**ชี้แจง**
เรื่องนี้คนเขียนกะจะลงรายละเอียดแค่สองคู่ จะได้ไม่มากเกินไป
แต่เห็นคนถามถึงคู่นี้กันเยอะ เลยลงเป็น special part ให้นะคะ
Special Part : Beautiful Daisy-ทัช-
“ดีที่คณะนี้อาหารตาเยอะนะมึง ไม่งั้นกูแม่งเซ็งตายชัก อาหารปากไม่ถูกจริตกูอย่างแรง”
“อย่าบ่นน่าเดซี่ โต๊ะมันบอกแล้วว่าไม่ต้องมาเป็นเพื่อนก็ได้”
“ก็มึงเล่นมากันหมด จะทิ้งให้กูกินอยู่ที่คณะคนเดียวหรือไง”
เสียงเถียงกันดังมาจากโต๊ะข้างๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง ผู้ชายสามผู้หญิงหนึ่ง จากที่คุยคงมาจากคณะอื่น
“ตอนเดินมามึงเห็นเดือนวิศวะปีนี้ไหม โคตรของโคตรหล่อ กูเห็นน้องมันแล้วระทวย”
“มึงก็ระทวยกับทุกคนที่หล่อนั่นแหละ”
“ไม่เถียง ใครหล่อผัวกูหมดแหละ”
“เฮ้ยทัช อย่างนี้มึงก็เป็นผัวน้องเขาสิวะ” เต้เพื่อนสนิทผมที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันแซวขึ้น
“กูจะถือเป็นคำชมว่ามึงเห็นกูหล่อ” ผมตักข้าวเข้าปาก ไม่อยากด่ามัน รู้ว่าขืนทำแบบนั้นคงเข้าทาง
“แต่เกย์เดี๋ยวนี้แม่งแรงว่ะ แสดงออกชัดเกิน” บอยพยักเพยิดให้ดูคนเดิม ที่ยังคงกรี๊ดกร๊าดทุกครั้งเมื่อมีคนหน้าตาดีเดินผ่าน
“อย่าไปยุ่งเลย กินๆ เข้าไปเถอะ” ผมตัดบท เพราะนั่งใกล้กันเกินไป กลัวว่าขืนพูดถึงมากๆ อีกฝ่ายจะได้ยิน
“มึงงงง กูจะเอาพี่คนนี้” เสียงฟาดผลั้วๆ ดังอยู่ข้างหน้าผม
“กรี๊ด กูซื้อค่ะกูซื้อ กลับบ้านคิดเท่าไหร่คะ”
“มึงเบาๆ หน่อย กูอาย” ผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มพยายามห้ามปรามเพื่อนตัวเองไม่ให้เสียงดัง
ผมจำน้องๆ กลุ่มนี้ได้ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายมาก มีผู้ชายผอมๆ ใส่แว่นท่าทางเนิร์ดๆ ผู้ชายหน้าตาน่ารัก
ขาวอวบแต่ค่อนข้างเตี้ย ผู้หญิงหุ่นนักกีฬา ส่วนคนสุดท้ายคือคนที่ทำเสียงดังอยู่ตอนนี้ รูปร่างสูงแต่ผอมบาง หุ่นคล้าย
ผู้หญิง ถ้าผมฟังไม่ผิดเท่าที่เคยเจอสองสามครั้งที่คณะ รู้สึกว่าจะชื่อเดซี่
“โต๊ะมึงถ่ายคนนี้ให้กูด้วย โอ๊ยกูอยากลงไปช่วยซับเหงื่อให้”
“ อะ..ชู้ต ชู้ต เป็นไงมึง ผัวกูเก่งที่สุด”
“โฟกัสคนเชียร์ฝังโน้นรัวๆ ค่ะ พิกัดเที่ยงตรงหล่อทะลวงลำไส้กูจริงๆ”
“อื้อหือ ได้สักครั้งจะไม่ลืมบุญคุญเลย”
และอีกสารพัดที่ผมต้องนั่งฟังเสียงนี้จนจบการแข่งขัน ได้แต่คิดในใจว่าวันๆ น้องจะไม่ทำอะไรนอกจาก
มองผู้ชายเลยหรือ
“อะไรนะ!! มึงโดนเทแล้ว”
“เออสิ” เสียงตอบบ่งบอกว่าคนพูดกำลังหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี
“เหี้ยเดซี่ มึงเพิ่งไปเดทกับพี่ปุณครั้งแรก ก็โดนทิ้งเลยเหรอวะ”
“เกิดอะไรขึ้น เล่าให้เจ้าฟังหน่อย” เสียงถามจากรอบวง ดูทุกคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก
พลอยให้ผมคนที่ไม่เกี่ยวข้องเผลอเงี่ยหูฟังไปด้วย
“ก็จะอะไรล่ะ เดทแรกเสือกพาหมามาด้วย พวกมึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบหมาแค่ไหน”
“มึงไม่ชอบมึงก็เก็บอาการหน่อยดิวะ ไปทำอีท่าไหนพี่ปุณถึงจับได้ว่ามึงไม่ชอบหมา”
“ไม่อีท่าไหนหรอกค่ะ ตอนพี่มันอุ้มส่งให้กู ถามว่าน่ารักไหม กูก็ตอบชัดๆ เลยว่า หนูเกลียดหมาค่ะพี่
เท่านั้นแหล่ะหน้าหงิกใส่กู ขอตัวกลับบ้านแทบไม่ทัน”
“เหี้ยเดซี่ สมควรแล้ว ไม่แอ๊บไว้วะ”
“ทำไมกูต้องแอ๊บ”
“แอ๊บวันนี้ได้ผัวในวันหน้าไงมึง”
“ค่ะ ผัวในวันหน้าก็จะพาหมามาด้วยอีก กูไม่เอาหรอกค่ะ”
ผมคิดว่าอย่างน้องคนนี้คงหาใครไม่ได้หรอก ท่าทางจะเรื่องเยอะ พูดก็เยอะ ถ้าผมเป็นคนชื่อปุณอะไรนั่นก็คงเผ่นเหมือนกัน
“กลับมาก่อนสิวะ ไอ้ทุเรศ” ผมได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของคนคุ้นหน้า ดังตามรถบีเอ็มที่เพิ่งขับออกไป
“ไอ้ลูกหมาเอ๊ย” คงจะโดนทิ้งอีกมั้งครับ ถึงได้หัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนี้
ผมไม่ได้สนใจจะฟังต่อ มุ่งหน้าเดินไปที่รถตัวเอง ที่จอดอยู่ในบริเวณเดียวกัน
“โว้ย พวกนั้นก็เสือกกลับไปก่อน ทำไงดีวะกู เจ็บมากไหมไอ้ตัวเล็ก”
ผมชะงักเมื่อได้ยินประโยคนี้
“แม่ง คนเหี้ยอะไรวะ แค่หมาฉี่ใส่ล้อต้องเตะขนาดนี้ ขอให้แม่งโดนซ้อมตับแตกทีเหอะ” เสียงบ่นยังดังอยู่ไม่หยุด
งิ้งๆ
“อย่าร้อง เดี๋ยวจะพาไปหาหมอ”
ผมเปลี่ยนใจเดินย้อนกลับไปหา ก็เห็นคนเกลียดหมา ถอดเสื้อคลุมที่ใส่อยู่ คลุมลงบนตัวสุนัขที่หน้าตาธรรมดา
ไม่ใช่พันธุ์ดังหรือน่ารักแต่อย่างใด ก่อนช้อนขึ้นอุ้ม
“อย่าดิ้น กูเกลียดหมา บอกว่าอย่าดิ้น”
คนร้องก็ร้องไปแต่มือกลับอุ้มกระชับ ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่ปล่อย
ก่อนจะเปิดรถวางสุนัขลงบนเบาะข้างคนขับ
ผมถอยห่างออกมา คิดว่าคงไม่มีอะไรต้องช่วย ยืนมองจนรถคันนั้นขับออกไป
“มีคนนั่งไหมครับ” ผมถามคนที่นั่งก้มหน้ามองโทรศัพท์ ยอมรับว่าวันนี้ตั้งใจเดินมานั่งตรงนี้
“อ่า..” คนถูกถามมองไปรอบๆ คล้ายประเมินที่นั่ง
“มากี่คนคะ พอดีมีเพื่อนมาด้วยอีกสามคน”
“คนเดียวครับ”
“อ๋อ งั้นเชิญเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณคนที่ส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มนั้นเป็นแค่รอยยิ้มบางๆ ของคนมีน้ำใจ ไม่ใช่รอยยิ้มยั่วยวนเชิญชวน
แต่อย่างใด
ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ผมคิดว่าผมก็เป็นคนหน้าตาดีคนนึง หรืออาจจะเรียกว่าหล่อก็ได้
แต่คนที่ผมเห็นเอาแต่กรี๊ดกร๊าดผู้ชาย กลับก้มหน้าลงมองมือถือ ไม่ได้สนใจมองผมเลยสักนิด
“ไม่ทานอะไรเหรอ” ผมลองหาเรื่องชวนคุยดู
“ทานค่ะ” เสียงเรียบๆ สุภาพ ดังมาจากคนที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“เพื่อนกำลังไปซื้อให้ค่ะ” คำอธิบายสั้นๆ ไม่มีการเปิดประเด็นหรือชวนคุยต่อ
“ครับ” เมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้อยากสนทนา ผมจึงไม่คิดจะกวนต่อ จัดการอาหารที่ซื้อมาตรงหน้าไปเงียบๆ
“โต๊ะ นั่งนี่มา” ผมเรียกโต๊ะที่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญเพราะน้องวิ่งลงมาชนผมที่ลำธารตอนอาบน้ำ
แถมตอนนี้ชื่อโต๊ะก็ดังไปทั่วเพราะมีข่าวกับเหนือ รุ่นน้องปีสามคนดังของคณะ
โต๊ะหันหน้าไปมองคนอื่นๆ เหมือนปรึกษา เมื่อเพื่อนๆ พยักหน้า โต๊ะก็หันมาตอบตกลง
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ” โต๊ะขออนุญาตผมอีกครั้งตามมารยาท
“เรียนคณะไหนกัน ไม่ใช่คณะพี่ใช่ไหม” ผมถามออกไปทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ไม่ใช่ค่ะ” คนที่ผมรู้จักมาสักพักเป็นคนตอบขึ้นมา คราวนี้ส่งยิ้มหวานมาให้ ทำท่าชอบผมออกนอกหน้านอกตา
“พี่ชื่อทัช ชื่ออะไรกันบ้าง พี่รู้จักชื่อโต๊ะเพราะเป็นคนดังของทริป”
“เดซี่ค่ะ ป้อมๆ นี่เจ้า สาวถึกนี่ส้ม” เดซี่รีบตัดหน้าเพื่อนๆ แนะนำตัวขึ้นก่อน
“ถึกแต่อ่อนแอ บอบบาง ต้องการคนดูแลนะคะพี่ทัช” น้องที่ชื่อส้มรีบท้วงคำพูดของเพื่อนทันทีจนผมอดขำไม่ได้
“กลุ่มน้องตลกดี พี่ชอบ”
“อ๊าย อย่าให้ความหวังค่ะพี่ เดซี่กลัวตกหลุมรัก ปีนขึ้นมาไม่ไหว”
ตาหวานๆ อาการกระดี๊กระด๊าแบบนี้ผมมักเห็นเสมอเวลารวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ
“ฮ่าๆๆ แล้วนี่สนิทกับพวกเหนือเหรอ เห็นรวมกลุ่มกันตลอด”
ผมถามถึงสิ่งที่ข้องใจก่อน เพราะเห็นรุ่นน้องผมวอแวอยู่กับกลุ่มนี้ไม่ห่าง
“อ่า..พี่ทัชต้องไปถามพวกพี่เหนือครับ ผมก็ไม่รู้ว่าพี่เขาคิดว่าสนิทกับผมหรือเปล่า”
ผมชักชอบน้องๆ กลุ่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ดูเป็นเด็กตรงๆ ซื่อๆ
“สนิทสิพี่ทัช สนิทมาก” เสียงที่ตอบผม มาจากรุ่นน้องคนที่พูดถึง เหนือมาหยุดยืนอยู่หลังโต๊ะ แผ่รังสีบางอย่าง
ออกมาที่ผมจับได้ว่ามันคืออาการหึงหวง
ผมส่งยิ้มให้เหนือแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่นั่งเงียบๆ ฟังเหนือคุยกับโต๊ะ สักพักก็ตามมาด้วยสกาย
สุดท้ายก็พากันลงนั่งร่วมวง โต๊ะเดียวกันทั้งหมด ถ้าผมเดาไม่ผิดคงไม่ได้มีแค่ผมที่สนใจน้องๆ กลุ่มนี้
ห้าวันที่ทำงานร่วมกัน ทำให้ผมรู้ว่าเดซี่ไม่ใช่คนแบบที่เจ้าตัวพยายามแสดงออก
ไม่ใช่เด็กแก่แรด ไม่ใช่คนที่เอาแต่พูด ถึงจะบ่นถึงจะโวยวาย แต่ก็ทำทุกอย่าง ช่วยเขาไปทุกทางเท่าที่ตัวเองจะทำได้
เดซี่จะสนใจผมเฉพาะเวลาที่มีคนอยู่ด้วย ลับหลังคนอื่นจะเปลี่ยนเป็นเด็กธรรมดาๆ กับผม พูดจาเรียบร้อยไม่หยาบคาย
แต่ยังคงความเป็นคนอารมณ์ดีเอาไว้เต็มเปี่ยม
มาวันนี้ ผมถึงได้รู้ว่าเดซี่ไม่ใช่คนแบบที่ผมคิดเอาไว้(ในครั้งแรกที่เจอกัน)แม้แต่น้อย และนั่นทำให้ผมค่อยๆ หลงเสน่ห์
เจ้าตัวเข้าให้ โดยไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวพี่ทัชขับไปส่งส้มที่บ้าน เสร็จแล้วก็ขับไปบ้านพี่ทัชนะคะ แล้วเดซี่จะขับกลับบ้านเอง”
คนที่นั่งข้างๆ ผมบอกเส้นทาง เมื่อผมรับอาสาแทนต่อเป็นคนพาหนึ่งสาวหนึ่งหนุ่มกลับบ้านเอง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปส่งเดซี่แล้วจะนั่งแท็กซี่กลับเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดซี่แค่มึนๆ ยังขับไหวสบายมาก”
“ไม่ได้ เดี๋ยวต่อมันรู้เข้าจะว่าเอาได้ ว่ามาส่งแทนมันแต่ไม่ยอมส่งจริงๆ” ผมพูดเสียงดุๆ ไม่อย่างนั้นคนข้างๆ ไม่ยอมฟัง
จะดื้อกลับเองให้ได้
“มึงก็ชวนพี่ทัชค้างบ้านเลย วันนี้ไม่มีใครอยู่ไม่ใช่เหรอวะ”
“อุ๊ยน่าสน พี่ทัชค้างไหมค้า บ้านเดซี่ไปงานแต่งญาติต่างจังหวัดกันหมด อยู่คนเดียวเหง้าเหงา”
“เอาสิ” ผมตอบนิ่งๆ แต่เล่นเอาคนพูดสะดุ้งโหยง
“อะ..อะไรนะคะ” เสียงถามกลับเหมือนเจ้าตัวยังไม่เชื่อหูตัวเอง
“พี่พูดว่าเอาสิ ขี้เกียจหารถกลับเหมือนกัน”
“ก็เดซี่บอกแล้วว่าเดี๋ยวส่งส้มเสร็จเดซี่ไปส่งพี่ทัชก่อนแล้วจะขับกลับเอง” คนเหงามากๆ เกิดจะไม่เหงาขึ้นมาเสียแล้ว
ไล่ผมกลับบ้านใหญ่
“ไม่เป็นไร ไม่อยากให้เดซี่เหงาเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อน” ผมยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยืนยันตามคำพูดของเดซี่
“เอ่อ..กูลืมไป มึงบอกตั้งแต่แม่ไม่อยู่มึงทำบ้านรกใช่ไหม เลยไม่อยากให้พี่มันไปเห็นอะดิ”
ส้มโผล่หน้ามาระหว่างเบาะ ทำเป็นชวนเดซี่คุย นั่นทำให้ผมรู้ว่าทั้งกลุ่มคงรู้กันดีว่านิสัยจริงๆ เดซี่เป็นยังไง
ที่พูดเมื่อกี้ก็คงแค่เล่นกันสนุกปากไม่คิดว่าผมจะตอบรับจริงๆ
“ใช่ๆ กูอายพี่ทัช เดี๋ยวไม่ประทับใจกูเสียคะแนนให้มึงหมด” คนนั่งข้างๆ ผม รีบตะครุบห่วงยางที่เพื่อนโยนมาให้
“พี่ไม่ถือ นอนได้” ผมทำลายทุกความหวัง เล่นเอาหน้าซีดลงไปตามๆ กัน
“พี่ทัชเอารถเดซี่กลับก็ได้นะคะ พรุ่งนี้ค่อยขับเอาไปให้ที่มหาลัย”
“ทำไม ไม่อยากให้พี่ค้างเป็นเพื่อนแล้วเหรอ” ผมถามยิ้มๆ ชอบใจที่ทำคนปากเก่งไปไม่ถูก
“พี่ทัช เตรียมเลี้ยวซ้ายค่ะ บ้านส้มอยู่ซอยข้างหน้า” ผมตบไฟเข้าซ้าย ก่อนเลี้ยวเข้าซอยที่ส้มชี้ให้ดู
“ตรงรั้วสีขาวค่ะ” ผมขับเข้าไปจอดหน้ารั้วบ้านหลังขนาดกำลังดี
“ขอบคุณนะคะ เดซี่..” ผมเห็นเพื่อนรักสองคนสบตากัน เหมือนจะบอกให้โชคดี
ผมแอบยิ้มออกมา อยากรู้ว่าพอเหลือคนเดียวแล้ว เด็กเฮี้ยวของผมจะทำยังไงต่อ
“มาค่ะ เดซี่ขับให้” เริ่มต้นด้วยการยึดรถคืน
“ไม่เป็นไร ขืนเจอด่านคงโดนขอตรวจ หน้าแดงไปหมดแล้วไม่รู้ตัวเหรอเรา” สายตาค้อนๆ ที่ส่งมาเหมือนอยากบอกผมว่า
มันไม่ได้แดงเพราะเรื่องนั้น
“บอกทางพี่สิ”
“เอ่อ..”
“ไม่ค้างหรอกน่า ที่นี้จะบอกได้หรือยัง”
“ออกถนนใหญ่ขับตรงไปจนถึงแยกเลี้ยวขวาค่ะ” คราวนี้บอกทางได้เร็วปรื๋อ
ผมอยากจะแซวต่อ แต่ไม่เอาดีกว่าเห็นหน้าแล้วสงสาร
“ทำไมถึงมาส่งเดซี่กับส้มแทนพี่ต่อล่ะคะ” เสียงถามดังแทรกเสียงเพลงที่เปิดในรถขึ้นมา
“วันนี้พี่ไม่ได้เอารถมาอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องกลับแท็กซี่ จะสะดวกกว่าต่อเลยอาสาแทนให้”
“อ๋อ” เสียงตอบรับคล้ายๆ จะโล่งอก
“มีแฟนหรือยัง”
“คะ?!!” เดซี่คงไม่คิดว่าผมจะเปลี่ยนประเด็นไวขนาดนี้ เลยตั้งตัวไม่ทัน
“พี่ถามว่ามีแฟนหรือยังครับ”
“ยังค่ะมีแต่คนที่อยากได้เยอะแยะไปหมด”
“รวมพี่ด้วยหรือเปล่า” วันนี้คนพูดเก่งขยันอึ้ง คงไม่รู้จะตอบผมยังไง เพราะเล่นไว้เยอะว่าชอบผม
“พี่..พี่ทัชก็หล่อ” คำตอบเลี่ยงไปคนละทางกับคำถาม
“แล้วชอบไหม” ผมปล่อยหมัด แย็บไปเรื่อยๆ
“แหม คนหล่อใครจะไม่ชอบล่ะคะ จะมาถามเดซี่ทำไม คนชอบพี่ทัชคงมีเป็นล้าน”
“ไม่ได้อยากรู้ว่าคนเป็นล้านชอบหรือเปล่า อยากรู้แค่..เดซี่ชอบหรือเปล่า”
“..................”
“..................”
“เพลงเพราะเนอะ” เสียงร้องเพลงเบาๆ ดังคลอตามเสียงเพลงที่เปิดอยู่ คนร้องหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง
“หึหึ” ผมหัวเราะอยู่ในลำคอ แอบชำเลืองดูคนเขิน เขินจนพูดไม่ออก ไปไม่ถูก หน้าตาแดงไปหมด
ไม่ได้เก่งกล้าเหมือนที่พยายามจะแสดงออกเลยสักนิด
ผมขับรถไปเงียบๆ ไม่ได้ทวงเอาคำตอบ ฟังเสียงคนข้างๆ ร้องเพลงไปเพลินๆ รู้สึกว่ามันเพราะ
รู้สึกว่าตัวเองชอบบรรยากาศตอนนี้เอามากๆ มันสุขใจ สบายใจและมีความสุข
“จอดตรงนั้นเลยค่ะ” ผมขับเข้าไปจอด มองบ้านที่ปิดไฟมืด
“อยู่คนเดียวได้เหรอ” ผมถามเพราะอดเป็นห่วงไม่ได้ บ้านเดซี่เข้ามาในซอยค่อนข้างเปลี่ยว แล้วแต่ละบ้านก็ห่างๆ กัน
ดูเงียบเชียบไปหมด
“อยู่ได้สิคะ อยู่มาตั้งแต่เกิดแล้ว” เดซี่ปลดเข็มขัดนิรภัยออก
“เดี๋ยวพี่ทัชเอารถเดซี่ไปนะคะ พรุ่งนี้ค่อยเอามาให้ที่มหาลัย”
“ไม่ล่ะ ถ้าพี่เอาไปพรุ่งนี้เราจะไปยังไง จากนี่ไปถนนใหญ่ไม่ใช่ใกล้ๆ” ผมปลดเข็มขัดเตรียมตัวจะอออกจากรถ
“ก็นั่นสิคะ เมื่อกี้ถึงบอกให้พี่ทัชลงที่ถนนใหญ่ เดซี่ขับต่อมานิดเดียวเอง ก็ไม่ยอม”
ที่ผมไม่ยอมเพราะเป็นห่วงและอยากเห็นด้วยว่าบ้านเดซี่อยู่ตรงไหน
“พี่เดินออกไปได้ เดซี่ย้ายมาขับรถเข้าบ้านเถอะ” ผมเห็นเดซี่ยกแขนขึ้นมองนาฬิกา ทำหน้าครุ่นคิด
“พี่ทัช เอ่อ..ค้างที่นี่ก็ได้นะคะ” ผมมองหน้าคนถามอดแปลกใจไม่ได้
“ได้เหรอ”
“แต่..ค้างที่โซฟาห้องรับแขกนะคะ บ้านเดซี่ไม่มีห้องนอนแขกมีแต่ห้องพ่อแม่กับน้องๆ คงให้นอนไม่ได้”
ผมส่งยิ้มไปให้ ไม่ได้ถามต่อว่าแล้วห้องเดซี่ล่ะ เพราะรู้ว่าขืนถามคงอดนอนกันพอดี
“ถ้าอนุญาตก็นอนได้ครับ”
“แหม อนุญาตสิคะ ก็เหมือนเพื่อนมาค้างบ้านทำไมจะไม่ได้”
ผมอยากจะถามกลับว่าแล้วเวลาเพื่อนเดซี่มาค้างบ้านนอนห้องรับแขกเหรอ แต่ยัง เอาไว้ก่อน ไม่อยากให้ตกใจไปมากกว่านี้
“เดซี่ลงไปเปิดประตูบ้านให้นะคะ”
“ครับ”
ผมมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินลงไปเปิดประตู อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทำไมทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด ขี้เขิน ขี้อาย
จะมีสักกี่คนกันที่ได้เห็นอย่างที่ผมเห็น
“นี่ค่ะ” เดซี่วางหมอนกับผ้าห่มลงบนโซฟาให้ผม ก่อนส่งผ้าเช็ดตัวและเสื้อยืดกางเกงขาสั้นมาให้
“นี่หาตัวใหญ่สุดมาให้แล้ว ของน้องชายไม่รู้พี่ทัชจะใส่ได้หรือเปล่า”
“คิดว่าได้นะ” ผมกางเสื้อออกดู
“งั้นไปอาบน้ำก่อนค่ะ เดี๋ยวเดซี่จะเอาเสื้อกับกางเกงซักแล้วก็ปั่นแห้งให้ พรุ่งนี้จะได้มีใส่”
“ไม่ต้องหรอกพรุ่งนี้พี่ใส่ซ้ำไปก็ได้”
“อี๋ กลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่จากร้านติดมาเต็ม ผึ่งไว้ก็ไม่หายหรอกค่ะ ไปอาบน้ำเถอะ เดซี่จัดการให้เอง”
มือบางดันหลังผมให้เดินไปเข้าห้องน้ำ
“พี่ทัชเปิดประตูโยนออกมาเลยนะคะ จะได้รีบซักเดี๋ยวแห้งไม่ทัน”
“ครับผมคุณแม่บ้าน จะทำตามคำสั่งโดยเคร่งครัดครับ” ผมหันมาตะเบ๊ะให้หนึ่งที ถึงเห็นว่าคนฟังอายม้วนต้วนอยู่
“พูดมาก”
ผมต้องรีบเดินเข้าห้องน้ำ รีบปิดประตู เกือบไปแล้ว มองปากนั้นมากๆ อยู่ๆ ก็อยากประกบปากลงไป ผมก้มตัวลงไป
แล้วด้วย เกือบซวยโดนไล่ออกจากบ้านหลังจากเข้ามาแค่ไม่กี่นาที ไม่ไหว อยู่ใกล้ๆ สติผมหายหมด
“ง่วงหรือเปล่า ดูหนังด้วยกันก่อนไหม” ผมถามคนที่เพิ่งอาบน้ำออกมา หลังจากสาละวนซักผ้า ตากผ้าให้ผมอยู่นาน
“เรื่องอะไรคะ” เดซี่ในชุดนอนมิดชิดเดินมานั่งข้างๆ ผม
“อะ เรื่องนี้ยังไม่ได้ดูเลย เคเบิ้ลเอามาฉายแล้วเหรอ”
“อืม พี่ก็พลาดเรื่องนี้เหมือนกัน เมื่อกี้ถือวิสาสะเปิดทีวีดูตอนเดซี่อาบน้ำ เปิดมาเจอพอดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดซี่ก็ลืมบอก แล้วก็ถ้าหิวก็เปิดตู้เย็นในครัวได้เลยนะคะ”
“ฮ่าๆ พูดเหมือนรู้เลยนะ เมื่อกี้ที่ร้านนอกจากเหล้าแล้วแทบไม่ได้แตะของกินเล่นเลย”
“อ้าวแล้วก็ไม่บอก จะกินอะไรคะ”
“มาม่าก็ได้ ถ้าจะช่วยสงเคราะห์”
“โอ้โห ดูถูกมาก แม่ครัวใหญ่อยู่นี่ถามหามาม่า”
“หือ ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ” อันนี้ผมแปลกใจจริงๆ ครับ
“น้อยไปสิคะ นี่กะว่าสักวันต้องมีร้านเป็นของตัวเองให้ได้ อีกหน่อยพี่ทัชต้องไปอุดหนุนนะ”
“ไปเป็นหุ้นส่วนไม่ได้เหรอ อยากเป็นหุ้นส่วนกับเดซี่มากกว่า”
“อวดรวย”
คนขยันเขินรีบลุกเดินเข้าครัว ผมได้แต่หัวเราะตามไป ไม่กล้าเข้าไปด้วย เดี๋ยวจะโดนตะหลิวบิน มีดบินเสียเปล่าๆ
“หอม” ผมเอ่ยปากชมเพราะมันหอมจริงๆ เดซี่ถือจานใส่สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเลส่งให้ผมจานใหญ่
“ไม่ทานเหรอ”
“พี่ทัชทานเถอะ เดซี่อิ่มแล้ว”
“ทานด้วยกัน” ผมยัดจานคืนใส่มือคนที่ลงนั่งข้างๆ
“พี่ทัชทานก่อนเลย”
“ไม่เอา เกิดใส่ยาพี่ หรือทานแล้วท้องเสีย เดซี่จะได้เป็นก่อน”
“แหม พูดงี้เอาไปเททิ้งดีไหม” ปากก็บ่นแต่มือก็ม้วนเส้นเข้าปาก ตาก็ดูทีวีไปด้วย
“เดซี่”
“คะ?”
“ไหนว่าไม่ทานไง ทานเพลิน ลืมพี่เลยนะ”
“อ้าว ฮ่าๆๆ ขอโทษๆ ดูหนังเพลินไปหน่อย” เดซี่ยื่นจานให้ผม แต่ผมสั่นหน้า เอื้อมมือไปหยิบส้อมในมืออีกคน
ที่ม้วนเส้นไว้เรียบร้อยแล้วเข้าปาก ก่อนจะส่งส้อมคืนให้เหมือนเดิม
“ขี้เกียจตัก เดซี่กินด้วยตักให้พี่ด้วยแล้วกัน”
“ค่ะ พ่อคนขี้เกียจ” บ่นแต่มือบางก็คอยม้วนเส้นส่งให้ผม
จากส่งส้อมมาให้ทานเอง พอทานไปดูหนังไปเรื่อยๆ คนทำชักขี้เกียจส่งไปส่งมา เลยยื่นส้อมมาจ่อให้ที่ปาก
ผมก็อ้าปากรับแต่โดยดี กลายเป็นเดซี่คอยป้อนให้จนหมดจาน
“น้ำค่ะ” น้ำเปล่าแก้วโตถูกส่งมาปิดท้าย ก่อนเจ้าของบ้านจะยกทั้งหมดกลับเข้าครัว
“จบแล้ว เดซี่ขึ้นไปนอนก่อนนะคะ ที่นี่ไม่มีผี แต่ถ้ามีขโมยเข้ามาก็ตะโกนเรียกนะคะ เดซี่จะได้หนีทัน”
“ไม่คิดจะช่วยกันเลยใช่ไหม”
“พี่ทัชออกจะแข็งแรง ปกป้องตัวเองได้อยู่แล้ว”
“ใช่ พี่แข็งแรง ปกป้องเดซี่ด้วยก็ได้นะ”
“พี่ทัชยังเมาค้างอยู่ก็ไม่บอก นอนค่ะนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ไม่แฮงค์” เดซี่กระเด้งตัวลุกขึ้น หยิบหมอนลงวางแทนที่
“กู๊ดไนท์นะคะ ให้ปิดไฟให้เลยไหม”
“ปิดเลย” ผมปิดทีวี เอนตัวลงนอนบนหมอน
“พี่ทัชนี่ แอร์มันเย็นเดี๋ยวก็เป็นหวัด” ผ้าห่มผืนหนาถูกคลี่คลุมทับลงมา ผมคว้ามือของคนขี้บ่นเอาไว้
“ขอบคุณครับ”
“อื้อ จะไปนอนแล้ว ง่วง”
ผมปล่อยมือบางออก รู้สึกเสียดายความนุ่มที่ได้จับต้อง
“กู๊ดไนท์ครับ”
“กู๊ดไนท์ค่ะ”
“พรุ่งนี้เจอกัน”
“พรุ่งนี้เจอกัน”
ผมหลับตาลง เมื่อร่างสูงโปร่งเดินลับตา ยังรู้สึกถึงความหอมของคนที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อครู่
พรุ่งนี้เจอกัน พรุ่งนี้จะได้เจอกัน ความรู้สึกที่มีอีกคนอยู่ด้วย มันดีแบบนี้นี่เอง
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
Darin ♥ FANPAGE