ก่อนอื่นต้องทักทายบรรดาเป็ดทั้งหลายก่อน "สวัสดีคร้าบ"
วันนี้มาในแนวเรื่องสั้นที่ไม่เคยแต่งมาก่อน
ประเด็นคือ....มันมาแนวเรื่องสั้นอีกแล้ว
หวังว่านักอ่านจะไม่เบื่อนักเขียนเรื่องสั้นคนนี้ไปเสียก่อนนะ
งั้น...ไปอ่านเลยดีกว่า
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ผมเดินเตร่อยู่แถวนี้มาได้ร่วมชั่วโมงแล้ว ผมไม่รู้ว่าการทำแบบนี้ทำให้ชีวิตผมสนุกหรือมีความสุขตรงไหน แต่ผมก็ยังทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ผู้คนพลุกพล่าน บางคนเดินเร็ว บางคนเดินช้า มีของวางแผงขายอยู่บนสะพาน หรือตามทางเดิน ผู้คนใส่หูฟังอุดหูไม่สนใจคนรอบข้าง คนพิการเดินช้า ๆ คนเดียว โดยไม่มีใครเหลียวแล ผมมองพวกเขาเงียบ ๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือช่วยเหลืออะไร ผมลดความเร็วในการเดินลง เพราะตรงหน้ามีกลุ่มนักศึกษาร้องเรียกตะโกนโหวกเหวกให้ร่วมบริจาคต่าง ๆ นานา ที่ว่าต่าง ๆ นานา นั่นเพราะมันหลากหลายกิจกรรมเหลือเกิน ทั้งสมทบทุนสร้างห้องสมุด เป็นทุนการศึกษา และอีกมากมาย เดินไปอีกหน่อยก็มีคนจากบริษัทหนึ่งมายืนดักคนที่เดินไปมาให้ร่วมทำธุรกิจกับเขาด้วย
วันนี้เป็นวันศุกร์ วันที่เหล่าคนทำงานต่างรีบเร่งในการทำอะไรหลาย ๆ อย่าง พวกเขาต่างแยกกันขึ้นรถโดยสารอย่างบ้าคลั่ง คนวัยรุ่นเบียดคนแก่ที่ไม่มีแรงดันพวกเขาให้พ้นทาง นักศึกษาเดินทางถนนเพื่อทำให้เดินไปยังจุดหมายได้เร็วขึ้น ผมมองภาพนั้นอย่างเบื่อหน่าย ชีวิตคนกรุงมันช่างรีบร้อนเหลือเกิน ผมก็คนทำงานคนหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้อย่างจะไปปั่นเวลาชีวิตให้เร็วขนาดนั้น ผมค่อย ๆ เดินเพื่อให้ผมหายใจอย่างสบาย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเหงื่อก็ยังคงปรกอยู่ที่หน้าผากของผม อาจเป็นเพราะตอนนี้ฤดูฝน ช่วงก่อนฝนตกจะเป็นอากาศที่ร้อนอบอ้าว ไม่มีลมพัดมาให้ชื่นใจ มีแต่ควันรถและควันบุหรี่ให้ได้สูดดม
ผมเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่ง...
“น้าจะไปที่ไหนครับ เดี๋ยวผมพาไป”
“อ้อ ลุงจะไปฝั่งโรงพยาบาลน่ะลูก”
“มาครับ เดี๋ยวผมพาไป เดินตามผมมานะ”ผมมองตามทั้งคู่ไป มันเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ผมรู้สึกว่า
‘ยังมีคนแบบนี้อยู่เหรอ’
ทำไมผมถึงคิดแบบนี้ นั่นเพราะตลอดเวลาที่ผมเดินเส้นทางนี้ ผมยังไม่เคยเห็นใครช่วยเหลือคนอื่นเลย พวกเขาเอาแต่อุดหูของตัวเองแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดิน ไม่สนใจคนอื่น
“ลุงระวังนะครับ ข้างหน้าขรุขระ”ผมละจากความคิดตัวเอง หันกลับไปมองคู่นั้นอีกครั้ง แต่บังเอิญที่ชายหนุ่มคนนั้นก็หันมาทางผมเหมือนกัน
ผมคิดไปเองหรือเปล่า ว่าเขาสบตาผมไป มันเหมือนมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้น มาไม่ได้วูบวาบ แต่รู้สึกอุ่นใจเล็ก ๆ ดูเขาจะอบอุ่นน่าดู
“ผมช่วยมั้ยครับ”และแล้ว ผมก็พลั้งปากเข้าไปคุยกับเขา นี่ถ้าเขาปฏิเสธมาผมคงจะหน้าแหกไม่น้อย แต่ดูเหมือนความคิดของผมจะมองในแง่ร้ายไปหน่อย
“ก็ดีครับ”ผมกับเขาค่อย ๆ เดินนำทางลุงไป โดยที่เขาอยู่ข้างหน้าตามคำแนะนำของลุง กับผมที่เดินประคองเขาอยู่ข้าง ๆ กันคนมาเบียด ถึงตอนนี้ผมชักหงุดหงิดที่มีคนมาเบียดผม นั่นเพราะคนที่เดินเบียดหรือชนผมต่างเห็นว่าข้างกายผมคือใคร แต่เขาก็ไม่คิดจะหลีกหนี กลุ่มนักศึกษาที่ร้องเรียกหาเงินบริจาคก็ยืนมองอยู่อย่างนั้น อาจจะเพราะเห็นพวกผมอยู่แล้ว หรืออาจเพราะลุงไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเขาได้ เลยไม่ช่วย
ผมอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย แต่ปฏิเสธได้เหรอว่าที่ผมคิดมันไม่ใช่ แต่อย่างน้อย ขอให้คนแบบชายหนุ่มคนนี้มีสักร้อยคน โลกก็คงจะหน้าอยู่ขึ้นเยอะ
หลังจากที่พวกผมส่งลุงถึงจุดหมาย ผมกำลังคิดหนักว่าผมควรจะพูดอะไรหรือเปล่า ผมควรจะบอกลาเขามั้ย หรือเดินไปเฉย ๆ แต่ผมคงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ
“ผมเห็นคุณมองลุงอยู่”
“ครับ?”เขาเห็น จะว่าผมมองก็คงจะใช่ ถึงผมจะไม่ใช่คนใจดีหรือมีน้ำใจมากนัก แต่พอเห็นคนพิการหรือคนแก่แล้ว มันก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วย แต่อาจจะมีความลังเลอยู่นิด ผมเคยอ่านหนังสือ เนื้อหาประมาณว่า ‘ทำความดีจะอายทำไม’ มันไม่ได้อายที่ทำความดี แต่มันเป็นความคิดที่วูบขึ้นมา มันมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากพอสำหรับการตัดสินว่าจะไม่ช่วยเหลือ
“ผมเห็นมองลุงเขาสักพักแล้ว แววตาคุณมันบ่งบอกว่าคุณต้องการจะเข้าไป คุณรู้มั้ย คุณยึกยักเหมือนเด็ก ๆ ที่ไม่กล้าเล่นกับเพื่อน ฮ่า ๆ” นี่ถ้าผมรู้จักเขามากพอ ผมคงจะบิดหู เบิดกะโหลกสักทีสองที
“เหรอครับ แต่คุณก็เข้าไปช่วยแล้วนี่”
“คุณก็เข้าไปช่วยเหมือนกัน....คุณชื่ออะไรครับ”
“ต้องบอกด้วยเหรอครับ แค่เจอกันครั้งเดียว คงไม่มีครั้งต่อไปหรอกครับ”
“แน่ใจเหรอครับ...ผมเจอคุณอยู่ทุกวัน นี่คุณมองไม่เห็นผมเลยเหรอ”เขาเจอผมเหรอ ผมควรจะสารภาพออกไปมั้ยว่าผมไม่เคยเห็นเขาเลยสักครั้ง
“งั้นเอาแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษ คุณต้องบอกชื่อผมและต้องไปกินข้าวเย็นกับผม”มันเป็นการลงโทษที่ปัญญาอ่อนพิกล แต่ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกอยากปฏิเสธเลยสักนิด
“ผมชื่อตาล ส่วนเรื่องกินข้าว...คุณเลี้ยงนะ”
“ผมชื่อปรัชญ์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอาเป็นว่าเราไปหาที่กันก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องเลี้ยง....ผมไม่ปฏิเสธครับ”
ผมกับเขาเดินไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ มันเป็นห้างที่ไม่หรูหรา สินค้าน้อย ส่วนมากจะวางขายตามฟุตบาทหน้าห้างมากกว่า
“คุณอยากกินอะไร บอกผมนะ ผมจะได้ดูเงินก่อน”
“คุณ ผมล้อเล่น ใครจะให้คุณเลี้ยงจริง ๆ ล่ะ”
“ผมเอาจริงนะครับ คุณอย่ามากลับคำสิ”ผมทำท่าทางเหมือนเด็กโดนขัดใจ ว่าแต่ผมเด็ก เขาเองก็เด็กเหมือนกัน
“แล้วแต่คุณละกัน”
“คุณ อย่างอนสิ ผมแค่อยากจะดูแลคุณ”งอน เขาพูดอะไร เขาคิดว่าผมงอนเขาเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ เด็กจริง ๆ นะ
“ไม่ได้งอน ผมก็พูดไปตามความตั้งใจของคุณ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ผมไม่ผิดนะ”
“ครับ ผมผิดเองแหละ ที่คิดมากไป”แม้จะพูดแบบนี้ แต่มันออกแนวประชดมากกว่า
“ไม่เอาน่าคุณ ทำหน้าแบบนี้มันไม่น่ารักหรอกนะ”ผมแกล้งหยอกเขาไปเพื่อให้เลิกทำหน้าตาประหลาด แต่ดูเหมือนจะหนักกว่าเก่า
“ใช่สิ ผมไม่น่ารักหรอก”แล้วก็สะบัดใส่ผม เดินนำไปไกล
สรุป ผมผิดสินะ
“คุณ...คุณ..คุณปรัชญ์”ในที่สุดความพยายามที่เรียกเขาก็สำเร็จ เขาหยุดลงทันที่ที่ผมเรียกชื่อเขา
“ปรัชญ์ เรียกปรัชญ์ก็พอครับ คุณอายุมากกว่าผมอีกมั้ง”
“คุณอายุเท่าไหร่”
“22”
“ผม 19”
“ฮะ! แล้ว..แล้วทำไมใส่ชุดแบบนี้ล่ะ ก็...ถึงว่า ทำไมหน้าเด็กจัง”ผมจะหน้าไม่เด็กได้ยังไง ในเมื่อผมอายุ 19
“ผมทำงานตั้งแต่อายุ 18 แล้ว ส่งตัวเองเรียน ก็เท่านั้นแหละ”
“ขยันจังนะครับ ผมนี่ยังเกาะพ่อแม่กินอยู่เลย”เขาพูดอย่างยิ้ม ๆ เวลาเขายิ้มแล้วดูดี ผมเป็นผู้ชายผมยังว่าว่าดูดีเลย
“งั้น...ผมเลี้ยงคุณเองดีกว่า ผมทำงานแล้ว มีเงินเป็นของตัวเอง ตกลงนะ”เขาทำท่าจะปฏิเสธ แต่เรื่องอะไรที่ผมจะรอฟัง ผมรีบ
เดินไปที่ร้านอาหารทันที
“คุณ...”
“ตาล เรียกผมว่าตาลก็พอ ผมอายุน้อยกว่าคุณอีก”
“งั้นคุณก็เรียกผมว่าปรัชญ์สิ แลกกัน”
“ได้ ปรัชญ์..แต่ ไม่ต้องเรียกพี่เหรอ”
“ไม่ต้องหรอก ปรัชญ์แหละ ดีแล้ว หน้าเราออกจะใกล้เคียงกัน”
“หมายถึงหล่อเหรอ”
“ไม่สิ หน้าเด็กไง แล้วที่ว่าหล่อน่ะ ไม่ใช่ หล่อมันผมคนเดียว ส่วนตาลน่ะ น่ารัก จบ กิน ๆ ผมหิวแล้ว”ผมกำลังจะแย้งแล้วเชียว เก่งนักเรื่องหนีผมเวลาจะแย้งเนี่ย
ผมกับเขาสั่งอาหารชุดที่ไม่ใหญ่มาก กำลังดีกับชายหนุ่ม 2 คน ที่ต้องการสารอาหารมาก
“ตาลกินเก่งจัง กินขนาดนี้ไม่ยักกะสูง เอ๊ย! อ้วน”
“แต่ผมไม่สงสัยนะ ก็ปรัชญ์ตัวอย่างกับช้าง เอ้ย! ใหญ่ขนาดนี้”ผมพูดคุยกับเขาจนสามารถใช้คำพูดที่เป็นกันเองได้ขนาดนี้ไม่รู้
เมื่อไร รู้สึกตัวอีกทีก็พูดไปแล้ว
“ตาล...ขอเบอร์หน่อยสิ”
“ขอทำไม ทำอย่างกับจะจีบ”
“ก็จีบน่ะสิ”เหมือนโลกมันค้างไปชั่วขณะ ถ้าเป็นหนังก็คงภาพรอบข้างหยุดนิ่ง มีเพียงนางเอกที่ทำท่าตกใจ ตาโต ส่วนพระเอกก็ทำหน้าจริงจัง แต่นี่มันไม่ใช่หนัง แถมยังเป็น พระ-นายอีกต่างหาก
“ปรัชญ์ นาย..”
“อย่า...อย่าเพิ่งพูด ให้โอกาสก่อน ได้มั้ย”สายตาแบบนี้มันทำให้ผมหลงใหลตั้งแต่เมื่อไร สายตาแบบนี้ มันทำให้ผม...ใจสั่นเล็ก ๆ
“ถ้าไม่ให้พูดแล้วผมจะให้โอกาสปรัชญ์ได้ยังไง”
“.......”
“....ผมให้โอกาส...”
แม้เราจะมาจากคนละมุม มาจากคนละที่ คนละสังคม เป็นเพียงคนที่เดินสวนไปสวนมา แต่อาจจะเพราะความบังเอิญที่นำพามาให้เราได้พบกัน
ไม่สิ ผมอยากจะเรียกมันว่า
“พรหมลิขิต”
คงต้องขอบคุณลุงคนนั้นที่ทำให้ผมได้มอบโอกาสนี้ให้กับเขา ถึงแม้ว่าจะไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นยังไงต่อ จะดีขึ้นหรือแย่ลง จะมีความสุขหรือความทุกข์ แต่ถ้าปัจจุบันผมทำเต็มที่ ผมจะไม่เสียใจภายหลัง
ผมให้โอกาสคุณแล้ว จะว่าผมใจง่ายก็ไม่ว่า แต่คุณต้องทำให้ผมรักคุณให้ได้นะ คุณปรัชญ์
Fin.