Chapter 47
“พี่พจน์…ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไรนะครับ ผมลองตรวจเช็คร่างกายของเจ้าพายุอย่างละเอียดแล้ว แต่ว่าทุกอย่างปกติไม่ว่าจะเป็นชีพจร การเต้นของหัวใจ แต่ถ้าอาการมันหนักขนาดที่พี่ว่า…ผมว่าส่งตัวเค้าไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอย่างละเอียดจะดีกว่านะครับ”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปโทรเรียกรถพยาบาลเลยละกันนะคะคุณ” สุดาเตรียมก้าวขาออกจากห้องอย่างรีบร้อน แต่ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูนั้น ก็มีคนเปิดสวนเข้ามาเสียก่อน
“คุณแม่จะไปไหนครับ ดูรีบร้อนจัง” วายุเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นท่าทีรนรานของแม่ตัวเอง
“แม่จะโทรเรียกรถพยาบาลนะสิ คุณหมอนพเค้าตรวจไม่พบสาเหตุ แถมตอนนี้หนูวารินทร์ก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“คุณแม่ไม่ต้องไปไหนหรอกครับ…คุณอาหมอนพ เดี๋ยวผมเดินลงไปส่งข้างล่างนะครับ ส่วนเรื่องรถพยาบาลคงไม่จำเป็นแล้ว เอาเป็นว่าถ้าพี่พายุไม่ตื่นภายในเย็นนี้ผมจะพาไปโรงพยาบาลเองครับ”
โอเค งั้นอากลับก่อนละกัน ไม่ต้องลงไปส่งหรอกอยู่ดูแลพี่เราเถอะ” พูดจบ คุณหมอก็เดินออกจากห้องไป แต่มีนารินทร์ วายุ และพี่ดำเข้ามาแทนที่แทนที่
“เอ่อ…แล้วนี่คุณคือ…”
“เรียกผมว่าดำก็ได้ครับ…ผมเป็นญาติของนารินทร์กับวารินทร์”
“อ๋อค่ะ แล้วมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมจะมาดูอาการคุณพายุให้น่ะครับ ยังไงผมขออนุญาตนะครับ” พี่ดำเดินเข้าไปดูอาการพายุโดยไม่รอฟังเสียงคัดค้านใดๆทั้งสิ้น โดยมีนารินทร์และวายุเดินตามมาติดๆ เมื่อพี่ดำพิจารณาสภาพของพายุด้วยสายตาก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
“อาการดีกว่าผมคิดไว้เยอะเลยนะครับ…ถึงแม้ว่าจะโดนหนักขนาดนั้น”
“โดนหนัก? พายุโดนอะไรคะ” สุดาถามเสียงสั่นอย่างร้อนรน ความเป็นรักและความห่วงใยของแม่ที่มีให้กับลูกทำเอาสุดารู้สึกเหมือนอกจะแตกตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่พี่ดำก็ไม่ได้ตอบอะไรสุดาและวางผ่ามือลงบนหน้าผากของพายุก่อนจะหลับตาลงเพื่อทำสมาธิและเพ่งจิตเพื่อดูบางสิ่งบางอย่าง
“…” บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบและค่อนข้างอึดอัดอย่างมาก โดยแต่ละคนมีสีหน้าตรึงเครียดไม่ต่างกันสักนิดเดียว
“ผมมองไม่เห็นอะไรเลย…อำนาจของผมไม่สามารถเหลื่อมล้ำอำนาจของเค้าได้…คงมีแต่นารินทร์เท่านั้นแหละที่ทำได้” เมื่อพี่ดำพูดจบทุกสายตาก็พุ่งตรงไปที่นารินทร์ทันที
“ทำไมถึงต้องเป็นนารินทร์ด้วยล่ะครับพี่ดำ” วายุที่สงสัยก็เอ่ยถามขึ้นทันที ในเมื่อตอนนี้วายุไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะนารินทร์ไม่ยอมปริปากพูดบอกอะไรเค้าจนกระทั่งตอนนี้
“ผมว่าคุณสองคนคงรู้เรื่องบางสิ่งบางอย่างในตัวของพวกเค้าสี่คนแล้ว…วารินทร์ นารินทร์ พายุ และ วายุ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่ว” พี่ดำหันไปพูดกับสุดาและสุพจน์ แต่ยังไม่ทันขาดคำสุดาก็สวนขึ้นมาเสียก่อน…
“เรื่องนั้นฉันรู้ค่ะ…ว่าแต่คุณเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้เรื่องพวกนี้ด้วย” พี่ยกยิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะหันไปหาสุดาอีกครั้ง
“เราเคยเจอกันแล้วนะครับ คุณหญิงสุดา” สุดาและสุพจน์ต่างงงกับสิ่งที่พี่ดำพูด แต่หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็เข้าใจในความหมายของคำพูดนั้น…ร่างของงูเหลือมขนาดใหญ่มากที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเค้านั้นเป็นหลักฐานชั้นดีทีเดียวเพราะพวกเค้าเคยเห็นงูลักษณะแบบนี้ที่บ้านวารีรินทร์ แต่ครู่ต่อมาพี่ดำก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์จำแลงเหมือนเดิม
“คุณคงเข้าใจอะไรมากขึ้นนะครับ” พี่ดำยกยิ้มให้กับสุพจน์และสุดา ถึงแม้ทั้งสองคนจะยังคงช็อกเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้เห็นแต่ก็พยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจ
“’งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยก็แล้วกันนะครับ…ครุฑกับนาคเป็นศัตรูกันมานานตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล และแน่นอนว่านาคที่เป็นงูไม่สามารถต่อกรกับครุฑที่เป็นนกได้…ไม่ว่าจะเป็นทางด้านพละกำลัง อำนาจจิต หรือด้านอื่นๆ แต่สิ่งที่นาคเหล่านั้นได้มาทดแทนก็คือ ความสามารถเฉพาะตัวที่เหล่าพญาครุฑไม่มี แต่ก็ไม่ใช่ทุกตนหรอกนะ ที่มีพลังเฉพาะตัว…แต่ในกรณีของวารินทร์กับนารินทร์นั้น…”
“ทั้งวารินทร์และนารินทร์มีความสามารถเฉพาะตัวใช่ไหมครับพี่ดำ” วายุพูดแทรกขึ้น พี่ดำก็พยักหน้าเป็นคำตอบ
“แล้วพลังที่ทั้งสองคนมีคืออะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการช่วยเหลือพายุล่ะ” สุพจน์เป็นฝ่ายถามบ้าง
“พลังของนารินทร์คือ การมองเห็นอดีตโดยไร้เงื่อนไขหรือข้อจำกัด เพียงแค่จ้องมองไปยังบุคคลที่ต้องการอยากจะรู้อดีตของคนๆนั้น หรือผ่านทางการสัมผัสเพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่คนๆนั้นผ่านอะไรมาบ้างทั้งชีวิต ส่วนของวารินทร์…” เมื่อพูดถึงวารินทร์พี่ดำก็หยุดชะงัก ยิ่งทำให้คนในห้องนั้นให้ความสนใจมากยิ่งกว่าเดิม
“พลังของวารินทร์…เป็นการทำลายและทำร้ายเหยื่อได้อย่างดี เหล่านาคาเกิดมาพร้อมกับพิษที่รุนแรงอยู่แล้ว แต่ของวารินทร์ต่างออกไป…วารินทร์มีความสามารถในการสร้างพิษชนิดใหม่ที่รุนแรงมาก จะสร้างพิษให้ฆ่าคนภายในเสี้ยววินาทีหรือจะทำให้ทุรนทุรายจนตายก็ไม่ใช่เรื่องยาก…ความสามารถนี้ในนาคหนึ่งหมื่นตนจะมีสักตนที่มี มันเป็นความสามารถที่แม้แต่เหล่านาคาด้วยกันเองยังหวาดระแวง”
“เดี๋ยวก่อนนะ งั้นหมายความว่า…”
“ใช่…วารินทร์ให้พิษเสน่ห์นาคราชกับพายุ พิษนี้จะไม่แสดงอาการในช่วงแรกๆ แต่หากนานวันเข้าพิษจะค่อยๆเริ่มแสดงอาการออกมาเรื่อยๆ คนที่โดนพิษนี้จะรู้สึกรักและหลงใหลไปกับนาคตนนั้น หากห่างกันเมื่อไรจะมีอาการทุรนทุรายอย่างชัดเจน และถ้าหนักเข้ามากๆ…ก็จะตายลงในที่สุด” เมื่อสุดาฟังจบก็ขาอ่อนหมดแรงทันที แต่โชคดีที่สุพจน์รับสุดาไว้ทัน
“ทำไมหนูวารินทร์ต้องทำแบบนี้ด้วย ฮือๆ พายุลูกแม่…นั่นสิพี่ดำ พี่พายุน่ะรักวารินทร์ตั้งแต่แรกเห็น พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้อยู่ใกล้กับวารินทร์ แล้วทำไม…” วายุพยายามแย้งพี่ดำเพราะยังไม่ค่อยเชื่อว่าวารินทร์จะเลือดเย็นถึงขนาดทำเรื่องแบบนี้ได้
“วารินทร์เคยเล่าให้พี่ฟัง…เมื่ออดีตกาล วารินทร์ถูกพายุหักหลังและฆ่าตายอย่างทรมาน ส่วนนารินทร์ก็ถูกวายุฆ่าตายเหมือนกัน…นั่นเป็นเหตุผล ว่าทำไมวารินทร์ถึงพยายามกันพวกคุณออกจากกัน” เมื่อวายุได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับเข่าอ่อนทันที…ชาติที่แล้ว เค้าเป็นคนฆ่า นารินทร์งั้นหรอ
“ไม่!!! ชาติที่แล้วก็ให้เป็นเรื่องอดีตสิ เราควรจะอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่หรอ…ชาติที่แล้วจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมรักนารินทร์ และผมจะไม่ยอมเสียนารินทร์ไปเด็ดขาด!!!” พูดจบวายุก็ดึงนารินทร์เข้ามากอดไว้แน่นโดยที่นารินทร์ไม่มีท่าทีขัดขืนแม้แต่นิดเดียว
“นั่นคงเป็นกรรมที่พวกคุณจะต้องเกิดมาบนโลกนี้เพื่อแก้ไขสิ่งนั้น…แต่พี่ไม่คิดแบบนั้น น่าจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดในอดีต แต่เพราะทิฐิของวารินทร์ที่มีมาก อาจจะบดบังความจริงตรงนั้น…พี่ถึงบอกว่านารินทร์เป็นคนเดียวในที่นี้ ที่สามารถย้อนกลับไปดูได้ ว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับวารินทร์และพายุกันแน่”
“นาต้องทำยังไงบ้างพี่ดำ”
“อันดับแรก นาต้องนั่งสมาธิและทำกรรมฐานเพื่อให้จิตแกร่งขึ้น…ระหว่างนั้นพี่กับวายุจะคอยดูอาการของพายุอย่างใกล้ชิด”
“แล้วอาการของพายุจะแย่ลงไปมากกว่านี้ไหม” สุพจน์ถามต่อเมื่อเริ่มรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของพายุ
“ผมตอบอะไรคุณไม่ได้…อย่างที่ผมบอก พิษนี้มีฤทธิ์ร้ายแรงเหนือกว่านาคตนอื่นๆ ผมอยู่บนโลกมนุษย์มาเกือบสองพันปีก็พึ่งเคยเจอนาคแบบวารินทร์นี่แหละ…อาการอาจจะคงตัวหรืออาจจะแย่ลง ทุกอย่างเกิดขึ้นได้” เมื่อได้ฟังดังนั้นสุพจน์ก็พาร่างที่แทบจะหมดสติของสุดาออกมาจากห้องนั้น
“ทำไมวารินทร์ต้องทำแบบนี้ด้วย ทั้งที่พายุทั้งรักทั้งเอาใจวารินทร์ขนาดนั้น ทำไมต้องทำลูกแม่ด้วย…ซิก…ฮึก” สุดาได้แต่พูดตัดพ้อวารินทร์แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ยินก็ตาม
“มันคงเป็นเวรกรรมของพวกเค้า เราเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด…คุณเองก็พักผ่อนได้แล้ว” สุพจน์วางสุดาลงบนเตียงก่อนจะนั่งคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ต่างกันสักนิดเดียว
“นาจะเริ่มตอนไหน” พี่ดำถามขึ้นเมื่อสุพจน์และสุดาออกจากห้องไปแล้ว
“มันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ครับพี่ดำ ที่จะทำให้พลังของนาแกร่งขึ้นจนสามารถมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมานานขนาดนั้นได้”
“ก็คงใช้เวลานานพอสมควร แต่ถ้านาตั้งใจจริงๆ พี่คิดว่ามันคงจะสำเร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม”
“งั้นนาจะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ” เมื่อไม่มีใครคัดค้านนารินทร์ก็เริ่มทำสมาธิทันทีและปฏิบัติกรรมฐานทันที
วันเวลาผ่านไปนานนับเดือนจนกระทั่งก้าวเข้าสู่เดือนที่สี่ อาการของพายุก็ดีขึ้นทีละน้อย สามารถขยับนิ้วได้เล็กน้อยในบางครั้ง ส่วนนารินทร์ก็มีพลังที่แข็งกล้าขึ้น แต่คนที่รับภาระหนักที่สุดก็คือวายุ ที่ต้องเรียนไปด้วยพร้อมกับเข้าบริษัทแทนพายุที่ยังคงนอนไม่รู้สึกตัวโดยมีสุพจน์เป็นคนที่คอยให้คำปรึกษา
“น่าแปลกนะ…ที่อาการของพายุเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ยักจะแย่ลง” พี่ดำเอ่ยขึ้น หลังจากที่สังเกตอาการของพายุมาตลอดช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมา
“ก็ดีแล้วพี่ดำ…ผมว่าอีกสักพักนาจะต้องเห็นเรื่องทั้งหมดในอดีตแน่ๆ ผมเชื่อว่าวารินทร์ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่นอน” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็คุยกันไปเรื่อยจนกระทั่งเสียงๆหนึ่งดังขึ้น
“วารินทร์!!! คุณอยู่ไหน!!!” ทั้งสองคนที่คุยกันก่อนหน้านี้หันไปมองอย่างดีใจปนตกใจ ดีใจที่พายุรู้สึกตัวแล้วและตกใจที่อยู่ดีๆคนที่นอนมาตลอดเกือบสี่เดือนก็ลุกขึ้นมานั่งโวยวาย
“พี่พายุเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนปวดตรงไหนหรือเปล่า”
“ทำไมพี่เป็นอะไร แล้ววารินทร์ไปไหน”
“พี่หลับมาเกือบสี่เดือนเลยนะพี่…ด้วยฝีมือของวารินทร์”
“เหลวไหลวารินทร์จะทำอะไรฉันได้” พายุเถียงกลับ
“พี่ฟังผมนะ…” เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายให้พายุได้รับรู้โดยมีพี่ดำเป็นคนยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดคือความจริง พายุแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ได้ยินปากของวายุและพี่ดำ
“พี่จะไปตามหาวารินทร์” พายุทำท่าจะลุกแต่ก็ถูกห้ามไว้โดยพี่ดำและวายุเสียก่อน จนกระทั่งมีผู้เปิดประตูเข้ามาใหม่พร้อมกับเสียงตะโกนตื่นๆ
“นารู้เรื่องทั้งหมดในอดีตแล้ว!!!”
อุ้ย!!! อะไรยังไงเนี่ย >.<