ตอนที่ 11
กุหลาบเวียงพิงค์ ดอกนี้บ่มีเจ้าของ
เพิ่งแรกแย้มบ่มีใฝจอง เป็นเจ้าของครองใจเด็ดดม
ส่งกลิ่นอบอวลยั่วยวนหัวใจไปตามสายลม
เปิ้นทั่วแคว้นแดนไทยหมายชม สมเป็นกุหลาบเวียงเหนือ
เสียงเพลงตามสายหวานหูที่สถานีขนส่งเชียงใหม่คลอไปกับอากาศเย็นๆในยามเช้า ชวนให้รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า แม้ว่าการเดินทางบนรถโดยสารปรับอากาศชั้นหนึ่งตลอดคืนที่ผ่านมาจะทำให้หลับไม่สนิทเท่าที่ควรก็ตาม เมฆารอรับกระเป๋าเดินที่ข้างรถก่อนจะเดินจูงมือน้องให้เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ เพราะจงรักตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้กลับบ้านกระมัง เมื่อคืนถึงไม่ยอมหลับตานอนเอาเสียเลย กว่าจะเผลอหลับเพราะเพลียจากการเดินทางก็ปาเข้าไปเกือบรุ่งสาง พอรถเข้าสู่จังหวัดลำพูนก่อนถึงตัวเมืองเชียงใหม่ไม่กี่สิบกิโลเมตรจึงเป็นช่วงที่น้องหลับลึก ชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงที่ต้องถูกปลุกให้ตื่นเจ้าตัวดีจึงมีสภาพกึ่งฝันกึ่งละเมอ งัวเงีย งอแงอย่างที่ไม่เคยเป็น
“เดี๋ยวค่อยกลับไปนอนที่บ้านนะรัก ตอนนี้ล้างหน้าล้างตาก่อน จะได้ช่วยพี่ดูไงว่าใครมารับเรา” เมฆาว่าพลางเอาผ้าเย็นกลิ่นฉุนที่ได้รับแจกบนรถช่วยเช็ดกรอบหน้าให้จงรัก
“แต่รักลืมตาไม่ขึ้นเลย ง่วงจังครับ” เสียงบ่นง้องแง้งกับหน้าตาบวมตุ่ยเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี สงสารก็สงสาร แต่จะปล่อยให้น้องงัวเงียอย่างนี้ก็คงไม่ไหว
“ไม่งอแงนะ ไหนรักบอกจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีไง เอาแต่สะลืมสะลืออย่างนี้ ถ้านั่งรถผ่านไปตรงโน้นตรงนี้ ใครจะเป็นไกด์แนะนำสถานที่ให้พี่ล่ะ”
“ขอโทษครับ เอาล่ะ! ตื่นแล้วๆ” ประโยคที่เมฆาว่าย้ำเตือนให้จงรักจำคำพูดของตัวเองได้ เข้าตัวจึงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆให้ตื่น พอเห็นน้องตาใสขึ้นมาบ้างร่างสูงจึงยิ้มออก
“งั้นดูซิว่ารักนัดกับคนที่บ้านไว้ตรงไหน ป่านนี้ไม่รู้มีใครมารอเราหรือยัง”
“อ่อ! ครับๆ รักเองก็ลืมไปเลยว่าเราไม่ได้นั่งรถเข้าไปเอง” หนุ่มตัวเล็กควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา ก่อนจะกดโทรหาผู้เป็นพ่อ รอไม่นานปลายสายก็รับราวกับค่อยท่าอยู่แล้ว
‘ถึงแล้วหรือยังลูก’
“ถึงแล้วครับพ่อ พ่อให้ใครมารับรักครับ”
‘พ่อขับมาเอง รักเดินมาที่ลานจอดรถหลังวินรถแดงเลยลูก รถพ่อจอดอยู่ตรงนี้’
“ครับ รักกำลังจะเดินไป”
“พ่อว่ายังไงบ้างรัก” เมฆถามทันทีที่น้องกดวางสาย
“พ่อมารับเองครับ ไปกันเถอะ พ่อจอดรถไว้ใกล้วินรถสองแถวโน้น” จงรักชี้มือให้เมฆาเห็นวินรถสองแถวสีแดงที่อยู่ไกลๆ จากนั้นจึงออกเดินนำทาง โดยยังประสานฝ่ามือใหญ่เอาไว้เช่นเก่า ทว่าเปลี่ยนหน้าที่เป็นคนจูงแทน
ทั้งสองคนข้ามถนนแล้วเดินเลียบไปตามทางเท้า ผ่านร้านรวงเป็นแผงลอยเล็กที่เรียงราย เว้นช่วงสักหน่อยก็มีวินรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ถัดมาจึงเป็นวินรถสองแถวสีแดงที่จงรักชี้บอก อ้อมด้านหลังไปนิดเดียวก็จะพบกับลานจอดรถขนาดย่อมซ่อนตัวอยู่ แม้จะมีรถจอดซ้อนกันอยู่หลายคัน แต่มีกระบะสีเขียวเข้มคันหนึ่งที่เมฆาสังเกตเห็นได้ก่อนคันอื่น และเดาว่าคงเป็นรถของที่บ้านจงรักอย่างแน่นอน เนื่องจากด้านหลังมีต้นพลับพลึงกระถางใหญ่วางคู่กันอยู่สองกระถาง
และก็เป็นจริงดังที่คาดเดา พอเข้าไปใกล้หน่อย เมฆาก็พบกับชายสูงวัย หน้าตาท่าทางดูใจดี แต่มีรูปร่างเล็กเหมือนกับหนุ่มที่เดินกุมมือเขาอยู่นี่ไม่มีผิด พอชายคนนั้นมองเห็นพวกเขาทั้งสองคน ริมฝีปากก็ยกยิ้มกว้างอย่างยินดี
“พ่อสวัสดีครับ” จงรักปล่อยมือใหญ่ ก่อนจะรี่เข้าไปไหว้ผู้เป็นบิดา แล้วกอดหนับเสียเต็มรัก
“เจ้าลูกคนนี้นี่! โตแล้วนะลูก ทำเป็นเด็กๆไปได้” เสียงของพ่อว่ากลั้วหัวเราะ เมฆารู้ได้ทันทีว่าท่านไม่ได้ตำหนิจริงจังอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่ลูกชายคนเล็กยังทำตัวเป็นเด็กติดพ่ออยู่
“ก็รักคิดถึงพ่อนี่ครับ”
“ไม่ต้องมาอ้อนเลยเรา ดูสิ มัวแต่ยืนกอดกัน ปล่อยพี่เขายืนทำหน้างงอยู่นั่นแหละ” ผู้เป็นพ่อว่าพลางทอดสายตาอารีมาทางเมฆา
“โอ๊ะ! รักลืมไปเลยครับ” จงรักรีบผละจากอ้อมกอดก่อนขยับกลับลงมายืนเคียงข้างคนรัก “นี่พี่เมฆครับพ่อ พี่เมฆครับ นี่พ่อของรักเอง” จงรักพูดกับพ่อก่อน จากนั้นจึงหันมาบอกเมฆา
จรัญหรือพ่อเลี้ยงรัญมีศักดิ์เป็นพ่อแท้ๆของจงรัก เขาเป็นพ่อหม้ายเลี้ยงเดี่ยวมาตั้งแต่ลูกสามคนยังเล็กมาก เป็นคนเชียงใหม่แต่กำเนิด ก่อร่างสร้างตัวจากคนธรรมดา จนกระทั่งตอนนี้มีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่เป็นของตัวเองอยู่ที่แม่แจ่ม เห็นเป็นผู้ชายตัวเล็กท่าทางใจดีแบบนี้ สมัยหนุ่มมีวีรกรรมเด็ดคือพาลูกสาวแขกขายผ้าหนีมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ของจงรักที่เสียไปแล้วนั่นเอง
“สวัสดีครับคุณพ่อ” เมฆายกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม แล้วก็ได้รับรอยยิ้มอุ่นๆตอบกลับมา
“ไหนดูสิ คนนี้น่ะเหรอพี่เมฆที่รักเล่าถึงอยู่บ่อยๆ” จรัญจำได้ว่าชื่อของเมฆาจะปรากฏในบทสนทนาทุกครั้งที่เขาถามจงรักเรื่องคนแฟน
“ครับ” จงรักพยักหน้ารับ
เพราะเลี้ยงลูกมาถึงสามคน จรัญรับรู้และเข้าใจทุกอย่าง เขามักจะย้ำกับตัวเองเสมอว่ากฎสำคัญที่สุดคือขอให้ลูกมีชีวิตที่มีความสุขที่สุด เลี้ยงได้แต่ตัว ใจเลี้ยงไม่ได้ และการที่จงรักเดินเข้ามาสารภาพกับเขาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งว่าหลงรักรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชาย เขาที่เป็นพ่อจึงไม่ได้คัดค้านอะไร ปล่อยให้ลูกคิดเองเพราะเป็นความสุขของลูก เวลาที่ผ่านมาจรัญก็ไม่เคยเห็นจงรักเล่าถึงใครคนอื่นอีกเลยตลอดห้าปี ลูกหลงรักปักใจกับผู้ชายคนนี้จนสุดท้ายโชคชะตาก็เห็นใจในความพยายาม
ตอนนี้เขามองมือเล็กๆที่เขาเคยประคองจับจูง ถูกมือใหญ่และแข็งแรงของคนที่ลูกรักเป็นคนประคองแทน ใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสบ่งบอกว่าจงรักมีความสุขมากแค่ไหน เพียงเท่านี้ก็เกินพอแล้ว
“ตัวสูงหล่อ หน้าตาคมเข้มกว่าที่พอคิดไว้เยอะเลย” จรัญว่าพลางยิ้ม “หน่วยก้านใช้ได้อย่างนี้พอดีเลย คราวนี้ก็มีคนช่วยพ่อลงพลับพลึงแล้ว”
“…..” เมฆายิ้มบางทั้งที่ยังงงๆกับสถานการณ์และคำพูด คนหน้าดุหันไปมองหน้าน้องอย่างต้องการคำอธิบาย แต่คนที่ไขข้อข้องใจกลับเป็นพ่อเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องทำหน้างงลูก น้องมันเล่าเรื่องเมฆให้พ่อฟังบ้างแล้ว ตกลงว่าเป็นแฟนกันจริงๆใช่ไหม”
“ครับ ผมกำลังคบกับลูกชายของคุณพ่อ ยังไงผมขอฝากตัวด้วยนะครับ” แม้จะนึกแปลกใจในท่าทางรับได้ของจรัญ แต่เมฆาก็สามารถโต้ตอบได้อย่างฉะฉานไม่ติดขัดจนผู้เป็นพ่อยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
“พ่อฝากน้องด้วยนะเมฆ มีลูกชายกับเขาคนเดียว ถ้าน้องมันทำอะไรให้ขัดเคืองใจก็เตะตูดได้เลย พ่อไม่ว่า แล้วก็เรียกพ่อธรรมดาเหมือนที่รักเรียกดีกว่า เรียกคุณพ่อแล้วฟังแปลกๆชอบกล”
“ครับ” เมฆารับคำพร้อมกับยิ้มกว้าง เป็นจงรักที่โวยวายออกมาเพราะข้อตกลงแปลกๆของบิดากับแฟนหนุ่ม
“ตกลงอะไรกันเนี่ย รักไม่ให้เตะง่ายๆหรอกนะครับ”
“ไม่ต้องหน้ามุ่ยเลยตัวดี ไปขึ้นรถเถอะ ป่านนี้หลานพ่อตื่นแล้วมั้ง” คิดถึงหลานตาสีน้ำข้าวแล้วก็อดเห่อไม่ได้ จรัญรีบบอกให้หนุ่มๆขึ้นรถแล้วออกเดินทางทันที
กว่าจะเดินทางมาถึงบ้านสวนที่แม่แจ่มก็กินเวลาเกือบชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงพอดิบพอดี สมาชิกทุกคนในบ้านที่ตื่นกันแต่ไก่โห่ก็ออกมาต้อนรับลูกชายคนเล็กของบ้านถ้วนหน้า แฝดสาวคนน้องอุ้มลูกชายตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มออกมารับคุณอาจงรักเช่นกัน มีก็แต่จิราแฝดสาวคนโตที่จัดโต๊ะอยู่ในห้องอาหาร
“พี่รีสวัสดีครับ”
“จ้า เป็นไงเดินทางมาเหนื่อยไหม”
“ไม่เหนื่อยเลยครับ ว่าแต่รักขออุ้มหลานหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ มาๆ” จงรักรับหลานจากพี่สาว ช้อนร่างเจ้าตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหยอกล้อด้วยความรักใคร่
“เมฆใช่ไหมคะ เราชื่อจุรีเป็นพี่สาวคนรองของน้องรักค่ะ” จุรีทิ้งลูกชายไว้กับจงรักก่อนหันมาทักทายชายหนุ่มแปลกหน้า
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เมฆยิ้มรับคำทักทายของจุรี แล้วรู้สึกว่าคนบ้านนี้ยิ้มเก่งกันทั้งบ้าน
“มาเหนื่อยๆเดี๋ยวเข้าไปทานอาหารเช้าด้วยกันก่อน พี่จิแกทำข้าวต้มปลาไว้รอน่ะค่ะ ส่วนกระเป๋าเดี๋ยวรีให้เด็กเอาไปเก็บให้ที่ห้องนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“เข้าบ้านเถอะลูก มีอะไรไปคุยกันที่โต๊ะกินข้าว” หลังจากเอารถเก็บเรียบร้อยพ่อก็จรัญเดินมาแตะที่แขนเมฆาแล้วชวนให้เข้าบ้าน
“ครับ” เมฆพยักหน้ารับแล้วเดินตามทุกคนเข้าบ้าน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในยามเช้ารื่นเริงและอบอุ่นอย่างที่เมฆาไม่เคยได้สัมผัสมานานมากแล้ว ทุกคนในครอบครัวเป็นกันเองกับเขาเสียจนเหมือนครอบครัวเดียวกัน จิราพี่สาวคนโตของบ้านก็ทักทายเมฆาด้วยดี แม้เธอออกจะดูห้าวๆผิดกับจุรีอยู่มากสักหน่อยก็ตาม เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจงรักถึงมีอุปนิสัยน่ารักอย่างที่เห็น เพราะน้องถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาท่ามกลางวงล้อมของครอบครัวที่วิเศษและอบอวลไปด้วยความรักเช่นนี้นั่นเอง
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเมฆากับจงรักก็แยกตัวออกมาพักผ่อน เนื่องจากอ่อนเพลียกับการเดินทางไกลตลอดทั้งคืน พอขึ้นมาชั้นบนของบ้าน เมฆาพบว่ากระเป๋าสัมภาระของตนถูกนำมาวางไว้ที่ห้องนอนของจงรัก
“พี่เมฆจะอึดอัดไหมครับ ถ้าไม่สะดวกรักจัดห้องให้อีกห้องหนึ่งก็ได้นะครับ”
“พี่นอนได้ ไม่อึดอัดหรอก เตียงออกจะกว้าง”
“งั้นพี่เมฆจะอาบน้ำก่อนไหมครับ”
“เรานั่นแหละไปอาบก่อน เมื่อเช้าเห็นทำท่าง่วงจะแย่ อาบน้ำแล้วจะได้รีบนอนเอาแรง เห็นพ่อบอกว่าบ่ายแก่จะพาไปดูสวนกล้วยไม้นี่”
“งั้นรักไปอาบก่อนนะครับ” จงรักทำตามที่เมฆาสั่งอย่างว่าง่ายเช่นเดิม แต่ก่อนเข้าห้องน้ำก็ยังช่วยจัดข้าวของเข้าตู้เสื้อผ้าเสร็จสรรพ
พอจงรักเข้าไปในห้องน้ำแล้ว ดวงตาคมดุก็กวาดมองไปรอบๆ ห้องนอนขนาดใหญ่พอสำหรับอยู่ได้สองคน ตรงกลางมีเตียงตั้งหัวนอนติดบานหน้าต่าง ด้านซ้ายมีประตูออกไปที่ระเบียง ด้านขวามีประตูห้องน้ำ ผนังด้านหนึ่งมีตู้เสื้อผ้าไม้สักขนาดกะทัดรัดกับโต๊ะเขียนหนังสือ ทุกอย่างถูกจัดเรียงเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน แม้ว่าเจ้าของห้องจะไม่อยู่แต่คงมีคนเข้ามาดูแลความสะอาดให้อยู่เสมอ
ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มองกรอบรูปซึ่งตั้งเอาไว้ชิดกับแจกันใส่ดอกไม้สด มองมันสักพักเขาจึงหยิบขึ้นมาพิศดูใกล้ๆ ในนั้นเป็นรูปครอบครัว ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน คือ พ่อจรัญที่ยังหนุ่ม ฝาแฝดจิรากับจุรีตอนยังเป็นเด็กหญิง และสาวตาคมหน้าแขกคนหนึ่งซึ่งอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก เด็กคนนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจงรัก
ครอบครัวนี้มีรูปร่างค่อนข้างตัวเล็กเหมือนกันหมด แต่อย่างหนึ่งที่ต่างคือจงรักได้ดวงตาแขกมาจากแม่ ในขณะที่พี่น้องอีกสองคนเหมือนพ่อ ทว่ารอยยิ้มกว้างกลับเป็นพิมพ์เดียวกันหมด ที่ว่าเป็นพิมพ์เดียวไม่ใช่ว่ารูปลักษณ์เหมือน แต่ทุกคนในรูปนั้นยิ้มอย่างคนมีความสุขแบบเดียวกัน ขนาดจงรักตัวจิ๋วยังยิ้มแต้ไปกับเขาด้วย ภาพเพียงภาพเดียวทำให้เมฆารู้สึกดีจนต้องยิ้มตาม
เขาเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้ แต่มันก็นานมากจนแทบจำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะพ่อกับแม่เสียพร้อมกันตั้งแต่เขาเรียนอนุบาล คนที่เลี้ยงดูมาตลอดก็คือตาเพียงคนเดียว ไอ้การที่จะกลับไปเจอครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า หัวเราะเฮฮานั้นอย่าได้หวัง เพราะอยู่กันสองคนตาหลาน และตาเองก็เป็นคนดุๆไม่ค่อยพูดค่อยจา เมฆาจึงติดอุปนิสัยนี้มาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเมฆาก็รักตาของเขามาก พอมาเห็นครอบครัวของจงรักแบบนี้ก็ทำให้อดคิดถึงไม่ได้
เดินสำรวจห้องไปเรื่อยเปื่อยรอจนจงรักอาบน้ำเสร็จเมฆาจึงเข้าไปอาบต่อ พอออกมาจากห้องน้ำยังไม่ทันแต่งตัวเสร็จก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆจากคนที่หลับอุตุอยู่บนเตียง ร่างสูงรีบแต่งตัวจากนั้นจึงปีนขึ้นเตียงตามไปนอนข้างๆด้วยอีกคน จ้องมองคนตัวเล็กที่นอนขดเป็นกุ้งเหมือนเด็กแล้วเผลอยิ้มออกมา
เหมือนมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่างทำให้เขาค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ตัวน้องช้าๆ ค่อยๆเปิดผ้าห่มแล้วซุกกายอยู่ข้างๆ เฝ้ามองดวงหน้าเคียงหมอนที่อยู่ห่างแค่คืบ ไม่ได้พินิจพิเคราะห์จับผิดอะไร หากแต่แค่อยากมองอย่างไม่มีสาเหตุก็เท่านั้น แล้วเหมือนกับว่าคนที่หลับจะรู้ตัว เปลือกตาที่ปิดสนิทไปแล้วค่อยๆเปิดขึ้นมาช้าๆ ทั้งคู่สบตากันในความเงียบ เสียงลมหายใจแผ่วรดรินปลายจมูกกันและกัน สุดท้ายเป็นจงรักที่เอ่ยถาม
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ นอนไม่หลับเหรอ”
“ไม่หรอก พี่แค่ดูอะไรนิดหน่อย”
“ดูอะไรครับ” จงรักถามต่อ
“ดูหน้ารักนั่นแหละ”
“หน้ารักมีอะไรติดเหรอครับ” มือที่ยกขึ้นมาลูบหน้าตัวเองถูกจับให้ออกห่าง แล้วกุมเอาไว้หลวมๆ
“ไม่มีหรอก นอนซะ”
“แล้วพี่มองอะไร พี่ไม่บอก รักนอนไม่หลับนะ”
“พี่แค่สังเกตว่าเห็นว่า ตารักเหมือนแม่จริงๆด้วย”
“ครับ พ่อก็บอกแบบนั้น” จงรักสนับสนุนความคิดนั้นอย่างภาคภูมิใจ
“พี่ชอบตารัก” พอพูดจบริมผิดปากก็เคลื่อนเข้าหา จงรักจึงค่อยๆปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ให้เมฆาประทับจูบแผ่วเบาบนพื้นผิวนั้นทั้งสองข้าง จากนั้นจึงตวัดแขนโอบรอบตัวจงรักเข้ามาจนหน้าผากมนชิดอก ก้มลงกดจมูกลงบนกลุ่มผมนุ่มกลางกระหม่อมหนึ่งครั้งเป็นอันเสร็จพิธี
“นอนกันดีกว่า พี่เริ่มง่วงแล้วล่ะ”
“…ครับ…” น้องรับคำเสียงอู้อี้แล้วหลับลงอย่างว่าง่าย
ตอนที่เขานอนมองหน้า มองเพียงแค่คนตรงหน้า เขาช่างรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้รับความรักจากคนคนนี้ รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่คนคนนี้เลือกรักเขาทั้งที่มีคนดีกว่าอีกเป็นแสนเป็นล้าน เขาไม่รู้ว่าคนเรามีความอดทนมากแค่ไหน แต่การที่ทนมอบความรักให้กับคนที่เขาไม่เคยรับได้เป็นเวลานาน เมฆามองว่าคนคนนั้นมีความอดทนสูงลิว เขาที่เป็นฝ่ายถูกมอบความรักให้จึงอดที่จะประทับใจและตื้นตันใจไม่ได้ สำคัญที่สุดคือรู้สึกเสียใจ เสียใจที่เขาไม่เคยรับรู้ ทั้งที่ทุกคนรอบกายต่างก็รู้ว่าน้องรู้สึกอย่างไรกับเขา เสียใจที่เป็นสาเหตุให้จงรักต้องจมปรักกับรักที่ไม่สมหวังมานานหลายปี
ณ ขณะนี้เวลามองตาคู่นั้น ในใจไม่ได้รู้สึกสับสน ไม่ได้รู้สึกสงสาร นอกเสียจากความรู้สึกที่ว่าพอยิ่งจ้องลึกเข้าไป เขายิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้แค่ชอบเจ้าของดวงตา
แต่เมฆารู้สึกว่าเขาเริ่มหลงรัก’จงรัก’เสียแล้ว ตะวันคล้อยต่ำไปทางด้านทิศตะวันตกมากขึ้นทุกที แสงแดดอ่อนกำลังลงมากกว่าก่อนหน้านี้มาโข จิราแฝดสาวคนพี่นั่งพักเหนื่อยจากการคุมคนงานอยู่ใต้ต้นจามจุรีสูงใหญ่ เธอใช้หมวกสานโบกพัดเรียกลมเย็นให้ตัวเอง สายตามองจับจ้องออกไปยังผู้เป็นบิดาซึ่งกำลังเดินเข้ามาหา พอเห็นว่าร่างของพ่อเคลื่อนที่เข้ามาใต้ร่มไม้เดี่ยวกัน จิราก็ยิ้มรับ
“เป็นไงบ้างจิ เรียบร้อยดีไหมลูก”
“เรียบร้อยดีค่ะพ่อ แต่คงต้องสั่งให้ช่างติดไฟในเรือนเพาะชำเพิ่มสักหน่อย จิว่าไฟมันน้อยเกินไป กลางคืนจะมองไม่เห็นเอา” โครงการส่วนขยายโรงเพาะชำกำลังคืบหน้าไปด้วยดี แม้จิราจะเป็นผู้หญิง แต่เธอรับหน้าที่ดูแลแทบทุกอย่างในสวนแทนพ่อแล้ว ทั้งเธอยังทำได้ดีมากอีกด้วย
“จะเสร็จทันอาทิตย์หน้าไหม อากาศเย็นลงทุกที พ่ออยากย้ายกล้าแคทรียามาไว้ที่โรงเลี้ยงใหม่แล้ว โรงนู้นมันแออัดเหลือเกิน” จรัญบอกถึงความกังวลใจที่เขามีให้ลูกสาวคนโตฟัง
“ทันค่ะพ่อ นายช่างบอกว่าอีกสามสี่วันก็เรียบร้อย ตอนนี้เหลือแค่เก็บรายละเอียดหลักๆ พวกรางน้ำ กับสายไฟน่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีลูก พ่อจะได้เบาใจลงหน่อย”
ลมเย็นพัดโชยอ่อนพาเอาเกสรดอกหญ้าปลิวว่อน สองพ่อลูกยืนเคียงกันใต้ต้นไม้ใหญ่ ในความเงียบงันที่เกิดขึ้น เพราะจิรากำลังใช้ความคิด เธอจมอยู่กับเรื่องบางอย่างที่ทำให้กังวลใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่าจิ หนูดูเงียบๆไปนะ” และความกังวลใจที่ซุกซ่อนเอาไว้นั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพ่อไปได้
“เปล่านี่คะ” เธอปฏิเสธ
“พ่อเห็นตั้งแต่บนโต๊ะอาหารแล้ว จิเอาแต่จ้องเมฆเขา”
“ก็แค่มองประเมินน่ะค่ะ”
“มีอะไรในใจก็พูดกัน อย่าเก็บไปคิด เก็บไปกังวลใจคนเดียว น้องไม่ได้อยู่กับเราตลอดนะลูก หนูปล่อยให้ตัวเองคิดมาก เดี๋ยวพอน้องกลับไปหนูจะยิ่งกังวล ไหนบอกพ่อซิ จิคิดมากเรื่องอะไร”
“ความจริงก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกค่ะพ่อ แต่จิแค่รู้สึกว่า…”
“หนูไม่ชอบเมฆเขาเหรอ ท่าทางเขาดูไม่น่าไว้ใจหรือไง”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” เธอไม่ได้คิดว่าเมฆาไม่น่าไว้ใจ แค่รู้สึกวูบโหวงในอกแบบแปลกๆ เธอรู้สึกกังวล แต่ก็ไม่รู้ว่ากังวลเรื่องอะไร
“แล้วมันอย่างไหน ไหนลองพูดออกมาให้พ่อฟังหน่อย” จรัญว่าอย่างใจเย็น เขารู้จักลูกสาวคนโตของเขาดี รู้ว่าความจริงแล้วไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย จิราแค่เป็นห่วงและหวงน้อยชายคนเล็กของเธอมากก็เท่านั้น
“เมฆเขาดูน่าไว้ใจ ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่จิคิดไว้มาก”
“แล้วอะไรที่หนูห่วง”
“จิเผลอคิดสะระตะไปเรื่อย กลัวว่าวันหนึ่งพวกเขาอาจจะเลิกกัน เมฆอาจจะทำให้รักเสียใจ จิไม่อยากเห็นน้องเสียใจ เพราะพวกเราต่างก็รู้ว่าน้องรักเขามาก แต่ไหนแต่ไรมารักไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคบใคร พอไปอยู่กรุงเทพกลับมาก็บอกว่าตัวเองชอบผู้ชาย หนูยังจำวันที่น้องสารภาพกับพ่อได้อยู่เลย แล้วดูสิคะ นี่มันห้าปีแล้วนะ ใครจะไปคิดว่าน้องจะสมหวังกัน อันที่จริงมันก็ดีแล้ว ดีมากๆเลย แต่ถ้าวันหนึ่งพวกเขาต้องเลิกกันรักจะไม่เสียใจแย่เหรอ จิก็แค่กลัวน่ะค่ะพ่อ” เธอเล่าความรู้สึกทั้งหมดให้พ่อฟัง จรัญได้ยินก็ยิ้มออกมาก่อนจะบอกบางอย่างกับลูกสาวคนโต
“จิรา สิ่งที่มันยังไม่เกิดหนูไม่ต้องกลัวไปหรอก อะไรที่หนูพูดถึง อะไรที่กังวลมันคือเรื่องของอนาคตและภาพในอดีต พ่อเคยบอกแล้วว่าปัจจุบันสำคัญที่สุด ถ้าตอนนี้น้องมีความสุขดีพวกเราก็ควรดีใจ เรื่องของอนาคตก็ปล่อยมันไป เจ้ารักน่ะมันเป็นลูกผู้ชาย เป็นน้องชายคนเก่งของจิ ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเขาต้องผิดหวังเสียใจ จิเชื่อเถอะว่าน้องจะทนได้ น้องเข้มแข็งมากกว่าที่หนูคิด”
“มันดีจริงๆใช่ไหมคะพ่อ”
“ดีสิลูก จิดูอย่างพ่อนะ ถึงแม้แม่จะจากพ่อไปเร็วจนน่าใจหาย พ่อยังไม่เคยนึกเสียใจเลยที่วันนั้นพ่อเลือกเดินเข้าไปจีบแม่ เพราะฉะนั้นเรื่องของรักไม่มีอะไรที่หนูต้องกลัว”
“นั่นสินะคะ” จิรารู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้คุยกับพ่อ
“ดูโน้นสิ พูดถึงก็มาพอดี” จรัญบุ้ยปากไปในทิศทางหนึ่ง
“มีหมูน้อยมาส่งครับ ตารัญ ป้าจิ!”
จิรามองตามไปก็เห็นจงรักกำลังอุ้มหลายชายตัวน้อยทุ้มบ่า เดินหน้าตายิ้มแย้มมาแต่ไกล ข้างกายมีชายหนุ่มร่างสูงเดินตามเพื่อกางร่มให้ ดวงตาดุๆนั่นมองน้อยชายของเธอด้วยความอ่อนโยน แล้วเธอก็เข้าใจที่พ่อพูดได้ในทันที
ได้เห็นจงรักที่น่ารักมีความสุขแบบนี้มันก็ดีที่สุดแล้วจริงๆ<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาแล้วค่ะ >O<
มาเรื่อยๆเรียงๆอีกแล้ว
ตอนนี้พี่เมฆก็เปิดตัวใสๆกับคนที่บ้านไป
ตอนเขียนก็คิดว่าอยากจะเขียนอะไรที่ให้ความรู้สึกอุ่นๆ
เขียนถึงที่ที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาอย่างดี อาจไม่ดีที่สุด แต่อยากให้ดูอบอุ่นๆหน่อย
หวังว่าทุกคนจะชอบกันค่ะ
ส่วนเรื่องจะมีดราม่าไหม อันนี้บอกไม่ได้ ช่วยติดตามต่อไปด้วยนะคะ
อยู่ให้กำลังใจจงรัก พี่เมฆ กับคนเขียนไปจนกว่าจะจบน้า
เจอกันตอนหน้าค่ะ
pungjungza