หลงที่ 22 : ครอบครัว [ยิม]
ผมกำลังนิ่งมองอดีตเพื่อนข้างห้องซึ่งขยับสถานะมาเป็นคนรู้ใจแล้วตอนนี้กำลังหลับคอพับคออ่อนคาโต๊ะหนังสือที่เต็มไปด้วยตำรับตำราทางวิชาการที่เข้าใจยาก มันเป็นภาพชินตาที่เห็นภาพหมออ่านหนังสือดึกดื่น ซ้ำในเวลากลางวันยังเต็มที่กับการเรียนและการราวน์วอร์ดในทุกๆเช้า
หมอปายขยันจนผมนึกระอาในความขี้เกียจของตัวเอง เพราะนอกจากการเรียนซึ่งไม่ได้ยุ่งยากเหมือนหมอแล้ว ผมก็มีแค่ทำโปรเจ็กต์ภาพถ่ายส่งประกวดเท่านั้นเอง มันเลยทำให้ผมมีเวลาว่างพอสมควรถึงขนาดมานั่งดูคนนอนหลับคาโต๊ะแบบนี้เป็นนานสองนาน
“ หมอครับ”
“.......”
“ หมอครับ” ผมเกลี่ยปลายนิ้วไปตามใบหน้าขาว “ลุกไปนอนในห้องดีๆเถอะครับ”
“ อื้ม”
หมอปายเริ่มขยับตัวแต่ดวงตายังปิดสนิท คิ้วเรียงสวยขมวดมุ่นเหมือนไม่สบายตัว
“ หมอปาย”
“ อืม”
ผมโน้มใบหน้าลงไปใกล้กับใบหน้าของหมอก่อนจะกดจูบที่ขอบปากสีชมพูอมส้มอย่างมันเขี้ยว ปฏิกิริยาตอบสนองของหมอก็รวดเร็วเหลือเกินเมื่อฝ่ามือคู่นั้นฟาดหัวไหล่ผมเต็มๆ
“ มึงแม่ง”
หมอขยี้ตาตื่นทำหน้าเคืองใส่ผมก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินสะโหลสะเหลไปล้มตัวลงนอนที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้อง ท่าทางครึ่งหลับครึ่งตื่นของหมอน่าดูไม่หยอก ยิ่งทรงผมชี้ฟูไม่เป็นทรงยิ่งทำให้หมอดูเด็กลงถนัด ผมมองภาพนั้นแล้วรู้สึกดีไม่น้อยที่หมอยอมที่จะละทิ้งท่าทีแข็งกร้าวภายนอก ให้เหลือแต่ท่าทางสบายๆแบบเป็นกันเองซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ผมหันกลับไปปิดโคมไฟที่โต๊ะหนังสือของหมอแล้วเดินไปปิดไฟทั่วห้องก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนอนเคียงข้างหมอ หมอหลับตาอยู่แต่สะลึมสะลือมือกอดหมอนนอนตะแคงข้าง ผมเลยสอดแขนไปรองคอให้หมอแล้วใช้มืออีกข้างกอดเอวหมอจากด้านหลัง
“ ทำไมไม่ไปนอนในห้องล่ะครับ”
“........”
หมอส่ายหัวใบหน้ายังซุกอยู่ที่หมอนแล้วตอบเสียงอู้อี้ “ เผื่อตอนตื่นเช้าจะไปใส่บาตร”
ช่วงนี้แม้หมอจะนอนดึกแค่ไหนแต่ก็ยังอุตส่าห์ตื่นไปใส่บาตรเพราะเหตุผลที่ว่าอาทิตย์นี้เป็นช่วงวันเกิดของมารดาผู้ล่วงลับซึ่งหมอยังไม่มีเวลาว่างไปทำบุญถวายสังฆทานอย่างที่ทำทุกๆปี หมอเลยตั้งใจว่าจะตื่นมาใส่บาตรทั้งอาทิตย์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้มารดา
บอกตรงๆว่าการกระทำของหมอดังกล่าวทำให้หมอรู้สึกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้ว่าหมอเป็นคนน่ารักและอ่อนโยนขนาดไหน ยิ่งได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกรักหมอมากขึ้นจริงๆ
“ อย่ามากอด กูร้อน”
โธ่หมอ ร้อนอะไรกันข้างนอกฝนตาปรอยๆทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นขึ้นจนต้องเพิ่มอุณหภูมิขึ้นขนาดนี้ ซ้ำหมอยังเอาผ้ามาคลุมแบบนี้ ยิ่งทำให้ข้ออ้างของหมอดูไม่น่าจะฟังขึ้นเท่าไหร่ นอกจากความคิดเห็นของผมที่คิดว่า ‘หมอคงจะเขินผมอยู่’
“ แต่ผมหนาว”
ผมเลยเอาคางไปวางที่ไหล่หมอก่อนจะสีไปมาชวนจั๊กจี้ หมอทำหน้ารำคาญก่อนจะพลิกตัวกลับมา
“ หนาวมากใช่มั้ย”
"ครับ”
“ ดี” หมอทำหน้าแสยะยิ้ม ก่อนจะกดศีรษะผมให้ซุกลงที่แถวๆจั๊กแร้และแผ่นอก ตอนนี้เลยเหมือนว่าผมกำลังนอนซุกอกหมออยู่
“ หมอ”
“ หุบปาก กูจะนอน”
“ ครับนอนก็นอน”
ผมนอนนิ่งได้สักพักฟังเสียงลมหายใจที่ขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอของหมอ มือของหมอข้างที่ผมซุกอยู่ถูกวางไว้บนศีรษะผม ซึ่งก่อนหน้านี้หมอขยับมือลูบไปมาราวกับกำลังกล่อมผมนอน คล้ายๆกับว่าหมอจะเข้าใจว่าคนในอ้อมแขนคือน้องปอซึ่งมักชอบมานอนซุกให้หมอกล่อมนอน
ในความมืดผมมองเห็นแต่เงาสลัวๆของเราทั้งสองที่นอนเคียงข้างกัน หัวใจผมรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกดีมากจริงๆที่เราอยู่เคียงข้างกันแบบนี้
“ ฝันดีนะครับหมอ”
ผมขยับไปจูบปลายคางอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาก่อนจะขยับมาซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของหมอตลอดทั้งคืน
.
.
สุดท้ายหมอก็ตื่นไม่ทันไปใส่บาตรครับ นั่นคงเป็นเพราะหลายวันมานี้หมออ่านหนังสือดึกแล้วต้องตื่นเช้าจนสุดท้ายร่างกายก็ไม่ไหว เมื่อได้พักผ่อนหลับสนิทในคืนที่ผ่านมาเลยหลับยาวจนตื่นมาอีกทีเกือบสิบเอ็ดโมง ดีว่าเป็นเสาร์อาทิตย์ผมเลยไม่ปลุกเพราะอยากให้หมอได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวแล้วผมก็ลุกขึ้นมาเตรียมอาหารกลางวันให้อีกฝ่ายซึ่งยังทำหน้ามึนกินโกโก้ร้อนอยู่ในครัว พอจัดการกับมื้อเที่ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมเลยพาหมอไปแวะถวายสังฆทานที่วัดแถวชานเมืองก่อนจะพาหมอไปรอรับครอบครัวผมซึ่งจะเดินทางมาถึงวันนี้ที่สนามบิน ตั้งแต่เช้าที่ผมเห็นหมอทำหน้าเครียดๆก็พอจะเดาออกว่าหมอกำลังขบคิดเรื่องอะไรในใจ
“หมอ”
“ อะไร”
ผมเลื่อนมือไปกุมมืออีกฝ่ายแล้วบีบเบาๆ
“ อย่ากังวลไปเลยครับ พ่อกับแม่ผมใจดี”
“ มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันเป็นเรื่องผิดปกติ”
“ ไม่คิดครับ”
ผมตอบยิ้มๆเพราะผมคิดแบบนั้นจริงๆมันจะผิดธรรมชาติยังไงในเมื่อมันเป็นแค่ความรู้สึก ‘รัก’ ของคนสองคน ถึงแม้จะเป็นความรักของเพศเดียวกันที่ไม่ได้เปิดเผยแพร่หลายมากนักในสังคม แล้วยังไงในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันเรียกว่า ‘ความรัก’ เหมือนๆกัน
หมอถอนหายใจแรงๆ “ มึงยังมีโอกาสเปลี่ยนใจนะ”
“ ผมขอใช้สิทธิ์ไม่เปลี่ยนครับ”
“ แน่ใจเหรอ”
“ แน่ที่สุดในชีวิตเลยครับ”
ผมสำทับแล้วบีบมือหมออีกที
“ จำคำพูดของมึงวันนี้ให้ดี”
“ ทำไมครับ”
ผมทำใจกล้าสบตากับหมอตรงๆ ก่อนที่ฝ่ายนั้นแสยะยิ้มมุมปากขึงตาใส่ “ วันไหนที่มึงผิดสัญญากูฆ่าหั่นศพมึงแน่”
หมอบีบข้อมือแรงๆก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างเหี้ยมโหด
*************************************************
[หมอปาย]
“ พี่ยิม”
...หืม...
“ พี่ยิมทางนี้”
ขณะที่พวกเรากำลังชูป้ายต้อนรับครอบครัวมันพอดีเสียงสดใสคุ้นหูก็ดังขึ้น ก่อนจะปรากฏร่างของสาวน้อยซึ่งได้มีโอกาสคุยกันผ่านหน้าจอมือถือ เด็กสาววัยเรียนตรงหน้ากำลังฉีกยิ้มสดใส ดวงตาคู่สวยกลมโต ริมฝีปากเป็นกระชับรับกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาบ่งบอกว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคงกลายเป็นสาวสะพรั่งและงดงามอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าตัวไว้ผมหน้าม้าส่วนผมที่ยาวสลวยซึ่งเคยปล่อยยาวถูกถักเป็นเปียเดี่ยวไว้ด้านหลัง
ใยบัวฉีกยิ้มดีใจก่อนจะโผเข้ากอดพี่ชายของตัวเองแล้วเจ้าตัวไม่รอช้าจูบแก้มซ้ายขวาของไอ้ยิ้ม มันหัวเราะแล้วทำกลับไปเช่นเดียวกันแต่เปลี่ยนจากหอมเป็นจูบหน้าผากน้องสาวสุดรักของมัน ทั้งคู่กอดกันกลมจนผมยิ้มตาม
“ กอดน้องแล้วก็มากอดพ่อกับแม่ด้วยสิยิม”
“ คุณพ่อคุณแม่สวัสดีครับ”
ยิมมันผละจากน้องสาวตรงเข้าไปสวมกอดและหอมแก้มผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งอยู่ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้เรียบแต่หรูและคลุมทับด้วยเสื้อคลุมไหมพรมเนื้อดีสีดำสนิท ใบหน้างดงามนั่นยิ้มกว้างทันทีตอนที่เอียงหน้าให้ลูกชายแสดงความรัก แวบแรกที่เห็นผมอดประหลาดใจไม่ได้ที่แม่ของไอ้ยิมถึงได้ดูสาวขนาดนี้ ซ้ำยังดูเป็นผู้หญิงทันสมัยที่คล่องแคล่วซะเหลือเกิน ท่าทางการเดินเหินก็ราวกับนางพญาทั้งสง่าและสวยอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนท่านทูตพ่อของมันคือชายวัยกลางคนที่รูปร่างสูงใหญ่ออกจากลงพุงนิดๆ แต่เพราะท่านสูงเลยมีรูปร่างใกล้เคียงกับผู้ชายไซค์ฝรั่งที่ตัวหนา แต่ถึงอย่างนั้นบุคลิกภายนอกก็ดูคล้ายกับผู้ใหญ่ใจดี เพราะใบหน้านั่นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนไอ้ยิมไม่มีผิด ไอ้ยิมมันโชคดีที่ได้ส่วนดีของพ่อกับแม่มาอย่างละนิดละหน่อย ดังนั้นเวลาที่ครอบครัวนี้ยืนอยู่ด้วยกันมันเลยไม่แปลกเลยที่ผมจะรู้สึกว่าเป็นครอบครัวที่ดูแล้วอบอุ่น
“ ยิมเป็นยังไงบ้างลูกสบายดีมั้ยลูก”
“ ครับ”
มันกุมมือแม่ที่ลูบเนื้อลูบตัวมันแล้วเขย่าเบาๆ “ แล้วพ่อกับแม่ล่ะครับสบายดีมั้ย”
“ ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกเพราะแม่เราบ่นคิดถึงเราให้พ่อฟังทุกวัน”
“ แหมคุณก็”
พ่อมันเอ่ยเย้าแม่ดูแล้วเหมือนรักที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันจนน่าอิจฉา ภาพเหล่านั้นทำให้ผมจุกในอกนึกอิจฉามันไม่ได้เพราะยิมมันโชคดีเหลือเกินที่มีครอบครัวแบบนี้
“ พ่อครับ แม่ครับ”
“ ว่าไงจ๊ะ”
“ ผมมีคนมาแนะนำให้รู้จักครับ”
“ ใครเอ่ย”
“ หมอ”
มันสะกิดไหล่ผมจนสะดุ้งโหยง พอเงยหน้าขึ้นจึงเห็นแววตาประหลาดใจของทั้งสาม และเป็นน้องสาวมันคนแรกที่ร้องออกมา “ พี่ปาย”
“ พี่หมอปายตัวจริงๆ ตัวเป็นๆใช่มั้ยคะ”
ว่าแล้วก็โผเข้ากอดผมเสียแน่น ศีรษะทุยสวยสีไปที่ต้นแขนเป็นกิริยาอออดอ้อนเหมือนปอไม่มีผิดจนอดใจไม่ไหวต้องยื่นมือลูบศีรษะน้อง
“ ครับ”
แล้วหันไปยกมือไหว้พ่อกับแม่มันซึ่งท่านทั้งสองก็ยิ้มรับด้วยความยินดี
“ เพื่อนยิมเหรอลูก”
“ ไม่ / ครับ”
ผมกับมันพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่มันจะหันมาทำหน้าล้อๆผมที่ไม่ยอมให้มันบอกสถานะที่แท้จริงระหว่างเรา ก็จะทำแบบนั้นได้ยังไงเมื่อท่านทั้งสองเพิ่งมาเหนื่อยๆเกิดมารับรู้เรื่องนี้แล้วช็อกขึ้นมาผมคงรู้สึกผิดไม่น้อย
“ ว่าแต่น้องบัวไปรู้จักพี่เขาได้ยังไง ดูสิกระโดดกอดพี่เขาอย่างสนิทสนมขนาดนั้นเชียวลูกคนนี้” น้องบัวยู่หน้า “ ความลับค่ะคุณแม่”
“ แก่แดดจริงยัยหนูบัว” แม่มันส่ายหน้า “ ว่าแต่เพื่อนยิมชื่ออะไรเหรอลูก”
“ ปายครับ”
“ พี่หมอปายค่ะคุณแม่” ใยบัวภูมิใจนำเสนอ
“ เรียนหมอเหรอลูก” แม่ทำหน้าประหลาดใจ “ ท่าทางดูเป็นเด็กเรียนขนาดนี้ไม่น่าจะมาคบกับจอมกระล้อนอย่างลูกแม่ได้นะ”
“ โธ่แม่ครับ”
มันโอดครวญจนผมเผลออมยิ้ม
“ เราเป็นเพื่อนข้างห้องกันครับ”
พ่อกับแม่มันสบตากันแวบนึงก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ อ๋อ อย่างนี่เอง”
“ ช่วงที่ยิมมากรุงเทพฯใหม่ๆคงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้พี่หมอไม่น้อยสินะ”
‘พี่หมอ’ สรรพนามที่แม่มันเรียกผมฟังแล้วชวนจั๊กจี้ แต่ก็ไม่อาจหาญที่จะท้วงติงเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“ ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”
ผมปฏิเสธทั้งที่การพบเจอกันในครั้งแรกเป็นความรู้สึกที่เรียกได้ว่าโคตรไม่ชอบขี้หน้าและมันก็สร้างเรื่องปวดหัวให้ผมไม่น้อยจริงๆ เหมือนที่แม่มันพูดนั่นแหละ
“ อะไรกันครับแม่” มันบ่นไม่จริงจังนัก “ ยิมออกจะน่าคบขนาดนี้”
“ จ๊ะน่าคบมาก”
แม่มันทำหน้าไม่เชื่อ แต่มันกลับหันมาขยับปากให้ผมเห็นเหมือนรู้กันสองคนว่า ‘มันน่าคบ’ และตอนนี้ ‘เราก็คบกันแล้ว’ ผมเลยขยับปากด่ามันทันที
“ อะไรกันสองคนนี้”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อแม่มันเดินมาโอบเอวผม “ ไปลูกแม่หิวแล้วไปกินข้าวกันดีกว่า”
มันพยักหน้ารับทราบเพราะก่อนหน้านี้มันโทรไปจองร้านอาหารแล้วเนื่องจากคาดว่าเมื่อมาถึงทุกคนในครอบครัวคงจะหิวกันพอดี
“ ผม”
“ ไปพี่หมอ ไปกินข้าวกับแม่”
“ เอ่อ ครับคุณน้า”
“ คุณน้าอะไรกัน เรียกแม่สิพี่หมอ แม่ได้ยินว่าตอนที่ยิมกลับมาใหม่ๆ เพื่อนข้างห้องดูแลเขาดีไม่น้อย แม่ต้องขอบคุณมากนะพี่หมอที่ช่วยดูแลยิม”
จริงๆแล้วเราห่างไกลคำว่าดูแลมากในตอนแรก ผมได้แค่คิดในใจไม่ได้พูดออกไป ยิ่งตอนนี้อยู่ตรงกลางขนาบข้างซ้ายขวาด้วยใยบัวและแม่มัน พอเอี้ยวหันกลับไปเห็นมันกำลังยิ้มขำผมอยู่ แล้วผละไปเข็นรถเดินคุยกับพ่อไม่คิดจะช่วยอะไรผมเลย
[ยิม]
ผมมีความรู้สึกว่าหมอปายดูจะเป็นขวัญใจของคนในครอบครัวผมซะแล้ว เพราะตั้งแต่ร้านอาหารจนกลับมายังคอนโดของผม ทุกคนโดยเฉพาะแม่กับใยบัวก็ยังติดพันบทสนทนากับหมอไม่หยุด จนพ่อผมหันมายิ้มให้ผมราวกับว่าท่านพอจะรู้อะไรบางอย่าง
ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังเดินออกมาจากตัวลิฟต์หลังจากที่อิ่มท้องมาจากร้านอาหาร วันนี้ครอบครัวผมตัดสินใจที่จะค้างที่คอนโดผมแทนการกลับบ้านของเราที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองซึ่งก่อนหน้านี้ผมจ้างแม่บ้านไปดูแลทำความสะอาดแล้ว แต่แม่และคนอื่นๆก็ยืนยันว่าอยากจะนอนกับผมที่นี่สักคืนก่อน ซึ่งมันก็ดีไม่น้อยเพราะนานมากแล้วที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้
“ ห้องพี่หมออยู่ข้างๆนี่เองเหรอลูก”
แม่ผมถามเมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าห้อง
“ ครับ”
“ ดีเลย คืนนี้พี่หมอมานอนคุยกับแม่มั้ยลูก”
“ เอ่อ”
หมอปายทำเสียงอึกอักเมื่อแม่ผมถามยิ้มๆ แต่ท่าทางไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธเลย
“ คุณเอ่อ คุณแม่ มาเหนื่อยๆพักผ่อนให้สบายดีกว่ามั้ยครับ”
“ ไม่หรอก”
คุณหญิงนิตยาเขย่ามือหมอเบาๆ “ เพิ่งมาถึงแม่ยังปรับตัวให้นอนตามเวลาบ้านเราไม่ได้หรอกเนอะพ่อเนอะ” หันไปขอความเห็นจากบิดาที่ยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี “ พี่หมอมานอนคุยเป็นเพื่อนแม่ด้วยกันคืนนี้นะลูก”
“ นะคะ”
คราวนี้ใยบัวกอดแขนหมดเสียแน่น หมอทำหน้าไม่ถูกกันมาขอความช่วยเหลือจากผม แต่ผมก็ได้แต่ยักไหล่เพราะว่าลองแม่ได้เอ่ยปากแล้วล่ะก็ผมยากที่จะทัดทานเหมือนกัน ขนาดท่านทูตใหญ่อย่างพ่อยังไม่ค่อยอยากเอ่ยขวางอะไรเลย คิดดูสิว่าแม่ผมมีอิทธิพลขนาดไหนในบ้านเรา
“ นะลูก คืนนี้มานอนกับแม่นะ”
“ ครับ”
สุดท้ายแล้วหมอก็รับคำเสียงอ่อย ก่อนจะขอแยกตัวไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องก่อน แม่ยิ้มกริ่มทันทีเมื่อได้รับคำตอบที่ถูกใจก่อนจะเดินเข้าห้องไป ผมนึกตงิดๆในใจตอนที่แม่กับใยบัวเดินกระซิบกระซาบกันเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้ผมกับพ่อไม่แต่มองตากันปริบๆ ก่อนจะช่วยกันรื้อกระเป๋าเสื้อผ้าซึ่งก่อนหน้านี้ทางสถานทูตไทยส่งรถมารับ พ่อเลยให้ขนมาเฉพาะกระเป๋าเดินทางจากสนามบินมาไว้ที่นี่ก่อน
จริงๆแล้วพ่อบอกว่าตอนแรกจะมีข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศมาต้อนรับแต่ท่านต้องการความเป็นส่วนตัวและอยากใช้เวลากับครอบครัวมากกว่า เพราะถึงยังไงสิ้นเดือนนี้ก็มีงานเลี้ยงเกษียณอายุราชการของพ่ออยู่ดี ผมชินซะแล้วเพราะพ่อเป็นคนสบายๆไม่มีพิธีรีตองอะไร แม้จะดำรงตำแหน่งสูงใหญ่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ แต่เวลาที่อยู่กับครอบครัวพ่อเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ และมันทำให้ผมกล้าพอที่จะเปิดปากเล่าทุกเรื่องของผมให้ท่านฟัง
“ นี่ครับพ่อ”
ผมยื่นน้ำเปล่าเย็นๆให้ตอนที่พ่อถอดสูทสากลออกซ้ำยังพับแขนเสื้อขึ้นให้ดูสบาย
“ ขอบใจลูก”
พ่อรับแก้วน้ำขึ้นดื่ม “ เป็นยังไงบ้างฮึเรา พอได้มาอยู่คนเดียวแบบนี้”
“ แรกๆก็ปรับตัวยากเหมือนกันนะครับ มาอยู่ในที่ใหม่ๆก็ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะ”
ใบหน้าที่มีริ้วรอยของกาลเวลาขยับยิ้ม
“ สิ่งเหล่านั้นมันจะทำให้ยิมโตขึ้น”
“ ครับผมจำได้ว่าตอนอยู่ที่โน่นผมต้องไปโรงเรียนด้วยรถไฟประจำ ทั้งๆที่ก็มีรถของสถานทูตมาคอยให้บริการ ตอนนั้นยังนึกน้อยใจพ่อว่าทำไมถึงไม่ให้ผมใช้ชีวิตสบายๆเหมือนลูกทูตคนอื่นๆบ้าง”
พ่อหัวเราะ
“ เป็นลูกทูตหรือลูกคนธรรมดาก็คนเหมือนกัน ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน ถ้าพ่อหยิบยื่นความสะดวกสบายให้ยิมจนเคยตัว เราก็จะไม่รู้ว่าชีวิตนอกบ้านที่ไม่มีพ่อกับแม่มันเป็นยังไง ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ที่จะทำอะไรด้วยตัวเองเพราะชินชากับความสะดวกสบายที่พ่อแม่ประเคนให้ แล้วถึงวันนั้นยิมจะไม่มีวันเติบโตและเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้”
“ ครับผมเข้าใจ”
ผมอดยิ้มนึกถึงคำสอนของพ่อที่ได้ยินมาตั้งแต่เล็กๆ “ พ่อบอกผมเสมอว่าลูกผู้ชายที่แท้จริงคือคนที่พร้อมจะเอื้อเฟื้อให้กับผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าและต้องเป็นที่พึ่งพาให้กับคนที่รักได้”
ท่านหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบาๆ “ มันคือความรู้สึกภาคภูมิใจที่เราสามารถเป็นที่พึ่งให้กับที่คนเรารักได้”
‘ที่พึ่ง’ ที่คอยกุมมือหมอให้หลับสนิทในวันฝนพรำ
‘ที่พึ่ง’ ยามที่หมอหมดเรี่ยวแรงและเติมรอยยิ้มให้กำลังใจกัน
‘ที่พึ่ง’ เวลาที่หมอมักคิดว่าตัวเองไม่มีใคร
และเป็นที่ ‘พักใจ’ เพื่อให้รักของเราก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
“ ยิ้มแบบนี้แสดงว่ายิมเป็น ‘ที่พึ่ง’ ให้เขาคนนั้นได้แล้วสิ”
ผมนึกเอะใจตอนที่พ่อพูดว่า ‘เขา’ แต่ยังไม่ถามกลับไปพอดีเสียงเรียกของแม่ให้ไปช่วยดูอะไรสักอย่างพอดี พ่อเลยผุดลุกขึ้นไปหาทันที
“ จ๊ะแม่”
พ่อรับคำแม่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรักที่แฝงอยู่ในกระแสเสียงนั้น ความรักของพ่อที่มีให้แม่และครอบครัวทำให้ผมรู้สึกศรัทธาและผมคิดว่าผมอยากเป็นแบบพ่อ อยากเป็นคนดูแลและเป็นที่พึ่งให้กับคนที่รักให้ได้
.
.
.
...ออด...
เสียงออดหน้าประตูดังขึ้นตอนที่เรานั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่กลางห้อง ผมเลยลุกไปเปิดประตูรับหมอซึ่งพร้อมอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วไม่ต่างจากพวกเรา แต่หมอคงจะแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพห้องนั่งเล่นที่บัดนี้ราบเรียบเพราะผมกับพ่อยกโซฟาไปวางไว้รอบๆห้อง แล้วลากฟูกมาปูนอนเรียงอยู่กับพื้น
“ ทุกครั้งที่พวกเราต้องห่างกันไปไกลๆ พอกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเราจะหอบที่นอนมานอนรวมกันแบบนี้แหละครับ”
ผมอธิบายให้หมอฟังกับสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า หมอยิ้มน้อยๆเมื่อแม่กวักมือเรียกให้ไปใกล้ๆ
“ พี่หมอ”
“ ครับ”
“ คืนนี้นอนพื้นกันนะลูก ไม่รู้ว่าพี่หมอจะนอนได้รึเปล่า แต่แม่ปูผ้าห่มหลายชั้นนะรับรองว่านิ่มไม่ต่างจากเตียงเลยเชียว”
“ น่าอบอุ่นดีนะครับ” หมอพึมพำ
“ เมื่อก่อนพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ยิมกับใยบัวมากนัก กลับจากงานที่สถานทูตทีไรสองพี่น้องนี่ก็นอนกอดกันกลมแล้ว” แม่เล่าขำๆ “ เห็นแล้วสงสารตั้งแต่นั้นมาถ้าใครไปธุระไกลๆหรือไปงานหลายวัน เราจะมีข้อตกลงกันว่าต้องมานอนรวมกันจนกว่าจะหายคิดถึง”
“ แบบนี้ใช่มั้ยคะ”
ใยบัวถลากมานอนหนุนตักแม่ทันที แม่เลยได้แต่ส่ายหัว ถึงอย่างนั้นมือคู่นั้นของแม่ก็ลูบศีรษะน้องสาวผมเบาๆ ภาพนั้นทำให้ผมนึกอยากอ้อนแม่ขึ้นมาเหมือนกันเลยเนียนไปแย่งตักแม่นอนเบียดเจ้าแสบจนเด็กนั่นโวยวายเคล้าเสียงหัวเราะของพ่อ
“ พี่หมอ”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อแม่อุทานเสียงดังลั่น ซ้ำยังขยับไปใกล้คนของผมแทบจะทันทีทำให้ผมกับใยบัวผุดลุกหนีแทบไม่ทัน
“ ขอโทษครับ”
หมอพึมพำเสียงแหบพร่า
“ ร้องไห้เหรอลูก” น้ำเสียงแม่อ่อนโยนทำเอาหมอหรุบตามองพื้น “ เป็นอะไรบอกแม่ได้นะพี่หมอ”
หมอส่ายหน้า “ พอดีฝุ่นมันเข้าตาเลยเคืองๆครับ” สีหน้าแววตาหมอดูฝืดเฝื่อน “ ว่าแต่ครอบครัวของคุณแม่ดูอบอุ่นดีนะครับ”
แววตาของหมอโคตรน่าสงสารจนผมรู้สึกใจหายขณะที่กำลังจะขยับไปปลอบ แม่ก็อ้าแขนออกกว้างพร้อมกับยิ้มรอท่า
“ไหนมาให้แม่กอดทีซิ”
หมอทำหน้าอึ้งแววตาคู่นั้นสั่นระริกเป็นกิริยาที่ผมนึกเอ็นดูอย่างประหลาดใจ
“ ขยับไปสิคะพี่หมอ”
ใยบัวดันหลังหมอให้ขยับเข้าไปใกล้แม่ก่อนที่แม่จะโอบกอดหมอแล้วลูบไล้แผ่นหลังนั้นเบาๆ แล้ววงแขนของหมอจึงค่อยๆโอบรัดแม่แล้วซุกใบหน้าที่ลำคอ ผมสัมผัสได้ว่าหมอกำลังตัวสั่น
“ นิ่งซะนะ”
แม่ปลอบเสียงอ่อนโยน “ พี่หมอกอดแม่ให้แน่นขึ้นสิ ให้เรารู้สึกว่า ‘แม่’ อยู่ตรงนี้”
“ ขอบคุณครับ”
เนิ่นนานกว่าหมอจะหลุดคำขอบคุณด้วยเสียงแหบพร่า
“ ไม่เป็นไรแล้วน้า”
“ ครับ”
เมื่อหมอยกมือไหว้แม่แล้วเลยไปที่พ่อซึ่งนั่งยิ้มรอท่าอยู่
“ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนตกใจนะครับ”
“ ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะพ่อ” แม่หันไปถามพ่อ
“ เอาล่ะ เมื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วเรามาเล่นเกมกันดีกว่า”
ใยบัวทำตาเป็นประกายก่อนจะฉวยเอาเกมเศรษฐีออกมาวางกลางวง ท่าทางมีเลศนัยนั่นทำเอาทุกคนหัวเราะขำ
“ อะไรกันตัวแสบ”
“ กติกาง่ายๆใครแพ้ถูกทำโทษ”
“ ด้วยวิธีไหน”
ผมถามพอดีพ่อลุกไปหยิบขวดไวน์ซึ่งหอบมาจากต่างประเทศ
“ อะไรกันน่ะพ่อ”
“ ไวน์แดง” ใยบัวตาเป็นประกายจนแม้ค้อนให้ “ ใครแพ้ดื่มตาละแก้ว”
“ พ่อเอาของแบบนี้มาใช้ลงโทษได้ยังไงคะ ใยบัวยังเด็กแม่ไม่ให้ลูกดื่มหรอก”
“ โธ่แม่คะทีพี่ยิมยังแอบกินตั้งแต่สิบสามเลย ตอนนี้หนูสิบเจ็บแล้วนะคะ”
นั่นย้อนผมเข้าจนได้ ดูสิแม่ทำตาเขียวใส่ผมอีกคนเลย
“ เอาน่าแม่ อย่างน้อยถ้าลูกเมาก็ยังมีพ่อกับแม่คอยดูแลนะ ดีกว่าไปอยากรู้อยากลองนอกบ้านเพียงลำพังนะแม่” พ่ออธิบายมือก็โยกศีรษะยัยแสบไปด้วย
“ นะคะแม่” ใยบัวอ้อนแม่
“......”
“ นะคะ”
“ แม่จ๋า”
“ ก็ได้”
แม่พยักหน้ารับ “ แม่เห็นว่าพ่อกับยิมอยู่หรอกนะ แล้วอย่าริอาจไปลองเองลับหลังแม่ล่ะ”
“ ครับป๋ม”
พอตัดปัญหาเรื่องนี้ได้พวกเราก็เริ่มสนุกสนานกับเกม ผมเลยเหลือบตามองใบหน้าของหมอที่ดูจะตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
“ เล่นด้วยกันนะครับ”
“ อืม”
ขณะที่คนในครอบครัวกำลังจดจ่ออยู่ในกระดานเกม ผมเลยขยับไปกุมมือหมอเอาไว้จนฝ่ายนั้นรู้สึกตัว
“ หมอครับ”
“ อะไร”
“ นอกจากผมแล้วหมอยังมีครอบครัวของผมนะครับ”
ผมกระชับฝ่ามือแล้วบีบเบาๆ
“ อืม”
“ เย้”
ผมกับหมอสะดุ้งโหยงถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ปล่อยมือจากกัน ก่อนจะมองไปยังต้นกำเนิดเสียงคือยัยเด็กแสบที่ดีใจเสียเต็มประดาที่ตัวเองแพ้ตาแรกเพราะนั่นหมายถึงเจ้าตัวแสบจะได้ดื่มของมึนเมา พ่อหัวเราะขำมือก็รินไวน์แดงใส่แก้วขณะที่แม่ทำหน้ามุ่ยไม่ชอบใจนักแต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็มองเด็กแสบด้วยความเอ็นดู
ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มี ‘ครอบครัว’ และ ‘ หมอปาย’
ผมโชคดีจริงๆที่ได้เห็นรอยยิ้มหมอในระยะใกล้ชิดแบบนี้
โย่ว โย่ว ครอยครัวสุขสันต์มั้ยล่ะตอนนี้ คนมีความสุขก็เงี้ยยิมปายไม่ได้กล่าว เค้ากล่าวเอง ฮ่าๆๆๆๆๆ
ตักตวงความสุขกันให้พอ (หัวเราะด้วยความร้ายกาจ อิอิอิ)
หนึ่งความคิดเห็นคือหนึ่งกำลังใจนะจ๊ะ จุ๊บๆๆๆ