“มะรืนนี้ก็ตัวสุดท้าย ใกล้จะเป็นไทแล้ว โว้ยย”
“เสียงดังไปแล้วสัส”
ไอ้ธันแหกปากลั่นจนคนที่เดินสวนมาถึงกับเดินลงจากฟุตบาทเพื่อเลี่ยงมันแถมท้ายด้วยการมองแรงเผื่อแผ่มามองผมที่ไม่รู้อีโหน่อีเน่อะไรด้วย ผมไม่เกี่ยวครับ ผมไม่รู้จักมัน orz
“คืนนี้ไปร้านเหล้ากันไหม? คณะเราแห่กันไปเต็มเลยนะเว้ย”
“ไม่ไปอะ ถึงจะเหลือตัวเดียวก็เหอะ มึงเอาให้รอดก่อนไหม ถ้ามึงไม่กลับไปอ่านหนังสือ ร้านเหล้าคืนนี้มึงได้เป็นการฉลองเอฟล่วงหน้าแน่”
“กูมันพวกอัจฉริยะข้ามคืน อ่านล่วงหน้าไม่ค่อยเข้าหัว ต้องอ่านแบบวันต่อวันถึงจะได้”
“ทฤษฎีไหนเนี่ย” ผมปรายตามองมัน “เออ ๆ มึงอยากทำอะไรก็เรื่องของมึง แต่กูคงไม่ไปด้วยนะ กลิ่นเหล้าติดตัวเดี๋ยวแม่งไม่ให้เข้าบ้านอีก”
“หืม~? เอสเพื่อนร๊ากก ใครไม่ให้เข้าบ้านหรอครับ~”
“เพื่อนดิสัสเพื่อน!” ผมใช้มือยันหน้ามันออกไป นี่ถ้าไม่เกรงใจอยากจะยกเท้ายันหน้ามันแทน
“เพื่อนหรอ สวยปะ? อึ๋มปะ? เพื่อนที่แบบ...” ไอ้ธันกระแทกสันมือเข้าหากันแทนคำพูดในช่องว่าง ผมจับชีทที่เอามาอ่านหน้าห้องเอาไว้มั่นก่อนจะหวดวงสวิงสุดแรงเกินจนมันร้องโอ๊ย ทรุดไปนั่งกับพื้น “เหี้ยไรเนี่ย! เล่นแรงนะมึงอะ”
“สมควรที่มึงจะได้ เพื่อนกูเนี่ย เพื่อนจริง ๆ ไม่มีฉิ่ง มีแต่ขลุ่ย ตอนนี้มันมาคุมกูอ่านหนังสือ ถ้าแม่งจับได้ว่ากูไปเที่ยว โดดอ่านหนังสืออย่างมึงกูคงโดนแม่งฆ่าหมกส้วม”
จริง ๆ นะครับ ตอนนี้ไอ้ปันนี่คุมยังกับแม่ มันกลัวผมจะฟูมฟายก็เลยให้ผมอ่านหนังสือเตรียมไฟนอลทั้งวี่ทั้งวัน ก็ได้พักไปข้างนอกบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ต้องแปะมันติดตูดไปด้วย ไม่รู้จะกลัวไรนักหนา มันคิดว่าผมจะแอบไปร้องไห้ตอนขึ้นบันไดเลื่อนหรือไงถามจริง! เฮ้อ แต่ก็ต้องยอมรับนะครับ ว่าส่วนหนึ่งก็เพราะมีมันช่วยสนับสนุน ผมถึงอยู่กับความ ‘ไม่ชิน’ นี้ได้ แถมมันกับแม่ก็ยังใจดี ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นภาระก็ยังให้ผมพักอาศัยอยู่ด้วย แต่ผมก็คงรบกวนอีกไม่นาน เพราะว่าเทอมสองก็ได้อยู่หอที่เคยตกลงกับพี่ผมแดงก่อนหน้านี้แล้ว
“ไม่ไปกินเหล้าก็ได้ งั้นหาหมูกระทะแดกกัน”
“ไม่อะ ตอนนี้กูยากไร้ว่ะ มึงไปชวนแฟนมึงแดกเถอะ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างไรบ้าง”
“กูกับแฟนกูอะนะ ไปแดกหมูกระทะเกือบแทบทุกอาทิตย์ ไม่มีบทพูดคุยโรแมนติกอะไรบนโต๊ะหมูกระทะอีกแล้ว แต่มึงเนี่ย ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมายังไม่เคยไปแดกกับกูเลยนะครับคุณเอส”
“ถ้ากูมีก็ไปกินกับมึงแล้วแหละ”
“มึงก็พูดงี้ตลอด” มันกลอกตาเซ็ง ๆ “งั้นปะ เที่ยงนี้ฝากท้องไว้ร้านป้าศรีเหมือนเดิมเนี่ยแหละเรา”
ผมหัวเราะ สงสารมันอยู่นะที่ได้กินแต่อาหารตามสั่ง อะไรที่มันอยากแดกนี่ชวนผมทีไรชวดตลอด แต่ถ้าผมมีผมก็อยากไปกับมันนะ แต่ผมไม่มีนี่หว่า เงินเก็บผมก็ยังพอมีอยู่บ้างหรอก พอใช้ชีวิตผ่าน ๆ ไปได้ แต่ใช้เละเทะคงไม่ไหว เทอมหน้าผมก็ต้องหาเงินจ่ายค่าเทอม ค่าหออีก ประหยัดได้ก็คงต้องทำไปก่อน พอปิดเทอมผมก็คงหัวหมุนทำงานพิเศษเหมือนเดิม กลับไปวงจรชีวิตปกติแบบเดิม ๆ
“เฮ้อ ร้อนฉิบหาย อะไรจะร้อนเบอร์นี้ กูนี่อยากจะได้รถพ่อมาขับเลย”
ธันเริ่มบ่นอีกครั้ง หลังจากที่ออกมาจากร้านอาหารก็มาเจอกับแดดตอนบ่ายโมง ความร้อนประหนึ่งก็อปปี้เกรดเอมาจากนรก
“ก็ไปขอพ่อมาดิ”
ผมพัดมือระงับความร้อนให้ตัวเอง รู้งี้ผมนั่งแช่จนถึงหกโมงเย็นค่อยกลับดีกว่า ร้อนขนาดนี้ทะเลก็ไม่อยากไปเลย กลัวจะไหม้เป็นข้าวเกรียบกรอบกลางทะเล
“นี่คิดว่ากูยังไม่ขอเหรอ กูขอตั้งแต่ข่าวบอกว่าประเทศความร้อนขึ้นเลขสี่แล้ว แต่พ่อไม่ให้ บอกว่าอยากได้ก็ไปซื้อเอง กูนี่ถึงกับทรุด”
“ตอนนี้มึงก็เอาเงินไปซื้อร่มแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน” ผมหัวเราะ
“สัส หัวเราะกู” ไอ้ธันยกขาขึ้นเตะ แต่ผมก็ยังหัวเราะอยู่ หัวเราะใส่หน้ามันด้วย “เออ แต่พูดถึงรถ...ไอ้เอสมึงแบบ...ไปทำอะไรไม่ดีมาเปล่าวะ แบบแย่งแฟนคนอื่นงี้ หรือแบบไปกู้เงินนอกระบบ”
ไอ้ธันถามขณะที่เราสองคนเดินมาถึงป้ายรถเมล์ ผมหันขวับคอแทบเคล็ดกับคำถามมันแต่ดูหน้าไอ้ธันแล้วก็ซีเรียสไม่ใช่น้อยเลย
“ทำไมวะ?”
“มึงตอบคำถามกูก่อนสิ”
“กูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยสักอย่าง ผู้หญิงคนไหนกูก็ไม่ได้ยุ่ง แล้วถ้ากูกู้เงินละก็ป่านนี้ก็มีตังแดกหมูกระทะกับมึงแล้วสิ”
“เออจริง”
“ทำไม ๆ มีอะไร?”
“แบบตอนที่สอบวิชาแรก ๆ เลยอะ มีคนมาถามหามึง เขาถามกูว่าแบบ เป็นเพื่อนมึงหรอแล้วก็ขอตารางสอบอะไรแบบเนี่ย”
“หืมมม หน้าตาดีปะ?”
“ก็หน้าตาดีอยู่”
“อ๋อ ถ้างั้นช่างเถอะ มีเพื่อนเสน่ห์แรงก็ต้องทำใจหน่อย เดี๋ยวก็มีมาอีกเรื่อย ๆ คณะไหนวะ? หน้าตาเป็นไง? ทำไมมึงไม่ให้เบอร์กูไปเลย!”
“หะ? เฮ้ย คนที่มาถามหามึงอะ เขาไม่ใช่ผู้...”
“เฮ้ย ๆ สายกูมาแล้วว่ะ เดี๋ยวกูขึ้นรถก่อนแล้วกัน ค่อยคุยกันใหม่ ถ้ามึงเจอผู้หญิงคนนั้นที่ถามหากูก็ค่อยชี้ให้กูดูแล้วกัน”
ผมโบกมือลามันด้วยทความรีบ ๆ รถเมล์ประเทศนี้ไม่ค่อแคร์ป้ายเท่าไหร่ครับ เลยต้องรีบบอกลาไอ้ธันแล้ววิ่งปรู๊ดไปขึ้นรถเมล์ที่จอดเลยป้าย หลังจากที่ผมก้าวขาสองข้างขึ้นรถ รถเมล์ก็พุ่งออกตัว จนผมถึงกับเซชนเหล็ก แต่ชักจะชินเลยประคองตัวเองไปหาที่นั่งได้ในที่สุด ขึ้นรถเมล์แต่ละทีกูนี่ถึงกับต้องปาดเหงื่อ
ว่าแต่ไอ้ธันพูดอะไรค้างไว้วะ พอดีมัวแต่สนใจรถเลยไม่ได้ฟังเลย...อื้ม ช่างมันเถอะ ถ้าอยากเจอผมถึงขนาดมาถามไอ้ธันแบบนี้ เดี๋ยวผมก็คงได้เจอเขาเองแหละ
รถสีดำเคลื่อนตัวจอดอยู่ตรงข้ามบ้านหลังหนึ่งในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขาเคยสะกดรอยตามมาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากที่เช็คตารางสอบกับเพื่อนของเจ้าตัว เพราะงั้นเลยค่อยข้างมั่นใจว่าบ้านอีกฝั่งหนึ่งเป็นบ้านที่เอสอยู่ในตอนนี้แน่
“ที่หนึ่ง ไม่เปลี่ยนใจนะ?” ตุลย์เอี้ยวตัวถามลูกชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง เห็นได้ชัดถึงความวิตกกังวลแต่ถึงอย่างนั้นเด็กน้อยก็พยักหน้ายืนยันว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจกับการกระทำในครั้งนี้ “จะลงไปพร้อมพ่อไหม? หรือจะให้พ่อเรียกพี่เอสมาหา?”
“ที่หนึ่งจะไปพร้อมพ่อ”
“โอเค ถ้างั้นลงมาเลย”
ตุลย์ดับเครื่องยนต์ เขาลงจากรถมาก่อนดูถนนหนทางว่าปลอดภัยดีจึงค่อยเปิดประตูด้านหลังให้ลูกชายของตัวเองลงมา
“อะ! ที่หนึ่งหยิบของก่อน”
ที่หนึ่งร้องท้วงขึ้น เปิดประตูรถเอื้อมมือไปหยิบกระดาษที่เขาเตรียมมาด้วย ก่อนจะเดินจูงมือพ่อตรงไปยังหน้าประตูบ้านหลังนั้น
เสียงหัวใจของเด็กน้อยเต้นรัว เขาใช้เวลานานไม่น้อยเลยในการที่จะคิดทบทวนอย่างดีจนมั่นใจว่าเขาต้องการพี่เอสอยู่ในชีวิต... เพราะงั้นตอนนี้เขาเลยกลัวมาก ว่าพี่เอสอาจจะไม่ได้อยากกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมแล้วก็ได้...
ออด...
ตุลย์กดออดโดยไม่บอกที่หนึ่งสักคำทำให้เด็กน้อยตกใจจนเผลอพุ่งเข้าหลบหลังพ่อ ขณะที่หญิงเจ้าของบ้านเปิดประตูออกมาด้วยความประหลาดใจ
“มาพบใครคะ?”
“เอสอยู่ไหมครับ?”
หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านมองลอดแว่นดูแขกที่มาใหม่ในช่วงเวลาหัวค่ำ มองเลยไปทางเด็กวัยประมาณสิบขวบที่หลบอยู่ด้านหลัง แม้จะไม่ค่อยวางใจนักแต่เพราะการที่มีเด็กมาด้วยทำให้เธอยอมตอบในที่สุด
“ก็...อยู่ค่ะ จะเข้ามาก่อนไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ รบกวนเรียกเอสให้หน่อยได้ไหมครับ” ตุลย์ยิ้มรับอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
“ถ้างั้นรอสักครู่นะคะ”
เจ้าของบ้านเดินกลับเข้าไป เรียกหาคนที่พวกเขาต้องการพบ ตุลย์จะมองผ่านมุ้งลวดเห็นเอสเดินลงจากชั้นสอง โดยมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนเดินตามลงมาด้วย เขาไม่ได้ยินว่าพูดกันว่าอย่างไร แต่สักพักเอสก็หันมองหน้าเด็กหนุ่มอีกคนก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาหน้าบ้าน
...ตรงที่เขาและที่หนึ่งยืนอยู่
“เอ่อ ตกใจเลยนะเนี่ยที่เห็นพี่มาอยู่ที่นี่ รู้บ้านเพื่อนผมได้ไง?” เอสทักทายอย่างเก๋ ๆ กัง ๆ
“ขอโทษที่มารบกวนตอนนี้ แต่มีคนอยากเจอน่ะ”
ตุลย์เถิบตัวไปด้านข้าง ปรากฎร่างของที่หนึ่งที่ยืนถือกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ กำลังจ้องมองเขาด้วยท่าทางจริงจัง ผิดกับเอสที่นิ่งค้างกับการประจันหน้ากับคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอ
“ที่หนึ่ง...”
เอสหันมองตุลย์ทันทีราวกับต้องการคำอธิบายความกังวลทำให้เขาแทบอยากจะวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน แต่ขามันก็แข็งจนก้าวไม่ออก ตุลย์ก็ไม่คิดที่จะตอบอะไรทั้งนั้นนอกจากดันหลังที่หนึ่งให้เป็นคนตอบคำถามนั้น
“ที่หนึ่งขอให้พ่อพาที่หนึ่งมาหาเอง ที่หนึ่งอยากเอานี่มาให้พี่เอส”
เด็กน้อยยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ด้วยความลังเล เอสเองก็กังวลแต่ก็ยังเอื้อมมือไปรับกระดาษนั้นไว้แล้วพลิกดู
สิ่งที่ปรากฎ เป็นรูปวาดสีไม้ที่เป็นภาพผู้ชายที่เหมือนวาดเลียนแบบตัวการ์ตูนเหมือนที่เขาเคยวาดตอนเด็ก ๆ สามคน...เป็นภาพผู้ชายสามคนจับมือต่อ ๆ กัน โดยที่คนตรงกลางตัวเล็กกว่าอีกสองคน มีพื้นหลังเป็นบ้าน ภูเขา แม่น้ำ แล้วก็พระอาทิตย์ที่โผล่ออกมาจากภูเขา
อ่า...ไม่สิ ข้าง ๆ ผู้ชายทั้งฝั่งซ้ายมีผู้ชายตัวเล็กมาก ๆ อีกหนึ่งคน ยืนอยู่ด้วย
“ที่หนึ่งอยากจะบอกพี่เอสว่า...” เด็กน้อยเริ่มเบะปากทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้จนตุลย์ต้องคว้ามือลูกชายเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ
เขาอยากให้ที่หนึ่งเป็นคนพูดเองเพราะมันจะไม่มีความหมายเลย ถ้าคำพูดที่ที่หนึ่งเตรียมมาอย่างดีจากที่บ้าน ถูกเขาเป็นคนพูดแทน
เด็กน้อยมองหน้าผู้เป็นพ่อก่อนจะปาดน้ำตาแล้วเริ่มพูดใหม่อีกครั้งถึงความรู้สึกที่เขาเตรียมมา...
“ที่หนึ่งอยากให้พี่เอสกลับไปอยู่ด้วย ที่หนึ่งขอโทษนะ ที่หนึ่งอยากจะเล่นเกมกับพี่เอสอีก อยากจะฟังเรื่องตลก ๆ ดูการ์ตูนแล้วก็ไปเที่ยวด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน” เสียงนั้นสั่นเครือพยายามสะกดกั้นน้ำตาไว้อย่างสุดความสามารถ “พี่เอสจะเป็นแม่ใหม่ของที่หนึ่งก็ได้ จะเป็นแฟนพ่อก็ได้...แต่กลับไปอยู่ด้วยกันนะ ที่หนึ่งคิดถึงพี่เอสมาก ๆ เลย ที่หนึ่งอยากให้พี่เอสกลับไปเป็นอันธพาลของที่หนึ่งอีก!”
ทันทีที่พูดความในใจไปจนหมดสิ้นน้ำตาก็ร่วงเพาะ เขาไม่สนอีกต่อไปแล้วว่าเอสจะเข้ามาอยู่ในชีวิตของเขาในฐานะอะไร แต่เขาอยากพี่เอสอยู่ด้วย อยากจะยิ้มแล้วก็หัวเราะไปด้วยกันเหมือนเดิม!
เขาไม่อยากเล่นคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
“ฮึก พี่เอสไม่อยากอยู่กับที่หนึ่งแล้วหรอ? ทำไมถึงไม่ตอบอะไรที่หนึ่งเลยละ”
“มะ ไม่ใช่แบบนั้น” เอสรีบละล่ำละลักตอบ
หัวสมองของเขาอื้ออึงไปกับคำพูดนั้น ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ เอสก้มมองภาพที่อยู่ในมือ ภาพครอบครัวแบบที่เขาอยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงน้ำตาที่ร่วงใส่ภาพนั้น น้ำตาแห่งความตื้นตันของคนที่ถูกยอมรับ
“กลับมาอยู่ด้วยกันไหม?”
เอสหันไปหาคนที่ถามประโยคนั้น มือใหญ่ของอีกฝ่ายเอื้อมมาปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เพียงเท่านั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะกับความสุขที่ไม่อาจจะอธิบายได้
“กลับสิ มันต้องกลับอยู่แล้ว!”
รอยยิ้มกว้าง ๆ ของเอสเป็นสิ่งที่ตุลย์รู้สึกว่าไม่ได้เห็นมานาน เขาที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะยิ้มออกมาได้เพียงเพราะเห็นรอยยิ้มของใคร แต่เขาก็ยิ้มออกมาแล้วเพราะรอยยิ้มของเอส ไม่น่าเชื่อเลยว่าในใจของเขาที่ได้ยินคำตอบนั่นจะรู้สึกดีใจมากขนาดนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าตอนนี้เขาจะรู้ตัวแล้วว่าชีวิตนี้เขาอยากอยู่กับใคร
ตุลย์ก้มมองลูกชายของตัวเองที่กำลังยิ้มดีใจจนเขาต้องผลักไหล่ของที่หนึ่งเพื่อให้เข้าไปกอด เอสก็ไม่ลังเลที่จะอ้าแขนรับ พอเห็นอีกฝ่ายทำท่ายุกยิกเขินอายเขาก็คว้าตัวที่หนึ่งเข้าไปกอดไว้เสียเอง!
“ขอบคุณนะ ขอบคุณมากนะที่หนึ่ง” เอสพูดขณะที่กอดเด็กน้อยเอาไว้แน่น “แต่พี่เคยบอกแล้วไง พี่ไม่ได้เข้ามาในชีวิตที่หนึ่งเพื่อจะเป็นแม่ใหม่ หรือพ่อคนที่สองของใคร ที่ก็ยังเป็นพี่ เป็นแค่อันธพาลของที่หนึ่งเหมือนเดิม”
“ที่หนึ่งรู้แล้ว ๆ”
เอสหัวเราะกับความสุขนี้ เด็กหนุ่มผละกอดออก มองที่หนึ่งสลับกับตุลย์ที่ยังคงยืนอยู่ ในใจก็อยากกอดคนพ่อด้วยแต่มันคงไม่เหมาะเท่าไหร่เขาเลยทำได้เพียงแต่ยิ้มให้กัน (แล้วทดไว้ในใจ)
“แต่ผมคงกลับไม่ได้หรอกตอนนี้ ผมเหลือสอบอีกตัว”
“เอาไปอ่านที่นู่นก็ได้นะ!”
เอสหัวเราะก๊ากออกมาเสียงดังขยี้หัวของที่หนึ่งจนฟู่ฟ่อง ก่อนจะส่งยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า สอบเสร็จแล้วจะรีบกลับบ้านนะ”
ผมหิ้วของพะรุงพะรังผิวปากอารมณ์ดีขณะเดินไปตามทางที่ทอดยาว ตรงไปยังห้องที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกความรู้สึก ห้องที่เป็นเสมือนหีบสมับติที่ผมล็อคเก็บไปแล้ว และไม่คิดเลยว่าจะว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาไขกุญแจเปิดมันอีกครั้ง
ตุ๊บ!
ของทื่ผมถือถูกลงลงกับพื้นขณะที่ผมเงยหน้ามองหมายเลขห้องเหนือประตู ในใจเต้นระรัวและไม่อาจจะหยุดยิ้มได้ ผมยังคงรู้สึกขอบคุณทุกคนที่ให้พื้นที่คนอย่างผมยืนอยู่ใน ‘ครอบครัว’ แล้วผมก็หวังว่าผมจะไม่ต้องจากครอบครัวหรือห้องนี้ไปไหนอีกแล้ว
แกร๊ก
“มาช้า ไหนบอกรีบสอบเสร็จจะรีบมา” พี่ตุลย์เปิดประตูพรวดจนผมเผลอสะดุ้ง
“ให้เวลาผมเก็บของย้ายจากบ้านไอ้ปันมาที่นี่หน่อยได้ไหมละ”
เมื่อกี้ผมพูดถึงไหนละ อ๋อ...แล้วผมก็หวังว่าผมจะไม่ต้องจากครอบครัวหรือห้องนี้ไปไหนอีกแล้ว ให้ผมอยู่ท่ามกลางครอบครัวและความรัก ให้ผมผ่านทุกข์และสุขไปพร้อมกับครอบครัว อยู่เคียงข้างไปกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ไปตลอด
“รีบเข้ามาได้แล้ว ที่หนึ่งรอนายตั้งแต่เช้า”
“แล้วพี่ละ?” ขณะที่กำลังเดินเข้าห้องก็เอี้ยวตัวมาถามคนที่หลีกทางให้
“อะไร?”
“รอผมอยู่ปะ?” พี่ตุลย์ไม่ตอบครับแต่หน้าเริ่มแดง! รู้เลยว่าเขารอผมอยู่ตั้งแต่วันนั้นแหละ ฮ่า ๆ นี่ไม่ได้หลงตัวเองเลยนะครับ แต่มันแจ่มแจ้ง! “ว่างายยย รอผมอยู่เปล่าาา~”
“อันธพาลมาแล้วหรอ!”
“โอ๊ะ! มาแล้วว รอนานเปล่า?” ผมเลิกแหย่พี่ตุลย์เล่นหันไปกอดรัดขาก่ายอยู่กับที่หนึ่งแทน
“ไหนพ่อบอกว่าจะมาตอนบ่ายสอง ทำไมมาช้าตั้งสองชั่วโมงแหนะ”
“โทษที ๆ เก็บของนานฟังเพื่อนเทศน์เรื่องการออกเรือนอยู่ด้วย”
“ที่หนึ่งยังไม่เท่าไหร่นะเล่นเกมรออยู่ แต่พ่ออะดิ เดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูตลอดเลย ชวนที่หนึ่งไปรับอันธพาลที่บ้านเพื่อนตั้งหลายครั้งแหนะ” ที่หนึ่งเล่าให้ฟังอย่างใสซื่อ
ผมเหลือบมองพี่ตุลย์ก่อนจะส่งยิ้มให้ด้วยความเจ้าเล่ห์ พร้อมมีซาวด์ ‘ง่อววว’ ผ่านสายตา
“ที่หนึ่ง! ตอนต้นจะเอาอะไรเข้าปากแล้วน่ะ!” ผมเล่นใหญ่เลยครับ โวยวายพร้อมชี้ไปที่ตอนต้น ที่หนึ่งก็เลยหันพรึ่บรีบกลับไปดูน้องตัวเองทันที ส่วนผมก็ชะแว๊บมาหาพี่ตุลย์ที่ยืนไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนกับว่าไม่ได้ถูกที่หนึ่งประจานอะไรเมื่อกี้
“อะไร?” แหนะ มีทำท่าขุ่นเคืองง
“อยากเจอเร็ว ๆ ก็น่าจะโทรมาบอกนะ~” ผมล้อกิ้ว ๆ ให้พี่ตุลย์น่าแดงเล่น
โหย โมเม้นนี้หายไปนานร่วมสองเดือนได้มั้ง! ฤดูสีชมพูของผมกลับมาอีกครั้ง! /ร้องไห้ มีโอกาสแล้วต้องแหย่ให้เต็มที่! ว่าแล้วก็จิ้มแก้มไปอีกรัว ๆ
หมับ
มือผมถูกพี่ตุลย์คว้าเอาไว้ ใบหน้าแดงเทือกนั่นก็ยังแดงอยู่ แม้สายตาจะเฉือดเฉือนผมก็ไร้ซึ่งความหวั่นเกรงใด ๆ ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก ไม่พอมียื่นปากจุ๊บ ๆ ด้วยนะ -3- น่ารักจังเลยอะน้องสาววว ฮิ้ววว
“หยุดล้อได้แล้วหน่า ก็คนมันรัก มันคิดถึง ก็เลยอยากเจอผิดตรงไหนเล่า”
…
One shot ตายสนิท
ผมได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ทีนีกลายเป็นผมเองที่รู้สึกว่าหน้ามันร้อน ๆ ชอบกลจนอยากจะเดินไปเช็คแอร์ดู แถมรู้สึกว่ามองหน้าไม่ได้จนต้องมองกระเบื้องบ้าง มองเพดานบ้าง เอ๋ ฝ้าขาวดีจัง...ฮือ คือมันไม่กล้ามองหน้าตรง ๆ อะครับ T T!
เอาจริง ๆ ไหมผมโคตรอยากจะกระโดดกอดพี่เขาตั้งแต่เปิดประตูผัวะให้เห็นหน้าตั้งแต่ห้านาทีก่อนแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าจะทำอะไรโจ้งแจ้งถึงแม้ที่หนึ่งจะบอกว่ารับได้ก็เถอะ ผมเหลือบมองที่หนึ่งตรวจสอบว่าผมกับพี่ตุลย์ไม่ได้ตกอยู่ในความสนใจตอนนี้ ก่อนจะหันกลับมามองพี่ตุลย์
เอนหน้าซบลงกับไหล่ที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน แล้วยกแขนขึ้นโอบกอดรอบคอเขา
กลิ่นที่ผมคิดถึง สัมผัสที่ผมโหยหาย ผมเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าพอผ่านเรื่องราวมากมายความรู้สึกที่ผมมีให้เขามันยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น แล้วก็กำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ...
“ผมก็คิดถึงพี่นะ” ผมยิ้ม ในที่สุดคำว่า ‘คิดถึง’ ที่ผมอยากจะพูดใจแทบขาดก็ได้พูดมันออกมา และตอนนี้ผมก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกเขามากที่สุด “รัก ผมรักพี่มากเลย”
THE END
จบแล้วค่ะะะ ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว
ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจ และการติดตามตลอดมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายนะคะ
ขอบคุณที่ให้พื้นที่เล็กๆ สำหรับนักเขียนมือใหม่และเรื่องราวของเอสน้อยกลอยใจกับพี่ตุลย์
ในที่สุด งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกลาค่ะ แต่ความสุขที่เอสได้ให้กับทุกคน ขอให้อยู่ในความทรงจำดีๆ ตลอดไปนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งจากใจ และขอโทษสำหรับความเหลวไหลเสมอมาค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ในเรื่องหน้านะคะ จุ๊บ ค่ะ รักทุกคนนนน เอสคงต้องจากลากันเพียงเท่านี้ค่ะ บัมมม