!!!!!!!!! DADDY BE LOVER รักนะครับคุณพ่อลูกสอง [ตอนพิเศษ 4] (25-4-61) !!!!!!!!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: !!!!!!!!! DADDY BE LOVER รักนะครับคุณพ่อลูกสอง [ตอนพิเศษ 4] (25-4-61) !!!!!!!!!!  (อ่าน 419150 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยยย ที่หนึ่งโตเป็นหนุ่มแล้ว

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
น่าสงสารที่หนึ่งจังเลย โถ่ลูก

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
สงสัยอย่างใครรุกใครรับอ่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ร้องให้พอ แล้วก็กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม

ออฟไลน์ cookie8009

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ้าว อยู่ๆ ที่หนึ่งก็เป็นเกย์

งี้ พี่เอส จะโทษตัวเองที่ทำให้น้องเป็นเกย์ ป่าวเนี่ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนเมาหาย เพื่อนที่หนึ่งคงต้องหากันจ้าละหวั่น

ว่าแต่โย คนข้างห้อง คิดไรๆ กับที่หนึ่งบ้างมั้ยเนี่ย

คิดถึง ตุลย์ เอส   :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ตอนต้น ก็หายไปเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
โอ้ย อย่างลุ้นเลยนะ ชอบมากกก

ออฟไลน์ Sirada_T

  • We Will [Luk] You!!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ต้องไซ้สตอรี่ไปเรื่อยๆแล้วค่ะ ให้ดีหาคนมาไซ้ด้วยก็ดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
ชอบมากเลย ให้ความรู้สึกเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ
ชอบเอสที่เกรียนได้ขนาดนี้

ต่อตอนพิเศษของที่หนึ่ง
โตแล้วหรอลูก ฮือออออ รู้สึกเหมือนตัวเองแก่ขึ้นเยอะเลย 55555
ดีนะที่ห้องพี่โยอยู่ข้างๆ
แบบนี้เวลาที่หนึ่งออกเรือนไปก็ไม่ต้องอยู่ไกลจากครอบครัวเดิมด้วย แต่ไม่รู้ว่าก่อนที่จะดีนั้น มันจะมีเรื่องที่ไม่ดีเพราะห้องอยู่ข้างกันมากน้อยแค่ไหน
ก็ต้องตามลุ้นกันไป

ออฟไลน์ cookie8009

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อยากอ่านเรื่อง ที่หนึ่ง ต่อ

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
อ่านรวดเดียวจบ แอบซึ้งตอนที่หนึ่งบอกคิดถึงเอส
คือดีอ่ะ ชอบบบบบ

ออฟไลน์ สุนิสา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
พี่โยนี่ต้อง อนาคตแฟนที่หนึ่งแน่ๆ 555


เพื่อนที่หนึ่งอ่ะแฮ้บบกระเป๋านังกะทอสัพไป เอามาคืนด้วยเสะ

อยากให้ที่หนึ่งพูดถึงพ่อกะพี่เอสบ้างแบบคึดถึงมั้ยนะตอนอกหักแบบนี้ /อินยาวๆ ไป 555

ออฟไลน์ thenista

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
    • NISTA
B8003
02





ต่างก็เคยผิดหวังในรักมา เคยหลับหูหลับตาไอตอนเวลาหาคู่
ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำไง ก็เห็นแล้วชอบแค่นั่นก็เลยเผลอใจ

 
ไม่เป็นไรส่วนฉันไม่ต้องการเยอะแค่มีเธอผู้เดียวฉันก็พอเถอะ
เดินไปด้วยกันแค่เพียงมีฉันและมีเธอ : )





.

.

.



           คนเรามีเรื่องให้คิดตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา โดยคำถามที่ขบคิดในแต่ละวันก็จะต่างกันไปตามช่วงวัย อย่างวัยผมคำถามที่จะถามตัวเองบ่อยมากที่สุดในทุกเช้าคือ ‘เอาไง? จะตื่นไปเรียนดีไหมเรา?’ แต่วันนี้คำถามยามเช้าของผมแตกต่างไปนิดหน่อย แล้วถ้าเป็นไปได้ผมก็ต้องการใครสักคนช่วยตัดสินใจ ว่า…ผมควรจะพูดถึงอะไรก่อนดีระหว่าง


           1.อาการเมาค้างที่ทำให้ผมปวดท้องจนอยากจะย้อนเวลากลับไปชวนเพื่อนเมาแป๊ปซี่แทน


           2.การตื่นเช้ามาในห้องของใครก็ไม่รู้ และจำได้ด้วยว่าไม่เคยมาห้องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือ


           3.การรับรู้ได้ว่าข้างซ้ายของตัวเองมีคนนอนหันหลังให้อยู่ ซึ่ง…เป็นผู้ชาย…และยังไม่ใช่ไอ้เพื่อนสองตัวที่ไปกินเหล้าด้วยกันอีก


           เอาเป็นว่าก่อนที่ผมจะพูดถึงอะไรก็ตาม ผมว่าผมควรจะออกจากที่นี่ก่อนอย่างด่วนที่สุด แล้วโทรด่าไอ้เพื่อนสองตัวจนกว่ามันจะก้มขอขมาผม!


           …



           เวร โทรศัพท์ผมหาย!


           ผมตบไปตามเสื้อและกางเกง (ขอบคุณที่ผมยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมอยู่) หากระเป๋าเงินและโทรศัพท์พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ เผื่อว่าคนที่พาผมมาที่นี่อาจจะหวังดีเอาของๆ ผมออกไปวางไว้ที่ไหนสักแห่ง


           “เชี้ย อยู่ไหนวะ” ผมสบถเสียงเบา


           “ตื่นแล้วหรอ?”


           ผมเผลอสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากคนที่นอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงก่อนจะละล่ำละลักตอบ “อ่า ครับ”


           ผมขอสารภาพครับ แว๊บแรกที่ผมตื่นขึ้นพร้อมกับรู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ในห้องใครไม่รู้และมีผู้ชายที่ไม่รู้จักนอนอยู่ข้างๆ ผมคิดว่า ‘เอาแล้ว…’ แต่พอลุกขึ้นมาเห็นตัวเองใส่เสื้อผ้าครบถ้วน ไม่ผ่านการถอด และตัวยังเหม็นกลิ่นเหล้าอยู่ ก็เลยรู้ตัวว่าเมื่อวานผู้ชายคนนี้เขาแค่น่าจะพาผมที่เมายังกับหมามาพักที่ห้องของเขาแค่นั้น


           ฮ่ะๆ ตลกความคิดตัวเองชะมัด ผมคงดูหนังมากไป


           “แฮงค์มากไหม? เดี๋ยวผมไปเอายาแก้แฮงค์ให้”


           “ไม่เป็นไรครับ ไม่ค่อยแฮงค์มากเท่าไหร่” ผมโกหก ผมโคตรปวดหัว สามารถเห็นโลกหมุนทั้งๆ ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยซ้ำ แต่ผมไม่อยากจะรบกวนอีกฝ่ายมากกว่านี้ แล้วก็อยากกลับคอนโดฯ ด้วย “เอ่อ ขอโทษนะครับ เห็นโทรศัพท์กับกระเป๋าตังของผมบ้างไหมครับ?”


           “ไม่ครับ พนักงานที่ร้านลองหาโทรศัพท์เพื่อที่จะติดต่อเพื่อนคุณแล้ว แต่เห็นว่าเขาหาโทรศัพท์ไม่เจอ แล้วก็กระเป๋าตังคุณด้วย”


           ฉิบหาย…


           อันนี้เป็นความฉิบหายของจริงแล้วครับ


           “ขอโทษนะครับ เอ่อ ถ้างั้น ผมขอยืมโทรศัพท์แป๊บนึงได้ไหมครับ” ผมชี้ไปที่โทรศัพท์เครื่องหรูที่กำลังชาร์จแบตอยู่หัวเตียง อีกฝ่ายมองตามนิ้วของผมก่อนจะกระชากที่ชาร์จแบตออกแล้วยื่นเครื่องโทรศัพท์มาให้ “ขอบคุณครับ”


           ผมไม่รอช้าต่อสายไปที่เบอร์ของตัวเองทันที ผมภาวนาเลยว่าขอให้เป็นใครสักคนแค่เก็บไปแล้วรอคืนเจ้าของเถอะ อย่าเป็นมิจฉาชีพเลย พ่อฆ่าผมแน่ถ้าผมทำโทรศัพท์ที่เพิ่งได้มายังไม่ถึงปีหายและเตรียมตัวใช้โทรศัพท์รุ่นคุณปู่จนกว่าจะเก็บเงินซื้อเองได้เลย


           (ฮัลโล)


           เสียงนี้…


           “ลี!!”


           (หนึ่ง! เชี้ย! มึงอยู่ไหนเนี่ย!? เมื่อคืนมึง-)


           “เอาไว้ก่อนเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยเคลียร์” ผมเบรกคนในสายที่กำลังถามถึงเรื่องเมื่อคืน “มึงเก็บโทรศัพท์กูใช่ไหม รวมถึง’เป๋าตังด้วยหรือเปล่า?”


           (เออ ก็เก็บมาหมดแหละ เมื่อคืนมึงเมาไม่รู้เรื่องฉิบหาย กูกลัวว่าจะมีคนขโมยไปก็เลยเอาโทรศัพท์ของมึงกับกระเป๋าตังมึงมาด้วย)


           “แล้วตอนนี้อยู่ไหน เอามาคืนกูเดี๋ยวนี้เลย”


           (แล้วมึงอยู่ไหน?)


           ผมหันไปหาเจ้าของห้อง “เอ่อ ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนครับ?”


           “เอ็กเซล คอนโดมิเนียม”


           ผมพยักหน้าก่อนจะตอบคนในสาย “ตอนนี้กูอยู่-”


           เดี๋ยวนะ


           (มึงอยู่ไหน?)


           “แป๊บนึงนะมึง เดี๋ยวกูโทรไปอีกรอบ” ผมกดตัดสายก่อนจะหันหน้ากลับมาทางเจ้าของห้องอีกครั้ง “ตอนนี้ผมอยู่คอนโดเอ็กเซลหรอครับ?”


           “ครับ ห้องผม B8003”


           เอ้า!


           “ผมจะพาคุณกลับห้องคุณแล้วเมื่อคืน แต่คุณบอกว่ากุญแจอยู่ในกระเป๋าตัง แล้วผมหากระเป๋าตังคุณไม่เจอ ก็เลยพามานอนห้องตัวเองแทน ขอโทษด้วยนะ”


           “ไม่ครับๆ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่พี่…แบบว่าขอเรียกพี่แล้วกันนะครับ…ขอบคุณที่พี่พาผมกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงได้นอนอยู่ที่นั่น”


           “ไม่เป็นไรครับ” 


           “งั้น…ผมขอตัวกลับห้องผมก่อนนะครับ” ผมยิ้มเจื่อนชี้ไปที่ประตูห้องนอน ก่อนจะเดินถอยหลังออกทางประตูแล้วปิดคืนเสียงเบา


           พอพ้นจากห้องนอนแล้วผมก็ไม่รอช้า สาวเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วตรงดิ่งไปยังห้องข้างๆ ก่อนจะหัวเราะเสียงแห้งเมื่อเห็นว่าห้องข้างๆ เป็นห้องของผมจริงๆ


           ขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้โวยวายเล่นใหญ่อะไรออกไป ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไหวที่ไหน และผมหวังว่า เมื่อคืนผมคงจะไม่ได้เผลอทำตัวแย่ๆ ใส่เพื่อนบ้านที่ผมเพิ่งรู้จักหรอกนะ


           …


           ใช่ไหมวะ?


           “อุตส่าห์คิดว่ามีเซอร์ไพรส์วันเกิด รีบลงมาเกือบตกบันได แต่กลับต้องมาเจอคำบอกเลิก มันใช่หรอ!”


           “แค่บอกเลิกกันวันเกิดก็แย่มากพออยู่แล้ว จิตใจทำด้วยอะไรกับการส่งข้อความมาย้ำอีกว่า ‘โทษทีนะที่บอกเลิกวันนี้ ลืมไปว่าวันนี้เป็นวันเกิด’! เพิ่งเลิกกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ความแคร์กันนี่ไม่เหลือแล้วเลยหรอไง! สรุปตั้งแต่คบกันมาใครที่มันหลอกใครกันแน่วะ!”



           เดี๋ยวนะ…


           เอ่อ ฮ่ะๆๆๆ ผมพูดกับเพื่อนของผมใช่ไหม?


           เมื่อวานผมนั่งกินเหล้ากับลีแล้วก็เดช ผมจำได้ว่าบ่นอะไรไม่รู้กับพวกมันเยอะมาก นี่ก็เป็นหนึ่งในอะไรสักอย่างที่ผมพูดกับเพื่อนของผม…ที่ร้านเหล้า…ใช่ไหม?


           “คุณคิดว่าที่จริงแล้ว เพราะผมเป็นเกย์หรือเปล่า?”


           “วันนี้ที่มันมีแต่เรื่องแย่ๆ มันอาจเพราะว่าผมเป็นเกย์ก็ได้”



           “หนึ่ง พยายามที่สุดแล้ว”


           ผมรู้ว่าผมพูดคำนี้หลายรอบมากแล้วในวันนี้ แต่ผมขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับวันนี้


           ฉิบหายยย!!!!!!!


           ยังไม่ทันทีที่ผมจะได้เปิดประตูห้องของตัวเอง ผมก็หันหลังกลับไปที่ห้องที่ผมเพิ่งออกมา ห้อง ‘B8003’ ก่อนจะเปิดผัวะ! เจอเข้ากับเจ้าของห้องที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำพอดิบพอดี


           “เมื่อคืน”


           “??”


           “เมื่อคืนผมไม่ได้พูดอะไรกับพี่ใช่ไหม? แบบว่า ตอนพี่พาผมมาผมหลับปุ๋ยเลย แบบไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เงียบสุดๆ จนถึงเช้าเลย ใช่ไหมครับ?”


           ขอเถอะ ขอให้ภาพที่ผมจำได้ลางๆ นั่นเป็นเพียงแค่ฝันไป


           เรื่องที่ผมโดนบอกเลิก หรือวันเกิดอะไรที่ทำให้ผมเสียหน้านั่นผมพอรับได้ถ้าหากเผลอพูดกับตรงหน้าออกไป แต่อย่างน้อยแค่ ‘เรื่องนั้น’ ขอให้เป็นแค่ฝัน ขอแค่ ‘เรื่องนั้น’ ที่ผมไม่ได้พูดออกไปกับใครเลย!


           “คุณพูดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ผมพาออกจากร้านจนถึงที่ห้อง”


           อ๊ากกกกกกกกกกก!!!


           “ผมพูดอะไรไปบ้างหรอ?” ผมถามเสียงแห้ง รู้สึกถึงเหงื่อที่มือ และขาก็หมดแรงคล้ายจะล้มพับ


           “เรื่องเลิกกับแฟน เรื่องวันเกิด เรื่องที่ต้องออกจากหอ มีบ่นเรื่องที่เพื่อนไม่ให้กินเหล้าด้วยอะไรสักอย่าง แค่นั้น ก็ไม่เยอะนะ”


           ไม่เยอะห่าอะไร นี่มันทุกเรื่อง!


           แต่ดูเหมือนว่า ‘เรื่องนั้น’ ผมแค่คิดมากจนเก็บเอาไปฝันจริงๆ โอเคๆ ถ้าแค่เรื่องนั้นผมไม่ได้พูดออกไปก็พอแล้ว


           “ผมพูดแค่นั้นใช่ไหมครับ อ่าา โอเคครับ ผมแค่มาถามดูน่ะ พอเหล้าเข้าปากแล้วผมชอบพูดไม่ดี กลัวว่าจะเผลอพูดอะไรที่ทำให้พี่ไม่พอใจไป” ผมโกหกไปคำโต “ถ้างั้น ผมกลับก่อนนะครับ ขอโทษที่รบกวนอีกครั้งครับ”


           ผมบอกลาเจ้าของห้อง ‘B8003’ ที่ผมยังไม่รู้ชื่ออีกครั้ง หมุนตัวกลับไปที่ประตูเตรียมออกจากห้อง แต่ว่า…


           “เฮ้”


           เสียงเรียกของอีกคนที่ดังขึ้นขัด ก็ทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดของผมหยุดลงก่อนจะหันกลับมาตามเสียงเรียกนั้น “ครับ?”


           ผมส่งเสียงตอบ แต่ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ก้าวเดินตรงมาหาผมพร้อมสีหน้าที่ดูจริงจัง…มันดูเครียดมากจนผมเผลอถอย หลังติดประตูยามที่เจ้าของห้องเดินมาอยู่ตรงหน้าห่างกันไม่ถึง 30 เซนฯ


           แปะ…


           หะ?


           ผมที่หลับตาปี๋ตอนที่มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าลืมตาขึ้นช้าๆด้วยความงุนงงเมื่อมือนั้น (ที่คิดว่าอาจจะโดนตบ (แบบที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร) หรือเท้าประตู (แบบในละคร)) วางลงบนหัวของผมพร้อมใบหน้าอ่อนลงที่ยื่นมาใกล้


           “ผมรู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างผมจะพูดได้ แต่ว่า..ผมไม่อยากให้คุณดูถูกตัวเอง เรื่องที่เกิดกับคุณมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้กับทุกคน ทั้งผม ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย สิ่งที่คุณเป็นไม่ได้ทำให้คุณต่ำต้อยกว่าใครจนต้องสมควรที่รับอะไรอย่างนั้นอย่างที่คุณคิดเลย”


           …สาบานไหมว่าการที่เจ้าของห้องพูดมาแบบนี้ คุณจะไม่รู้สึกตัวว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร


           “ไหนพี่บอกว่าผมพูดแค่เรื่องเลิกกับแฟน เรื่องวันเกิด เรื่องย้ายออกจากห้อง กับเรื่องที่เพื่อนไม่ให้ผมกินเหล้าไง…”


           “อ่า มีเรื่องนี้ด้วยอีกเรื่องนึง แต่ว่าไม่ต้องห่วง คุณไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้ผมไม่พอใจอย่างที่คุณกังวลอยู่หรอก สบายใจได้”












           “มึงไหวปะ? กูเข้าใจนะเว้ยว่าคบกันมาเป็นปีก็ต้องมีอาลัยอาวรณ์บ้าง แต่เขาทิ้งมึงแล้ว มึงก็ต้องก้าวเดินต่อไป หรือรอใจเย็นกว่านี้ค่อยง้อก็ยังได้”


           “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แดกเหล้าอีกอะ”


           “เออ ปกติก็ไม่ค่อยอยากเห็นด้วย แต่อันนี้กูเห็นด้วยกับไอ้เดช เมื่อคืนพอกูกลับมาไม่เจอมึงวุ่นวายกันฉิบหาย จะตามตัวจากพนักงานที่กูฝากให้ดูมึงไว้ เสือกกลับไปตอนไหนไม่รู้ แถมพอจะหาทางติดต่อพนักงานคนนั้น ก็ทำไม่ได้อีกเพราะดันไม่รู้ชื่อพนักงาน”


           “เมื่อคืนพวกมึงไปทำอะไรกันมาเนี่ย ดูวุ่นวายจัง”


           “พาหมาไปแดกเหล้าที่มันอกหักเนี่ยแหละ มึงน่าจะมาด้วยอะตาว”


           “หยุดคุยเรื่องกูตอนที่กูก็นั่งฟังอยู่ได้ไหม รีบเก็บของได้แล้ว หมิวให้เวลากูแค่ถึงตอนเย็น ไม่ใช่เที่ยงคืน”


           ผมหันไปพูดกับเพื่อนทั้งสามคนพร้อมกับคว้าเสื้อผ้าที่ ‘ตาว’ เพื่อนในกลุ่มอีกคนเป็นคนพับ ยัดใส่กระเป๋าเป๋


           “ก็แค่เล่าเรื่องระหว่างเก็บของเอง ทำงานเงียบๆ มันอึดอัดอะ” ลี ไอ้เพื่อนตัวดีทุกสถานการณ์เอ่ยพูดแก้ตัวพลางเอาชีทเรียนของผมใส่กล่องลังกระดาษโดยมีเดชเป็นคนคอยจัดที่จัดทางให้เป็นระเบียบ


           “มึงก็พูดเรื่องอื่นดิวะ เรื่องมีเป็นร้อยเป็นล้าน” ผมพูดหัวเสีย


           “เออ มึง แอนเจลิน่า โจลี่ เปลี่ยนสัญญาชาติแล้วนะเว๊ย”


           “เฮ้ย จริงปะ!?”


           “ไม่จริง…เนี่ยหนึ่ง พอคุยเรื่องอื่นแล้วมันไม่ค่อยมันส์เลยว่ะ ต้องเรื่องมึงอะ”


           ผมเกลียดความกวนตีนหน้านิ่งของไอ้เดชชะมัด ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ใจผมไม่ค่อยอยู่กับล่องกับลอยผมคงนึกคำด่ามันได้แล้ว


           “เออ หนึ่ง แล้วยังไงต่อวะหลังจากที่พี่เขาบอกว่ามึงไปพูดใส่พี่เขาทุกอย่างไอ้เรื่องเมื่อวานอะ” ลีถาม


           “ก็ไม่แน่ใจ รู้สึกมึนๆ รู้ตัวอีกทีก็ยืนเคาะห้องตัวเองแล้ว แล้วก็นึกได้ว่ามีเรียนบ่ายก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็โทรให้มึงมารับนั่นแหละ จบ”


           “เหล้าแม่งน่ากลัวสัส” ตาวเป็นคนแรกที่ออกความเห็นหลังจากที่ผมเล่าจบ


           “ต่อไปมึงจะไม่แดก?”


           “แดกอย่าให้หมาเหมือนหนึ่งดิ นี่ดีนะที่มึงแค่พูดเรื่องประสบการณ์วันเหี้ยอะไรของมึง กูเคยครั้งนึงกินเหล้าอยู่กับลูกบ้านข้างๆ ที่บ้านข้างๆ นั่นแหละ แล้วกูก็พูดเรื่องนู่นนี่ของกูไปเรื่อย พ่อแม่เพื่อนกูได้ยิน พอเจอหน้าพ่อกูก็จัดใส่ไม่มีเหลือ ความลงความลับอะไรของกูหลุดสู่พ่อแม่กูหมด ตอนนั้นกูก็ค้นพบสัจธรรมว่า ถ้ามีเรื่องที่ไม่อยากให้พ่อแม่รู้ ก็ปิดข้างบ้านให้มิดด้วย”


           “ดีนะ กูไม่สนิทกับข้างบ้าน แล้วข้างบ้านก็ไม่คิดจะผูกมิตรกับใคร”

 
           “เออ แม่ง จะทักทายก็พูดว่า ‘หวัดดีครับ’ ดิวะ ไม่ใช่มาพูดเรื่องกู”


           ผมนั่งฟังเพื่อนสามคนคุยกันแบบหน้าซีดๆ จากที่ผมนั่งคิดถึงคำพูดของเจ้าของห้อง B8003 ตลอดคาบบ่ายและภาพในหัวที่โผล่มาอย่างคับคล้าบคับคลา ผมก็มั่นใจว่าเมื่อคืมผมคงได้เผลอโพล่ง ‘เรื่องนั้น’ ออกไปจริงๆ แม้จะดูเหมือนว่าคุณเจ้าของห้องจะไม่ได้โฟกัสที่ว่าผมเป็นเกย์ แต่ผมคิดว่าเพราะไม่ได้ใส่ใจจุดนั้นเนี่ยแหละ ที่อาจจะทำให้เขาเผลอไปพูดต่อได้ง่าย


           ถ้าเขาบังเอิญเจอพ่อผม แล้วไปทักทายด้วยเรื่องพวกนี้เขา…แบบ ‘เมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับลูกชายคุณนะครับ ผมว่าคุณพ่อควรจะให้กำลังใจเขานะครับว่า ‘เป็นเกย์’ ไม่ได้ทำให้ใครด้อยกว่าใคร’ อะไรประมาณนี้ ชีวิตผมคงจบ


           ไม่ดิ!!


           ตอนเช้าเขาไม่น่าจะได้เจอพ่อผม โอกาสเจอกันก็มีแค่ช่วงเย็น แล้วตอนนี้พ่อก็น่าจะยังไม่กลับบ้านด้วย ถ้าเกิดว่าผมไปคุยกับเขาก่อน……


           “ลี เดช ตาว มึงรีบเก็บของเดี๋ยวนี้เลย กวาดใส่กล่องได้กวาด เสื้อผ้าอะไรไม่ต้องพับแล้ว ยัดใส่มาเลย! แล้วรีบขนขึ้นรถไอ้ลี กูจะรีบกลับบ้าน!!”










           ก๊อก ก๊อก ก๊อก


           ผมเคาะห้อง B8003 ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ให้ความรู้สึกเคาะประตูห้องปกครองตอนที่โดนเรียกตัวให้ไปสารภาพผิดอะไรแบบนี้


           ผมไม่เคยพูดเรื่องผมเป็นเกย์กับใคร แล้วอย่างที่ผมเคยบอก ผมไม่อยากแม้แต่จะจำได้ว่าผมเป็น มันไม่ใช่อะไรที่ผมภูมิใจนัก แต่ตอนนี้ผมกำลังจะพูดเรื่องพวกนี้กับคนแปลกหน้า คุยเรื่องความลับเดียวในชีวิตของผม


           “ครับ?”


           ผมเผลอหยุดหายใจชั่วขณะ เมื่อเจ้าของห้องเปิดประตูออกมา เอาวะ…ไม่มีอะไรให้ลังเลแล้ว


           “ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ? ใช้เวลาไม่นานครับประมาณสิบนาที เอ่อ หรือห้านาทีก็ได้”


           พี่เจ้าของห้องมีสีหน้างงงวยเล็กน้อยแต่ก็ยอมเบี่ยงตัวหลบไปในที่สุด ผมสูดหายใจให้กำลังใจตัวเองเต็มที่ก่อนจะเดินก้าว-


           “อ้าว โยยังไม่ไปทำงานอีกหรอ?”


           เสียงนี้มัน…


           “วันนี้ผมลางานน่ะครับ เหมือนว่าแฟนผมจะมีปัญหา เลยว่าจะไปหาสักหน่อย”


           ผมหันขวับไปทางเจ้าของห้อง B8003 


           เขา-เขา…รู้จักพี่เอสด้วย


           “เตรียมเงินไปเท่าไหร่ละทีนี้ โทษที ปากไวน่ะ”


           “ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของเสียงทุ้มพูดรับพร้อมกับยิ้มดูเหมือนว่าไม่ได้ติดใจเอาความอะไรกับความปากเสียของพี่เอสจริงๆ


           ….


           ซื่อจัง


           “งั้นพี่เข้าห้องก่อนนะ แล้วก็…ที่หนึ่ง ห้องเราอยู่นี่ ไปทำอะไรห้องโย”


           “รู้ด้วยหรอ?” ผมหัวเราะเสียงแห้งขณะหันหน้ากลับมาทางพี่เอส “หนึ่งมีเรื่องจะคุยกับพี่โยนิดนึงก็เลยมาห้องพี่เขาไง ไมอะ ไม่ได้หรอ?”


           “ก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่าไปก่อความเดือดร้อนให้พี่เขาแล้วกัน”


           “หนึ่งอยู่ปีสองแล้วนะ”


           “อ๋อหรอ ลืมๆ นึกว่ายังสิบขวบอยู่” พี่เอสหัวเราะก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง B8002 พอหลังจากพี่เอสไปแล้วผมก็คว้าข้อมือพี่โยเข้าห้อง B8003 บ้าง พร้อมปิดประตูลงกลอนเสร็จสรรพ


           ตอนที่กลับคอนโดฯ ผมยังคิดในแง่ดีว่าต่อให้เป็นเพื่อนข้างห้องกัน แต่ถ้าไม่รู้จักมักจี่กันก็คงไม่เอาเรื่องของผมไปเล่าต่อให้ใครฟัง แต่ดูจากที่คุยกับพี่เอสเมื่อกี้แล้ว ผมว่าไม่ใช่แค่รู้จักแบบทักว่า ‘หวัดดี’ กันไปมาด้วยซ้ำ


           ความลับของผมกำลังอยู่ในอันตราย


           “ผมจะพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยนะ” ผมเกริ่น สูดลมหายใจเข้าปอดไปอีกเฮือก “เรื่องที่ผมพูดไปตอนเมาเมื่อคืนน่ะ”


           “…”


           “เรื่องนั้นน่ะ เรื่องที่ผม…พูดอันหลังๆ อะ”


           “ครับ? เรื่องเลิกกับแฟน?”


           “ไม่ใช่”


           “เรื่องวันเกิด?”


           “ไม่ใช่ เรื่องที่ผมพูดก่อนที่ผมหลับอะ ที่ผมพูดหลังๆ โถ่เว้ย เรื่องที่ผมเป็นเกย์น่ะ!”


           ผมพูดออกไปแล้ว!


           “อ๋อ ครับ เรื่องนั้น”


           “เรื่องนั้นแหละ! มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ แล้วผมก็ไม่อยากให้ใครรู้ด้วย โดยเฉพาะครอบครัวของผม ที่จริงผมก็อยากจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตายไปพร้อมกับผม แต่นั่นแหละ เหล้าเอาความจริงผมออกมาแล้ว ผมถึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้ตอนนี้”


           “…”


           “ที่ผมมาวันนี้ผมเลยอยากจะมาขอให้-”


           Rrrrrrr


           “โทษทีนะ เดี๋ยวเราค่อยมาคุยต่อได้ไหม แฟนพี่โยเขาโทรตามแล้วครับ พี่โยต้องไปก่อน” ไม่พูดเปล่า พี่โยเจ้าของห้องเดินไปหยิบกระเป๋าตังและกุญแจรถก่อนจะดุ่มๆ ไปยังประตู ทิ้งผมที่ยังพูดไม่จบให้ยืนขวางทางอยู่กลางห้อง “ออกจากห้องล็อคประตูให้พี่โยด้วยนะ”


           “อ่า ครับ”


           ปัง…


           ประตูห้องปิดลงไปแล้ว เจ้าของห้องก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแต่ผมที่ยืนเคว้งคว้างคนเดียวอยู่ในห้องของเพื่อนบ้าน…บ้าเอ้ย เขาจะรีบอะไรกะหนักกะหนากับแค่อยู่ฟังผมพูดว่า ‘พี่เก็บเป็นความลับได้ไหม?’ อีกแค่ประโยคเดียว แล้วเขาตอบว่า ‘ได้ครับ จะเก็บให้มิด’ แล้วค่อยออกไป ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาทีด้วยซ้ำ!


           บ้าเอ้ย! ความลับของผมอยู่ในระยะปลอดภัยหรือยังเนี่ย ทำไมเริ่มต้นวันเกิดปีที่ 20 ของผมถึงได้ย่ำแย่แบบนี้กัน คนบนฟ้าลืมให้พรวันเกิดผมหรอ ฮัลโล!?


           เฮ้อ…ให้ตายเถอะ


           ผมเกลียดเหล้าที่สุด


           “พรุ่งนี้สงสัยต้องมาล็อคตัวแค่เช้า”






           TBC

ออฟไลน์ thenista

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
    • NISTA
B8003
03





ต่างก็เคยผิดหวังในรักมา เคยหลับหูหลับตาไอตอนเวลาหาคู่
ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำไง ก็เห็นแล้วชอบแค่นั่นก็เลยเผลอใจ

 
ไม่เป็นไรส่วนฉันไม่ต้องการเยอะแค่มีเธอผู้เดียวฉันก็พอเถอะ
เดินไปด้วยกันแค่เพียงมีฉันและมีเธอ : )





.

.

.
           ก๊อก ก๊อก


           แปดโมงนาฬิกาสิบห้านาทีผมยืนอยู่หน้าห้อง B8003 อีกครั้งดังคำประกาศิตที่ลั่นไว้เมื่อตอนก่อน


           อันที่จริงผมกะว่าคงไม่ปล่อยให้ถึงตอนเช้า พอพี่โยกลับห้อง ผมก็จะเคลียร์ต่อให้จบ คือสิ่งที่ผมจะบอกใช้เวลาไม่ถึงห้านาที! ปล่อยให้กูพูดให้จบเถ๊อะะ TT แต่นั่นแหละครับ ที่ผมมายืนอยู่หน้าห้องในตอนเช้าแบบนี้ก็เพราะว่าเมื่อคืนผมไม่ได้เจอเขาไง!


           ทำไมถึงไม่เจอน่ะหรอ?


           ผมก็ไม่รู้!


           ผมอุตส่าห์นั่งรอบนโซฟาแบบใกล้ประตูห้องที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทีวีนี่ไม่เปิดเลย ใครมาแตะจะเปิดผมตีมือเรียบ ใครมาคุยด้วย ผมสะบัดหน้าใส่ไม่คุย ไม่ยอมให้มีเสียงอะไรกลบเสียงประตูห้องข้างๆ ที่เผื่อดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเจ้าของห้องกลับมาแม้แต่นิดเดียว


           แต่จนแล้วจนรอด


           ครับ


           เมื่อคืนเหมือนว่าจะไม่กลับ หรือไม่ก็น่าจะกลับหลังจากที่ผมสลบคาโซฟาไปแล้ว และเพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านเจ้าของห้อง B8003 เผลอไปเม้าท์ตามภาษาแม่บ้านจนหลุดออกไปว่า ลูกชายเจ้าของห้อง B8002 เป็นเกย์จ้าผมถึงได้มายืนอยู่หน้าห้องตอนเช้าตรู่รบกวนการพักผ่อนแบบคนไม่มีมารยาทแบบนี้


           ก๊อก ก๊อก ก๊อก!


           ผมเคาะห้องอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องยังไม่เปิดประตูออกมา ผมไม่แน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียง (เจ้าของคอนโดฯ เขาคิดว่าเสียงกระดูกกระทบไม้สามารถดังทะลุเข้าไปถึงในห้องนอนที่มีไม้อีกแผ่นที่คอยตัดเสียงรบกวนได้) หรือว่าไม่อยู่กันแน่


           ผมมีเรียนตอนเก้าโมงเช้า ผมมีเวลาอีกนิดหน่อยในการเคาะห้องให้กระดูกแตก ผมไม่อยากพลาดโอกาส ผมอยากจะพูดให้มันจบๆ ไม่อยากต้องไปนั่งกังวลไปตลอดทั้งวัน


           ก๊อก ก๊อก ก๊อก! ปึงๆๆๆๆ!!


           กูทุบแม่งละ!


           ใครจะยังมาใจเย็นเคาะห้องกุ๊งๆ ได้อยู่อีกวะ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!


           ปึงๆๆๆ!!


            “ประตูห้องจะพังแล้ว”


           ผมชะงักมือที่กำลังจะฟาดลงไปที่ประตูไม้อีกรอบ เมื่อประตูห้องเปิดออกเผยหน้าเจ้าของห้องที่อยู่ในสภาพเพิ่งตื่นโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าแล้วอะไรทำให้เขาตื่น


            “คุณ…มีอะไรแต่เช้าครับ?”


            “ผมขอเวลาคุยไม่เกินสิบนาที แค่พี่ตั้งใจฟังผมให้ดีๆ แล้วก็ทำตามที่ผมพูด ผมจะรีบพูดให้เสร็จแล้วปล่อยให้พี่พักผ่อนต่อเลยครับ” ผมไม่อารัมภบทอะไรเยอะ พูดเข้าเรื่องเข้าประเด็น


            “…โอเค เข้ามาในห้องก่อนไหม?”


            “อ่า ครับ” ผมตอบรับก่อนจะเดินก้มหัวผ่านเข้าไปภายในห้อง รออีกฝ่ายปิดประตูแล้วค่อยเดินตามพี่โยไปที่โซฟา


           อ่อนน้อมเหมือนไม่ใช่คนที่กำลังจะพังประตูเมื่อกี้


            “กินอะไรไหม? ผมพอมีโอวัลติน น้ำส้มอะไรพวกนี้ หรือจะกาแฟ?”


            “ไม่เป็นไรครับผมกินข้าวเช้าแล้ว ไม่อยากรบกวนเยอะด้วย” ผมปฏิเสธไป


           พี่โยพยักหน้ารับ


           เขาเดินเข้าไปในครัวที่มีแบบผังไม่ต่างอะไรกับห้องของผมนักก่อนจะหยิบนู่นหยิบนี่เกิดเสียงดังก๊องแก๊งเป็นจังหวะพอให้ผมได้จดจ่ออยู่กับอะไรอย่างอื่นนอกจากความกังวลของตัวเองไปได้


           เฮ้อ


           จริงๆ ผมควรจะสบายกว่านี้ ผมแค่พูดท่อนต่อไปของสิ่งที่จะพูดเมื่อวาน แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอก แค่คิดว่าเรื่องที่ผมกำลังจะพูดเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยพูดกับใคร เป็นเรื่องที่ผมไม่คิดจะเล่าให้ใครฟัง หรือพูดหน้ากระจกก็ยังไม่เคย มันก็ยังทำให้ผมกดดันอยู่ดี ถึงแม้ว่าผมจะพูดประโยคที่พูดยากที่สุดอย่าง ‘ผมเป็นเกย์’ ไปแล้วก็ตาม


           ใจเย็นไว้ที่หนึ่ง ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นขนาดนั้นเลย


            “นี่”


           ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรเล็กๆ มาแตะที่แก้ม พอหันไปตามเสียงและสัมผัสนั้น ก็เจอเข้ากับลูกอมฮาร์ทบีทเม็ดนึงที่เจ้าของห้องยื่นส่งมาให้


            “เอ๋? อ่า ขอบคุณครับ” ผมรับมันไว้อย่างงงๆ ก่อนจะแกะเข้าปาก


           เอ่อ อันนี้คือไม่ได้เป็นการบอกให้ผมดับกลิ่นปากแบบทางอ้อมหรอกใช่ไหมครับ…


            “มีอีกนะถ้าคุณชอบ”


            “ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบพลางกลิ้งลูกอมในปากไปมา คิดในแง่ดีไว้เจ้าของห้องอาจจะแค่มีน้ำใจก็ได้ ฮ่ะๆๆๆ “เฮ้อ”


           เยี่ยม ผมเผลอหลุดถอนหายใจไปซะแล้ว


            “ยังคิดเรื่องที่พูดเมื่อวานอยู่หรอ?”


            “ครับ?”


            “ที่บอกว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่อยากให้ตายไปพร้อมกัน ไม่มีใครรู้ และไม่อยากให้ใครรู้ เมื่อวานถึงผมจะรีบไปทำธุระจนอยู่ฟังไม่จบ แต่ผมฟังอยู่ และที่จริงมันไม่จำเป็นต้องห่วงเลย คุณไม่อยากให้ใครรู้…พี่โยก็จะไม่บอกใคร”


           พบสบตากับคนตรงหน้าก่อนจะหลุบตาลงต่ำเมื่อมือใหญ่ของอีกคนวางลงบนหัวของผมราวกับต้องการบอกว่าให้ผมวางใจ


            “ผม--ก็ไม่ได้คิดว่าพี่จะไปตั้งใจบอกใครหรอก ผมแค่กลัวว่าพี่จะหลุดปาก ที่ผมอยากจะคุยเรื่องนี้ให้ได้เพราะผมอยากย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรแม้แต่จะพูดถึง”


            “…”


            “ผมแค่…อยากจะบอกว่าให้ระวังมันไว้ให้มากๆ มันเป็นเรื่องคนอื่นสำหรับพี่ แต่มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผมจริงๆ”


           พี่โยเงียบไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ


           แต่ทว่ามีนิ้วก้อยที่ถูกยื่นมาตรงหน้า


            “ผมจะตามล่าพี่ประหนึ่งมสุธร จะเอาให้เละเป็นขี้เหมือนจอห์นวิคเลย” ผมทำเสียงใหญ่ข่มก่อนจะยกนิ้วขึ้นเกี่ยวก้อย


            ‘สัญญา’


           ไม่น่าเชื่อ แต่รู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลัง ‘เชื่อ’


            “แล้วนี่แต่งตัวนักศึกษาแบบนี้ คุณมีเรียนหรอ?”


            “อะ ครับวันนี้ผมมีเรียน ตอนเก้าโมงเช้าซะด้วย” ผมตอบ “งั้นผมว่าผมคงต้องรีบไปก่อนเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันอาจารย์ล็อคห้อง ผมคงแย่เลย”


            ผมยิ้มให้พลางลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะลาเจ้าของห้องที่ผมมารบกวนแต่เช้า แต่ว่า…คำพูดของผมก็ต้องกลืนกลับเข้าไปในลำคอซะก่อน เมื่อพี่โยพูดแทรกผมขึ้นมา


            “เดี๋ยวผมไปส่งที่มหา’ลัย”


           …


            “ครับ?” ไม่มีกระจกผมยังรู้เลยว่าตัวเองกำลังทำหน้าตาเหลอหลาทำร้ายน้ำใจคนตรงหน้าอยู่แน่นอน แต่โทษเถอะครับเมื่อกี้ผมหูแว่วหรือพี่โยละเมอนะ?


            “กำลังจะไปมหา’ลัยเองใช่ไหม? เดี๋ยวพี่โยไปส่งแทน”


            “ไม่ๆ พี่ ไม่เป็นไร ไม่อยากรบกวนอะ” ผมปฏิเสธเป็นพัลวัน คือมันไม่ใช่เรื่องอะที่จะรบกวนคนที่ไม่ได้สนิทอะไรขนาดนั้นให้ไปส่งที่มหา’ลัย ผมก็อยากรักสบายนะ แต่น่าเสียดายที่ความขี้เกรงใจของผมมีสูงกว่าเยอะ “ผมไปเองได้ครับ ผม 20 แล้วนะ พี่คิดดูดิพี่จะไปติดแหง่งอยู่บนถนนช่วงชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ทำไม น่าเบื่อจะตาย ผมเกรงใจอะ ขอรับไว้แค่น้ำใจแล้วกันครับ”


            “คุณอยู่มหา’ลัย SS ใช่ไหม? แฟนพี่โยก็อยู่มหา’ลัยนี้เหมือนกัน วันนี้เขามีเรียนบ่ายตั้งใจจะไปหาเขาตอนเช้าอยู่แล้ว เพราะงั้น เดี๋ยวไปส่งเอง”


           ครับ พ่อครับ










           เผลอหลวมตัวมาด้วยยยยย


           พอพี่โยเขาบอกว่าเขาตั้งใจจะมาหาแฟนเขาอยู่แล้ว ความเกรงใจผมนี่ลดฮวบๆ แห้งเหือดเป็นทะเลทราย เดินตามหลังต๊อกๆ เข้ามานั่งในรถของเขาหน้าตาเฉยในหัวไม่เหลืออะไรเลยนอกจากไปทางเดียวกัน ไปด้วยกัน ช่วยชาติประหยัดพลังงาน


           จนกระทั้งพ้นหน้าคอนโดฯ มาได้สักระยะ ผมก็เพิ่งคิดได้ว่า…เอออออออ กูกำลังอยู่ในที่แคบ 2 ต่อสอง กับคนที่รู้จักกันแค่ 2 วันนี่หว่า ซึ่งสิ่งที่ตามมาคืออะไรที่ผมไม่ชอบเลย นั่นก็คือ ‘ความเงียบ’ เพราะผมกับพี่โยไม่มีอะไรจะคุยกันเลย และเราทั้งสองก็ไม่ใช่คนที่ช่างพูดช่างเจรจาอะไร (ถ้าเป็นพี่เอส ป่านนี้คงชวนพี่โยคุยหูดับตับไหม้ไปแล้ว) สิ่งที่ผมทำได้คือนั่งอึดอัดอยู่บนถนนที่ติดแหง่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน กอดกระเป๋านั่งตัวตรงเกร็งจนตะคริวจะกินตีน


            “ฟังเพลงไหม? พี่โยฟังเพลงสากลเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคุณฟังได้ คุณจะเปิดก็ได้นะ”


            “ฟังได้ครับๆ ผมก็ชอบเพลงสากลเหมือนกัน” ผมตอบพลางกดเปิดเครื่องเล่นเสียงรถยนต์ ไม่รอช้าที่จะให้เสียงเพลงช่วยเยียวยาความน่าอึดอัดใจบนรถ “ที่จริงผมก็ฟังหลายแนวนะ เกาหลี จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ไทย เพลงใต้ดินบางทีก็ฟังนะ ถ้าเพราะผมก็ฟังหมด”


            “ลูกทุ่ง?”


            “ผมชอบจ๊ะ อาร์สยามที่สุด ผมว่าเพลงเขาติดหูดี เสียงเขาก็เอกลักษณ์ดีด้วย”


            “ขอสักท่อน”


            “ร้องไม่ลงอะ อายยังไงไม่รู้”


            “นี่กำลังทำให้นักร้องขวัญใจพลาดการขยายฐานแฟนคลับนะ”


            “กลัวว่าร้องไปจะได้แอนตี้แฟนเพิ่ม”


           พี่โยหัวเราะเสียงเบากับคำพูดผม


            “แล้วเพลงลูกกรุงละ?”


            “อยู่ที่บางกอก บางงงงกอกกก ดินแดนความหลังของเราเธอยังไม่ลืมใช่ไหม~”


            “พี่โยหมายถึงแนวเพลงสิ”


            “เอ้าหรอ” ผมหัวเราะฮี่ๆ ใส่หน้าคนขับรถ กวนไปงั้นแหละพอดีว่ามันได้ ฮ่าๆๆๆ “แล้วพี่โยชอบเพลงแนวไหน? เดี๋ยว!--ผมขอทายก่อน”


            “พูดถึงแนวเพลงใช่ไหม?”


            “ช่ายย”


            “ลองทายดู”


           ผมกอดอกพิจารณา เพลงในรถของพี่โยตอนนี้กำลังเล่นเพลง Scars to your beautiful ของ Alessia Cara เป็นเพลงป็อปจังหวะเบาๆ แต่ดูจากนิสัยท่าทางทื่อๆ ซื่อๆ เหมือนกระต่ายของคุณเจ้าของห้อง B8003 แล้ว ผมว่าเขาน่าจะไปทาง R&B มากกว่า


            “ผมว่า R&B”


            “คิดว่าถูกไหม?”


            “80% เลย อีก 20% ผมลงว่าเป็นเพลงแนวป๊อป”


            “ผิด แนวที่ผมชอบไม่ใช่ทั้ง R&B ทั้งป็อป”


            “จริงดิ!?” ผมเผลออุทานเสียงดัง อันนี้คือตกใจจริงๆ คือต้องเข้าใจถึงความพี่โยก่อนครับ หน้าตาซื่อๆ แล้วก็นิสัย ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ใจดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (รถยนต์ยังเป็นโตโยต้าไฮบริด) ผมให้แนวหนักสุดของพี่เขาเลยคือบอดี้แสลม ความพี่โยคือ ถ้าเขาบอกว่าเพลงที่เขาชอบสุดคือ คุกกี้เสี่ยงทาย ผมก็ไม่แปลกใจอะเข้าใจไหมครับ? คือมันได้


            “ผมยอม พี่เฉลยเลย”


            “ผมชอบเพลงแนว EDM”


            “เพลงที่พี่เปิดฟังในรถคือเบาสบายมากครับ บอกตรง ไม่ได้ใกล้เคียงกับแนวเพลงที่พี่ชอบเลย”


           พี่โยหัวเราะ “แต่จริงๆ ผมเป็นคนฟังเพลงแบบฟังความหมายเพลงนะ เพลงส่วนใหญ่ที่อยู่ในรถก็จะเป็นเพลงความหมายดีๆ ซึ่งเพลงความหมายดีๆ ก็มักเป็นเพลงแนว R&B เลยดูเหมือนคนชอบเพลงแนว R&B ไป แต่ที่จริงชอบเพลงที่ค่อนข้างสนุกๆ น่ะ”


            “ผิดคาด ผมนี่นึกว่าพี่ชอบเพลงแนวแบบ คุกกี้เสี่ยงทาย ด้วยซ้ำ แต่ว่าเพลงนี้มันเป็นแนวป็อป ความหมายเพลงก็เฉยๆ พี่อาจจะไม่ชอบก็ได้”


            “ผมคิดว่าเพลงนี้ความหมายดีนะ”


            “หือ?”


            “มันเป็นเพลงของผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ คนนึงที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้น่ารักเหมือนคนอื่น ที่จะทำให้คนที่ชอบหันมามอง แต่ก็ยังกล้าที่จะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองและแสดงออกไป ผมชอบที่นำเสนอว่าอย่าคิดว่าไม่ได้ไม่มีทาง ซื่อสัตย์กับใจตัวเอง แสดงออกไป และลองเสี่ยงดู”


            “…”


            “ผมว่ามันต้องใช้ความกล้าหาญมาก และผมชอบที่สุดท้ายก็ให้กำลังใจว่า วันที่คุณบอกชอบเขาออกไปคุณอาจจะเสียน้ำตาแต่ก้าวเดินต่อไปเพราะสักวันนึงคุณก็จะได้เจอกับความรักของคุณ”


            “โห ผมคงฟังเพลงนี้ด้วยความรู้สึกแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้วละ” พี่โยไม่พูดอะไรนอกจากยกยิ้มให้ผม เราต่างก็เงียบกันไปอีกครั้ง เหลือแต่เพลง Scars to your beautiful ที่ยังดังก้องคลอเบาๆ อยู่ในรถ “แล้ว…เพลงนี้อะ ที่เล่นอยู่”


            “Scar to your beautiful?”


            “ครับ เพลงนี้มันสื่อถึงอะไรหรอ? ผมชอบฟังเพลงสากลนะ แต่ผมไม่เก่งอังกฤษเท่าไหร่ พี่เป็นพวกเสพความหมาย แต่ผมมันเป็นพวกเสพทำนองอะไรประมาณนั้น”


            “เพลงนี้เป็นเพลงที่มอบให้แก่คนที่กำลังไม่พอใจในตัวเอง คนที่อยากจะเปลี่ยนอะไรสักอย่างของตัวเองเพื่อให้เป็นที่จดจำ เพื่อให้เข้าสังคม เพื่อสายตาคนอื่น”


            “…”


            “เป็นเพลงให้กำลังใจว่า You should know you’re beautiful just the way you are คุณควรรู้ไว้ว่าอย่างที่คุณเป็นอยู่นั้นมันสวยงามแล้ว”


            “…”


            “And you don’t have to change a thing. The world could change its heart คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรเลย โลกต่างหากที่ต้องเปลี่ยน หมายถึง ค่านิยมต่างหากที่ต้องเปลี่ยน เช่น ขาวถึงดูดี สูงถึงดูดี ผอมถึงดูดี--”


            “เป็นชายหญิงถึงจะดี”


           ฉิบ…


            “โทษทีครับ พอผมบอกความลับของผมกับพี่ไป ผมระวังน้อยไปหน่อยปากก็เลยเปราะ คราวหน้าจะระวังกว่านี้”


            “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ”


            “แต่เลือกได้ก็ไม่ฟังดีกว่าใช่ไหมละ---พี่เข้าประตูนี้ก็ได้มันใกล้กับคณะผมมากกว่า” ผมชี้นิ้วไปที่ประตูซ้ายมือข้างหน้า บทสนทนาของเราชะงักไปชั่วคราวเมื่อผมต้องบอกทางไปคณะของผมเองซึ่งนั่นก็ดีเพราะผมรู้สึกว่าถ้าเราคุยกันต่อ มันคงเป็นหัวข้อบทสนทนาที่แย่ที่สุดบนรถ


            “ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” ผมเอ่ยขอบคุณกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับก่อนจะเปิดประตูรถ และขณะที่กำลังจะก้าวลงจากรถไปนั้นก็มีมือรั้งต้นแขนผมเอาไว้


            “สิ่งที่คุณเป็นไม่ได้ส่งผลอะไรกับผมเลย มันก็ไม่ต่างกับการที่ผมชอบฟังเพลงแนวนึง และคุณชอบฟังอีกแนวนึง คุณฟังสิ่งที่เป็นผมได้ ผมก็ฟังสิ่งที่เป็นคุณได้ สุดท้ายมันก็คือเพลง มันก็คือความรู้สึก---อีกอย่าง มันดีแล้วที่คุณรู้สึกระวังตัวน้อยลงตอนอยู่กับผม ถ้านั่นมันหมายความว่าคุณกำลังสบายใจ ผมก็ดีใจด้วย”


            “…”


            “พี่โยไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ไปเรียนเถอะ เดี๋ยวถ้าอาจารย์ล็อคห้องเรียนจะแย่เอาไม่ใช่หรอ”


            “อ่าครับ” ผมก้าวลงจากรถไม่ลืมที่จะหันมาขอบคุณอีกรอบ


            “ตั้งใจเรียนละ”


            “พี่ก็ขับรถดีๆ นะครับ” พี่โยยิ้มรับ พอผมปิดประตูลง รถอีโก้คาร์คันสวยก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ผมเองก็มุ่งตรงไปยังห้องเรียนที่กำลังจะเริ่มการบรรยายอีกภายในไม่ถึงสิบนาทีพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหูฟัง เปิด Youtube แล้วเสิร์ชชื่อเพลง ‘Scar to your beautiful’


           เพลงป็อปจังหวะเบาๆ ที่มีความหมายติดอยู่ในใจ


            ‘มันดีแล้วที่คุณรู้สึกระวังตัวน้อยลงตอนอยู่กับผม ถ้านั่นมันหมายความว่าคุณกำลังสบายใจ’


            ‘You should know you’re beautiful just the way you are คุณควรรู้ไว้ว่าอย่างที่คุณเป็นอยู่นั้นมันสวยงามแล้ว’








            TBC
            กรี้ดดดดดดดดดดดด จะสารภาพว่าไม่ได้ขี้เกียจหรือแต่อะไร แต่ว่า ลืมจ้า ลืมว่าอัพในเล้าด้วย นี่เข้าใจว่าอัพในเด็กดีอย่างเดียว ฮืออออออออ เพิ่งมาเห็นว่าอัพในเล้าด้วย ก็เลยรีบเอามาลงเลยครัช จัดไป 2 ตอน!! อภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าพเจ้าสมควรตายยิ่งหนัก /ฮาราคิรีตัวเอง

            ปล. ก่อนตายขอหวีดพี่โยหน่อยได้ไหม แม่คุณเอ๊ยยยยยยยยยยย อ่อนโยนกว่านี้ก็เป็นผ้าอนามัยแล้วจ้าาาา ฮืออๆๆ
ยักดั้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
            เจอกันใหม่ตอนหน้า อ่านนิยายให้สนุกมีความสุขในวันทำงาน วันเรียน และวันหยุดนะจ้ะ ปู๊น ปู๊นนนนนนนน
            ติดตามข่าวสารและการอัพเดทนิยายที่เพจเฟสบุ๊ค คลิก

#B8003

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ทำไมพี่หนึ่งถึงปิดบังล่ะ ทั้งๆที่พ่อก็คบพี่เอส หรือเพราะที่หนึ่งคิดว่าการที่ตังเองเป็นเกย์เพราะพ่อมีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อรู้คนอื่นรู้กลัวพ่อกับพี่เอสคิดว่าเป็นเพราะพวกเค้าเหรอ พี่หนึ่งเลยเลือกที่จะปิด

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
พ่อกะพี่เอสน่าจะรู้อยู่แล้วมั้ยนะ เลี้ยงกันมาตั้งนาน น่าจะดูออกบ้างแหละ แต่พี่โยท่าทางจะน่ารัก

ออฟไลน์ suginosama

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
นิยายน่ารักมากเลยค่ะ
อ่านไป ยิ้มไป เศร้าไป ครบรสมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lune

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 688
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2

ออฟไลน์ konfaibint

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ichream

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ได้อ่านต่อ  :katai2-1:

ที่หนึ่ง ทุกข์ใจที่เผยความลับที่เป็นเกย์ให้พี่โย คนข้างห้องรู้
แต่พี่โย ก็ทำให้ที่หนึ่งสบายใจคลายทุกข์

เหมือนแฟนพี่โย รบกวนพี่โยเรื่องเงินซ้ำแล้วซ่ำเล่า
ขนาดพี่เอสยังรู้
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอแก้ที่ผิด
ใจผมไม่ค่อยอยู่กับล่องกับลอย ------- ร่องกับรอย
คับคล้าบคับคลา ------ คลับคล้าย คลับคลา

ออฟไลน์ konfaibint

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ thenista

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
    • NISTA
B8003
04





                        “เมื่อไหร่ไอ้เดชจะเรียนเสร็จเนี่ย นี่มันเลยสี่โมงมาแล้วนะเว้ย” ลีวางโทรศัพท์ตัวเองไว้ข้างตัวอย่างหัวเสีย “ถ้าไปดูหนังไม่ทันนี่ต้องโทษมันเลย”

                       “โทษมึงแหละ ลืมได้ไงว่าเพื่อนมีเรียนบ่าย” ผมพูด พร้อมยกขาขึ้นก่ายไอ้ลีที่นอนหงุดหงิดอยู่ข้างๆ

                        “ก็ปกติลงเรียนเหมือนกันทุกวิชานี่หว่า” ลีพูดพร้อมกับผลักขาของผมที่เกยทับอยู่บนตัวมัน “มึงนี่ ถ้าจะนอนเล่นโทรศัพท์สบายขนาดนี้ ขึ้นมาเล่นบนตัวกูเลยไหม”

                        “ได้หรอ?”

                        “ไม่ได้ ไอ้สัส”

                        “แล้วจะพูดทำไม” ผมพลิกตัวหันหลังให้ไอ้ลี

                       ตอนนี้ผมอยู่ห้องลีครับ เตรียมตัวจะไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่เข้าฉายวันนี้วันแรก ซึ่งเป็นหนังที่ไอ้ลีตั้งหน้าตั้งรอสุด ถึงขั้นเอ่ยปากเลี้ยงหนัง เลี้ยงป็อปคอร์นพวกผม แต่บังเอิญว่าตาวมีนัดแล้ว หวยเลยตกมาที่ผมกับเดช แก๊งเมาเละ ณ U-bar ซึ่งผมเต็มใจอยู่แล้วมีเรียนแค่ตอนเช้า และก็ยังไม่อยากกลับคอนโดฯ พอดี โดนเลี้ยงหนังแบบนี้มีหรือจะปฏิเสธ

                       แต่ดันติดที่ไอ้เดชครับ…เดชมันเรียนไม่เหมือนเพื่อนอยู่วันนึงก็คือวันนี้ มันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีเรียนบ่ายแล้วลีมันก็ลืม แต่ดันซื้อตั๋วไปแล้วสามที่นั่ง ยังโชคดีตรงที่ซื้อรอบสี่โมงครึ่ง ซึ่งถ้าอาจารย์ปล่อยตรง ก็จะไปถึงโรงหนังแบบเฉียดๆ เลย แต่ก็…

                        “สี่โมงสิบห้าแล้ววว”

                       ครับ

                       แทนที่จะได้นอนรอเวลาแล้วขับรถออกไปดูหนังชิวๆ กลายเป็นว่าต้องมาพะว้าพะวังเพราะหนังก็ใกล้จะถึงรอบ เพื่อนที่ควรจะเลิกเรียนเสร็จตั้งแต่สี่โมง ก็ยังไม่โทรตามให้ไปรับสักที

                        “หนึ่ง กูว่าเราไปรอไอ้เดชที่คณะกันดีกว่า มันเรียนเสร็จแล้วจะได้ขับรถออกไปห้างฯ เลย”

                        “ขออีกห้านาทีๆ เกมกูมันหยุดไม่ได้ แล้วโทรศัพท์กูก็ไม่มีเน็ตด้วย” ผมต่อรองพร้อมกับสะบัดข้อเท้าที่ไอ้ลีพยายามจะจับลากลงจากเตียง

                        “ปล่อยให้แม่งตายๆ ไปเถอะ เร็วๆๆ ลุก!”

                        “ไม่ได้ กิลล์ต้องการกู เหวออออ” ผมร้องเสียงหลงเมื่อไอ้ลีจับผมลากลงจากเตียงได้ในที่สุด “เชี้ยลี!” ผมหันไปเฮ้วใส่

                       Rrrrrrrr

                        “เดชโทรมาแล้วๆๆ!”

                       แป๊บบบบบบบบบบ

                        “หนึ่งถ้ามึงยังไม่ลุก กูจะโยนโทรศัพท์มึงออกนอกห้องกูเลยนะ!”

                       ผมยกโทรศัพท์หนีการคว้าของไอ้ลี นิ้วโป้งยังคงประสานพลังอย่างเต็มที่ในการตีศัตรูตรงหน้าให้ตาย

                       ใกล้แล้วๆๆๆๆๆๆ

                        “ไอ้หนึ่ง!”

                        “เสร็จแล้ว!” ผมโยนโทรศัพท์ไว้บนเตียงพร้อมกับลุกขึ้นยืนผึ่งแล้วยิ้มหวานให้ไอ้ลี “เสร็จแล้วครับ~ ปะๆ ไปหาไอ้เดชกัน”

                        “มึงทำกูออกจากห้องช้าตั้งห้านาที” ลีบ่นขณะเดินตรงไปยังประตูห้องโดยมีผมเดินตามหลัง “เนี่ยถ้าเข้าโรงไปแล้วหนังมันเล่นไปแล้วห้านาทีกูจะโทษว่าเป็นความผิดมึงเลยหนึ่ง”
                        “คร้าบๆ”

                        “เออ แล้วกูจะงดป็อปคอร์นมึงด้วย--อะ”

                       ผมที่เดินตามอยู่ข้างหลังเงยหน้าขึ้นตามเสียง ก่อนจะเห็นว่าลีเปิดประตูห้องปะกับคู่รักคู่หนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี ซึ่งมันควรจะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไป ถ้าไม่บังเอิญว่าผู้ชายของคู่รักนั้นคือ เจ้าของห้อง B8003 ที่มาส่งผมที่มหา’ลัยเมื่อเช้า และทำให้เพลง ‘Scar to your beautiful’ ติดอยู่ในหัวของผมทั้งวัน

                       พี่โยยิ้มทักทายให้ผมเล็กน้อยก่อนที่เราต่างฝ่ายต่างก็เดินตามแฟนและเพื่อนของตัวเอง

                        “ลี มึงรู้จักพี่ผู้หญิงคนนั้นหรอวะ? กูเห็นพี่เขาถามมึงด้วยว่ามึงจะไปไหน” ผมถามขึ้นขณะเราทั้งคู่สอดตัวเข้าไปในรถ

                        “คนที่เจอที่หน้าห้องกูอะนะ?--มึงคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย เดี๋ยวกูโดนเรียก”

                        “อือ” ผมเอี้ยวตัวไปคว้าเข็มขัดนิรภัยตามคำสั่ง

                        “เขาอยู่ห้องถัดจากห้องกูไปสองห้องอะ ชอบเจอตอนเดินผ่านประตูอย่างเงี้ยแหละ บางทีก็บังเอิญเจอใต้ตึกตอนเอาเสื้อผ้าไปซัก”

                        “สนิทกัน?”

                        “ไม่ แค่มีทักบ้างตามเรื่องตามราว รู้สึกถ้าจำไม่ผิดจะชื่อพี่เมย์ อยู่คณะมนุษย์ฯ ปีสาม”

                        “อ๋อ”

                        “สวยอะดิ”

                        “หรือมึงว่าไม่สวย?”

                        “อย่างเด็ด กูนี่ซี๊ดดดเลย”

                       ผมหัวเราะ เห็นด้วยเลยแหละว่าพี่ผู้หญิงที่ชื่อ ‘เมย์’ เด็ดมากจริงๆ ผมพูดถึงในเชิงความสวยนะ เขาสวยมากจริงๆ และดูมั่นใจจนผมรู้สึกแปลกใจเลยที่เป็นแฟนกับพี่โยที่ดูติ๋ม ดูทึ่มแบบนั้น ผมไม่ได้ว่าเขาไม่เหมาะกันนะ ผมแค่แบบ…ไม่คิดว่าผู้หญิงสไตล์เปรี้ยวเข็ดฟันที่ใส่กระโปรงสั้นพอปิดกางเกงในแบบนั้นจะเป็นสเป็คของพี่โยได้ เข้าใจผมปะ?

                       แต่พูดงั้นก็เถอะ ขนาดแนวเพลงที่พี่โยชอบยังเป็นแนว EDM เลย ก็คงไม่แปลกละมั้งถ้าเขาจะชอบผู้หญิงที่ใส่เสื้อนักศึกษาตัวเล็ก ขนาดเอามือไขว้หลัง กระดุมเสื้อก็สามารถกระเด็นใส่ตาได้แบบนั้น

                        “แต่ว่านะ แฟนใหม่พี่เขาแบบคนละแนวกับคนเก่าเลย เมื่ออาทิตย์ทะเลาะกับแฟนตรงทางเดิน เสียงดังชิบหาย คือได้ยินทั้งชั้น กูนี่แบบกลัวเลยว่าจะมีผลักกันตรงลงไปข้างล่าง แบบผู้ชายแม่งโหดสัส”

                        “หมายถึงทะเลาะกับผู้ชายคนที่เดินมาด้วยกันอะหรอ?”

                        “ไม่ใช่ๆ กูหมายถึงเขาทะเลาะกับคนเก่า” ผมลากเสียง ‘อ๋อ’ ยาว “ส่วนผู้ชายคนใหม่ที่เดินมาด้วยกันวันนี้ดูเรียบร้อยชิบหาย แบบดูเป็นคุณชาย พูดคำหยาบไม่ได้ ผู้ดีๆ  กูว่าถ้าลองล้วงกระเป๋ากางเกงดูนี่น่าจะเจอผ้าเช็ดหน้าสีขาวอะ”

                       ผมหัวเราะ แล้ว…ก็อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปเรื่องเมื่อตอนเช้า…

                        “ที่จริงมันไม่จำเป็นต้องห่วงเลย คุณไม่อยากให้ใครรู้…พี่โยก็จะไม่บอกใคร”

                        “สิ่งที่คุณเป็นไม่ได้ส่งผลอะไรกับผมเลย มันก็ไม่ต่างกับการที่ผมชอบฟังเพลงแนวนึง และคุณชอบฟังอีกแนวนึง คุณฟังสิ่งที่เป็นผมได้ ผมก็ฟังสิ่งที่เป็นคุณได้ สุดท้ายมันก็คือเพลง มันก็คือความรู้สึก”


                        “เขา…ใจดีแล้วก็พึ่งพาได้”

                        “อะไร? ผู้ชายคนนั้นอะหรอ? เออ อะไรแบบนั้นแหละ เหมือนแบบถ้ากูทำอะไรผิดมา เขาก็พร้อมบอกกูว่า ‘ไม่เป็นไร พระเจ้าจะให้อภัยเธอ’” ลีหัวเราะ “ไม่รู้ดิ หายากนะเนี่ย ขนาดกูไม่รู้จักเขา กูยังรู้สึกเลยว่าถ้าอยู่ด้วยกัน กูคงรู้สึก—”

                        “สบายใจ”











                       ผมกระชับมือที่ถือโน้ตบุ๊กแน่น สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วยกมือขึ้นเคาะห้องตรงหน้า

                       ห้อง B8003

                       ก๊อก ก๊อก ก๊อก

                        “ครับ?” ประตูเปิดออกพร้อมร่างสูงของเจ้าของห้อง ใบหน้าหล่อเหลานั่นดูงงงวยไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเป็นผมเอง ที่มาทักทายในเวลาหัวค่ำนี้…แถมยังหนีบโน้ตบุ๊กมาด้วยอีกต่างหาก

                        “พี่โย ผมขอดูหนังห้องพี่หน่อยได้ไหมครับ?” ผมถามเสียงอ่อย

                       รู้สึกเกรงใจไม่น้อยนะครับที่ต้องมาขออาศัยห้องคนอื่นดูหนัง แต่ว่า…

                       แต่ว่า…!

                       ห้องผมแม่งโคตรไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย! TT ผมดูหนังตรงไหนก็มีคนคอยกวน หนีไปที่ห้องนอน น้องชายผมก็ยังตามมา ลองไปนั่งดูหนังในห้องน้ำก็แม่ง…ถูกเคาะทุกยี่สิบนาที สรุปกูดูหนังไม่ได้! อย่าว่าแต่ดูหนังเลย เข้าเฟสผมยังระแวง!

                        “ผมสัญญาเลยว่าจะไม่รบกวนพี่เลยแม้แต่นิดเดียว พี่จะทำอะไรของพี่ก็ทำไปได้เลย ซ่อมท่อ ต่อเตียง รื้อตู้อะไรก็ได้ ผมขอแค่พื้นที่เล็กๆ เท่านั้น  ขอพักพิงแป๊บเดียวไม่เกินสองชั่วโมง สัญญาเลยครับ TT”

                        “…”

                        “ผมเอาโน้ตบุ๊กมาเองด้วยนะ ไม่ขอยืมเลย เอาหูฟังมาแล้วด้วย”

                       พี่โยมองหน้าผมนิ่ง เข้าใจว่าคงตกใจผมเนี่ยแหละ อารมณ์เดียวกับตอนผมสัมภาษณ์เข้ามหา’ลัย คือ เป็นการเข้าไปนั่งให้อาจารย์สามท่านปล่อยมันฮุคซ้ายทีขวาที จนสมองอึน หน้าตาก็จะเลื่อนลอยนิดนึง แต่พอพี่โยเหมือนจะเรียบเรียงคำพูดของผมได้แล้ว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาชุดใหญ่ จนกลายเป็นผมที่สมองอึนแทน

                        “ดูหนังอะไรละเราน่ะ ถึงให้ที่บ้านดูด้วยไม่ได้?” พี่โยถามพลางกลั้วหัวเราะ เบี่ยงตัวหลบให้ผมได้เดินเข้าไปภายในห้อง

                        “สาบานว่าพี่เดาไม่ได้?” ผมคร่อมตัวเล็กน้อยขณะเดินผ่านพี่โยเข้าไปภายในห้อง ไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องตามหลังให้ด้วย

                        “หนังโป๊?”

                        “ไอ้พี่โย!”

                        “ไม่ใช่หรอ?”

                        “ถูกต้องแล้วต่างหาก”

                        “จริง?”

                        “ไม่จริง ล้อเล่นเฉยๆ” ผมบอกกับคนที่แก่กว่าพลางจับจองที่นั่งบนโซฟาเป็นอาณาจักรดูหนังในค่ำคืนนี้ “แต่ถ้าผมดูหนังโป๊จริงๆ ผมว่ามันก็อาจหาญเกินไปนะ กับการดูกับเพื่อนบ้านที่รู้จักกันได้ประมาณสองวัน ฮ่าๆๆๆ”

                        “แล้วเราดูหนังเรื่องอะไร?” เจ้าของห้องถามขึ้น ขณะเดินมาหาผมที่กำลังจัดแจงที่ทางเตรียมฉายหนัง

                        “Call me by your name หนังเกย์น่ะ อยากดูตั้งแต่ฉายในโรงแล้วครับ แต่ก็คงโดนมองแปลกๆ ถ้าผมไปนั่งดูหนังเรื่องนี้คนเดียว เลยต้องรอเข้าเว็บแบบนี้” ผมพูดพลางกดเข้าลิงก์เว็บดูหนังฟรีเว็บโปรด

                        “เรื่องย่อเป็นยังไงหรอ?”

                        “อืม…ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องราวของคนสองคนที่ได้มาเจอกันในฤดูร้อนปีหนึ่งซึ่งคนหนึ่งยังเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 17 ปีอยู่ เรื่องราวมีแค่นั้น…แต่ว่า สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกพูดถึงทั้งๆ ที่ไม่ใช่หนังชายหญิง เพราะว่าหนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวความรักครั้งแรกที่สามารถมองข้ามไปได้ว่าเขาเป็นเพศอะไร และตกหลุมรักที่ตัวตนจริงๆ ของเขา”

                        “หนังโรแมนติก”

                        “ช่าย มีคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เห็นถึงพัฒนาการความรักที่สมบูรณ์แบบ จากชอบแบบป็อปปี้เลิฟของเด็กวัยรุ่น จริงจังขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นคำว่ารักในที่สุด ถึงผมจะเดาได้เลยว่าจะเป็นหนังแนวรักครั้งหนึ่งคิดถึงตลอดไปก็เถอะ แต่ผมชอบนะ ผมมองว่าบางทีความรักที่อยู่ในความทรงจำอาจจะเป็นรักที่สวยงามที่สุด —แต่! หนังอาจจะมีการเสนออะไรที่มากกว่านั้นอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะมีมุมมองดีๆ ซ่อน ผมถึงได้จะดูอยู่นี่” ผมหัวเราะเสียงเบา

                        “ผมชักอยากดูด้วยแล้วสิ”

                        “เอาจริง?”

                        “จริง แต่ว่าผมต้องไปทำงานตอนสองทุ่มครับ คงอยู่ดูด้วยไม่ได้”

                        “อ้าว ผมไม่รู้ว่าพี่กำลังจะไปทำงาน งั้นผม—”

                        “ไม่ๆ ไม่เป็นไร” พี่โยพูดเบรกผมที่กำลังจะปิดโน้ตบุ๊ก “หาที่ส่วนตัวดูหนังอยู่ไม่ใช่หรอ? ผมยกห้องให้คุณดูแลเลย ดูหนังได้เต็มที่ ถ้าหน้าจอโน้ตบุ๊กมันเล็กไป ตู้ใต้ทีวีมีสายต่อโน้ตบุ๊กกับทีวีอยู่”

                        “…พี่ไม่กลัวผมขโมยของหรอ?”

                        “แล้วหนึ่งจะขโมยของของพี่โยไหมครับ?”

                        “ไม่ครับ”

                        “งั้นพี่โยก็ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ”

                        “…พี่ไว้ใจคนง่ายเกินไปหรือเปล่า” ผมขมวดคิ้ว

                       รู้สึกเป็นห่วงแทน กับการที่เพื่อนบ้านของผมไม่ค่อยระมัดระวังตัวอะไรเลย ซึ่งผิดกับพ่อผมลิบลับ ที่ระวังตัวแจ ถ้าพี่เอสไม่คอยห้ามนะ ป่านนี้ประตูบ้านผมมีกลอนสัก 4 อันได้แล้วมั้ง!

                        “มีอย่างที่ไหนให้คนที่รู้จักกันสองสามวันเฝ้าห้องให้! ยังดี ที่ผมเป็นเด็กดี ไม่ได้คิดจะหยิบจับอะไรของพี่ แต่ถ้าสมมุติว่าผมเกิดเป็นพวกมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยขึ้นมาแล้วพี่วางใจแบบนี้พี่รู้ตัวไหมว่าพี่จะแย่นะ! กลับห้องมาแม้แต่โซฟาก็ไม่เหลือ พี่จะทำยังไง!?”

                        “ซื้อใหม่ละมั้ง?”

                        “บ้านรวยหรอ” อันนี้ไม่ได้ถามแบบตาใสนะครับ ถามแบบประชด พี่โยเขาคิดว่าโซฟาราคาสองร้อยหรือไง!

                        “ก็โดนยกเค้าไปแล้ว”

                        “ผมกำลังจะหมายถึงว่าให้พี่ระมัดระวังตัวกว่านี้ อย่าไว้ใจคนง่ายแบบนี้ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุอะเข้าใจปะ ถ้าพี่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โซฟาหายสักร้อยครั้ง พี่ก็จะซื้อสักร้อยทีเลยหรอ!?” ผมดุพี่โยแบบคนเป็นเดือดเป็นร้อนแทน

                       พี่โยมองผมดูอึ้งไปพอสมควร ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ ตามมาด้วยมือใหญ่ที่วางแหมะลงบนหัวผมอีกครั้ง 

                        “พี่โยแค่ล้อเล่นครับ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ไม่โยไม่ได้ไว้ใจคนง่ายๆ พี่โยแค่รู้ว่าใครไว้ใจได้”

                       ตึกตัก

                        “อะ—อะไรๆๆ! รู้ได้ไงว่าผมไว้ใจได้! รู้จักกันไม่กี่วันเอง! เออออออ พูดไรไม่รู้เรื่อง! วู้ๆๆ!”

                        “?? โวยวายทำไมน่ะเรา??”

                       เอออออออ ทำไมวะเนี่ย?

                        “เปล่าา ไม่ได้โวยวายอะไรสักหน่อย” ผมแก้ตัว ยิ่งเห็นพี่โยหัวเราะเสียงเบาๆ แล้วรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมากว่าเก่าหน้า เป็นบ้าไรเนี่ยๆ “พอแล้วๆ พี่โยไปทำงานได้แล้วครับ ทุ่มครึ่งแล้ว เดี๋ยวจะไปทำงานสายเอา?”

                        “โอเคๆ งั้นผมฝากดูแลห้องด้วยนะ”

                        “ครับบบ”

                        “เออ ผมลืมถาม” พี่โยที่กำลังจะเปิดประตูห้องหันกลับมาทางผมที่เตรียมตัวจะดูหนังแล้วเช่นกัน “คุณบอกที่บ้านหรือยังว่ามาอยู่ที่ห้องของพี่โย?”

                        “อ๋อ บอกแล้วครับว่าจะมาเล่นห้องพี่ พี่เอสมีถามด้วยว่าผมไปรู้จักพี่ตอนไหน แต่ผมบอกเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง ตอนแรกน้องชายผมก็จะขอมาด้วยนะ ตื้อจะมาด้วยน่าดู แต่ผมบอกไปว่าพี่เจ้าของห้องเป็นผู้หญิง น้องชายของผมก็เลยไม่มาแล้ว” ผมหัวเราะ

                        “ปกติคุณเป็นคนแบบนี้หรอ?”

                        “ครับ?”

                        “ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าคุณเป็นคนไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเอง แต่ว่าจริงๆ ก็เป็นคนเปิดเผยนี่หน่า”

                        “ไม่นะ ปกติผมก็ไม่เล่าเรื่อง—” เสียงของผมเงียบหายกลับเข้าไปในลำคอเมื่อผมย้อนคำพูดของตัวเอง “ปกติผมไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังหรอก โดยเฉพาะเรื่องในบ้านแล้ว…แบบก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับอะไรนะครับ แต่ก็ต้องสนิทกับผมในระดับนึงเลย”

                        “ก็แปลว่ารู้สึกสนิทกับพี่โยในระดับนึงแล้วสิ”

                        “ได้ไง? รู้จักสองวันเอง ไม่นับวันที่ผมเมาเละ”

                        “นั่นสิ แปลกจัง คงเหมือนที่ผมรู้สึกไว้ใจจนฝากห้องได้ทั้งๆ ที่รู้จักกันสองวันละมั้ง ^^"

                        “…”

                       พี่โยยกยิ้มบางๆ “ผมว่าผมไปทำงานก่อนดีกว่า ใกล้จะเข้างานสายแล้ว”

                        “อ๋อ โอเคครับ”

                        “ฝากดูแลห้องด้วยนะ จะใช้อะไรที่ห้องก็ตามสบายเลย”

                        “ครับ…พี่โย!” ผมเรียกไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกจากห้อง “วันนี้ผมจะไม่ดู Call me by your name นะ ผมจะดูเรื่องอื่น ส่วนเรื่องนี้ รอพี่ว่างเมื่อไหร่ แล้วค่อยมาดูด้วยกันนะครับ”

                        “โอเคครับ รอพี่โยก่อนแล้วกันนะ”

                       ผมพยักหน้าหัวเราะฮี่ๆ ส่งท้ายก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง

                        “…”

                       การที่ผมชอบเผลอพูดเรื่องนู่นนี่นั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยพูดกับใคร มันอาจเพราะมีเขาอยู่ด้วย แล้วผมสบายใจจริงๆ อย่างที่เขาเคยพูด มันเป็นความรู้สึกประหลาดแล้วก็จั๊กจี้ยังไงบอกไม่ถูก แต่ตอนนี้ผมคิดแล้วว่า…

                        ‘ก็ดีนะ กับการที่มีใครสักคน…ที่เราสามารถเล่าให้เขาฟังได้ทุกเรื่อง : )’

ออฟไลน์ thenista

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
    • NISTA
                       หลังจากวันนั้นที่ผมตกลงปลงใจ (ไปเอง)(คนเดียว) ผมก็แวะเวียนมาห้อง B8003 ทุกครั้งที่ผมไม่มีเรียนบ่าย ตีสนิทกับพี่โยอย่างรวดเร็วจนผมยังอดไม่ได้ที่จะขำกับความเปิดใจของตัวเอง และอดจะส่ายหัวไม่ได้กับความไว้ใจคนง่ายเกินไปของพี่โย

                       คิดดูสิครับ เวลาคนเราที่จะรู้จักกับใครใหม่ๆ มันก็จะมีป้อมปราการเล็กใหญ่กันไปตามระดับความระแวง ผมเองก็มีสูงหน่อยพ้นหัวมานิดนึง แต่คนส่วนใหญ่อย่างน้อยก็ต้องสูงระดับเข่ากันบ้าง แต่พี่โยนี่ไม่เลยครับ เหมือนนั่งอยู่กลางทุ่ง ไม่มีแม้แต่รั้ว ใครจะมาก็มา ใครจะไปก็ไป ไม่ระแวดระวังอะไรทั้งสิ้น กลายเป็นว่าพอผมเอาค้อนทุบป้อมของตัวเองปุ๊บ ผมก็เจอกับพี่โยที่นั่งอยู่กลางทุ่งเลย

                       …แต่พูดอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆ พี่โยเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ใช่คนสายเริ่มความสัมพันธ์กับใครก่อน ที่มีเพื่อนได้ เพราะว่าไอ้ลี มีป้อมสูงเท่าข้อเท้า…ส่วนไอ้เดชและเพื่อนคนอื่นๆ ไอ้ลีเป็นคนไปตีป้อมให้ ขนาดหมิวแฟนเก่าของผมเธอก็เป็นคนตีป้อมของเธอออกมาเอง

                       แล้วก็ถึงผมจะบอกว่าผมกับพี่โยสนิทกัน และพี่โยเป็นคนที่ผมคิดว่าผมสามารถคุยได้ทุกเรื่อง ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเอาความลับทั้งหลายแหล หรือเอาครอบครัวไปเล่าให้พี่โยฟังหรอกนะครับ ผมยังมีสิ่งที่เรียกว่า กาลเทศะอยู่นะ ฮ่าๆๆๆ เพราะงั้นเรื่องที่ผมคุยกับพี่โยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทั่วไปครับ วันนี้เป็นไง วันนั้นเป็นไง เกิดวันไหน เรียนคณะอะไร อย่างนั้นซะมากกว่า 

                       แต่ว่า…พี่โยเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งรู้จักยิ่งแปลกครับ ผมรู้ว่าพี่โยทำงานพี่ร้านเหล้า เริ่มงานสองทุ่ม กลับห้องตีสองตีสามโดยประมาณ ผมก็เลยถามว่าพี่เขาทำงานอะไร ตอนนั้นผมคิดในใจว่าประมาณเด็กเสิร์ฟ ร้องเพลง ดีเจ อะไรเทือกๆ นั้น ผมไม่ค่อยอยากคิดว่าเขาเป็นเจ้าของร้านครับ ถึงแม้ผมคิดว่าคนระดับที่สามารถซื้อห้องที่คอนโดฯ นี้ได้แบบไม่ต้องผ่อนเหมือนพ่อผม ก็คงต้องเป็นเจ้าของร้านก็ตาม เพราะผมคิดว่าพี่โยกับกิจการสุรายาเมานี่มัน…แบบ…เข้าใจปะครับ คนอย่างพี่โย…จ่ายเงินใต้โต๊ะตำรวจ……ผมว่ามันไม่ได้อะ!! แล้วสุดท้ายคำตอบของพี่โยคือ พี่โยทำงานเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยครับ หรือก็คือคุณยาม

                       ….

                       ผมนี่อึ้งไปเลย ภาพคุณลุงตรงป้อมยามลอยมาซ้อนทับ

                       แต่ว่าพอคุยรายละเอียดลงไป พี่โยไม่ได้ทำงานที่ U-bar แบบขึ้นตรงกับที่ร้านอะไรแบบนั้นนะครับ พี่เขาทำงานอยู่บริษัทรับจ้างที่จะรวมรวบช่างฝีมือเก่งๆ แต่ละแขนงไว้ แล้วกระจายบุคลากรออกไปทำงานกับผู้ว่าจ้างเป็นงานๆ พอฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นอะไรที่คล้ายกับงานบอดี้การ์ดมากกว่า

                       ซึ่งผมก็ว่าเหมาะดีกับความมีคลาสของเขา แต่ผมก็ยังรู้สึกพิลึกอยู่ดีพอนึกภาพพี่โยจะไปต่อยตีกับใคร

                        “เย็นนี้กินไรดีวะก่อนดูหนัง? ชาบูชิไหม?” ลีหันขวับมาถามผมกับเดชที่นั่งอยู่ด้วยกันทันทีที่คาบเรียนช่วงบ่ายจบลง

                       หนังอะไรวะ?

                        “มึงจะไปดูหนังกันอีกแล้ว? เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมึงก็เพิ่งไปดูมาไม่ใช่ไง?” ตาวที่นั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับลีหันมาร่วมบทสนทนาบ้าง

                        “หนังอะไรวะมึง?” ผมถามงงๆ ขณะเก็บสมุดเลคเชอร์ของตัวเอง หันหาคำตอบที่ไอ้ลีที ไอ้เดชที

                        “ก็หนังที่เราคุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตอนออกจากโรงว่าจะไปดูด้วยกันไง” เดชตอบ

                        “เมื่อวานก็ยังคุยเรื่องที่จะไปดูหนังวันนี้อยู่เลย มึงยัง ‘อือๆ’ อยู่เลยนะหนึ่ง” ลีเสริม

                        “หะ!? กูไม่เห็นจำได้” ผมพูดเสียงหลง

                       ผมจำได้แล้วว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนคุยกับลีแล้วก็เดชลอยๆ ไว้ว่าเราจะไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่ดูทีเซอร์แล้วหน้าสนใจมากกันครับ แต่ผมจำไม่เห็นได้ว่าเมื่อวานผมตกลงว่าจะไปดูหนังเรื่องนั้นกับพวกมันแล้ว

                        “มึงถามไอ้เดชเลย กูพูดแล้วตอนที่กินข้าวเที่ยงอยู่ที่โรงอาหารอะ”

                        “ตอนที่มึงนั่งยิ้มจิ้มโทรศัพท์อยู่อะ”

                        “เอ้าา ตอนนั้นกูไม่ได้ฟังเลย กูขานไปเรื่อยเฉยๆ ขอโทษจริงๆ ว่ะ แต่ไม่ได้ยินจริงๆ ว่าตอนนั้นมึงคุยอะไรกัน กูอือๆ ไปตามเรื่องตามราวเฉยๆ”

                        “แล้วมึงจะไปดูหนังกับพวกกูไหมวันนี้?”

                        “กูก็อยากไปนะเว้ย แต่วันนี้กูมีนัดแล้วว่ะ…” ผมพูดเสียงหงอย รู้สึกผิดอยู่นะครับที่พูดตกลงไป (ลอยๆ) แล้ว แต่มากลับลำเอาวินาทีสุดท้าย ผมไม่ค่อยชอบการทำผิดคำพูดเท่าไหร่เลย แต่…. วันนี้ผมมีนัดกับพี่โยว่าจะไปกินข้าวด้วยกันแล้ว และผมนัดกับเขา…เมื่อวานตอนพักเที่ยงที่จิ้มโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ

                        “งี้กูกับไอ้เดชก็ไปสองคนอีกแล้วดิ สัส ไปด้วยกันบ่อยจนจะเป็นผัวเมียกันแล้วเนี่ย”

                        “กูขอโทษครับบบบบ” ผมแทบจะคลานเข่าไปกอดขา TT

                        “ชวนกูสิกูว่าง” ตาวที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นพร้อมยกมือสูง ชี้นิ้วจิ้มอกตัวเองแบบนำเสนอสุดขีด

                        “ไม่มีนัดกับแฟนหรอวันนี้อะ?”

                        “ไม่มีครับ ว่าง มีเวลาให้เพื่อนได้อย่างเต็มที่”

                        “เยี่ยม! งั้นเราสามคนไปดูหนังกันสังสรรค์กับเพื่อนให้เต็มที่เว้ย ปล่อยให้ไอ้หนึ่งไปแฟนของมันเลยยยย เทเพื่อนได้เต็มที่ เอากับเมียให้สาแก่ใจจจจจจ”

                        “สัส เมียเมออะไร ไม่มี โสดสนิท ยังไม่มีแฟนใหม่โว้ย”

                        “อย่ามาโกหก คิดว่าปิดกูพ้นหรอ”

                        “เอ้า ก็กูไม่มีจริงๆ”

                        “งั้นวันนี้มึงมีนัดกับใคร? ใช่คนที่มึงเอาแต่แชทด้วยจนไม่ได้ฟังกูเมื่อวานปะ?”

                        “ก็ใช่ แต่…”

                        “เนี่ย! เมื่อวานก็นั่งคุยแชทยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ วันนี้ยังเทเพื่อนไปกับคนนั้นอีก ไม่เรียกแฟนแล้วจะเรียกว่าอะไร หะ!?”

                        “ใจเย็นค่ะคุณ ลูกเรายังเด็กนัก” อะ ตาวเริ่มเล่นใหญ่

                        “เนี่ยก็ดูมันสิ! ไม่ใช่แค่เมื่อวานด้วยนะ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์อะเงยหน้าจากโทรศัพท์มานี่นับเป็นวินาทีได้ วันไหนไม่มีเรียนบ่ายรีบกลับบ้านยังกับเมียจะคลอดลูก! หน้าตาเบิกบานจนกูเกือบลืมไปแล้วเนี่ยว่ามันเพิ่งเลิกกับแฟน”

                        “และโดนตบหน้า และไล่ออกจากห้องด้วย”

                        “ย้ำแผล!” ผมหันไปเฮ้วใส่เดชที่โผล่แพล่มออกมา

                        “ยังจะบอกว่าไม่ใช่แฟนอีก!”

                        “ก็ไม่ใช่แฟนจริงๆ อะะะะ” ถ้ามันพูดว่าเป็นแฟนผมอีก ผมจะกรี๊ดแล้วนะ

                        “เป็นคนที่ชอบเฉยๆ”

                        “ไอ้เดชชช!! กูไม่ได้ชอบโว้ย ไม่ใช่แฟน แค่คนรู้จักกันเฉยๆ”

                        “หืมมม~”

                        “จริงๆ! ชอบบ้าชอบบออะไรละ โว๊ะ บ้าบอ ไร้สา—”

                       ติ้ง!

                       เสียงข้อความเข้าดังขัดขึ้น เราทั้ง 4 คนพุ่งความสนใจไปที่โทรศัพท์ของผมที่ถืออยู่ในมือ ก่อนที่บรรดาเพื่อนๆ จะมองหน้าผมเป็นการบอกนัยๆ ว่าให้ผมพลิกขึ้นมาดู

                        ‘เรียนเสร็จแล้วออกมารอตรงที่พี่เคยมาส่งนะ พี่โยกำลังไปรับครับ’

                        “จากคนที่มึงนัดด้วยวันนี้อะดิ?”

                        “อือ”

                        “เขาบอกว่าไง?”

                        “วันนี้กูคงติดรถมึงไปหน้ามอไม่ได้ว่ะ เขาบอกว่า เดี๋ยวจะมารับกูที่คณะ…”

                        “เฮ้อ” ลีถอนหายใจก่อนที่มันจะหยิบโทรศัพท์มือถือของมันยื่นมาให้ผม “เคสโทรศัพท์กูเป็นกระจกส่องได้ มึงเอาไปดูอาการตัวเองก่อน แล้วค่อยมาเถียงกู สัส ตาเป็นประกายขนาดนี้ยังบอกว่าไม่ได้ชอบอีก”

                        “ก็กูไม่ได้ชอบจริงๆ อะ”

                       ลีไม่ได้พูดอะไรนอกจากเอานิ้วเคาะที่เคสโทรศัพท์ให้ผมก้มหน้าลงไปดูมัน

                       ภาพสะท้อนใบหน้าของผม

                        “…”

                        “เฮ้ออออ กูว่ากูขอตัวไปเฮฮาตามภาษากับเพื่อนกับฝูงก่อนนะ” ลีคว้าโทรศัพท์ตัวเองไปจากมือผม “ส่วนมึงก็อยู่รอเจ้าสาวของมึงไปแล้วกัน~”

                        “เจ้าสาวอะไรเล่า!”

                        “บลาๆๆๆๆ พูดไรนะ ไม่ได้ยินนน~”

                       ผมอยากกระโดดถีบขาลอยให้ไอ้คนที่กำลังลากเพื่อนออกจากห้องกลับหอตัวเองแบบไม่ต้องใช้รถใดๆ แม่ง กวนตีนจริงๆ

                       ติ้ง!

                        ‘พี่โยถึงคณะแล้วนะ’

                        ‘ผมกำลังเดินออกไป’ ผมพิมพ์ตอบกลับไปก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องเรียนบ้าง

                       เฮ้อ พวกไอ้ลีพูดอะไรไม่รู้ ไร้สาระครับอย่าไปสนใจ มันก็พูดไปเรื่อยอย่างนั้นแหละครับ คุยไลน์กับพี่เอสผมก็ยิ้มนะ กับพ่อผมก็ยิ้ม กับพวกเพื่อนๆ เองผมก็ยิ้มเหมือนกัน ถึงแม้ว่าตอนที่ผมก้มดูหน้าตัวเองในเคสโทรศัพท์ของลี ผมจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าผมกำลังยิ้มอยู่ แต่มันก็ไม่ได้พิเศษอะไรหรอกครับ ยิ้มก็คือยิ้ม ตาเป็นประกายอะไรนั่นก็เหมือนกัน มันจินตนาการไปเอง ไม่จริงสักหน่อย หูเหอแดงนั่นอีก ก็เพราะพวกมันแหละที่เอาแต่ล้อผมอะ!

                       ผมจะ—

                       ติ้ง!

                        ‘อยู่ไหนแล้วครับ?’ 

                        ‘ผมอยู่ตรงที่พี่เคยมาส่งแล้วนะ พี่โยอยู่ไหนครับ?’

                        ‘หันหลังสิ”

                       ควับ

                        “ไง ^^”

                       ตึกตัก

                       ผมจะไปชอบคนที่รู้จักกันได้แค่อาทิตย์กว่าๆ ได้ยังไง…
           





                       TBC
                       พี่โย๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย (กรี้ดใส่โอ่ง) โอ้ย ละมุนละไมเป็นสายไหมสายรุ้งอีกแล้ว ฮือๆๆ มีอีกไหมมีอีกไหมมีอีกคนไหมเธอ TvT ชอบเวลาพี่โยแทนตัวเองว่า พี่โยอย่างนั้น พี่โยอย่างนี้ ละมุนละไมสุดฤทธิ์ กิ้ดๆๆๆ ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก อยากได้เหลือทนค่ะพี่ขาาา
                       เจอกันใหม่ตอนหน้า มีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอให้หลับฝันดีทุกคน ปู้น ปู้นนนนน
                       และอย่าลืม ติดตามข่าวสารและการอัพเดทนิยายได้ที่เพจนะจ้ะ คลิก
#B8003

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ mybear_sr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ที่หนึ่งโตแล้วเหมือนเอสมากเว่อ ควรดีใจหรือเสียใจดีที่ได้ความเด๋อด๋าของเอสมา5555555555 คิดถึงพี่ตุลกับเอสเหมืนกันน้าาา อยากอ่านอีกๆๆๆ

ออฟไลน์ lemonpreaw

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เอ็นดูที่หนึ่ง น่ารักเหลือเกิน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด