Kiss Love ♥ [07] เดินทางกลับ...เที่ยวทะเล
[กาย...♥]งานเลี้ยงต้องวันเลิกรา สามวันที่ผ่านมา ผมสนุกมาก ได้อะไรกลับไปเยอะแยะ ทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ และความรู้สึกดี ๆ จากใครบางคน ที่ตอนนี้คนคนนั้นก็มาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ โบกไม้โบกมือให้กับชาวบ้านที่พากันเดินมาส่งที่ลานจอดรถ
อาจารย์คฑา (ที่เพิ่งมีบทบาท) ยืนกล่าวกับตัวแทนชาวบ้าน และสัญญาว่าถ้ามีโอกาส จะพาพวกเด็ก ๆ กลับมาพัฒนาโรงเรียนกันต่อ
ผมไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้กลับมาอีกไหม แต่ถ้ามาไม่ได้ ผมจะฝากรุ่นน้องผมมาแทนละกัน
หลังจากล่ำลากันเรียบร้อย ตัวรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่ออกจากจุดจอดช้า ๆ พวกเด็ก ๆ พากันวิ่งตามมาโบกไม้โบกมือฉีกยิ้มกว้างจนผมต้องฉีกยิ้มโบกมือตาม กระทั่งรถทิ้งตัวห่างออกมาเรื่อย ๆ พวกเด็ก ๆ ถึงได้หยุดวิ่ง แต่ก็ยังโบกมือกันอยู่ไม่หยุด ผมยิ้ม มองตามภาพเหล่านั้นมาเรื่อย ๆ จนมันหายลับไปกับทิวไม้ข้างถนน ผมถึงได้หันกลับมานั่งดี ๆ อีกครั้ง
ผู้คนในรถ พากันส่งเสียงจอกแจกจอแจบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา แบ่งปันทุกความรู้สึกให้แก่กันและกันฟัง
ทั้งความสุขความทุกข์ ความเหน็ดเหนื่อยหรือได้กำลังใจ บางคนโชว์แผล บางคนโชว์เพื่อน บางคนก็ได้ของขวัญชิ้นเล็ก ๆ จากเด็ก ๆ ติดไม้ติดมือมาด้วย
ส่วนผม สิ่งที่ได้ คือรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความภาคภูมิ ความดีใจของเด็ก ๆ และความปลาบปลื้มของคุณครูผู้เสียสละ ผ่านเลนกล้องและความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือนมันให้หายไปได้
รถบัสขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเป๋ ๆ ไปบนถนนคับแคบ เต็มไปด้วยหลุมบ่อ หินดินไร้ระเบียบ บ้างมีน้ำขังเฉอะแฉะ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่รกครึ้มไปหมด
ขามาผมหลับตลอดเลยไม่รู้ว่าเส้นทางมันกันดารขนาดนี้ ตัวผมโยกไปโยกมาตามแรงเหวี่ยงของรถ ยังแอบทึ่งอยู่เลยที่รถบัสคันใหญ่ขนาดนี้สามารถขับเข้ามาได้
ผมนั่งนิ่งพิงหัวไว้กับเบาะ จ้องมองวิวสวย ๆ จากข้างทาง พี่เป้กับไอ้เต้ยยังทะเลาะกันไม่หยุด ตั้งแต่รถออกกระทั่งตอนนี้ เพราะไอ้เต้ยมันอยากมานั่งกับผม แต่พี่เป้ไม่ยอม ผมอมยิ้มมองวิวต่อไม่สนใจ จนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างวางลงบนตัก ผมถึงได้หันไปมอง
ผ้าห่มครับ
คนข้าง ๆ หยิบมาวางไว้ให้ ผมมองสิ่งนั้นงง ๆ ก่อนหันไปก้มหัวขอบคุณ หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลี่ออกจากกัน และสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนมือซ้ายของพี่เอก
ผมขมวดคิ้ว เพราะมือข้างนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยและบาดแผลแดง ๆ ในขณะที่มืออีกข้าง ยังสภาพดีอยู่
...และผมก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
พี่เอกยกถุงมือข้างซ้ายให้ผม และผมก็เพิ่งส่งคืนให้พี่แกหลังจากทำงานเสร็จ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามือพี่เอกได้แผลถึงขนาดนี้
ผมเม้มปากแน่น รู้สึกผิดขึ้นมากลาย ๆ เลยขอตัวลุกออกจากเก้าอี้ เดินไปหน้ารถ สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล
คนข้าง ๆ มองผมงง ๆ
“มือพี่”
ผมบอกแค่นั้น ปกติผมจะพูดมาก แต่เวลาอยู่ต่อหน้าพี่มันทีไร คำพูดผมดูจะถูกตัดให้หดสั้นลงทุกที
พี่มันยื่นมือข้างที่ดีมาให้ ผมเลยต่อว่าพี่มันทางสายตา พี่แกถึงได้รีบส่งอีกมือมาให้อย่างรวดเร็ว
ผมหยิบพาสเตอร์ยาลายหมีพูห์ออกมาสามอัน วางไว้บนตัก หยิบยาฆ่าเชื้อมาเช็ดแผลที่เป็นรอยถลอก แผลใหญ่ ๆ มีแค่สองสามแผล ที่เหลือจิ๊บจ๊อย ไม่ถึงตาย
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง ไม่นานก็หาย”
พอผมจะแปะพาสเตอร์ พี่แกก็ทำท่าจะชักมือกลับ ผมรีบยึดมือพี่แกไว้
“ปิดไว้ก่อน เวลาล้างก้นจะได้ไม่ติดเชื้อ”
พี่เอกหัวเราะร่วน ยอมให้ผมแปะพาสเตอร์ดี ๆ
“ลายแต๋วไปไหม”
“หมีพูห์นี่ลายแมนสุดแล้วนะ ที่เหลือมีแต่ลายดอกไม้ จะเอาไหมละ”
ผมถามกวน ๆ พี่มันส่ายหน้าปฏิเสธ พอแปะเรียบร้อย ผมก็ลุกเอากล่องยาไปเก็บแล้วเดินกลับมาที่เดิม เห็นพี่มันยกมือขึ้นมาส่องใหญ่
“ได้เบอร์อะไรบอกด้วยนะ ผมจะได้ฝากแม่ซื้อ” ผมแซวขณะเคลื่อนตัวเข้าไปนั่ง
พี่มันมองหน้าผม
“เบอร์ 19 หรือไม่ก็เบอร์ 15”
ผมชะงัก พี่มันก็ชะงัก ก่อนที่ต่างคนจะต่างหันหน้าไปคนละทิศละทาง
เพราะสองเบอร์นี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
เบาะหน้าเราเงียบไปแล้วครับ คาดว่าไอ้เต้ยคงหลับ ผมเองก็อยากหลับ แต่หัวใจมันเหวี่ยงแปลก ๆ เลยได้แต่นั่งนิ่ง ๆ สนใจเฉพาะวิวข้างทาง
ผมล้วงหยิบไอพอดขึ้นมาเปิดฟัง หันไปมองคนข้างกาย พี่เอกนั่งกอดอกมองวิวไม่ต่าง ผมเลยยื่นหูฟังให้ข้างหนึ่ง พี่มันมองงง ๆ แต่ก็รับไปยัดใส่หูตัวเอง
เพลงที่เปิดเป็นเพลงช้า ๆ ฟังสบาย ๆ ซะส่วนใหญ่ บวกรวมเข้ากับวิวจากสองข้างทางแล้ว ทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
ผมนั่งฟังเพลงไปเรื่อย ๆ ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาแปะอยู่ที่หัว ผมหันไปมอง
คนข้าง ๆ หลับครับ
หัวพี่แกเอียงมาทับหัวผมไว้ นั่งหลับทั้ง ๆ ที่มือก็ยังกอดอกอยู่ สงสัยจะเหนื่อยจัด เพราะคนที่ทำงานหนักสุดงานนี้คงไม่พ้นพี่แกนี่แหละ
เสียงจอกแจกจอแจเงียบไปหมดแล้ว ผมมองไปรอบ ๆ ทุกคนพากันหลับหมด หันกลับมามองคนข้างตัว
ตอนขามา เขาดูแลผม เพราะงั้น ตอนขากลับผมควรจะดูแลเขาใช่ไหม…
ผมดึงสายไอพอดออกจากหูเบา ๆ โน้มตัวเอื้อมไปปรับเบาะให้เบามือที่สุด พอได้ที่ก็ดึงผ้าห่มบนตักมาคลี่ออกแล้วคลุมให้จนถึงหน้าอก พี่มันยังกอดอกเหมือนเดิม ผมพยายามเหน็บผ้าห่มตรงไหล่ คนที่หลับตาอยู่ก็ลืมตามอง ผมชะงักมือค้างไว้ที่เดิม พี่มันก้มหน้าลงมอง ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกที
“จะได้หลับสบายขึ้น”
ผมพูดแค่นั้น พี่เอกพยักหน้า ผมดันตัวเตรียมกลับที่นั่ง แต่รถวิ่งเขาทางโค้งพอดี ผมเลยเสียหลักหน้าแนบไปกับแผงอกกว้าง พี่เอกรีบโอบเอวผมไว้ทันที พอรถหลุดทางโค้ง ผมรีบดึงหน้าออกจากอกมากล่าวขอบคุณ
กำลังจะเขยิบตัวไปนั่งที่เดิม แต่เจ้าของวงแขนใหญ่ไม่คิดจะคลายผมออก ผมเงยหน้าจ้องกลับดวงตาคม
ภายใต้ความเงียบสงัด ได้ยินเสียงแอร์ที่ดังเบา ๆ เคล้าเสียงกรนของใครอีกหลาย ๆ คน
“พี่เอก”
ผมกระซิบเรียกได้แค่นั้น ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกปิดสนิท
กี่ครั้งแล้วที่ผมโดนคนคนนี้จูบ
กี่ครั้งแล้วที่ผมไม่เคยขัดขืนได้สักครั้ง
ผมปล่อยให้ริมฝีปากตัวเองถูกครอบครองโดยคนที่พรากจูบแรกผมไป ลิ้นร้อนลุกล้ำ ทำเอาลมหายใจเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ พี่เอกดันตัวผมกลับไปนั่งที่เดิมเบา ๆ ในขณะที่ริมฝีปากยังคงบดเบียดไม่หยุด ซ้ำยังเพิ่มแรงกดหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนแผ่นหลังผมถูกเบียดแนบไปกับเบาะ
ผมไม่รู้ ว่าผมปล่อยให้พี่แกทำแบบนั้นอยู่นานแค่ไหน จนเป็นพี่เอกเองที่ถอนริมฝีปากออก
“ทำไมไม่ขัดขืน”
พี่เอกกระซิบถาม ริมฝีปากเราห่างกันเพียงคืบ ผมจ้องหน้าคนถาม แล้วพยายามค้นหาคำตอบ
“แล้วทำไมพี่ทำแบบนี้”
พี่เอกชะงักกับคำถามผม
“คงเพราะพี่เป็นเจ้าของหมายเลข 19 ละมั้ง” พี่เแกให้เหตุผลแค่นั้น แล้วก้มลงมากดจูบต่อ
งั้นเหตุผลที่ผมขัดขืนไม่ได้ คงเพราะผมเป็นเจ้าของหมายเลข 15 สินะ
เสียงคนดิ้นเบา ๆ จากเบาะหลังผลักเราทั้งคู่ออกจากกัน พี่เอกเคลื่อนตัวกลับไปนั่งที่เดิม ในขณะที่ผมปิดเปลือกตาลงแน่นกดข่มอารมณ์บางอย่างไว้
ผมเตือนตัวเองเบา ๆ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะบรรยากาศพาไป
♥
หลังการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อย วันรุ่งขึ้นพวกเราก็กลับไปเรียนกันต่อเหมือนเดิม นึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ผ่านมา ใจผมมันรู้สึกโหวง ๆ ยังไงบอกไม่ถูก
รู้สึกเหมือน ๆ ว่าร่างกาย มีน็อตบางตัวหลุดหายไป
ผมกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม เรียนเหมือนเดิม ทำทุกกิจกรรมที่เคยทำมาเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกบางอย่าง…
กลับไม่เหมือนเดิม
ตั้งแต่กลับมา ผมไม่ได้คุยพี่เอกอีกเลย ได้ยินเสียงพี่มันผ่านลำโพงของมหาลัยบ้าง หรือไม่บางครั้งก็จะเห็นพี่มันกับฝูงเพื่อนเดินไปทำงานหรือไม่ก็เดินเข้าตึก เรียน แต่ผมก็ไม่คิดจะเข้าไปทักทาย
รสจูบหอมหวานที่เคยลิ้มรส มันคงเป็นเพียงความฝัน
...และตอนนี้ความฝันนั้นจบไปแล้ว…
♥
“นี่มึง กูอยากไปเที่ยวทะเลอ่ะ เสาร์อาทิตย์นี้ไปกันไหม” ไอ้เต้ยมันชวน ผมที่กำลังนั่งเช็คกล้องอยู่เงยหน้ามอง
“อยากไปไหนล่ะ”
“บางแสนก็ได้ ใกล้ ๆ นั่งรถตู้ไป แป๊บเดียวก็ถึง”
ผมทำท่าคิด
“พี่มึงจะยอมให้มึงไปไหมล่ะ”
“พี่เป้มาเกี่ยวอะไรกับกู กูโตแล้วนะ”
“กูก็ไม่อยากจะขัดหรอก ถ้าไม่เห็นว่ามันหวงมึงอย่างกับไข่”
“หวงทำแป๊ะน่ะสิ แกล้งกูได้ทุกวี่ทุกวัน”
“เอ้อ มึงไปขอพี่มึงก่อนดีกว่า กูไม่อยากถูกพี่มึงเขม่น มันยิ่งโหด ๆ อยู่ด้วย”
ไอ้เต้ยทำหน้าเซ็งรับปาก
ก็ดี อยากไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน
♥
เสาร์แล้ว...
ผมไม่ได้ตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวนะ แต่ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกพร้อมเป้ใบเก่งข้างตัว จะว่าไปแล้ว ปีนี้ยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวทะเลที่ไหนกับเขาเลย แม่ก็มัวแต่ยุ่ง ๆ กับการเขียนหนังสือเล่มใหม่ ส่วนพ่อผมน่ะเหรอ เหอ ๆ แยกทางกับแม่ไปนานแล้วล่ะครับ ผมอยู่กับแม่สองคน
เราตกลงจะไปค้างกันคืนหนึ่ง ไปเสาร์เช้ากลับอาทิตย์เย็น เพราะวันรุ่งขึ้นมีเรียน ผมเตรียมชุดเล่นน้ำกับชุดเปลี่ยนไปสองชุด เผื่อเหลือเผื่อเปียก
ผมนั่งดูการ์ตูนช่องเก้าไปเรื่อย ๆ จนแปดโมงสิบนาทีก็ได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ผมเลิกคิ้วแปลกใจ เพราะปกติเวลาไอ้เต้ยมันมาบ้าน มันจะเปิดประตูเข้ามาเองเลย
แล้ววันนี้มันจะกดกริ่งทำแป๊ะอะไร
ผมกดปิดทีวี คว้ากระเป๋าข้างตัวมาสะพาย เดินออกไปเปิดประตู เห็นไอ้เต้ยยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า ด้านหลังเป็นบอดี้การ์ดหน้าหล่อของมัน
“หวัดดีครับพี่เป้” ผมยกมือทักทาย “มึง…” ก่อนหันไปทางไอ้เต้ย มันยิ้มเผล่
“เรื่องมันสั้นวะ เดี๋ยวกูอธิบายอีกที”
ผมพยักหน้า ล็อกบ้าน เดินตามมันไป แล้วก็ต้องตกตะลึงรอบสอง เพราะมีรถตู้สีเงินมาจอดอยู่ พอเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องตกตะลึงรอบสาม เพราะทุกที่นั่งเต็มหมด
และหน้าตาของแต่ละคน ผมก็คุ้นเคยดีซะด้วย
“หวัดดีฮะพี่ ๆ”
ผมทักทายทีเดียวครบทุกองค์ประชุม พวกพี่ ๆ ยิ้มทักบ้าง ยกมือทักบ้าง พูดทักบ้าง ผมไล่สายตามองอย่างรวดเร็ว
พี่โอมกับพี่มอควงสาวสวยมาขนาบข้างนั่งเบาะหลังสุด พี่กิ๊ฟกับพี่อ้อยนั่งคู่กันถัดขึ้นมา ตามด้วยพี่โอ๊คกับพี่ปิง ที่ในมือถือหนังสือด้วยกันทั้งคู่ ถัดขึ้นมาอีกก็เป็นพี่สาวกับพี่อิง เบาะว่างสองเบาะ ให้เดาคงเป็นผมกับเต้ย และสองเบาะหน้าสุด มีคนที่พรากจูบแรกผมนั่งอยู่
ผมส่งยิ้มให้นิดหนึ่งทักทาย พี่เอกพยักหน้าทีเดียวตอบรับ เบาะข้าง ๆ คงเป็นของพี่เป้ เก้าอี้แถบซ้ายเต็มไปด้วยกระเป๋า
“รีบขึ้นไปดิ”
ไอ้เต้ยมันรุนหลังผมให้ขึ้นรถ ผมรีบเอาตูดไปแปะเบาะทันที
“อธิบายมา” ผมกระซิบถามมัน
“เมื่อวานกูขอ มันอนุญาต แล้ววันนี้ก็อย่างที่เห็น”
มันกระซิบกลับสั้น ๆ
ผมพยักหน้าทีเดียวเข้าใจ จะว่ามันก็ไม่ได้หรอกครับ พี่เป้เจ้าเล่ห์ใช่ย่อย
ผมนั่งด้านนอก ไอ้เต้ยนั่งใน ผมหันไปมองความเคลื่อนไหวในรถ เห็นพี่โอมกับพี่มอนั่งกระหนุงกระหนิงกับแฟน พี่โอ๊คกับพี่ปิงนั่งอ่านหนังสือลืมโลก พี่สาวกับพี่อิงคุยเรื่องจุ๊กจิ๊กจับใจความไม่ได้ทั้งที่นั่งใกล้สุดแท้ ๆ
พี่กิ๊ฟที่นั่งด้านนอกโผล่หน้าออกมาถาม
“เอ่อนี่กาย พี่ได้ข่าวว่าเราจะเอาภาพเข้าประกวดในงานมหาลัยปีนี้เหรอ”
“ฮะ”
“เหรอ ๆ ขอพี่ดูหน่อยสิ”
พี่กิ๊ฟขอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แฮะ ๆ มันเป็นกฎน่ะฮะ ภาพที่เข้าประกวดห้ามให้ใครดูนอกจากคณะกรรมการ”
“อ้าวเหรอ ไม่เป็นไร ยังไงก็ขอให้ได้สักรางวัลละกันเนอะ”
ผมยิ้มรับ จริง ๆ ผมไม่ได้หวังรางวัลอะไรหรอก เพียงแค่อยากเข้าร่วมเท่านั้น เผื่อฟลุ๊คอะนะ เมียงมองมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว
ตอนแรกคิดว่าจะไปบางแสนกัน แต่ตอนนี้รถตู้คันใหญ่สีเงิน วิ่งเข้ามาจอดสนิทที่หน้ารีสอร์ตสไตล์ไทยร่วมสมัย ด้านหน้าปูเรียบไปด้วยหาดทรายขาวสะอาด เป็นหาดส่วนตัวในหัวหินครับ กิจการของบ้านไอ้พี่มอมัน
โห เพิ่งรู้ว่าไอ้พี่มอมันรวยขนาดนี้ พวกสาว ๆ ตาโตกันใหญ่
พี่มอแกหม้อเรื่องสาว ๆ ก็จริง แต่โดยพื้นแล้ว แกก็เป็นคนดี ไม่เคยอวดร่ำอวดรวยด้วย
งานนี้ที่พักฟรีครับ เปรมน่าดู
ผมกับไอ้เต้ยได้ห้องเดียวกัน ริมสุดชั้นสาม มองเห็นวิวทะเลได้ชัดแจ๋วเลย เดินสำรวจห้องอีกนิด ๆ หน่อย ๆ ผมก็โยนกระเป๋าทิ้ง คว้ากล้องเผ่นแผ่วไปริมหาดทันที ปล่อยให้ไอ้เต้ยนั่งจัดของไป
วิวสวยดีครับ เป็นหาดส่วนตัวที่กว้างมาก มองมุมไหนก็สวยไปหมด พอลงมาถึง ผมก็เดินวนหามุมสวย ๆ ถ่ายรูปทันที
ผมเดินถ่ายไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ยังจุดที่มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่สี่ห้าต้น ผมยกตัวกล้องขึ้นมาจ่อไว้ที่ดวงตา ขยับปรับเลนอีกนิดหนึ่ง เพื่อให้ได้ภาพในมุมที่สวยที่สุด
ผมยิ้ม เมื้อมะพร้าวเอน ๆ ต้นหนึ่งถูกล็อคให้อยู่ในเลนอย่างสวยงาม ผมยืนเล็งต่ออีกนิด ก่อนตัดสินใจกดปุ่มด้านบน ภาพตรงหน้าหยุดลงเพียวเสี้ยววินาที แต่ผมก็รู้ ว่าต้นมะพร้าวต้นนั้น วิ่งเข้ามาอยู่ในเมมโมรี่ผมแล้ว
ผมขยับตัวกล้องเคลื่อนที่ไปทางซ้ายเพื่อหามุมต่อไป ก่อนหยุดนิ่ง เพราะหน้ากล้องถูกบังมิดด้วยอะไรบางอย่าง
ผมค่อย ๆ ลดกล้องลงมอง
“อยู่ ๆ ก็มาแอบถ่ายกัน”
ไอ้พี่เอกครับ มายืนทำหน้านิ่ง ๆ อยู่ตรงหน้า
“ผมเปล่านะ พี่มาเข้าเลนผมเองต่างหาก”
กวนมาก็กวนกลับสิ
ผมกวาดมองพี่เอกอีกที หน้าหล่อยังไงก็ยังหล่ออยู่อย่างนั้น วันนี้พี่เอกมาแบบสบาย ๆ ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวลายต้นมะพร้าวสีเขียว กางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีเขียวน้ำทะเล สวมร้องเท้าผ้าใบไม่มีถุงเท้า แต่งตัวได้ชิวมาก
“ผมยาวขึ้นอีกแล้วนะฮะ”
ผมพูดตามสิ่งที่เห็น พี่มันจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ
“สังเกตด้วยเหรอ”
พี่มันจับเส้นผมตรงหน้าผากตัวเองเหลือบตาขึ้นดู
“พอดีเดือนนี้พี่ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้แวะเข้าร้านตัดผมซะที”
“เข้าทำไมร้านตัดผม”
พี่เอกเลิกคิ้วสงสัย
“เข้าร้านตัดขนน่าจะเหมาะมากกว่า”
พูดจบ ก็วิ่งสิครับ อยู่ให้โดนอุ้งตีนหมีตะปบเหรอ พี่เอกชี้หน้าจะด่า สองขาก็วิ่งไล่จะเตะตูดผม
“ขอโทษคร้าบ อย่าทำอะไรผมเลย เบา ๆ พี่ เดี๋ยวกล้องพัง”
ผมรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยหลบอยู่หลังต้นมะพร้าว กลัวลูกรักพังครับ วิ่งไม่ทันขายาว ๆ ของพี่แกหรอก พี่เอกชี้หน้าอาฆาต
ผมยืนหอบ พี่มันก็ไม่ต่าง
“เอ่อ พี่เอก ผมมีเรื่องจะขอพี่หน่อย”
ผมรีบพูดเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ พี่มันมองหน้า
“คือ ผมกำลังจะส่งภาพเข้าประกวด ซึ่งหนึ่งในภาพที่ผมกำลังคัดอยู่ เป็นภาพของพี่ ถ้าเอาไปลง พี่จะว่าอะไรไหม”
พี่เอกขมวดคิ้ว
“ภาพไหน”
“ภาพตอนเราไปดูพระอาทิตย์ตกกัน”
พูดแล้วหน้าก็ร้อนพิลึก พี่เอกเปลี่ยนสีหน้านิดหนึ่ง แล้วกลับมานิ่ง ๆ เหมือนเดิม
“สวยเหรอ”
พี่มันถาม ผมพยักหน้า
“ก็นะ นายแบบมันหล่อ”
ผมเบ้หน้า
“ฝีมือการถ่ายภาพของผมมันดีต่างหาก” ผมเถียงกลับ
“พี่ว่าเพราะนายแบบของนายหล่อมากกว่า”
“หลงตัวเอง”
“นายก็หลงตัวเองเหมือนกัน”
ผมอ้าปากเตรียมจะเถียงต่อ แต่เบรกตัวเอาไว้ก่อน
กำลังขอเขาอยู่นี่หว่า
“แล้วตกลงพี่อนุญาตใช่ไหม”
“ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่”
ผมยิ้มแป้น
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พี่สุดหล่อ จะมาเป็นนายแบบให้ผมถ่ายภาพอีกสักเซตได้ไหมครับ”
“ค่าตัวเท่าไหร่” พี่มันต่อลอง ผมเบ้หน้า ก่อนทำท่าคิด
“ปูสองตัว”
“ได้”
พี่มันตอบรับแทบจะทันที ผมยิ้มแป้นอีกรอบ
“แต่เป็นปูจากอลาสก้านะ”
ผมหุบยิ้มลงฉับ
แพงจะตาย ใครจะไปซื้อได้
“ไม่เป็นไร ผมไปขอพี่โอมถ่ายก็ได้”
“ไอ้โอมมันหล่อไม่เท่าพี่หรอก งั้นลดจากปูเป็นข้าวสักมื้อละกัน”
ผมเบ้หน้า
“ก็ได้ แต่พี่ต้องทำตามที่ผมบอกนะ”
พี่เอกพยักหน้าอีกที
ผมยิ้มนิด ๆ ยกกล้องขึ้นมาเซต พอเซตกล้องเสร็จ ผมเงยหน้ามองพี่เอกตั้งแต่หัวจรดเท้า
ตอนนี้พี่เอกผมยาวขึ้น ก็หล่ออยู่หรอกนะ แต่ว่า…
ผมชอบตอนพี่เอกเสยผมมากกว่า
“รอแป๊บนะฮะ”
ผมวิ่งกลับห้องพักตัวเอง คว้าน้ำเปล่าในกระเป๋าแล้ววิ่งเอามายื่นให้พี่เอก พี่แกรับไปถือไว้งง ๆ
“ราดหัวให้เปียกแล้วเสยผมไปด้านหลัง”
พี่แกมองงง ๆ
“ทำไม”
“ผมอยากถ่ายตอนพี่เสยผม หล่อดี”
พี่เอกชะงักจ้องหน้าผม ก่อนเสหน้าไปทางอื่น หมุนเปิดฝาขวดออก ราดน้ำลงกลางกะบาลเกือบครึ่งขวด ปิดฝา โยนขวดไว้ข้างตัว แล้วพี่แกก็ใช้สองมือกวาดเส้นผมทั้งหมดไปด้านหลัง
และทันทีที่พี่มันปล่อยมือ ผมก็ไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้แล้ว
เป็นผู้ชายที่ดูดีจริง ๆ
กล้องยังคล้องอยู่ที่คอ สองมือยังประคองอยู่ที่ตัวกล้อง และสองดวงตาผม จ้องมองเพียงภาพที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
เรียวคิ้วเข้มเมื่อไม่ถูกเส้นผมบดบังยิ่งเด่นชัด รับกับหน้าผากโค้งได้รูป จมูกโด่งสูงพอดิบพอดีรับกับริมฝีปาก มีหยดน้ำเกาะพราวเอาไว้เพียงหยด
ผมว่า หน้าตาพี่เอกเป็นเหมือนประติมากรรมแสนสวยสักชิ้น ยิ่งมองยิ่งไม่อาจละสายตาไปไหนได้
“ตกลงจะจ้างพี่มาถ่ายรูป หรือจ้างพี่มามอง”
“ขะ ขอโทษฮะ"
ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ รีบดึงสติตัวเองกลับคืน
ผมเขยิบตัวออกไปยืนอยู่ห่าง ๆ เล็งกล้องไปยังคนตัวสูง ผมสั่งให้พี่แกไปยืนอยู่ใต้ต้นมะพร้าวที่มันเอียงอยู่ แสงเงาที่ตกกระทบกำลังได้ที่เลย
ผมกดถ่ายไปได้ร่วมยี่สิบภาพ นายแบบก็แอ็คเก่งใช้ได้ น่าจะไปเป็นนายแบบมืออาชีพนะเนี่ย
“อยากเปลี่ยนที่แฮะ”
ผมมองซ้ายมองขวาหาวิวใหม่ ๆ
“ไปถ่ายที่สวนของโรงแรมก็ได้ สวยดีนะ”
พี่มันเสนอ ผมตาวาว รับปากแล้วเดินตามไป
ไม่ผิดจากที่พี่มันบอกจริง ๆ ที่นี่สวยมาก ตกแต่งสวนสไตล์บาหลี มีน้ำตกล้อมรอบ ประดับด้วยหิน รูปปั้นและพืชพรรณที่เกาะแน่นไปด้วยตะใคร่น้ำ รอบด้านเขียวขจี มาถึงผมก็ยืนเล็งกล้อง ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายแต่สถานที่...
จนลืมนายแบบหน้าหล่อไปเลย
TBC..
เต่าได้ใจมาก = =
ช่วงนี้ติดอ่านนิยาย... แบบว่า... โต้รุ่งมาสองคืนแล้ว นอนตอนหกโมงตื่นแปดโมง...(มนุษย์?) จริง ๆ ไม่อยากอ่านเท่าไหร่หรอก อ่านทีไร ไอเดียวิ่งพล่าน มือกระดิกยิก ๆ อยากแต่งเรื่องใหม่อยู่เรื่อย เมื่อวานอ่านนิยายญี่ปุ่น มือสั่นหยิก ๆ แต่รีบจับมันไว้หมับ มัดมันไว้กับหัวเตียง เฆี่ยนมันด้วยแส้ หยดด้วยเทียนร้อน โอ๊ว อ๊า ... ทรมานดีแท้ วิญญาณ SM เข้าสิง
อารมณ์นี้ อยากแต่งนิยายหื่น ๆ เคะโดนเมะซาดิส์มจับกดเช้ากดเย็นอะไรทำนองนี้ หึหึ - , . -
แฟนเพจ Kiss love เจ้าค่ะ ตามข่าวที่นี่ละกัน ^^
http://www.facebook.com/pages/Kiss-Love-รักวุ่นวายนายสุดหล่อ-น้องคีส/357251407621508
ไปล่ะ