.
วันต่อมาคุณไป๋ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปส่งครอบครัวขึ้นเครื่องบินไปไต้หวัน พอผมถามว่าทำไมเขาไม่ไปด้วย คำตอบก็คือครอบครัวที่ไปเนี่ย ไม่ได้มีแต่ป๊าม้าหรือน้องสาว แต่มีอากู๋ อากิ๋ม อาโกว บรรดาญาติเขาไปกันสิบกว่าคน ดังนั้นเหตุผลที่ไม่ไปก็คือไม่ชอบความวุ่นวาย อีกอย่างไหว้พระน่ะไปไหว้แถวเยาวราชก็ได้ เขาว่าอย่างนั้น
ช่วงกลางวันที่ไม่มีอะไรทำ ไอ้ข้าวเลยชวนผมไปเดินเล่นในมหา’ ลัยที่พวกผมไปลอยกระทงกัน มันเป็นคนชอบถ่ายรูป แล้วก็ตั้งใจจะเอากล้องฟิล์มมาหามุมสวยๆ ถ่ายไปตามเรื่องตามราว ส่วนผมจากที่คิดว่าจะแค่เดินไปเป็นเพื่อนมัน ก็ดันสนใจเรื่องการถ่ายรูปขึ้นมาซะได้
ยิ่งเพื่อนสนิทอธิบายหลักการพื้นฐานคร่าวๆ ให้ฟัง แถมยังให้ลองถ่ายดูหลายครั้งก็รู้สึกได้เลยว่าเงินในบัญชีมันเริ่มมีอาการเรียกร้องอยากถูกใช้
ผมเจอกับคุณไป๋อีกครั้งตอนกลับมาบ้านช่วงบ่าย สิ่งที่เห็นก็คืออีกฝ่ายใส่มาสก์ปิดปากกับจมูกเอาไว้พร้อมแปะเจลลดไข้ไว้บนหน้าผาก
เจ้าตัวส่งข้อความมาบอกผมตั้งแต่เช้าแล้วว่าปวดหัวนิดๆ เหมือนจะไม่สบายแต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมเลยตกใจไปนิดหน่อยตอนที่เห็นว่าเขาถึงกับต้องแปะเจลลดไข้
เขานั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟากับเป้ยและปล่อยพวกเด็กๆ ให้ออกมาวิ่งซนตอนที่ผมไปหา นั่งลงข้างเขาแล้วก็ใช้หลังมือแตะหน้าผาก ก่อนจะถามต่อ
“เป็นไงบ้างคุณ”
“ปวดหัวนิดๆ ตั้งแต่เช้าแล้วอะ พอไปส่งป๊ากับม้าที่สนามบินแล้วเจอแอร์เย็น คนเยอะด้วยมั้ง เลยเริ่มตัวร้อนแล้วเนี่ย”
“ไม่ใช่เพราะผมพาคุณไปนั่งรถตากลมเมื่อคืนหรอกเนอะ”
“ไม่รู้ดิ”
คนป่วยพูดแล้วหัวเราะออกมา ก่อนที่ผมจะถามต่อ
“กินยารึยัง”
“กินพาราไปแล้ว พักนิดนึงคงหายแหละ”
เขาตอบ เอนตัวมาพิงไหล่ ก่อนที่ผมจะโอบเขาไว้แล้วยิ้มออกมา
“แล้วคืนนี้ผมต้องออกไปกับพวกเพื่อนๆ ด้วยอะ คุณก็มีนัดนี่ใช่ไหม”
ตอนแรกผมตั้งใจจะชวนเขาไปฉลองด้วยกัน ใจจริงก็อยากเคาต์ดาวน์กับเขานั่นแหละ แต่เจ้าตัวบอกว่าเพื่อนเขาจองโต๊ะร้านอะไรสักอย่างไว้แล้ว
“ใช่ ผมก็มีนัดกับเพื่อนเหมือนกัน ไม่ครบกลุ่มหรอก แค่สามคนที่ยังไม่มีครอบครัวอะ แต่ถ้าป่วยแบบนี้สงสัยคงต้องนอนอยู่บ้าน”
พูดจบเขาก็หาวออกมา จนผมต้องถาม
“นอนมั้ยคุณ เดี๋ยวกางโซฟาออกมาให้”
พอเขาพยักหน้ารับ ผมก็ลุกขึ้น แล้วพูดต่อ
“องค์ชายยกเท้าขึ้นให้กระผมก่อนนะครับ”
คนฟังหัวเราะคิก ยกเท้าขึ้นไปขัดสมาธิ พอโซฟากางออกเป็นเตียงเขาก็นอนลง ส่วนผมเดินไปนั่งข้างๆ ก่อนจะได้ยินเสียงพวกแมวเด็กสู้กันจนต้องหันไปดู พร้อมกับที่คุณไป๋พูดขึ้น
“สักวันบ้านผมต้องถล่มลงมาแน่ๆ”
ผมหันไปมองคนที่นอนอยู่ ส่งยิ้มให้แล้วตอบกลับ
“ไม่เป็นไรหรอก ผมทำงานบริษัทสถาปนิก”
ดวงตาของเขาที่อยู่เหนือมาสก์หรี่เล็กลงเพราะรอยยิ้ม ก่อนผมจะขยับเข้าไปใกล้ ปัดเส้มผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากคนตรงหน้าออกแล้วชวนคุย
“ได้ของเล่นใหม่มาด้วย กะว่าพรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรจะชวนไปเล่นซะหน่อย”
“เล่นอะไรอะ”
“กล้องฟิล์ม”
“...”
“วันนี้เพื่อนผมมันไปเดินถ่ายรูปมา ถ่ายกับกล้องฟิล์มอะ ผมก็เลยลองเล่นดู น่าสนุกดีนะคุณ แล้วพอดีว่ามันมีกล้องใช้แล้วทิ้งติดมาด้วย มันเลยยกให้ผมมาลองใช้ดูตัวนึง”
“กล้องมีแบบใช้แล้วทิ้งด้วยเหรอ”
“อือฮึ ผมเพิ่งรู้วันนี้เหมือนกันเนี่ย ตอนแรกตั้งใจว่าจะชวนคุณไปไหว้พระที่ศาลเจ้าแถวเยาวราช แล้วเดินเล่นถ่ายรูปด้วยกัน”
“ไปได้อยู่แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”
“อยากไปอะดิ”
คนฟังส่งสายตามาทางนี้ ดวงตาหยีลงเป็นรอยยิ้ม พยักหน้ารับ แล้วเลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ ระหว่างที่เรากำลังสบตากันเสียงร้องง้าวและเสียงการต่อสู้ของพวกลูกแมวก็ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง เหมือนเป็นฉากหลัง
วันก่อนคุณไป๋โทรไปหาหมอเพื่อปรึกษาเรื่องการฉีดวัคซีนมาแล้ว และได้คำตอบว่าสามารถพาไปได้เลยหลังวันหยุดปีใหม่
นอกจากนี้สีตาของพวกเด็กๆ ก็เริ่มชัดเจนขึ้น เช่นเดียวกันกับบุคลิกของแต่ละตัว สิ่งที่ทุกตัวมีเหมือนกันเลยคือความซน ถึงอย่างนั้นแต่ละตัวก็ยังมีรายละเอียดในพฤติกรรมต่างๆ ที่แตกต่างกัน
ตัวแรก มะยม เจ้าพี่ใหญ่สีส้มที่ได้สีขนแบบไล่ระดับจากแม่มาเล็กน้อย ตอนนี้สีเริ่มเข้มขึ้น แต่ก็ยังเป็นส้มในโทนที่อ่อนกว่ามะตูม สีตาชัดเจนแล้วว่าเป็นสีเหลือง พฤติกรรมที่ผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่งก็คือเจ้านี่มักจะไม่เข้ามาแย่งกินขนมกับน้องๆ เวลาที่คุณไป๋เขาให้ชิ้นเนื้อปลา อกไก่ หรือขนมแมวเลีย แต่จะยืนมองอยู่ห่างๆ รอจนน้องกินอิ่มแล้วตัวเองถึงจะเข้ามากิน
เป่าเปา พี่รอง ทั้งสีขนและสีตาเหมือนเป่าเป้ยทุกอย่าง ด้วยความที่สีเหมือนแม่ล่ะมั้ง เจ้านี่ก็เลยติดแม่ที่สุด ต่อให้ไม่กินนมก็ยังชอบไปนอนใกล้ๆ ไปคลอเคลียอยู่กับแม่ตลอดเวลา
มะระ เจ้าเด็กสามสี ที่ตอนนี้เห็นชัดเจนแล้วว่าตาทั้งสองข้างสีไม่เหมือนกัน ข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองแบบมะตูม ส่วนอีกข้างเป็นสีฟ้าเข้มแบบเป่าเป้ย เพราะเป็นลูกสาวล่ะมั้ง เจ้าหนูนี่เลยเรียบร้อยที่สุด มักจะชอบปลีกวิเวกไปนอนพักผ่อนอยู่ตัวคนเดียว ในตอนแรกผมกังวลว่ามะระจะสุขภาพไม่ดีเพราะดูซึมๆ แต่คุณไป๋บอกว่าตอนเด็กเป่าเป้ยก็นิสัยแบบนี้ เลยวางใจไปได้หน่อยนึง
และเจ้าน้องเล็กชิงชิง เจ้าเด็กขาวส้มตาสีเหลือง ลูกสาวคนเล็กที่แสบที่สุดในบ้าน ซนที่สุดในบ้าน และเป็นแกนนำในการพาพี่ๆ วิ่งเล่นไปทั่ว ชอบเล่นต่อสู้กับมะยมเป็นที่สุด และชนโน่นนี่ล้มกระจายเป็นประจำ
ผมหันไปมองแก๊งแมวเด็กที่พากันวิ่งเข้าไปมุดใต้ท้องเป่าเป้ยเพื่อกินนม ทันทีที่เห็นว่าแม่เดินออกมาจากหลังบ้าน ภาพตรงหน้าทำให้ผมยิ้มได้ สักพักแม่แมวก็ต้องยอมทิ้งตัวนอนให้พวกตัวกลมแย่งกันดูดนมจนมีเสียงดัง ทุกครั้งที่เห็นอะไรแบบนี้ ในความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสารเป้ย
แล้วอยู่ดีๆ คนที่นอนอยู่ก็ส่งคำถามมา
“แล้วเพื่อนคุณล่ะ”
“ไอ้ข้าวอยู่ที่บ้านผม ส่วนคนอื่นนัดเจอกันที่ลานเบียร์ตอนทุ่มกว่า”
“อ้าว แล้วคุณไม่ไปเทกแคร์เพื่อนเหรอ”
“ไม่ต้องหรอกคุณ ไอ้ข้าวเนี่ย ตอนอยู่มหา’ ลัยมันก็อยู่บ้านนี้กับผมนี่แหละ”
“อ๋อ แล้วมะตูมอยู่บ้านคุณใช่มั้ย วันนี้ยังไม่เจอกันเลย”
ทันทีที่ได้ยินคำถาม ภาพไอ้แมวเหลืองที่ทำเป็นนอนเต๊ะท่าให้ไอ้ข้าวถ่ายรูปด้วยกล้องโปรก็แวบกลับเข้ามาในความทรงจำของผมทันที มันน่าหมั่นไส้จริงให้ตาย
“ใช่ ทดลองเป็นนายแบบให้เพื่อนผมถ่ายรูปอยู่”
สิ่งที่ผมพูดทำให้เขายิ้มได้แล้วเราก็เงียบกันไป ผมละสายตาจากเขา หันไปดูพฤติกรรมพวกเด็กๆ ที่กำลังกินนมแม่ มองกลับมาอีกทีคุณไป๋ก็หลับไปเรียบร้อยแล้ว
คงเป็นเพราะนอนดึกตื่นเช้า แถมยังไม่สบายด้วยล่ะมั้งเขาเลยหลับยาว
พอถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน ผมก็ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของเขา ก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผาก แล้วกระซิบบอกกันเบาๆ
“ผมกลับก่อนนะคุณ”
คนที่นอนหลับอยู่ลืมตางัวเงีย พยักหน้ารับแล้วหลับต่อได้ในทันที
ผมกลับบ้านตัวเองมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกไปคืนนี้ ก่อนออกจากบ้านยังอดไม่ได้ที่จะชะโงกไปดูบ้านข้างๆ แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะยังนอนหลับอยู่ เลยตัดสินใจที่จะไม่กวน
โทรศัพท์ผมแจ้งเตือนอีกครั้งตอนสองทุ่ม พอเปิดดูผมก็เห็นรูปถ่ายจากกล้องหน้า ในภาพมีคุณไป๋กับเพื่อนๆ สองคนที่รอรถมารับในคืนนั้น และทั้งหมดอยู่ที่บ้านของเขา ก่อนที่ข้อความจะตามมา
‘เพื่อนมาหาที่บ้านแหละ’
‘ดีแล้วคุณ จะได้มีคนอยู่ด้วย’
‘มาแล้วไปแล้วอะ’
‘สองคนนั้นจองโต๊ะกับจองคอร์สอาหารไว้ด้วย จ่ายมัดจำไปแล้ว เลยไม่อยากให้ทิ้ง เสียดายเงินแย่’
‘งั้นคุณก็ต้องอยู่คนเดียวอะดิ’
‘อยู่กับเป้ยหรอก’
‘อยู่กับเป้ยจะเหมือนอยู่กับผมเหรอ? ’
‘สนุกกับเพื่อนไปเถอะน่า’
‘จะดูหนังผีแล้ว’
‘ห้ามตอบนะ คุยกับเพื่อนเลย อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์!’
ผมยิ้มรับกับข้อความที่ส่งมา ตัดสินใจทำตามที่เขาบอก กดล็อกหน้าจอก่อนจะได้ยินคำถามจากไอ้ธีร์
“คุณไป๋เหรอ”
“อืม”
ผมรับคำ แล้วหันไปมองสบตากับมัน วันนี้ทั้งไอ้ธีร์แล้วก็ไอ้ไอซ์พาแฟนมาด้วยทั้งคู่แบบที่นานๆ จะเห็นสักครั้ง
ไม่แปลกหรอก...ใครๆ ก็อยากข้ามปีไปกับคนพิเศษทั้งนั้นแหละ จริงมั้ย
ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะพูดขึ้น
“ถ้ามึงเป็นห่วงเค้า จะกลับบ้านไปดูก็ได้นะ”
“เค้าอยากให้กูมาอยู่กับพวกมึงเนี่ย”
“เชื่องดีเหมือนกันนะมึงเนี่ย”
พอได้ยินไอ้ข้าวพูด ผมก็ยกมือขึ้นชูนิ้วกลางให้มันก่อนจะกินเบียร์ต่อ
พวกผมนั่งคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ มีความสุขดีหรอกที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลามองไปที่ไอ้ธีร์แล้วเห็นว่ามันกระซิบคุยกับแฟน แตะตัวกันบ้างเล็กน้อยแบบที่ไม่โจ้งแจ้ง แต่ก็ชัดเจนในความสัมพันธ์ มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนที่อยู่บ้านคนเดียว
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรส่งมา ใจหนึ่งก็อยากทักไปหา อย่างน้อยตัวไม่ได้อยู่ด้วย ได้คุยกันก็ยังดี แต่เขาก็ดันไม่อยากคุยด้วยซะอีก...
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงห้าทุ่มกว่า อยู่ๆ ดนตรีที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น พวกผมมองหน้ากันแล้วขำออกมาเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่แหกปากตะโกนร้องเพลงนี้
มันคือเพลง ‘ขอเถอะปีนี้’ ที่ผมเปิดให้คุณไป๋ฟังตอนนั่งรถ
ผมเห็นไอ้ไอซ์กุมมือแฟนมันเอาไว้ ส่วนไอ้ธีร์หันไปมองคนข้างๆ ด้วยสายตาลึกซึ้ง และอีกฝ่ายก็มองกลับมา ไอ้ข้าวกับไอ้บาสที่ยังโสดก็กอดคอกันร้องเพลงแหกปากดังลั่นเหมือนเดิม ส่วนผมทำได้แค่กำโทรศัพท์ในมือไว้ ก่อนไอ้ข้าวจะยกมือขึ้นมาตบหัวกันเต็มแรง แล้วใช้แขนข้างที่ยังว่างอยู่ล็อกคอผมไปเข้าแก๊งชายโสดกับพวกมัน
เฮ้อ กูอยากโสดที่ไหนล่ะ!
พอเพลงจบลง พวกผมก็เข้าสู่โหมดสนทนาจริงจังไปซะอย่างนั้น เป็นไอ้ธีร์ที่เปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง
“มึงกลับบ้านไปเหอะ”
ผมถอนหายใจ ยกเบียร์ขึ้นมาซดหมดแก้ว ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้พวกมันพูดต่อ เริ่มจากไอ้ข้าว
“กูเข้าใจว่ามึงแคร์เพื่อน อยากอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เนี่ยแม่งก็ครบละ พอละ ไปหาเค้าเหอะไป”
“เค้าโอเค เค้าบอกกูแล้ว”
“โอเคก็เหี้ยละ ไม่สบายแล้วต้องมาอยู่ข้ามปีคนเดียว เหงาตายห่า”
ไอ้บาสพูดออกมา พร้อมหยิบขนมบนโต๊ะใส่ปากแล้วกินเหล้า จนผมต้องพูดต่อ
“ก็พวกมึงสองคนจะนอนบ้านกูไม่ใช่รึไง”
“กูจะบอกอะไรให้ ไม่ว่ามึงจะทำเหี้ยอะไร สุดท้ายพวกกูก็ยังอยู่กับมึงไม่ไปไหน แต่กับเค้าอะ ถ้ามึงไม่คว้าไว้ เค้าก็อาจจะไปกับคนอื่น ดังนั้นมึงก็เลยต้องไปหาเค้า แล้วทิ้งพวกกูไว้ก่อน เข้าใจมั้ย”
ฟังสิ่งที่ไอ้ข้าวพูดแล้วผมก็นึกถึงบรรดาหมอๆ ของเขาขึ้นมาทันที แม่งเอ๊ย!
“กูไม่อยากติดหญิงแล้วทิ้งเพื่อน แบบที่เคยด่าพวกมึงไว้ปะวะ”
“หญิงเหี้ยอะไร เค้าเป็นผู้ชาย”
ขนาดไอ้ไอซ์ยังด่าผมเลย เฮ้อ...
“ดังนั้น กุญแจบ้านมึงอะ เอาออกมาวางไว้นี่ แล้วตัวมึงอะกลับบ้านไป”
ไม่พูดเปล่า ไอ้บาสมันยื่นขามาถีบผมจากใต้โต๊ะซ้ำอีกที ถีบเต็มแรงด้วยเหอะ
ผมกวาดสายตามองพวกมัน สีหน้าทุกคนบอกชัดว่า มึงรีบไปซะทีเหอะ ก่อนผมจะลุกขึ้น หยิบกุญแจบ้านมาวางลงบนโต๊ะเต็มแรง
“เอาไป!”
ได้กุญแจบ้านเสร็จพวกมันก็สะบัดมือไล่ผมกันใหญ่ แถมยังโห่ตามหลัง
นี่พวกมึงรักกูจริงๆ ใช่มะ
แท็กซี่พาผมกลับมาที่หมู่บ้านตัวเองเรียบร้อย มองเข้าไปยังบ้านคุณไป๋ก็เห็นว่าเขาปิดไฟไปแล้วแต่ยังเปิดโคมไฟอยู่
ผมตื่นเต้นขึ้นมาซะดื้อๆ ตอนที่กดกริ่งหน้าบ้าน รออยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็เดินออกมา
เขาใส่ชุดนอนแล้ว แถมยังดูตกใจอยู่ไม่น้อยเลยที่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ผมก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าเขามากอดไว้ทันที
สิ่งที่ได้ยินอย่างแรกคือคำถาม
“มาได้ไงเนี่ย”
“คิดถึงคุณอะดิ”
ผมพูดแล้วหันหน้าไปจูบลงบนเส้นผมของเขา
พอผละกอดออกมาก็เจอกับดวงตาสีเข้มคู่เดิม และใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากอนามัย ผมก้มลงจูบริมฝีปากเขาผ่านแผ่นผ้าบางๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดต่อ
“คิดถึงอะไร ตอนบ่ายก็เพิ่งเจอกัน”
ผมยิ้มรับพร้อมกับถอนหายใจ หันไปปิดประตูรั้ว แล้วกลับมายกแขนโอบไหล่เขา เอนตัวลงไปให้ศีรษะเราสัมผัสกัน
“ผมจะปล่อยให้คุณอยู่ตัวคนเดียวในคืนข้ามปีได้ไงล่ะ ฮึ”
พอเข้ามาในบ้าน สิ่งที่ผมเห็นก็คือเขาเอาแมวทุกตัวขึ้นมานอนบนโซฟา ทุกตัวที่ว่านั่นรวมถึงไอ้ตูมแมวผมด้วย พวกแมวเด็กนอนหลับซุกแม่กันไปหมดแล้ว เหลือแต่ไอ้ตูมลูกพ่อนี่แหละที่ยังนอนลืมตาอยู่ข้างหมอนหนุน
ดูดิ ถึงขนาดเอาแมวมานอนดูหนังด้วยทุกตัว ไหนใครบอกว่าไม่เหงา
พอเขานั่งลงบนเบาะ ผมก็เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะมีมือยื่นออกมาห้ามกัน
“เหม็นเหล้าอะ มีกลิ่นบุหรี่ด้วย ไปอาบน้ำก่อนเลย”
ผมถอยออกมาหนึ่งก้าว ยืนคอตกอยู่ตรงนั้นแล้วพูดออกมา
“ผมเข้าบ้านไม่ได้อะคุณ”
“อ้าว ทำไมอะ”
“พอดีทิ้งกุญแจไว้ที่เพื่อน”
สุดๆ ไปเลยพ่อไอ้ตูม
“งั้น เดี๋ยวหาชุดนอนให้”
พูดจบคนตรงหน้าก็ลุกขึ้น เดินไปห้องเสื้อผ้าที่อยู่หลังบ้าน หาอยู่ไม่นานก็ได้ชุดนอนสีน้ำเงินเข้มลายตารางแบบเข้ากัน กับผ้าขนหนูหนึ่งผืน เขายื่นทั้งหมดมาให้ผมแล้วพูดต่อ
“อาบน้ำข้ามปีแล้วกันเนอะ”
ผมยิ้มรับคำพูดของเขา ยื่นมือไปรับทุกอย่างที่ถูกส่งมาให้ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป
ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกับแมวแบบที่จับใจความได้ลางๆ ว่าพวกเด็กๆ น่าจะลับเล็บกับโซฟาของเขาอีกแล้ว
เมื่อออกจากห้องน้ำมาในสภาพที่ดีขึ้นก็เจอคุณไป๋ซึ่งยังใส่หน้ากากอนามัยกำลังนั่งดูหนัง แบบที่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นหนังสยองขวัญ ส่วนพวกลูกแมวที่เคยนอนอยู่กับเขา ตอนนี้โดนจับใส่กรงไปเรียบร้อย
ผมเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขา กางแขนให้ดูชุดนอนที่ใส่อยู่แล้วพูดต่อ
“ก็ใส่ได้อยู่นะ”
“ชุดใหม่ด้วย ผมใส่ไปครั้งเดียวเอง”
ระหว่างที่เขากำลังตอบ ผมก็นั่งลงข้างๆ แล้วถามออกมาเจือเสียงหัวเราะ
“ใส่มาสก์ทำไมคุณ กลัวแมวติดหวัดเหรอ”
ได้ยินอย่างนั้นเขากดหยุดหนังที่เล่นอยู่ แล้วหันมาตอบกัน
“กลัวคุณนั่นแหละติด”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้น จับปลายคางคนตรงหน้าเอาไว้ แล้วก้มลงไปจูบเบาๆ ผ่านมาสก์อีกครั้งแล้วพูดต่อ
“ถอดออกเหอะน่า เกะกะ”
คนฟังขมวดคิ้วเข้า แล้วคำตอบน่ะเหรอ
“จะแต๊ะอั๋งกันอะดิ”
คำตอบของเขาทำเอาผมหลุดหัวเราะ พร้อมกับถอดมาสก์ที่ปิดใบหน้าเจ้าตัวไว้เกือบครึ่งแล้วถามต่อ
“ผมดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”
“ไม่เลย”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ผมก็ก้มลงไปจูบบนริมฝีปากคู่นั้น ซึ่งวันนี้ให้ความรู้สึกที่ร้อนกว่าปกติ สัมผัสใบหน้าเขาแล้วพูดต่อ
“ตัวยังร้อนนิดๆ อยู่เลย”
“แต่ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วนะ”
ผมยิ้ม พยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวไปนั่งพิงโซฟาเพราะกลัวแม่แมวตื่น พอนั่งได้ที่ก็ถามออกมา
“จะมีใครในโลกนี้ชอบดูหนังผีไปมากกว่าคุณมั้ยเนี่ย”
“ไม่ใช่ผีซะหน่อย เพนนีไวส์เป็นปีศาจ ไม่ใช่ผี”
คนพูดขยับมานั่งข้างๆ กัน กดให้หนังเล่นต่อ ผมโอบเขาเอาไว้แล้วตอบกลับ
“ไม่ใช่ผี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกลัวน้อยลงเลย พูดจริงๆ”
และคำตอบคือเสียงหัวเราะ
ผมนั่งดูเรื่องราวของปีศาจตัวตลกที่ตามหลอกหลอนกลุ่มผู้ใหญ่ที่เคยมีอดีตร่วมกับมัน พอหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูอีกครั้งก็พบว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะข้ามไปสู่ปีใหม่แล้ว เลยพูดกับอีกคนที่สมาธิยังคงจดจ่ออยู่ในจอโทรทัศน์
“อีกห้านาทีจะปีใหม่แล้วคุณ”
“ต้องเคาต์ดาวน์ปะ”
คนฟังถามกลับเจือเสียงหัวเราะ
“นับกันสองคนเนี่ยนะ?”
“งั้น...ปลุกแมวมานับด้วยดีมั้ย”
“เอางั้นเหรอ”
“พลาดละ ไม่ได้สอนแมวนับเลขไว้ก่อน”
ผมพูดทีเล่นทีจริง ยิ้มออกมา ซึมซับช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน
ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่เกิดมา ไม่มีสักครั้งที่ผมจะได้ข้ามปีไปในบรรยากาศแบบนี้ เอ่อ...ไม่ได้หมายถึงข้ามปีด้วยการดูปีศาจตัวตลก แต่เป็นการข้ามปีด้วยการใช้เวลาเงียบๆ อยู่กับใครสักคน จมอยู่ในโลกใบเล็กที่มีแค่เรา เวลา ความวุ่นวาย หรืออะไรต่อมิอะไรจากโลกภายนอกแทบไม่ส่งผลกับพวกผมด้วยซ้ำ
ที่นี่มีแต่ผม เขา แล้วก็พวกแมวที่นอนหลับกันไปหมดแล้ว
หนังจบลงหลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางความเงียบเสียงพลุก็ดังขึ้น แต่ด้วยความที่เราปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดและเปิดแอร์ มันถึงได้ฟังดูห่างไกลเหลือเกิน
คนที่อยู่ในอ้อมกอดหันมามองหน้าผม ส่งยิ้มให้ แล้วกระซิบบอกกันเบาๆ
“แฮปปี้นิวเยียร์”
ผมยิ้มรับ สัมผัสใบหน้าของเขาแล้วจูบลงไปบนริมฝีปาก พอเขาจูบตอบ มันก็เลยยิ่งลึกซึ้งอ่อนหวานมากขึ้น ผมเลื่อนมือไปโอบเอว รั้งให้เขามานั่งบนตัก ดีที่เจ้าตัวโอนอ่อนขยับตามแล้วขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักผม เราสบตากัน ปลายจมูกคลอเคลีย
คุณไป๋ยกมือขึ้นมาคล้องคอผม ในแววตามีความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมา
“ขอบคุณที่กลับมานะ”
ผมพยักหน้ารับคำพูดนั้น พร้อมกับที่เขากอดผมแน่นขึ้น ขยับเข้ามาซุกหน้าไว้ตรงช่วงคอ จูบลงที่ไหล่ผมเบาๆ แล้วก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
ผมกอดเขากลับ ปล่อยให้เวลาได้ทำงาน ให้เราได้ซึมซับความรู้สึกระหว่างกัน
สักพัก...คนที่นั่งอยู่ก็เริ่มขยับตัว ดูท่าทางการนั่งแบบนี้อาจจะทำให้เขาเมื่อย แล้วตอนนั้นแหละที่เริ่มเดือดร้อนขึ้นมา
“คุณๆๆ”
“อะไร”
“อย่าขยับเยอะดิ มันกระเทือน”
ความขบขันเป็นประกายอยู่ในแววตาที่มองสบกัน เขาหัวเราะคิก เม้มปากนิดๆ ก่อนจะส่งคำถามกลับมา
“มันอ่อนไหวขนาดนั้นเลย”
“คุณ...”
“ขอพิสูจน์หน่อย”
คำพูดนั้นมาพร้อมกับสะโพกที่เบียดลงมา และแววตาที่ใสซื่อเป็นประกายเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
โอเค...ผมรู้ว่าพื้นฐานเขาเป็นคนขี้แกล้งอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ถึงหรอกว่ามันจะขนาดนี้
เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้นไปในวินาทีนั้น ผมคว้าเขาเข้ามาจูบหนักหน่วงเนิ่นนานกว่าทุกครั้ง เวลาที่ผ่านไปทำให้จูบที่เคยเร่งเร้าค่อยๆ ช้าลงแต่กลับลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ห้วงลมหายใจที่สะดุดของเขาทำให้ผมต้องถอนจูบออก มองสบตากับอีกฝ่ายในความมืด พร้อมกับรู้สึกได้ว่ามีสัมผัสอุ่นๆ กำลังรุกล้ำเข้ามากอบกุมส่วนสำคัญของผมเอาไว้
ริมฝีปากแดงช้ำแวววาวคู่นั้นมุมปากยกยิ้มนิดๆ ส่งความรู้สึกร้ายกาจเล็กๆ แบบที่กำลังน่าตีมาให้ผม ก่อนเขาจะลดตัวต่ำลง พร้อมกับดึงเอวยางยืดของกางเกงนอนบนตัวผมให้เลื่อนออกไปพร้อมกัน มันเริ่มต้นจากฝ่ามือที่เข้ามาสัมผัส ตามมาด้วยปลายลิ้น และริมฝีปาก
ความอบอุ่นอันเย้ายวนเข้ามาโอบล้อมผมเอาไว้ ในช่วงที่ความอดทนกำลังจะสิ้นสุดลง ผมแทรกนิ้วเข้าไปในเส้นผมสีเข้มนุ่มมือ สัมผัสนั้นทำให้แววตาสีเข้มของเขาเลื่อนขึ้นมามองสบ และภาพนั้นทำให้ทุกอย่างจบลง ผมปลดปล่อยออกมาในที่สุด
ผมยังหายใจหอบ มองคนที่กำลังแลบลิ้นเลียมุมปากของตัวเอง เอื้อมมือไปจับไหล่เขาไว้ พลิกให้เจ้าตัวนอนลงไปกับเบาะก่อนจะตามไปคร่อมทับ แวะงับปลายจมูกเล็กๆ ด้วยความมันเขี้ยวแล้วกระซิบเบาๆ ก่อนจะจูบลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
สารภาพตามตรงว่าความรู้ภาคปฏิบัติระหว่างผู้ชายด้วยกันของผมเป็นศูนย์ ข้อดีคือผมมีเพื่อนๆ และบางครั้ง ไลน์กลุ่มพ่อไอ้ตูมก็ได้กลายเป็นคาบวิชาสุขศึกษา ที่มีสื่อการเรียนการสอนเป็นทั้งตัวหนังสือ และไฟล์วิดีโอ หลังจากส่งหนังโป๊เกย์สามสี่เรื่องเข้ามาในไลน์กลุ่ม ไอ้ธีร์ก็พิมพ์ข้อความทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยความห่วงใย
‘กูพยายามเลือกเรื่องที่ไม่ปลอมมากมาให้มึงแล้วนะ’
‘ของจริงมันไม่แบบนี้เป๊ะๆ หรอก มึงก็ดูไว้เป็นแนวทางแล้วกัน’
‘พอถึงเวลาอารมณ์มันก็พาไปเอง’
,
ใช่...พอถึงเวลาอารมณ์มันก็พาไปเอง
ไม่รู้ทำไมความรู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของ และจับจองทุกส่วนในร่างกายของเขามันถึงมากมายขนาดนี้ ผมก้มลงไป จุมพิตริมฝีปากคู่นั้น เลื่อนมาจูบเน้นย้ำที่ลำคอ ก่อนจะกัดลงไปบนผิวขาว เสียงร้องเบาๆ ที่ดังขึ้นทำเอาความรู้สึกของผมพลุ่งพล่านเร่าร้อนอย่างหยุดไม่อยู่
ผมกลับมามองเขา และครั้งนี้ สิ่งที่ได้เห็นคือความเขินอาย เขาหน้าแดงมาก เม้มปากแน่นเหมือนทุกครั้งที่กำลังประหม่า ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยิ้มออกและใจเย็นลงได้นิดหน่อย ก่อนจะก้มลงอีกครั้ง คลอเคลียปลายจมูกของเราเข้าด้วยกันแล้วถามด้วยเสียงกระซิบที่ติดจะแหบกว่าปกติอยู่นิดหน่อย
“เจ้าตัวร้ายที่ขึ้นมานั่งคร่อมตักผมเมื่อกี้หายไปไหนแล้วฮึ”
คนฟังทำปากคว่ำ ก่อนที่ผมจะเข้าไปจูบเบาๆ พร้อมกับเลื่อนมือลงไปสัมผัส ข้อดีของการที่เราเป็นผู้ชายเหมือนกันคือผมรู้ได้ทันทีว่าต้องทำยังไงเขาถึงจะรู้สึกดีจากประสบการณ์ส่วนตัว
คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาเกาะไหล่กัน กำแน่นระหว่างที่ร่างกายถูกปลุกเร้า แววตาที่ดึงดูดผมอยู่เสมอมีกระแสเว้าวอนจนต้องก้มลงไปจูบซ้ำๆ หลายครั้ง
ในช่วงที่เขากำลังจะปลดปล่อยออกมา ผมดึงกางเกงที่ตัวเองสวมอยู่ลง ปล่อยมือออกแล้วบดเบียดร่างกายของเราเข้าด้วยกัน มือที่เพิ่งว่างลงของผมสัมผัสกับฝ่ามือของเขา เราประสานนิ้วมือ ในความเร่าร้อนนั้นคนตรงหน้าผมหายใจหอบ ร่างกายบดเบียดเข้าหากัน จนกระทั่งปลายทางมาถึง เขาหลับตาแน่น มีเสียงครางปนสะอื้นนิดๆ ดังลอดออกมาก่อนการปลดปล่อย
มือทั้งสองข้างของเขากอดผมแน่นแล้วซุกตัวเข้ามาเหมือนจะขอแบ่งปันความอบอุ่น ผมกอดเขากลับ ลูบเส้นผมนุ่ม รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการถูกออดอ้อนและการได้ครอบครอง
ระหว่างที่กำลังซึมซับช่วงเวลานั้นนั้น สิ่งที่ดึงผมกลับมาคือการเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นข้างหมอน ผมลืมตาขึ้นไปมอง และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือแววตาสีเหลืองของมะตูมที่มองมาทางนี้ แถมยังหรี่เล็กลงกว่าปกติ
ผมขมวดคิ้วเข้า ชะงักไปนิดหน่อยแล้วตะโกนเสียงดังในใจ
เป็นมึง! เป็นมึงอีกแล้วเหรอไอ้ตูม!
- to be continued -
talk .
สวัสดีค่ะ
วันนี้มีปกนิยายมาอวดแหละ อย่างที่บอกไว้แล้วว่า มะตูมกับคุณไป๋จะวางขายวันที่ 10 เดือนนี้
ก็เลยเอาปกมาให้ดูกัน
(น่ารักมากกกกก ใช่มั้ยคะ?)
แจ้งเพิ่มเติมว่าหนังสือราคาเล่มละ 259 บาท ซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปและเว็บไซต์ของแจ่มใสเหมือนเดิม
ในส่วนของอีบุ๊กจะวางขายในเดือนพฤษภาคมนะคะ
อีกเรื่องที่ต้องบอกคือ ตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบของ #รักแมวข้างบ้าน แล้วน้า : )
สำหรับใครที่อยากอ่านตอนจบก่อน ก็สามารถซื้อเล่มมาอ่านกันได้นะคะ ในนั้นมีตอนพิเศษให้อ่านอีก 2 ตอนด้วย
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ
thank you .
[/i]