# 3
ผิดนัด…
เรื่องนี้แค่พูดชื่อ…ก็ผิดแล้ว
แต่ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากผิดนัดหรอกใช่ไหม?
ผมเองก็ไม่อยาก แต่โลกมันไม่ได้หมุนอยู่รอบตัวเรานี่หว่า แม่งมีปัจจัยอะไรตั้งเยอะแยะ…ควรทำยังไงดี?
[พอมึงส่งงานเสร็จ มึงก็ยังมีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่ากู]
“เจ มึงเข้าใจกูหน่อยนะ นี่มีตครั้งสุดท้ายในชีวิตมหาลัยกูแล้วอ่ะ”
[…แล้วมึงเข้าใจกูบ้างไหมวะ]
“กูขอโทษ”
[แล้วมึงก็เพิ่งมาบอกกูเอาวันนี้]
“กูเพิ่งส่งงาน กูลืม…กูขอโทษ”
[มึงก็ลืมแม่งทุกอย่าง]
“กูผิดเองเรื่องนี้ แต่เพื่อนกูไปกันหมดทั้งภาคเลย…มึงไปกับกูเหมือนปีที่แล้วก็ได้”
[มึงพูดแบบนี้ นี่มึงไม่รู้ใช่ไหมว่ากูส่งงานบ่ายวันศุกร์ แล้วมึงเดินทางเช้าวันศุกร์ กูจะไปไง?]
“มึงส่งศุกร์ งั้นก็พอดีปะวะ วันพฤหัสมึงก็ทำงานให้เต็มที่ไปก่อนเลยไง…นะ”
เสียงระบายลมหายใจหนักๆดังมาจากปลายสาย
[ใช่ไงมาย ขนาดกูส่งงานศุกร์ กูยังมีเวลาไปเจอมึง กูยังมีเวลาให้มึง แล้วมึงล่ะสนใจกูปะวะ!]
“คือ เจ-”
เฮ้ย?! ตัดสายอีกแล้ว??? ผมอ้าปากค้างเมื่อเสียงสัญญาณดังตัดเสียงพูดผม…อีกแล้ว!!!
ผมหยุดโทรหามันหลังจากสายที่3ตัดไปแบบที่ปลายสายไม่รับ…เหนื่อยชิบหาย
“เฮ้ยมาย กลับเลยปะวะ? เฮ้ย! มึงร้องไห้ไมวะ?” ไอ้วิวที่เดินมาทักผมในทีแรก ทำหน้าตกใจทันทีที่สบตากัน มันรีบพูดรัวๆอย่างรีบร้อน
“ไม่มีไร” ผมปาดน้ำที่ข้างแก้มลวกๆ
“เชี่ยมาย มึงเป็นไร” มันเดินตามมาจับไหล่ผม แบบที่ผมก็สะบัดออกทันทีอย่างไม่ตั้งใจ
“โทษที กูขออยู่คนเดียวสักพัก เดี๋ยวกูกลับละ เจอกันมะรืนนี้ตอนเช้า”
ผมเดินหนีออกมาทันที ไม่ได้หันไปมองหน้าไอ้วิวอีก
ไม่อยากให้ใครเห็นตอนร้องไห้…
ผมกับเจไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่สายนั้นตัดไป
เจไม่รับโทรศัพท์ผม ไลน์ก็ไม่ตอบ…ผมเองจากที่ตั้งใจว่าจะไม่โทรไปอีก เวลาก็ผ่านไปนานจนตัดสินใจโทรใหม่ และพอโทรไปสักพักก็ตัดสินใจอีกว่าจะไม่โทรแล้ว แต่พอผ่านไปอีกนิดก็โทรไปอีก
วนไปวนมาแบบนี้จนจะข้ามวัน…
เจก็ยังไม่รับ “ฮัลโหล” ผมตัดสินใจโทรหาไอ้เนม
[ว่าไงมึง]
“มึง…เดี๋ยวกูจะกลับกรุงเทพ”
[เฮ้ย?! ตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ]
“เออ…เจมันไม่รับโทรศัพท์กู”
[เชี่ย มึงใจเย็นก่อน แล้ววันศุกร์ไม่ไปแล้วเหรอมีตติ้ง]
“กูไม่รู้…ถ้าเคลียร์เสร็จกลับมาทันก็ไป”
[มายมึงอย่าเพิ่งใจร้อนดิวะ ป่านนี้รถตู้หมดไปหลายชั่วโมงแล้ว]
“กูร้อน ไม่รู้อ่ะกูเหมาแท็กซี่ไปถึงบ้านเจไม่น่าเกินตี3 ยังไงกลับพฤหัสกลางคืนก็ได้”
[จะดีเหรอวะ มึงรอมันรับโทรศัพท์ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ]
“ไม่ดี กูรอไม่ไหว รอมาจะหมดวันแล้ว…คราวนี้กูเป็นคนผิด กูส่งงานแล้วกูไปได้”
ปกติผมจะไม่ง้อนะถ้าผมไม่ผิด…แต่คราวนี้ผมผิดจริง
[เอางั้นเหรอวะ…ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม]
“ไม่เป็นไร นี่กูเก็บของอยู่เดี๋ยวจะออกไปละ”
[งั้นมีไรมึงโทรหากูนะ ไลน์ทะเบียนรถมาให้กูด้วยละกัน]
“เค แต้งนะมึง”
พอวางสายผมก็ออกไปเรียกแท็กซี่ ยืนรออยู่นานกว่าจะได้รถ ดีที่ได้พี่ยามยืนเป็นเพื่อน
รถไม่ติด…วิ่งฉิว ไม่ถึงตี3ผมก็มายืนอยู่หน้าบ้านเจ…
อย่าถามว่าค่าเสียหายที่จ่ายให้พี่โชเฟอร์ไปเท่าไหร่...เจ็บปวดมาก
แต่ประเด็นคือมันยังไม่รับโทรศัพท์…ไลน์ก็ไม่ตอบ…ไม่อ่านด้วย
ทำไงดีล่ะ? ยุงก็เยอะชะมัด ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ริมรั้ว ตบแขนตบขาไปมาเพราะยุงบินมาเกาะไม่หยุด
RrRrrRrrRrr
RRRrrrrrRrrr ผมสะดุ้งนิดนึงตอนโทรศัพท์สั่น รีบหยิบขึ้นมาดูคิดว่าน่าจะเป็นเจ แต่…
‘I’Name’ “เออมึง”
[ว่าไงเจอกันยังวะ]
“มันไม่รับโทรศัพท์หวะ ไลน์ไปไม่อ่านด้วย”
[อ้าวเชี่ย แล้วนี่มึงอยู่ไหน]
“หน้าบ้านมัน”
[ตี3ครึ่งแล้วนะ มึงกลับบ้านมึงก่อนดีกว่าปะวะ]
“ไม่รู้หวะ เอาไงดีวะเนี่ย กลับเวลานี้แม่ต้องว่าแน่เลย”
[กลับ! เดี๋ยวก็โดนปาดคอหรอกสัด]
“แต่บ้านกูไกลจากนี่อ่ะ…อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว รอดีกว่าไหมวะ”
[มาย มึงอย่าให้กูด่า]
“เดี๋ยวดิวะ ขอกูคิดก่อน” ผมเงยหน้ามองหน้าต่างบ้านเจที่ตอนนี้มืดสนิท…
ปกติมันทำงานโต้รุ่งประจำนี่น่า…ทำไมไฟไม่เปิด
“กูว่ามันไม่อยู่บ้านแน่เลยอะมึง”
[ไมวะ]
“ไฟห้องมันปิดอ่ะ ปกติมันทำงานทั้งวันทั้งคืน”
[มันเผลอหลับเปล่า]
“งั้นก็ต้องไม่ปิดไฟดิวะถ้าเผลอหลับ”
[เออจริง…เออมาย!]
“อะไร! เชี่ย ตะโกนทำไมเนี่ย ตกใจหมด”
[มึงไปร้านเฮียโกดิ ที่เลยบ้านเจไปนิดเดียว ไปนั่งรอเช้าไป]
“เออหวะ กูลืมเลย ใจมากมึงงั้นเดี๋ยวกูไปนั่งกินข้าวต้มรอ”
[ไงมึงโทรหากูด้วยละกัน กูขอนอนรอนะ ง่วงไม่ไหวแล้วหวะ]
“เออ เดี๋ยวกูไปขอเฮียโกนอน”
[มึงก็ฟิตสัด ส่งงานเสร็จก็บึ่งไปกรุงเทพเลย ไม่หลับไม่นอน น็อคมานี่กูไม่ไปเยี่ยมนะ]
“ไปหลับไป บ่นกูจัง”
[เออ ดูแลตัวเองฟาย]
ผมรับคำเนมแล้ววางสาย มองขึ้นไปที่หน้าต่างมืดๆของห้องไอ้เจอีกครั้ง ถอนหายใจยาวๆ กดส่งไลน์หามันใหม่ก่อนจะเดินออกจากซอย
::กูมารอมึงหน้าบ้าน แต่มึงไม่รับสายกูเลย::
::ไปรอมึงที่ร้านเฮียโกนะ::
::มึงหลับเหรอ?::
::กูรอมึงตื่นก่อนก็ได้::
::ถ้าอ่านแล้วตอบกูหน่อยนะ:: “มาย…เจ้ามาย”
“อือ…”
“6โมงครึ่งแล้ว ข้าปิดร้านเสร็จแล้ว เอ็งจะไปหาเจ้าเจมันไหมเนี่ย?”
“เฮ้ย ไปครับๆ ขอบคุณมากครับเฮีย ผมไปก่อนนะ” พอตั้งสติได้ ลืมตามาก็เจอเฮียโกยืนท้าวเอวปลุกผมอยู่ ผมละล่ำละลักพูดแล้วลุกยืนยกมือไหว้เฮียแก ก่อนจะก้าวยาวๆออกจากร้าน
เมื่อคืนมานั่งกินข้าวต้มโต้รุ่ง นั่งคุยกับเฮียโกจนเกือบเช้า เผลอฟุบหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ผมออกจากร้านโดดขึ้นรถมอไซด์รับจ้าง แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดแชท
มันยังไม่อ่าน… ผมมายืนอยู่หน้าบ้านมันอีกครั้งด้วยอาการหงุดหงิดที่ก่อขึ้นในใจเล็กน้อย…เอาไงดีวะกู
“อ้าว ลูกมาย!” คิดหงุดหงิดได้ไม่นานเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น เงยหน้ามองก็เจอแม่เจยืนอยู่หน้าประตูด้านใน
“อะ แม่หวัดดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ แล้วยิ้มให้แม่เจที่กำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ว่าไงสุดหล่อ มาแต่เช้าเลย มาหาเจเหรอจ๊ะ?”
“ครับแม่ เจตื่นยังอ่ะครับ”
“อ้าว มายไม่ได้โทรหาเจก่อนเหรอจ๊ะ เจไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เห็นบอกไปนอนบ้านเพื่อน ขนอุปกรณ์อะไรไปด้วยเยอะแยะ”
“…เหรอครับ” ผมเผลอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
“เข้าบ้านก่อนไหมลูก?”
“อ้อ…ไม่เป็นไรครับแม่ เดี๋ยวมายกลับแล้ว”
“เหรอจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นไว้เจกลับมาแล้วแม่บอกให้นะ ไว้มาบ้านอีกนะลูก”
“ครับแม่ หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้แม่เจอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากซอยมาช้าๆ กดโทรศัพท์หาเจอีกครั้ง…ปิดเครื่องไปแล้ว
ผมกำหมัดแน่นระงับอารมณ์อยู่พักนึงถึงกดโทรศัพท์หาไอ้เนมต่อ แต่ไม่รับสงสัยยังไม่ตื่น
ผมเลยนั่งแท็กซี่ไปเซนปิ่นเพื่อนั่งรถตู้กลับหอ…รอจน10โมง รถถึงออก
บอกอารมณ์ไม่ถูกเลย “มายเอาปะ” แก้วกาแฟเย็นถูกยื่นมาตรงหน้า
“แดกเลยไอ้เนม ไม่ใช่ช่วงโปรเจคกูไม่แตะ”
คนมีน้ำใจ(?)ยิ้มเล็กน้อย ตบบ่าผมเบาๆ
“หรือจะเอาแฮงเปล่า ซื้อมาเผื่อ”
“ไม่เอาอ่ะ’
“มึงนอนก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวถึงแล้วกูปลุก” เนมมันว่า…ถึงมันจะปากหมาแค่ไหนแต่เวลาผมมีปัญหามันไม่เคยซ้ำเติมหรือทิ้งผมเลยสักครั้ง
เมื่อวานผมกลับมาถึงตอนเที่ยงๆก็รุดไปหามันที่ห้องทันที กินเบียร์กันจนค่ำ ไม่สิ…ผมกินคนเดียว
พอเช้าปุ๊ปก็โดนมันลากลงจากเตียงมาขึ้นรถไปมีตติ้งที่หน้าคณะแบบมึนๆ
ผมยิ้มรับแล้วหยิบหูฟังยัดใส่หูทั้ง2ข้าง เบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดโฟกัส
11โมง รถเคลื่อนตัวออกมาจนครึ่งทางแล้ว…จุดหมายไม่ใกล้ไม่ไกล
ชะอำ “กูนอนเตียงนี้นะ”
“กูขอนอนกลาง”
“ไม่เอากูกลัว”
“ไอ้เนม! มึงกลัวเป็นคนเดียวเหรออออ”
“มึงก็เอาหมอนไปวางข้างๆดิวะมาย”
“ไม่! มึงแหละไปนอนริมโน้น”
“งั้นมึงก็ไปนอนเตียงโน้นดิ”
“ไม่เอาไอ้อู๋แม่งนอนดิ้น”
“งั้นมึงก็เขยิบไป!”
“ไม่!”
“กูก็ไม่!”
“พอๆเดี๋ยวกูนอนริมนี้ แล้วให้ไทน์นอนริมนั้น”
ระหว่างที่ผมกับเนมกำลังเถียงกันสุดใจ และถีบไล่กันออกจากกลางเตียง วิวก็เอ่ยปากขึ้นให้การกระทำทั้งหมดชะงักกลางอากาศ
“เออดี” เนมมันว่าแล้วลุกขึ้นดื้อๆ ดิ่งไปที่กระเป๋าเดินทาง รื้อข้าวของออกมาวางระเกะระกะ
“มึงไปเก็บของอะไรก็ไปเก็บเหอะ” ไอ้วิวหันมาพูดกับผม
“เดี๋ยวกูนอนก่อน” ผมว่าแล้วทิ้งหัวลงหมอน “ว่าแต่รถแม่งขับช้าชิบหาย ชะอำครั้งที่แล้วขับมาไม่เกิน2ชั่วโมง นี่แม่งลากยาวมาบ่าย เพิ่งถึง!”
“บ่นๆ นอนไปมึงอ่ะ” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน…ก่อนจะดับสติตัวเอง
“ย…มาย…ไอ้มาย”
ผมปรือตามองต้นกำเนิดเสียงที่รบกวนการนอน…ไอ้เนม?
“อืออ…ไรวะ?”
“ผัวโทรมาแล้ว”
มันยื่นโทรศัพท์มาให้พอมองหน้าจอถึงได้เห็น ‘3 missed call’
ผมลังเลไปสักพัก…ไม่อยากโทรกลับเลย…ยังรู้สึกโกรธๆอยู่
“…”
“เป็นไรวะ” พอเห็นผมวางโทรศัพท์แล้วนั่งหน้าบึ้ง ลิงเผือกอย่างไอ้เนมมีเหรอจะพลาด
“แม่งไม่รับอีกแล้วหวะ”
“มันไปทำไรแล้วเปล่า ไว้ค่อยโทรดิ ลงไปกินข้าวเย็นเหอะเดี๋ยวจะได้ไปเปิดฟลอร์” มันว่าแล้วส่ายก้นกวนตีนมาให้
ผมก้มมองนาฬิกาที่โทรศัพท์แล้วก็ต้องตกใจ…ทุ่มกว่าแล้ว
นี่นอนไปนานขนาดนี้เลย?
บรรยากาศที่คุ้นเคย…
งานมีตติ้งภาคเป็นอะไรที่มันส์ที่สุดแล้ว ปี1จนถึงปี4รวมไปถึงพี่ๆที่จบไปแล้วของภาควิชาผมจะมารวมตัวกันเยอะจนตาลาย
พอเริ่มมืดเริ่มดื่มเริ่มเต้น การเข้าหากันก็จะเป็นไปได้ง่ายมาก ชนิดที่ปกติง่ายแบบไหนให้คูณไปสิบเท่า รู้จักกันง่ายๆสนิทกันง่ายๆ อารมณ์แบบนี้โคตรสบายใจ
“เฮ้ยมาย!” เสียงคุ้นๆ ใครเรียกวะ?
“พี่คิน! หวัดดีครับพี่ โหย ไม่ได้เจอพี่อย่างนานอ่ะ” สายรหัสผมเองครับ จบไป3ปีแล้ว พี่แกนิสัยดีมาก ขยันเลี้ยงเหล้ายาได้ตลอด
“เออดิเป็นปีละ กูไปสร้างรากฐานที่มั่นคงมาเว้ย”
“รวยแล้วดิ เลี้ยงน้องหน่อย”
“เออๆ อยากแดกไรบอก กูเอาเตากุมา ไปแจมได้” พี่แกว่าแล้วพยักหน้าไปทางซ้าย หันไปมองเตาอย่างใหญ่ครับท่าน!
“พี่แม่งคูลตลอด”
“เออ กูไปละ เมียหายขอหาก่อน” พูดติดตลกไว้แล้วก็จากไป
ผมมองไปก็เจอไอ้เนมกำลังเดินเซมาทางผมพอดี
“มายยย”
“ไรมึง”
“กูจะไปแจมกุของพี่คิน ไปกับกูป๊ะะะะ”
“โนหวะ เอาเลย”
“ไรวะ อ่อนสัด”
“หึ”
ขืนไอ้เจรู้กูได้โดนด่ายับ “เออ ไปเหอะพ่อคนแข็ง”
“ยาวด้วยนะ ไม่ได้แข็งอย่างเดียว”
“สัด” ผมหัวเราะให้กับมุกเสื่อมๆของมัน
“เออยืมมือถือหน่อยดิ” มันว่าแล้วแบมือ
“ทำไรวะ?”
“จะโทรหาแฟน แบตหมด”
“เออๆ”
ผมล้วงมือถือแล้วจะยื่นให้มัน…มองโทรศัพท์นิ่งไปนิด…จนป่านนี้เป็น10สายแล้ว เจมันก็ยังไม่รับ
“เก็บไว้กะมึงก่อนแล้วกัน” ผมว่า
“ครับพี่” มันรับคำกวนๆแล้วดิ่งไปทางเตาบารากุของพี่คิน
ตอนนี้เพื่อนในกลุ่มกระจัดกระจายตามแรงเบียร์กันหมดแล้ว ผมเต้นจนหมดแรง…อยากจะพักสักนิด
แต่คิดได้ไม่ทันไรก็โดนไอ้ไทน์ล็อคคอลากไปร่วมวงต่อ
โอยยย…ร่างกายกูขับแอลกอฮอลไม่ทันแล้ววว
กระป๋องเบียร์เปล่าๆปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป
เพลงจากที่ตื๊ดๆชนิดผับยังอาย ค่อยๆเบาลงจนเป็นคลอเอื่อยๆชิวๆ
ตอนนี้รู้สึกตัวร้อนๆ หัวหนักๆ ประมวลผลอะไรได้ช้าลงไปเยอะ
ผมเดินแยกออกมานั่งที่ริมรั้วกำแพงหินเตี้ยๆกวาดตามองหาดที่ทั้งเงียบและมืด
เสียงเพลงแว่วมาจากด้านหลัง…มาแบบนี้โคตรชอบ เหมารีสอร์ทจนเหมือนเป็นที่ส่วนตัว
ผมสูดลมทะเลเข้าเต็มปอดแล้วเงยหน้ามองฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ บวกกับน้ำฉ่ำๆในตาเพราะแอลกอฮอลแล้วยิ่งทำให้มันดูแวววาวขึ้นไปอีกหลายเท่า
บรรยากาศชวนเศร้าแปลกๆ
รู้สึกร้อนๆที่ขอบตา…ไม่รู้เพราะเบียร์หรือเพราะอะไร
ผมโกรธไอ้เจ…โกรธที่ไม่รับโทรศัพท์ ให้ผมไปหาไปรอไปเก้อ…
แต่ผมก็คิดถึงมัน… “มาย”
ผมหงายคอขึ้นไปมองด้านหลังตามเสียงทักที่ดังขึ้น…ไอ้วิว…
“เฮ้ยเดี๋ยวคอหัก” มันยกหัวผมขึ้นตรงๆ “เมาแล้วเหรอไงมึงอ่ะ?”
“กรึ่มๆ ระดับกำลังชิว”
“ฮ่ะๆ อย่าให้เห็นน็อค”
ผมยิ้มรับแล้วยกกระป๋องเบียร์ในมือให้อีกฝ่ายชน “อากาศดีสัดเลยเนอะว่าปะ”
“เออดิ ดีที่ฝนไม่ตก โชคดีชิบหาย” หางตาเห็นมันหันมามอง “เหงื่อมึงเยอะเนอะ ไหนบอกอากาศดี”
“แหม่ เพิ่งเต้นมาอะดรีนาลีนมันสูบฉีด”
“เอออออ พ่อขาแด๊นซ์”
ผมกับมันหัวเราะ ฤทธิ์ของมึนเมาทำให้หัวโคลงไปมาอย่างทรงไม่อยู่
“มึงเป็นไรปะวะมาย”
อยู่ๆไอ้คนข้างๆก็พูดขึ้นมา ผมทิ้งน้ำหนักลงที่แขนทั้ง2ข้าง ยันตัวไปด้านหลัง หันไปมอง “ไมวะ?”
“วันนั้นมึงร้องไห้ทำไม?”
“…”
“มีไรมึงบอกกูได้นะเว่ย”
“…”
“พร้อมฟังหวะ”
“…ไม่มีไรหรอก แต้งนะมึง”
พอผมพูดจบ มันก็เงียบ…ผมก็เงียบ
ปวดหัว… รอบข้างเงียบ เสียงดนตรียังดังลอยมาจากด้านหลังเหมือนเดิม แต่กลับดูน่าอึดอัดกว่าเมื่อครู่
เสียงคลื่นลมชัดขึ้นกว่าที่เป็น ผมพยายามโฟกัสความคิดไปที่น้ำเค็มๆด้านล่าง แม้จะมืดแต่ยังมีแสงระยับที่ผิวน้ำ แสงที่ส่องมาจากพระจันทร์บนท้องฟ้า…
นานจนเหมือนจะเผลอหลับ เสียงไอ้วิวก็ดังขึ้นแผ่วๆ แผ่วจนต้องเงี่ยหูฟัง
“กูห่วงมึงนะ”
“…”
ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนของมันเสียงถึงได้ชวนใจสั่นขนาดนี้ ผมรู้สึกว่าพลาดไปจริงๆตอนที่เผลอเหลือบตาขึ้นไปสบกับมัน
เหมือนตอนนี้ผมจะไม่ได้ยินเสียงเพลงอีกแล้ว แม้จะแว่วผ่านหูสักนิดก็ไม่มี
แล้วไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆผมถึงโฟกัสใบหน้ามันไม่ได้ เบลอขึ้นเรื่อยๆเหมือนภาพใกล้…
ผมสายตาเสียแล้วเหรอ
“…”
“กูห่วงมึงจริงๆนะ”
“…”
“ห่วงจริงๆ”
เสียงสั่นๆของใครสักคนดังขึ้นใกล้หน้า…ใกล้เกินไป
ใกล้ขนาดนี้มัน…
“อื้อ…”
ผมเบิกตากว้างเล็กน้อยตอนรู้สึกว่ามีอะไรมาแนบที่ริมฝีปาก อุ่น…ร้อน
แต่นุ่ม…หยุ่น…สัมผัสสบาย
สบายเสียจนเผลอขยับปากบดเข้าไปลึกกว่าเมื่อครู่
สัมผัสชื้นแฉะแปะอยู่ที่ริมฝีปาก…ผมอ้าปากเล็กน้อยเพราะความเย็นจากอะไรนิ่มๆนั่น
ให้ความเย็นนั้นแทรกเข้ามาด้านใน…
มึนหัวชะมัด หนังตาเหมือนถูกแรงโน้มถ่วงของโลกเล่นงาน มันปรือลงต่ำเรื่อยๆจนปิดสนิท
ผมรู้สึกเหมือนหัวหมุน คล้ายจะลอย ราวกับถูกแกว่งร่างไปมาบนอากาศไม่หยุด
แต่มารู้สึกเหมือนโดนทุ่มลงพื้นก็ตอนที่…
ได้ยินเสียงที่คุ้นหูที่สุดในความคิด
“มาย…” ผมลืมตาโพลง หันขวับไปทางต้นเสียงเร็วจนเกิดเสียงจุ้บจากปากที่ผละออกจากกันแรงๆ
ผมอ้าปากเปิดปิดอยู่2-3ครั้ง กว่าจะเปล่งเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยออกมาจากคอได้
“จะ…เจ” tbc >
มาแล้วววว
แหะ…ตอนนี้หลากหลายอารมณ์มาก ความจริงว่าจะตัดตั้งแต่กลางเรื่อง
แต่คิดไปคิดมาลงให้หมดไปเลยดีกว่า จะได้เห็นหลายๆมุมมอง
สำหรับตอนที่แล้ว ประเด็นเรื่องที่ว่ามายดูสนใจแต่เรื่องมีอะไรกัน
เดย์เลยอยากออกมาพูดแทนมายสักนิดนึงงง
ความจริงแล้วมายไม่ได้สนใจว่าจะได้มีอะไรหรอกค่ะ แต่อารมณ์ดีขึ้นตั้งแต่เจบอกคิดถึงแล้ว
เรื่องบนเตียงกระซิบบอกลับหลังว่าส่วนมากแล้วมายจะยอมเจตลอด ฮ่าๆๆๆ
ตัวมายเป็นคนง่ายๆ อารมณ์ก็ขึ้นลงง่าย และรวมไปถึงสับสนง่ายด้วยเช่นกัน เลยทำให้ดูงงๆบ้างบางครั้ง
เจเองก็อารมณ์แปรปรวณไม่ใช่น้อย เอาแต่ใจไม่เบาเหมือนกัน
แต่ถึงแม้ทั้ง2คนจะเข้ากันไม่ค่อยได้ และไม่รู้จะรอดหรือไม่รอด
แต่ที่แน่ๆไม่ว่าตอนจบจะออกมารูปไหน เดย์ยืนยันได้เลยว่าตลอด3-4ปีที่ผ่านมา ทั้ง2คนรักกันจริงๆค่ะ
ตอนหน้าก็จบแล้ว ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ <3