมไปด้วยผู้โดดเด่น ชะตาพันผูกคู่ชีวิต จะดีเลวเกื้อหนุนฉุดรั้ง ขึ้นอยู่กับผู้ที่เลือก...

          มาตรว่ารายชื่อคู่ชีวิตของเจ้าของชะตามีให้เลือกถึงสาม ทว่าหนึ่งในนั้นกลับมีรายชื่อหนึ่งซึ่งถูกลบเลือนไปจนเหลือเพียงแค่แซ่จริงๆ เห็นแล้วเหงื่อกาฬก็พลันหลั่งไหลอาบข้างแก้ม เขาหันไปสบตากับเจ้าเป็ดตัวดีแล้วจึงแสยะยิ้ม “เอาเป็นว่าทั้งเจ้าและข้าต่างเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เรื่องในวันนี้ถือว่าข้าไม่รู้เจ้าไม่เห็นก็แล้วกัน แฮะ แฮะ”

          เป็ดน้ำน้อยพยักหน้า มองผู้กล่าวม้วนบันทึกไม้ไผ่อย่างรีบร้อน ท้ายที่สุดเมื่ออีกฝ่ายเก็บข้าวของเสร็จก็พามันคืนสู่ลำธาร จากนั้นเผ่นแนบไปแบบไม่เหลียวหลัง ต่อเมื่อท่านผู้เฒ่าจันทรากลับมาก็มิได้ผิดสังเกตอันใด ยังคงเก็บม้วนบันทึกต่างๆไว้ในหีบตามปกติ

          กระทั่งถึงยามที่ค่ำคืนเงียบสงบ มันแหวกว่ายอิงแอบเคียงคู่กับคู่รัก หากแต่ในใจพลันเอาแต่นึกถึงนามที่ลบเลือนจนเหลือเพียงแค่แซ่...



****************************************************************


ฝากเเนะนำกันด้วยน้าาาา :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2016 21:50:29 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 1 ระบำงู


   
          เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณตลาดในย่านเขตตงหัว ตลาดการค้าที่ใหญ่ครึกครื้นเป็นอันดับต้นๆของแถบทางใต้ ชายผู้หนึ่งแต่งตัวทะมัดทะแมง ดูไปคล้ายจอมยุทธ์ที่ออกพเนจรไปทั่วหล้า หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูผิดแผกไปจากจอมยุทธ์คนอื่นๆ นั้นคือกลิ่นอายที่แฝงไว้ด้วยความสูงส่งสง่างามเหนือกว่าใครๆ
         
          ทว่าตอนนี้เขากำลังกรอกตาไปมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตื่นตะลึงอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน มาตรว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขามิใช่กระไร เป็นเพียงกลุ่มพ่อค้านอกด่านที่นำสัตว์ต่างๆมาเร่ขาย ทำการแสดงโชว์ด้วยสัตว์เล็กๆ แปลกตาหายากไปตลอดจนสัตว์ที่มีพิษดุร้าย

          แลในขณะนี้เสียงปี่ของพ่อค้านอกด่านก็ดังออกมาเป็นท่วงทำนองเร้าใจ ดึงดูดให้ชาวบ้านมายืนออดูสัตว์ที่กำลังเต้นระบำอย่างออกรสกันอย่างสนุกสนาน กระนั้นเขากลับรู้สึกตัวว่าโง่งมไปชั่วครู่ หากบอกว่าเขาไม่เคยเห็นมันก็เท่ากับว่าเขาพูดปด แต่ก็มิเชิงโป้ปดเสียทีเดียว เพราะเขาไม่เคยเห็นมันเต้นระบำได้เอวพลิ้วไหวเสียขนาดนี้

          “คงจะดีหากไม่ใช่ความจริง ข้าคงตาฝาดไปแน่ ฮ่า ฮ่า” องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ในคราบชาวยุทธ์รีบปัดไม้ปัดมือใส่ภาพไร้สาระเบื้องหน้าพร้อมทั้งหัวเราะกลบเกลื่อน บางทีแสงแดดที่นี่อาจแรงเกินไปจนพลอยทำให้เกิดเป็นภาพหลอนก็เป็นได้

          ขณะที่กำลังหมุนกาย ในชั่วอึดใจนั้นเสียงเพรียกแห่งความเป็นจริงก็ดึงสติให้เขากลับมายอมรับความจริงที่ค่อนข้างจะ...ปวดร้าว

          “เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ รีบมาช่วยข้าเดี๋ยวนี้เลย เฮ้ อย่าเดินหนีสิ เจ้าองค์รัชทายาทงี่เง่า” เสียงร้องของงูเผือกสีขาวที่กำลังเต้นระบำอย่างเอาเป็นเอาตายแผดดังขึ้น ยังผลให้คนที่กำลังหันหลังเผ่นหนีต้องหยุดชะงัก

          ดูว่างูเผือกส่งเสียงขู่สักเท่าไร กระนั้นก็มีเพียงเขาที่ได้ยินเช่นนั้น ลองเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นก็คงจะได้ยินแค่เพียงเสียงฟ่อ ฟ่อ ที่ดังเข้าจังหวะไปกับเสียงเพลงอันเร้าใจ จู่ๆภาพการสนทนากับต้าเซียน มหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ซึ่งรั้งตำแหน่งภรรยาหนุ่มของสหายสนิท เซียวถิงฟง ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ผุดขึ้นมาให้ย้อนคิดอีกครั้ง

          ณ อุทยานในเขตตำหนักเหวินหัว ในช่วงแดดคล้อยสายลมเย็นสบายนั้น กลับมีน้ำเสียงอ่อนหวานแทรกผ่านอากาศ ร่างของบุรุษในอาภรณ์สีขาวเหาะเหินบุกรุกเข้ามาด้านในตำหนัก กระทั่งเหล่าองครักษ์ก็มิได้สังเกตเห็น
   
          “ซวนหยวนหมิงไท่”

          เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ต่อเมื่อต้าเซียนหยุดตัวลงตรงหน้าพอดิบพอดี เขาจึงทัก “ฮา ข้ากำลังไปเยี่ยมท่านพอดี ไฉนท่านกลับมาหาข้าก่อน”

          “คือ ข้าได้ยินว่าอีกไม่กี่วันนี้ ท่านจะไปตรวจราชการยังเขตเมืองต่างๆ ข้าเลยคิดว่าสมควรมาเยี่ยมเจ้าเสียก่อน แฮะ แฮะ” กล่าวจบต้าเซียนก็หัวเราะแห้งๆ พลันให้อีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วน้อยๆ

          “ท่านมีอะไรหรือไม่ เหตุใดจึงดูวิตกชอบกล”

          “ไม่นี่” ต้าเซียนแย้งเสียงสูง ครั้นพอรู้สึกตัวก็ลดน้ำเสียงลง “เออ ข้าเพียงแค่อยากสนทนาเรื่อยเปื่อยกับเจ้านิดหน่อยเท่านั้นเอง”
   
          “.........”

          จวบจนไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบจนหมดข้อคำถาม อีกฝ่ายก็ยังคงก้มหน้าดื่มน้ำชา “จริงสิ ไป๋เซ่อไม่ได้ลงมาที่โลกมนุษย์กับท่านรึ เหตุใดจึงไม่เห็นเขา” รัชทายาทหนุ่มถามด้วยความสงสัยเมื่อไม่เห็นเจ้างูที่ชอบเกาะติดเจ้าตัวเป็นประจำอยู่ด้วย

          ฉับพลันนั้นต้าเซียนก็แทบจะสำลักน้ำชาออกมา ใครใช้ให้ถามขึ้นมาอย่างมิมีปี่มีขลุ่ย “ฮ่า ฮ่า ไป๋เซ่อ เขา...เขามีธุระน่ะ อีกไม่นานเจ้าคงได้พบเขาแน่”

          ร่างสีขาวกล่าวจบก็เลี่ยงสายตาอย่างมีพิรุธ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงท่าทีแปลกๆ จึงนึกลอบสงสัย ทั้งยังรู้สึกสังหรณ์ใจแปร่งๆ ครั้นกำลังจะเอ่ยขึ้นอีกสักประโยค เจ้าตัวกลับลุกพรวดขึ้นปุบปับ
   
          “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ถิงฟงรอข้าอยู่ที่จวน ส่วนเจ้าก็ไปดีมาดี ข้าบอกได้เพียงการเดินทางครั้งนี้ของเจ้าคงต้องเผชิญเรื่องราวมากมาย...” กระทั่งเห็นสีหน้าที่งุนงงของรัชทายาทหนุ่มก็เงียบไปเล็กน้อยแล้วจึงส่งยิ้มหวาน กล่าวทิ้งท้าย
         
          “จะอย่างไรก็ฝากไป๋เซ่อด้วยล่ะ” 

          “เดี๋ยวๆ ข้าไปตรวจราชการต่างแดน ไยท่านต้องฝากไป๋เซ่อด้วยเล่า” ร่างบางทะยานตัวเหาะเหินขึ้นทันทีที่เขาอ้าปาก รอจนกล่าวจบเขาก็ได้แต่มองเงาหลังนั้นอย่างมิเข้าใจนัก

          ...หากแต่วันนี้ เขาเข้าใจแล้ว

          “เอ่อ พ่อค้า งูเผือกเต้นระบำตัวนี้ขายเท่าไหร่” เขากล่าวถามพลางบีบนวดขมับตัวเองไปด้วย

          “เจ้าว่าใครเป็นงูเผือกเต้นระบำกันหา เจ้าคนปากเสีย” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ขู่ฟ่อร้องด่าซวนหยวนหมิงไท่ยกใหญ่

          พ่อค้านอกด่านลดปี่ลงจากริมฝีปาก มองประเมินผู้ถามซึ่งอยู่ในมาดของจอมยุทธ์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจบดบังรัศมีอำนาจสง่างาม ทั้งคำพูดคำจาสุภาพคล้ายกับเป็นขุนนาง เมื่อสรุปได้ดังนั้นก็เตรียมจะโก่งราคาเต็มที่ ทั้งๆที่งูเผือกตัวนี้ตนเองก็ไม่ทราบว่าได้มาอย่างไร เพียงตื่นขึ้นก็พบว่ามันนอนงูในกรงในโรงเก็บสัตว์ต่างๆของตนแล้ว

          “สิบตำลึงทอง” พ่อค้านอกด่านตอบเสียงดังฉะฉานแล้วแอบหัวเราะในใจ

          “สิบตำลึงทองรึ” เขาทวนคำพลางครุ่นคิดหนัก ยังผลให้พ่อค้านอกด่านรีบออกปากบรรยายสรรพคุณ

          “นายท่าน งูเผือกตัวนี้เกล็ดเรียบลื่น สีขาวเผือกปลอดไปทั้งลำตัว รูปร่างก็อ้วนท้วมสมบูรณ์ อีกทั้งแสนฉลาด สิบตำลึงทองถือว่าคุ้มค่ายิ่ง”

          ฟังแล้วไป๋เซ่อในร่างงูยืดอกรับเต็มที่ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับขมวดคิ้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อีกทั้งหน้าตายราวกับว่ามิได้ฟังคำบรรยายของพ่อค้าแม้สักกะผีกเดียว

          “อืม แพงเกินไป ข้าว่าสักสามตำลึงทองพอ”

          คำดังกล่าวทำเอาพ่อค้านอกด่านนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ด้วยไม่คิดว่าจะถูกกดราคาเสียต่ำขนาดนี้

          ด้านไป๋เซ่อที่ยืดอกก็ถึงกับต้องอ่อนยวบไปในทันที “เจ้าดูถูกข้าอย่างนั้นรึ ข้าเป็นถึงงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ มือขวาของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ เหตุใดค่าตัวของข้าจึงต่ำเพียงแค่สามตำลึงทอง” ไป๋เซ่อก่นด่าจนแทบจะพ่นน้ำลายใส่หน้าผู้เป็นองค์รัชทายาท

          “ตกลงว่างูเผือกเต้นระบำนี้ จะขายสามตำลึงรึไม่” เขาถามต่อมิสนใจร่างที่กำลังดิ้นพล่านไปด้วยความโมโห แถมยังเน้นประโยค ‘งูเผือกเต้นระบำ’ อย่างชัดถ้อยช้อยคำ
“ข้าบอกว่า ข้าไม่ใช่งูเผือกเต้นระบำ เจ้ารัชทายาทงี่เง่า”

          “เอ่อ...” พ่อค้านอกด่านอ้ำอึ้ง ปกติแม้จะถูกลูกค้าต่อราคาแต่ตนก็สามารถโต้กลับได้ทันที แต่วันนี้คล้ายโดนรัศมีของคุณชายท่านนี้ข่มขวัญไป

          “ข้าให้เจ้าหกตำลึงทอง”

          ในระหว่างที่พ่อค้ายังคงคิดไม่ตก ฉับพลันนั้นเสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวนางหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงถุงเงินหนักๆตกลงบนโต๊ะ ทำให้คนทั้งสองกับอีกหนึ่งตัวต่างหันไปมองผู้มาใหม่กันกันเป็นตาเดียว

          ดูว่าสตรีผู้นี้มีหน้าตาจิ้มลิ้มสะสวย อายุราวสิบแปดปี แม้เสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางใส่ดูราวกับเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ

          “ขออภัยแม่นาง ข้าเจรจาซื้อขายงูเผือกตัวนี้อยู่กับพ่อค้าก่อน ขอแม่นางได้โปรดเข้าใจด้วย”

          เมื่อถูกขัดจังหวะ มู่อิงเอ๋อร์ หรือธิดาเจ้าเมืองตงหัวก็ปรายตามองบุรุษผู้กำลังสนทนากับตนอย่างเย็นชา ทว่าเพียงแวบแรกนางก็แทบตะลึงลาน ด้วยเกิดมานางมิเคยพานพบบุรุษผู้มีดวงหน้างดงามประดุจเทพสวรรค์เช่นนี้มาก่อน

          “พ่อค้าในเมื่อแม่นางท่านนี้เห็นว่าราคาหกตำลึงทองเหมาะสม เช่นนั้นข้าจะซื้อในราคาหกตำลึงทอง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวกับพ่อค้าที่กำลังงงงันได้ที่

          ตุบ แต่แล้วเงินอีกสองตำลึงทองก็ถูกโยนลงมาบนโต๊ะอีกครั้ง ไป๋เซ่อมองเงินสองตำลึงทองที่เพิ่มเข้ามาแล้วก็อดที่จะยืดอกภูมิใจอีกครั้งมิได้

          “ข้าให้เจ้าแปดตำลึงทอง งูเผือกตัวนี้เป็นของข้า” มู่อิงเอ๋อร์กล่าว อย่างไม่ยอมแพ้ ครั้นหางตาสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้กำลังมองนางอยู่ก็พลันเชิดหน้าขึ้น

          ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่ลอบถอนหายใจกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการซื้องูเผือกเต้นระบำไปเพื่อการใดกัน”

          “ข้าต้องการซื้องูเผือกตัวนี้ไปเป็นส่วนผสมของยาวิเศษ” นางยิ้มแล้วมองหน้าชายหนุ่มตรงๆ ดูว่าดวงตาเขาช่างสว่างไสว ร่างที่สูงโปร่งขับดันให้ดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก

          “เช่นนั้นพ่อค้าข้าให้ท่านเก้าตำลึงทอง จงนำงูเผือกให้ข้า” ซวนหยวนหมิงไท่หันกลับไปกล่าวกับพ่อค้าอย่างไม่ยี่หระ

          ฟังแล้วมู่อิงเอ๋อร์ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ นางถือได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองตงหัวนี้ บุรุษทั้งหลายล้วนตามใจนาง นางอยากได้อะไรพวกเขาล้วนเสาะหามาให้ กระทั่งกริ่งเกรงอ่อนข้อให้ตลอด ผิดกับบุรุษผู้นี้ที่ไม่เหลียวแลนางเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังกล้าขัดใจนาง

          ในที่สุดเงินอีกสี่ตำลึงทองก็ถูกโยนลงโต๊ะอีกครั้ง นางกล่าวอย่างมีโทสะ “พ่อค้าส่งงูเผือกตัวนี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้”

          “แม่นาง ความจริงแล้วราคางูเผือกตัวนี้ไม่น่าสูงถึงสิบสองตำลึงทอง เหตุใดแม่นางจึงต้องทุ่มเงินเพียงนี้ด้วย” เขาเริ่มขึ้นเสียง

          “เจ้าคิดว่าค่าตัวข้าไม่ถึงสิบสองตำลึงทองรึ ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย ฟ่อ” ได้ยินเช่นนั้นดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็แทบจะถลน ไป๋เซ่อดิ้นตัวไปมา ทั้งมิวายขู่ใส่ซวนหยวนหมิงไท่อย่างดุร้าย แต่แล้วไม่นานมันก็ถูกพ่อค้านอกด่านจับยัดใส่ถุงกระสอบอย่างน่าสงสาร

          “หากข้าบอกว่าข้าพอใจเล่า หากท่านไม่พอใจก็เชิญท่านจ่ายในราคาที่สูงกว่านี้สิ” มู่อิงเอ๋อร์ยิ้มกริ่มมองชายหนุ่มที่กำลังครุ่นคิดอย่างซุกซน

          “เช่นนั้นก็แล้วแต่แม่นางเถิด ข้าหวังว่ายาวิเศษของท่านคงจะได้ผลตามที่แม่นางต้องการ” เขายิ้มบางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเสียดาย ยังผลให้มู่อิงเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกผิดคาดที่บุรุษผู้นี้ไม่ตอแยนางต่อ

          “เฮ้ ซวนหยวนหมิงไท่ นี่เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างนี้จริงๆน่ะรึ ไม่ได้นะ ไม่ได้ ฮึกๆ โฮ โฮ ข้าจะกลายเป็นงูตุ๋นแล้วหรือนี่” ไป๋เซ่อที่ซึ่งอยู่ในถุงกระสอบได้ยินคำกล่าวของรัชทายาทหนุ่มแล้วจึงร้องโอดครวญเป็นการใหญ่ มิหนำซ้ำยังตบท้ายด้วยเสียงปล่อยโฮในที่สุด

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่ยังคงเงียบไว้ก่อนดีกว่า นานๆทีจะได้มีโอกาสกลั่นแกล้งเจ้างูเผือกตัวป่วนสักที ย่อมต้องเอาให้คุ้มค่า

          ต่อเมื่อพ่อค้านอกด่านยื่นถุงกระสอบที่บรรจุไว้ด้วยงูเผือกให้ นางก็รับมาอย่างเฉื่อยชา หากแต่สายตากลับมองตามบุรุษที่พึ่งโต้เถียงกำลังห่างออกไปอย่างไม่ละสายตา รอจนเขาลับไปกับฝูงชนนางก็ตัดใจหันหลังไปอีกทาง


***********************************************

          มู่อิงเอ๋อร์เดินออกจากตลาดการค้า ตรงไปยังโรงเตี๋ยมนอกประตูเมืองซึ่งตนฝากม้าไว้ ขณะที่กำลังปลดเชือกจูงม้าออกมาจากคอก ก็พลันรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบที่พุ่งตรงมากะทันหัน นางรีบตวัดตัวหันกลังกลับก็ต้องมีอันตะลึงวูบ

          “แม่นาง พบกันอีกแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มแย้มอย่างสุภาพ

          “ทะ ท่านตามข้ามารึ” มู่อิงเอ๋อร์ยังคงไม่หายตกใจ ครั้นเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายใบหน้าจิ้มลิ้มก็ปรากฏสีแดงเรื่อน้อยๆ

          “ข้าขอกล่าวตามตรง งูเผือกที่แม่นางซื้อไว้ ความจริงเป็นงูเผือกเลี้ยงของข้าเอง เมื่อสองสามเดือนก่อนข้าจำเป็นต้องออกจากบ้าน เมื่อกลับมามันก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว มิคาดว่าจะได้เห็นมันที่นี่อีกครั้ง”

          “ฮึ ที่ท่านกล่าวมามีหลักฐานอันใดกันเชียว” นางแค่นเสียงขึ้นจมูก นี่มิใช่บุรุษผู้นี้หากำลังเรื่องตามพัวพันนางอยู่รึ

          “เช่นนั้น แม่นางขออภัย” ยื่นมือไปคว้าถุงกระสอบที่ผูกไว้ที่อานม้าอย่างรวดเร็ว มู่อิงเอ๋อร์ได้แต่ตะลึงไปกับฝ่ามือที่ว่องไว พริบตาเดียวเขาก็เปิดปากถุงกระสอบ มองไป๋เซ่อที่นอนขดตัวคล้ายด้วยหลับไปหลังจากการร้องห่มร้องไห้อย่างอ่อนอกอ่อนใจ

          แสงลอดผ่านกระทบลำตัวที่เย็นเฉียบ ไป๋เซ่อรู้สึกตัวอีกทีมือข้างที่คุ้นเคยยื่นส่งมาให้ มันส่งเสียงขู่เล็กน้อยก่อนเลื้อยพันแขนข้างนั้นไว้แน่น ราวกับจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดรอดไปได้อีก

          คิดไม่ถึงว่างูเผือกจะเชื่องกับผู้คนได้มากขนาดนี้ มู่อิงเอ๋อร์มองอย่างไม่เชื่อสายตา มิคาดว่าชายหนุ่มจะเบนสายตาขึ้นมองนางพอดี ส่งผลให้ใบหน้านางกลับกลายแดงอีกครั้ง

          “ในเมื่องูเผือกตัวนี้แม่นางจ่ายไปสิบสองตำลึง เช่นนั้นข้าจะจ่ายคืนให้กับแม่นางเป็นเงินจำนวนนั้น” ว่าแล้วมือก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หากแต่ต้องชะงักไป

          ความจริงแล้วเขาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรซวนหยวน เคยพกเงินทองติดตัวเสียเมื่อไหร่ ปกติแล้วเสี่ยวลู่ ขันทีคนสนิทจะมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ แต่ทว่าในตอนนี้เขาหลบเสี่ยวลู่และเหล่าองค์รักษ์ออกมาเดินเล่น แล้วจะทำเช่นไรดีล่ะ

          “โง่เง่า”

          เสียงเยาะของไป๋เซ่อดังขึ้น ดูเหมือนว่ามันเองก็จะรับรู้ปัญหาของเขาแล้ว เขาเงยหน้ามองหญิงสาวที่รอคอยอยู่ “เอ่อ แม่นาง ข้าลืมพกเงินมา ไม่ทราบว่าแม่นางพักอยู่ที่ใด ข้าจะได้นำเงินไปส่งมอบให้ได้” เขาจนใจจึงกล่าวถามอย่างสุภาพ

          ฟังแล้วก็ได้แต่ลอบยิ้มในใจ ที่แท้เขาก็ต้องตานางแล้วนั่นเอง “ข้ามู่อิงเอ๋อร์ เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองตงหัว หากท่านมิรีบนำเงินมาส่งมอบโดยเร็ว ข้าจะให้คนของทางการออกตามล่าท่าน” นางเชิดหน้ากล่าวอย่างภาคภูมิ

          ซวนหยวนหมิงไท่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยกับท่าทีดังกล่าว “ข้าทราบแล้ว แม่นางมู่ เช่นนั้นหากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

          “เจ้าคนไร้มารยาท เหตุใดจึงไม่แจ้งนามแก่ข้า หากเจ้าไม่มาข้าจะเขียนประกาศจับอย่างไรเล่า” มู่อิงเอ๋อร์แสร้งตวาดใส่เล็กน้อยพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแง่งอน แต่แล้วเสียงหัวเราะทุ้มนุ่มดังขึ้นตามมา นางแทบจะละลายอยู่ตรงนั้นทีเดียว

          “ขออภัยที่เสียมารยาท ข้านามหยวนหมิงไท่” กล่าวจบก็ประสานมือให้ จากนั้นใช้วิชาตัวเบาหอบหิ้วไป๋เซ่อที่กำลังรัดแขนตนเองอย่างเอาเป็นตายจากไป


***********************************************

          “อุก ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          บุรุษหนุ่มผู้มีดวงหน้าสะดุดตาระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเสียกระทั่งน้ำในถ้วยชาหกรดมือ คนในโรงเตี๊ยมต่างหันมามองเจ้าของเสียงอย่างสนใจใคร่รู้ หากแต่ก็พบเพียงคนที่นั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่เพียงลำพัง

          “เจ้าหัวเราะกระไรกันหา” ไป๋เซ่อขู่ร้องอย่างอับอาย

          “เจ้ากำลังบอกว่า หลังจากที่เจ้ากลับไปยังพิภพสวรรค์ ก็ลักลอบกินลูกพลับจนหมดสวน จึงถูกผู้อาวุโสเทพทั้งสามลงโทษให้ลงมาเป็น งูเผือกเต้นระบำอย่างนั้นรึ ฮ่า ฮ่า”

          ไป๋เซ่อถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยโทสะ “ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าข้ามิใช่งูเผือกเต้นระบำ เจ้ารัชทายาทงี่เง่า หึ น่าแค้นใจนัก เจ้าแก่เทพอาวุโสทั้งสามถึงกับกล้าสะกดพลังของข้า” แล้วมันจะกลับคืนร่างมนุษย์ ทั้งใช้อิทธิฤทธิ์ได้อย่างไรกันเล่า

          “มิน่า ต้าเซียนถึงได้ฝากให้ข้าดูแลเจ้า” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็อ่อยลง นี่เขาต้องกลับไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กอีกแล้วหรือ นึกย้อนความหลังได้ไม่เท่าไหร่ก็พลันเห็นไป๋เซ่อส่งยิ้มหวานให้กับขนมถั่วแดงแกล้มน้ำชาของเขา ดูท่าอารมณ์คับแค้นเมื่อครู่สลายไปเพียงเพราะขนมเหล่านี้สินะ เขาถึงกับหัวเราะไม่ออก

          “องค์รัชชะ เอ่อ คุณชายท่านหายไปไหนมา บ่าวตามหาแทบตาย” เป็นเสียงของเสี่ยวลู่ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโรงเตี๊ยม ตามมาด้วยองค์รักษ์ที่วิ่งมาหน้าตาตื่นเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง

          “ข้าแค่ไปเดินเล่นมานิดเดียว พวกเจ้าก็อย่าบ่นข้านักเลย”

          “อ้ะ งูเผือกตัวนี้” เสี่ยวลู่อุทานขึ้น เมื่อเห็นงูตัวน้อยที่ดูคุ้นตากำลังกลืนขนมถั่วแดงบนโต๊ะไม่สนใจใคร

          “ฮา ข้าเจอมันเต้นระบำอยู่กลางตลาดน่ะ” เขาอธิบายมุมปากส่อแววหัวเราะเยาะนิดๆ ด้านเสี่ยวลูเห็นผู้เป็นนายอารมณ์ดีก็รีบหาเรื่องสนทนา

          “คุณชาย ระหว่างทางข้าน้อยได้ยินชาวบ้านคุยถึงเรื่องลึกลับยิ่ง เล่าลือกันว่าที่ใต้หุบเขาในเขตท้ายเมืองตงหัวนั้นมีเรื่องประหลาด”

          “หือ มีเรื่องเช่นนั้น” เขาเลิกคิ้วสนใจ เสี่ยวลู่จึงรีบกล่าวต่อ

          “ชาวบ้านเล่ากันว่า หลังตะวันตกดินที่ใต้หุบเขาจะมีนางปีศาจตนหนึ่งคอยใช้เสน่ห์หลอกล่อให้บุรุษหนุ่มเข้าไปติดกับ จากนั้นสูบเลือดสูบเนื้อพวกเขาจนแห้งตาย แต่ที่น่าแปลกคือศพทุกรายมักปรากฏรอยยิ้ม คล้ายยินยอมที่จะตายเอง เพื่อความปลอดภัยชาวบ้านแถวนี้จึงพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวในยามค่ำคืน ฉะนั้นข้าว่าทางที่ดีพวกเราอย่าเข้าไปใกล้แถบนั้นจะดีกว่า”

          ขันทีน้อยออกความเห็นอย่างแข็งขัน ก่อนสะดุดเข้ากับดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวที่กำลังจับจ้องมองตนอย่างสนใจ ดูไปคล้ายมันกำลังยิ้มแฉ่ง แต่เอ๊ะ! เขาตาฝาดไปใช่รึไม่ งูที่ไหนจะส่งยิ้มให้เขาได้ ขันทีน้อยขยี้ตามองมันอย่างงงงวย

          ด้านไป๋เซ่อก็นึกสนุกหันไปกระซิบข้างหูองค์รัชทายาท สักพักสีหน้าของอีกฝ่ายก็พลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

          “คืนนี้ ข้าจะไปสำรวจที่ใต้หุบเขา” รัชทายาทหนุ่มกล่าวน้ำเสียงขุ่น ส่งผลให้เสี่ยวลู่และองค์รักษ์ต่างมองกันอย่างไม่เข้าใจ


          จวบจนราตรีกาลมาถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็ตรงเข้าไปยังใต้หุบเขาอันแสนจะหนาวเหน็บ คนที่เดินนำหน้านั้นดูภูมิฐาน สีหน้ามั่นคงดุจภูผา ตามมาด้วยชายร่างเล็กที่เดินหันซ้ายแลขวาตลอดทาง ที่ท้ายขบวนยังมีบุรุษอีกสามคนที่เปี่ยมด้วยความระแวดระวัง ยังมีงูเผือกอีกตัวหนึ่งที่อารมณ์ดี ชูคอมองนู่นนี้บนไหล่ของบุรุษที่เดินนำ

          อากาศเริ่มเย็นยะเยือกลงเรื่อยๆ เฉกเช่นเดียวกับใจของเสี่ยวลู่ที่ค่อยๆลีบเล็กลง “องค์รัชทายาท กระหม่อมใคร่ถาม เหตุใดพระองค์จึงต้องเสด็จมาที่นี่ด้วย กระหม่อมว่าพวกเราควรรีบไปยังจวนผู้ว่าเขตตงหัวกันเถิด” จู่ๆก็รู้สึกเสียใจว่าไม่ควรเล่าเรื่องพรรค์นั้นออกไปเลย

          “ข้าจะไปกำจัดปีศาจ”

          คำตอบขององค์รัชทายาททั้งสั้นทั้งห้วน และหาได้รู้ไม่ว่าคำดังกล่าวทำให้เสี่ยวลู่และองค์รักษ์ตะลึงตะลานไปกันหมดแล้ว นี่เป็นเพราะหลังจากที่ฟังเรื่องลึกลับจบ เขาก็พลันนึกใส่ใจขึ้นเล็กน้อย จวบจนไป๋เซ่อกระซิบที่ข้างหู

          “นี่ๆ ข้าว่าเจ้าอย่าเข้าไปใกล้แถบนั้นจะดีกว่า ดีไม่ดีเจ้าจะโดนอุ้มไปง่ายๆ ฮ่า ฮ่า ก็ดูเจ้าสิดวงหน้าจิ้มลิ้ม เอวบางร่างน้อยเสียราวกับบัณฑิตขนาดนี้”

          ไป๋เซ่อผู้มีปากแต่ไม่มีหูรูดกล่าวอย่างขำขัน ทำเอาผู้ถูกสบประมาทอารมณ์ขึ้นแทบตาย เคยมีใครว่าเขาว่าหน้าตาจิ้มลิ้ม เอวบางร่างน้อยกันบ้างเล่า สงสัยตาของมันคงมีปัญหาเสียมากกว่า

          “โธ่ องค์รัชทายาท ถึงอย่างไรก็ทรงมิใช่ผู้บำเพ็ญพรต เช่นนี้แล้วพระองค์จะทรงต่อกรกับปีศาจร้ายได้อย่างไรกัน” เสี่ยวลู่โอดครวญ

          “ข้าดูแลตัวเองได้”

          รัชทายาทหนุ่มยังคงตอบอย่างไม่ยี่หระ พาลให้ขันทีน้อยร่ำไห้ภายในใจ...แต่กระหม่อมดูแลตนเองไม่ได้นี่

          ต่อเมื่อเดินจนถึงพื้นที่ป่ารกชัฏ ก็รู้ได้ว่าพื้นที่แถบนี้แทบจะไม่มีคนผ่านมาเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงพลอยทำให้สถานที่แห่งนี้อึมครึมผิดปกติ รอบด้านมีแต่เถาวัลย์ห้อยระย้าทอดลงมาตามต้นไม้ใหญ่ โอบล้อมพวกเขาไว้ทั้งสี่ด้าน ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองก็พบเพียงกิ่งไม้ยุ่งเหยิงที่ปกปิดดวงดาราจนมืดมิด
   
          “เหตุใดต้นไม้พวกนี้จึงดูเหมือนๆ กันไปหมดล่ะ” หนึ่งในกลุ่มองค์รักษ์กล่าวทำลายความเงียบ ดูว่าพวกเขาวนอยู่แถวนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว
   
          “หากจับตำแหน่งดวงดาวมิได้ เกรงว่าพวกเราจะหลงทางเป็นแน่ ถ้าอย่างไรให้กระหม่อมปีนขึ้นไปมองหาตำแหน่งทิศเหนือเองพะย่ะค่ะ”

          ทันทีที่ซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้ารับ องค์รักษ์คนดังกล่าวจึงก็ใช้วิชาตัวเบาถีบตัวขึ้นไปตามต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าดูสิเถาวัลย์พวกนี้ท่าทางจะเหนียว ข้าอยากได้ไปโล้ชิงช้า”

          เสียงขู่ที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นของไป๋เซ่อดังขึ้น เขาขมวดคิ้วพลางคิดว่าความคิดนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี เป็นงูแท้ๆ เหตุใดยังต้องโล้ชิงช้าอีก “ไป๋เซ่อ ข้าว่าเจ้าเหมาะที่จะเป็นงูเผือกเต้นระบำมากกว่างูเผือกโล้ชิงช้านะ” เขากล่าวโต้ตอบในสมองอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ทำเอาไป๋เซ่อเริ่มหันเขี้ยวขู่ใส่หน้าเขา เขาจ้องเขม็งกลับ

          “คิก คิก”

          “นั่นใครน่ะ” ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะ ทั้งเขาและไป๋เซ่อต่างหันไปยังต้นเสียงพร้อมๆกัน แต่ทว่าเบื้องหน้ายังคงมืดมิดไม่มีวี่แววเงาร่างใดๆ

          “องค์รัชทายาท ทิศเหนืออยู่ทางซ้ายพะยะค่ะ”

          พอดีกับที่เสียงองค์รักษ์ตะโกนขึ้นหันเหความสนใจ ทำให้ทั้งสองต่างยักย้ายสายตาออกจากจุดเดิม ทั้งมิได้ติดใจสงสัยอะไรอีก หลังจากนั้นกลุ่มคนราวสี่คนกับอีกหนึ่งตัวก็มุ่งหน้าจ้ำอ้าวผ่านต้นไม้ใหญ่ไปทางซ้ายทันที โดยมิได้ยินเสียงร้องห้ามที่ดังอย่างแผ่วเบาที่เบื้องหลัง
   
          “อย่าไปทางนั้น”



***********************************************


 :z2:  :z2: :z2:
[/size][/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2016 21:53:45 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 2 จุมพิต



          ยิ่งเดินลึกเข้าไปทางทิศเหนือก็ให้รู้สึกผิดปกติ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มีเพียงกระแสลมที่แทรกผ่านต้นไม้จนบังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวที่ฟังดูราวกับโหยหวน ขันทีน้อยเดินสั่นจนตัวแทบจะติดกับรัชทายาทหนุ่มอยู่รอมร่อ

          แสงโคมในมือขององค์รักษ์ทั้งสามเริ่มริบหรี่ กระทั่งลมวูบหนึ่งพัดผ่านก็นำพาเอาแสงสว่างหายไป ส่งผลให้คนทั้งหมดต่างยืนนิ่งเงียบ เว้นเพียงเสี่ยวลู่ที่มือไม้วุ่นวายสะเปะสะปะคว้าแขนผู้เป็นนายไว้ เงาร่างวูบไหวขององค์รักษ์รีบขยับก้มลงจุดโคม โชคดีที่ท่ามกลางความมืดยังคงมีเสียงขู่เนือยๆ ทำให้บรรยากาศดูไม่เงียบและน่ากลัวจนเกินไป

          “องค์รัชทายาท จุดไม่ติดพะย่ะค่ะ” องค์รักษ์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเมื่อในพยายามจุดไฟเป็นครั้งที่สี่
   
          “รีบกลับกันเถอะ มืดขนาดนี้หากสัตว์ร้ายเพ่นพ่านออกมา พระองค์จะไม่ปลอดภัยนะพะยะค่ะ”

          น้ำเสียงของเสี่ยวลู่สั่นพอๆกับมือที่จับแขนเขาไม่ปล่อย ซวนหยวนหมิงไท่ถอนหายใจยาว “เฮ้อ เอาเถอะไว้วันหลังค่อยมาใหม่” 

          ยังมีวันหลัง? สีหน้าของเสี่ยวลู่ถอดสี โชคไม่ดีที่ท้องฟ้ามืดครึ้มทำให้องค์รัชทายาทมิอาจแลเห็นสีหน้าอันน่าสงสารของตนได้ ทว่าหลังจากที่ทุกคนตกลงใจที่จะย้อนกลับ ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเป็นเสียงสวบสาบ

          บางสิ่งอย่างบางพุ่งตรงเข้ามา ก่อนจะแยกพวกเขาให้ออกห่างจากกันอย่างรวดเร็ว ซวนหยวนหมิงไท่เบี่ยงตัวหลบสิ่งแปลกปลอมที่พุ่งตรงจากทางด้านหลัง แต่มิคาดว่าสิ่งนั้นกลับอ้อมมาพัวพันที่ช่วงเอว สองมือเลื่อนลงแกะทันที แต่แล้วก็พบว่าสิ่งที่พันธนาการตนไว้นั้นเป็นเพียงผ้าแพรผืนหนึ่ง แลจังหวะที่ชุลมุนก็รู้สึกไหล่ก็ถูกคว้าตะปบ

          “ปะ...ปล่อยข้า” ไป๋เซ่อเจ็บจุกจนน้ำตาแทบหลั่งไหล ในไม่ช้าร่างอันเรียบลื่นก็ต้องยอมแพ้กับแรงอันดื้อดึง ท้ายที่สุดมันก็ไถลออกไปจากไหล่ของซวนหยวนหมิงไท่ไปอย่างมิยินยอม

          “ว๊ากกก”
   
          “แอ่กก”
   
          เสียงร้องดังขึ้นตามมาด้วยเสียงจุกของไป๋เซ่อ ในที่สุดก็รู้ที่มาของมือนั้น ท่าจะเป็นมือของเสี่ยวลู่ที่ลนลานคว้ามาทางเขา หากแต่คว้าผิดไปตะครุบเอาร่างของไป๋เซ่อเข้าแทน

          ด้านเสี่ยวลู่พอรู้ตัวว่าคว้าไม่ถูกร่างองค์รัชทายาท ทั้งยังมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นคอยก่อกวนอยู่รอบๆ ไม่นานสติก็แตกกระเจิง มือพลันสะบัดฟัดเหวี่ยงหมุนควงร่างของงูเผือกอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาไป๋เซ่อที่ไม่ทันได้เตรียมใจแทบอยากจะขย้อนขนมถั่วแดงยามมื้อบ่ายออกมาจนหมดไส้หมดพุง

          “เสี่ยวลู่อยู่เฉยๆ” เขาร้องบอกพลางก้าวเข้าไปหา แต่กระนั้นผ้าที่แพรกลับค่อยๆดึงรั้งร่างของเขาไปทางด้านหลังให้ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีฝ่าเท้าก็ลอยขึ้นเหนือพื้น สายลมแรงปะทะใบหน้า เบื้องล่างเห็นเพียงพุ่มไม้หนาใหญ่ ดูว่าเขาลอยขึ้นมาเหนือต้นไม้ใหญ่เสียแล้ว

          “พ่อหนุ่มจะรีบไปไหน ไปเล่นกับข้าก่อนดีกว่า ฮ่า ฮ่า”

          เสียงแผดหัวเราะของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ สีหน้าเขาขุ่นมัวลง เขาเกลียดสตรีพูดจาแทะโลม มันคล้ายทำให้ต้องนึกถึงปีศาจจิ้งจอกที่พรากสตรีอันเป็นที่รักไป เขาเงยหน้าขึ้นมองสตรีที่มีดวงตาสีดำ กลางหน้าผากประดับมุกสีทับทิม แลไม่นานนักเขาก็ถูกเหวี่ยงลงบนพื้น

          “อย่าได้คิดหนีเชียว ที่นี่ไม่มีทางลง หากเจ้าคิดลงไปคงต้องรอให้บินได้เสียก่อน”

          “ฮึ นางปีศาจพาข้ามาที่นี่ทำไมกัน” สังเกตไปรอบๆ แล้วจึงพบว่าที่นี่เป็นภูผาที่สูงชัน ที่ด้านหลังยังมีถ้ำที่จุดคบเพิงข้างใน

          “เห ดูท่าวันนี้ ข้าวั่นอู่หงเก็บได้ของดีทีเดียว หน้าตาเจ้าไม่เลว ท่าทางก็เหมือนพวกชนชั้นสูง ฮึ ฮึ” ระหว่างพูดนางก็เชยคางบุรุษรูปงามขึ้นเชยชม ดวงตามิเก็บซ่อนความปรารถนาอันเร่าร้อน ทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกราวกับโดนไฟเผาไหม้

          “อย่ามาแตะข้า” เขาสะบัดมือทิ้งอย่างรังเกียจ 

          วั่นอู่หงมองมือที่ถูกปัดทิ้งแล้วจึงหัวเราะก้อง “ดูสิว่าจะทนได้สักกี่น้ำ รออีกไม่นานเจ้าต้องหมอบที่แทบเท้าข้าแน่ๆ” นางปรายตามองอย่างยั่วยวน จากนั้นสะบัดตัวเดินเข้าถ้ำไป นางมั่นใจ ไม่มีชายใดที่ทานทนเสน่ห์ของนางได้ เพียงไม่ถึงชั่วยามบุรุษผู้นี้จะต้องตกเป็นเหยื่อของนางแน่นอน

          กระทั่งร่างอรชรหายลับไปในถ้ำ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าพลางเดินไปยังริมผา ชะโงกมองเบื้องล่างที่ลึกสุดหยั่ง เขาทอดถอนใจ ดูท่าว่าแม้จะใช้วิชาตัวเบาก็มิแน่ว่าจะไปได้ถึงครึ่งทาง เห็นทีต้องหาทางอื่นเสียแล้ว

          ขณะที่กำลังอับจนหนทาง หางตาสีดำก็พลันสะดุดที่ก้อนยาวๆสีขาวดูนุ่มนิ่มที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นไม่ไกลจากที่ๆตนลุก เขาจ้องเขม็งอยู่นานสุดท้ายก็อุทาน “ไป๋เซ่อ” ว่าแล้วก็ถลาตัวเข้าไปรวบร่างตรงหน้า จับพลิกร่างอันปวกเปียกไปมา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่ได้”

          แทบจะขย้อนน้ำย่อยออกมาอีกระลอก เนื่องด้วยถูกเขย่าตัวไม่หยุดหย่อน ก่อนหน้านี้มันถูกเสี่ยวลู่เคี่ยวกรำเสียจนกระอักออกมาเป็นขนมถั่วแดง ทำให้ตอนนี้ท้องมันเบาหวิวราวปุยนุ่น แลหากต้องให้เอามาอีก ครานี้คงหนีไม่พ้นตับไตไส้พุงของมันเอง ไป๋เซ่อหน้าเขียวหวังมิให้สวรรค์ใจร้ายกับมันเกินไป แต่ทว่า…

          “โอ๊ก” ในที่สุดมันก็อาเจียนออกมาอีกครั้ง


****************************************************


          ผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางปีศาจวั่นอู่หงยังคงไม่มีทีท่าจะออกมา ส่วนเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของทางออก ได้แต่นั่งมือหนึ่งประคองอีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังของเจ้างูเผือกที่นอนไร้เรี่ยวแรง ลิ้นแฉกสีแดงห้อยตก

          “รีบบอกเสียแต่ทีแรกก็คงมิเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าตะกละจนเกินไป” ซวนหยวนหมิงไท่ลงความเห็น ดวงตาสีดำเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับผู้บริสุทธิ์ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับว่าเป็นต้นเหตุให้มันต้องอ้วกแตกหมดไส้หมดพุง

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็พ่นน้ำลายสวนทันควัน “ใครใช้ให้เจ้าเขย่าตัวข้ามิหยุดกัน เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น แฮ่ๆ ข้าจะกัดเจ้า”

          เป็นถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีแรงกัดอีกรึ? คล้ายว่าช่วงนี้เขากลายเป็นคนขี้สงสัย ซวนหยวนหมิงไท่ใช้สองนิ้วคีบเอาส่วนหัวน้อยๆที่ยังคงมีแรงขยับได้เพียงส่วนเดียวขึ้นมองในระดับสายตา ยังผลให้ร่างของมันห้อยต่องแต่งอย่างน่าสงสาร มุมปากเขาพลันอมยิ้ม

          สังเกตเห็นสายตาดูแคลนระคนขำขัน ไป๋เซ่อก็เค้นเสียงร่ำร้องอย่างคับแค้น “จะ...เจ้าแกล้งข้า ข้าจะฟ้องท่านมหาเทพ”
นี่เป็นมันตัดสินใจพลาดไป ระหว่างที่มันถูกเสี่ยวลู่เหวี่ยงไปมาจนหัวหมุน จังหวะหนึ่งมันก็ดีดตัวออกมาจากกำมือของอีกฝ่าย ซึ่งเผอิญพุ่งตรงไปงับชายเสื้อของซวนหยวนหมิงไท่ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศพอดิบพอดี หากให้ย้อนกลับไปใหม่ มันคงเลือกพุ่งลงดินแทนแล้ว

          ฟังเสียงงูน้อยที่เริ่มแผ่วลง ดวงตาแดงเรื่อขึ้นก็รู้สึกได้ว่าตนเองทำเกินไป “เอาเป็นว่าข้าขอโทษ” กล่าวจบก็วางมันลงเบาๆ ทว่าไป๋เซ่อยังคงมีท่าทีแง่งอน ขดตัวก้มศีรษะลงนอนไม่ใส่ใจ เขาถอนใจเบาๆ “เอาเป็นว่าทั้งหมดข้าผิดเอง เป็นข้าป้อนขนมถั่วแดงเจ้าเยอะเกินไป เป็นข้าที่ทำให้เสี่ยวลู่ต้องทำร้ายเจ้า และยังเป็นข้าที่เขย่าตัวเจ้าจนสำรอกออกมา”

          แทบไม่เชื่อหู ไป๋เซ่อผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย คนผู้นี้ยอมมันจริงๆรึ เหลือบมองคนที่มีสีหน้าเป็นห่วง “หึ”

          อย่างน้อยมันก็ยอมส่งเสียงบ้างแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบาง ค่อนข้างไม่คุ้นชินกับไป๋เซ่อที่ไม่ร่าเริงเช่นนี้ “ว่าแต่พวกเราจะทำอย่างไรดี”

          “เฮอะ แน่นอนว่าต้องกำจัดปีศาจ” พูดถึงปีศาจไป๋เซ่อก็กลับมาฮึกเหิม มันเป็นถึงมือขวาของท่านมหาเทพ งูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ ไยต้องเกรงกลัวปีศาจด้วย

          “เอ แต่เจ้ามิใช่บอกว่าถูกเหล่าผู้อาวุโสเทพสะกดพลังไว้รึ”

          ราวกับถูกสายฟ้ากระหน่ำฟาด ในสมองเอาแต่พร่ำบอกว่าไม่จริงๆ ไป๋เซ่ออ้าปากค้างด้วยทนรับความจริงมิได้ เช่นนี้แล้วก็หมายความว่าตอนนี้มันเป็นเพียงแค่งูเผือกธรรมดาๆน่ะสิ ร่างพลันโงนเงนจะเป็นลม

          ดูว่าเขาพูดแทงใจดำอีกแล้วสินะ ซวนหยวนหมิงไท่ลอบยิ้มมุมปาก รับร่างที่อ่อนไหวไว้ มิได้มีท่าทีเป็นกังวลไปกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานสักนิด

          สัมผัสอุ่นที่แผ่นหลังทำให้ไป๋เซ่อเงยหน้าขึ้นสบตารัชทายามหนุ่ม ฉับพลันนั้นดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็เบิกกว้าง เสียงหัวเราะแปลกๆเล็ดลอดออกมา “ฮึ ฮึ ฮึ” 

          ไฉนจึงรู้สึกร้อนๆหนาวๆชอบกล ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาทอดมองงูเผือกที่หัวเราะราวกับไร้สติ

          “มีทางแล้ว มีทางแล้ว” มันเป็นงูเผือกสวรรค์ สะสมตบะก็เนิ่นนานนับพันปี จะให้ยินยอมกลับไปเป็นเพียงแค่สัตว์อสรพิษ ก็มิใช่มันแล้ว “ถ่ายทอดปราณมังกรของเจ้าให้ข้า” มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น แม้มันจะมิได้มีฤทธิ์เดชมากมายเท่าเดิม แต่อย่างน้อยก็พอมีติดตัวมิใช่เป็นงูธรรมดาเป็นพอ

          มองไป๋เซ่อที่ยิ้มแฉ่ง เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วยุ่งเหยิง “แล้วทำอย่างไร คงมิใช่ดื่มเลือดเนื้อข้าหรอกนะ”

          “โง่งม ข้ามิใช่ปีศาจจะดื่มเลือดเนื้อเจ้าไปไย เจ้าเพียงแบ่งปันลมปราณผ่านทางริมฝีปากให้ข้าก็พอ”

          “หืม” เขาฟังผิดไปรึไม่ สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ตกตะลึงสุดขีด แบ่งปันลมปราณผ่านทางริมฝีปาก นี่มิใช่เป็นการจุมพิตหรอกรึ

          “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เร็วๆเข้า” ไป๋เซ่อกล่าวเร่งรัด มันได้ปราณมังกรมาฟื้นฟูพลัง จากนั้นกำจัดนางปีศาจแล้วพาอีกฝ่ายกลับไปหาพวกองครักษ์ นับว่ายุติธรรมทั้งสองฝ่าย

          ซวนหยวนหมิงไท่เม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว แม้ตรงหน้าเป็นเพียงงูเผือกตัวหนึ่ง แต่กระนั้นมันพึ่งสำรอกมามิใช่หรือ จะให้ทำใจจุมพิตมันก็...อืม

          รึจะคิดว่ากำลังหยอกล้อสัตว์เลี้ยงน่ารักดี

          ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น และหากให้เลือกชีวิตกับจุมพิต เขาย่อมต้องเลือกจุมพิตอยู่แล้ว ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ แค่นี้เขาคงไม่เก็บเอาไปฝันร้ายหรอก...กระมัง?



*****************************************************


          ชายหนุ่มตัดสินใจข่มตาหลับลง สูดหายใจลึกทำใจอยู่ชั่วครู่ก็ยื่นหน้าเข้าไปหางูน้อยที่กำลังเชิดหน้ารอรับ บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดราวกับไม่มีอากาศหายใจ กระทั่งใบหน้าห่างกันไม่ถึงฝ่ามือก็พลันมีเสียงร้องขัดจังหวะ

          “เดี๋ยวๆ ข้าไม่ทำแล้ว ไม่เอาแล้ว”

          “ไป๋เซ่อ เจ้าจะโวยวายไปทำไม ก็แค่จูบเท่านั้น” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วอย่างหงุดหงิด คิดว่าเขาทำใจอยู่นานแค่ไหนกันเชียว

          “แต่...แต่จูบแรกของข้า มอบให้แก่ท่านมหาเทพเพียงผู้เดียว” ไป๋เซ่อยิ้มอย่างเขินอายซ้ำยังบิดม้วนตัวไปมา

          มองดูงูเผือกเขินอาย เขาก็ถึงกับยิ้มแหย นี่ยังไม่เลิกหวังอีกรึ “แต่จูบแรกของต้าเซียน เขามอบให้เซียวถิงฟงไปตั้งนานแล้ว”

          คำดังกล่าวดับฝันให้สลายเป็นจุณในชั่วพริบตา ร่างของไป๋เซ่อแข็งทื่อไปนาน ก่อนจะถลึงตาปูดโปนสบถด่าไม่หยุด “ตัวเลวร้ายแซ่เซียว หากพบหน้าข้าจะกัดให้พรุนไปทั้งร่างเลย กล้าล่อล่วงท่านมหาเทพของข้า เจ้าต้องตายไม่ดีแน่ ฟ่อ”

          มันก่นด่าอย่างคับแค้น ทำให้เขาอดถามขึ้นมามิได้ “ไป๋เซ่อ เจ้าใช่จะกลายเป็นจอมมารเฟยหลงคนที่สองรึเปล่า”

          “เป็นมารดาเจ้าสิ” ครานี้ไป๋เซ่อหันมาด่าคนที่ชอบแขวะ ทว่าคนตรงหน้ากลับหัวเราะชอบใจ “เฮอะ จะจูบก็จูบสิ พิรี้พิไรอะไรอยู่ได้” มันกล่าวไปก็ยืดตัวผงกหัวโวยวาย ศีรษะก็สะบัดฟัดเหวี่ยงราวกับตาแก่ขี้โมโห

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูแล้วก็ทำใจจูบขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ รอจนครู่หนึ่งก็ฝืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พุ่งมือออกไปใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งคีบจับส่วนหัวของงูเผือกอย่างรวดเร็ว

          เมื่อไม่สามารถขยับศีรษะได้ ไป๋เซ่อก็เปลี่ยนเป็นร้องลั่น ตวัดปลายหางดิ้นรน “จะ เจ้าจะทำอะไร”

          ...ยังจะต้องถามกันอีกหรือ ซวนหยวนหมิงไท่แลซ้ายขวา แม้อยู่บนผาไร้ที่ซึ่งผู้คน แต่ก็อดที่จะตะขิดตะขวงใจมิได้หากมีใครพบเห็นตนกำลังจูบกับงูเผือก จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นนี้นี่นา ต่อเมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้ใด เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้ง

          “เดี๋ยวๆอย่าพึ่ง ข้ายังทำใจไม่ได้” ไป๋เซ่อยังคงตื่นตระหนกร้องจนน้ำลายกระเด็นใส่หน้าอีกฝ่าย แต่มาตรว่ามันร้องให้ตายก็ไม่สายไปเสียแล้ว ใบหน้าได้สัดส่วนเข้าประชิด มันรีบข่มตาหลับลงอย่างตกใจ ก่อนตระหนักได้ถึงความอุ่นนุ่มทั้งยังจักกะจี้น้อยๆที่ประทับลงบนริมฝีปากมัน

          เป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาทั้งยังผิวเผิน ทั้งหมดนี้กินเวลาที่ไม่แม้แต่จะทันกะพริบตารัชทายาทหนุ่มก็ผละตัวออก กล่าวน้ำเสียงตื่นเต้น “เป็นไง ได้ผลรึไม่”

          “.......” บังเกิดเป็นความเงียบสงัด แต่ไม่นานนักดวงตาของไป๋เซ่อก็ลุกพรึ่บ ดูว่าทุกอย่างยังคงเดิม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปสักกะผีก “นี่เจ้าตั้งใจจูบข้ารึเปล่าเนี่ย” จุมพิตที่ราวกับเด็กเล่นเช่นนี้มีรึจะได้ผล

          เขาหน้าเสีย รีบกล่าวแย้ง “ตั้งใจสิ ใครว่าข้าไม่ตั้งใจจูบเจ้า”

          “ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมข้าจึงยังเหมือนเดิมกันเล่า”

          “หรือ...หรือจะลองอีกที” รัชทายาทหนุ่มหน้าแดงกล่าวตะกุกตะกัก

          “.......” บังเกิดเป็นความเงียบงันขึ้นอีกครั้ง ไป๋เซ่ออึ้งจนพูดอะไรไม่ออกอีก ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้อีกครั้ง ครานี้คล้ายมีบรรยากาศกดดันประการหนึ่ง พานให้ใจเต้นระทึกอย่างบอกไม่ถูก

          ซวนหยวนหมิงไท่ประทับริมฝีปากลงอย่างแช่มช้า กระทั่งรู้สึกได้ถึงไอเย็นจากตัวของอีกฝ่าย ความตื่นเต้นที่มีตอนแรกก็ลดทอนลงไป แทนที่ด้วยความหวามไหวในอก จากนั้นสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่น่าหลงใหล เขากดริมฝีปากลงไปอีกอย่างไม่รู้ตัว ใจเรียกร้องราวกับต้องการมากกว่านี้

          จวบจนลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ลุกวาว เขากะพริบมองอยู่หลายครั้งก็ประจักษ์ว่าครั้งนี้ได้ผล สองมือผละเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีเขียวออกอย่างทื่อๆ ครั้นเห็นปากที่แดงช้ำของอีกฝ่ายก็พลันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้แต่แสร้งเป็นกระแอมกระไอกล่าว “อืม ได้ผลดีไม่น้อย”

          คำกล่าวอันน่าไร้ยางอายกลับดังออกมาจากปากผู้ที่ชอบวางท่าขรึม ยังผลให้ไป๋เซ่ออึกอักหน้าแดง ได้แต่เมินหน้าหันไปโคจรพลังในกายแล้วจึงชะงักวูบ “ดีกับผีน่ะสิ พลังข้ายังไม่ฟื้นสักส่วนหนึ่งเลย เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันไม่ได้เรื่อง” มาตรว่าจะกลับร่างมนุษย์ได้ หากแต่พลังในกายกลับว่างเปล่า

          ได้ฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มก็มีอันต้องฉุนกึก โต้เสียงแข็ง “บางทีอาจเป็นเจ้าที่ไม่ได้เรื่องมากกว่า”

          “นี่เจ้าหาว่าข้าไม่ได้เรื่องงั้นรึ”

          “ใช่ แล้วจะทำไม”

          ไป๋เซ่อตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ละล่ำละลักชี้หน้าด่า“จะ เจ้านั่นแหละที่ไร้น้ำยา” สิ้นเสียงกล่าวซวนหยวนหมิงไท่ก็เผยสีหน้าขุ่นเคืองอย่างที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน จู่ๆก็รู้สึกประหวั่นอยู่ลึกๆ เขาลอบร้องในใจ...แย่ล่ะสิ

          ยังมิทันจะถอยเท้าหนีต้นคอก็ถูกรั้ง กรามถูกจับตรึงไว้จนเจ็บ ต่อด้วยปากถูกกระแทกขบเม้มจนมิอาจหลุดคำด่าได้อีก นอกจากนี้เอวยังถูกรวบดึงเข้าในอ้อมกอดอันรุ่มร้อน

          นี่ตนใช่ฝันไปรึไม่ บุรุษผู้ซึ่งเยือกเย็นอยู่เสมอ ไฉนจึงมีอีกด้านหนึ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ได้

          “อื้อ เอ้าอ้าอุดเอี๋ยวอี๋อ้ะ”

          ฉับพลันที่เผยอริมฝีปากบางสิ่งที่อุ่นร้อนก็พัวพันมาทางด้านใน ไป๋เซ่อยิ่งตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูก ความร้อนขุมหนึ่งก็แล่นวูบเข้ามากลางอก จากสัมผัสรุนแรงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ลิ้นอุ่นนุ่มไล่เรียงไปทีละนิด พลอยให้เคลิบเคลิ้มลืมตัวปล่อยให้ถูกชักนำไป เปลือกตาคล้อยหลับลง

          ครั้นโทสะมลายหายไปจนหมดสิ้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็รู้ตัวว่าเสียการควบคุมอย่างมิควรจะเป็น แต่กระนั้นลึกๆข้างในกลับมิได้เสียใจในสิ่งที่กระทำ ทั้งยังให้ความรู้สึกพึงพอใจเสียมากกว่า

          เขาค่อยๆหยุดนิ่ง ถอนริมฝีปากออกอย่างช้าๆ พร้อมกันนั้นก็คลายวงกอดจากร่างบาง ทอดมองดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่น่าดึงดูดอย่างไม่ละสายตา พริบตานั้นไป๋เซ่อที่ไม่มีแขนแกร่งพยุงก็หงายหลังลงไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เห็นดังนั้นก็ตกใจรีบคว้าร่างบางเข้ามากอดใหม่ “ไป๋เซ่อ”

          เสียงที่ร้องอย่างตื่นตระหนกทำให้ไป๋เซ่อหลุดจากภวังค์ มองผู้เรียกแล้วสมองก็ราวกับจะระเบิด ใบหน้าแดงยิ่งกว่าก้นลิง ภาพจุมพิตเมื่อครู่หวนตอกย้ำ ความรู้สึกที่ติดตรึงใจยังผลให้ตื่นตะลึงสุดขีด อดมิได้ที่จะแผดเสียง “ว๊าก อ่ะ อุบ”

          ทันทีที่ไป๋เซ่ออ้าปากร้องลั่น เขาก็กระโจนเข้าไปใช้มืออุดปากเจ้าตัว กระซิบบอก “ชี่ เบาๆ เดี๋ยวนางปีศาจก็ได้ยินหรอก”
ลมหายใจร้อนกระทบข้างหู เป็นอีกครั้งที่ตกอยู่ในอ้อมอกอันอบอุ่น กระทั่งสงบสติอารมณ์ได้แล้วไป๋เซ่อก็พยักหน้ารัวๆ แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงมิลดมือ

          “ไป๋เซ่อ ลองดูสิพลังของเจ้าฟื้นขึ้นมารึยัง” เขาถามอย่างใจเย็น

          ไป๋เซ่อเองก็กะพริบตาปริบๆ โคจรพลังผ่านปลายนิ้วแล้วสะบัดไปยังด้านล่างทีหนึ่ง ทันใดนั้นเปลวไฟสีเหลืองอมส้มก็ลุกโชนกองใบไม้แห้งบนพื้น แทบอยากจะกระโดดโลดเต้น หากแต่ชั่วประเดี๋ยวมันก็ดับสนิท

          “.....” เสียงลมพัดไหววูบ ครานี้ไม่มีใครกล่าววาจาอันใดอีก เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามิสามารถรับมือนางปีศาจได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

          “เฮ้อ ช่างเถอะลองหาวิธีอื่นเถิด” ซวนหยวนหมิงไท่ที่กุมขมับเป็นฝ่ายเอ่ยคำขึ้นก่อน ทำให้ไป๋เซ่อครุ่นคิดหลายตลบ

          ดูท่าพลังที่มันได้รับถูกใช้คืนรูปมนุษย์จนหมดสิ้น แทบไม่หลงเหลือให้ใช้การอื่นตั้งแต่ต้นแล้ว และบางทีการที่มันอยู่ในร่างเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีนัก ครั้นมองไปที่ทางออกเพียงหนึ่งเดียวก็เผยอยิ้มแฉ่ง ค่อยๆย่องถอยหลังไปที่หน้าผา
         
          “เอาอย่างนี้ ข้าจะกลับร่างงูแล้วไต่หน้าผาลงไปบอกให้พวกองครักษ์ขึ้นมาช่วยเจ้า ระหว่างนี้เจ้าก็ทำตัวดีๆล่ะ” จำได้ว่าหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดีที่สุดนั่นก็คือเผ่น

          หากแต่ว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับคว้าไหล่จอมกะล่อนไว้ได้ทันท่วงที เขากล่าวเสียงเรียบหน้าตาย “กว่าพวกเจ้าจะมาถึงข้าก็คงแห้งตายไปแล้ว” คิดหรือว่าเขาไม่รู้ทัน เจ้างูน้อยนี่คิดจะเผ่นก่อนใครเพื่อน

          “แล้วเจ้าจะเอายังไง” ร่างบางตวาดชูมือประท้วง “จะให้ข้าอยู่รอเป็นอาหารปีศาจเป็นเพื่อนเจ้างั้นเรอะ ฝันไปเถอะ”
 
          “นั่นใครน่ะ” เสียงผู้มาใหม่ดังขัดจังหวะ ทำให้คนทั้งสองต่างมองไปยังปากทางเข้าถ้ำกันอย่างพร้อมเพรียง

          เป็นเวลาประจวบเหมาะที่วั่นอู่หงออกมาจากถ้ำ ด้วยถึงเวลาที่นางจะหลอกล่อเหยื่อให้ตายใจ แต่ทว่าที่เบื้องหน้าไม่ไกลนักกลับเพิ่มด้วยหนุ่มน้อยที่มีใบหน้าเย้ายวนแปลกตาในชุดสีเขียว ส่งผลให้นางคึกคักอักโข ก็นานแล้วที่มิได้มีเหยื่อรูปงามติดกับถึงสองแบบนี้นี่

          “เป็นเพราะเจ้า ทีนี้จะทำไงล่ะ” ไป๋เซ่อร้องโวยวายใส่หูผู้เป็นรัชทายาท จะให้กลับเป็นงูตอนนี้ก็มิทันการณ์แล้ว

          ซวนหยวนหมิงไท่หันรีหันขวางก่อนจะสังเกตเห็นเถาวัลย์ที่ห้อยอยู่ริมผา เห็นทีต้องเสี่ยงดวงดูสักตั้ง “ไต่เถาวัลย์ลงไป เร็ว” เขาตะโกนบอกพร้อมกันนั้นก็กระชากเถาวัลย์ขึ้นอย่างแรง ทว่าไป๋เซ่อคล้ายถูกความเร่งรีบทำให้เงอะงะไป เขาหันไปคว้ากุมมือเล็กไว้ให้ได้สติ อย่างน้อยรอดไปได้สักคนก็ยังดี

          ด้านวั่นอู่หงเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของเหยื่อ นางก็ตวาดก้อง “คิดจะหนีรึ” นางถลันตัวเข้าหาอย่างรวดเร็ว

          ทันใดนั้นก็บังเกิดเป็นพายุ ฝูงลมขนานใหญ่หอบเอาเศษใบไม้ขึ้นมาจากด้านล่าง ยังผลให้ฝุ่นละอองกระจายตัวปั่นป่วน ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อที่ยืนอยู่ริมผาจำเป็นต้องถอยหลังแล้วเบี่ยงหน้าหลบ ไม่เว้นแม้แต่ปีศาจสาวที่ต้องถอยร่นออกไป
คล้ายได้ยินเสียงกระพือปีก รัชทายาทหนุ่มหรี่ตาขึ้นสู้ก็เห็นบางสิ่งที่มีขนาดมหึมา หนำซ้ำยังมีท่าทีดุร้าย มันมุ่งตรงเข้ามาใกล้ ปิดกั้นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้

          “จ๊ากกก” ไป๋เซ่อร้องลั่น ทิ้งมาดงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ กระโจนเข้ากอดเอวซวนหยวนหมิงไท่ที่ยืนตะลึงอยู่ด้านข้างไว้แน่น

          ...ดูท่าว่าวันนี้พวกเขาคงถึงคราอภิมหาซวยแล้วกระมัง ถึงได้หนีเสือประจระเข้เช่นนี้



*****************************************************


เค้ารอคอมเม้นท์อยู่น้า
:hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2016 21:55:34 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 3 สตรีลึกลับ



          กระแสลมราวพายุสงบลง เบื้องหน้าปรากฏเป็นกรงเล็บทรงพลังขยุ้มเกาะที่ชะง่อนผา ปีกสีน้ำตาลสง่างามสยายออกให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม ดวงตาคมสีเหลืองแน่วแน่จับจ้องมองอย่างมิวางตา ปากงองุ้มส่งเสียงร้องดังกังวานไปทั่วบริเวณ

          “แกว๊ก แกว๊ก”

          “จ๊ากกก อย่าเข้ามาใกล้ข้า” สัญชาตญาณของงูตื่นตัวให้ต้องร้องออกมาพร้อมทั้งกระโดดเข้าใส่คนใกล้ตัว

          ด้วยน้ำหนักตัวของไป๋เซ่อปลุกสติให้ตื่นขึ้นอีกครา ก่อนจะสังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือดตัวสั่นเทิ้มของร่างสีเขียว ซวนหยวนหมิงไท่กระชับกอดคนในอ้อมอก สองตาจ้องมองอินทรียักษ์ไม่กะพริบ ทั้งนี้หาได้แสดงท่าทีแตกตื่นแต่อย่างใดไม่ ระหว่างนั้นก็พลันขยับถอยหลังอย่างช้าๆ

          ทว่าถอยไปได้แค่ครึ่งก้าว เจ้าเวหาตรงหน้าก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ มันส่งเสียงร้องอย่างดุร้าย ทั้งก้าวเข้ามาให้ใกล้พวกเขากว่าเดิม ยังผลให้เขาต้องหยุดฝีเท้าหยั่งเชิง

          “วิ่งสิวิ่ง เจ้ารัชทายาทงี่เง่า” ไป๋เซ่อออกคำสั่ง สองขากระทุ้งเอวให้อีกฝ่ายขยับ

          “หากข้าวิ่งตอนนี้ พวกเราไม่รอดแน่” เขากระซิบบอก เป็นไปได้ว่า หากพวกเขาขยับตอนนี้ จะงอยปากที่แข็งแกร่งนั้นจะตรงเข้ามาขยุ้มพวกเขาในทันที ดังนั้นได้แต่คิดหาทางอื่น

          “เจ้าตัวอุบาทว์ นังเด็กเย่วเซียงใช้เจ้ามาขัดขวางข้าอีกแล้วรึ วันนี้ข้าวั่นอู่หงจะขอคิดบัญชีกับพวกเจ้า”

          นางปีศาจตะโกนลั่นพร้อมกันนั้นก็สะบัดผ้าแพรมุ่งเข้าหา หากแต่จ้าวอินทรีกระพือปีกเพียงครั้งก็บังเกิดเป็นพายุหมุนขนาดย่อม ปัดป้องผ้าแพรที่เข้าโจมตีได้อย่างหมดจด ทำให้ปีศาจสาวมิพอใจเร่งการโจมตีให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น

          อีกด้านหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่ฟังคำกล่าวของวั่นอู่หง สังเกตท่าทีของนกอินทรีประหลาดก็ชั่งใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว จากที่เคยถอยหนีกลับเปลี่ยนเป็นวิ่งเข้าหา ยังผลให้ไป๋เซ่อตาเหลือก

          “ข้าบอกให้เจ้าหนี มิใช่ให้วิ่งหามันสักหน่อย” ร่างสีเขียวคำรามลั่น สองขาที่เกี่ยวเกาะเอวแกร่งถึงกับปล่อยลง ทำให้รัชทายาทหนุ่มต้องวิ่งไปอย่างทุลักทุเล

          “ไป๋เซ่อ ไม่แน่นี่อาจเป็นทางรอด” เขาพูดอย่างมีความหวัง ดวงตาเป็นประกายผิดกับเด็กหนุ่มที่ร่ำร้องเสียสติ

          “ไม่ ไม่ ข้าจะเป็นอาหารนกแล้ว โฮ”

          กระทั่งถึงตัวร่างใหญ่สีน้ำตาลไหม้ ไป๋เซ่อก็ดิ้นพล่านหลุดจากพันธนาการ ยังดีที่ซวนหยวนหมิงไท่คว้าข้อมือบางไว้ได้ จากนั้นรวบตัวคนที่ไม่มีสติเข้ามากอดอีกครั้ง “อย่ากลัว ไป๋เซ่อ มองตาข้า ข้าอยู่ตรงนี้ หากมันจะกินเจ้า ต้องถึงคราข้าก่อน”

          น้ำเสียงปลอบโยนที่ฟังดูอบอุ่นดังขึ้น ทำให้ใจที่เคยพลุ่งพล่านค่อยๆสงบลง ไป๋เซ่อถามอย่างไม่แน่ใจ “จริงรึ มันจะกินเจ้าก่อนแน่นะ”

          “ข้าเอาหัวเป็นประกัน หากผิดไปจากนี้ ขอให้เป็นลูกเต่า”

          เป็นเพราะอีกฝ่ายลั่นวาจาหนักแน่น ทำให้ตนถูกดึงดูดไปกับสายตาสีดำที่มั่นคง ไป๋เซ่องึมงำ “เจ้าลูกเต่า”

          เห็นดังนั้นเขาก็เบาใจคลายกอดไป๋เซ่ออย่างแช่มช้า หันไปเผชิญหน้ากับจ้าวอินทรีที่ยังคงต้านนางปีศาจวั่นอู่หง ด้านเจ้าของดวงตาสีเหลืองเหลือบมองเขาคราหนึ่งก็หยุดกระพือปีก ก่อนค้อมตัวลงคำนับให้ เพียงแค่นั้นเขาก็มั่นใจ ก้าวย่างต่อไปแล้วตวัดตัวขึ้นนั่งบนหลังของมัน

          สบช่องโอกาสให้ปีศาจสาวเหินตัวเข้ามา นกตัวใหญ่ปละปล่อยกรงเล็บจากชะง่อนผาเตรียมตัวโผบิน จังหวะนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบส่งมือไปที่ไป๋เซ่อ “ขึ้นมาเร็วเข้า”

          ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง ไฉนจึงส่งตัวช่วยมาเป็นราชาสัตว์ปีกที่ดุร้าย คู่ปรับตลอดกาลของสัตว์อสรพิษ ทั้งยังจำเพาะในช่วงที่เขาไม่มีแม้แต่อิทธิฤทธิ์ใดๆ มิหนำซ้ำยังตัวมันยังใหญ่กว่าปกติหลายเท่า เช่นนี้แล้วตนยังสงบใจได้อีกหรือ ไป๋เซ่อได้แต่มองดูชายหนุ่มสลับกับเจ้านกตรงหน้า

          “แกว๊ก”

          คราวนี้นกอินทรีส่งเสียงเร่งเร้า ทั้งเริ่มบินถอยออกไปจากริมผา ด้วยท่าทีลังเลของไป๋เซ่อยังผลให้รัชทายาทหนุ่มยิ่งร้อนใจ เหงื่อเย็นไหลแนบแก้ม ด้วยรู้ว่าไม่มีเวลามากแล้ว เขาจึงจ้องลึกลงไปในดวงตาสีฟ้าอมเขียว “เชื่อใจข้า ไป๋เซ่อ”

          น้ำเสียงอ้อนวอนของคนตรงหน้าทำให้ใจเขาสั่นไหว ในโลกนี้เขาเชื่อเพียงท่านมหาเทพ หากว่านอกเหนือไปจากนี้แล้ว...

          ก็คงจะมีแต่ซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้กระมัง

          “พวกเจ้าคิดรึว่าจะหนีข้าพ้น” ในที่สุดวั่นอู่หงก็บรรลุถึงคนทั้งสอง นางตวาด “อย่าคิดว่าช่วยได้หนึ่งคน ก็จะช่วยคนที่สองไปได้” กรงเล็บแหลมยาวงอกออกมาก่อนจะส่งตรงไปยังเด็กหนุ่มในอาภรณ์ร่างเขียว

          ขณะเดียวกันนั้นไป๋เซ่อก็ตัดสินใจได้ มือเรียวเล็กยื่นออกไป ทันใดนั้นมือใหญ่ก็คว้าจับไว้มั่น จากนั้นรั้งตัวเขาขึ้นไปได้อย่างง่ายๆ เพียงรู้สึกว่าตัวลอย ครั้นรู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ด้านหน้าของชายหนุ่มแล้ว

          “ไป” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดสั่ง นกอินทรียักษ์ที่รอมานานก็ถลาร่อนลงไปใต้หุบเขาอย่างรวดเร็ว เสียงที่ดังคลุ้มคลั่งของนางปีศาจดังขึ้นไล่หลัง ทว่าไม่นานก็จางหายไป



**************************************************


          หลังจากรอดพ้นมาจากนางปีศาจวั่นอู่หง พวกเขาก็เผชิญกับคลื่นลมสาหัส ยังมีกายที่ดิ่งโน้มทิ้งตัวไปยังจากใต้หุบเหว ทั้งยังฉวัดเฉวียนผ่านแมกไม้หนาตา

          มาตรว่ามิใช่เคยโลดโผนโจนทะยาน แลไม่ว่าจะเหาะเหินเร็วแค่ไหนตนก็ไม่เคยหวาดหวั่น แต่ทว่าครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ตนไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไป๋เซ่อแทบอยากจะหยุดหายใจเสียดื้อๆ เหงื่อกาฬเย็นเยียบเริ่มหลั่งไหล สวนทางกับกายที่ต้านทานลมแรง

          กระทั่งสองมือที่จับขนหยาบของนกอินทรีเปียกชื้น ได้แต่มองมือตัวเองที่ค่อยๆเลื่อนหลุดอย่างช้าๆ เขาข่มตาหลับแน่น ใจพรั่นพรึงกับสิ่งที่กำลังจะอุบัติขึ้นต่อไป

          “จับข้าไว้”

          ฉับพลันนั้นน้ำเสียงอบอุ่นอันไร้ซึ่งความหวาดกลัวก็กระซิบที่ข้างหู ร่างร้อนผ่าวเอนตัวเข้าหา สวมกอดรองรับเขาไว้ไม่ให้เลื่อนหลุดออกไป ไป๋เซ่อหันไปคว้ากอดสัมผัสนี้ไว้แน่น กระทั่งได้ยินถึงเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่าย ใจถึงได้คลายความหวาดกลัวลง รู้สึกได้ถึงปลอดภัย

          ต่อเมื่อจ้าวเวหาร่อนตัวลงสู่พื้นดินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของดวงหน้าเย้ายวนที่หลับตาพริ้มซบอยู่กลางอกเขาก็ยังคงไม่รู้สึกตัว ครั้นจะเอ่ยเรียก น้ำเสียงก็พลันหยุดชะงักลงกะทันหัน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดแทน

          ไล่เรียงสายตาไปอย่างช้าๆ จากหน้าผากจรดคิ้วเรียวปลายหางตวัดที่ดูดื้อรั้น จมูกโด่งได้รูปสวย แล้วสิ้นสุดลงที่ริมฝีปากสีชมพูราวกับลูกท้ออันมีร่องรอยของการกระทำอันป่าเถื่อน จู่ๆใบหน้าก็ร้อนวูบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          ...นี่หรือริมฝีปากที่เขาเคยบดเบียดลิ้มรส เสมือนมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากอันนุ่มนวลโดยไม่รู้ตัว

          “แกว๊ก”

          จู่ๆนกอินทรียักษ์ก็ร้องประท้วง ทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ประจวบเหมาะกับที่ไป๋เซ่อสะลึมสะลือขึ้นตื่น แล้วพลันสบเข้ากับดวงตาสีดำอันที่อยู่ในระยะประชิดก็ถึงกับตะลึงวูบ เด็กหนุ่มผลักตัวคนตรงหน้าออกอย่างแรง ส่งผลให้คนที่ไม่ทันระวังตัวหงายหลังหล่นตุบไปที่พื้น

          “โอ๊ย”

          “หน้าไม่อาย คิดลวนลามข้า” ไป๋เซ่อร่ำร้องอย่างโมโห สีหน้าแดงก่ำไปด้วยความอับอาย ครั้นกำลังจะอ้าปากด่าอีกหน ร่างสีน้ำตาลไหม้ที่อยู่ข้างใต้ก็พลันขยับ ทำให้เขาต้องนิ่งเงียบตัวแข็งทื่อในบัดดล

          หลังจากนกอินทรียักษ์ส่งเสียงร้องประท้วงไปรอบหนึ่ง แต่กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดใส่ใจลงไปจากตัวมันก็พาลให้หงุดหงิด เช่นนั้นแล้วมันก็จะเป็นฝ่ายทำให้คนพวกนี้ลงไปจากตัวมันเอง

          “แว๊กก” จู่ๆร่างก็ถูกสะบัดฟัดเหวี่ยงอย่างบ้าคลั่ง ไป๋เซ่อที่นั่งอยู่บนหลังนกคู่อริถึงกับแหกปากร้องลั่น แลท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการหล่นตุบหน้ากระแทกลงดิน ใกล้ๆกับร่างของคนที่ตนพึ่งผลักตกลงมาเข้าอย่างจัง

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          เสียงหัวเราะที่ไม่เก็บซ่อนความสะใจของชายหนุ่มดังขึ้น ทำให้ไป๋เซ่อต้องค่อยๆเงยหน้าที่เต็มไปด้วยโคลนดิน ก่อนจะเบะปากด้วยความสะเทือนใจ “ฮึก ฮึก โฮ” คิดไม่ถึงว่าตนจะมีวันตกต่ำถึงเพียงนี้

          “พวกท่านเป็นอะไรมากหรือไม่”

          บังเกิดเป็นเสียงแว่วหวานของผู้มาใหม่ ทำให้คนทั้งสองต่างมองไปยังต้นเสียง ไม่มีใครรู้ว่าสตรีผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ นางคล้ายปรากฏตัวขึ้นราวกับผีสาง ผิวขาวราวกระดาษขับดันให้ดวงหน้าเด่นชัด ศีรษะคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำ อาภรณ์สีขาวสะบัดพลิ้วไหว

          “ข้าต้องขอโทษแทนพี่อินทรีด้วย”

          “เป็นพวกข้าที่ต้องขอบคุณมากกว่า แม่นางเย่วเซียง” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบกลับอย่างนอบน้อมพลางยันตัวลุกขึ้น จากคำกล่าวของนางปีศาจ สตรีผู้นี้คือผู้ที่ส่งอินทรียักษ์ตัวนี้มาช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน

          ความสุภาพของเขาทำให้เย่วเซียงยิ้มบาง “ผิดแล้ว คนที่ท่านควรขอบคุณมิใช่ข้า”

          “แม่นางหมายถึง” เขาเลิกคิ้ว

          “หากมิใช่ท่านเจ้าคฤหาสน์ดินยินยอมให้ข้าส่งพี่อินทรีมาช่วยแล้ว เกรงว่าข้าคงมิอาจช่วยพวกท่านได้” เย่วเซียงเบี่ยงกายเล็กน้อยเผยให้ป่าทางด้านหลังเปิดโล่ง

          สายตานับกว่าสิบคู่ของสัตว์นานาชนิดต่างเพ่งตรงมา แลหนึ่งในนั้นเป็นพยัคฆ์ตัวหนึ่งซึ่งรายล้อมด้วยบรรยากาศกดดันประการหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่จ้องมองอย่างฉงนพลางรู้สึกได้ว่า มันเองจับจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา

          “จะไม่มีครั้งที่สอง”

          ราวกับอ่านความคิดได้ เสมือนว่ามันกำลังเตือนเขาอยู่ จากนั้นไม่นานนักพยัคฆราชก็นำพาเหล่าบริวารถอยหายไปกับความมืดมิด นกอินทรีประหลาดโผบินตามไป

          “เดี๋ยวแม่นาง” เมื่อเห็นว่าสตรีลึกลับไม่คิดรั้งอยู่เช่นกัน รัชทายาทหนุ่มก็ร้องขัด ทว่าทันทียื่นมือเข้าหา ปลายนิ้วก็ควานสัมผัสได้แต่ผ้าคลุมผม แลไม่นานมันก็ค่อยๆเลื่อนหลุดไปจากศีรษะของเย่วเซียงทีละเล็กทีละน้อย แสงจันทร์ที่ทอประกายเผยให้เห็นเส้นไหมสีเงินกระจ่างตา ดวงตาเขาถึงกับเบิกกว้าง

          “อ้ะ” เย่วเซียงตื่นตกใจ นางรีบยกสองมือขึ้นปกปิดเส้นผมของตนเอง ทั้งเบี่ยงหน้าหลบ “ไม่ อย่ามอง อย่ามองข้า”
มองดูสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง น้ำเสียงสั่นที่แฝงไว้ด้วยความกลัว ก็ต้องนึกแปลกใจ คิดจะเอ่ยถามอีกสักประโยค ไป๋เซ่อที่ใบหน้าเปราะไปด้วยดินก็แทรกตัดบทคนทั้งสอง

          “เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคนไร้น้ำใจ คิดจะละเลยข้าไปจนถึงเมื่อไหร่” ก่อนหน้านี้เขาถูกเจ้านกไม่มีมารยาทสะบัดร่วงลงมาจนหัวเข่าแตกเชียวนะ

          เขาหันหน้าไปตามเสียงเรียก ครั้นเห็นเด็กหนุ่มเบะปากใส่ ที่หัวเข่ามีรอยถลอกก็รีบเข้าไปช่วยพยุง “ดูแล้วแผลไม่สาหัส มีแค่รอยถลอกนิดหน่อย สักสองสามวันก็คงหาย” พูดไปก็ช่วยอีกฝ่ายปัดเสื้อผ้า กระทั่งแหงนหน้าขึ้นมา คนที่เคยยืนอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้ว “อ้ะ แม่นางเย่วเซียงล่ะ”

          “เอ๊ะ เมื่อกี้ก็ยังอยู่นี่” ไป๋เซ่อเองก็เงยหน้ากล่าวอย่างงุนงง “แต่ช่างเถอะ ข้าหิวแล้วเจ้าซวนหยวนหมิงไท่”

          “.....”  เขาถึงกับเงียบงันไป บางทีเขาก็สงสัยจะมีรัชทายาทคนใดที่มีสภาพเป็นดุจคนรับใช้เช่นเขากัน...น่าสงสารเกินไปแล้ว คิดได้ดังนั้นก็แค่นเสียงใส่ จากนั้นเมินหน้าหนีแล้วเดินลัดเลาะไปยังทางหนึ่งแทน

          “เฮ้ นั่นเจ้าจะไปไหน ข้าไปด้วย” ไป๋เซ่อร่ำร้องถามพลางรีบขยับตัวตามโดยไว

          ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มิได้มีใครสนใจไปยังพุ่มไม้หนึ่ง ซึ่งมีสตรีในอาภรณ์ขาว เส้นผมเงินเปล่งประกาย กำลังทอดมองพวกเขาอยู่ห่างๆ กระทั่งพวกเขาลับสายตาไป นางก็กล่าวพึมพำไปมา

          “ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านชื่อซวนหยวนหมิงไท่”

          ต่อเมื่อพวกเขาเดินฝ่าพงหญ้าที่สูงถึงหัวเข่ามาถึงครึ่งทาง ไม่นานก็ได้ยินเสียงขององค์รักษ์ที่ดังขึ้นไม่ไกล ตามมาด้วยเสียงคร่ำครวญไม่หยุดหย่อนของขันทีน้อย

          “ข้าอยู่ทางนี้” ซวนหยวนหมิงไท่ส่งเสียง หลังจากนั้นก็เกิดเป็นเสียงสวบสาบวิ่งตรงมา เงาร่างของผู้ติดตามเริ่มปรากฏสู่สายตา

          “โฮ องค์รัชทายาท ข้าน้อยนึกว่า ข้าน้อยจะมิได้พบพระพักตร์พระองค์อีกเสียแล้ว”

          เสี่ยวลู่ถึงกับถลาเข้ามากอดขาเขาไว้แน่นจนตัวเขาแทบจะล้มลง ยังมีเหล่าองค์รักษ์ที่ต่างคุกเข่ากับพื้น ใบหน้าซีดเซียว
         
          “เฮ้อ ข้าไม่เป็นอะไรมาก ลุกขึ้นเถิด”

          “พระองค์ไม่เป็นอะไรแน่นะพะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่ยังคงร่ำไห้ไม่ได้สติ หากองค์รัชทายาทเป็นอะไรขึ้นมา เขามิต้องหัวหลุดจากบ่าหรือ

          “ข้าบอกแล้วว่ามิได้เป็นอะไร เจ้าก็หยุดร้องเสียที” ฟังเสียงร่ำร้องแล้วเขาก็ต้องกุมขมับ “ข้าเหนื่อยแล้ว รีบนำทางข้าไปยังจวนเจ้าเมืองตงหัวเถอะ”

          “ใช่ๆ รีบไปหาของกินให้ข้าได้แล้ว”

          “หือ” เสียงเจื้อยแจ้วที่แทรกตามมาทำให้เสี่ยวลู่ต้องมองเจ้าของเสียงด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา กระทั่งสบเข้าที่ดวงเรียวสีฟ้าอมเขียวก็ต้องชะงัก ราวกับเคยพบเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน “องค์รัชทายาท เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันหรือพะย่ะค่ะ”

          เขาหันไปมองร่างสีเขียวทีหนึ่งก็ตอบสั้นๆ “ไป๋เซ่อ”

          “เอ๊ะ” เสี่ยวลู่งงงัน ไป๋เซ่อ...นี่มิใช่นามของงูเผือกเลี้ยงหรอกหรือ  เสมือนว่าความทรงจำที่เที่ยวสะบัดฟัดเหวี่ยงงูน้อยจะหายไป ขันทีน้อยกล่าวถาม “แล้วเสี่ยวไป๋ล่ะพะย่ะค่ะ”

          ครานี้เขาหันไปมองคนที่ยืนทำหน้าไร้เดียงสา สักพักจึงกล่าว “เป็นอาหารนกไปแล้ว” พูดจบก็รีบจ้ำอ้าวไปทางองครักษ์ ทำเอาไป๋เซ่อชูมือประท้วงแล้ววิ่งไล่หลังชายหนุ่มไปอย่างเอาเรื่อง

          “เจ้าลูกเต่า ใครเป็นอาหารนกกัน”

          ภาพตรงหน้าทำเอาคนที่ยังคงนั่งคุกเข่าต้องนิ่งค้าง มององค์รัชทายาทที่ไม่ถือตัวอย่างมิอยากจะเชื่อ กระทั่งลมหนาววูบหนึ่งพัดเอาน้ำตาที่นองใบหน้าจนแห้งสนิท เสี่ยวลู่จึงได้สติกระวีกระวาดวิ่งตามคนทั้งหมดไป “อ้ะ องค์รัชทายาท รอกระหม่อมด้วย”



**************************************************


          ค่ำคืนที่ล่วงเข้าสู่วันใหม่ ณ คฤหาสน์หลังใหญ่กลับยังคงมีกลุ่มข้ารับใช้ที่วิ่งวุ่นไม่หลับไม่นอน บุรุษผู้หนึ่งอายุล่วงสี่สิบกว่ากำลังก้าวย่างไปที่หน้าประตูด้วยท่าทีเร่งร้อน ขณะเดียวกันก็จัดเสื้อขุนนางบนกายให้เข้าชุดอย่างเรียบร้อย จวบจนเห็นแผ่นหลังที่สง่างามพร้อมกลุ่มคนราวสี่ห้าคนก็หยุดตัวลงคำนับ

          “ข้าน้อยมู่อิงเจี๋ย เจ้าเมืองตงหัว ขอคำนับท่านผู้ตรวจราชการ”

          ซวนหยวนหมิงไท่หันกายกล่าวกับเจ้าเมืองตรงหน้า “ไม่ต้องมากพิธี ข้าเหนื่อยแล้ว รบกวนท่านเจ้าเมืองนำพวกเราไปยังที่พักเถิด”

          “ต้องขออภัย เป็นเพราะพวกท่านมาโดยกะทันหัน หากคนของข้าขาดตกบกพร่องที่ใด ขอท่านผู้ตรวจราชการหมิงอย่าได้ถือสา” มู่อิงเจี๋ยกล่าวอย่างนอบน้อมพลางผายมือเชิญอีกฝ่ายเข้าไปทางด้านใน

          ครั้นเมื่อมาถึงที่จวนรับรอง สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องอย่างไม่สำรวม ทำให้มู่อิงเจี๋ยต้องขมวดคิ้วอย่างมิพอใจ “อิงเอ๋อร์เล่า”

          “คะ คุณหนูไม่ยอมลุกเจ้าค่ะ นางบอกว่าแขกที่มาไม่มีมารยาท มาขออาศัยยามดึกดื่น ทำผู้อื่นเดือดร้อนไม่เป็นอันนอน” สาวใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาระคนหวาดกลัว

          “บังอาจ เจ้าลูกไม่รักดี ข้ามีแขกแต่กลับเอาแต่นอน มิออกมาต้อนรับ” มู่อิงเจี๋ยขึ้นเสียงด้วยความลืมตัว ครั้นนึกขึ้นได้ก็รีบหันมาขออภัยแขกยืนอยู่เบื้องหลัง “ขออภัย เป็นข้าน้อยสั่งสอนบุตรสาวไม่ดี”

          “ฮา เป็นอย่างที่บุตรสาวท่านกล่าวจริงๆ ท่านมิจำเป็นต้องขอโทษข้าหรอก” ซวนหยวนหมิงไท่ในคราบผู้ตรวจราชการหมิงกล่าวปนอารมณ์ดี ทำให้บรรยากาศที่ขุ่นมัวบรรเทาลงไป

          “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยมิกวนใจท่านแล้ว เชิญท่านไปพักผ่อนตามอัธยาศัย” กล่าวจบก็หันไปสั่งคนข้างกายสักหลายคำ จากนั้นไม่นานนักพ่อบ้านก็นำพากลุ่มคนผู้มาใหม่เข้าไปพักผ่อนยังปีกเรือนด้านฝั่งตะวันออก

          จวบจนได้ล้มลงบนเตียงพลางมองเพดานห้องอยู่ชั่วครู่ ความเหน็ดเหนื่อยของวันนี้ก็ลดทอนลงไป เปลือกตาพลันปิดลงสนิท หากแต่สมองกับคำนึงถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น

          เส้นผมสีเงินที่ส่องประกายท่ามกลางแสงจันทร์ ความตื่นกลัวที่น่าตกใจของเย่วเซียงทำให้เขาติดใจสงสัย ไหนยังจะมีพยัคฆ์ที่นางเรียกว่าเจ้าคฤหาสน์ดินอีก “เจ้าเป็นใครกันแน่” เขาพึมพำก่อนจะคล้อยเข้าสู่นิทรา

          แต่ทว่าจังหวะที่กำลังจมลึกสู่ห้วงฝัน เสียงเคาะประตูก็พลันดังขึ้นถี่ เขาถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม ก้าวลงจากเตียงไปเปิดประตูห้องอย่างมิเต็มใจ “ไป๋เซ่อ ถ้าหิวก็เรียกข้ารับใช้ของจวนเจ้าเมืองเอาสิ มาหาข้าทำไมกัน”

          “หิวบ้านเจ้าสิ เห็นข้าตะกละนักรึไง” เด็กหนุ่มโวยวาย

          “อือ” รัชทายาทหนุ่มตีสีหน้าเรียบสนิท ก่อนส่งเสียงในลำคอเป็นการตอกย้ำ ส่งผลให้ไป๋เซ่อหน้าแดงเถือก ครั้นเห็นอีกฝ่ายจะอ้าปากก็ชิงกล่าว “แล้วมาหาข้ามีธุระอะไร”

          “เฮอะ” ร่างบางแค่นเสียงทีหนึ่งก็กล่าวห้วนๆ ก่อนถือวิสาสะกอดหมอนใบหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องที่มีขนาดกว้าง ลมถ่ายเทสะดวกอากาศเย็นสบาย ข้าวของเครื่องใช้จัดวางอย่างเป็นระเบียบ อืม...ห้องนี้ไม่เลวเลยทีเดียว “ข้าจะนอนห้องนี้”

          “หือ” เขาถึงกับเผยสีหน้างุนงง

          “ข้าบอกว่าจะนอนห้องนี้ เจ้าก็รีบออกๆไปซะสิ” จะให้เขานอนเบียดกับเสี่ยวลู่รึ...ฮึ ไม่มีทาง

          “ออกไปแล้วข้าจะนอนที่ไหน” 

          “โอ๊ย ซื่อบื้อ เจ้าจะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของเจ้าสิ”

          “แต่นี่มันห้องข้า” ซวนหยวนหมิงไท่ยืนยันหนักแน่น

          “แต่ตอนนี้เป็นห้องของข้าแล้ว” ไป๋เซ่อฉีกยิ้มก่อนจะวิ่งไปถลาลงเตียงกว้างอย่างร่าเริง “อ้ะ เตียงอุ่นจังเลย”

          เส้นเลือดบนหน้าผากถึงกับปูดโปน ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทกำลังโดนเอาเปรียบอยู่ สองเท้าก้าวฉับๆไปหาคนที่กลิ้งไปกลิ้งมาที่เตียง

          “ลงมา” เขาขึ้นเสียงห้วน

          “อื้อหือ นี่มันหมอนขนเป็ดนี่” ไป๋เซ่อโยนหมอนใบเก่าข้ามศีรษะแล้วหันไปหนุนหมอนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี มิได้สังเกตเห็นว่าหมอนใบเก่าลอยไปกระแทกหน้าเจ้าของห้องเข้าอย่างจัง

          ซวนหยวนหมิงไท่ประเดี๋ยวหน้าบัดแดงประเดี๋ยวบัดดำ มือทุ่มหมอนที่ร่วงหล่นจากใบหน้าเขาลงกลับพื้น จากนั้นเดินดุ่มเข้าไปทิ้งตัวลงบนเตียง นอนอ้าขาอ้าแขนจนก่ายบนลำตัวของคนที่นอนอยู่ก่อน

          “นี่เจ้าจะทำอะไร”

          เขากรอกตามองอีกฝ่ายขึ้นลง “ถามมาได้ก็นอนไง”

          “แล้วใครใช้ให้เจ้ามานอนตรงนี้”

          “นี่เตียงข้า ข้าจะนอนก็เรื่องของข้า” ยังคงตอบหน้าตาย

          “ไม่ได้ออกไป เตียงนี้ข้านอนได้คนเดียว” ไป๋เซ่อถลึงตาดุ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับเพิกเฉย ทั้งยังหลับตาใส่ก็ทำให้เขาบรรลุถึงแก่อารมณ์ เหยียดเท้ายันไปที่บั้นเอวของชายหนุ่มสุดแรง

          ร่างถูกถีบลงเตียงกะทันหัน พริบตานั้นเปลือกตาบางก็พลันตื่นขึ้น สองมือยื่นคว้าหมับไปที่เสื้อสีเขียวอย่างรวดเร็ว หมายฉุดรั้งผู้ถีบให้ร่วมชะตาเดียวกัน

          ท้ายที่สุดคนทั้งสองต่างก็หล่นตุบลงมากองกับพื้น ทว่าเรื่องราวยังมิจบเพียงแค่นั้น รอจนสองฝ่ายตั้งสติได้ต่างก็พุ่งตัวไปที่เตียงนอนอย่างไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่โชคดีทะยานตัวไปที่ขอบเตียงได้ก่อน หากแต่ครั้นจะปีนป่ายเอวก็ถูกกอดไว้
 
          “ลงมา ลงมา ข้าบอกให้ลงมา” ไป๋เซ่อร่ำร้องน้ำเสียงลากยาวไปไกล สองแขนรวบกอดอีกฝ่ายไม่ปล่อย มาตรว่าวันนี้เขาไม่ได้นอน ก็อย่าคิดว่าเขาจะยอมแพ้

          “อ๊ากก ปล่อยๆกางเกงข้า”

          เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะร้องไห้ก็ร้องมิออก...ดูว่าในประวัติศาสตร์ของแคว้นซวนหยวน คงจะมีแต่รัชทายาทเช่นเขากระมัง ที่ถูกผู้อื่นดึงกางเกงจนเผยก้นขาวราวกับเด็กสามสี่ขวบเช่นนี้




*************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2016 21:56:39 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ไป๋เซ่อน่ารักกกกกกกก

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 4 ตามหา



          เช้าตรู่ที่หมอกน้ำค้างจับตัวเป็นชั้นหนา คนผู้หนึ่งอ้าปากหาวหวอดๆ สองมือประคองอ่างล้างหน้าที่ขอมาจากบ่าวรับใช้ในจวนอย่างระมัดระวัง ต่อเมื่อผลักบานประตูห้องพักที่ยังคงเงียบสงัดแล้วเดินเข้าไปด้านในสุด จวบจนก้าวมาถึงเตียงนอน ความง่วงงุนที่มีอยู่ก็ต้องมลายหายไปจากใบหน้าจนหมดสิ้น ดวงตาเบิกกว้างตกตะลึงสุดขีด ขาพลันสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ดูว่าภาพตรงหน้าได้ทำร้ายจิตใจของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี

          หมอนขนเป็ดกระจุยกระจายไปทั่วห้อง องค์รัชทายาทนอนคว่ำหน้าในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย กางเกงนอนหมิ่นแหม่จะเห็นส่วนสำคัญ ไม่ไกลจากนั้นนักปรากฏเป็นรอยกัดแดงๆที่บริเวณสะโพก ยังมีเด็กหนุ่มที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง สองมือขยุ้มขอบกางเกงผู้เป็นนายตนไม่ปล่อย


          “อื้อ ยอดเยี่ยมที่สุดเลย” ไป๋เซ่อละเมอยิ้ม มุมปากมีน้ำลายไหลย้อยมาเป็นสาย ยกขาก่ายพาดบนตัวคนใต้ร่างอย่างสุขใจ


          อีกด้านหนึ่งรัชทายาทหนุ่มกลับนอนขมวดคิ้วมุ่น ราวกับได้รับการเคี่ยวกรำศึกใหญ่มาทั้งคืน “อือ ออกไป ไม่”
แกร๊ง ท้ายที่สุดก็มิอาจประคองอ่างน้ำในมือได้อีก มันร่วงกระแทกพื้นเสียงดัง สายน้ำสาดกระเซ็นนองเป็นบริเวณกว้าง


          ...นี่เกินกว่าที่ตนจะรับได้


          “โธ่ องค์รัชทายาทของกระหม่อม” เสี่ยวลู่พึมพำคร่ำครวญ ซึ่งพอดีกับที่ซวนหยวนหมิงไท่สะลึมสะลือขึ้นตื่น งัวเงียถามอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน


          “อือ ถึงเวลาแล้วหรือเสี่ยวลู่”


          “......”


          เมื่อมิได้ยินเสียงตอบรับ สองตาที่เลือนรางก็ค่อยๆปรับจนกระจ่างชัด ก่อนแลเห็นสีหน้าตื่นตะลึงอ้าปากตาค้างของขันทีน้อย ครั้นปมให้แน่น เขี่ยขาที่พาดอยู่ออกไป แล้วรีบกระโดดลงจากเตียง ฝืนกระแอมไอกลบเกลื่อน “อ่ะ แฮ่ม ตอนนี้กี่ยามแล้ว”


          “ยามเหมา* แล้วพะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่ก้มลงหยิบอ่างน้ำบนพื้นพลางกล่าวน้ำเสียงสั่น พยายามไม่มองสีหน้าประหม่าของนายเหนือหัวสุดแรงเกิด


          ท่าทางเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์บ่มเพาะครั้งใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจะดีกว่า “กระหม่อมจะไปเตรียมน้ำมาใหม่” กล่าวจบก็พุ่งพรวดไปที่ประตู


          ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่จากไปอย่างไม่เหลียวหลัง มาดที่วางไว้ขึงขังค่อยๆห่อเหี่ยวลง รู้สึกราวกับตนเองแก่ลงไปสักสิบปี ว่าแล้วก็หันไปหาคนที่ยังคงนอนอุตุฝันหวาน ดวงตาสีดำขลับแฝงไปด้วยความมาดร้าย


          หลังจากที่เสี่ยวลู่กลับมาที่ห้องอีกครั้ง รัชทายาทหนุ่มก็เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ทั้งนั่งอยู่ที่กลางห้องเรียบร้อยแล้ว เขาวางอ่างล้างหน้าลงบนโต๊ะกลม จากนั้นใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น บิดหมาดๆแล้วจึงลูบไล้ไปที่พระพักตร์ได้รูป ครั้นถึงที่ริมพระโอษฐ์มือก็มีอันชะงักไปเล็กน้อย


          ...เอ ไฉนจึงดูบวมเป่งกว่าปกติกัน ขันทีน้อยครุ่นคิดสงสัย กระทั่งเผลอนึกถึงภาพวาบหวิวเมื่อเช้าตรู่ หน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สายตายักย้ายไปยังเตียงด้านในโดยปริยาย แต่มาตรว่ายังมิทันกวาดมองได้ชัด ก็ต้องสบเข้ากับดวงตาสีดำที่จ้องเขม็งอยู่ ยังผลให้เสี่ยวลู่รีบเก็บสายตาที่อาจเอื้อมลง และเป็นเวลาพอดิบพอดีกับเสียงที่ดังจากด้านนอก


          “ท่านผู้ตรวจราชการหมิง ท่านเจ้าเมืองกล่าวเรียนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารเช้าที่โถงกลางขอรับ” เป็นพ่อบ้านที่ส่งเสียง


          “ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบกลับแล้วยันกายลุกขึ้น ชั่วขณะหนึ่งกลับชะงักฝีเท้า หันไปทอดมองผ่านเสี่ยวลู่ไปยังทางด้านหลัง


          ...ต้องมีความนัยแน่ๆ เสี่ยวลู่อ่านสายตาที่กวาดมองเขาคราหนึ่งก็สรุปในใจ ต้องชื่นชมตนเองที่เป็นคนมีไหวพริบ ทั้งติดตามองค์รัชทายาทมาเนิ่นนานจนเข้าใจนิสัยพระองค์เป็นอย่างดี


          “เรื่องในวันนี้กระหม่อมจะปิดปากเงียบสนิทไปจนตายเลยพะย่ะค่ะ”


          “หือ” จู่ๆเสี่ยวลู่ก็ลั่นวาจาด้วยสีหน้าจริงจัง ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วงุนงง รออยู่ชั่วครู่จึงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้วถึงรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน เขาคงไม่อยากให้เรื่องน่าอับอายนี้หลุดไปถึงหูผู้ใดเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นแล้วก็ก้าวออกไปจากห้อง ติดตามพ่อบ้านจวนตระกูลมู่ไปยังโถงกลางอย่างสบายใจ


          ด้านขันทีน้อยหันกายมาปิดประตูห้อง ชั่วครู่หนึ่งกลับเผลอเหลือบเห็นช่วงขาเรียวของเด็กหนุ่ม ดูว่ายังคงนอนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก บนเตียงเพียงลำพัง ทั้งไม่มีวี่แววว่าจะตื่นได้ง่ายๆ



***************************************************


          ที่จวนตระกูลมู่แบ่งปีกเรือนออกเป็นสี่ทิศ การตกแต่งภายในล้วนเรียบง่าย หากแต่แฝงไว้ด้วยความงดงามเช่นตระกูลเก่าแก่ ด้านนอกยังมีสวนดอกไม้นานาชนิด หมู่ภมรร่ายบินชวนให้รู้สึกงดงามประการหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ชมวิวทิวทัศน์รอบด้าน สีหน้าปรากฏรอยยิ้มบางเฉพาะตัว จวบจนพ่อบ้านนำพามาถึงโถงใหญ่ กลิ่นของอาหารก็โชยออกมาจากห้อง ไม่เว้นแม้แต่เสียงเจื้อยแจ้วระคนไม่พอใจ


          “ช่างเป็นแขกที่วิเศษวิโสยิ่งนัก ข้ารอนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้กินเสียที”


          “บังอาจ ใครสั่งใครสอนให้เจ้าพูดจาเยี่ยงนี้กัน”


          พ่อบ้านที่ยืนอยู่หน้าห้องถึงกับทำหน้าเฝื่อน ไม่กล้าหันไปจ้องมองผู้เป็นแขกเต็มตานัก แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงยิ้มบาง


          “ขออภัยที่ทำให้แม่นางมู่ต้องคอย”


          น้ำเสียงนุ่มนวลสุขุมดังขึ้นกะทันหัน ทำเอาคนทั้งห้องผงะไป มู่อิงเอ๋อร์เหลียวมองผู้มาใหม่แล้วก็ต้องตะลึงวูบ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แก้มทั้งสองเปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ


          ด้านมู่อิงเจี๋ยหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนกล่าวแนะนำ “เชิญท่านผู้ตรวจราชการหมิงนั่งเถิด ทางนี้คือลูกสาวของข้ามู่อิงเอ๋อร์”


          “คารวะ แม่นางมู่” เขายิ้มกล่าว ยังผลให้ดวงตาของมู่อิงเอ๋อร์เปล่งประกายขึ้น


          “อิงเอ๋อร์ ท่านผู้นี้คือผู้ตรวจราชการหมิง ต่อไปนี้หากท่านขาดเหลืออะไร เจ้าต้องคอยดูแลเข้าใจไหม”


          “อะ อืม” มู่อิงเอ๋อร์ตอบรับทั้งๆที่ไม่วางสายตาไปจากชายหนุ่ม


          แลไม่นานนักการรับประทานอาหารก็ดำเนินขึ้นอย่างเงียบเชียบ โดยหนึ่งสตรีจ้องมองเขาอยู่ตลอดจนบังเกิดเป็นบรรยากาศพิกล ครั้นข้าวในถ้วยร่อยหรอ ซวนหยวนหมิงไท่จึงขอตัวออกมา


          หลังจากกลับถึงเรือนพัก เสี่ยวลู่พร้อมกับองค์รักษ์ต่างก็ยืนรออย่างรู้ความ เขาพยักหน้าคราหนึ่งคนทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป มาตรว่าเรื่องทั้งหมดได้สั่งการลงไปหมดแล้ว แต่ดูว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาต้องจัดการ


          ย่างก้าวเข้ามาในเรือนนอนอย่างแช่มช้า มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบนใบหน้าเขานัก สายตาชำเลืองมองไปที่เตียง แต่แล้วมันกลับว่างเปล่า เขาถึงกับรีบตรงรี่เข้าไปเลิกผ้านวมขึ้น ทว่าฉับพลันนั้นบางสิ่งที่มาดร้ายก็พุ่งกระโจนเข้าใส่ทันที


          “ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องขึ้นอย่างตกใจ สองมือรวบจับงูตัวน้อยได้ทันท่วงที


          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เจ้าบังอาจตรึงข้า ข้าจะกัดคอเจ้า แฮ่ แฮ่


          งูเผือกขยับปากงับอย่างบ้าคลั่ง เขาเองก็โต้กลับ “ฮึ เป็นเจ้ากล้ากัดข้าก่อนเองนี่” หากเขาถลกกางเกงตอนนี้ได้ เขาก็คงถลกให้มันดูรอยกัดไปแล้ว “ว่าแต่ทำไมถึงกลับเป็นงูอีกเล่า” คิ้วพลันย่นลง มิใช่ว่าความพยายาม...เหล่านั้นสูญเปล่าไปจนหมดหรอกนะ


          “โง่เง่า คิดว่าข้าจะนอนรอให้เจ้ากลับมาเจี๋ยนเรอะ” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงสูง ก่อนหน้านี้ตนตื่นมาในสภาพมือถูกมัดขึงติดกับหัวเตียงก็พอจะรู้ว่าเป็นฝีมือใคร ดังนั้นจึงได้แต่เปลี่ยนเป็นงูเผือก ซุ่มซ่อนรอเอาคืนอย่างเงียบเชียบ


          ได้ฟังเช่นนั้นแล้วรัชทายาทหนุ่มก็ลอบยิ้ม เอาเถอะ ใช่ว่าเขาจะคาดเดาไม่ถึงนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของเจ้าตัวเสียเมื่อไหร่ เขาเหล่ตามองงูที่พยายามรัดแขนเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “บอกมาคำเดียวไปหรือไม่ไป”


          ไป๋เซ่อชะงักมองหน้าชายหนุ่มอย่างงงๆ กระทั่งอีกฝ่ายทำท่าสะบัดมัน มันก็โพล่งตอบ “ไป ไปสิ” หากปล่อยมันทิ้งไว้ที่นี่ มันคงเบื่อแทบตาย ไหนยังจะเรื่องปากท้องอีก เช่นนี้แล้วมันก็จะเกาะติดอีกฝ่ายให้เหนียวแน่นยิ่งกว่าปลิงดูดเลือดเสียอีก


          “ดี” ว่าแล้วก็พลันยัดตัวเจ้างูน้อยเข้าไปในอกเสื้ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยังผลให้ไป๋เซ่อจุกอกพลอยฟาดหัวฟาดหางภายในเสื้ออย่างทุรนทุราย แต่มีหรือเขาจะใคร่ใส่ใจ กลับเผยรอยยิ้มเยาะทั้งถือโอกาสตบอกที่มีรอยนูนเสียอีกหนึ่งที


          ถึงแม้ภายนอกว่าจวนเจ้าเมืองตงหัวจะไม่ได้หรูหรา หากแต่คอกม้ากลับเลี้ยงอาชาดีไว้หลายตัว หญ้าสดหญ้าแห้งมีเตรียมไว้อย่างเสร็จสรรพ กระทั่งบ่าวไพร่เองยังคอยผลัดเวรดูแลม้าตลอดทั้งวัน ประเมินมองดูแล้วตระกูลมู่หาได้ธรรมดาอย่างที่เห็นไม่ รัชทายาทในชุดอาภรณ์สีน้ำเงินคิดพลางจูงม้าสีน้ำตาลออกมาจากคอก ครั้นกำลังจะตวัดตัวขึ้นก็มีเสียงใสๆร้องเรียกจนทำให้ทั้งคนทั้งม้าหันไปมองที่จุดเดียว


          “เดี๋ยวก่อน” สตรีผู้มีดวงหน้าจิ้มลิ้มสวมเสื้อสีชมพูอ่อนส่งเสียง นางตรงรี่เข้าไปหาคนที่กำลังขึ้นม้าอย่างรวดเร็ว


          “แม่นางมู่”


          “ท่านกำลังไปไหน” มู่อิงเอ๋อร์เอ่ยถาม ทว่าร่างสูงไม่เพียงไม่ตอบทั้งยังมองนางด้วยสายตาฉงน ทำให้นางต้องถลึงตาใส่ “ท่านลืมกระไรไปรึไม่ ถึงแม้ท่านจะเป็นถึงผู้ตรวจราชการ แต่จะอย่างไรท่านก็ยังคงติดหนี้ข้าอยู่” นางขึ้นเสียง ต่อเมื่อชายตรงหน้าอุทานอาคำหนึ่งแล้วจึงมีทีท่านึกขึ้นได้ นางก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย


          ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบางแล้วจึงสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ระมัดระวังมิให้โดนเจ้าตัวน้อยลอบทำร้าย จากนั้นจึงหยิบถุงผ้าไหมที่บรรจุเงินจำนวนหนึ่งยื่นให้แก่หญิงสาว “ขอบคุณแม่นาง” กล่าวจบก็ตวัดตัวขึ้นม้า สายตาทอดมองตรงไปยังเส้นทางเบื้องหน้า


          “หือ” มู่อิงเอ๋อร์ที่ยื่นมือรับถุงเงินจ้องมองเขาอย่างงงงัน เหตุใดบทสนทนาจึงจบลงสั้นเพียงนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่ยินยอมนัก รอจนจังหวะหนึ่งก็ถือโอกาสตวัดตัวขึ้นม้าตามไป ยังมิวายใช้สองมือรวบกอดเอวชายหนุ่มจากทางด้านหลัง


          “แม่นางมู่ ท่านขึ้นม้ามาทำไม” ซวนหยวนหมิงไท่งงงันวูบ กล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ ทว่ามู่อิงเอ๋อร์กลับยิ้มกล่าวเอาแต่ใจ


          “ม้าตัวนี้เป็นม้าของข้า ท่านยังไม่ขออนุญาตข้าก็เอาออกมาเช่นนี้ไม่ดีเท่าไหร่กระมัง อีกอย่างท่านพ่อสั่งให้ข้าคอยดูแลท่าน ดังนั้นท่านก็ไปตามทางของท่านเถอะ ข้าจะดูแลท่านใกล้ๆแบบนี้แหละ”


          “ไม่ แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าเกรงว่าแม่นางจะถูกคำครหาได้” เขาปฏิเสธทันควันพร้อมกันนั้นก็พยายามดึงมือเล็กๆที่เอวออก แต่กระนั้นนางกลับรัดแน่นยิ่งขึ้น จนท้ายที่สุดเขาก็ต้องทอดถอนใจให้กับความดื้อดึงของนาง


***************************************************



          หลังจากที่เคลื่อนม้าออกจากจวนตระกูลมู่ไปไกลยังแถบชานเมือง ซวนหยวนหมิงไท่ก็วนเวียนอยู่บนเขาที่ตนได้มาเหยียบยังคืนที่ผ่านมาอยู่หลายรอบ แต่กระนั้นก็มิสามารถตามหาป่าปริศนาที่โรยตัวไปด้วยเถาวัลย์หนา ดูแล้วคล้ายมีบางสิ่งขวางกั้นมิให้เขาได้เข้าไปใกล้อีก


          ด้านมู่อิงเอ๋อร์ที่นั่งยิ้มมาตลอดทางก็เริ่มจะยิ้มไม่ออก รอบข้างนางเห็นแต่ต้นหญ้าอันแห้งแล้งกับแสงแดดร้อนแรงที่ทำให้เหงื่อซึมไปทั่วทั้งกาย ที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่ชายหนุ่มหญิงสาวสานสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเลยสักนิด “นี่ท่านจะไปไหนกันแน่” นางขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย


          “ฟ่อ ฟ่อ” ใช่ๆ นี่เจ้าจะพาข้าไปไหนกันแน่ ไป๋เซ่อในอกเสื้อดุนดันศีรษะออกมาร้องเสริม


          “.......”


          เมื่อไม่มีแม้แต่คำกล่าวอันใด มู่อิงเอ๋อร์จึงได้แต่เป็นฝ่ายถามต่อ “ความจริงสถานที่น่าเที่ยวของตงหัวก็มีเยอะแยะ ท่านมิเห็นจำเป็นต้องมาในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ มิสู้พวกเราไปหอหมื่นลี้สดับฟังเพลงพิณ ตกบ่ายไปตึกไผ่ขจีลิ้มรสพิราบน้ำแดงมิดีกว่ารึ”


          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” ดี ดี พิราบน้ำแดง ข้าจะไปตึกไผ่ขจี


          “......”


          “นี่ท่านได้ยินข้าพูดรึเปล่า” เห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยนางก็เริ่มหงุดหงิด


          “ฟ่อ ฟ่อ” ใช่ๆ นี่เจ้าได้ยินที่ข้าพูดรึเปล่า ด้านไป๋เซ่อก็ยืดคอตั้งใจพ่นน้ำลายใส่หน้าชายหนุ่มเช่นกัน


          ประเมินมองแล้วสตรีที่ด้านหลังนั้นยากจะตอแย ทว่างูน้อยที่อยู่ด้านหน้าก็มิใช่ย่อยเช่นกัน หากยังไม่ตอบอีกเกรงว่าหูของเขาคงจะชา หน้าคงจะแฉะเสียก่อน คิดได้ดังนั้นเขาก็ตัดสินใจตอบสั้นๆ “ข้ามาหาคน”


          “ใคร/ฟ่อ”


          ครานี้ทั้งคนและงูต่างก็ประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ชะงักไปชั่วขณะ หูอื้อขึ้นมากะทันหัน


          “เป็นสตรีรึว่าบุรุษ ไฉนต้องมาถึงที่นี่”


          “ฟ่อ ฟ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่สมองเจ้ามีปัญหารึเปล่า เวลานี้ควรหาพิราบน้ำแดงสิ


          “สมองเจ้านั่นแหละมีปัญหา”


          “หือ” มู่อิงเอ๋อร์ตะลึงวูบอย่างที่สุด นี่...เขากำลังว่านางอยู่หรือ?


          “อ้ะ” ครั้นรู้สึกตัวว่ายังมีบุคคลที่สามร่วมทางมาด้วย เขาก็รีบหันไปกล่าว “ขออภัยแม่นาง ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เผอิญวันนี้แดดร้อนจนเกินไป ข้ากลัวงูเผือกเลี้ยงของข้าจะทนทานมิไหว สมองฝ่อไปในที่สุด”


          “ฟ่อ ฟ่อ” เพ้ย เพ้ย...สมองเจ้าสิฟ่อ รัชทายาทงี่เง่า


          หน้าผากของเขาปรากฏเป็นเส้นเลือดเขียวปูดโปน ไยช่วงนี้จึงรู้สึกถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่ายกว่าปกติ เขาคว้าหมับเจ้างูปากเสียดึงเอาลำตัวยาวสีขาวออกมาจากเสื้อ ยื่นมือออกไปทางด้านข้าง


          “ฟ่อ ฟ่อ” จะ เจ้าๆๆ จะทำอะไรน่ะ ไป๋เซ่อที่ตกอยู่ในกำมือร้องตะกุกตะกักสีหน้าแตกตื่น ตอนนี้มันเป็นแค่งูธรรมดา พลังก็ยังไม่ฟื้นตัวเท่าไหร่นัก หากตกลงไปตอนนี้ก้นคงพังเป็นลายด่างพร้อยเป็นแน่


          “นี่ท่านจะทำอะไรรึ” มู่อิงเอ๋อร์กล่าวขึ้นอย่างงงงัน ไฉนคนผู้นี้จึงมีท่าทีแปลกๆเช่นนี้


          “ข้าแค่คิดว่ามันสมควรคลายร้อนได้แล้ว จะได้เลิกแปรปรวนคิดจะกัดข้าเสียที” กล่าวจบก็เหวี่ยงงูเผือกไปทางด้านหนึ่ง ส่งผลให้สตรีที่ด้านหลังต้องอ้าปากกว้างมองงูที่ลอยคว้างบนฟากฟ้าตะลึงงัน


          “ฟ่อ ฟ่อ” เจ้ากล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้เชียวเรอะ เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ โฮ ไป๋เซ่อน้ำตาคลอเบ้าตัวลอยละลิ่วไปไกล แลไม่นานก็บังเกิดเสียงดังตูม ร่างกระแทกเข้ากลับผิวน้ำเย็นฉ่ำ


          ร่างสีขาวหายไปกลับสายน้ำ ตั้งแต่ต้นจนจบมู่อิงเอ๋อร์ได้แต่มองการกระทำอันไร้เหตุผลอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งผิวน้ำก็เกิดกระเพื่อมไหว ก่อนที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งจะโผทะยานขึ้นมาโหยหาอากาศ


          “ชะ ช่วยด้วย ข้าว่ายน้ำไม่เป็น” ตนเป็นงูบกมิใช่งูทะเล จะให้ว่ายน้ำก็นับว่าฝืนธรรมชาติเกินไปแล้ว


          นางใช่ตาฝาดไปรึไม่ ก่อนหน้านี้ที่ตกลงไปมิใช่งูตัวหนึ่งหรอกหรือ? ไฉนจู่ๆกลับมีคนโผล่ขึ้นมาได้ ยังมิทันจะเข้าใจ ชายที่นั่งอยู่ทางด้านหน้าก็พลันถีบตัวขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมุ่งตรงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว


          ปกติเห็นอวดอ้างว่าเป็นงูเผือกมือขวาของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ แต่กระทั่งว่ายน้ำก็ยังไม่เอาไหน เช่นนี้ออกจะไม่ได้เรื่องไปสักหน่อยกระมัง คิดแล้วก็พุ่งตัวไปยังลำธารเบื้องหน้าอย่างไม่รอช้า ปลายเท้าสัมผัสผิวน้ำนำพาตนเองไปหาคนที่เดี๋ยวดำผุดดำว่ายอย่างทุรนทุราย รวบแขนเรียวบางนั้นขึ้น จากนั้นฉุดดึงกลับไปยังฝากฝั่ง


          “ข้านึกว่าเจ้าเป็นทุกอย่างเสียอีก” รัชทายาทหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งผุดรอยยิ้มที่เสมือนไม่มีขึ้น


          นี่ข้าโดนรังแกอยู่หรือ? ไป๋เซ่อที่ถูกพยุงตัวสังเกตเห็นแล้วก็ถึงกับเหน็บหนาว ที่ผ่านมาตนมีแต่รังแกผู้อื่น ทว่าเพลานี้...มองคนที่ทำหน้าตายนิ่ง แวบหนึ่งก็ร่ำร้องในใจ อันธพาล...นี่เรียกว่าอันธพาลชัดๆ บางทีที่ผ่านมาตนอาจไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นี้เลยก็ได้


          “แล้วงูเลี้ยงของท่านเล่า” มู่อิงเอ๋อร์จูงม้าเข้ามาหาคนทั้งสอง


          “ปล่อยมันเล่นน้ำสักประเดี๋ยวก็คงกลับมา” เขากล่าวขึ้นพลางถอดเสื้อคลุมสีน้ำเงินแล้วนำไปพาดบ่าร่างสีเขียวที่เปียกม่อลอกม่อแลก


          ท่าทีและคำพูดส่งๆนั้นทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ อาจเป็นเพราะตนมิได้รับความสำคัญ นางจึงหันไปซักไซ้เด็กหนุ่มแทน “แล้วเจ้าเป็นใคร เหตุใดจู่ๆจึงตกน้ำเช่นนี้ได้” ดูจากรูปการแล้ว นางมิเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจจะดักรอแล้วสร้างสถานการณ์เรียกร้องความสนใจก็เป็นได้


          ไป๋เซ่อที่เอาแต่กอดเสื้อคลุมยังไม่ทันตอบ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ชิงกล่าว “คนผู้นี้เป็นผู้ติดตามของข้า เพียงใช้ให้เขามาสังเกตการณ์ที่นี่ก่อน แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะซุ่มซ่ามขนาดนี้”


          “เจ้ากล่าววาจา...” พกลมอันใด คิดอยากจะค้าน แต่ก็มีอันต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก เนื่องเพราะดวงตาสีดำขลับคู่นั้นจู่ๆก็ทอประกายวาบ ทั้งแฝงด้วยรอยยิ้มกดดันทั้งดูเสมือน...กลั่นแกล้ง


          น่ะ...น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว ไป๋เซ่อน้ำตาคลอไม่กล้าเอ่ยคำใดอีก ดูว่าหากหลุดพูดออกไปอีกสักคำหนึ่ง เกรงว่าหลังจากนี้ตนอาจจะต้องประสบเคราะห์ครั้งใหญ่


          เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆน่ะหรือ? นางมองคนทั้งสองอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “ตกลงท่านตามหาผู้ใดกัน ข้าเติบโตอยู่ที่ตงหัวนับสิบกว่าปี รู้จักคนมากมายไม่น้อย บางทีคนที่ท่านกำลังหา ข้าอาจรู้จักก็เป็นได้”


          “แม่นางมู่เคยได้ยินนามเย่วเซียงบ้างรึไม่”


          “.....” ที่แท้ก็ตามหาสตรีผู้หนึ่ง สีหน้าของมู่อิงเอ๋อร์พลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง มีนางอยู่ตรงนี้จะต้องการสตรีอื่นไปไย


          เห็นนางเงียบไป เขาก็ถามสืบต่อ “เช่นนั้นเจ้าคฤหาสน์ดิน พอจะคุ้นหูบ้างรึเปล่า”


          “หากเป็นสตรีนามว่าเย่วเซียงข้ากลับไม่เคยได้ยิน แต่เจ้าคฤหาสน์ดินนั้นข้าพอจะได้ยินมาบ้าง อีกอย่างคนของแถบตงหัวนี้ไม่มีใครไม่รู้จักตำนานของเจ้าคฤหาสน์ดิน”


          “ตำนานของเจ้าคฤหาสน์ดิน” ไป๋เซ่อเอ่ยแทรกอย่างสนใจ แม้แต่ซวนหยวนหมิงไท่ก็มีท่าทีประหลาดใจไม่น้อย


          “แม่นางโปรดชี้แนะ”


          “เดิมทีในส่วนรอยต่อระหว่างเขตตงหัวกับเขตเหลียวตงกลับมีพื้นที่ต้องห้ามอยู่ เมื่อหลายร้อยปีก่อนที่ตรงนั้นเป็นป่าสมุนไพรหายากที่อยู่ในครอบครองของเจ้าบ้านที่ผู้คนต่างรู้จักกันในนามของเจ้าคฤหาสน์ดิน ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้วนเร้นกายไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก เพียงทำการค้าสมุนไพรวิเศษที่แม้แต่คนธรรมดาก็มิอาจหาซื้อได้

          แต่น่าแปลกที่วันหนึ่งผู้คนนับร้อยกลับหายวับไปในคืนเดียว ไม่มีทั้งร่องรอยหรือเบาะแสอันใด จากนั้นมาพื้นที่ที่เคยเป็นป่าสมุนไพรจึงถูกผู้คนลักลอบเข้าไปยื้อแย่ง ทว่าไม่นานนักผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเจ้าคฤหาสน์ดินต่างก็ไม่มีใครได้กลับออกมาอีก นี่เป็นตำนานที่ผู้คนในตงหัวกล่าวขานว่าเป็นสถานที่อาถรรพ์ คนธรรมดามิอาจอยู่ มีเพียงภูตผีปีศาจเท่านั้นที่อาศัย”


          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก เรื่องที่เล่ามานั้นช่างแตกต่างจากสิ่งที่ตนได้พบอย่างสิ้นเชิง เจ้าคฤหาสน์ดินที่นางพูดนั้นถือเป็นคน หากแต่ที่ตนพบกลับเป็นพยัคฆราชตัวหนึ่ง แล้วเย่วเซียงที่ตนพบนั้นเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าคฤหาสน์ดิน


          “เป็นไรไปแล้ว” เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีครุ่นคิด นางก็เลิกคิ้วถาม


          “แม่นางสามารถนำทางข้าไปที่นั่นได้รึไม่”


          “หือ ท่านจะไปที่นั่น” ฉับพลันนั้นมู่อิงเอ๋อร์ก็หยุดเสียง สมองเต็มไปด้วยคำถาม ไยเขาต้องการไปที่นั่น นางขบคิดไปมารวดเร็วก่อนนึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านคิดไปหาสตรีที่นามว่าเย่วเซียงที่คฤหาสน์ดิน”


          “......”


          แม้เขาจะไม่ตอบก็เสมือนว่านางได้รับคำตอบแล้ว “ฮึ เกรงว่าสตรีที่ท่านต้องการหาคงเป็นนางปีศาจที่คอยยั่วยวนบุรุษแล้ว” นางแค่นเสียง “ท่านคงไม่รู้กระมังที่ใต้หุบเขาตงหัวซึ่งติดกับพื้นที่ของเจ้าคฤหาสน์ดินนั้นมีปีศาจราคะอาศัยอยู่”


          “เท่าที่ดูแล้วนางมิใช่...”


          มู่อิงเอ๋อร์ชักสีหน้า “นี่เป็นเพราะท่านต้องมนต์นางปีศาจเข้าแล้ว”


          “แม่นางท่านเข้าใจผิดแล้ว”


          “ข้ารึเข้าใจผิด” นางตวาดแต่ชั่วพริบตาหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่า ถ้านางอาละวาดตอนนี้ บางทีภาพลักษณ์ของนางอาจจะดูไม่ดีในสายตาเขา ยังคงสงบเสงี่ยมไว้ก่อนดีกว่า “คุณชายหมิง ถึงแม้ท่านอยากจะให้ข้านำทางสักแค่ไหน ข้าก็ต้องขออภัยที่มิอาจทำตามความประสงค์ท่านได้ เพราะข้าเองก็ไม่รู้จักทางไปเช่นกัน” สถานที่แห่งนั้นนางไม่เคยเฉียดกายเข้าใกล้เลยสักครา และที่นางรู้เรื่องปีศาจสาวก็เป็นเพราะได้ยินข่าวลือจากคนในเมืองทั้งสิ้น


          ดูท่าทีของมู่อิงเอ๋อร์แล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็สรุปได้ว่านางมิได้โกหก นางพูดความจริง เขาหันไปมองไป๋เซ่อด้วยต้องการความเห็น ถึงอย่างไรผู้ที่คุ้นเคยกับเรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ก็คงจะมีแต่เจ้าตัว


          “สถานที่แห่งนั้นเกรงว่ามิใช่ใครก็หาพบได้ง่ายๆ หากเจ้าต้องการหานางจริงๆ สมควรกลับมาที่นี่อีกครั้งเมื่อตะวันตกดิน”
ร่างที่เปียกปอนกระซิบบอกผ่านทางสายตา แต่แล้วสีหน้าก็ดูเครียดไปส่วนหนึ่ง จากนั้นเริ่มมีท่าทีกระบิดกระบวนตัวไปมาคล้ายยังมีความในใจ หรือไป๋เซ่อจะพบเบาะแสแล้ว? เขาเงี่ยหูรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ


          ในที่สุดตนก็ตัดสินใจได้แล้ว เรื่องอื่นใดในโลกหล้าฤาจะสำคัญกว่าท้องที่ร้องจ๊อกๆของตน ดังนั้นได้แต่งัดกลยุทธ์สาวงามที่โด่งดังมาใช้บ้างแล้ว ไป๋เซ่อส่งยิ้มแฉ่งที่คิดว่าน่าดูที่สุด “เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ไปหาพิราบน้ำแดงกันเถอะ”


          “.......” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา แลหลังจากที่คว้าน้ำเหลว เขาก็หมดอารมณ์จะทำอะไรต่ออีก ดังนั้นได้แต่เอ่ยปาก “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เปลี่ยนไปตึกไผ่ขจีเถอะ”


          ได้ยินดังนั้นแล้วสีหน้าของมู่อิงเอ๋อร์ก็ดีขึ้น นางลอบยิ้มในใจก่อนตวัดตัวขึ้นหลังม้าหนุ่มสีน้ำตาล ทว่าไม่นานนักก็รู้สึกผิดปกติ อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายยังคงมองนางนิ่งงัน “ท่านยังรอกระไร มิรีบขึ้นม้าอีก”


          “อา ข้ารอให้แม่นางมู่ไปก่อน ประเดี๋ยวพวกเราจะรีบตามไปทันที” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบสนิท


          “แล้วทำไมท่านถึงมิไปพร้อมข้า” นางถามอย่างสงสัย


          “เป็นเพราะม้าหนึ่งตัวบรรทุกพวกเราทั้งสามคนมิได้” ครานี้ไป๋เซ่อสอดปากขึ้นแทน สตรีผู้นี้ดูเขลายิ่ง เหตุผลง่ายๆแค่นี้ยังมิเข้าใจอีก


          มู่อิงเอ๋อร์ถลึงตาดุใส่บุคคลที่สาม ก่อนหันไปหาคุณชายหมิง “เขาเป็นแค่ผู้ติดตาม สมควรรู้หน้าที่ของบ่าว มิให้นายต้องตกระกำลำบาก”


          ไป๋เซ่อถึงกับหันขวับไปหาร่างสีน้ำเงิน “รึเจ้าจะทอดทิ้งข้า?”


          สังเกตเห็นสายตาสีฟ้าอมเขียวที่ทอแววไม่มั่นใจนัก เขาก็ยิ้มบาง “อืม เขาเองก็เปียกไปทั้งตัว ข้ากลัวว่าเขาจะไม่สบายเป็นลมหมดสติระหว่างทาง เช่นนั้นแล้วต้องรบกวนให้แม่นางมู่ไปจองโต๊ะก่อนเถอะ”


          คล้ายมีอสนีบาตฟาดกระหน่ำ เทียบกับเจ้าเด็กรับใช้นี่ นางยังมีความสำคัญน้อยกว่าอีกรึ ...น่าตายนัก นางสบถในใจอย่างขุ่นเคือง มือกระชากบังเหียนจนม้าต้องหนุ่มสะบัดหน้าใส่คนทั้งสองในระยะประชิด จากนั้นจึงควบจากไปไกล



***************************************************


ยามเหมา คือ เวลา 5.00 – 7.00 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2016 21:58:53 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 5.1 เงาร่างในใจ



          หากพูดถึงสถานที่คราคลั่งไปด้วยผู้คน ตึกไผ่ขจีย่อมติดอันดับหนึ่งในสาม ด้วยเป็นร้านอาหารเลิศรสที่มีชื่อเสียง เลื่องลือไปด้วยชาจิ่งหลงที่ดีสุดในเขตการค้าตงหัว ภายในตกแต่งพิถีพิถันให้ความรู้สึกปลอดโปร่งเหมาะแก่การพบปะพูดคุย ส่งผลให้ผู้คนทั้งหลายต่างเข้าออกที่นี่

          ขณะนี้เถ้าแก่เจียงของตึกไผ่ขจีวัยสามสิบกว่ากำลังชะโงกหน้ารอแขกผู้หนึ่งอยู่นานแล้ว หากเป็นลูกค้าตามปกติเขาคงมิต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้ แต่ทว่าคนผู้นี้เป็นถึงแขกของคุณหนูสกุลมู่ บุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าเมืองตงหัว เช่นนี้แล้วเขามิอาจไม่กระทำ

          ครั้นเห็นบุรุษรูปงามในอาภรณ์สีน้ำเงินก้าวเข้ามาในร้านด้วยท่วงท่าสง่างามราวอาบลมวสันต์ ดวงตาสีดำกระจ่างดุจแสงตะวันตรงตามคำบอกเล่าที่ตนท่องจำมา เถ้าแก่เจียงก็รีบปรี่เข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “ตึกไผ่ขจีขอต้อนรับคุณชายหมิง”

          ค้อมกายคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มประจบ ทว่าสายตาอันแหลมคมก็มีอันสะดุดไปยังเจ้าของนัยน์ตาเรียวสีฟ้าอมเขียวที่ดูเย้ายวน ดวงหน้าเล็กโดดเด่นที่ด้านหลังคุณชายหมิง ส่งผลให้เถ้าแก่เจียงนิ่งค้างเผยอยิ้มอย่างลืมตัว...ใครกัน ช่างมีเสน่ห์ร้ายกาจน่าดึงดูดถึงเพียงนี้

          “อ่ะ แฮ่ม”

          “อ้ะ” เป็นร่างสีน้ำเงินที่กระแอมไอเสียงดัง ทำให้เถ้าแก่เจียงหลุดจากภวังค์แล้วนึกถึงสตรีที่ลั่นวาจาจะให้ทหารยึดกิจการเขา หากทำให้แขกของนางมิพอใจ “คุณหนูมู่กำลังรอท่านอยู่ชั้นบน ข้าน้อยจะนำทางท่านไปเอง” เขารีบเข้าเรื่อง แต่มาตรว่าคุณชายหมิงจะยิ้มบางพยักหน้าตอบรับเงียบๆ กระนั้นแผ่นหลังของตนกลับมีเต็มไปด้วยเหงื่อผุดผาด ราวกับมีบางสิ่งกดดันให้เกิดเป็นบรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจมิออก

          ชายหนุ่มทั้งสองถูกนำพาไปยังชั้นบนซึ่งมีพื้นที่โปร่ง แขกเหรื่อมิได้หนาตา แต่ละโต๊ะถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วน กั้นไว้ด้วนม่านลูกปัดชั้นหนึ่ง ดูไปแล้วคนที่อยู่บนชั้นนี้ล้วนแล้วแต่มีฐานะ บ้างเป็นคุณชายจากตระกูลไหนสักแห่ง บ้างเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่ร่ำรวยเงินทอง

          กระทั่งพวกเขามาถึงโต๊ะแถวริมระเบียง เถ้าแก่เจียงก็หยุดตัวลงเบี่ยงกายเชิญพวกเขาไปทางด้านใน ซวนหยวนหมิงไท่ก้าวผ่านม่านลูกปัด เพียงก้าวเดียวก็พบอาหารนานาชนิดวางเรียงรายกับโต๊ะ

          “ท่านมาแล้ว” มู่อิงเอ๋อร์ยิ้มกล่าว ท่าทีไม่สบอารมณ์ก่อนหน้านี้หายวับไปจนหมดสิ้น ทว่าไม่นานนักมุมปากก็มีอันกระตุก

          “ว้าว” ไป๋เซ่อตาลุกวาวพร้อมกันนั้นก็ถลาลงนั่งที่เบาะนุ่ม มือฉวยน่องเป็ดขึ้นแทะอย่างเอร็ดอร่อย นานแล้วสินะที่มิได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์แบบนี้

          “ค่อยๆกินสิ เลอะหมดแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่นั่งลงด้านข้างไป๋เซ่อ ก่อนจะเอื้อมมือใช้ปลายเสื้อเช็ดปากที่มันย่องอย่างไม่รังเกียจ ในใจกลับคิดเพียงว่าชุดนี้ข้าเสียเงินซื้อให้เจ้ากี่ตำลึงกันเชียว

          “อื้อ อย่ามายุ่ง” ร่างสีฟ้าสะบัดหน้าหนีอย่างรำคาญใจ ยังไงน่องเป็ดชิ้นนี้ ข้าก็ไม่มีวันยกให้เจ้า

          สตรีที่นั่งดูอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับตัวสั่นสะท้าน บรรยากาศที่แผ่กลิ่นอายหวานแหววตรงหน้าคลับคล้ายทำให้นางกลายเป็นส่วนเกิน ยิ่งไปกว่านั้นที่ชายหนุ่มมาช้า เพียงเพราะนำพาบ่าวรับใช้คนหนึ่งผลัดเปลี่ยนเสื้อใหม่

          ดวงตากลมโตจ้องชุดสีฟ้าอ่อนเนื้อดีที่กำลังเป็นที่นิยมของตงหัว มองเจ้าของดวงหน้าสดใสแฝงกลิ่นอายยั่วยวน ชั่วขณะหนึ่งนางก็รู้สึกด้อยลงไปถนัดตา แต่แล้วเมื่อเผลอคิดเช่นนั้นนางก็ต้องผงะ

          ไม่ได้...นางคือมู่อิงเอ๋อร์ มีรึจะแพ้ให้กับเด็กรับใช้ผู้หนึ่ง

          “คุณชายหมิง ระหว่างที่รอท่าน ข้าสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านมาเจ็ดชนิด หนึ่งในนั้นมีปลาหิมะแดงที่ทางร้านจะปรุงขึ้นมาเพียงวันละตัวเท่านั้น หวังว่าท่านจะถูกปาก” นางส่งยิ้มหวานพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาไปไว้ในชามของอีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ เรื่องบางเรื่องบุรุษก็มิอาจแทนสตรีได้ คิดแล้วก็ส่งสายตาเยาะเย้ยให้เด็กหนุ่ม

          “ขอบคุณแม่นางมู่” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มรับอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปเหน็บแนมคนข้างกายอย่างฉับพลัน “ไป๋เซ่อ เลิกแทะน่องเป็ดได้แล้ว เจ้าจะกลืนมันลงไปทั้งกระดูกเลยรึไง” เขามองคนที่สวาปามแทบไม่ได้เคี้ยวแล้วก็ต้องส่ายหน้า ไม่น่ามองจริงๆ

          ไป๋เซ่อแทบอยากจะพ่นกระดูกเป็ดใส่หน้าอีกฝ่ายแล้วตวาดถาม...เจ้าเคยเห็นงูที่ไหนเคี้ยวอาหารกันบ้างเล่า ทว่ายังมิทันได้ทำตามที่ตั้งใจ มือที่ดูน่าอบอุ่นก็คีบเนื้อปลาส่งป้อนมาให้ถึงริมฝีปาก

          “เอ้า ลองชิมเนื้อปลาหิมะแดงหายากนี่ดูบ้าง” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ครานี้ไป๋เซ่อไม่รอช้าอ้าปากงับชิ้นปลาจากตะเกียบ ลืมเลือนเรื่องขุ่นเคืองไปจนหมดสิ้น

          “อร่อย”

          ชมมองรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งให้บุคคลที่ไม่ใช่ตนแล้ว มู่อิงเอ๋อร์ก็กัดฝันกล่าวประชด “ดูท่านใส่ใจเขาเป็นพิเศษจริงๆ”

          “หือ” ซวนหยวนหมิงไท่แสดงสีหน้าแปลกใจ ใส่ใจงั้นรึ? จะว่าไปแล้วการกระทำบางอย่างที่เขามีต่อไป๋เซ่อ ล้วนแล้วแต่กระทำโดยมิได้รู้ตัวทั้งสิ้น เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบ “อาจเป็นเพราะมีคนฝากฝังเขาไว้ ดังนั้นข้าจึงมิอาจเมินเฉย” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กระมัง? แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ในใจลึกๆกลับยังรู้สึกไม่แน่ใจนัก

          เป็นอย่างนี้นี่เอง...ได้ยินดังนั้นนางก็พอจะชื้นใจขึ้นมาบ้าง สาเหตุที่คุณชายหมิงดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายเป็นพิเศษ นั่นก็เป็นเพราะได้รับการฝากฝังมาก็เท่านั้น ถึงตอนนี้มู่อิงเอ๋อร์จึงเผยรอยยิ้มสบายใจออกมาได้แล้ว

          เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บุรุษเจ้าสำอางวัยยี่สิบพร้อมข้ารับใช้คนสนิทเหยียบย่างขึ้นมายังชั้นสอง ครั้นกวาดสายตาหาสตรีที่หน้าตาจิ้มลิ้มพบแล้วก็รีบเข้าไปทักทาย “แม่นางมู่ ช่างบังเอิญนักที่ได้พบเจ้าที่นี่”

          “คุณชายเสิ่น” นางเอ่ยเสียงเบาพลางคิดในใจ บังเอิญรึ...ใครๆก็รู้ว่าคนผู้นี้ติดตามนางยิ่งกว่าเงาตามตัว คงเป็นสุนัขรับใช้ที่คาบข่าวไปบอกผู้เป็นนายว่านางอยู่ที่นี่เสียมากกว่า “พวกเราช่างบังเอิญพบกันบ่อยจริงๆ”

          เสิ่นอันหวางถือวิสาสะนั่งลงที่ข้างกายนางแล้วเปล่งเสียงหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า นี่คงเป็นวาสนาระหว่างข้า...” น้ำเสียงพลันลากยาวต่อเมื่อสายตาปะทะเข้ากับเด็กหนุ่มที่กำลังยัดหมั่นโถวเข้าปากพอดิบพอดี ฉับพลันนั้นใจก็เต้นระทึก ราวกับมีไฟลุกโหมกระหน่ำร้อนแรงภายใน “กับเจ้า”

          คำที่หลุดออกมาถึงกับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องเสียกริยาสำลักชาจิ่งหลงที่กำลังดื่มออกมาอย่างห้ามมิอยู่

          “เด็กน้อยเจ้ามีนามว่ากระไร ข้าเสิ่นอันหวาง เป็นบุตรชายโทนของตระกูลเสิ่น บิดาข้าประกอบการค้ากับทางนอกด่าน คฤหาสน์อยู่ทางด้านตะวันตกของตงหัว” กล่าวได้เต็มปากว่าเขาเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของตงหัวเลยก็ว่าได้

          ประกายตาสาดแสงหยาดเยิ้มแทบทำให้ดวงตาไป๋เซ่อมืดมัวไปชั่วขณะ ผัดผักหิมะที่ใช้ตะเกียบคีบต้องร่วงลงไปนอนนิ่งในจาน กระทั่งรัชทายาทหนุ่มยังคิ้วกระตุก คนผู้นี้อะไรที่ไม่ได้ถามกลับคายออกมาเอง ด้านมู่อิงเอ๋อร์ก็มีอันต้องตัวแข็งทื่ออ้าปากค้าง นางยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ตัวโง่งมนี้คล้ายลืมเลือนตัวตนของนางไปแล้ว

          “เจ้าคงมิใช่คนของตงหัว หากมิรังเกียจข้าจะพาเจ้าเที่ยวเล่นเอง” ตั้งแต่เกิดมาเสิ่นอันหวางก็มิเคยพบใครที่มีเสน่ห์เย้ายวนขนาดนี้ แม้จะเป็นบุรุษแต่อย่างไรก็ต้องหลอกล่อพากลับบ้านให้จงได้

          “ดี ดี” ได้ยินคำว่าเที่ยวเล่น ไป๋เซ่อก็โห่ร้องอย่างดีใจ แต่แล้วเสียงเข้มกับแทรกขึ้น ส่งผลให้คุณชายเสิ่นต้องกวาดสายตาแล้วจึงพบว่าที่ด้านข้างเด็กหนุ่มยังมีบุรุษที่ดูสง่างามนั่งอยู่เคียงข้างด้วย

          “ต้องขอบคุณคุณชายท่านนี้มาก แต่พวกเรามิกล้ารบกวน” ซวนหยวนหมิงไท่รีบปฏิเสธพร้อมยิ้มบางประจำตัว แลก่อนที่เรื่องราวจะยิ่งยุ่งยากไปกว่านี้ เขาก็ลุกขึ้น “แม่นางมู่ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ ข้ายังมีเรื่องต้องกระทำอีก ฉะนั้นพวกเราขอตัว” ประสานมือเสร็จก็คว้าแขนร่างเล็กที่มัวแต่นั่งบื้อใบ้อยู่

          “เดี๋ยวๆ เจ้ามีธุระ แต่ข้าไม่มีนี่” ไป๋เซ่อร้องท้วงแต่ก็มิอาจสู้แรงดึงได้ ท้ายที่สุดก็ถูกลากออกไปทั้งที่อาหารเต็มปาก

          “ดะ เดี๋ยว” มู่อิงเอ๋อร์เองก็รีบร้องห้าม ทว่าชั่วเสี้ยวหนึ่งนางคล้ายสังเกตเห็นสายตามิพอใจ มือที่ยื่นออกไปพลันหยุดชะงัก ริมฝีปากที่กำลังเอ่ยก็เงียบกริบลงในพริบตา

          “โฮ ให้ข้าหยิบปีกไก่ไปสักสามสี่ชิ้นก่อนจะได้ไหม”

          มาตรว่าร่างสีฟ้าจะร้องราวปริ่มจะขาดใจ ทว่าคุณชายหมิงก็มิได้แยแสข้อเรียกร้องใดๆ นำพาเด็กหนุ่มเดินหายลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นดังนั้นแล้วใจของมู่อิงเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความอิจฉา มือเผลอกำหมัดแน่นด้วยรู้สึกทนจนถึงขีดสุด

          “เฮ้อ อะไรกันมีเจ้าของแล้ว ทั้งยังหวงเสียด้วย” เสิ่นอันหวางเอ่ยขึ้น มิได้สังเกตเห็นท่าทีใกล้ระเบิดของสตรีที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพัง

          มู่อิงเอ๋อร์ถึงกับหันขวับตาเขียวไปยังเจ้าของเสียง โทสะพุ่งปรี๊ดในอก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนแซ่เสิ่นเข้ามาขัดจังหวะทำเสียเรื่องทั้งนั้น ว่าแล้วจานบนโต๊ะก็ถูกนางปัดทิ้งพื้นอย่างระบายอารมณ์

          เสียงข้าวของตกแตกระลอกใหญ่ทำให้คนในตึกไผ่เขียวซุบซิบนินทากันใหญ่ แม้แต่เสิ่นอันหวางและเถ้าแก่เจียงที่วิ่งมาดูก็ต้องตกตะลึงไปตามๆกัน รอจนนางสงบใจได้ก็กระทืบเท้าออกไปอย่างมิสบอารมณ์

          “มารดามันเถอะ สตรีนางนี้ช่างโมโหร้ายเสียจริง” เสิ่นอันหวางสบถโดยมีเถ้าแก่เจียงพยักหน้าเห็นด้วย โชคยังดีที่วันนี้ผู้แซ่เสิ่นถอนตัวทัน มิเช่นนั้นเขาแต่งกับนาง เกรงว่าชีวิตหลังจากนี้จะไม่มีวันสงบสุขอีก



**********************************************


          “ได้ความเยี่ยงไรบ้าง”

          บุรุษที่นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ มือหนึ่งถือจอกชาที่มีควันฉุย สีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกต่อความรู้สึกใดๆถามขึ้น

          “ตามที่กระหม่อมตรวจสอบคนในจวนตระกูลมู่อย่างลับๆ พบว่าบ่าวรับใช้มีจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน พื้นเพล้วนแล้วแต่เป็นชาวเมืองตงหัวตั้งแต่เกิด อีกทั้งทุกคนกล่าวตรงกันว่าท่านเจ้าเมืองมู่อิงเจี๋ยมีความประพฤติตามแบบอย่างขุนนางที่ดี ทุกวันขึ้นข้างแรมมักจะให้ทานแจกจ่ายอาหารแก่ชาวบ้านที่ยากไร้” เสี่ยวลู่กราบทูล

          “จริงรึ?” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้ว มู่อิงเจี๋ยเป็นเพียงขุนนางตงฉินจริงๆน่ะหรือ จากที่ตนสังเกตการณ์เพียงผิวเผิน แค่ม้าดีที่จวนตระกูลมู่ครอบครองไว้ก็พอจะบ่งบอกถึงอำนาจที่ไม่ธรรมดาแล้ว

          “จากข้อมูลที่ลู่กงกงพบตรงกับข้อมูลที่กระหม่อมได้รับ ชาวเมืองต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เนื่องเพราะตงหัวเป็นตลาดการค้า ท่านเจ้าเมืองจึงสั่งให้ทหารออกลาดตระเวนอย่างเข้มงวด ประกาศห้ามมิให้มีการเรียกราคาเกินจริง โดยเฉพาะข้าวและเกลือ ทั้งนี้ยังเรียกเก็บภาษีชาวบ้านอย่างเป็นธรรม และมีการจัดส่งตรงตามที่ทางราชสำนักกำหนดไว้อยู่เสมอ ไม่ขาดไม่เกินพะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จิ้งกล่าว

          “ไม่ขาดไม่เกิน” รัชทายาทหนุ่มทวนคำ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้นน้อยๆให้กับประวัติที่ใสสะอาดเสียจนน่าตกใจ และเพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้เขาต้องให้ความสนใจมากขึ้น “ทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่มีทั้งหมดเท่าไหร่ มีโยกย้ายบ่อยแค่ไหน”

          “ราวสามพันนาย ทั้งนี้มิเคยโยกย้าย เพียงรอรับราชโองการเคลื่อนพลจากองค์เหนือหัวหรือผู้แทนพระองค์ที่มีตราตั้ง และเว้นเพียงเคลื่อนพลโดยพลการตามคำสั่งของท่านเจ้าเมืองในยามที่เหลียวตงตกอยู่ในสภาพเลวร้าย เกิดภัยสงครามด้วยถูกแคว้นเจิ้งรุกราน” ระหว่างที่รายงานหัวหน้าองครักษ์จิ้งก็เผอิญสบเข้ากับสายตาสีดำที่ทอประกายเยียบเย็น รอจนทบทวนได้ครู่หนึ่งก็เสริมกล่าว “ยังไม่มีข้อมูลใดที่ชี้ชัดว่า ท่านเจ้าเมืองมู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอ๋องผิงซางแห่งเมืองเหลียวตง พะย่ะค่ะ”

          เป็นเพราะตงหัวเป็นเขตการค้าที่ใหญ่อันเปรียบเสมือนถุงทองของแคว้นซวนหยวน ทว่าพื้นที่กลับติดกับดินแดนเหลียวตง ซึ่งมีตวนผิงซางรั้งตำแหน่งอ๋องกินเมืองอยู่ ดังนั้นเขาย่อมต้องระแวดระวังมิให้ใครฉวยโอกาสหยิบชิ้นปลามันอันเป็นการกระด้างกระเดื่องในภายภาคหน้าไปได้ง่ายๆ “จับตาดูต่อไป”

          “นี่ พวกเจ้าจะคุยกันคร่ำเครียดอีกนานไหม ข้าเบื่อจะแย่แล้ว”

          น้ำเสียงยานคางที่ดังขึ้น ส่งผลให้เสี่ยวลู่และเหล่าองครักษ์ต้องหันไปจับจ้องเจ้าของเสียงกันเป็นตาเดียว ก่อนจะพบเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าที่นอนแผ่กาย มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ ปากกัดทึ้งขนมแผ่นหิมะจนเศษขนมร่วงกราวลงบนเตียงด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายเต็มที่

          ทว่านั่นมิใช่เตียงขององค์รัชทายาทหรอกรึ? แต่ไหนแต่ไรมามีผู้ใดขวัญกล้านอนบนตั่งเตียงของทายาทมังกรกันบ้างเล่า เหล่าองครักษ์ถึงกับเผยสีหน้างุนงง ผิดกับเสี่ยวลู่ที่ดวงตาปูดโปนจนแทบจะถลน ริมฝีปากเม้มปิดแทบเป็นแทบตาย ราวกับกลัวว่าหากมันเผยอสักนิดความลับของใครบางคนจะหลุดออกมา

          เห็นดวงตาที่เปี่ยมด้วยสงสัยใคร่รู้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเอ่ย “คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักเถอะ”

          “พะย่ะค่ะ”

          รัชทายาทหนุ่มมองส่งผู้คนที่กำลังล่าถอยออกไปจากห้อง จวบจนทั้งหมดออกไปแล้วก็ถอนหายใจยาว “เจ้าจะทำให้ข้าเสียเรื่องน้อยลงกว่าเดิมจะได้ไหม”

          เจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเขียวแสร้งตีสีหน้าไร้เดียงสา “ใคร ใครทำเสียเรื่อง ข้าเพียงบ่นลอยๆก็เท่านั้น” แล้วเมื่อยามมื้อบ่ายใครใช้ให้ลากเขาออกมากลางคันกันเล่า ว่าไปแล้วก็ยังอารมณ์เสียไม่หาย ไป๋เซ่อเบ้ปาก

          “อะไรกันยังโกรธข้าอยู่อีกรึ”

          “เฮอะ”

          “แย่จริง คืนนี้ข้าคิดจะชวนเจ้าออกไปเที่ยวเล่นสักหน่อย ในเมื่อเจ้าอารมณ์ไม่ดี ข้าไปคนเดียวก็ได้” พูดจบก็เดินไปที่ประตู ทว่าก้าวเท้าได้เพียงสามก้าวก็รู้สึกได้ว่าก้นน้อยๆไม่ขยับตามอย่างทุกที เขาเหล่มองคนขี้งอนแล้วจึงตัดสินใจกล่าวอีกสักประโยค “ที่แท้แล้วจ้าวคฤหาสน์ดินเป็นใคร สตรีผมสีเงินผู้นั้นมีที่มาเยี่ยงไร เจ้าไม่อยากรู้สักนิด”

          “......” หูของไป๋เซ่อเริ่มผึ่งออก

          “งั้นก็ช่างเถิด เดี๋ยวขากลับข้าแวะไปเที่ยวหอหมื่นลี้คนเดียวก็ได้”

          คำพูดกล่าวจบไป๋เซ่อก็โยนขนมในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี บังเกิดเป็นเสียงอึกทึกลงจากเตียงปุบปับ “ไปสิ ใครบอกว่าข้ามิไปกัน”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองไป๋เซ่อที่ยิ้มหน้าระรื่นแล้วก็ผุดยิ้มขึ้นในใจ เห็นทีจะหลอกล่อเจ้างูตัวน้อยนี้ ก็มิใช่เรื่องยากสักนิด



***************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 5.2 เงาร่างในใจ



         ในยามวิกาลที่ทุกอย่างเป็นปกติ บ่าวรับใช้ต่างกลับเข้าที่พัก ทหารเฝ้ายามผลัดเปลี่ยนตำแหน่ง แต่ที่กำแพงจวนเจ้าเมืองตงหัวด้านหนึ่งกลับมีความเคลื่อนไหวหนึ่งลอบกระโดดออกมา ต่อเมื่อฝีเท้าสัมผัสถึงพื้นเงาร่างดังกล่าวก็รุดตัวไปไกลหลายจั้ง กระทั่งหายลับไปกับความมืดอย่างเงียบเชียบ

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          “นี่เจ้าจะหัวเราะอีกนานไหม” แค่ได้ฟังเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังแหวกอากาศต่อเนื่องตลอดระยะทาง ก็ให้รู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก บางทีการที่ชวนอีกฝ่ายมา อาจเป็นเขาที่คิดผิดไปถนัดก็ได้ เนื่องเพราะอะไรน่ะหรือ?

          เห็นจะมีแต่เพลานี้ที่ตนจะได้สลายความคับข้องในใจ ไป๋เซ่อชูมือหนึ่งขึ้นอย่างคึกคักอักโข อีกมือหนึ่งรัดคออีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งยังไม่ลืมใช้ขากระทุ้งเอวอีกฝ่ายถี่ๆ “ไปเร็ว เจ้าม้าของข้า ว่ะฮ่ะฮ่าๆ”

          “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นม้างั้นรึ” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาโต หากมิใช่เพราะพลังของร่างน้อยไม่เสถียร แปรเปลี่ยนร่างได้วันละครั้ง เช่นนี้เขาคงมิยอมให้เจ้าตัวขี่หลัง เพื่อหลบสายตาผู้อื่นมาหรอก

          “สภาพเช่นนี้ยังจะเหมือนกระไรอีก” เจ้าของดวงหน้าเย้ายวนฉีกยิ้มแฉ่ง เขาจะเอาคืนทุกสิ่งคนผู้นี้ทำให้ตนต้องรู้สึกอัปยศให้หมดเลย ว่าแล้วก็ออกคำสั่ง “ไปเร็วเข้า เดี๋ยวจะกลับไปไม่ทันหอหมื่นลี้”

          เฮอะ ได้ทีขี่แพะไล่ ยังคงฝากไว้ก่อนเถอะ ซวนหยวนหมิงไท่กัดฟันสบถในใจก่อนจะชักนำฝีเท้ามุ่งตรงไปยังใต้หุบเขา ครั้นเหยียบย่างเขาสู่ผืนป่าราวหนึ่งเค่อก็ต้องหยุดตัวลงปาดเช็ดเหงื่อที่ศีรษะ

          ทันใดนั้นลมระลอกใหญ่ก็พัดผ่านจนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว หมอกควันบางเบาค่อยๆปกคลุมชั้นบรรยากาศทางด้านในที่เป็นป่าทึบ ให้ความรู้สึกเยียบเย็นอย่างไรบอกมิถูก
         
          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเปล่งประกายวูบ แม้ตนจะมิได้มีอิทธิฤทธิ์เช่นเก่า แต่สายตาคู่นี้นับว่าไม่มีวันพลาด ยังคงมองเห็นได้ไกลและทะลุปรุโปล่ง “ไปด้านซ้ายสามสิบก้าว จากนั้นวกขวาที่ต้นไม้ใหญ่ เดินตรงไปอีกราวสี่สิบห้าก้าวจะถึงป่าที่ล้อมด้วยเถาวัลย์” ไป๋เซ่อร้องบอก

          ดูว่าป่าแห่งนี้แตกต่างไปจากสภาพในช่วงกลางวันที่ดูเปิดโล่งอยู่มาก เขารับฟังแล้วพยักหน้าให้ ด้วยรอบกายที่มีแต่เพียงความมืดมิด จึงได้แต่พึ่งพาสายตาของไป๋เซ่อ เขาก้าวฝีเท้าไปตามคำกล่าวนั้น ผ่านต้นไม้ใหญ่น้อยแออัดที่ดูเหมือนๆกันไปหมด จนในไม่ช้าก็บรรลุถึงใจกลางป่าที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ห้อยระย้า ดุจเดียวกับที่ตนหลงมาก่อนหน้านี้

          ถึงตอนนี้ไป๋เซ่อก็ยอมลงจากหลังของชายหนุ่ม เดินวนเวียนอยู่สักพักก็ทำหน้าย่น “ที่นี่มีกลิ่นอายประหลาด ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าใกล้เขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดินแล้วก็เป็นได้” น่าแปลก แม้แต่ตนก็มิอาจสรุปได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมานี่ใช่เป็นกลิ่นอายปีศาจรึไม่

          ไม่รอให้ทั้งสองได้ครุ่นคิด คมกระบี่เล่มหนึ่งก็แหวกผ่านอากาศ เงาร่างอรชรเกาะเกี่ยวเถาวัลย์เส้นหนึ่งทะยานตัวรุดเข้าหาผู้บุกรุกอย่างไร้ไมตรี “ใครกล้าบุกรุกเขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดิน”

          เป็นเสียงสตรีที่คำรามก้อง ซวนหยวนหมิงไท่เห็นเงาร่างสีขาวพุ่งพรวดตรงมาอย่างรวดเร็วก็รีบรั้งร่างไป๋เซ่อมาไว้ที่ด้านหลัง ย่ำเท้าไปด้านหน้าสะบัดปลายแขนเสื้อเข้ารับกระบี่ที่แทงสวนลงมา ส่งผลให้กระบี่ดังกล่าวมิอาจใช้ออกได้อีก

          เมื่ออาวุธในมือถูกหยุดยั้ง พริบตานั้นสตรีในชุดขาวก็แอ่นตัวไปทางด้านหน้า ขาเรียวตวัดโค้งเป็นวงกลมวกกลับเข้าใส่ผู้บุกรุก ระหว่างนั้นแสงสีเงินวิบวับก็สะท้อนออกมาภายใต้ผ้าโพกหัวสีดำ รัชทายาทหนุ่มเห็นดังนั้นก็ปล่อยปละกระบี่ สะกิดปลายเท้าถอยหลังออกไปราวสามก้าวให้พ้นวิถี จากนั้นตะโกนออกมา “โปรดยั้งมือ แม่นางเย่วเซียง”

          “เป็นท่าน” ได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มเย่วเซียงก็ร้องถามด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะรีบลดกระบี่ในมือลง

          “ใช่ ข้าเอง”

          “คราก่อนท่านหนีรอดจากนางปีศาจวั่นอู่หง นางก็คุ้มคลั่งแทบตายแล้ว ท่านมาที่นี่มิกลัวนางไล่ล่าท่านอีกบ้างรึไง”
ฟังน้ำเสียงร้อนรนแล้วเขาก็หัวเราะน้อยๆ “จะอย่างไรข้าก็มาแล้ว”

          “ท่าน...” เย่วเซียงหยุดเสียง มองหน้าบุรุษที่ราวกับแสงตะวันแล้วก็รู้สึกวูบไหวแปลกๆ นางเอ่ยเสียงเบา “ท่านมาหาข้าหรือ?”

          “เอ่อ” คำถามนี้พลันทำให้เขาอ้ำอึ้ง เสมือนพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนต้องการพบนางเพื่ออะไร เพียงต้องการรู้ที่มาของนาง หรือต้องการทราบข้อเท็จจริงของจ้าวคฤหาสน์ดิน หรือยังมีเหตุผลประการอื่น? คิดอยู่พักใหญ่เขาก็ตอบ “ข้าเพียงต้องการรู้...เจ้าเป็นใคร แล้วจ้าวคฤหาสน์ดินเป็นใคร”

          “ท่านต้องการรู้ไปเพื่ออันใด” เย่วเซียงถามอย่างสงสัย

          “เพราะที่นี่แปลกเกินไป ข้าจำเป็นต้องรู้” มิตรหรือศัตรูจำต้องแยกแยะ กระทั่งเจ้าปกครองยังต้องเข้าใจบ้านเมืองของตน ไหนเลยที่เขาจะมิทำความเข้าใจ ซึ่งไม่แน่ว่าเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้าก็เป็นได้ ฉะนั้นเขามิอาจมองข้าม

          “ข้าบอกได้เพียงข้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา”

          “ไม่ ในตัวเจ้ามีสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่งที่เรียกว่าผลึกหิมะอัคคี” ไป๋เซ่อที่ก้าวเข้าไปใกล้ตัวเย่วเซียงโพล่งขึ้น ทั้งยังมีท่าทีสูดดมเป็นการใหญ่

          “เจ้ารู้” เย่วเซียงถึงกับขึ้นเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

          “ข้าไป๋เซ่อ ผู้รอบรู้ทุกเรื่องราว” ไป๋เซ่อถือโอกาสอวดอ้าง

          “ผลึกหิมะอัคคี มันคือสิ่งใดกัน” เป็นซวนหยวนหมิงไท่ถามขึ้นบ้าง

          “หึ หึ ผลึกหิมะอัคคีคือสมุนไพรวิเศษที่มีสรรพคุณฟื้นฟูสามจิตเจ็ดวิญญาณที่บกพร่อง ซึ่งหล่อหลอมด้วยไฟเย็นและบ่มเพาะจากธาตุบริสุทธิ์กว่าห้าร้อยชนิดนานนับพันปี” นับเป็นของหายากที่แม้แต่เทพอาวุโสหวางจื้อยังต้องร้องโอ้วออกมาดังๆ

          “เห็นทีว่าดินแดนของจ้าวคฤหาสน์ดินนั้นมีสมุนไพรวิเศษอยู่จริง แม่นางเย่วในเมื่อพวกเรารู้ถึงขั้นนี้เจ้าก็อย่าปิดบังพวกเราอีกเลย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างจริงใจ ตลอดเวลาคล้ายมีบางสิ่งที่ติดค้างในใจว่านางเป็นใคร ซึ่งเขาต้องรู้ให้ได้

          เป็นเพราะดวงตากระจ่างสีดำเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่ ทำให้เย่วเซียงรู้ตัวว่าตนมิอาจบ่ายเบี่ยงคำขอร้องได้อีก “ได้ ข้าจะบอกพวกท่านเพียงที่บอกได้” นางสบสายตามุ่งมั่นนั้นโดยตรง

          “ข้าไม่มีแซ่ มีเพียงนามว่าเย่วเซียง เมื่อสิบแปดปีก่อนข้าถูกทิ้งไว้ตามลำพังยังใต้หุบเหวแห่งนี้ ในตอนนั้นข้าที่ยังแบเบาะเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย หากแต่ท่านจ้าวคฤหาสน์ดินกลับเมตตาข้า ยื้อชีวิตข้าไว้ด้วยผลึกหิมะอัคคี แม้ภายหลังจะรักษาชีวิตตนเองไว้ได้ กระนั้นก็ต้องแลกมาด้วยเส้นผมที่น่ารังเกียจ” กล่าวถึงตรงนี้น้ำเสียงก็พลันเศร้าหมอง

          “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเส้นผมเจ้าน่ารังเกียจ” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็โพล่งกล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้าดูขัดใจ

          “เป็นเพราะมันไม่เหมือนผู้อื่น น่ะ น่าเกลียด” นางก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบา ทุกครั้งที่นางบังเอิญพบผู้อื่น ล้วนแล้วแต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ

          “ข้ากลับมองว่ามันงดงามยิ่งนัก” สีขาวเงินที่ดูบริสุทธิ์อ่อนโยน

          เย่วเซียงถึงกับเงยหน้าโดยพลัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ทะ ท่านบอกว่าเส้นผมของข้างดงาม จะ จริงรึ” ดวงตาของนางทอประกายสว่างไสวสะท้อนถึงความหวังเสี้ยวเล็กๆ

          “ข้าไม่เคยโกหก” เขายิ้มพลางหยิบใบไม้ที่ติดตามเส้นผมของนางออก แต่ครั้นรู้สึกตัวว่าเสียกริยามือก็พลันชะงักค้างไว้ที่เหนือศีรษะของนาง

          “นี่พวกเจ้าอย่าพึ่งเปลี่ยนเรื่องสิ ข้าอยากรู้ว่าทำไมที่นี่จึงมิอาจเข้าออกได้” ไป๋เซ่อร้องขัดคนทั้งสองที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ ส่งผลใบหน้าของเย่วเซียงระเรื่อด้วยสีแดงก่ำ นางก้มหน้างุดกล่าวสืบต่อ

          “อา เพราะที่นี่เป็นเขตแดนของท่านจ้าวคฤหาสน์ดิน ทุกขอบเขตล้วนลงอาคมไว้ ป้องกันมิให้ผู้บุกรุกเข้ามาได้ แต่จะมีเพียงบางราตรีที่หยินแทนหยางอาคมคลายลง ส่วนข้าเป็นเพียงผู้เฝ้าปากทางเข้า มิอาจบอกเล่าถึงความเป็นมาของท่านผู้มีพระคุณได้ พวกท่านโปรดเข้าใจ”

          ต่อเมื่อนางคำนับให้ เขาก็รู้ได้ถึงความลำบากใจที่นางมี จึงมิได้กล่าวซักไซ้เรื่องนี้อีก หากแต่ยังคงอดที่จะเอ่ยถามเรื่องหนึ่งมิได้ “ข้าขอถามอีกสักประโยค เจ้าเคยลงไปที่หมู่บ้านหรือตัวเมืองตงหัวบ้างรึไม่”

          “ไม่เคย”

          “ไม่เคยเลยสักครั้ง” เห็นนางส่ายหน้าเขาก็ถามต่อ “เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยความสมัครใจ”

          “ใช่ ข้าอยู่ที่นี่ด้วยความสมัครใจ” มาตรว่าท่านจ้าวคฤหาสน์ดินจะช่วยชีวิตนางไว้ แต่กระนั้นก็มิได้เรียกร้องบุญคุณใดๆ เป็นนางที่ต้องการชดใช้ให้เอง นอกเหนือไปจากนี้นางก็ไม่มีที่ไปอีก นางไม่รู้จักใคร ไม่รู้จักญาติมิตร หรือแม้กระทั่งรู้ว่าตนเองเป็นใคร

          ประเมินมองสตรีตรงหน้าแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็อึดอัดในอก ดวงตากลับหม่นแสงลง นางเปรียบเสมือนนกในกรงที่มิเคยโผบินสู่โลกภายนอก ทำให้เขาไพล่คิดถึงคนผู้หนึ่ง

          สตรีที่ติดอยู่ในวังหลวง มิเคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น คนที่ตนเอาแต่เย็นชาใส่ ทำให้นางเจ็บปวดจนเลือกเดินทางผิด

          “ในเมื่อพวกท่านรู้แล้วก็กลับไปเถอะ ที่นี่อันตรายมิอาจรั้งอยู่เนิ่นนาน”

          “เจ้า...” ซวนหยวนหมิงไท่สวนขึ้นหากแต่ยังมิทันจบประโยคก็เงียบลงด้วยเปลี่ยนใจในชั่วขณะ “เช่นนั้นในวันข้างหน้าหากเจ้าต้องการช่วยเหลือกระไร โปรดนำของสิ่งนี้ยื่นส่งให้คนของทางการ ข้าจะช่วยเจ้าสุดความสามารถ” เขายัดหยกสีเขียวอ่อนที่ซึ่งสลักคำว่าซวนหยวนไว้ในมือนาง “เช่นนั้นข้าขอลา”

          ได้ยินดังคำลาปุบปับเย่วเซียงก็พลันรู้สึกโดดเดี่ยว นางมิได้มองส่งคนที่จากไปเพียงมองหยกในมือนิ่งงัน ในใจลึกๆแล้วมิอยากให้เขาไป อาจเป็นเพราะนางไม่เคยพบผู้ใดที่ยอมรับนางได้เท่ากับคนผู้นี้ แต่ทว่านางไม่มีเหตุสมควรที่จะรั้งเขาไว้ จึงได้แต่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้

          ในอีกด้านหนึ่งหลังจากที่รัชทายาทหนุ่มจากมาแล้ว สีหน้าก็ปรากฏร่องรอยเคร่งเครียดประการหนึ่ง ในใจได้แต่คิดเย้ยหยันตัวเอง น่าขำนัก เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงคิดอยากจะพานางไปด้วย เจ้าที่ต้องอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดี ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยคมหอกคมดาบ หากพลาดพลั้งเพียงครั้งอาจต้องจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ ยังจะมีความสามารถปกป้องใครได้อีก

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคิดรั้งนางไว้ ไฉนจึงไม่พูดออกมาเล่า”

          “เจ้าอ่านใจข้า”

          น้ำเสียงฟังดูตำหนิ ทว่าไป๋เซ่อกลับไม่ใส่ใจยังยักไหล่กล่าวยอมรับอย่างง่ายๆ “ก็เป็นตามนั้น เจ้านี่โง่จัง หากเป็นข้า แม้ว่านางจะไม่ยินยอม ข้าก็จะหาทางทุบหัวนางแล้วพาตัวไปด้วยให้ได้”

          “เฮอะ” เขาถึงแค่นเสียงหัวเราะน้อยๆ คำดังกล่าวแม้ฟังดูพิลึกพิลั่น แต่มันกลับทำให้ใจเขาเบิกบานขึ้นได้ “แต่ข้ากลับคิดว่ามีเจ้าติดตามข้าก็พอแล้ว”

          “เพ้ย เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร มือขวาของท่านมหาเทพ งูเผือกแห่งพิภพสวรรค์เชียวนะ คิดให้ข้าติดตามเจ้า ฝันไปเถอะ” ไป๋เซ่อสบถก่อนจะร่ายยาวคล่องปาก

          “เห มิใช่ว่าตอนนี้เจ้าเป็นงูเผือกเต้นระบำหรอกหรือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          เสียงหัวเราะดังก้องไป๋เซ่อถึงกับหน้าดำหน้าแดง จ้องชายหนุ่มด้วยสายตาเขม็ง ทว่าเพลาผ่านไปไม่นานก็เกิดเป็นเสียงตุบ

          “โอ้ย นี่เจ้ากล้าถีบก้นข้า” เขาถึงกับกุมก้นตนเอง

          “ฮึ ข้ายังจะถีบปากเจ้าด้วย ย้ากกก” กล่าวจบก็ถลันตัวเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย
 
          “เฮอะ คิดว่าทำได้ก็ลองดู” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวท้าทาย ก่อนจะเบี่ยงกายหลบไป๋เซ่อที่กระฟัดกระเฟียด พริบตาหนึ่งก็ทอดสายตามองสถานที่ที่ตนพึ่งจากมา

          เขามิเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะบางทีการมีนางอยู่ข้างกาย เขาคงมิอาจสงบใจได้อีก ด้วยนึกถึงเงาร่างหนึ่งที่ยังคงประทับอยู่ในใจ ดั่งรอยแผลที่กรีดลึกไม่มีวันจางหาย และทำให้ชั่วชีวิตนี้เขามิอาจรักใครได้อีก

          เนื่องเพราะเขากลัวเกินไป กลัวว่าจะฝ่ายทำร้าย กลัวว่าจะมิอาจปกป้อง และกลัวว่าจะต้องเป็นฝ่ายส่งคนที่รักจากไปก่อนตน



***************************************************


ไม่ชอบตรงไหน เม้นท์เเนะนำกันได้น้า  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
เรื่องน่ารักอ่านสบายจัง ยาวดีด้วย
เนื้อคู่ต้องเลือกครบสามแล้วใช่ไหมเนี่ย อยากให้เลือกงูน้อยจัง น่ารัก

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 6.1 นักพรตเสียสติ



          แหงนหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่สาดแสงไล้ลงบนหลังคาเรือนงาม กลุ่มเมฆสีขาวลอยตัวไปตามนภาอากาศ นกกระจิบขับขานเสียงดังสดใส เขาที่นั่งอ่านรายงานในศาลาก็ยกมือขึ้นป้องปากหาวหวอด ยังมีคนข้างกายที่พยายามปรือตาอย่างยากเย็น ใต้ดวงตาเรียวปรากฏเป็นสีดำคล้ำ สภาพคล้ายคนที่นอนไม่เต็มตื่น ในมือยังถือไว้ด้วยขนมถั่วแดงที่กัดไปไม่ได้ถึงครึ่งคำ

          ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อคืนกว่าที่พวกเขาจะลงจากเขา เดินทางกลับเข้าสู่กลางเมือง หอหมื่นลี้ก็ดับโคมไล่ผู้คนไปจนหมดสิ้นแล้ว ทำเอาไป๋เซ่อโกรธจนลมออกหู เที่ยวอาละวาดใส่เขาเสียจนเช้านี้เรี่ยวแรงหดหาย

          กระทั่งสตรีในชุดสีชมพูกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับแผดเสียงใส่ คนที่นั่งสัปหงกอยู่ก็สะดุ้งขึ้นมาสุดตัว ขนมในมือก็ร่วงผล็อยลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น ไป๋เซ่อถึงกับถลนตาตื่นเต็มที่ จ้องมองขนมที่กลิ้งหลุนๆ จวบจนหยุดลงเมื่ออยู่ใต้ฝ่าเท้าผู้มาใหม่อย่างตกตะลึง

          “เมื่อคืนท่านไปไหนมา” มู่อิงเอ๋อร์ขึ้นเสียงดังลั่น ท่าทีของนางคล้ายโกรธเกรี้ยวอย่างยากที่จะสงบลงได้

          สีหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบางของซวนหยวนหมิงไท่พลันมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาปิดรายงานที่ยังคงอ่านไม่จบ เงยหน้ามองสตรีที่หอบหายใจน้อยๆ เรื่องนี้ตนรู้ ไป๋เซ่อรู้ กระทั่งเสี่ยวลู่ขันทีคนสนิทก็ยังมิทราบ แต่แล้วนางกลับรู้เรื่องนี้ มิใช่ว่ามีคนในจวนคอยสอดส่องจับตามองความเป็นไปเขาอยู่หรอกรึ

          จู่ๆความเย็นชาก็ฉาบทับบนใบหน้าหล่อเหลา นางก็ถึงกับเย็นวาบในใจกล่าวเสียงเบา “เป็น...เป็นเพราะเมื่อคืนข้าไปหาท่านที่ห้อง แล้วไม่พบผู้ใด”

          เป็นเช่นนี้เอง รัชทายาทหนุ่มคิดก่อนยกยิ้มที่มุมปาก “ดึกดื่นถึงเพียงนั้น แม่นางมู่ยังอุตส่าห์มาหาข้าอีก”

          เพราะเขาเน้นย้ำ มู่อิงเอ๋อร์จึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่าสตรีไปหาบุรุษกลางดึกดื่น ย่อมมิใช่เรื่องที่ควรสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างนาง “อย่าเข้าใจผิดไป ข้าเพียงต้องการถามว่าท่านขาดเหลือกระไรรึไม่ นี่เป็นเพราะพ่อข้าสั่งให้ข้าดูแลความเป็นอยู่ของท่านให้ดี”

          “นี่ๆ เจ้ากำลังเหยียบขนมของข้าอยู่นะ” ไป๋เซ่อแผดเสียงแหลมอย่างเอาเรื่อง คิดว่าเจ้าแผดเสียงเป็นคนเดียวเสียเมื่อไหร่ กล้าดีอย่างไรถึงมาเหยียบย่ำของกินอันเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของเขา

          เมื่อถูกขัดจังหวะร่างสีชมพูก็ค่อยๆเบือนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะก้มลงมองขนมใต้ฝ่าเท้าอย่างเงียบงัน สักพักจึงกล่าว “ก็แค่ขนม...ฉงซิ่ว” นางตะโกนเรียกสาวใช้ที่รออยู่ห่างจากศาลาราวห้าก้าว “เจ้าไปซื้อขนมที่แพงที่สุดของตงหัวมาชดใช้บ่าวรับใช้ผู้นี้” นางตอกย้ำสถานะอีกฝ่าย ทั้งยังจงใจขยี้ปลายเท้าใส่ขนมบนพื้น ก่อนจะยิ้มหวานก้าวเข้ามานั่งข้างๆบุรุษผู้สง่างาม

          ไป๋เซ่อมองถั่วแดงที่ทะลักออกมาจากตัวแป้งอย่างน่าสงสาร รู้สึกราวกับตนถูกเหยียบขยี้เสียเอง “แต่นี่เป็นขนมรสมือเสี่ยวลู่ เจ้าคิดว่าแค่นั้นจะชดใช้ได้”

          “หือ” มู่อิงเอ๋อร์ถึงกับงงงันวูบ เคยมีบ่าวไพร่ที่ไหนกล้าหาเรื่องนางบ้าง

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูทั้งสองฝ่ายแล้วจึงหันไปหยิบถ้วยชาที่อุ่นกำลังดีขึ้นดื่ม ดวงตาเปล่งประกายขันราวกับพบเจอเรื่องสนุก เขารู้อยู่แล้วว่าไป๋เซ่อต้องไม่ยอม ก็เพราะเขาผ่านเรื่องแบบนี้มาเยอะ ทั้งกัดทั้งถีบ ไม่ไว้หน้ารัชทายาทของแคว้นซวนหยวนอย่างเขาเลยสักนิด

          หากเป็นตามปกตินางคงด่าทอคนที่ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำไปแล้ว แต่เพราะคุณชายหมิงนั่งอยู่อย่างเงียบๆ คล้ายรอดูท่าทีของนาง จึงมิอาจกระทำตามใจได้ ระหว่างที่คิดใคร่ครวญ จู่ๆเงาร่างของคนผู้หนึ่งก็แวบผ่านเข้ามาในสมอง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น “ก็ได้ข้าจะชดใช้ให้เจ้า แต่ขนมรสมือเสี่ยวลู่อะไรนั่นข้าคงหาคืนให้เจ้ามิได้ และในเมื่อเจ้ามาตงหัวเป็นครั้งแรก มิสู้ให้ข้าพาเจ้าเที่ยวเล่นในเมืองสักหลายรอบ เช่นนี้ดีหรือไม่”

          สีหน้าไม่พออกพอใจของไป๋เซ่อเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นลังเล หากต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในจวน เขาเลือกทำตามข้อเสนอของนางไม่ดีกว่าหรือ “ฮึ เห็นแก่ที่เจ้าจริงใจ ข้าเอาตามนั้น”

          สติของนางแทบหลุดเมื่อไป๋เซ่อกล่าวอย่างถือดี นางกัดฟันกล่าวห้วน “ดี” จากนั้นหันไปกระซิบบอกฉงซิ่วอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้ประจำตัวก็ล่าถอยออกไป ครั้นห่างไปไกลพอสมควรสาวใช้นางนี้ก็หันกายวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน



***************************************************

   
         “ข้าเอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้” เสียงเจื้อยแจ้วพูดจบ ถุงผ้าลวดลายประณีตสามใบก็ถูกโยนส่งให้คนทางด้านหลัง ฝ่ายพ่อค้าได้แต่ยืนกุมมือยิ้มไม่หุบ ดูว่าวันนี้เขาคงได้กำไรพอที่จะซื้อเนื้อกลับบ้านไปหลายชิ้น

          “ไป๋เซ่อ เจ้าจะซื้อมันไปเยอะแยะทำไมกัน” ซวนหยวนหมิงไท่ที่รับเอาถุงผ้าทั้งหมดออกปากตำหนิเล็กน้อย

          “เรื่องของข้า ข้าพอใจ” ไป๋เซ่อสวนตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง ของพวกนี้ล้วนเป็นของฝากแด่ท่านมหาเทพ ถิงถิงและนางฟ้าชิงเซียงทั้งนั้น

          “ขอเพียงเจ้าพอใจ ข้าจ่ายได้อยู่แล้ว” เสิ่นอันหวางรีบตอบเอาหน้า ทั้งยังพยายามเบียดแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง ต้องขอบคุณที่มู่อิงเอ๋อร์ส่งสาวใช้มาบอกเรื่องที่คนงามผู้นี้จะมาเดินเที่ยวเล่น ดังนั้นเขาจึงได้รับโอกาสดีๆเช่นนี้ “เหล่าเฉียว จ่าย”

          “ขอรับคุณชาย” บ่าวรับใช้ผู้มีใบหน้าตกกระตอบรับผู้เป็นนายในทันทีทันใด จากนั้นส่งมอบเงินก้อนตำลึงให้กับพ่อค้า
เฮอะ ช่างเป็นนายบ่าวที่ตอบรับเข้าขา ซวนหยวนหมิงไท่ก่นด่าในใจ มองหนึ่งนายหนึ่งบ่าวด้วยสายตาเย็นชา ก่อนหน้านี้จู่ๆพวกเขาก็โผล่มา ทำล้อมหน้าล้อมหลังร่างเล็กจนเป็นที่น่ารำคาญแก่สายตาจนถึงบัดนี้

          “เอาล่ะ เสี่ยวไป๋ข้างหน้ายังมีหยกประดับสวยๆ รีบไปดูกันเถอะ” เสิ่นอันหวางกล่าวพร้อมกับยื่นมือโอบไปที่เอวบางแล้วดันตัวเด็กหนุ่มไปด้านหน้าอย่างแนบเนียน

          สังเกตเห็นมือที่ฉวยโอกาสแล้วดวงตาของรัชทายาทหนุ่มก็แทบจะถลน ยังมีไป๋เซ่อที่ไม่ท่าทีแม้แต่จะขัดขืน ทั้งยังอือเออติดตามผู้อื่นไปอย่างง่ายดาย ฉับพลันนั้นคล้ายกับเห็นเงาร่างที่คล้ายคลึงกับตนเสียหลายส่วน กำลังถือดาบพาดไว้ที่คอของคนแซ่เสิ่นที่ตัวสั่นระริกอย่างเอาเรื่อง

          “คุณชายหมิง ท่านเหม่ออะไรอยู่”

          น้ำเสียงของมู่อิงเอ๋อร์ผลักดันเขาให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง “ม่ะ ไม่มีอะไร” ราวกับไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อครู่เขากำลังคิดอะไรอยู่ ซวนหยวนหมิงไท่กุมขมับ “เราไปกันเถอะ” รอจนเขาสงบใจได้ก็กล่าวกับสตรีที่ด้านข้าง จากนั้นย่ำเท้าเดินตามคนทั้งสองไปติดๆ

          มองตามแผ่นหลังองอาจแล้วจึงระบายรอยยิ้ม ดูแล้วก็ได้ผลไม่น้อย บางทีคนแซ่เสิ่นที่หน้าด้านผู้นี้ยังพอมีประโยชน์กับนางอยู่บ้าง เพียงเขาเสนอหน้าก็แยกคนทั้งสองนี้ให้ออกห่างกันได้สำเร็จ

          ตลาดกลางวันในเมืองตงหัวนับว่าไม่เคยขาดแคลนผู้คน ถนนจึงค่อนข้างจะแออัดอยู่บ้างแต่ไม่ถึงขั้นติดขัดจนน่าเบื่อหน่าย กลับให้ความรู้สึกคึกครื้นและมีชีวิตชีวา คนทั้งหลายต่างจับจ่ายใช้สอย บ้างหัวเราะ บ้างกินดื่มอย่างสบายใจ ทว่าในเวลานั้นเองกลับปรากฏขุมพลังหนึ่งวูบผ่านไปอย่างเร็วแรง กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ยังปลิวไสว พริบตานั้นไป๋เซ่อและซวนหยวนหมิงไท่ต่างมองตามลมพายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างไร้เหตุผล ด้วยรู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่สักหน่อย

          “ลมหลงฤดูหรอกรึ” มู่อิงเอ๋อร์เอ่ยขึ้น ในตงหัวนับว่าหายากที่ลมพายุมาผิดฤดูกาลเช่นนี้
ด้านเสิ่นอันหวางเมื่อได้ทีก็มิลืมที่จะเสริมกล่าว “เสี่ยวไป๋ จากนี้ไปเจ้าต้องระวังสุขภาพ มิเช่นนั้นพี่เสิ่นคงมิวางใจหลับได้สนิท”

          ถ้อยคำหวานที่ฟังเลี่ยนหูแทบทำให้องค์รัชทายาทกุมอกอยากจะอาเจียน แต่ติดที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้จึงทำได้แต่กลืนมันลงไป “คุณชายเสิ่นมิต้องกังวลไป ที่จวนเจ้าเมืองให้การต้อนรับพวกเราอย่างเต็มที่ กระทั่งแม่นางมู่ก็ยังให้เกียรติเสียสละเวลาให้กับไป๋เซ่อ”

          “เป็นข้าเต็มใจ ท่านอย่าได้เกรงใจนัก” ได้ยินเขาพูดเช่นนี้นางก็ยิ้มกริ่ม...คนที่ข้ายอมเสียสละให้ ย่อมเป็นท่านต่างหากเล่า นางกล่าวผ่านทางสายตาที่เปล่งประกาย ทว่าเสียงๆหนึ่งก็ทำให้นางต้องถลึงตาเขียวทันที

          “อะไรกัน นี่มิใช่ชดใช้ให้ข้าหรอกรึ”

          ขณะที่ไป๋เซ่อและมู่อิงเอ๋อร์กำลังประชันหน้าหาเข่นเคี่ยวกัน ก็บังเกิดเป็นความอึกทึกวุ่นวายที่ด้านหลัง ทำให้ทั้งสองต่างละสายตาไปยังต้นเสียง แผงลอยขายผักถูกคนผู้หนึ่งวิ่งสะเปะสะปะก่อนเข้าชนทำลาย ผักสดต่างกระเด็นกระจัดกระจายไปตามท้องถนน

          แต่มาตรว่าคนผู้นี้ล้มแล้วยังคงลุกขึ้นวิ่งต่อ มิได้ใส่ใจพ่อค้าขายผักที่ตะโกนด่าทอจนหน้าเขียว ชาวบ้านเห็นเขาถือดาบไม้ตรงเข้ามาก็ตกใจ ต่างก็แหวกทางให้เขาผ่านไปได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง

          “ปีศาจร้ายเข้าเมืองแล้ว มันมาแล้ว ทุกคนโปรดระวัง” ผู้ตะโกนโวยวายเป็นบุรุษอายุราวสามสิบเศษ แต่งกายด้วยชุดนักพรตสีน้ำเงินซีดที่ดูซอมซ่อ บางจุดถูกประชุนจนเกินเยียวยา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หิ้วห่อผ้าใบเล็กที่ด้านหลัง เอวด้านหนึ่งห้อยไว้ด้วยกระดิ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นน้ำเต้าใบใหญ่ มือยังเหวี่ยงดาบไม้ไปมาไม่หยุดหย่อน

          ซวนหยวนหมิงไท่ ไป๋เซ่อ มู่อิงเอ๋อร์และเสิ่นอันหวางมองบุรุษผู้นี้จากที่ไกลๆแล้วก็ต่างลงความเห็นว่า ชายผู้นี้ดูเสียสติและเป็นที่น่าอันตรายยิ่งกว่าสิ่งที่เขากำลังเอ่ยถึงเสียอีก

          ใครจะคิดว่านักพรตเต้าเหยียนที่นั่งฝึกจิตอยู่ดีๆ กลับถูกปีศาจที่น่าตายก่อกวนจนต้องวิ่งไล่ล่ามาถึงที่นี่ และที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือกระทั่งรูปร่างหน้าตาของมัน เขาก็มิมีโอกาสได้เห็น เพียงสัมผัสได้ว่ามันเข้ามายังเมืองนี้ ว่าแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวา สีหน้าดูคร่ำเครียดจนผู้ใดก็ไม่คิดเข้าใกล้

          “เจ้าเป็นนักพรตหรือคนบ้ากันแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ครานี้สิ่งที่ทุกคนต่างเห็นพ้อง ไป๋เซ่อกลับเป็นฝ่ายออกปากแทนคนทั้งหมดแล้ว

          ประโยคดังกล่าวทำให้นักพรตเต้าเหยียนต้องหันไปมองเจ้าของเสียง เพ่งพิศดวงหน้าที่เย้ายวนเกินกว่ามนุษย์นั้นแล้ว เขาก็คำรามลั่น “เจ้าน่ะเอง เจ้าปีศาจ”

          “สามหาว เจ้ารู้ไหมข้าน่ะเป็นถึงมือข่ะ...”

          มิรอให้ไป๋เซ่อที่หน้าดำหน้าแดงลั่นวาจาจบ ซวนหยวนหมิงไท่เขาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอะไร สองมือพุ่งเข้าไปอุดปากบางไว้ ส่งผลให้เจ้าตัวได้แต่กระทืบเท้าอย่างมิพอใจ

          “ตายซะเถอะ เจ้าปีศาจร้าย” นักพรตเต้าเหยียนรุดฝีเท้าเข้าหาปีศาจร้ายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้เป้าหมาย สองแขนก็ถูกรวบจับไว้จากทางด้านหลัง ส่งผลให้ต้องหันไปมองผู้กระทำทั้งซ้ายทั้งขวาอย่างงงันวูบ

          “เจ้ามีความผิดฐานก่อความไม่สงบในเมือง ไปที่ทำการกับข้าเดี๋ยวนี้” เป็นทหารหน้าเหี้ยมคนหนึ่งที่เอ่ยเสียงแข็ง

          “ดีๆ จับมันเลย บังอาจว่าร้ายว่าเสี่ยวไป๋เป็นปีศาจร้าย” เสิ่นอันหวางส่งเสียงเชียร์ให้กับกลุ่มทหารแกล้วกล้าของเมืองตงหัว

          “ไม่ๆ ข้าพูดความจริง เจ้านั่นเป็นปีศาจร้ายที่แฝงตัวในคราบมนุษย์ มันใช้ใบหน้าที่งดงามเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาหลอกล่อพวกเจ้า คิดช่วงชิงจิตวิญญาณพวกเจ้าไป หากปล่อยทิ้งไว้ ทุกคนจะพบกับหายนะ” นักพรตเต้าเหยียนกล่าวอย่างไม่ยินยอมก่อนจะถูกบรรดาทหารลากตัวไปจนเสียงดังกล่าวค่อยๆจางลง

          “เพ้ย เจ้าแก่นี่ยังกล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอันใด เสี่ยวไป๋ออกจะงดงามเพียงนี้ ต้องเป็นเทพเซียนอย่างแน่นอน” ฮึ ฮึ หากเป็นปีศาจที่งดงามเย้ายวนขนาดนี้ ผู้แซ่เสิ่นก็ยอมพลีกายถวายจิตวิญญาณแล้ว

          มู่อิงเอ๋อร์ฟังคำคนที่ถูกลากไป มองเสิ่นอันหวางที่ดวงตาตกอยู่ในความลุ่มหลงก็บังเกิดเป็นความวิตก ที่จริงแล้วคนแซ่เสิ่นเพียงพบหน้าไป๋เซ่อไม่ถึงสามครั้งกลับหลงใหลอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ยังมีคำที่ยังคงกล่าวไม่จบก่อนหน้านั้นอีก ดวงตากลมมองไป๋เซ่อสลับกับคุณชายหมิง คล้ายคนหนึ่งมีเรื่องซ่อนเร้น อีกผู้หนึ่งช่วยปิดบัง ทำให้นางรู้สึกสะกิดใจ ทั้งยังเป็นกังวลอยู่ในใจลึกๆ หากเป็นอย่างที่คนเสียสติผู้นั้นกล่าวเล่า...นางขมวดคิ้ว

          จะอย่างไรเรื่องนี้นางต้องสืบจนรู้ให้ได้

          จวบจนสถานการณ์กลับเป็นปกติ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจนตลาดกลับเข้าสู่ความสงบ ที่หลังคาของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งกลับมีเด็กชายอายุราวสิบกว่าปีนั่งห้อยขาอย่างอารมณ์ดี

          “พี่ใหญ่ ท่านว่าทำไมเจ้าแก่นั่นจึงกล่าวหาว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นปีศาจกันเล่า เขาใช่พวกเดียวกับเรารึไม่”

          ฉับพลันนั้นที่ด้านหลังเด็กชายก็ปรากฏเป็นหมอกควันบางเบาที่ก่อตัวจนเกิดเป็นรูปร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีม่วงตัดดำ แผ่นหลังกว้างมั่นคงดุจภูผา สองมือกอดอกเคร่งขรึม กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่กำจายไปทั่วร่าง คิ้วคมเข้ม ดวงตาสีดำอมม่วงขับดันให้ใบหน้าคมคาย

          “หงลิ่ว จะโอ้เอ้ไปจนถึงเมื่อไหร่ หากไปไม่ทันช่วงฤดูเก็บเกี่ยว แม้หงอู่ออกปากตีเจ้า ข้าก็ไม่คิดช่วย”

          น้ำเสียงเย็นชาที่ดังขึ้น ทำให้หงลิ่วต้องรีบเอื้อมมือไปเกาะขาแกร่งก่อนจะซบลงอย่างออดอ้อน “ไปแล้วๆ ในเมื่อเจ้านักพรตหน้าเหม็นนั่นต้องเข้าไปอยู่ในลูกกรง เช่นนี้เขาก็จะทำร้ายพวกเราอีกมิได้ ข้าจะไปเล่าให้พี่หงอู่ฟัง” พูดจบเด็กชายในชุดสีม่วงก็อันตรธานหายไป

          หลงเหลือคนหนุ่มที่ยืนตระหง่านเพียงลำพัง สายตาคมกล้าทอดมองไปที่เด็กหนุ่มคนที่หงลิ่วกล่าวถึง ในพริบตาที่อีกฝ่ายหันกายมา ดวงตาเขาก็ถึงกับเบิกกว้าง ท่าทางแบบนั้น นิสัยเจ้าอารมณ์เช่นนั้น...

          หากเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจะเป็นเช่นนี้รึเปล่า

          รอยยิ้มที่แทบไม่เคยมีผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่ร่างสีม่วงตัดดำจะหายลับไปจากหลังคาของโรงเตี๊ยมเช่นเดียวกับหงลิ่ว


******************************************


          ในห้องขังใต้ดินของจวนที่ทำการของเมืองตงหัวในยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างจะเงียบจนวังเวง แสงไฟจากคบเพลิงที่จุดวางตามตำแหน่งต่างๆทำให้ห้องทะมึนและเหม็นหืนแห่งนี้บรรเทาความเหน็บหนาวลงได้บ้าง

          หญิงสาวนางหนึ่งสวมใส่เสื้อคลุมหนาตรงเข้าไปยังสถานที่ที่ใครๆก็มิคิดจะย่างกราย ด้านหลังของนางยังคงตามติดด้วยสาวใช้ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงห้องขังแห่งหนึ่ง ที่ด้านในนี้ปรากฏร่างบุรุษโสโครกที่กำลังยกน้ำเต้าขึ้นดื่มอย่างกระหาย กลิ่นฉุนที่พวยพุ่งตามตัวบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นเพียงสุราชั้นเลว

          “เรื่องที่เจ้ากล่าวเมื่อกลางวันเป็นเรื่องจริงรึไม่”

          “เรื่องอันใด” นักพรตเต้าเหยียนเหล่ตามองเจ้าของเสียงที่จู่ๆก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

          “บังอาจ ท่านผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองตงหัว เจ้ายังกล้าทำเสียมารยาทอีกรึ” ฉงซิ่วส่งเสียงตวาด

          บุตรสาวของท่านเจ้าเมือง? น้ำเต้าถึงกับหลุดมือ ดวงตาสร่างเมาไปหลายส่วน เช่นนี้เขาก็มีโอกาสออกไปจากที่นี่แล้วใช่รึไม่ เขาทะลึ่งตัวขึ้นพรวด ทั้งพยายามลอดใบหน้าอันใหญ่โตระหว่างช่องว่างของลูกกรงเหล็ก

          “คำพูดของข้าเป็นจริงทุกประการ เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นปีศาจจริงแท้แน่นอน ข้านักพรตเต้าเหยียนผ่านร้อนผ่านหนาว ปราบปีศาจมาค่อนชีวิตมีหรือจะดูพลาดไป”

          “เช่นนั้นหลักฐานล่ะ” มู่อิงเอ๋อร์กล่าว นางมิใช่คนโง่ หากเป็นเช่นเขาไม่มีหลักฐานก็กล่าวอ้างผู้อื่นเช่นนี้ คุณชายหมิงจะมองนางเยี่ยงไร

          หลักฐาน หลักฐานกระนั้นหรือ ที่ผ่านมาเขาไล่ล่าปราบปีศาจ เพียงชายตามองก็ตัดสิน ยังจะมีหลักฐานอันใดอีก ดังนั้นนักพรตเต้าเหยียนจึงเอ่ย “หากแม่นางสั่งให้คนเฝ้าติดตามมันไปอย่าให้คาดสายตา ไม่ช้าก็เร็วมันต้องเผยสันดานธาตุแท้ให้เห็นแน่ๆ”

          “ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าไม่มีวิธีที่แน่นอนกว่านี้เลยรึไง” มู่อิงเอ๋อร์ขึ้นเสียง

          ครานี้นักพรตเต้าเหยียนขบคิดจนหัวสมองวุ่นวาย กระทั่งนึกออกในที่สุด “ใช่แล้ว เลือดสุนัขดำ ขอเพียงสาดโดนสักนิด ความจริงย่อมปรากฏแน่”

          “เจ้าแน่ใจ? หากผิดไปจากนี้แม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะให้ทหารบั่นคอเจ้า โทษฐานหลอกลวงชาวบ้านชาวเมือง”

          “ฮ่ะ ฮ่ะ มิกล้าๆ ข้าเป็นนักพรตย่อมมิกล้าหลอกลวงผู้คน” นักพรตเต้าเหยียนรีบประสานมือโค้งศีรษะให้ดูน่าเชื่อถือ จนกระทั่งบุตรสาวเจ้าเมืองทิ้งท้ายคำพูดประโยคหนึ่งแล้วจากไปพร้อมกับสาวใช้

          “ดี ข้าจะจำคำพูดเจ้าไว้”

          ในอีกด้านหนึ่งของเวลาเดียวกันนั้น ที่เรือนนอนของผู้ตรวจราชการหมิง ไป๋เซ่อกำลังนั่งดูถุงผ้าที่ได้มาโดยมิต้องเสียสตางค์สักแดงเดียวอย่างภาคภูมิใจ จวบจนฝีเท้าเนิบนาบแต่แฝงไว้ด้วยพลังเปิดประตูเข้ามา เสียงสุขุมที่เป็นเอกลักษณ์ก็ดังขึ้น

          “อีกสี่หรือห้าวันนี้ พวกเราจะออกจากตงหัว” ก่อนหน้านี้ฟังรายงานจากเหล่าองครักษ์และเสี่ยวลู่แล้ว ก็พบว่าไม่มีความคืบหน้ากระไร จึงเห็นสมควรที่จะออกจากที่นี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององครักษ์เงาสืบต่อ

          ทว่าคำกล่าวออกไป แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา ซวนหยวนหมิงไท่ที่งับประตูเรียบร้อยแล้ว ก็กวาดสายตาหาร่างปราดเปรียวที่ด้านใน แล้วจึงพบคนที่ยิ้มโง่งมลูบไล้ถุงผ้าไปมา ก็พาลทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาด

          “ไป๋เซ่อ ทำให้นักพรตผู้นั้นจึงกล่าวหาว่าเจ้าเป็นปีศาจ” เขากล่าวถามอย่างสงสัย

          ได้ยินคำว่าปีศาจ สีหน้ามีความสุขก็พลันเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง “หนอย เจ้านักพรตชั้นปลายแถว กะอีแค่แยกกลิ่นอายปีศาจกับเทพเซียนยังทำไม่ได้ ยังคิดจะปราบปีศาจอีก ไม่เจียมตัวสักนิด” ไป๋เซ่อพ่นลมทางจมูก แต่เดิมกลิ่นอายของเขานั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียงแค่ช่วงนี้ที่ทานเนื้อสัตว์ เป็นเหตุให้กลิ่นอายขุ่นมัวลงบ้างก็เท่านั้น 

          “เช่นนั้นเจ้าควรอยู่ให้ห่างจากนักพรตผู้นี้” เขาเอ่ยเตือน จะอย่างไรคนผู้นี้ก็มองเห็นความไม่ปกติของไป๋เซ่อ ยังคงอยู่ให้ห่างจะดีกว่า

          “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ข้าน่ะเป็นถึง...”

          “งูเผือกเต้นระบำ” เขาแทรกตัดบทพร้อมทั้งทำทีแคะขี้หูต่อหน้าต่อตาอีกฝ่าย ยังมิวายหมุนกายเดินตรงไปทิ้งตัวนอนบนเตียงอย่างเสร็จสรรพ ทิ้งให้ไป๋เซ่อดิ้นเร่าโวยวายพ่นน้ำลายอยู่คนเดียวถึงเกือบค่อนคืน



******************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 6.2 นักพรตเสียสติ



          วันต่อมา ซวนหยวนหมิงไท่กับเหล่าองครักษ์ก็ออกตระเวนไปดูความเป็นไปของชาวบ้านตามสถานที่ต่างๆกับมู่อิงเจี๋ยผู้เป็นเจ้าเมือง ทิ้งให้เสี่ยวลู่ดูแลไป๋เซ่อ ด้วยมิกล้าปล่อยให้เจ้าตัวติดตามมา ทั้งยิ่งมิกล้าปล่อยให้อยู่ที่จวนเพียงลำพัง ดังนั้นไป๋เซ่อได้แต่นั่งมองนกกระจิบตัวจ้อยที่บินผ่านไปผ่านมาในศาลาของเรือนอย่างเบื่อหน่าย ครั้นเหลือบมองผ่านทางหางตาก็พบคนที่จับตามองเขามานานถึงครึ่งชั่วยาม โดยไม่มีวี่แววจะกระดุกกระดิกสักนิด

          เพราะเสี่ยวลู่ได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาท ให้เฝ้าติดตามเด็กหนุ่มมิให้คลาดสายตาเป็นอันขาด จึงปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ถึงขนาดทนฝืนพยายามที่จะไม่กะพริบตา ยังผลให้ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

          นั่งอยู่นานแล้วร่างเล็กในชุดสีเขียวอ่อนก็เริ่มหยัดกายบิดขี้เกียจ พริบตานั้นเสี่ยวลู่ที่นั่งพิงรั้วศาลาก็สะดุ้งตัวพรวดขึ้น ไป๋เซ่อที่สองมือเหยียดชี้ฟ้าต้องมีอันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆลดมือลงอย่างช้าๆ จากนั้นค่อยๆหย่อนก้นลงที่เดิม ฝ่ายขันทีน้อยเองก็นั่งลงบ้าง ทว่าฉับพลันนั้นไป๋เซ่อกลับลุกพรวดขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ก้นของเสี่ยวลู่ที่กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนเช่นกัน

          “คิดจับตามองข้าไปถึงเมื่อไหร่ ข้ารู้นะนายเจ้ามีเจตนาไม่ดี พาข้าไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปคุยให้รู้เรื่อง” ไป๋เซ่อสุดจะทนจึงโพล่งหาเรื่อง ตนมิใช่นักโทษถึงคิดจะกักบริเวณเช่นนี้

          “ไม่ได้ๆ เจ้าอย่าทำแบบนี้ ข้ารับผิดชอบไม่ไหว” เสี่ยวลู่กล่าวอย่างอับจนปัญญา ทั้งแสร้งทำน้ำตาหลั่งไหลดูน่าเห็นอกเห็นใจ ใช้ออกด้วยไม้ที่คนในวังหลวงเชี่ยวชาญเป็นที่สุด

          ที่ไม่ไกลออกไป ณ พุ่มไม้แห่งหนึ่งกลับมีคนสองคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ถึงกับต้องผงะกายตกใจ หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น

          “ฉงซิ่ว เจ้าแน่ใจนะว่าเขาไม่รู้เรื่องที่คุณหนูสั่งให้พวกเราทำ”

          ไม่ เรื่องนี้เป็นความลับ เขา...ไม่มีทางรู้หรอก” ฉงซิ่วตอบกลับอย่างไม่แน่ใจนัก

          “แต่หากท่านผู้ตรวจราชการคิดเอาเรื่อง”

          “ชุนอวี้ เจ้าอย่ากลัวไป คุณหนูมิใช่บอกหรือ ว่าเรื่องราวหลังจากนี้นางรับผิดชอบเอง อีกอย่างหากเจ้าทำสำเร็จ คุณหนูยังจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” ฉงซิ่วย้ำเตือน ทำให้ชุนอวี้ที่มีสีหน้าไม่สบายใจยอมตอบตกลงในที่สุด

          “ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” นางเป็นเพียงสาวใช้ในจวนเจ้าเมือง เพียงทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูห้องหับ แม้เคยรับใช้เจ้านายก็ไม่เป็นที่ถูกใจ เงินเดือนที่ได้จึงไม่มากนัก บวกกับญาติพี่น้องที่นางต้องดูแลมีถึงสาม ทำให้นางยอมรับปากกระทำเรื่องที่อาจล่วงเกินคนมีตำแหน่ง จนอาจถึงขั้นถูกโบยตี

          ชุนอวี้ทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้ศาลาที่คนผู้หนึ่งพยายามตะเกียกตะกายออกมาด้านนอก กับอีกผู้หนึ่งที่รั้งเอวอีกฝ่ายร่ำไห้สุดเสียง สองมือหยาบกร้านที่ถือชามใบใหญ่แม้จะสั่นระริก แต่ก็มิได้ทำให้ของเหลวในชามตกหล่นแม้แต่หยดเดียว

          “ว้าย” กระทั่งเข้าใกล้เป้าหมายนางก็แสร้งทำเป็นสะดุดล้ม มือไม้อ่อนมิอาจพยุงสิ่งของมือได้อีกต่อไป

          ประจวบเหมาะกับที่สัญชาตญาณสูงเพียงได้กลิ่นคาวเข้มข้นที่ลอยมา ไป๋เซ่อก็ดิ้นตัวหลุดออกจากพันธนาการ กระโดดหลบเลือดสุนัขที่กำลังสาดกระเซ็นปะทะเข้าตามตัวไปได้อย่างทันท่วงที กลับเป็นเสี่ยวลู่ที่รับเคราะห์รับเอาโลหิตสีแดงคล้ำไปเต็มเปี่ยม

          “น่ะ นี่มันอะไรกัน” เสี่ยวลู่ดมกลิ่นตัวเองแล้วก็แทบสำลัก กระบวนท่าแสร้งทำน่าสงสารถึงกับใช้ไม่ออกอีกต่อไป

          “บ่าวสมควรตาย เป็นบ่าวไม่ทันระวังทำให้ท่านต้องแปดเปื้อน” ชุนอวี้รีบคุกเข่ารับความผิด ในใจเริ่มประหวั่นเนื่องเพราะตนทำงานผิดพลาด 

          “เอาเป็นว่าข้าไปก่อนล่ะ วะฮ่าฮ่า” ได้โอกาสสลัดหลุด ไป๋เซ่อก็ไม่รอช้ารีบเผ่นไปไกลโดยไม่รอให้อีกฝ่ายร้องทัก เสี่ยวลู่เห็นดังนั้นก็มิอาจใส่ใจตัวเองที่เหม็นตลบ มองหน้าชุนอวี้อย่างเอาเรื่องคราหนึ่งก็ร้องลั่นแล้ววิ่งไล่ร่างสีเขียวไปอย่างรีบร้อน

          ทางฝั่งฉงซิ่วเมื่อเห็นว่าเป้าหมายหลุดรอดไปได้อย่างหมดจด ก็ต้องรีบหันกายกลับไปรายงานคนที่รอฟังข่าวอยู่ไม่ไกลจากเรือนรับรอง ต่อเมื่อนางบอกเล่าเรื่องราวแก่ผู้เป็นนายจนจบ ถ้วยชาก็ถูกปัดลงจากโต๊ะ จนน้ำร้อนในถ้วยสาดเข้าที่ใบหน้าของนางเข้าอย่างจัง

          “พลาด แค่นี้ยังทำพลาด มิได้เรื่องกันทั้งนั้น”

          ฉงซิ่วที่ถูกบันดาลโทสะก็ไม่กล้าแม้แต่จะยกแขนเช็ดหน้า นางได้แต่กล่าวแก้ตัว “บ่าวไม่คิดว่าชุนอวี้จะไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้ ถ้าอย่างไรบ่าวจะหาคนที่เหมาะสมมาทำหน้าที่นี้ใหม่”

          “ยังจะหาคนอันใดอีก เรื่องเช่นนี้กระทำอีก มิใช่ส่อพิรุธบอกให้อีกฝ่ายรู้ตัวอีกรึ” มู่อิงเอ๋อร์ตวาดจนฉงซิ่วต้องก้มหน้างุดๆ “สั่งคนสะกดรอยเขาทุกฝีก้าว”

          “เจ้าค่ะ คุณหนู”

          ฉงซิ่วรับคำแล้วจึงรีบออกไป หลงเหลือมู่อิงเอ๋อร์ที่ครุ่นคิดพลางกัดนิ้วตนเองอย่างหงุดหงิด จากคำพูดของนักพรตเต้าเหยียน นางคงเหลือวิธีพิสูจน์เพียงทางเดียวแล้ว



******************************************


          กระทั่งพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม ซวนหยวนหมิงไท่กลับมาถึงเรือนนอนก็พบไป๋เซ่อที่นอนกรนอยู่บนเตียงแล้ว ต่างกับเสี่ยวลู่ที่ดูอิดโรยไปถนัดตา เขาจึงยิ้มทักขึ้น “วันนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง”

          เพียงแค่คำถามไถ่ เสี่ยวลู่ก็แทบอยากร่ำไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ “ยังทนไหวพะย่ะค่ะ ต่อให้ต้องวิ่งไล่เขาไปทั่วจวนติดกันอีกสักสามสี่วัน กระหม่อมก็ยังทนไหวพะย่ะค่ะ”

          มาตรว่าขันทีน้อยจะกล่าวอย่างมั่นใจ หากแต่กายกลับซวนเซจวนจะล้มลงอยู่รอมร่อ รัชทายาทหนุ่มเห็นแล้วก็อดนึกสงสารมิได้ ได้แต่ส่งมือประคองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยปากขอบใจ แต่แล้วกลิ่นคาวที่โชยออกมาจากเจ้าตัว แม้จะเพียงน้อยนิดก็ทำให้เขาขมวดคิ้ว

          “ทำไมตัวเจ้าจึงมีกลิ่นโลหิต”

          “อ่า” เสี่ยวลู่รีบดมกลิ่นตัวเองเป็นการใหญ่ ขนาดเขาอาบน้ำไปตั้งสามรอบแล้วก็ยังมีกลิ่นติดอยู่อีก “เป็นเพราะวันนี้สาวใช้ของเรือนรับรองได้รับคำสั่งให้นำเลือดสุนัขดำไปสาดไว้ที่ท้ายประตูของเรือน เพื่อเป็นการขจัดสิ่งอัปมงคล แต่นางไม่ระวังจึงสาดใส่กระหม่อมเข้า”

          “มีเรื่องเช่นนี้”

          “ยังดีที่เสี่ยวไป๋หลบทัน มิเช่นนั้นคืนนี้พระองค์คงต้องนอนทนดมกลิ่นคาวบนตัวเขาแย่ เฮือก” แทบกลืนน้ำลายไม่ทัน เขาถึงขนาดหลุดปากพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมา ครั้นเห็นสีหน้าทะมึนขององค์รัชทายาท เขาก็รีบเอ่ย “หมดเรื่องแล้ว กระหม่อมมิกล้ารบกวน กระหม่อมทูลลาพะย่ะค่ะ”

          รอจนขันทีคนสนิทจากไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็ก้าวเข้าไปนั่งที่ข้างเตียง มองคนที่หลับใหลไม่ได้สติ จู่ๆก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่ลึกๆ

          หากสาวใช้คนนั้นมิใช่ไม่ระวัง แต่เป็นความตั้งใจ หากเป้าหมายที่แท้จริงเป็นร่างเล็กที่ไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัวที่กำลังนอนอยู่ตรงนี้กันเล่า

          เป็นเพราะเรื่องนี้เฉพาะเจาะจงตอนที่เขาไม่อยู่ ทั้งยังเป็นเลือดสุนัขดำ ทำให้เขานึกโยงถึงนักพรตที่ตนได้พบเมื่อวันก่อน ดูแล้วเรื่องนี้ต้องเกิดปัญหาแน่ ซวนหยวนหมิงไท่คิด

          จนกระทั่งผ่านไปสองวัน สิ่งที่รัชทายาทหนุ่มคิดก็เริ่มเป็นจริง เนื่องเพราะมู่อิงเอ๋อร์ที่ยังคงมิได้รับทราบข่าวคราวความคืบหน้าใดๆ ก็เริ่มที่จะทนไม่ไหว คนที่ถูกส่งไปสะกดรอยต่างรายงานความเป็นไปของไป๋เซ่อด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา

          “ยัง ยังไม่มีท่าทีผิดปกติอีกรึ” นางแผดเสียงดังจนบ่าวรับใช้สามคนตัวสั่นงันงก

          เงยหน้ามองเจ้าของดวงตากลมโตอย่างกล้าๆกลัวๆแล้ว บ่าวคนหนึ่งก็ละล่ำละลักเอ่ยขึ้น “ความจริงแล้วมีอยู่คืนหนึ่ง ข้าน้อยเห็นเขาทำตัวลับๆล่อๆเข้าไปในโรงครัวยามดึกดื่น แต่ว่าเขาเข้าไปนานมาก ข้าน้อยมองดูอยู่ด้านนอก รอคอยอยู่นานก็มิได้ออกมา ส่วนข้าน้อยเป็นเพราะ...เอ่อ เป็นเพราะ”

          “เป็นเพราะกระไรก็ว่ามาสิ” มู่อิงเอ๋อร์รับฟังอย่างตั้งใจ ทว่าเมื่อถูกขัดจังหวะก็ให้รู้สึกขัดใจจึงกล่าวขึ้นเสียง ส่งผลให้บ่าวผู้นี้ยิ่งตกใจจนต้องรีบก้มศีรษะติดกับพื้นด้วยความกลัว

          “เป็นเพราะข้าน้อยเหนื่อยจนเผลอหลับไป ทำให้มิอาจเห็นได้ว่าเขาออกจากโรงครัวไปตอนไหน”

          ฟังแล้วนางก็สูดหายใจลึก ดวงตากลมแทบจะถลน นางแทบอยากกินเลือดกินเนื้อคนผู้นี้นัก “จำได้รึไม่ ว่าเป็นช่วงใด”

          “ยามจื่อ* ขอรับ”

          “ออกไปได้แล้ว” นางออกคำสั่ง ในใจก็ตัดสินแล้วว่ายามจื่อของคืนนี้ นางจะลองออกไปดูสักครั้ง ไม่แน่ว่าสวรรค์จะเข้าข้างนางให้คำตอบนางภายในวันนี้ก็เป็นได้



_______________________________

ยามจื่อ คือ ช่วงเวลา 23:00 – 01:00 น.

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รำแม่ชะนีน้อยเสียจริง หึ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
อือหือนี่เจ๊จะพิสูจน์ให้ได้ใช่ปะ
ละคือแบบผชเขาก็ไม่เอาไหม?  จะไปยุ่งอะไรกับเขาเยอะแยะ

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 7.1 สังหรณ์ร้าย

 

          ท่ามกลางความมืดสลัว ทุกอย่างรอบตัวเงียบกริบ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกลับเบิกโพลงขึ้นสะท้อนแสงวิบวับ ร่างเล็กในชุดนอนสีขาวค่อยๆเบือนหน้าสังเกตคนที่อยู่ข้างกาย จากนั้นเริ่มขยับเคลื่อนตัวให้เบาเฉกเช่นเดียวกับขนนก ระหว่างนั้นก็มองเสี้ยวหน้าที่สงบนิ่งคล้ายรูปปั้น สองแขนกอดอกดูเคร่งขรึมแม้ในยามนอน ไป๋เซ่อก็แค่นเสียงประชดในใจ

          ...เฮอะ เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้ ขนาดจะนอนยังจะต้องวางก้ามเขื่องโขหาอันใดอีก

          คิดไปพลางขาข้างหนึ่งก็ก้าวข้ามร่างสง่างามไปอย่างระวัง จวบจนสองขาสัมผัสพื้น ไป๋เซ่อก็รีบรุดไปยังมุมหนึ่งของห้อง แขนเรียวล้วงเข้าไปในแจกันประดับใบใหญ่ ดึงเอาห่อผ้าที่เก็บซ่อนไว้มิดชิดออกมา

          ข้างในนั้นเป็นเพียงเสื้อสีดำตามแบบฉบับนิยมของผู้ร้าย ไม่ว่าจะปล้น ฆ่า ลอบทำร้าย หรือกระทำเรื่องมิดีมิร้ายต่างๆนานา ล้วนแล้วแต่ใส่ได้ในทุกกรณี ร่างเล็กสวมมันทับกับเสื้อนอน ต่อจากนั้นจึงย่องฝีเท้าไปที่ทางออก ครั้นก่อนจะงับประตูปิดสนิทก็ลอบมองชายหนุ่มที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวซ้ำอีกที

          “ฮี่ ฮี่ ฮี่” บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะได้ใจดังออกมาจากริมฝีปาก ทั้งยังเล็ดลอดผ่านช่องว่างประตูที่กำลังถูกปิดสนิทลง ต่อเมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ไป๋เซ่อก็หันกายวิ่งตรงไปอย่างมิเหลียวหลัง

          ผ่านไปไม่นานนัก ร่างสีดำก็มาถึงที่หมาย เหลียวซ้ายมองขวาไม่พบผู้ใดเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ ก็พุ่งพรวดเข้าไปในโรงครัวแล้วทำการปิดประตูลงในทันที

          เพียงแค่ได้กลิ่นหอมอบอวลของขนม ใจของไป๋เซ่อก็แทบจะล่องลอยไปไกล โชคดีที่วันนี้ตนแอบตะล่อมถามป้าแม่ครัวจึงได้ความว่า เช้าตรู่ของพรุ่งนี้เจ้าบ้านตระกูลมู่จะนำของเหล่านี้ติดตัวไปยังวัดบนเชิงเขา ดังนั้นหากตนจะขอลิ้มรสสักหน่อย ก็คงจะไม่ว่ากล่าวกันกระมัง? ฮึ ฮึ

          ว่าแล้วก็โยนขนมเปี๊ยะเข้าปาก อีกมือคว้าจับขนมแป้งทอดไว้ รอจนเคี้ยวหงุบหงับหนังท้องเริ่มตึง ไป๋เซ่อก็เริ่มทำลายหลักฐาน จัดแจงขนมกองโตในจานให้เข้าที่สวยงามอีกครั้ง ก่อนที่จะเตรียมตัวเผ่นอย่างทุกที แต่ในขณะที่หมุนตัวกลับไปยังทางเข้า ก็พลันชะงักตัวเผยสีหน้าใสซื่อ “อ้ะ จริงสิเกือบลืมไป” ฉับพลันนั้นร่างบางในชุดรัดกุมสีดำก็ค่อยๆหดเล็กลงจนกลับกลายเป็นงูเผือกสีขาวตัวหนึ่ง

          “ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ” เรานี่ช่างหลักแหลม เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่ามีคนเข้ามาฉกขนมบางส่วนไป ไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่งกล่าวยกยอปอปั้น ลำตัวประเดี๋ยวหนึ่งเลื้อยซ้ายประเดี๋ยวหนึ่งเลื้อยขวาไปมาอย่างอารมณ์ดี จากนั้นใช้ศีรษะน้อยๆดุนดันเปิดประตูจนออกไปได้สำเร็จ

          เพลาเดียวกันนั้นที่ด้านนอกของโรงครัวกลับมีคนสองคนที่นั่งหน้าซีดเหงื่อตกติดกับหน้าต่างที่บุด้วยกระดาษสาซึ่งถูกเจาะเป็นวงกลมเล็กๆขนาดเท่าดวงตามองเห็น หนึ่งในนั้นเป็นมู่อิงเอ๋อร์ นางเฝ้ารอการมาของเงาร่างหนึ่งอยู่พักใหญ่ กระทั่งเจ้าของดวงตาเย้ายวนปรากฏตัวขึ้น นางก็ลอบสังเกตความเป็นไป จวบจนได้เห็นบางสิ่งที่ไม่ควรเข้า

          เพียงชั่วลัดนิ้วที่คนกลับกลายเป็นงู ฉงซิ่วที่ติดตามนางมาด้วยก็สติแตกตื่น ดีที่นางฉวยเอามืออุดริมฝีปากก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งเสียงกรีดร้องได้ทันท่วงที คล้อยหลังงูตัวน้อยเลื้อยหายเข้าไปในพงหญ้า มือเรียวจึงค่อยๆลดลง ทันใดนั้นฉงซิ่วร้องลั่น

          “คุณหนู ปีศาจๆ ปีศาจงู”

          “ข้าเห็นแล้ว เจ้าจะแหกปากไปจนถึงเมื่อไหร่” มู่อิงเอ๋อร์ตวาด ยังผลให้ฉงซิ่วที่ตัวสั่นระริกต้องรีบยกสองมือปิดปากตัวเอง ครั้นสาวใช้เงียบเสียงนางก็ผละตัวรีบร้อนเข้าไปในโรงครัว กวาดตาไปรอบๆกระทั่งหยุดสายตาลงบนรอยลากยาวบนพื้น ซึ่งหาได้มีแม้แต่ฝีเท้าคนไม่

          ไม่ผิดแน่...สักครู่นี้นางมิได้มองผิดไปจริงๆ จังหวะนั้นภาพในความทรงจำต่างหวนคืนสู่นัยน์ตาเป็นฉากๆ บางสิ่งที่ติดใจนางมาตลอดพลันบรรลุวาบในชั่วพริบตา

          งูเผือกที่นางเห็น นับเป็นตัวเดียวกันกับงูเผือกที่คุณชายหมิงซื้อคืนไปจากนาง ทั้งยังเป็นตัวเดียวกับที่ชายหนุ่มขว้างมันลงน้ำ ซึ่งนับแต่นั้นมานางก็มิเคยได้พบเจอมันอีกเลย เพียงเจอเด็กหนุ่มที่โผล่ออกมาอย่างน่าแปลกประหลาดแทน คิดถึงตรงนี้ดวงตานางก็พลันเลิกกว้าง

          หรือแท้จริงแล้ว ตลอดมาที่คุณชายหมิงให้ท้ายบ่าวผู้นั้น มิสนใจไยดีนาง จะเป็นเพราะต้องมนต์สะกดของปีศาจงู

          “ฉงซิ่ว พาข้าไป” มู่อิงเอ๋อร์เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย ดวงตาจับจ้องมองไปที่ไกลแสนไกล

          “ป่ะ ไปไหนเจ้าค่ะ คุณหนู” ฉงซิ่วกล่าวอย่างหวาดๆ ทั้งพยายามขยับตัวเข้าประชิดตัวผู้เป็นนายให้ได้มากที่สุด

          “ไปหานักพรตผู้นั้น...เร็ว”


 

*******************************************************

 

          “กลับมาแล้ว?”

          จู่ๆน้ำเสียงเค้นถามก็ดังขึ้น ไป๋เซ่อในอาภรณ์สีขาวที่กำลังก้าวคร่อมผ่านร่างข้างใต้เพื่อไปยังอีกด้านหนึ่งของเตียงถึงกับนิ่งค้าง กรอกตาลงมองแล้วเห็นซวนหยวนหมิงไท่ยังคงหลับตาอยู่ ก็รีบหลับตาปี๋แสร้งทำเป็นละเมอ

          “งืม งืม แจ๊บๆ” ใช้จังหวะนี้ก้าวข้ามคนด้านล่างไปอย่างแนบเนียน แต่ใครจะคิดว่าสองมือที่ค้ำยันกายไว้กลับลื่นพรืดไม่เป็นท่า ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเบิกกว้างสุดขีด มิอาจทรงตัวได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดก็ล้มทับชายหนุ่มอย่างไม่มีทางเลือก “แว๊กก...แอ่กก”

          แก้มนุ่มที่ไซร้ผ่านริมฝีปากกะทันหัน ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ชะงักงันไปชั่วขณะ อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทำเอาในอกรู้สึกเต้นถี่อย่างไรบอกไม่ถูก เขาเผยยิ้มอย่างไม่รู้ตัวท่ามกลางความมืด

          “.......”

          ร่างเล็กล้มลงแล้วแน่นิ่งไปพักใหญ่ ดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา “อืม ตัวเจ้าเย็นจัง”

          เป็นเพราะเสียหน้าจึงไม่กล้าลุก แต่ครั้นได้ยินคำพูดที่แฝงแววห่วงใยก็พลอยทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว เดิมทีร่างกายเขาก็เย็นเฉียบแต่ไหนแต่ไร การที่ชายหนุ่มกล่าววาจาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วไหนจะยังมีผิวกายแนบชิดอบอุ่นซึ่งกั้นไว้เพียงชุดนอนชั้นบางๆ แทบทำให้อกเขาจวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว ในที่สุดไป๋เซ่อก็โพล่งออกมาด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ “จะ...เจ้าจะฉวยโอกาสข้าเหรอ”

          ฉวยโอกาส เขาน่ะหรือ...เขาเลิกตาโต ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม “เอ เป็นเจ้าที่ฉวยโอกาสมากกว่ากระมัง ดึกดื่นเพียงนี้ยังซุกซนปีนป่ายบนตัวข้า ต้องการสิ่งใดกันแน่”

          “ข้าต้องการสิ่งใด? เพ้ย นี่เป็นเพราะข้า...ข้าละเมอต่างหาก เจ้าลูกเต่า” ไป๋เซ่อกล่าวตะกุกตะกัก ก่อนจะม้วนตัวลงจากตัวชายหนุ่ม แล้วหันหลังอันแข็งทื่อให้กับเจ้าตัว

          เพียงหยอกล้อเล่นเพียงนิดเดียวก็งอนตุบป่องเสียแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่จ้องร่างที่ไม่กระดุกกระดิกแล้วจึงถาม “สักครู่นี้เจ้าไปไหนมา”

          “กระทั่งไปเวจก็ยังต้องบอกเจ้า หรือยังจะให้เสี่ยวลู่ติดตามข้าอีก”

          “ช่างเถอะ ขอเพียงอย่าออกไปเถลไถลก็พอ” ความจริงช่วงนี้เขามักกังวลไม่เข้าเรื่อง สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นจึงอดเป็นห่วงร่างเล็กมิได้

          คิดไปพลางเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะเล็ก ไป๋เซ่อที่นอนหันกายอยู่สะดุ้งตัวเล็กน้อยแต่ก็มิได้ปฏิเสธโวยวายอย่างที่มักจะเป็น เพียงนอนนิ่งยอมให้เขาลูบศีรษะอย่างว่าง่าย และเป็นเช่นนี้จนกระทั่งพวกเขาทั้งคู่ผล็อยหลับไป

          ต่อเมื่อตะวันยามสายสาดแสงท่ามกลางลมหนาวก่อตัว มวลหมอกจับตัวเป็นชั้นบางๆ ร่างเล็กที่งัวเงียก็ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ ครั้นบิดตัวไปมาทีสองที ภาพที่ชายหนุ่มลูบศีรษะ จนกระทั่งตนคล้อยหลับไปโดยมิรู้ตัวก็ประเดประดังเข้ามาในสมอง ไป๋เซ่อถึงกับสยิวกายเอามือขยี้หัว

          ไม่จริง...ข้าไม่ได้ชอบให้เขาทำแบบนั้น ข้าไม่ได้เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้นสักนิด ไป๋เซ่อส่ายหน้าสะบัดความคิดวุ่นวาย โชคยังดีที่ซวนหยวนหมิงไท่ออกไปแต่เช้าตรู่ จึงมิต้องรู้สึกเข้าหน้าไม่ติด

          เขาลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีเขียว จากนั้นยื่นหน้ามองไปในแจกันใบใหญ่ ดูว่าห่อผ้ายังอยู่ดีก็แสดงว่าอีกฝ่ายยังคงจับมิได้ เขายกยิ้มแฉ่ง อย่างน้อยก็มีบางเรื่องที่พ้นหูพ้นตา รัชทายาทตาไวผู้นี้ไปได้ ฮึ ฮึ

          ผลักประตูเปิดผางแล้ววิ่งไปตามระเบียงอย่างร่าเริง ตั้งใจจะไปกวนเสี่ยวลู่ให้ออกไปเล่นเป็นเพื่อน แต่วิ่งไปสักพักกลับรู้สึกว่าบรรยากาศภายในเรือนออกจะเงียบจนผิดสังเกต เขาเริ่มลดความเร็วฝีเท้าลงอย่างสงสัย แต่แล้วคนผู้หนึ่งก็กระโดดพรวดเข้าขวางเขาหน้าไว้อย่างฉับพลัน

          “ปีศาจงูจงตายเสียเถอะ” นักพรตเต้าเหยียนตะโกนขึ้นสุดเสียง แล้วขว้างผงกำมะถันในมือใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างจัง

          เป็นเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นฉับไว ไป๋เซ่อจึงได้แต่รับเอาฝุ่นผงสีเหลืองที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัว “แค่ก แค่กๆ” กลิ่นฉุนของกำมะถันทำให้เขาสำลักไอไม่หยุด ดวงตาและโพรงจมูกแสบร้อนจนน้ำมูกน้ำตาหลั่งไหล เขาพยายามหรี่ตาอันพร่ามัวขึ้นมองภาพตรงหน้า ก่อนจะได้เห็นมู่อิงเอ๋อร์และสาวใช้ยืนยิ้มเยาะอยู่ทางด้านหลังของคนที่ลอบทำร้าย

          “พวกเจ้า พวกเจ้าจะทำอะไร” ไป๋เซ่อทิ้งตัวพิงกำแพงแล้วเค้นเสียงถามอย่างทรมาน

          “กำจัดเจ้าน่ะสิ” มู่อิงเอ๋อร์ตอบกลับเสียงเย็น

          ด้านนักพรตเต้าเหยียนก็ไม่รีรอ ก้าวเข้าไปใช้ดาบไม้ในมือฟาดลงไปที่ตัวเด็กหนุ่ม “เผยร่างจริงเดี๋ยวนี้ เจ้าปีศาจชั่วร้าย”

          “โอ๊ยๆ นักพรตเฮงซวย กล้าตีข้าเรอะ ถึงทีข้า ข้าจะเอาคืนเจ้าร้อยเท่าเลยทีเดียว โฮ” ร่างเล็กเปล่งเสียงร่ำไห้โหยหวน ได้แต่ใช้สองแขนกันดาบไม้ที่กระหน่ำฟาดลงมาไม่หยุดหย่อน

          เจ็บ...เจ็บแทบตายแล้ว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าตีเขาแบบนี้มาก่อนเลย ไป๋เซ่อน้ำตาซึม กระทั่งทนทานไม่ไหวก็ตะโกนขึ้นฟ้า

          “โฮ เจ้าซวนหยวนหมิงไท่”


 

*******************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 7.2 สังหรณ์ร้าย

 

          เสียงเพรียกที่แว่วลอยตามสายลมทำให้รัชทายาทหนุ่มที่พึ่งกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ หลังจากไปสำรวจความเป็นอยู่ของประชาราษฎร์ต้องผงะหยุด เผลอยกมือหนึ่งกุมอกด้วยรู้สึกถึงความวูบโหวงที่แล่นเข้าสู่กลางใจ เขาขมวดคิ้วเป็นปม ดูว่าสักครู่คล้ายได้ยินเสียงเรียก

          ...เสียงเรียกของไป๋เซ่อ

          องค์รักษ์จิ้งเห็นรัชทายาทหนุ่มหยุดฝีเท้ากะทันหัน มิหนำซ้ำสีหน้ามิสู้ดีนักก็กระซิบถาม “องค์รัชทายาท ทรงเป็นอะไร...”

          “......” ร่างสง่างามไม่เพียงไม่ตอบ แต่กลับรุดไปข้างหน้าไกลแบบไม่เห็นฝุ่น ซวนหยวนหมิงไท่ขับเคลื่อนพลังภายในไปยังฝีเท้า ทะยานถีบตัวข้ามกำแพงสีขาวของจวนตระกูลมู่อย่างไม่ลังเล

          กระทั่งเข้าสู่เขตเรือนรับรอง ก็พบสตรีสองนางที่แสดงสีหน้าเย็นชามองคนที่ถูกบุรุษในชุดนักพรตใช้ดาบไม้ทุบตีอยู่ เพียงแวบเดียวที่เห็นร่างสีเขียวนอนคู้กายอย่างน่าสงสาร ดวงตาสีดำก็พลันลุกโชนไปด้วยความโกรธ ราวกับบางสิ่งบางอย่างในใจถูกบดขยี้ เขากู่ร้องดังไปทั่วบริเวณ
         
          “ไป๋เซ่อ” มือคว้าหักกิ่งหลิวที่อยู่ใกล้ๆ โผทะยานมุ่งตรงไปหากลุ่มคนทางด้านหน้าสุดฝีเท้า

          นักพรตเต้าเหยียนกำลังจะเงื้อดาบลงก็มีอันต้องตื่นตระหนก กิ่งหลิวกิ่งหนึ่งกลับแทรกเข้ามากระแทกมือเขา จนดาบไม้พุ่งกระเด็นออกไปปักทะลุกำแพงอีกฟากฝั่ง มองดูเศษอิฐร้าวที่ทยอยร่วงหล่นลงกับพื้น เขาก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ จากนั้นจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่ขจายอย่างไม่คิดจะปิดบัง ส่งผลให้เขาต้องรีบถอยร่นไปไกลจากผู้มาใหม่

          “ไป๋เซ่อ เจ้าเป็นอะไรไหม” รัชทายาทหนุ่มรีบประคองร่างที่คู้กายกอดตัวเองเข้าสู่อ้อมอกอย่างทะนุถนอม สีหน้าแฝงไว้ด้วยความรวดร้าวประการหนึ่ง

          แค่ได้ยินเสียงอบอุ่นที่คุ้นเคย ไป๋เซ่อก็สะอื้นไห้กอดชายหนุ่มแน่น “โฮ ข้าเจ็บ...เจ็บจังเลย”

          ทอดมองรอยฟกช้ำตามท่อนแขนเรียว อารมณ์ของเขาก็ยิ่งโหมไปด้วยโทสะ คิดหาคนระบายความข้องใจ พอดีกับที่องครักษ์จิ้งตามมาสมทบ จึงฝากร่างบางไว้กับอีกฝ่าย จากนั้นหันกายไปหาบุคคลทั้งสาม

          “เอ่อ คุณชายหมิง ท่านอย่าได้หลงกลเขา เขาเป็นปีศาจงู เขาจะทำร้ายท่าน” มู่อิงเอ๋อร์กล่าวแก้ตัว ครั้นเห็นชายหนุ่มก้มหน้าจนมิอาจเห็นสีหน้าใดๆได้ ก็ให้รู้สึกอึดอัดเสียจนแทบอยากหยุดหายใจไปเสียดื้อๆ

          “แต่ที่ข้าเห็น มีแต่พวกเจ้าที่ทำร้ายเขา” สิ้นเสียงดังกล่าว กิ่งหลิวในมือก็สะบัดออกอย่างรวดเร็ว

          นักพรตเต้าเหยียนยังไม่ทันตั้งสติบุรุษหนุ่มก็บรรลุถึงตัวแล้ว เขารีบเบี่ยงกายหลบ แต่มาตรว่าอีกฝ่ายมาทางซ้าย เขาหลบไปทางขวา กระนั้นกิ่งหลิวก็ยังคงไล่ล่าเขาไม่หยุด ทั้งสะบัดฟาดตีใส่จนปรากฏเป็นรอยเลือดซิบ “อ๊าก พอแล้วๆ”

          เสียงร้องโอดโอยราวกับหมูถูกเชือดดังขึ้น ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับไม่แยแส กลับตวาดก้องด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ข้าตีเขาได้ แต่พวกเจ้าตีไม่ได้” ไม่คิดออมใดๆทั้งสิ้น เขาใช้ออกด้วยท่าร่างอ่อนช้อย หากแต่ซ่อนเร้นพลังดุดันที่รวดเร็วเฉกเช่นอสรพิษ เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็โจมตีใส่นักพรตเต้าเหยียนจนเลือดท่วมเจ็บแสบไปทั่วทั้งกาย ท้ายที่สุดต้องทรุดลงไปกับพื้นด้วยหมดเรี่ยวแรงจะต่อกร

          สตรีทั้งสองต่างตะลึงลานชมดูสภาพน่าเวทนาของนักพรตผู้นี้ ผิดกับไป๋เซ่อที่รับฟังคำกล่าวของชายหนุ่มจนอ้าปากตาค้างไป กระทั่งน้ำตายังหยุดไหล

          โยนกิ่งหลิวที่ชุ่มไปด้วยเลือดลงพื้น เงยมองมู่อิงเอ๋อร์และฉงซิ่งที่หน้าซีดดั่งกระดาษอย่างเย็นชา ก่อนเดินเลยผ่านพวกนางไปยังร่างเล็กที่บอบช้ำ “ไปเถอะ หมดเรื่องแล้ว” เขากล่าวสั้นๆ ใบหน้ายังคงฉาบไว้ด้วยรอยยิ้ม เล่นเอาไป๋เซ่อผุดเหงื่อเย็นที่กลางหน้าผาก แม้แต่องค์รักษ์จิ้งยังต้องลอบกลืนน้ำลาย

          ใบหน้านี้น่ากลัว...น่ากลัวเกินไปแล้ว

          อุ้มไป๋เซ่อที่เลื่อนลอยขึ้นอย่างเบามือ เนื่องเพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนไปถึงบาดแผล แต่กระนั้นร่างเล็กกลับตัวสั่นเล็กๆ “ยังเจ็บอยู่หรือ” เขาถามเสียงอ่อน สีหน้าแฝงแววห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด

          “เจ้าคงจะไม่ตีข้าดังที่พูดออกมาหรอกนะ” เห็นสภาพดูไม่ได้ของนักพรตนั่นแล้ว ไป๋เซ่อก็พูดไม่ออก ด้านซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วกลับยิ้มหัวเราะน้อยๆ จนเขาหน้าแดง นึกเสียใจที่กล่าวคำพูดน่าอายนั้นออกไป

          “เด็กโง่ ทุกวันนี้เจ้าก็เป็นฝ่ายตีข้ากัดข้าทั้งนั้น” พูดจบก็นำพาคนออกไป ทว่ามู่อิงเอ๋อร์กลับส่งเสียงขัดหวะ

          “หยุดก่อน พวกท่านยังไปไม่ได้”

          “เจ้ายังต้องการอะไร” ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงหันหลังกล่าว

          “ความจริงแล้วท่านรู้ว่าเขาเป็นปีศาจใช่รึไม่” นางเอ่ยขึ้น แต่แล้วความเงียบงันของเขาทำให้นางต้องย่นคิ้ว กล่าวสืบต่อ “เมื่อคืนข้ากับฉงซิ่วเห็นกับตา เขาเข้าไปแอบกินขนมในโรงครัวก่อนจะกลายร่างเป็นงูเผือก เช่นเดียวกับตัวที่ท่านบอกว่าเป็นงูเลี้ยง”

          ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วสูง ถามเจ้างูตัวน้อยในอ้อมอกผ่านทางสายตา “ไหนเมื่อคืนเจ้าบอกข้าว่าไปเวจ"

          ไป๋เซ่อมองชายหนุ่มแล้วเกาแก้ม “เอ่อ ข้าไปเวจจริงๆ แต่เผอิญแวะไปโรงครัวก่อน แฮะ แฮะ”

          รับฟังแล้วเขาก็อยากจะกลับคำตีก้นอีกฝ่ายเสียให้เข็ดหลาบ เขาหันไปกล่าวกับมู่อิงเอ๋อร์ “เกรงว่าเรื่องนี้แม่นางมู่คงเข้าใจผิดแล้ว”

          “ถึงขนาดนี้ ท่านยังเข้าข้างเขา นี่ต้องเป็นเพราะท่านถูกปีศาจงูครอบงำแล้ว” ประโยคดังกล่าวทำให้นางต้องตวาดออกมาอย่างโมโห ที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อเขาแท้ๆ

          “ฮึ ฮึ ฮ่า ฮ่า”

          จู่ๆชายหนุ่มก็หัวเราะ ทำให้นางงงงันวูบ “ทะ ท่านหัวเราะกระไร”

          “นั่นสินะ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง เขาครอบงำข้าอย่างแท้จริง” ครอบงำถึงขนาดที่ในหัวมีแต่คำถาม วันนี้ไป๋เซ่อกินอะไรไปบ้าง ท้องอืดรึเปล่า ไปเล่นสนุกเถลไถลที่ไหน ทำเสี่ยวลู่หัวหมุนเกินไปรึเปล่า กล่าวได้ว่าหลายวันนี้สมองเขาวุ่นวายเพราะไป๋เซ่อทั้งนั้น

          “ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาเป็นปีศาจ ท่านไม่ควรเก็บเขาไว้ข้างกาย” นางโวยวายอย่างไม่พอใจ ที่ตรงนั้นเป็นของนางต่างหาก มิใช่ปีศาจไร้ยางอาย ยั่วยวนผู้คน

          “เช่นนั้นเจ้าบอกมา เป็นผู้ใดที่เหมาะสม?” เขาย้อนถามสีหน้าทะมึน ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความใจดีหลงเหลืออยู่ สองขายังก้าวเข้าไปกดดัน จนทำให้มู่อิงเอ๋อร์หน้าเสียต้องผงะถอยหลังไปอย่างกลัวๆ

          “เกิดอะไรขึ้น” พอดีกับที่อีกด้านหนึ่ง มู่อิงเจี๋ยซึ่งมีสีหน้ากังวลเดินดุ่มเข้ามาในเรือนอย่างเร่งรีบ ด้วยทราบข่าวจากบ่าวไพร่ว่าทางเรือนรับรองเกิดเรื่องจึงรีบมาดู แต่แล้วกลับพบนักพรตที่สลบไสลเนื้อตัวท่วมไปด้วยโลหิต ยังมีเด็กหนุ่มในอ้อมกอดท่านผู้ตรวจราชการที่ตัวช้ำก็พอจะเดาเรื่องราวได้ “อิงเอ๋อร์ เจ้ากล้าก่อเรื่องถึงขนาดทำร้ายคนเชียวรึ”

          “ท่านพ่อไม่ใช่อย่างนั้น ข้า...”  มู่อิงเอ๋อร์เห็นบิดาโกรธจนตัวสั่นก็รีบกล่าวอธิบาย แต่ทว่าคุณชายหมิงกลับตัดบทนาง

          “ใต้เท้ามู่ ถือเสียว่าเรื่องในวันนี้ให้จบลงเท่านี้ ข้าไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต อีกอย่างในเมื่อข้ารบกวนท่านมาหลายวัน อีกทั้งหน้าที่ก็เสร็จสิ้นลงแล้ว ข้าเห็นสมควรออกเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้”

          ฟังแล้วมู่อิงเจี๋ยก็ทั้งเบาใจและลำบากใจในเวลาเดียวกัน ได้แต่กล่าวอย่างนอบน้อม “เอ่อ ต้องขอบคุณท่านผู้ตรวจราชการหมิง ที่ไม่ถือสาหาความบุตรสาวที่ไม่ได้ความของข้า ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วข้าน้อยก็มิมีหน้าจะรั้งท่านไว้ให้เสียงานอีก ประเดี๋ยวข้าน้อยจะให้พ่อบ้านจัดหาเสบียงและรถม้า รวมถึงตามหมอที่ดีที่สุดให้กับคุณชายน้อยท่านนี้”

          “......” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็มิได้กล่าวอะไรอีก เพียงยิ้มและพยักหน้าให้ก่อนจะนำพาคนของตนเข้าไปในเรือน

          ไม่ได้ เรื่องนี้มันจบแบบนี้ไม่ได้ “เดี๋ยว คุณชายมู่ คุณชายมู่” มู่อิงเอ๋อร์ร้องเรียก ทว่าชายหนุ่มก็มิได้แยแสเหลียวมองนางกลับเลยสักครั้ง

          “เจ้ายังจะเรีบกหาอันใดอีก รู้ไหมว่าเจ้าล่วงเกินผู้ใด อยากให้ตระกูลมู่ถูกประหารเก้าชั่วโครตนักหรือ ยังไม่รู้จักสำนึกอีก” มู่อิงเจี๋ยถลึงตากัดฟันกล่าวอย่างโมโห หากมิใช่เขาพอจะเดาได้จากท่าทีสุขุม น้ำนิ่งไหลลึกยากจะหยั่งถึงของอีกฝ่าย รวมถึงได้แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่าคนผู้นั้นมิได้เสด็จไปพักผ่อนทที่เขาหวงซานจริง ตระกูลมู่ก็คงจบสิ้นไปแล้ว

          มู่อิงเอ๋อร์รับฟังแล้วถึงกับตะลึงลาน พอจะเข้าใจความหมายของบิดาได้ หากมิใช่ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์รับสั่งประหารเก้าชั่วโครตได้ ก็เห็นจะมีแต่องค์ชายและ...องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ ใช่แล้ว นางคล้ายได้ยินชื่อนี้จากปากของไป๋เซ่อ

          เมื่อคิดได้นางก็รีบหันกลับไปมองเรือนที่ปิดสนิทลง ฉับพลันนั้นหัวใจนางก็ดิ่งวูบ ดูว่านางเดินหมากผิดไปหนึ่งตา กลับพ่ายแพ้ไปทั้งกระดาน มิมีโอกาสฟื้นกลับมาเป็นผู้ชนะได้เสียแล้ว


 

*******************************************************

 

          รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนออกจากเมืองตงหัว โดยมีบุรุษรูปร่างสมส่วนสองคนเหยาะย่างม้านำทาง ด้านหลังยังมีอีกหนึ่งบุรุษรูปร่างกำยำขับเคลื่อนรถม้าไปอย่างเรียบง่าย ทั้งหมดนี้จากไปอย่างมิได้เอิกเกริกที่ซึ่งสมฐานะผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ถึงขนาดที่ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าภายในตัวรถเป็นผู้สูงศักดิ์ หากแต่เป็นเพียงพ่อค้ามั่งมีที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน

          ในที่สุดเช้าตรู่ของวันนี้พวกเขาก็ออกเดินทางตามแผนที่วางไว้ มู่อิงเจี๋ยหรือเจ้าเมืองตงหัวเป็นผู้ส่งพวกเขาถึงที่หน้าประตูเมือง รวมถึงมู่อิงเอ๋อร์ที่ทำสีหน้าสลดตลอดทาง ทั้งยังพยายามหาทางพูดคุยกับองค์รัชทายาทเมื่อสบโอกาส ทว่าเขาไม่ยอมเช่นนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ?

          เพ้ย! ก็เพราะนางเกือบทำให้เขาหัวหลุดออกจากบ่า ละเลยหน้าที่ดูแลคนสำคัญของพระองค์น่ะสิ

          “องค์รัชทายาท กระหม่อมสมควรตาย หากมิใช่เพราะกระหม่อมถูกคนของคุณหนูมู่กักตัวไว้ ไป๋เซ่อก็คงไม่ต้องรับเคราะห์ถึงเพียงนี้” เสี่ยวลู่ที่นั่งอยู่ในรถม้าคร่ำครวญน้ำมูกน้ำตานองหน้าเป็นครั้งที่สองของวัน ครั้นเห็นท่าทีนิ่งเงียบขององค์รัชทายาท เขาก็หยุดคิดหาวิธี ก่อนตัดสินใจลั่นวาจา “ตั้งแต่นี้ไปกระหม่อมจะกระทำหน้าอย่างมิขาดตกบกพร่อง ติดตามเขาไปทุกที่ แม้กระทั่งเวจ กระหม่อมก็จะเข้าไปด้วย”

          “ดี” รัชทายาทหนุ่มตอบสั้นๆ เช่นนี้เขาจะได้มีหูมีตารู้เท่าทันไป๋เซ่อเพิ่มอีกส่วน

          “เดี๋ยวๆ นี่มันเกินไปแล้ว ข้าไม่ยอมเด็ดขาด เจ้ารัชทายาทบ้าอำนาจ”  ไป๋เซ่อถึงกับตาเหลือก หัวคิ้วชนกัน ถึงเขาจะเข้าไปแอบกินขนมในโรงครัวจริง แต่เมื่อคืนนี้เขาก็โดนเจ้าตัวเทศน์เสียกระทั่งหลับคาเตียงไปแล้วยังต้องถูกปลุกมาให้รับฟังสำนึกผิดต่อ

          เด็กหนุ่มโต้เถียงเสียจนเสี่ยวลู่สะท้านไปทั้งกาย เมื่อสักครู่นี้เจ้าตัวถึงกับว่ากล่าวองค์รัชทายาท ถือเป็นโทษหมิ่นเบื้องสูงเลยทีเดียว เจ้าเด็กผู้นี่จะใจกล้าเกินไปหน่อยกระมัง สายตาลอบมองท่าทีผู้เป็นนาย

          “เสี่ยวลู่ เจ้าออกไปก่อน” รัชทายาทหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ

          “พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่จำใจตอบรับ หากแต่เมื่อเลิกผ้าแพรออกไปนั่งกับองครักษ์จิ้งแล้ว ก็มิวายเงี่ยหูฟังเสียงต่อ จากนั้นจึงคลับคล้ายได้ยินบทสนทนาที่แทบไม่เชื่อหู

          “ถึงเวลาทายาแล้ว ยื่นแขนมาเร็ว” ซวนหยวนหมิงไท่บอกคนที่ทำหน้าบึ้งตึงอยู่อีกด้านหนึ่งของรถม้า ทว่าไป๋เซ่อก็ยังงอนไม่ขยับก้น เขาจึงกล่าวอีกสักประโยค “เด็กดีแล้วข้าจะแวะซื้อขนมให้”

          เพียงเท่านี้ไป๋เซ่อก็ยื่นแขนออกให้เขาทายาไวยิ่ง “แผลฟกช้ำเหล่านี้อีกไม่กี่วันก็หาย ช่วงนี้คงปวดเมื่อยอยู่บ้าง”

          ไป๋เซ่ออือออรับฟัง เขาเองรักษาตัวไม่กี่วันก็หาย แต่เจ้านักพรตเน่าเหม็นผู้นั้นจะต้องใช้เวลารักษาสักกี่เดือนกันนะ เผลอเหลือบมองหน้าคนที่ใจจดใจจ่อกับการทายาให้ จู่ๆก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ดูดีมิใช่น้อย

          “มีอะไรจะพูดกับข้ารึ” แม้มิได้มองหน้าก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง

          “ไม่มี” ไป๋เซ่อชะงักขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ทำให้ผู้ถูกมองอมยิ้มน้อย ร่างเล็กจึงแสร้งทำเป็นกลบเกลื่อนถาม “ว่าแต่พวกเราจะไปไหน”

          “ไปเขาหวงซาน” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบ ชั่วครู่หนึ่งที่พูดออกไป ความกังวลใจกลับผุดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แท้จริงแล้วเมื่อตอนไป๋เซ่อเกิดเรื่อง สังหรณ์อันเลวร้ายก็ควรหายไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงยังคงอยู่ คล้ายลดทอนไปเพียงบางส่วน แลส่วนที่คาใจกลับร้ายแรงกว่าเมื่อแรกรู้สึก

          ขณะที่กำลังคิดรถม้าก็เคลื่อนผ่านช่องแคบใต้หุบเขา เส้นทางที่ใช้มีขนาดเล็ก จวบจนผ่านพ้นไปทั้งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยแมกไม้หนาตา บดบังแสงอาทิตย์จ้าให้กลับกลายเป็นความอบอุ่น ทว่าบรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้ กลับดำเนินไปได้ถึงแค่ยามบ่ายเท่านั้น

          กึง กึง หลังจากที่เดินทางโดยมิได้หยุดพัก ในที่สุดล้อรถก็ชนเข้ากับบางสิ่ง ส่งผลให้ตัวรถต้องโคลงเคลงไปมา คนที่พักผ่อนอยู่ด้านในถึงกับตัวเซ เสี่ยวลู่ที่นั่งสัปหงกก็สะดุ้งตื่น หัวหน้าองครักษ์จิ้งตะโกนบอกองครักษ์ ทั้งสองนายให้หยุดม้า จากนั้นกระโดดลงจากรถก้มลงมองก้อนหินที่เป็นอุปสรรค ก่อนจะเหลือบสายตาสังเกตมองทางด้านหน้า

          ดูว่าเส้นทางดังกล่าวเต็มไปด้วยก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อยระเกะระกะเป็นหย่อมๆ ซึ่งพอจะทำให้การเดินทางหยุดชะงักลงได้ หัวหน้าองครักษ์จิ้งขมวดคิ้ว ปกติแล้วเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสายหลัก ไม่น่าจะมีสิ่งกีดขวางเยอะถึงขนาดนี้ ยกเว้น...

          “แย่แล้วกับดัก”

          ทันทีที่ร้องบอก ธนูฝูงหนึ่งก็หอบเข้ามากระหน่ำ พร้อมกับชายในชุดดำราวสิบถึงสิบห้าคนที่ปรากฏตัวขึ้น ยังดีที่เสี่ยวลู่ถูกหัวหน้าองครักษ์ดึงตัวมาได้ทันก่อนที่จะต้องธนูดอกหนึ่ง ด้านองครักษ์ทั้งสองที่เหลือต่างตกอยู่ในวงล้อมชายชุดดำจำนวนหนึ่ง มิอาจเข้าไปช่วยเหลือคนในรถม้าได้

          กลุ่มคนร้ายที่เหลือเฝ้ามองรถม้าที่ตอนนี้ไม่ต่างกับเม่น หากแต่คนด้านในกลับไม่มีวี่แววจะออกมา พวกเขาก็พากันถือดาบดาหน้าเข้าไป อย่างน้อยต้องตรวจดูให้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย

          ทว่าพริบตานั้นหลังคารถม้าก็ถูกกระแทกลอยขึ้นสูงเสียดฟ้า บุรุษสองคนทะยานตัวออกมาโดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บใดๆ รอจนฝีเท้าพวกเขาสัมผัสถึงพื้น ชายชุดดำคนหนึ่งก็ตะโกนออกมา “ฆ่า อย่าให้เหลือ” สิ้นคำสั่ง เหล่าคนชุดดำก็รุดหน้าเข้าไป

          ซวนหยวนหมิงไท่ประเมินมองสถานการณ์แล้ว ก็รู้ว่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยกำลังคนที่น้อยกว่า เสี่ยวลู่ที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ อีกทั้งเหล่าองครักษ์ต่างติดพันจนมิอาจคุ้มกันตนได้เต็มที่

          และที่สำคัญยังมีไป๋เซ่ออยู่ข้างกายเขา


 

**************************************************************

 

          - เเอบบ่นนิดว่าฉากต่อสู้เป็นอะไรที่ยาก เเละยิ่งคนเยอะเเล้ว อืม...เขียนไม่ออกง่ะ 5555+ คงต้องใช้เวลาบวกกับต้องอ่านทวนเยอะๆ จึงขอตัดบทบู๊ไปบทหน้าล่ะกันน้า

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 8.1 มือสังหาร

 

          สถานการณ์มิสู้ดี กลุ่มคนชุดดำปิดล้อมพวกเขาเป็นวงกลม ดูจากการวางแผน สถานที่ เวลาที่ลงมือ ผู้มาใหม่ล้วนไตร่ตรองเตรียมการมาดียิ่ง กระทั่งฝีมือก็มิได้แปลกปลอม สามารถประมือกับหัวหน้าองครักษ์จิ้งที่คอยคุ้มกันเสี่ยวลู่ รวมถึงองครักษ์ที่เหลือได้อย่างไม่ครณามือนัก

          ครั้นปลายเท้าสองคู่สัมผัสถึงพื้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็ไล่มองคนร้ายสี่ห้าคนที่ปิดบังเค้าใบหน้าจนเหลือเพียงแค่ดวงตา จวบจนมีเสียงคำสั่งสังหาร สถานการณ์โดยรอบก็พลันตกอยู่ในสภาพเลวร้ายทันที

          แต่มาตรว่าตกอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ กลับมีคนผู้หนึ่งที่มิได้สะทกสะท้านไปกับเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้า

          “ว้าว คนร้าย คนร้ายตัวเป็นๆ” ไป๋เซ่อโห่ร้องคึกคัก ในที่สุดก็ได้พบคนร้ายชุดดำตัวจริงเสียงจริงก็วันนี้ “นี่ๆ ข้ามีชุดแบบพวกเจ้าด้วย” ว่าแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในห่อผ้าสะพายไหล่

          รับฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มถึงกับหน้าเหวอ กระทั่งคนชุดดำสี่ห้าคนที่กำลังเข้าโจมตีต้องพลอยชะงักงันสับสน และกินเวลาอยู่พักหนึ่งจึงฟื้นคืนสติ นักฆ่าผู้หนึ่งพลันโถมดาบเข้าใส่เด็กหนุ่มที่ยืนยิ้มแฉ่งไม่รู้เหนือรู้ใต้

          “เป็นเวลาใดแล้ว ยังจะกล่าวล้อเล่นอยู่อีก” ซวนหยวนหมิงไท่ดึงตัวร่างเล็กให้พ้นจากวิถีดาบ

          ไป๋เซ่อที่ถูกดึงก็โน้มตัวไปตามแรง เลิกตาโตพร้อมกล่าวน้ำเสียงจริงจัง “ข้ารึพูดเล่น?”

          เมื่อลงดาบพลาดไป ทั้งยังเห็นคนทั้งสองโต้ตอบเจื้อยแจ้ว หาได้ตระหนักถึงความตายตรงหน้า นักฆ่าผู้นี้ก็เกิดเป็นอารมณ์คุกรุ่น เที่ยวรุกไล่เข้าแทงเด็กหนุ่มอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บุรุษหนุ่มสูงศักดิ์ต้องคอยนำพาอีกฝ่ายหลบคมดาบเป็นพัลวัน

          “เจอแล้ว” ระหว่างที่ยังคงหลบหลีก ท้ายที่สุดไป๋เซ่อก็ควานหาเสื้อสีดำอันเป็นที่นิยมในหมู่โจรผู้ร้ายได้สำเร็จ เขาชูมันแล้วตะโกนบอกกลุ่มคนชุดดำทั้งหลายด้วยสีหน้าแน่วแน่ “หยุดมือๆ พวกเดียวกัน”

          “......” คราวนี้นักฆ่าทุกคนหยุดชะงักไปอีกครั้ง มองเสื้อสีดำที่หมุนควงบนศีรษะเล็กแล้ว ดาบในมือก็กลับไปขยับฟาดฟันอีกที

          “อ้าว รึซื้อคนละร้าน ร้านที่ข้าซื้อตัดเย็บดีกว่าของพวกเจ้าอีกนะ”

          โอ๊ย เป็นครั้งแรกที่รัชทายาทเช่นเขาอยากจะตบหน้าผากตัวเองจังๆ บางทีหลังจากที่ไป๋เซ่อถูกนักพรตเต้าเหยียนฟาดโบยอยู่หลายครั้ง สมองก็คงจะถูกกระทบกระเทือนไปไม่น้อย คิดพลางอุ้มร่างเล็กขึ้นหลบ

          “ไม่ต้องสนใจเจ้าเด็กนั่น สังหารองค์รัชทายาทก่อน” หัวหน้านักฆ่าเห็นลูกน้องจดจ่อกับการสังหารผู้ที่มิใช่เป้าหมายก็ขมวดคิ้วออกคำสั่ง ส่งผลให้นักฆ่าคนดังกล่าวพลันเปลี่ยนเป้าหมาย หันเหคมดาบไปทางด้านองค์รัชทายาทแทน

          ...ชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้ถูกส่งให้มากำจัดเขาโดยเฉพาะ

          ซวนหยวนหมิงไท่แค่นหัวเราะในใจ ก่อนจะผลักไป๋เซ่อไปที่ด้านหลัง จากนั้นเป็นฝ่ายพุ่งปราดไปที่คนร้าย รอจนคมดาบห่างจากอกซ้ายราวหุนหนึ่ง ก็เบนหัวไหล่หลบอาวุธที่หมายเอาชีวิต ทั้งนี้สีหน้าปราศจากความกลัว ด้านนักฆ่าเมื่อไม่ประสบผลก็รีบวกดาบกลับ เตรียมวาดดาบรุกไล่อีกครั้ง แต่มาตรว่ายังมิทันเปลี่ยนท่าร่าง ทั่วทั้งสรรพางค์กายกลับรู้สึกรวดร้าว สองขาอ่อนยวบทรุดลงไปเสียดื้อๆ

          นี่เป็นเพราะรัชทายาทรวดเร็วกว่า ชิงใช้สันมือฟาดเข้าใส่จุดต้องห้ามบนลำคออย่างแรง หัวหน้านักฆ่าเห็นลูกน้องสิ้นท่า ทั้งประจักษ์ในฝีมืออันร้ายกาจของเป้าหมายก็คิดจบฉากโดยพลัน “ง้างธนู”

          “องค์รัชทายาท ระวัง/ยิง”

          ทันทีที่หัวหน้าองค์รักษ์จิ้งร้องบอก ธนูฝูงหนึ่งก็แหวกฝ่าอากาศ ซวนหยวนหมิงไท่กวาดตามองไปรอบๆ มือคว้าตัวนักฆ่าที่กำลังจะล้มลงขึ้นกำบัง พร้อมกันนั้นก็รีบถอยหลังเข้าประชิดร่างเล็ก

          ธนูพุ่งเร็วแรงก่อนจะค่อยๆตรึงปักร่างสีดำไปทั่วทั้งกาย ไป๋เซ่อที่ถูกดันจนแผ่นหลังแนบชิดติดต้นไม้ เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างที่ขวางกั้นตนไว้ชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงเห็นองครักษ์สองนายที่ดื้อรั้นฝ่ากลุ่มชายชุดดำเข้ามาอย่างยากลำบาก หนึ่งในนั้นร้องบอกขณะใช้กระบี่ฟันคนร้าย

          “เสด็จหนีไป พวกกระหม่อมจะต้านไว้เอง”

          พริบตานั้นร่างก็ถูกเหวี่ยงขึ้นหลัง ซวนหยวนหมิงไท่แบกรับร่างเขาไว้ก่อนจะพลิ้วตัวไปยังป่าทางด้านหลัง กระนั้นเสียงฝีเท้าของนักฆ่าบางคนยังคงไล่ตามกระชั้นชิด แต่แล้วเมื่อผ่านไปชั่วครู่จึงค่อยห่างหายไป

          ถึงตอนนี้ไป๋เซ่อจึงสังเกตเห็นได้ความผิดปกติ ครั้งก่อนที่เจ้าตัวแบกตนขึ้นหลัง ใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา ก็ยังไม่หอบหายใจกระชั้นถึงเพียงนี้“ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าเป็นอะไรไป”

          “ไม่...ไม่ได้เป็นอะไร”

          “อย่ามาโกหก ฝีเท้าเจ้าช้าลงเรื่อยๆแล้วรู้ไหม” ไป๋เซ่อขมวดคิ้ว คนผู้นี้ต้องมีปัญหาบางอย่างแน่ “หยุด หยุดก่อน”

          “ไม่ได้” ตอนนี้เหล่าองครักษ์ทำได้เพียงถ่วงเวลา ยิ่งเขา...เป็นเช่นนี้ นักฆ่าเหล่านั้นย่อมไม่รามือไปง่ายๆ ฉะนั้นได้แต่กัดฟันวิ่งต่อไป

          “ข้าบอกให้ปล่อยข้าลง”

          มิสนใจไป๋เซ่อที่ร่ำร้องโวยวาย สายตาเขาสอดส่องหาพื้นที่ซ่อนตัว แต่กระนั้นสถานที่ที่มีเพียงต้นไม้ใบหญ้า ก็หาได้มีที่ใดให้พวกเขาซ่อนตัวไม่ครั้นผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม รัชทายาทที่แบกร่างเล็กวิ่งมาตลอดก็มาถึงขอบเขตที่ร่างกายมิอาจทนฝืนได้อีก สุดท้ายต้องซวนเซล้มลง ส่งผลให้ไป๋เซ่อที่อยู่บนหลังพลอยถลาม้วนกลิ้งไปข้างหน้า

          “โอ๊ย ทีอย่างนี้จะหยุดก็ไม่บอก” ร่างเล็กตัวคลุกฝุ่นดินร้องโอดโอย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วกลับพบว่าอีกฝ่ายนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไปก็ร้องเรียก “เฮ้ เจ้าลูกเต่า...ซวนหยวนหมิงไท่”

          พร่ำเรียกอยู่หลายครั้งชายหนุ่มก็ไม่ขยับ ส่งผลให้เขาเริ่มกระวนกระวาย รีบคลานเข้าไปพลิกร่างอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ครั้นได้เห็นสีหน้าซีดขาวที่ชโลมไปด้วยเหงื่อเย็น รวมถึงบาดแผลสีดำที่ยังคงมีลูกธนูหักคาท้องครึ่งหนึ่งแล้ว ใจก็คล้ายเย็นวาบกับดิ่งลงเหว

          “เจ้าบ้า เจ็บขนาดนี้แล้วยัง...อึก” ไป๋เซ่อขบเม้มริมฝีปาก ในอกอึดอัดแทบอยากทุบระบายสักหลายหน คนผู้นี้ไฉนจึงโง่งมยอมแบกเขามาทั้งที่ตนเองบาดเจ็บสาหัส

          “อือ ไป๋เซ่อ”

          “ข้าอยู่นี่”

          รอจนฟื้นสติได้กึ่งหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ก็เร่งรีบกล่าวน้ำเสียงแผ่ว “ไม่บาดเจ็บใช่รึไม่ งั้นเร็ว กลับร่างเป็นงูเผือกแล้วรีบไปจากที่นี่”

          “จะให้ข้าหนีไปคนเดียว ข้าไม่ไป” พูดพลางดึงแขนชายหนุ่มขึ้น

          “แต่ข้าเดินไม่ไหว ดังนั้นเจ้าต้องไป หากชักช้าไปกว่านี้ คนพวกนั้นต้องตามทันแน่” ตอนที่ธนูถูกยิงเป็นคันรบที่สอง แม้เขาจะรอดพ้นไปได้ แต่ก็ต้องเข้าด้วยธนูดอกหนึ่ง โชคไม่ดีที่หัวธนูเหล่านี้เคลือบไว้ด้วยพิษ ทำให้เมื่อใช้พลังภายใน พิษจึงยิ่งแทรกซึมเข้ากระแสโลหิต

          “ไม่ไป ข้าไม่ไป”

          “ข้าบอกให้เจ้าคืนร่าง เร็ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงจนเขาสะดุ้งโหยง นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายดุดันกับตนถึงเพียงนี้ ไป๋เซ่อได้แต่จำใจยอมเปลี่ยนรูปเป็นงูเผือก จากนั้นเลื้อยขึ้นไปนอนบนลำตัวของเจ้าตัวไม่ไปไหน

          “ไป เด็กดีไป” ซวนหยวนหมิงไท่พยายามเกลี้ยกล่อม ทั้งใช้ฝ่ามืออบอุ่นผลักดันงูน้อยลงไป แต่กระนั้นไป๋เซ่อก็ยังคงดื้อดึง เลื้อยกลับขึ้นมาบนตัวเขาอย่างมิยอมแพ้ ส่งผลให้เขาต้องทำสีหน้าถมึงทึง ผลักร่างที่เยียบเย็นลงไปนอนหงายหลัง ตวาดเสียงเย็น “ไป ไปให้พ้นหน้าข้า”

          ตวาดครานี้ทำเอาไป๋เซ่อน้ำตาซึมหันหลังเลื้อยเข้าพงหญ้าไปอย่างน้อยใจ ด้านรัชทายาทหนุ่มได้แต่มองส่งร่างปราดเปรียวนั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มเศร้า อย่างน้อยก็มิต้องทนเห็นคนสำคัญตายไปต่อหน้าต่อตาอีก

          ดี ดีแล้ว ไปจากข้า เจ้าจะปลอดภัย...ไป๋เซ่อ


 

***********************************************

 

          อีกทางด้านหนึ่งหลังจากไล่ตามองค์รัชทายาทมานานถึงหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็พบร่างขาวซีดที่นอนหมดสติ นักฆ่าผู้หนึ่งย่อกายลงมองบาดแผลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ดูว่าอีกไม่นานยาพิษนี้จะคร่าชีวิตคนผู้นี้ไป แต่กระนั้นภารกิจจะเสร็จสิ้นได้ก็ต่อเมื่อตัดศีรษะนี้ลงเท่านั้น

          วางดาบพาดลำคอร่างที่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน ดวงตาผู้สังหารทอประกายเย็นเยียบ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นภายใต้ผ้าปิดปาก จากนั้นจึงเงื้อดาบขึ้นหมายปลิดชีวิตอันสูงค่านี้ ทว่าจังหวะที่กำลังจะลงมือ ในชั่วลัดนิ้วดีด บางสิ่งบางอย่างก็กระโจนเข้าใส่ใบหน้า

          “อั่ก” นักฆ่าถึงกับผงะหงายหลัง ฉับพลันนั้นลมหายใจก็ถูกพรากไป เขาทิ้งดาบล้มตัวนอนตะเกียกตะกาย สองมือพยายามคลายวงรัดที่รอบคอ แต่ในชั่วพริบตานั้นกระดูกลำคอกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่เสียงร้องก็มิอาจเปล่งออกได้อีก

          กระทั่งมือสังหารไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต งูเผือกจึงยอมคลายตัวออกในที่สุด ก่อนหน้านี้มันทนรอจนร่างสูงไม่ได้สติ แล้วจึงย้อนกลับมาซุ่มซ่อนในอกเสื้อของเจ้าตัวอย่างเงียบๆ จวบจนมือสังหารผู้นี้คิดลงมือ

          มันเลื้อยตัวกลับไปหาบุรุษที่ยังคงมีลมหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนรูปดุจดั่งมนุษย์ “ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้า” ไป๋เซ่อกล่าวน้ำเสียงสั่นพลางดึงร่างของซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นหลัง ค่อยๆยืนหยัดนำพาอีกฝ่ายหลบหนีไป

          ต่อเมื่อท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มอมแดง ฝูงนกทยอยบินกลับรัง ไป๋เซ่อที่แบกร่างอันหนักอึ้งก็จำต้องทรุดพิงต้นไม้ สังเกตอาการของคนเจ็บอย่างร้อนใจ ดูแล้วหากยังปล่อยทิ้งไว้ เห็นทีชีวิตก็คงยากจะรักษา ทว่าจนป่านนี้ที่ปลอดภัยก็ยังคงหามิได้ ทำได้เพียงกอดร่างที่เริ่มเย็นเยียบเอาไว้

          ขณะที่ความหวังในใจค่อยๆหมดไปทีละเล็กทีละน้อย ที่ด้านหนึ่งก็บังเกิดเป็นเสียงสวบสาบ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวพลันหันขวับไปที่ต้นเสียง  หากครานี้ผู้มาเป็นมือสังหาร เกรงว่าต้องแลกชีวิตกันสถานเดียว

          ทันใดนั้นร่างนุ่มนิ่มเรียวยาวสีดำก็เลื้อยออกมา ไป๋เซ่อจ้องมองเจ้าของดวงตากลมที่ชะงักตกใจตาไม่กะพริบ รอจนครู่หนึ่งก็เผยอรอยยิ้มแฉ่ง กระโจนกายเข้าตะครุบเจ้าตัวเล็กที่เบื้องหน้าในฉับพลัน

          ฝ่ายผู้มาใหม่ถึงกับอ้าปากตาค้าง ได้แต่นิ่งงันมองเงาร่างที่ใกล้เข้ามาอยู่อย่างนั้น ดูว่าตลอดเวลาที่มันล่าเหยื่อ คิดไม่ถึงว่าเพลานี้จะกลายเป็นผู้ถูกล่าบ้างแล้ว

          “รอดแล้วๆ เสี่ยวเฮย[1] ไม่ต้องกลัว บอกข้ามาว่าแถวนี้มีที่ใดสงบๆ พอให้รักษาตัวได้บ้าง” จับเจ้างูน้อยที่โผล่ออกมากะทันหัน แล้วซุกไซ้ใบหน้าคลอเคลียไปมากับหน้าท้องนุ่มอย่างดีใจ

          “ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ” ทางนู้นๆ งูน้อยที่พลาดท่ารีบร้องบอก ทั้งยังรีบใช้ปลายหางบุ้ยใบ้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลูบไล้มันจนปวกเปียกราวกับก้อนแป้งนิ่ม ต่อเมื่อถูกวางลง มันก็มองส่งคนที่ยิ้มกว้างแบกร่างที่ร่อแร่ไปยังทิศทางที่มันพึ่งกล่าวอย่างงงงัน

          ...ไฉนเด็กหนุ่มผู้นี้จึงไม่เกรงกลัวอสรพิษเช่นมันเลยเล่า ผ่านไประยะหนึ่งมันก็ทิ้งความสงสัยไว้แล้วเลื้อยไปยังทิศทางตรงกันข้าม ลอดผ่านโพรงไม้ใหญ่ ผลุบๆโผล่ๆตามพงหญ้าสีเขียว แลไม่นานมันหยุดตัวลงยืดคอมองกลุ่มคนชุดดำราวสามสี่คนที่มีท่าทีเคร่งเครียดที่เบื้องหน้า

          “พวกมันต้องอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ แยกย้ายกันไปหา ใครพบสังหารได้ทันที”

          ดูว่าคนพวกนี้กำลังตามหาใครสักคนอยู่ ระหว่างที่นึกโยงไปถึงเด็กหนุ่มเมื่อครู่ จู่ๆมีดสั้นเล่มหนึ่งก็พลันเหวี่ยงเข้าใส่ แต่มาตรว่าก่อนหน้านี้มันคล้ายได้รับประสบการณ์จู่โจมกะทันหัน ส่งผลให้มันสามารถดีดตัวหลบมีดเล่มดังกล่าวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

          “ฝ่อ ฝ่อ” มันรีบเกร็งตัวขู่ใส่กลุ่มคนชุดดำที่คิดทำร้าย หากแต่กลุ่มคนพวกนี้กลับมองมันด้วยสายตาหยามหยัน หนึ่งในนั้นเหยียดยิ้ม หยิบมีดที่เหน็บตรงรองเท้า จากนั้นก้าวย่างตรงเข้าหามัน

          “หึ มีทางไม่ไปกลับเดินเข้ามาให้ข้าชำแหละ” พริบตาที่หัวหน้านักฆ่าหยุดตัวลงใกล้งูน้อย หมอกควันอันไร้ที่มาก็พวยพุ่งขวางทัศนียภาพเบื้องหน้า พร้อมกันนั้นน้ำเสียงเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วกระดูกก็ดังออกมา

          “เจ้าคิดชำแหละใครกัน”

          เพียงบุรุษร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์ชุดสีม่วงตัดดำ ผู้มีดวงตาประหนึ่งอสรพิษปรากฏกาย โดยรอบก็เกิดกลิ่นอายสังหารรุนแรงประการหนึ่ง ยังผลให้มือสังหารที่เหลือตื่นตัวรีบชักดาบหันเข้าใส่ผู้มาใหม่

          เว้นเพียงผู้เป็นหัวหน้าที่ยังคงตะลึงงันถือมีด “จะ เจ้าเป็นใคร” คนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อุ้มอสรพิษตัวนั้นตั้งแต่ตอนไหน ไฉนตนจึงมองไม่เห็นร่องรอยเลยสักนิด การปรากฏตัวเช่นนี้ราวกับอีกฝ่ายมิใช่มนุษย์ก็มิปาน

          “ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ” พี่ใหญ่ พวกมันเป็นคนชั่วร้ายไล่ฆ่าผู้คน ข้าเห็นๆ

          บุรุษในชุดสีม่วงตัดดำเพียงหลุบตาลงมองอสรพิษน้อยที่ร้องขู่บนเรียวแขน จากนั้นจึงเบนสายตากร้าวกลับไปยังเจ้าของดวงตาที่ค่อยๆถูกครอบงำไปด้วยความกลัว

          หัวหน้านักฆ่าเหงื่อซึมไปทั่วทั้งกาย มีเพียงความรู้สึกต้องการฆ่าเท่านั้นถึงจะมีสายตาเช่นนี้ได้ ทว่าตนย่อมมิยินยอมเป็นฝ่ายถูกฆ่า ดังนั้นตัดสินใจสืบเท้าตวัดวาดมีดในมือเข้าใส่

          แม้มีดกรีดใส่บริเวณลำคอคู่มือเข้าอย่างจัง หากแต่บุรุษตรงหน้าก็หาได้แสดงสีหน้าใดแม้แต่น้อย กลับเป็นตนที่เบิกตากว้าง โลหิตทะลักหลั่งไหลจากลำคอด้วยรอยกรีดลึก แลภาพตรงหน้าก็มีเพียงร่างที่บิดๆเบี้ยวๆ มิอาจจับต้องได้เฉกเช่นเดียวกับหมอกควัน

          เหล่านักฆ่าที่เหลือชมดูแล้วก็ต้องตะลึงลานสุดขีด ถึงตอนนี้จึงเข้าใจว่าพบคู่มือที่ไม่มีทางเอาชนะได้ ต่างคนจึงต่างรีบหนีเอาชีวิตรอด เหลือเพียงบางคนที่ยังคงยืนสั่นสะท้านก้าวขาไม่ออก แลไม่นานน้ำเสียงโหยหวนก็ดังขึ้นอย่างท่ามกลางป่าเขาอันเปลี่ยวร้าง


 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 8.2 มือสังหาร

 

          เปลวเพลิงลุกไหม้กิ่งไม้แห้งจนส่องสว่าง โชคดีที่ถ้ำซึ่งคล้ายปิดตายแห่งนี้เพียงพอแก่การรักษาและซ่อนตัว ต่อเมื่อใช้พลังจุดไฟเสร็จก็รีบผละตัวมาหาคนที่นอนมิได้สติ แนบใบหูฟังเสียงสะท้อนขึ้นลงที่หน้าอก

          “นี่ๆเจ้าห้ามตายนะ ซวนหยวนหมิงไท่” เสียงเต้นที่แผ่วเบาทำให้ไป๋เซ่อร้องลั่น ตัดสินใจกระชากเสื้อชายหนุ่ม ใช้ริมฝีปากขับเอาเลือดเสียทั้งหมดออกจากปากแผลสีดำ ครั้นบ้วนทิ้งเสร็จก็รีบเคี้ยวสมุนไพรที่หามาได้โปะลงบนแผล ถึวแม้จะรู้ดีว่าวิธีนี้มิอาจขับพิษได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็น่าจะสามารถยื้อชีวิตในค่ำคืนนี้ออกไปได้ หากแต่เพียงหวังอยู่อย่างเดียว

          ...ว่ามันจะไม่สายจนเกินไป

          ครั้นเวลาผ่านไปราวสองก้านธูป ซวนหยวนหมิงไท่ก็มีอาการหนาวสั่น แม้ไป๋เซ่อเสียสละเสื้อนอกของตนเองให้ ก็มิอาจยับยั้งเหน็บหนาวลงได้

          “ข้าจะถอดหมดตัวอยู่แล้วนะ” ร่ำร้องโวยวายอย่างทุกที หากมีครั้งนี้ที่น้ำเสียงสั่นไปหมด ยิ่งไม่มีเสียงโต้ตอบเผ็ดร้อนหรือเอาใจก็ยิ่งทำให้เขาซึมหนัก ได้แต่ปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ ทรุดตัวซบกายกับร่างอันเยียบเย็น หวังแบ่งเบาความทุกข์ทนของชายหนุ่ม

          ...ทว่าผลที่ได้กลับตรงกันข้าม

          “ฮึก โฮ” ไป๋เซ่อลุกขึ้นพรวดสะอื้นไห้ออกเสียงในที่สุด เป็นครั้งแรกที่เจ็บใจตัวตนอันไร้ซึ่งประโยชน์นี้ กระทั่งร่างกายอันอบอุ่นก็หามีไม่ จะอย่างไรตนก็เป็นเพียงอสรพิษ จะมีก็แต่ไอเย็นเฉียบที่ทำให้ชายหนุ่มยิ่งสั่นสะท้าน ร่างเล็กร้องไปก็กระเถิบตัวถอยไปให้ห่าง จนในที่สุดข้อมือถูกยึดไว้

          “จะ...ไปไหน” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงแหบแห้ง ฝืนกะพริบเปลือกตาขึ้นมองคนขี้แย อันที่จริงตั้งแต่ไป๋เซ่อช่วยขับพิษผ่านกระแสโลหิต เขาก็คลับคล้ายคลับคลารู้สึกตัวบ้างแล้ว เพียงแต่ไม่มีเรี่ยวแรงจะกล่าววาจาใดก็เท่านั้น และยิ่งร่างเล็กกอดเขาไว้ เขาจึงเลือกที่จะหลับต่ออย่างสบายใจ จวบจนรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าฟื้นแล้ว” ดวงตาสีฟ้าอมเขียวทอประกายสุกใส แต่ไม่นานก็กลับสลดลง “ข้า...ตัวข้าเย็น ควรอยู่ให้ห่างเจ้า” พูดจบก็กระเถิบตัวอีกครั้ง ทว่าชายหนุ่มก็ยังยื้อมือเขาไม่ปล่อย

          “ไม่” หากเป็นไปได้เขาจะไม่มีวันเอ่ยปากไล่เด็กหนุ่มตรงหน้าไปอีก ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบาง “เจ้ากอดข้าไว้ ข้าจะอุ่นกว่า”

          “อุ่นบ้านเจ้าสิ เจ้าจะแข็งตายต่างหาก” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงดุทั้งที่น้ำตาคลอหน่วง

          แต่เขากลับยิ้มกล่าวเสียงอ่อน “มาเถอะ เด็กดี”

          รับฟังแล้วไป๋เซ่อถึงกับนิ่งงัน เขาคล้ายถูกคำว่าเด็กดีล่อลวงให้เขยิบตัวเข้าไปใกล้ จากนั้นนอนตุบแน่นิ่งบนอกกว้าง ปล่อยให้ชายหนุ่มสวมกอดเขาไว้แน่นอย่างว่าง่าย ก่อนจะสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่มีเล็กๆในใจ

          “อืม อุ่น อุ่นรึไม่”

          ไม่รอได้ฟังคำตอบรัชทายาทหนุ่มก็เคลิ้มหลับไปอีกรอบ ทิ้งไป๋เซ่อที่อยู่อ้อมอกนอนตัวแดงเถือก หัวใจเต้นเป็นจังหวะแรงเร็วยากที่จะสงบ

          แท้จริงแล้วซวนหยวนหมิงไท่ต้องการความอบอุ่น หรือต้องการให้เขารู้สึกถึงมันกันแน่?

          คิดไปคิดมาไป๋เซ่อก็โยนสันนิษฐานข้อหลังทิ้ง แล้วพร่ำบอกตนเองว่าคนผู้นี้เป็นนักฉวยโอกาส แต่หากเลือกได้อสรพิษอย่างเขาก็ชอบนอนในที่อุ่นๆ มากกว่าจะนอนในที่หนาวๆ ดังนั้นถึงจะโดนเอาเปรียบไปบ้าง ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าหลับตาข้างเดียวไปล่ะกัน

          เฮอะ ไป๋เซ่อลอบแค่นเสียงในใจ ก่อนจะรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบกริบจนน่ากลัว “เฮ้ ซวนหยวนหมิงไท่ มิใช่ว่าลาโลกไปแล้วนะ”   

          “อือ” ร่างสูงส่งเสียงตอบรับในลำคอ ทำให้ไป๋เซ่อเงียบไป 

          ทว่าเมื่อผ่านไปครึ่งเค่อ

          “ซวนหยวนหมิงไท่

          “อะ อือ”

          ผ่านพ้นไปอีกครึ่งเค่อ

          “เฮ้ เจ้ายังอยู่ดีนะ”

          “.......”

          “เฮ้”

          หัวคิ้วพลันย่นลง “อื้อ”

          จวบจนเข้าเค่อที่สาม

          “ซวนหยวนหมิงไท่”

          “.......”

          “เฮ้ รัชทายาทงี่เง่า”

          “........”

          “โฮ เจ้าลูกเต่า ในที่สุดเจ้าก็ข้ามแม่น้ำเป็นตายไปพบยมบาลหน้าเขียวแล้ว” ไป๋เซ่อร่ำร้องแตกตื่น ทว่ายังมิทันร้องสุดเสียงก็มีอันต้องสะดุด  “อ่ะ เจ้าจะ อุ้บ อื้อ คนเนรคุณ อื้อๆ”

          เฮ้อ เงียบสักที ในที่สุดหัวคิ้วที่ชนกันอย่างที่ยากจะหลับค่อยคลายลง ซวนหยวนหมิงไท่ค่อยๆผล็อยหลับทั้งที่ก่ายรัดร่างเล็กไว้แน่น มือหนึ่งก็อุดปากที่อ้าออกแล้วเป็นต้องเพ้อเจ้อไว้อย่างสบายใจ


 

**********************************************



          เวลาสายของวันต่อมา ไป๋เซ่อตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจซ้ายขวา ครั้นเบนหน้ามองคนยังไม่ตื่นก็พลันพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายมีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว เขาถอนหายใจโล่งอก จากนั้นจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง อาจเป็นเพราะเมื่อคืนได้หลับเต็มตื่น...แต่เอ จริงๆน่ะหรือ

          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวพลันเบิกโพลง นึกทบทวนดูแล้วมิใช่ว่าตนโดนอุดปากจนเพลียหลับไปหรอกหรือ เส้นเลือดบนหน้าผากถึงกับกระตุก เขาชูมือขึ้นหมายทุบตีคนน่าชัง

          ทว่าก็เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างสูงขยับ อาภรณ์คลุมกายพลันเลิกขึ้นจนเห็นบ่ากว้าง กล้ามเนื้อหน้าท้องดูสมส่วน ยังผลให้กำปั้นที่ชูเหนือศีรษะต้องชะงักค้าง แลประโยคหนึ่งดังขึ้นในใจ

          น่ากิน...น่ากินไปหมด ฮี่ ฮี่ ฮี่

          “เฮือก” ฉับพลันที่น้ำลายหยดแหมะๆใส่หน้าท้องที่แน่นขนัด ไป๋เซ่อก็รีบสูดน้ำลายที่เอ่อล้นออกมาเข้าปาก จากนั้นกลืนลงคออึกใหญ่แล้วหัวเราะแห้งๆ “ฮ่า ฮ่า นี่เป็นเพราะความหิว ใช่แล้วต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ ข้าต้องออกไปหาของกิน” พร่ำพูดอย่างเลื่อนลอย จากนั้นจึงวิ่งจู๊ดออกจากถ้ำ มิได้สังเกตเห็นว่าคนที่หลับอยู่นั้นลืมตาขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้ว

          “อ๊ากกก” บ้า บ้าที่สุด ไฉนจึงรู้สึกว่าเจ้าลูกเต่านั่นน่ากินกันนะ นี่มันน่าอายเกินไปแล้ว ไป๋เซ่อก็กรีดร้องสุดเสียง แต่มาตรว่าจะปลดปล่อยเสียงไปแล้วก็ยังคงไม่พอ ภาพในขณะที่ตนทำน้ำลายหยดใส่ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงแจ่มชัดในสมอง โชคยังดีที่เจ้าตัวยังคงมิตื่น มิเช่นนั้นเขาคงต้องแทรกหน้าลงกับแผ่นดินแล้ว

          หลังจากพอจะสงบจิตสงบใจได้บ้าง ไป๋เซ่อก็เริ่มออกไปเก็บผลไม้ป่าที่มีอยู่ประปราย ครั้นเก็บได้พอสมควรลำคอก็เกิดแห้งผาก จึงคิดหาลำธารเพื่อดื่มดับกระหาย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่สายตาเหลือบไปพบบางสิ่ง แลดูคล้ายมันกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง

          “เสี่ยวเฮย” เขาร้องเรียกอย่างดีใจ ก่อนจะใช้มือตะครุบคว้าร่างเรียวยาวสีดำขึ้นลูบคลำจากทางด้านหลัง

          อสรพิษตัวดังกล่าวถึงกับชะงักตกใจ เป็นครั้งแรกที่มันถูกจับโดยที่มิได้ตั้งตัว ทั้งสัมผัสมิได้ถึงเสียงฝีเท้าหรือได้กลิ่นอายของมนุษย์แม้แต่น้อย ดังนั้นมันได้แต่ข้องใจระหว่างนั้นก็สองมือพัวพันนัวเนียมันไม่หยุด

          “ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าเมื่อวาน” นึกดูแล้วคราก่อนยังไม่ได้กล่าวขอบคุณก็จากไป ยังดีที่บังเอิญได้พบเสี่ยวเฮยอีกครั้ง

          หือ ฟังแล้วมันก็หยุดดิ้น หรือนี่จะเป็นคนที่เจ้าเด็กตัวดีนั่นคุยโวว่าช่วยเอาไว้ มันผงกคอมองดวงหน้าที่เย้ายวนแวบหนึ่งก็จดจำได้ว่าเคยพบหน้าคร่าตาอีกฝ่ายมาก่อน แต่แล้วจู่ๆเจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็ทำหน้าฉงน ทั้งยิ่งบีบตัวมันเป็นการใหญ่

          “เอ แต่ทำไมเจ้าถึงอ้วนจัง”

          เปรี้ยง ราวกับมีฟ้าผ่าไปทั่วทั้งร่าง มันตกตะลึงวูบ...นี่มันอ้วนกระนั้นหรือ มันเผลอก้มหน้าดูพุงตัวเอง

          “ไม่ใช่สิ เจ้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยต้องตัวเล็กกว่านี้ และไม่ยาวขนาดนี้” ไป๋เซ่อยืดตัวอสรพิษที่หดตัวอย่างเหนียมอายออก จดๆจ้องอยู่สักพักจึงกล่าวสืบต่อ “หรือเจ้าจะเป็นพ่อเสี่ยวเฮย”

          เปรี้ยง คราวนี้ราวกับมีฟ้าผ่าที่กลางใจ มันเบิกตาค้างวูบ...มันดูแก่ถึงเพียงนี้เลยหรือ ครานี้มันถึงกับคอตก

          “ต้องใช่แน่ๆเลย” ไป๋เซ่อยิ้มแฉ่งก่อนกล่าวสืบต่อ “ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกข้าได้รึไม่ ว่าลำธารอยู่ทางด้านใด”
         
          “ฝ่อ ฝ่อ” มันร้องขู่ฝ่อเสียงเบา ดูว่าความมั่นใจที่สั่งสมมานานพลันสลายหายไปก็ในวันนี้

          “ทางนู้นหรือ ของคุณเจ้ามาก พบกันคราวหน้าข้าจะต้องตอบแทนพวกพ่อลูกแน่ๆ แฮะ แฮะ”

          เด็กหนุ่มหัวเราะจบก็ถือวิสาสะลูบคลำลำตัวนุ่มนิ่มของมันอีกสักหน่อย จากนั้นวางมันลงอย่างเบามือ แล้ววิ่งไปตามทิศทางมันกล่าวไว้ ยังผลให้มันได้แต่มองส่งคนที่ร่าเริงด้วยอาการจิตตกอยู่ลึกๆ ก่อนจะฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบเลื้อยตามไป

          ณ ลำธารขนาดกว้างซึ่งน้ำไม่ลึกมากนัก หมู่มัจฉาตัวน้อยแหวกว่ายไปตามโขดหินอย่างมีชีวิตชีวา เห็นดังนั้นแล้วไป๋เซ่อที่หอบหิ้วผลไม้ลงจากเนินเขาก็รีบก้มตัวลงดื่มน้ำอึกใหญ่ แลด้วยความชุ่มฉ่ำของสายน้ำ ทำให้เมื่อดับกระหายแล้วก็ต้องเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หลายครั้ง ดูว่าแถวนี้ไร้ซึ่งผู้คนอย่างแท้จริง ไป๋เซ่อก็ยกยิ้มแฉ่ง ไม่รีรออีกต่อไปกระโจนกายลงน้ำในทันที

          เป็นเพียงพริบตาเดียวก่อนที่ร่างจะกระทบสู่ผิวน้ำ ร่างเล็กก็กลับกลายเป็นเช่นงูเผือก เลื้อยไปมาในเขตน้ำตื้น ปลายหางพลันสะบัดตีไปมาราวกับชอบใจที่ได้เล่นน้ำอยู่เช่นนี้

          ทว่าห่างออกไปจากลำธารซึ่งไม่ไกลกันมากนัก กลับมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ลอบมองความเป็นไปของเด็กหนุ่มจวบจนเจ้าตัวคืนร่างที่มิใช่มนุษย์ ซึ่งเพียงแวบเดียวที่เขาเห็นงูเผือกตัวน้อย ดวงตาสีดำอมม่วงก็ถึงกับทอประกายเจิดจ้าอย่างยากที่จะเห็นได้ในหลายร้อยปี ริมฝีปากเหยียดยิ้มบางพลางพึมพำเสียงเบา

          “เป็นเจ้า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ”





[1] เฮย (黑) แปลว่า ดำ ซึ่งเสี่ยวเฮยในที่นี่ หมายถึง เจ้าดำน้อย




****************************************************



- เเฮปปี้วาเลนไทน์จ้า บทนี้เเอบติดช่วงท้ายๆ นั่งเขียนอยู่นานเเบบคิดไรไม่ออก เเบบรู้สึกคำซ้ำเยอะ ใช้เเต่คำเดิมๆ อ่านเเล้วเฉยๆ ถ้ายังไงอ่านเเล้วรู้สึกเช่นกัน ก็ฝากเม้นท์เเนะนำกันด้วยน้า

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
โอ้ยยย เดี๋ยวเคลียร์งานที่ท่วมได้หมดจะเข้ามาอ่านมาเม้นน้า มาให้กำลังใจก่อน  :L2:
ชอบตั้งกะภาคที่แล้วล่ะค่า แต่ตอนแรกคิดว่าน้องงูจะคู่กะน้องแมว เมี๊ยวๆซะอีก 55555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

็Happy Valentine's Day ย้อนหลังคุณนักเขียน

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 9 ผู้มาใหม่

 

          ภายใต้ร่มไม้ใหญ่อันร่มรื่น เด็กชายผู้หนึ่งนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดกระสับส่ายตัวไปมาไม่หยุด ริมฝีปากน้อยขบเคี้ยวก้านหลิวบรรเทาอาการท้องไส้กิ่ว มือหนึ่งก็ลูบท้องอันน่าสงสารป้อยๆ หากยังไม่มีของตกถึงท้องอีก เกรงว่าเขาต้องกลายเป็นงูตากแห้งสถานเดียวแล้ว คิดถึงตรงนี้เงาร่างอันเป็นความหวังก็พลันพาดทอลงมา

          หงลิ่วรีบหันไปกล่าวน้ำเสียงสดใส “พี่ใหญ่ในที่สุดท่านก็กลับมาสักที ไหนๆอาหารของข้า”

          ฉับพลับที่เห็นสองมือคู่ใหญ่ว่างเปล่า รอยยิ้มของหงลิ่วก็ชะงักค้าง มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านบอกจะออกไปหาอาหารหรือ แล้วเหตุไฉนจึงไม่มีสิ่งใดติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง รึมันจะซ่อนอยู่ในอกเสื้อ?

          “ไป” น้ำเสียงห้วนเอ่ยขึ้น หงเว่ยก้าวข้ามร่างที่ทำตาโตเท่าไข่ห่านไปเก็บกระบี่เล่มหนึ่งที่วางไว้ข้างกายเจ้าตัวอย่างมิสนใจ

          ความเย็นชาแลเผด็จการของพี่ใหญ่ใช่ว่าเขามิคุ้นเคย แต่ครั้งนี้เพียงกล่าวคำเดียวก็ต้องไป แล้วท้องไส้หิวโหยของเขาเล่า “พี่ใหญ่ ท่านทำเกินไปแล้ว ต่อให้ต้องรีบไปพบหงอู่ก็มิเห็นต้องถึงขนาดละเลยท้องของข้า” ประท้วงจบก็โชว์เสียงร้องโครกครากราวกับแผ่นดินไหวให้อีกฝ่ายฟัง

          “.......” หงเว่ยเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ปรายตามองผู้เป็นน้องชาย “เจ้าควรบำเพ็ญตนให้มากกว่านี้”

          ประโยคเดียวทำเอาหงลิ่วหน้าสลด ตัวซูบซีดลงเฉกเช่นลูกนกที่มิอาจพองขน นับดูแล้วเขาบำเพ็ญตนมาครบเจ็ดวัน ระหว่างวันมีเพียงน้ำสะอาดที่ตกถึงท้อง ล่วงเลยถึงวันนี้ก็ยังต้องอด รู้เช่นนี้เขาคงไม่งอแงออกปากติดตามพี่ใหญ่ไปเผชิญกับโลกหล้า อยู่ช่วงหงอู่ทำนาใช้ชีวิตเรียบง่ายเสียดีกว่า

          เด็กน้อยอยากร้องไห้ก็ร้องมิออก ได้แต่เดินตามหงเว่ยต้อยๆ ไปอย่างนั้น กระนั้นพอเห็นพี่ชายเลี้ยวผิดทางก็ส่งเสียง “พี่ใหญ่ทางลงเขาอยู่ทางนี้”

          “ข้ามิได้จะลงเขา”

          “หือ” หงลิ่วงงงัน เป็นเพราะเขาต้องฝึกตนระยะสั้น ทำให้การเดินทางไปหาหงอู่นั้นล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิม แลหากช้าไปกว่านี้...สองมือพลันลูบก้นน้อยๆ “แต่หากมิรีบไปอีก หงอู่จะตีข้าจริงๆนะ”

          เงียบงันอยู่เนิ่นนานหงเว่ยก็เอ่ยเสียงเรียบ “ข้า...รับผิดชอบเอง”

          “เอ๋ จริงเหรอ” รับฟังแล้วก็โล่งใจ จะอย่างไรหงอู่ก็มิกล้าขัดอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว หงลิ่วเริ่มคึกคักกว่าเดิม จนกระทั่งสังเกตเห็นพี่ใหญ่ตรงไปยังทิศทางหนึ่งก็เริ่มเอะใจ “นี่มันทางไปยังถ้ำที่ข้าบอกเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นนี่นา”

          “......”

          มองแผ่นหลังที่ไร้วาจาก้าวย่างไม่หยุด หงลิ่วก็อุทานเสียงดัง “เอ๊ะ หรือว่าพี่ใหญ่เจอเขาเข้าแล้ว”

          “......” ครานี้หงเว่ยชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อ ทว่าท่าทีเล็กน้อยเหล่านี้กลับมิอาจเล็ดลอดไปจากสายตาฉับไวของหงลิ่วไปได้

          “สวรรค์ ท่านเองก็ถูกเขาลวนลาม” นี่ไม่ธรรมดาแล้ว ถึงกับสามารถแตะต้องตัวพี่ใหญ่ได้

          “......”

          ผู้เป็นพี่ยังคงเมินมิตอบคำถาม ทำให้หงลิ่วต้องลุกลี้ลุกลนวิ่งไปดักหน้าพี่ชายเอาไว้ ครั้นสบใบหน้าคมคายได้เต็มตา เด็กน้อยก็มีอันตะลึงลานไป

          “ทำไม? มีกระไรติดหน้าข้ารึ” หงเว่ยกระแอมไอเอ่ยเสียงเข้ม

          “อ่ะ...เอ่อ ไม่มีอะไร ไม่มีๆ ฮ่า ฮ่า” หงลิ่วหลบหน้า เหงื่อผุดผาดที่แนบข้างแก้ม เขาใช่ตาฝาดไปรึไม่ พี่ใหญ่ถึงกับ...หน้าแดง

          สิ้นสุดบทสนทนาอันสั้น บรรยากาศโดยรอบก็พลันเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัด สองพี่น้องนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ จนในที่สุดคนที่มิค่อยกล่าววาจาก็เป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยขึ้นก่อน

          “สีหน้าเขาดูไม่ดี มิอาจนิ่งดูดาย”

          หือ ประโยคที่คล้ายกล่าวลอยๆขึ้นนั้นทำให้หงลิ่วต้องลอบมองพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะแลเห็นสีแดงระเรื่อที่ฉาบทับบนใบหน้าที่มักตายด้านอย่างทุกที เขาเบิกตาโต...เขามิได้มองผิดไปจริงๆ

          พี่ใหญ่ที่มักแสดงสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ขนาดที่เขาโดนหงอู่ตีจนก้นบวมฉึ่งน้ำตาแตกก็ไม่มีแม้แต่ความเห็นใจ ทั้งเสนอตัวช่วยส่งไม้เรียวอันใหม่ให้ ยังสามารถแสดงสีหน้าเขินอายเช่นนี้ได้ด้วย

          หงลิ่วค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว ดูว่าความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อของพี่ใหญ่นี้จะเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่ตนเคยช่วยไว้ แลระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักนั้น จู่ๆเจ้าของฝีเท้ามั่นคงที่เบื้องหน้าก็พลันหยุดลง พลอยทำให้เขาต้องหยุดตัวลงถามอย่างสงสัย “มีอะไรรึพี่ใหญ่”

          หงเว่ยหลุบตาต่ำก้มหน้ามองดูดอกไม้ป่าที่เบ่งบานบนพื้น “เจ้าหก เจ้าคิดว่า...” บุรุษหนุ่มเว้นเสียงไปเล็กน้อยอย่างสับสน จากนั้นจึงตัดสินใจกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าอ้วนไปรึไม่”

          “.......” แท้จริงแล้วคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกที่จำแลงกายมาหลอกเขาเป็นแน่ หงลิ่วพยักหน้าสรุปในใจอย่างที่ไม่เคยมั่นใจอะไรได้เท่านี้มาก่อน


 

*****************************************************

 

          ร่างเล็กออกไปได้สักพัก ชายหนุ่มที่อยู่เพียงลำพังก็ค่อยๆยันกายขึ้นพิงผนังถ้ำ ทว่าด้วยร่างกายที่บาดเจ็บทำให้การเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความทุลักทุเล เหงื่อกาฬผุดผาดแนบหน้าผาก ลมหายใจกระชั้น

          เห็นทีร่างกายเขาคงยากแก่การฟื้นฟูในระยะเวลาอันสั้น ซวนหยวนหมิงไท่กุมบาดแผลที่หน้าท้อง สีหน้าเคร่งเครียดไปหลายส่วน ตอนนี้มิรู้ว่าเหล่าองครักษ์และเสี่ยวลู่จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร อีกทั้งยังมิรู้ว่าเงามืดที่ชักใยอยู่เบื้องหลังกลุ่มนักฆ่านั้นเป็นใครกันแน่

          ประหนึ่งศัตรูอยู่ในที่ลับ เขาอยู่ในที่แจ้ง เดิมทีการที่เขาเป็นผู้แทนพระองค์ออกตรวจราชการลับ นอกจากองครักษ์ประจำตัวแล้วนับว่ามีคนรู้เพียงหยิบมือ แต่แล้วทำไมนักฆ่ากลุ่มนั้นจึงโจมตีพวกเขาระหว่างเดินทางกลับไปยังเขาหวงซานได้ถูกที่ถูกเวลากันเล่า

          นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้นหรือ?

          หึ ซวนหยวนหมิงไท่เหยียดยิ้มมุมปาก เกรงว่าเป็นเพราะข้อมูลรั่วไหลเสียมากกว่า ในกลุ่มองครักษ์จะต้องมีเกลือเป็นหนอน เพราะในทุกๆเมืองที่พวกเขาผ่าน ล้วนมีองครักษ์ประจำพระองค์อีกกลุ่มหนึ่งเดินทางล่วงหน้าเพื่อเตรียมการช่วยเหลือในพื้นที่

          รัชทายาทถอนหายใจยาวได้แต่สรุปว่าเพลานี้มิควรหุนหัน ถึงตอนนี้กองไฟที่เคยให้แสงสว่างก็ดับมอดลง เขาพลันทอดสายตาไปยังปากทางเข้าถ้ำ ความจริงร่างเล็กออกไปนานแล้วมิใช่หรือ ไยจึงยังมิกลับมาอีก

          นั่งชะเง้อรอคอยอยู่ได้ไม่นาน ก็ฝืนยืนหยัดออกไปตามหาคนอย่างร้อนใจ นี่เป็นเขาเลอะเลือนปล่อยให้ร่างเล็กออกไปเพียงลำพัง หากเจ้าตัวพบกับพวกนักฆ่าเล่า “ไป๋เซ่อ” เขาตะโกนร้องเรียกไปทั่วบริเวณ

          ถึงเพลานี้ก็มิกลัวพบมือสังหารอีก เพียงกลัวมิได้พบร่างเล็กเสียมากกว่า ซวนหยวนหมิงไท่พร่ำเรียกราวกับคนเสียสติ ต่อเมื่อมาถึงทางลาดชันสองขาที่ก้าวอย่างเร่งรีบก็เกิดไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลให้เขาสะดุดล้มกลิ้งไปหลายตลบ ทว่าไม่นานนักเสียงร้องตกอกตกใจก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก

          “ซวนหยวนหมิงไท่” เห็นคนที่กลิ้งลงมาคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไป๋เซ่อซึ่งมือหนึ่งหอบหิ้วผลไม้ อีกมือหนึ่งถือใบบัวที่บรรจุด้วยน้ำสะอาดก็รีบวิ่งเข้าไปหา

          “เจ้าเป็นบ้าอะไร ถึงได้มากลิ้งเล่นแถวนี้ มิกลัวพวกมือสังหารจะมาตัดศีรษะเจ้ารึ หากต้องการไปพบยมบาลนักก็บอกข้ามา ข้าจะส่งเจ้าไปเอง” ไป๋เซ่อถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างมีโทสะ ก่อนที่จะเผลอสบกับดวงตาใสแป๋วคล้ายเด็กที่กระทำความผิดก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

          จะมีสักกี่คนกันเชียวที่กล้าตำหนิเขาด้วยความห่วงใยเช่นนี้

          ซวนหยวนหมิงไท่จับจ้องมองร่างเล็กอย่างลึกซึ้ง มาตรแม้นถูกตำหนิก็ไม่คิดจะตอบโต้ แต่ทว่าท่าทีเหล่านี้ไป๋เซ่อกลับไม่คุ้นเคย ยังผลให้อึกอักทำตัวไม่ถูก สุดท้ายจึงแสร้งทำรำคาญใจ

          “ยังจะจ้องหาอันใด ไปๆ ข้าจะพยุงเจ้ากลับ”

          กว่าที่คนทั้งสองจะกลับเข้าไปในถ้ำได้สำเร็จ ไป๋เซ่อที่สองมือเต็มไปด้วยข้าวของ อีกทั้งยังต้องช่วยพยุงร่างสูงก็หอบแฮก ด้านชายหนุ่มที่นั่งพิงผนังถ้ำเย็นชืดก็แลดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ริมฝีปากบางแตกระแหง

          “เจ้าดื่มน้ำสักหน่อย”

          รับน้ำที่ยื่นส่งมาขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย ด้านไป๋เซ่อก็หันไปง่วนกับผลไม้ป่าที่เก็บมา ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่กินอย่างมีความสุข จากนั้นจึงกล่าว “หากข้าเป็นเพียงคนธรรมดามิได้มีอำนาจอันใด เจ้ายังจะช่วยข้าแบบนี้อยู่อีกรึเปล่า”

          “เรื่องของเจ้า” ไป๋เซ่อกัดสาลี่คำโตกล่าวตอบห้วนๆ

          สีหน้าของรัชทายาทหนุ่มพลันหม่นหมอง ความผิดหวังและความโดดเดี่ยวกอบกุมภายจิตใจลึกๆ ในอกคล้ายมีบางสิ่งที่อัดอั้นมิอาจระบายมันออกมาได้

          “เจ้าจะเป็นใครก็เรื่องของเจ้า ข้าน่ะเป็นงูเผือกสวรรค์ มือขวาของท่านมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ก็พอแล้ว” 

          รับฟังแล้วดวงตาที่เฉกเช่นแสงตะวันก็ทอประกายระยิบระยับ นี่หมายความว่าไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อีกฝ่ายก็มิได้สนใจตั้งแต่แรกใช่รึไม่ ความผิดหวังที่ได้รับก่อนหน้ากลับสลายหายไปปลิดทิ้ง ริมฝีปากขยับยกยิ้ม ก่อนที่จะเผลอเอ่ยประโยคในใจออกมา

          “ข้าชอบเจ้า”

          ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับเป็นเพียงน้ำเสียงเบาบางและอ่อนโยน ไป๋เซ่อหันหน้าไปยังต้นเสียง คลับคล้ายอีกฝ่ายกล่าวอะไรบางอย่าง อะไรข้า อะไรเจ้า ฟังไม่รู้เรื่อง “หือ เจ้าพูดกระไรงั้นรึ”

          “ไม่มี ไม่มีอะไร”

          ไป๋เซ่อมองซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มจนตาเป็นเส้นโค้งอย่างงงัน ก่อนจะกลับไปเคี้ยวแก้มตุ้ยๆ เอ่ยเสียงอู้อี้ “ว่าแต่เจ้าเถอะ แผลเป็นเช่นไรบ้าง อักเสบรึไม่”

          “อ่อ” ชายหนุ่มอือออ จากนั้นก้มหน้าลงแหวกสาบเสื้อ ผิวกายที่ขาวซีด หัวไหล่นวลเนียนค่อยๆเปิดโล่งสู่สายตา เส้นผมที่ไร้การมวยมุ่นปล่อยยาวสยายขับดันให้เจ้าของร่างดูมีเสน่ห์มากขึ้น

          สาลี่ครึ่งลูกที่กัดค้างอยู่ในปากร่วงผล็อย ไป๋เซ่อเผลอชมดูเรือนร่างเปล่งประกายแม้ในยามเจ็บป่วยอย่างโง่งม กระทั่งน้ำลายเอ่อล้นจนถึงมุมปาก เขาก็ได้สติ “ว๊ากกก โรคจิต เจ้าจะทำอะไร”

          โรคจิต...ซวนหยวนหมิงไท่กรอกตาไปมา หากคนอย่างเขาโรคจิต แล้วคนที่ลอบมองร่างกายผู้อื่นจนถึงขั้นน้ำลายหก ยังจะมีสิทธิ์ว่ากล่าวผู้อื่นอีกกระนั้นหรือ เขาพ่นลมทางจมูก แสร้งกล่าวน้ำเสียงซื่อ

          “อา จะว่าไปแล้ว วันนี้ข้าตื่นขึ้นมาเพราะคล้ายรู้สึกถึงหยดน้ำจำนวนหนึ่ง แต่มาตอนนี้ดูๆไปแล้วถ้ำแห่งนี้ก็มิได้อับชื้นถึงขั้นมีน้ำค้างเกาะ เช่นนั้นเจ้าว่ามันคืออะไรกัน”

          ร่างเล็กผงะ นึกถึงเรื่องน่าอับอายก่อนหน้านี้ “ฝะ...ฝน เมื่อคืนฝนตกหนัก ต้องเป็นเพราะฝนแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พร่ำพูดจบก็พยายามหัวเราะกลบเกลื่อน “แต่เดี๋ยวๆ เจ้าเข้ามาใกล้ข้าทำไม”

          “อ้าว มิใช่เจ้าอยากดูหรือ”

          “มารดามันเถอะ ใครอยากดูเรือนร่างเจ้ากัน” ไป๋เซ่อสบถ ทั้งรีบยกสองมือขึ้นปิดตา แต่แล้วทำไมถึงยังเห็นกล้ามหน้าท้องอันแน่นขนัดของอีกฝ่ายชัดนักล่ะ

          “เอ่อ ข้าให้เจ้าดูแผล” เขาบอกคนที่มองลอดหว่างนิ้ว สติดูเลื่อนลอยไปอีกครั้ง

          “อ้ะ อื้อ...ก็แผลเจ้าน่ะสิ” เมื่อตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง ไป๋เซ่อก็ถลึงตาตวาดกลบเกลื่อน

          “......” ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่กล่าวขัดแย้งกับความเป็นจริงแล้วก็ต้องลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนึ่งเลิกชายเสื้อให้มากขึ้นกว่าเดิม

          “หนอย เจ้าคิดปั่นหัวข้าชัดๆ”

          “ข้าไม่เข้าใจ เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร”


 

***********************************************


          ระหว่างที่ทุ่มเถียง เสียงฝีเท้าสองคู่กลับใกล้เข้ามา ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อที่ประสาทสัมผัสไวต่างรีบพากันอุดปากของแต่ละฝ่าย ก่อนจะจ้องมองไปที่ปากทางเข้ากันอย่างพร้อมเพรียง หวังว่าคงจะมิใช่กลุ่มนักฆ่าหรอกนะ

          “เฮ้ ที่นี่มีใครอยู่บ้าง”

          ลุ้นกันเสียจนเหงื่อแทบตก สุดท้ายกลับกลายเป็นเสียงเด็กชายอายุราวสิบถึงสิบสอง ไป๋เซ่อรีบงับฝ่ามือชายหนุ่มจนร้องโอ๊ยทีหนึ่งแล้วตะโกนถามคนที่อยู่ด้านนอก “เจ้าเป็นใคร”

          “พวกเราเป็นหมอที่เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ หากพวกท่านไม่ว่ากระไร ขอพวกเราพักที่นี่สักสองสาม...เฮือก” เด็กน้อยผู้มีดวงตากลมเดินเข้ามาในถ้ำต้องสะดุ้งเฮือก

          ด้านในถ้ำปรากฏเป็นภาพบุรุษสองคน ซึ่งผู้หนึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ท่าทางอิดโรยไร้เรี่ยวแรง แต่ที่สะดุดตาคือฝ่ามือที่มีรอยกัดชุ่มด้วยน้ำลายที่เยิ้มหมาดๆ ส่วนอีกผู้หนึ่งสาดสายตาหิวกระหาย ริมฝีปากเหยียดยิ้มประหนึ่งผู้ที่อยู่เหนือกว่า

          “เอ่อ ข้ามิรบกวนแล้ว ประเดี๋ยวจะกลับมาใหม่ พวกท่านมิต้องรีบกันนัก” โอ้ สวรรค์ ข้ายังเด็กถึงเพียงนี้ มิสมควรรับรู้เรื่องเช่นนี้ หงลิ่วบิดตัวอายม้วน ก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว หากแต่กลับชนเข้ากับบุรุษร่างสูงอย่างจัง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องสบเข้ากับใบหน้าดำทะมึน

          ด้านไป๋เซ่อก็รีบผละตัวจากซวนหยวนหมิงไท่ไล่ตามเด็กชายไป “เดี๋ยว พวกเจ้าบอกว่าเป็นหมอหรือ”

          “ฮ่ะ ฮ่ะ ใช่แล้ว” หงลิ่วตอบ ดูว่าถ้าเขาตอบว่ามิใช่แล้วหันหลังจากไป พี่ใหญ่ที่ยืนคุมด้านหลังต้องเอาเขาตายแน่

          “ดีๆ ทางนี้” ไป๋เซ่อฉีกยิ้ม สองมือฉุดลากตัวเด็กชายตัวน้อยเข้าไปในถ้ำ “เจ้าลูกเต่า หมอมาแล้ว”

          “หมอ?” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกตามองเด็กที่ยังไม่โตถูกลากเข้ามาอย่างฉงน แลต่อเมื่อบุรุษร่างสูงก้าวเข้ามาทีหลังอย่างแช่มช้า ดวงตาสีดำก็สับเปลี่ยนเป็นคมกล้าในทันที “เจ้าเป็นหมอ”

          เป็นเพราะน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความสงสัยดังขึ้น หงเว่ยที่ไม่เคยจะเห็นหัวใครนัก จึงค่อยๆชายตามองไปทางบุรุษที่กึ่งนั่งกึ่งนอนตรงหน้าอย่างชืดชา “ใช่”

          ถ้อยคำห้วนสั้นจบลง บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนเสมือนพายุโหม ดวงตาสองคู่ประจันมองกันอย่างไม่ลดละ ด้านไป๋เซ่อและหงลิ่วได้แต่มองคนทั้งคู่จ้องกันราวจะกินเลือดกินเนื้อกันอย่างงงงัน

          ครั้นเห็นท่าไม่ดี หงลิ่วผู้ฉลาดเฉลียวก็ตัดสินใจดึงชายเสื้อปรามผู้เป็นพี่ชาย รอจนหงเว่ยหลุบตาลงอย่างสงบเสงี่ยม เด็กน้อยก็กล่าวเจื้อยแจ้ว “พี่ชายท่านนี้ ข้าหงลิ่ว ส่วนคนนี้เป็นพะ”

          “พี่ชาย ข้าเป็นพี่ชาย...มิใช่บิดา” จู่ๆหงเว่ยก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้าจริงจังนั้นจ้องเขม็งไปที่ไป๋เซ่อ

          ด้วยท่าทีแปลกประหลาดของหงเว่ยส่งผลให้หงลิ่วเหงื่อตกรีบเสริมกล่าว “ใช่ เขาเป็นพี่ชายข้า นามหงเว่ย ส่วนพวกเจ้า...”

          “ข้าไป๋เซ่อ ส่วนเจ้าคนที่นอนแบบอยู่ตรงนั้นเรียกว่า”

          “หมิงไท่ ข้ามีนามว่าหมิงไท่” ซวนหยวนหมิงไท่ตัดบท เนื่องด้วยการบอกนามแท้จริงในตอนนี้ มิต่างกับการรนหาที่ตาย โดยเฉพาะเมื่อศัตรูเขาอยู่ในที่ลับ ดังนั้นเขามิอาจวางใจใครได้ “พวกเจ้าดูท่าทางไม่เหมือนหมอ” ประเมินมองแล้วหนึ่งเด็กหนึ่งบุรุษตรงหน้ามิได้มีลักษณะของหมอเลยสักนิด กระทั่งกลิ่นอายที่ติดตัวก็มิได้มีกลิ่นสมุนไพรแม้แต่น้อย และยิ่งท่าทีเย็นชาราวน้ำแข็งที่ไร้ความเมตตาของ...

           “ใช่รึไม่ ลองให้พี่ชายข้าตรวจดู พวกท่านจะรู้เอง” ก่อนที่ศึกสายตาจะเริ่มต้นอีกครั้ง หงลิ่วก็ขัดจังหวะ ครั้นพูดจบก็ผลักพี่ชายเข้าไปใกล้คนทั้งสอง

          ถึงตอนนี้หงเว่ยที่ถูกดันตัวไปข้างหน้าก็ก้าวออกไป ใช้นิ้วมือที่เรียวยาวคว้าจับมือเรียวเล็กขึ้นมาอย่างมิให้ตั้งตัว แตะสัมผัสชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะอย่างอ่อนโยน ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับถลึงตากร้าว เนื่องด้วยมิชอบใจกับการกระทำนี้นัก

          “นี่เจ้าตรวจผิดคนแล้ว คนเจ็บอยู่ทางนู้นต่างหาก” ไป๋เซ่อกล่าวด้วยอาการมึนงง ไม่ว่าใครต่างดูก็รู้ว่าเขามิใช่คนป่วยทั้งนั้น

          “หงเว่ย เรียกข้าหงเว่ย” หงเว่ยขมวดคิ้วขึ้นน้ำเสียงทุ้มแกมบังคับ แม้เบื้องนอกฟังดูเย็นชา หากแต่ลึกๆแล้วกลับซ่อนไว้ด้วยความชิดเชื้อประการหนึ่ง “ตอนนี้ดวงตาของเจ้าทื่อนัก เป็นเพราะเจ้าฝืนใช้กำลังเกินตัว ต่อไปนี้ห้ามกระทำการหุนหัน”

          “เจ้ารู้” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงสูง อาการเหล่านี้มิใช่ว่าหมอธรรมดาจะตรวจพบได้ เห็นทีพวกเขาโชคดีเจอหมอเทวดาเข้าแล้ว

          หมายความว่าเยี่ยงไร ดวงตาทื่อ ใช้กำลังเกินตัว ซวนหยวนหมิงไท่ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ รึมีบางอย่างเกิดขึ้นกับไป๋เซ่อในตอนที่เขาหมดสติไป

          “ส่วนเจ้า มิจำเป็นต้องตรวจ” หงเว่ยกล่าวโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลซวนหยวนหมิงไท่ เขาหันไปบอกกับน้องชาย “เจ้าหก เจ้ารับผิดชอบหาสมุนไพรมารักษาเขา”

          “เห ข้าเหรอ ทำไมข้า? แล้วท่าน?” เลิกตาโตพร้อมทั้งชี้หน้าตนเอง กระทั่งผู้เป็นพี่ใหญ่สาดสายตาอำมหิตใส่ เด็กน้อยก็หุบปากโดยเร็ว

          “ข้าจะดูแลรักษา...ไป๋เซ่อ” ถึงประโยคนี้สายตากร้าวก็ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หงเว่ยมองใบหน้าเย้ายวนขี้เล่นคราหนึ่งก็หลุบตาลงกล่าวเสียงเบา “เจ้ามิต้องห่วง มีข้าเจ้าจะมิเป็นไร”

          คนผู้นี้กล่าวราวกับตนป่วยหนักแทบเป็นแทบตาย ไป๋เซ่อเกาศีรษะจนดังแกรกๆ ด้านบุรุษแปลกหน้าเองก็มิรอให้เขาหายงุนงง กลับก้าวฉับๆมุ่งมั่นไม่เหลียวแลสิ่งใดออกไป เหลือไว้เพียงหงลิ่วที่อ้าปากเหวอ ก่อนจะผลุนผลันติดตามพี่ชายไป

          “พี่ใหญ่ รอข้าด้วย”


 

*****************************************************

 

          ผู้มาใหม่ประเดี๋ยวมาประเดี๋ยวไป ทำให้บรรยากาศกลับมาสงบอีกครั้ง ซวนหยวนหมิงไท่ที่นั่งเงียบมาพักหนึ่งก็โพล่งถาม กลิ่นอายรอบตัวเปี่ยมไปด้วยความกดดัน “ไปเซ่อ ก่อนหน้านี้เจ้าช่วยข้ามาได้อย่างไร”

          ไป๋เซ่อผงะไปเล็กน้อย แต่แสร้งทำเป็นแค่นเสียงกลบเกลื่อน “เฮอะ ถามโง่ๆ หลังจากที่เจ้าหมดสติไป ข้าก็ย้อนกลับไปลากตัวเจ้ามาที่นี่น่ะสิ”

          “แล้วระหว่างที่เจ้าพาข้ามาที่นี่ เจ้ามิได้พบกับคนร้ายชุดดำสักคน”

          “ไม่ ไม่นี่” ไป๋เซ่อตอบสั้นๆ ก่อนจะหลบสายตาอย่างมีพิรุธ

          “เจ้าโกหก” ถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ลุกพรวดตวาดเสียงแข็ง พลางก้าวเข้าไปประชันหน้ากับร่างเล็ก “แล้วทำไมเขาถึงบอกว่าเจ้าฝืนใช้กำลังเกินตัว ยังมีดวงตาที่ทื่อลงนั้นอีก เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงต้องปิดบังข้า หรือแท้จริงแล้วสำหรับเจ้าข้ามิใช่...” คนสำคัญหรอกหรือ

          “แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้า” เมื่อโดนไล่ต้อนไป๋เซ่อก็แหงนคอมองคนที่เสียสติ ก่อนจะโต้ตอบอย่างไม่พอใจ

          “เจ้ายังไม่รู้?” ซวนหยวนหมิงไท่กัดฟันแน่น ริมฝีปากเม้มจนเห็นเป็นเส้นตรง กระทั่งครู่หนึ่งจึงสามารถพรั่งพรูประโยคที่อัดอั้นภายในออกมาได้ “แล้วเจ้าไม่คิดบ้างว่าข้าจะเป็นห่วงเจ้า”

          ดวงตาสีดำที่มักเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ในเพลานี้กลับมีแต่ความเศร้าเสียใจประการหนึ่ง รัชทายาทหนุ่มถ่ายทอดคำดังกล่าวจบแล้วก็หันตัวกลับไป แผ่นหลังอันโดดเดี่ยวสะท้อนเข้าสู่ดวงสีฟ้าอมเขียว ไป๋เซ่อพลันสะอึก รู้สึกพูดเกินไปอยู่บ้าง

          “นี่ ซวนหยวนหมิงไท่”

          ลองร้องเรียกคนที่กลับไปนั่งหลับตากอดอกอยู่เงียบๆ แต่กระนั้นก็มิได้มีเสียงตอบรับกลับมา คล้ายตนถูกขวางกั้นไว้ด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น หัวใจของไป๋เซ่อพลันเจ็บหนึบอย่างไรบอกไม่ถูก ครั้นหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก็เข้าไปทรุดนั่งใกล้ๆชายหนุ่มอย่างหงอยๆ

          “ความจริงแล้วข้ามิได้ต้องการปิดเจ้า เพียงแต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องกังวล”

          “.......”

          ไป๋เซ่อง้องอน หากแต่ก็มิได้ผล ในที่สุดได้แต่ยอมเปิดปาก“บนพิภพมนุษย์นั้นทุกสรรพสิ่งล้วนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะดีเลวเช่นใด พวกเราได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง มิอาจก้าวก่ายตัดสินทำลายชีวิตใดด้วยอารมณ์ความรู้สึกของตนได้ นี่ถือเป็นกฎเบื้องต้นของเหล่าเทพเซียนบนพิภพสวรรค์ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เทพเทวะอย่างข้า หากแต่ว่าวันนั้น...”

          ร่างเล็กนิ่งเงียบนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วก็ตัวสั่นน้อยๆ แม้ตนจะกำจัดปีศาจไปมากมาย แต่กระนั้นกลับเป็นครั้งแรกที่ตนลงมือฆ่าคน “ข้าจำต้องฝืนกฎนั้น”

          ราวกับแผ่นดินถล่ม ประโยคดังกล่าวทำให้ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่เบิกโพลงวูบ มองไป๋เซ่อที่นั่งกอดเข่าเอ่ยน้ำเสียงเศร้า

          “ดังนั้นข้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน ดวงตาพันลี้ของข้าก็เลย” นี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาเดินวนเวียนตามหาทสถานที่ปลอดภัยอยู่นานสองนาน ซึ่งการที่ดวงตาเขามิอาจใช้ออกได้เหมือนเดิม ยังผลให้เขาตื่นกลัวอยู่ลึกๆ

          “พอแล้ว ไป๋เซ่อ มิต้องพูดแล้ว” พลันโถมตัวกอดร่างเล็กที่ตัวเริ่มสั่นเทาไว้ ถึงตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทำไมร่างเล็กต้องปิดบังเอาไว้

          มาตรว่าต้องสูญเสียพลังฝีมือที่มีอยู่ มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกสิ้นหวัง ยิ่งคนที่มั่นใจในตนเองเช่นไป๋เซ่อ กลับต้องสูญเสียความสามารถไป...เพราะเลือกช่วยเขา

          “ไป๋เซ่อ ข้า...ข้า” พอคิดว่าร่างเล็กซ่อนความทุกข์ไว้บนรอยยิ้มแฉ่งแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็มิอาจเอ่ยถ้อยคำใดได้อีก สิ่งที่เจ้าต้องจ่ายออกไป ข้าจะตอบแทนเช่นไรได้

          ขณะที่ครุ่นคิดอย่างรู้สึกผิด ฉับพลันนั้นก็รู้สึกถึงของเหลวเยียบเย็นแปลกๆตรงหน้าท้อง เขาพลันก้มหน้าลงโดยปริยาย อืม ดูว่าเขาลืมสวมเสื้อให้มิดชิดสินะ ซวนหยวนหมิงไท่เงยหน้าที่ราวกับคนตายด้าน ท้ายที่สุดแล้วจึงสามารถคิดหาทางปลอบประโลมใจ ทั้งสรรหาคำพูดได้แล้ว

          “โรคจิต”

          อีกทางด้านหนึ่ง ระหว่างที่หงลิ่ววิ่งตามออกมาก็ส่งเสียงหยุดฝีเท้าหงเว่ยเอาไว้ “พี่ใหญ่ๆ ท่านจะไปไหน”

          “ข้าจะไปหาดอกพราวแสง”

          “หา” หงลิ่วอุทาน ดอกพราวแสง สมุนไพรวิเศษหายาก ซึ่งเติบโตอยู่ในส่วนลึกของทะเลตงไห่ที่กว้างใหญ่ ร้อยปีออกดอกเพียงครั้ง มีสรรพคุณเพิ่มพูนตบะเทียบเท่าร้อยปี ทั้งยังสามารถรักษาโรคนานาชนิด เหตุใดพี่ใหญ่จึงทุ่มเทให้กับคนที่พึ่งรู้จัก ทั้งเพียงพบหน้ากันไม่กี่ครั้งด้วย

          “พี่ใหญ่ ทำไมท่านต้องทุ่มเทช่วยเขาถึงเพียงนี้ หากท่านไม่บอกครานี้ข้าไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่” เด็กน้อยเบ้ปากพลางก็กระโจนเข้าไปเกาะท่อนขาแข็งแรงของอีกฝ่าย

          “ปล่อยข้าหงลิ่ว ครั้งนั้นข้ามิได้อยู่ข้างกายเขา มิได้ช่วยปกป้องคุ้มครองเขา ทำให้เขาต้องประสบเคราะห์ร้ายเพียงลำพัง ดังนั้นครานี้ข้าตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันออกห่างจากเขาอีก” ขณะที่เอ่ยแววตาคมกล้าก็ดูล่องลอยไปไกล ผิดกับหงลิ่วที่ตกตะลึง

          “ท่านกำลังบอกว่าเขาคือคนคนนั้น” ดวงตากลมโตเลิกกว้างบุคคลที่ทำให้พี่ใหญ่บ้าคลั่ง จนเกือบถูกท่านพ่อตัดขาดจากตระกูล สุดท้ายถูกลงโทษกักอยู่บนเขานานนับร้อยปีนั้นน่ะหรือ

          “ข้าจะกลับมาก่อนตะวันตกดิน”

          “ตะวันตกดิน ท่านบ้าไปแล้ว” ของวิเศษขนาดนั้นใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ยังมีปีศาจนับไม่ถ้วนที่หมายตาดอกพราวแสง ซุ่มซ่อนรอคอยโอกาสจะชิงของวิเศษ กว่าจะได้มันมาเกรงว่าคงต้องเกิดการนองเลือดกันไปข้าง

          หงเว่ยไม่รอฟังหงลิ่วโวยวายแตกตื่น เพียงเงยหน้ามองตะวันที่ขึ้นเหนือศีรษะแล้วก็กลับกลายร่างดุจดั่งเช่นหมอกควัน พวยพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว ในใจคิดเพียงสิ่งเดียว

          ต่อให้ต้องพลิกทะเลตงไห่ เขาก็ต้องหาดอกพราวแสงมาให้จงได้



**********************************************************



บทนี้ออกจะไม่ค่อยมีอะไร ตันถึงตันที่สุด เลยช้ามากก 55555+

นิยายอัพอาทิตย์ล่ะบท เร็วกว่านี้เค้าจิร้องไห้ เมื่อวันอาทิตย์เขาไปทำบุญเสี่ยงเซียมซี ปรากฏได้คำทำนายว่าจับปลาสองไม่รอดทั้งสองอย่าง หึ หึ คือปัจจุบันเค้าจับทั้งนิยายเเละThesis เครียดมากๆ หลังจากนี้อาจจะพักผ่อน หาไอเดีย จัดเวลาใหม่ เพราะตอนนี้หัวตื้อจริงๆ สู้ๆค่ะ


 

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
สุดท้ายก็อ่านก่อนสอบเสร็จงานเสร็จจนได้ 5555
ไป๋เซ่อน่ารักมากกกกกก คืออ่านไปฮาไปตลอดเลย ปวดหัวแทนองค์รัชทายาทจริงๆ :laugh:
รอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ :3123:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 10.1 มิได้ถูกกำหนด

 

          กลุ่มก้อนเมฆสีเทาเคลื่อนตัวบดบังดวงอาทิตย์ อัสนีบาตส่องประกายแสงวูบวาบ ลมพายุหมุนก่อตัวพัดโหมกระหน่ำ ทำให้คลื่นทะเลสาบตงไห่ปั่นป่วนวุ่นวาย มิต่างกับวันนั้น...

          บุรุษในชุดสีม่วงตัดดำยืนอยู่เหนือมวลคลื่นถาโถม เส้นผมสีดำขลับพลิ้วไหวไปตามกระแสลม ดวงตาคมกล้าทอดมองเบื้องล่างแล้วจึงทิ้งกายลงสู่ทะเลคลั่งดุจลูกธนูที่ปล่อยจากคันศร ไร้ซึ่งความหวาดหวั่นเกรงต่อพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่

          ต่อเมื่อปะทะกับผิวน้ำ ร่างก็พลันกลมกลืนหายไปในความมืด แม้สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่เสียดแทงกระดูก กระนั้นสีหน้าอันแน่วแน่ก็หาได้แปรเปลี่ยนไม่ แต่มาตรว่ายิ่งดำดิ่งลึกลงไปเท่าไหร่ ริมใบหูก็คล้ายได้ยินเสียงเรียกไม่หยุด ฉับพลันนั้นภาพความทรงจำหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา ราวกับได้หวนคืนสู่ฝันร้าย

          ในคืนที่เขาต้องสูญเสียคนคนนั้นไป
 

          “ม่ายยย” เสียงคำรามลั่นดังขึ้น เมื่อคลื่นยักษ์สูงใหญ่ปะทะเข้ากับหุบเขาฉางซาอย่างจัง สองขาที่ลอยอยู่กลางอากาศรีบโผทะยานเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าเพียงพริบตาเดียวกระแสน้ำก็กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีก

          เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าก็ถึงกับชะงักตัวตะลึงลานสุดขีด พอดีกับที่เม็ดฝนร่วงหล่นโปรยปรายจากฟากฟ้า จากนั้นไม่นานก็ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว ย้อมอาภรณ์คนที่นิ่งงันไม่ไหวติงให้เปียกปอนไปถึงดวงตา

          “เสี่ยวอวิ๋น เจ้าต้องไม่ตาย”

          เขามิอาจยอมรับความจริงเช่นนี้ ดวงตาสีม่วงเข้มเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่งก็เปล่งประกายวาบอย่างดื้อรั้น ที่หน้าผากปรากฏนัยน์ตาทิพย์ดวงหนึ่งซึ่งเพ่งมองใต้น้ำที่ยังคงเชี่ยวกราก จวบจนสังเกตเห็นถ้ำที่คุ้นเคย

          ที่ไม่ไกลออกไป ปรากฏเป็นบุรุษวัยกลางคนและเด็กหนุ่มอีกสองคนรุดตัวตามมาอย่างเร่งรีบ ครั้นเห็นเงาร่างที่กำลังย่อขา พวกเขาก็โก่งคอร้องตะโกนฝ่าคลื่นลมพายุ

          “หงเว่ย/พี่ใหญ่”

          ตูม เสียงน้ำดังกึกก้องไปพร้อมๆกับเจ้าของชื่อที่กระโจนตัวหายไปกับคลื่นน้ำรุนแรง หงเว่ยแหวกว่ายลึกลงไปจนเกือบถึงพื้นดิน ระหว่างนั้นก็ต้องคอยหลบหลีกต้นไม้หักโค่นที่ลอยคว้างอยู่ในสายน้ำ ใจภาวนาอย่างมีความหวัง

          บางทีหากเป็นตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะยังพอช่วยเสี่ยวอวิ๋นก็เป็นได้

          กระทั่งมาถึงปากทางเข้าถ้ำ ก็ไม่ลังเลที่จะดำดิ่งเข้าไป แต่ในเวลานั้นฟ้าดินกลับไม่เป็นใจ ทำให้ปฐพีเกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่น ส่งผลให้ก้อนหินใหญ่น้อยรวมไปจนถึงดินโคลนต่างเคลื่อนทยอยลงปิดทางเข้าอย่างรวดเร็ว

          หงเว่ยเบิกตาค้างแทบไม่อยากเชื่อ ความหวังริบหรี่ในใจดับมอดลงไปราวกับแสงเทียน แต่กระนั้นก็ยังคงตัดสินใจดำดิ่งพุ่งปะทะตัวเข้ากับหินแกร่งที่ถล่มลงมา

          กระแทกจนโลหิตสีแดงหลั่งไหล อีกทั้งหลายครั้งหลายหนก็ยังมิยอมหยุด จนในที่สุดเอวก็ถูกร่างสีดำเงาขนาดใหญ่เข้ารัดพันธนาการไว้ จากนั้นถูกเหวี่ยงรั้งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างแรง

          เด็กน้อยสองคนรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างที่นอนแน่นิ่งบนหินผา ครั้นแลเห็นเนตรทิพย์กลางหน้าผากหลั่งโลหิตชโลมใบหน้า กระดูกหัวไหล่บิ่นหักแทงออกมาจากผิวเนื้อ สีหน้าก็ต่างซีดเผือด

          “พี่ใหญ่ ท่านอย่าเป็นแบบนี้สิ ข้ากลัวนะ”

          หงเอ้อร์กอดร่างเขาไว้แน่น ส่วนเขาทำได้แต่พร่ำกล่าวเลื่อนลอย “ข้าต้องไปช่วยเสี่ยวอวิ๋น”

          “พอทีเถอะพี่ใหญ่ ท่านเองก็มิใช่ไม่รู้ว่าคลื่นยักษ์อาคมนั้นดูดกลืนตบะ ทำลายจิตวิญญาณชีวิตของพวกเรา หากท่านยังดื้อดึงอีก แม้แต่ชีวิตท่านก็จะไม่เหลือ อีกอย่างเสี่ยวอวิ๋น...เขา” หงซานสูดลมหายใจลึกก่อนตัดใจกล่าวต่อให้จบ “เขายังเล็กถึงเพียงนั้น ไม่มีทาง...” พูดถึงตรงนี้ก็เบนหน้าหลบดวงตาที่คลอไปด้วยม่านน้ำ

          “เขายังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่...ยังอยู่ในถ้ำนั่น” หงเว่ยเถียงใจแทบขาด ทั้งตะเกียกตะกายจะกลับไปยังถ้ำแห่งนั้นอีกครั้ง

          “พี่ใหญ่ เสี่ยวอวิ๋นตายไปแล้ว” หงซานตวาดย้ำ

          “ไม่ ตราบใดที่หัวใจข้ายังเต้น เสี่ยวอวิ๋นไม่มีทางตาย” เขาโต้กลับ

          “หงเว่ย” ทันใดนั้นเสียงก้องกังวานก็ดังขึ้น เผยให้เห็นร่างสีดำยาวขนาดมหึมาก็ปรากฏกายลอยวนเวียนอยู่เหนือคนทั้งสาม “ถึงตอนนี้เจ้าควรตระหนักได้แล้ว ชะตาชีวิตเจ้ากับเขามิได้ถูกกำหนดมาให้เคียงคู่กัน”

          “ไม่จริง ท่านโกหก ก่อนหน้านี้มิใช่ท่านบอกข้าหรอกหรือ นับตั้งแต่เขาเกิดมาก็ถูกกำหนดให้อยู่ข้างกายข้าแล้ว” หงเว่ยตวาดแย้ง

          “......” หงเหวินเทียนมองหน้าบุตรชายที่ใจแหลกสลาย สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจส่ายหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย

          หงเว่ยรับรู้ถึงความผิดหวังดังกล่าวแล้วจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ยังคงดำมืด หลั่งน้ำตาออกจากดวงตาสีม่วงอมดำอย่างเงียบๆ ทว่าแลไม่นานนักก็เปล่งเสียงหัวเราะขมขื่น

          ใช่แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนักพรตมือถือสากปากถือศีลพวกนั้น หากมิใช่เพราะพวกมัน สายสัมพันธ์ของเขากับเสี่ยวอวิ๋นก็คงจะไม่มีวันสะบั้นลงเช่นนี้

          “นักพรตพวกนั้น ข้าจะไปฆ่าพวกมัน” เขาผุดลุกขึ้นโดยไม่สนใจบาดแผล โลหิตที่ไหลเข้าสู่ดวงตาทั้งสามปรากฏให้เห็นถึงความอำมหิตชนิดหนึ่ง

          “หงเว่ย เจ้าคิดจะทำอะไร” แลเห็นสายตาอาฆาตแค้นคู่นั้น หงเหวินเทียนก็คำรามกึกก้อง กระทั่งหินผาที่ทุกคนยืนอยู่ต้องสะเทือนไปด้วยโทสะ

          “ข้าสาบานข้าจะต้องฆ่า”

          เพี้ยะ พลันถูกตบเข้าที่ใบหน้าฉาดใหญ่ จ้าวอสรพิษเกล็ดอัคคี ผู้เป็นบิดากลับกลายร่างเป็นบุรุษวัยกลางคน เส้นผมขาวโพลนยืนถมึงทึงจ้องเขาอย่างโกรธเกรี้ยว

          “เจ้าคิดกระทำเรื่องแปดเปื้อนอันใด หรือว่าเจ้าลืมปณิธานของพวกเราไปแล้ว? ตระกูลหงที่สูงส่งจะไม่มีวันเกลือกกลั้วกับสิ่งเลวร้ายกระทำตัวเฉกเดียวกับปีศาจชั้นต่ำ หากเจ้าคิดแก้แค้นมนุษย์ผู้ใด ข้าจะไม่ถือว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหง หรือแม้แต่วงศ์วานเกล็ดอัคคี” หงเหวินเทียนประกาศกร้าวดุจดั่งคำประกาศิต

          หงเว่ยเบิกตาตะลึงวูบ สองขาทรุดฮวบลงอย่างไร้เรี่ยว “ข้า...ข้า” หัวใจเสมือนถูกกรีดแทงสาหัส กระนั้นแล้วภาพของเสี่ยวอวิ๋นก็ยังคงอยู่ในห้วงความทรงจำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปยังก้นบึงจิตใจ

          เห็นท่าทีข่มตาหลับกุมศีรษะอย่างทรมานของพี่ใหญ่แล้ว หงเอ้อร์ก็รู้สึกสงสาร ได้แต่อ้อนวอน “พี่ใหญ่ กลับหุบเขาสั่วซีกับพวกเราเถอะนะ”

          “ท่านยังมีพวกเรานะ พี่ใหญ่” หงซานเองก็กล่าวเสริมน้ำเสียงสั่น

          ทว่าคำขอร้องดังกล่าวกลับมิได้เข้าไปถึงใจผู้เป็นพี่ชาย หงเว่ยเงยหน้าคมคายขึ้นจนเผยให้เห็นถึงดวงตาทั้งสามที่ขุ่นมัวไปด้วยหมอกควันดำ กลิ่นอายชั่วร้ายคละคลุ้งกำจายโดยรอบ ริมฝีปากเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียม

          “แย่แล้ว! หงเอ้อร์ หงซานหลบไป” หงเหวินเทียนอุทาน หากปล่อยไว้เช่นนี้ บุตรชายคนโตย่อมต้องเข้าสู่ทางมารในไม่ช้า เขารีบกลับคืนร่างต้น จากนั้นตวัดตัวเข้ารัดร่างที่โชกไปด้วยโลหิตตรงหน้า

          ในเพลานี้ความอาฆาตพยาบาทในใจของหงเว่ย ได้แปรสภาพกลับกลายเป็นกระแสพลังซึ่งคอยเติมเต็มจิตใจที่ถูกทำลายไป และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็มิได้ทำให้เขารู้สึกเลวร้ายสักเท่าไหร่ กระทั่งพละกำลังก็ยังเปี่ยมล้นเต็มไปด้วยชีวิตใหม่

          พริบตานั้นขุมพลังสีดำรุนแรงก็ถูกปลดปล่อยไปทั่วร่างของหงเว่ย และด้วยอานุภาพของพลังนั้นก็ทำให้จ้าวอสรพิษหงเหวินเทียนที่กอดรัดร่างของอีกฝ่านไว้ถึงกับกระอักเลือดออกมา

          “ท่านพ่อ พี่ใหญ่” หงเอ้อร์ตะโกนลั่น ทั้งพยายามวิ่งเข้าไปหาทั้งสองคน แต่แล้วน้องสามกลับรีบรั้งร่างเขาไว้

          “อย่า อย่าเข้าไปพี่รอง อันตราย” เป็นเพราะหงเว่ยยังคงปลดปล่อยพลังชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง หงซานจึงต้องพยายามฉุดรั้งหงเอ้อร์ให้ออกห่างจากพวกเขา

          หงเหวินเทียนซึ่งบาดเจ็บภายใน สังเกตเห็นบุตรชายทั้งสองยังคงปลอดภัยแล้วจึงหันกลับไปจดจ่อกับร่างที่ตนพันธนาการไว้ ฉับพลันนั้นดวงตาที่สามก็เลิกขึ้นอย่างดุดัน

          หงเว่ยคล้ายแลเห็นแสงวูบวาบ ก่อนที่พลังขุมหนึ่งจะกระแทกเข้าใส่ตนเองอย่างจัง ยังผลให้ทุกส่วนด้านชา แม้แต่ปลายนิ้วก็มิอาจขยับ เปลือกตาที่เบิกกว้างต้องคล้อยปิดลง ท้ายที่สุดจึงมิสามารถรับรู้อะไรได้อีก

          จนผ่านพ้นไปราวสัปดาห์ เด็กหนุ่มก็ฟื้นคืนสติแล้วจึงพบว่าตนเองอยู่ภายถ้ำบรรพบุรุษที่ปิดตายอันไร้ซึ่งแสงเดือนแสงตะวัน สองแขนขาถูกตรวนไว้ด้วยโซ่เหล็กหนักนับพันชั่ง แลทุกคืนทำได้เพียงคำรามร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะส่งเสียงมากมายเพียงใดก็ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์

          ซึ่งเป็นเช่นนี้ราวสองร้อยปีเสียงดื้อรั้นจึงสงบเงียบในที่สุด รอจนครบห้าร้อยปี หงเว่ยจึงได้เป็นอิสระ แต่ทว่าการเคี่ยวกรำราวห้าร้อยปีนี้กลับเปลี่ยนเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวาให้กลายเป็นเงียบขรึม ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เว้นเพียงความเย็นชาที่ระบายบนใบหน้า ดวงตาที่เคยเป็นสีม่วงเข้มกลับปนด้วยหมอกสีดำ บางครั้งกลับทอประกายด้วยความอำมหิตประการหนึ่ง ซึ่งนับแต่นั้นมา หงเว่ยคนนี้...

          ก็มิใช่หงเว่ยที่มีชีวิตจิตใจเฉกเช่นในอดีตอีก

         
 

************************************************

 

          เนื่องด้วยดอกพราวแสงเติบโตอยู่ในหุบเหวลึกของทะเลสาบตงไห่ ระหว่างทางยังรายล้อมไปด้วยความเงียบงัน ไร้ซึ่งแสงสว่างและสิ่งมีชีวิตใดๆ ทำให้ปีศาจมากมายต้องจบชีวิตหรือเสียสติก่อนจะได้พบเห็นของวิเศษนี้ ทว่าสำหรับหงเว่ยแล้ว ความมืดเกินกว่าที่จะหยั่งนี้กลับมิได้แตกต่างไปจากที่ตนถูกขังในถ้ำบรรพบุรุษเนิ่นนานถึงห้าร้อยปีเท่าใดนัก

          จำได้ว่าในช่วงเวลาร้อยปีแรก เขาได้แต่ร่ำร้องดื้อดึงหาทางหลบหนีอย่างโง่งม หากแต่สามร้อยปีต่อมาเขาก็ค่อยๆฟื้นฟูเนตรทิพย์ที่บาดเจ็บหลังจากฝ่าคลื่นอาคม พ้นสี่ร้อยปีนัยน์ตาที่สามจึงกลับมากล้าแข็งและทรงพลังยิ่ง กระทั่งครบห้าร้อยปี เขาก็สำเร็จวิชามายาไร้เงา

          แสงสว่างรำไรทำให้ร่างสีม่วงแหวกว่ายเข้าไปหา น้ำแข็งที่ก่อตัวขวางกั้นตลอดทางมิได้เป็นอุปสรรคต่อชายหนุ่ม เพียงเข้าไปใกล้มันก็หลอมละลายเบิกทางแทบในทันที

          ครั้นผ่านพ้นไปสักระยะ ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดก็ปรากฏสู่ส่ายตา หงเว่ยเอื้อมมือไปคว้าดอกไม้ที่มีหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวในร้อยปี จากนั้นขับเคลื่อนพลังไปที่ฝ่าเท้าโผทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว 

          พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว หงเว่ยเงยหน้ามองฟากฟ้าที่กลายเป็นสีส้มอมแดงคราหนึ่งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หากตอนนี้ใช้ออกด้วยพลังสักสี่ส่วนก็คงจะยังคงกลับไปทันที่พัก แต่ทว่า...

          รังสีสังหารพร้อมดวงตานับร้อยคู่จับจ้องมองมาอย่างกระเหือดกระหาย ดูว่าเป้าหมายคงอยู่ที่ดอกพราวแสงในมือเขา ใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์พลันเริ่มมีเค้าความรำคาญใจ

          “ส่งดอกพราวแสงมาให้ข้า” ทันใดนั้นปีศาจที่มีใบหน้าราวกับแร้งก็ปรากฏกายขึ้น แขนสองข้างเป็นปีกที่ทรงพลังคู่หนึ่ง มาตรว่าคนตรงหน้าจะสามารถนำสมุนไพรวิเศษขึ้นมาได้ แต่ย่อมมิใช่หลังจากนี้

          เดิมทีเหล่าปีศาจที่นี่ล้วนซุ่มรอบุคคลโง่งมที่จะลงไปนำของวิเศษจากใต้ทะเลสาบ ซึ่งหากสำเร็จคนผู้นี้ย่อมต้องสูญเสียพลังไปหลายส่วน ดังนั้นพวกมันเพียงรอเวลา จากนั้นค่อยฉวยหยิบชิ้นปลามันไปไม่ดีกว่าหรือ

          หลังจากที่ปีศาจแร้งปรากฏกาย ที่ด้านหลังมันก็ปรากฏปีศาจอีกหลายตน แม้มิใช่พวกเดียวกัน แต่ขอแค่หยุดบุรุษตรงหน้าได้ หลังจากนั้นจึงค่อยว่ากล่าวทีหลัง

          ฝ่ายหงเว่ยกลับหย่อนดอกไม้ในมือลงในถุงผ้าสีเขียวเข้ม แล้วเก็บในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม ริมฝีปากกล่าวงึมงำ “นี่เป็น...”

          “ตายซะเถอะ” เมื่อคำขู่ถูกเพิกเฉย ปีศาจแร้งก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอมพะนำอันใด มันตวาดก้องพร้อมกันนั้นก็รุดเข้าจู่โจม เหวี่ยงปีกที่แฝงด้วยพลังเข้าใส่

          แต่ด้วยกระบวนท่าที่ไม่สลักซับซ้อนเพียงอาศัยแค่ความดุดัน หงเว่ยไม่เพียงรับมือได้ง่าย กระทั่งหยาดเหงื่อก็ไม่กระเด็นให้เห็นสักแหมะเดียว เห็นดังนั้นแล้วปีศาจตนอื่นต่างพากันร้อนใจ บางส่วนกัดฟันกรอดก่อนจะกระโดดเข้าไปกลุ้มรุมชายในชุดสีม่วงอมดำ

          ปีศาจยิ่งมายิ่งมีมาก หงเว่ยขมวดคิ้วมองตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าก็รู้ตัวว่ามีเวลาไม่มากแล้ว ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ปีศาจตนหนึ่งดาหน้าประชิดตัว ฉับพลับนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็พลันสลาย แทนที่ด้วยหมอกควันสีดำหอบหนึ่งโลดแล่นไปรอบกลุ่มปีศาจชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว

          แลไม่นานละอองสีแดงก็พวยพุ่งราวกับห่าฝน จากนั้นโปรยปรายร่วงหล่นย้อมทะเลสาบให้เป็นสีโลหิต กลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียนคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เหล่าปีศาจทั้งหลายยังมิทันรับรู้เรื่องราวอันใด ศีรษะก็พลันหลุดออกจากบ่าแล้ว

          นี่เป็นเพราะหงเว่ยใช้ออกด้วยวิชามายาไร้เงา อันเป็นวิชาที่ทำให้เขาสามารถปลดโซ่ตรวนและออกจากถ้ำบรรพบุรุษเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้สำเร็จ ครั้นไร้คนขัดขวางฝีเท้าก็ใช้ออกได้เต็มที่ ตรงกลับไปยังสถานที่ที่คนคนนั้นรออยู่

          หากแต่ไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง เขาก็ต้องชะงักตัวหยุดกะทันหัน กล่าวเสียงห้วนที่แฝงไปด้วยการบังคับ “ออกมา”

          ประโยคเพียงประโยคเดียวกลับทำให้นางต้องตัวสั่นงันงก ก่อนหน้านี้นางก็เป็นหนึ่งในปีศาจที่ซุ่มดูการแย่งชิงที่นองเลือด เพลานี้วั่นอู่หงค่อยๆทำใจกล้า ก้าวเข้าไปหาบุรุษที่มีแผ่นหลังกว้าง

          นางส่งยิ้มหวานเอ่ยแนะนำ “พี่ชายท่านนี่ ข้านาม...”
         
          “เจ้าต้องการอะไร”

          ไม่รอให้นางพูดจบ บุรุษผู้นี้ก็เข้าประเด็นตรงๆ ยังดีที่เขารูปร่างสง่างามอย่างหาได้ยากยิ่ง ทำให้วั่นอู่หงพอใจมิใช่น้อย บางทีถ้านางสามารถโปรยเสน่ห์ได้สำเร็จ มิเท่ากับว่านางได้ทั้งคนทั้งของหรือ “ข้า...”

          “หรือเจ้าต้องการดอกพราวแสง”

          “เอ่อ ข้า”

          “เจ้าไปเสีย ของสิ่งนี้ข้าให้เจ้ามิได้”

          “แต่ข้า...”

          “นี่เป็นของเสี่ยวอวิ๋น อ้ะ ไม่ใช่สิตอนนี้ต้องเป็น...ไป๋เซ่อ” หงเว่ยพูดจบ ใบหน้าที่มิค่อยได้แสดงอารมณ์ก็เผยให้เห็นความอ่อนโยน ผิดกับความโหดเหี้ยมเย็นชาก่อนหน้านี้ราวกับเหว

          “ข้าจะบอกว่า”

          “หากเจ้ายังคิดตามมาอีก ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า” ครานี้สีหน้าของหงเว่ยกลับมาตายด้านอีกครั้ง มีเพียงสายตาที่บ่งบอกถึงความเอาจริง อีกทั้งเมื่อเสร็จสิ้นถ้อยคำเขาก็มิสิ้นเปลืองเวลากับนางอีก เงาร่างที่เคยยืนอยู่พลันห่างหายไปในชั่วพริบตา

          “.......” วั่นอู่หงถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่ตัวสั่นระริกไปด้วยความโกรธ บุรุษผู้นี้มิยอมให้นางเอ่ยได้จบแม้สักประโยคเดียว ทำให้นางต้องคับแค้นใจด้วยความเสียหน้า “กรี๊ด อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกเชียว มิเช่นนั้นหากเจ้าไม่ตกอยู่ในกำมือข้า ก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบเลย”

          เสียงกรีดร้องดังลั่นจนไก่ป่าแตกตื่น หากแต่บุรุษหนุ่มกลับมิได้รับรู้แลได้ยินแม้แต่น้อย หงเว่ยทะยานตัวผ่านเมฆหมอก จนกระทั่งเข้าสู่เขาที่เต็มไปด้วยป่าทึบก็เปลี่ยนเป็นลงเดิน จวบจนเห็นเปลวไฟจุดเล็กที่เบื้องหน้า แลไป๋เซ่อและหงลิ่วนั่งล้อมกองไฟพูดคุยกันอย่างออกรส

          ด้วยแสงนวลเนียนที่ส่องสว่างขับดันให้เจ้าของดวงหน้าเย้ายวนทรงเสน่ห์ขึ้นอีกหลายเท่า ยิ่งรอยยิ้มแฉ่งสดใสที่เผยอยิ้มออกมาก็ถึงกับทำให้เจ้าของดวงตาสีม่วงอมดำโง่งมไปชั่วขณะ

          “พี่ใหญ่ท่านกลับมาแล้ว?” สังเกตเห็นเงาร่างสูงตระหง่านย่างกายเข้ามา หงลิ่วก็ส่งเสียงทัก ครั้นเห็นพี่ชายปลอดภัยไร้บาดแผล ก็ต้องลอบนึกในใจ...ร้ายกาจยิ่ง พี่ใหญ่ทำได้อย่างที่พูดจริงๆ

          หงเว่ยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงน้องชาย ก่อนจะรุดตัวเข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆร่างเล็กที่มีสีหน้างงงัน “รีบกินนี่เสีย” ล้วงเอาห่อผ้าในอกเสื้อ แล้วดึงเอากลีบของดอกพราวแสงไปให้อีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกาย

          ด้านไป๋เซ่อกลับเอาแต่มองกลีบดอกไม้มือของบุรุษที่มีท่าทีประหลาดอย่างนิ่งงัน คล้ายไม่เห็นของว่าเป็นของกินอย่างที่กล่าว ส่งผลให้หงเว่ยออกจะผิดหวังอยู่บ้าง มือที่ยื่นส่งพลันลดลงอย่างช้าๆ ทว่าในจังหวะนั้นร่างน้อยกลับแสยะยิ้ม โน้มตัวงับเอาของในมือเขาอย่างรวดเร็ว

          คลื่นความสุขแผ่กำจายอยู่ในอก หงเว่ยรู้สึกราวกับฝันว่าตนกำลังอยู่ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ และที่นั่นก็มีร่างเล็กที่โลดแล่นไปพร้อมๆเขา

          เพียงแค่ลิ้นสัมผัส ความหวานเย็นชุ่มฉ่ำก็กระจายตัวอยู่ในโพรงปากแล้ว ต่อเมื่อหมดลงไป๋เซ่อก็ต้องอมนิ้วอย่างแสนเสียดาย “อื้อ อร่อยจัง ขออีกได้ไหม”

          “ม่ะ ไม่ได้ สมุนไพรนี้กินได้วันละครั้ง หากเกินไปกว่านี้จะให้ผลร้ายแก่ผู้กิน” หงเว่ยที่หลุดจากภวังค์รีบร้อนตอบ ครั้นเห็นไป๋เซ่อสีหน้าผิดหวัง ทั้งชะโงกหน้ามองของในห่อผ้าก็กล่าว “ขะ ข้ามีลูกกวาด หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าให้เจ้า”

          “ขอบคุณเจ้ามาก” ไป๋เซ่อตะครุบเอาห่อกระดาษเล็กๆ ในมือหงเว่ย แล้วนับลูกกวาดในห่ออย่างดีใจ ผิดกับหงลิ่วที่ถลนตาโตกระซิบบอก

          “พี่ใหญ่ นั่นมันลูกกวาดที่ท่านริบไปจากข้า”

          “......” หงเว่ยมองหน้าเจ้าหก นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก็ตอบส่งๆ “เด็กอย่างเจ้า กินแล้วจะปวดฟัน”

          “เฮอะ เช่นนั้นท่านสมควรแบ่งดอกพราวแสงให้ข้าชิมบ้าง” พูดจบหงลิ่วก็หัวเราะคิกคัก แต่แล้วก็มีอันแข็งค้างเมื่อเห็นสายตาของพี่ใหญ่

          “นี่ เจ้าลูกเต่า เจ้าชิมนี่สักคำสิ” เห็นคนที่นิ่งเงียบหลังจากพึ่งกินสมุนไพรเหม็นเขียวบดสด นั่งไม่ไกลจากกองไฟแล้วก็เดินไปยื่นขนมให้

          ประจวบเหมาะกับที่เสียงที่ขัดจังหวะ หงเว่ยฟังแล้วก็ต้องชะงักกึก ดูเหมือนว่าเขาจะลืมตัวตนของคนผู้หนึ่งไปโดยสิ้นเชิง

          “ไม่ใช่ของข้า ข้าไม่กิน” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มมองลูกกวาดในอุ้งมือไป๋เซ่อแล้วจึงส่ายหัว สีหน้าไม่ชอบใจที่เห็นเจ้าตัวใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าเกินควร “เหตุใดเจ้าจึงกินของซี้ซั้วเช่นนี้ หากเป็นยาพิษเจ้ามิแย่หรอกหรือ” กล่าวถามทางสายตา

          “เฮอะ แม้ตอนนี้ดวงตาข้าทื่อลง แต่อย่าได้ดูถูกจมูกข้าเชียว” ไป๋เซ่อเชิดหน้าโต้ตอบ “อีกอย่างข้าดูออกว่าพวกเขาเป็นคนดี”

          รับฟังเช่นนั้นรัชทายาทหนุ่มก็เผลอเหลือบมองบุรุษผู้มีนามว่าหงเว่ย ดูว่าอีกฝ่ายเองก็จ้องมองเขาอยู่ แลสายตาที่ปะทะกลับมาเต็มไปด้วยความนัย ครานี้เขาเบือนหน้ากลับไปหาไป๋เซ่ออีกครั้ง “งั้นเจ้าป้อนข้าหน่อยสิ”

          ป้าบ เอ่ยจบมือเรียวที่เย็นเล็กน้อยก็ตะปบเข้าที่ปากเขาอย่างไม่นิ่มนวลสักเท่าไหร่ ลูกกวาดชิ้นเล็กที่ยัดใส่ปากให้รสหวานเจี๊ยบ ซวนหยวนหมิงไท่นิ่วหน้าพลางลอบสังเกตคนที่ยืนจ้องพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง

          แต่แล้วประกายตาของหงเว่ยกลับมอดไหม้ยิ่งกว่าเปลวเพลิง จวบจนครู่หนึ่งจึงจะหลุบตาลงสะบัดปลายแขนเสื้อหันหลังกลับไป ทว่าท่าทีดังกล่าวส่งผลให้เขาต้องเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างจริงจัง รู้สึกสังหรณ์ใจว่าหงเว่ยผู้นี้ไม่ธรรมดา และตนมิอาจวางใจ

          ...หากคนผู้นี้ยังคงอยู่ใกล้ชิดกับไป๋เซ่อ


 

************************************************

ยังมีต่อหน้า 2 เน้อ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-02-2016 23:28:15 โดย ryusaki_yp »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด