ตอนที่ 17 คนเลวที่เหลือ
หนูหนีจากห้องสมุดมานั่งหลบเลียแผลใจที่ซอกตึก ยังสะอื้นเบาๆ อยู่ อาการแสบระคายตาเริ่มเกิดขึ้น เพราะร้องไห้ทั้งวันจนตาแดงไปหมด
“ทำไมมาร้องไห้อยู่นี่คนเดียวล่ะ” น้ำเสียงนิ่งๆ ที่ดังขึ้นเหนือศีรษะมีลักษณะห้วนห้าวเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมือนจะหาเรื่องอยู่ตลอดเวลานั้นทำให้รู้ทันทีว่าเป็นใครโดยไม่ทันได้เงยหน้าด้วยซ้ำ แต่ครั้นจะทำเป็นไม่ได้ยินก็เกรงว่าจะโดนเตะเป็นการตอบแทนจึงต้องเงยหน้าขึ้นมองคนถามด้วยสายตาค้นคว้า นึกเคืองมันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทุกอย่างเป็นเพราะมันนั่นแหละ... เพราะมันคนเดียว
“ทำไม...เพื่อนเลิกคบเหรอ” คำถามหยามหยันแทงใจดำดังจึ้กนั้นทำให้ยอกแสยงไปทั้งหัวใจ
เถียงอะไรก็ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องจริง.....
น่าสมเพชนัก!!
“เงียบทำไมล่ะ ทำไมไม่ลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำให้ได้เหมือนเดิม ไม่มีใครคอยช่วยก็เลยปอดแหกงั้นสิ?” หนูนั่งกอดเข่าฟังคำพูดถากถาง เสียดสีนั้นต่อด้วยหัวใจที่ปวดร้าวเต็มที
นี่น่ะหรือคนที่ใครๆ บอกว่ารัก.... คนที่รักน่ะมันเลวถึงขนาดนี้
ร้องไห้ก็ไม่เช็ดน้ำตา เสียใจก็ไม่รู้จักปลอบ แถมยังเหยียบย่ำซ้ำเติมกันแบบนี้
ให้กลับไปขอโทษ และขอคืนดีกับคนอย่างมันเนี่ยนะ?
ในอกมันอัดอั้นจนเกินจะทนไหวจนต้องปล่อยโฮออกมาดังลั่นโดยปราศจากความอับอาย
“เฮ้ย....นี่มึงเบาหน่อยสิ ร้องไห้หาพ่อมึงเหรอ...หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้เลยนะ” ไอ้หมาบ้ามันตะโกนห้ามหนูพร้อมทั้งโน้มตัวลงมาจับไหล่หนูเขย่าไปมา แต่หนูก็ยังไม่หยุดร้องไห้
คนมันเศร้ามันเสียใจ อยากจะร้องไห้ จะให้หยุดง่ายๆ มันได้ซะที่ไหนล่ะ
“กูบอกให้หยุดไม่ได้ยินหรือไงกูรำคาญแล้วนะ”
ก็แล้วใครบอกให้มาอยู่ฟังล่ะไอ้บ้า แค่ไปไกลๆ ก็พอแล้ว... แค่นั้นก็ไม่ได้ยินแล้วแท้ แล้วทำไมยัง....
“มึงบอกกูมาเลยดีว่าว่าร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรมึงกูจะได้ไปเตะให้” ไม่เข้าใจ....ไม่เข้าใจเลยสักนิดกับสิ่งที่มันพูด
“นายจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะ ในเมื่อนายไม่ใช่เหรอที่ทำให้เราร้องไห้บ่อยที่สุด ไม่ได้ชอบหรอกเหรอที่ได้เห็นเราเสียใจน่ะ” หนูถามออกไปอย่างเหลืออด
“ก็มีแต่กูเท่านั้นล่ะที่ทำให้มึงร้องไห้ได้ กับคนอื่นกูไม่ยอม!!...”
“..................................” อึ้งจนพูดไม่ออก และตกใจจนเลิกร้องไห้ไปเอง สมองประมวลผลอย่างหนักแต่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ กระพริบตาปริบใส่มันเหมือนเด็กเอ๋อ
“อย่างน้อย...ถ้ากูทำเอง...กูก็รู้เหตุผล ไม่ใช่มาฟังเสียงร้องไห้ที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแบบนี้” เมื่ออีกฝ่ายนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรแปลกๆ ออกมามันก็เริ่มอธิบายเหตุผลเสียงอ่อยๆ
เหตุผลอะไรกัน...ไร้สาระสิ้นดี
ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือว่าจะขำดี...
ไอ้บ้าเอ๊ย.......ไอ้โรคจิต.....
ไอ้หมาบ้า.....
....นั่นสินะ..... หมาบ้ากับหมาขี้แพ้มันก็คู่ควรกันดี
ในเมื่อทุกคนตัดสินว่าควรจะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อโชคชะตามันเล่นตลกให้เป็นอย่างนั้น
ต่อให้หนูดื้อรั้นสักเท่าไรก็คงหนีโชคชะตาไม่พ้นอยู่ดี...
หนูยิ้ม...ยิ้มให้กับความอาภัพของตัวเอง ในเมื่อไม่มีทางใดให้เลือก ต่อให้ทางข้างหน้าจะลำบากแค่ไหนก็ต้องเดินไป ต่อให้ไอ้โรจน์จะเป็นคนเลวสักแค่ไหน แต่ก็เป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาหาในวันที่ไม่เหลือใครอีกแล้ว.....
ยิ้มและหัวเราะให้ตัวเองเหมือนคนบ้า....
“อะไรของมึง เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่หยกๆ อยู่ดีๆก็ดันยิ้มซะงั้น หรือเมื่อกี้มึงแค่ร้องไห้เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากกู”
โอล่ะพ่อ... จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เลิกลงตัวเองอีกนะพ่อคุณ....
เอาเถอะ ในเมื่อเรื่องมันมาจนถึงนี่ได้ก็เพราะความหลงตัวเองของมัน ก็จะถือว่าเป็นข้อดีล่ะนะ
หนูเงยหน้าสบตาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนขอร้องจากคนที่สิ้นหวังและไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว
“ถ้าเราบอกว่าใช่....นายจะว่ายังไง ถ้าเราบอกว่าเราต้องการ....นายจะให้มันหรือเปล่าล่ะ”
มันมองหน้าหนูด้วยใบหน้าที่มีทั้งแปลกใจและสับสน แต่ก็นิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถาม นิ่งนานจนใจแป้ว....
....ความสงสารหรือเห็นใจจากคนอย่างมันคงเป็นของหายาก....
ถึงได้ลำบากใจนักที่จะให้....
งั้นเหรอ... แม้แต่คนเลวที่เหลืออยู่...ก็ยังไม่ได้สินะ....
บ้าจริง...นี่หนูคงจะหวังมากเกินไปสินะว่าจะได้รับความเมตตาจากหมาบ้าอย่างมันบ้างแม้สักนิด
“ไม่ได้สินะ.... ไม่เป็นไรหรอกเราเข้าใจ”
เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังอย่างยิ่งยวด พยายามเลี้ยงหยาดน้ำที่เอ่อคลอในดวงตาไม่ให้หลั่งรินลงมาอีก....
...................................................
ตอนบ่ายหนูกลับไปนั่งข้างไอ้โรจน์อีกครั้ง ไหนๆ ก็เลิกคบกันแล้วก็ไม่อยากพึ่งพาอาศัยอะไรกันให้เป็นบุญเป็นคุณอีก ไอ้โรจน์มันก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกที่เห็นหนูกลับไปสิงที่ศาลเดิมได้ หนูก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ก็ได้...ในเมื่อไม่มีคนรัก ไม่มีใครเข้าข้าง ก็ไปตายคาตีนไอ้โรจน์เสียเลยยังจะดูกล้าหาญมากกว่ากลับไปง้องอนพวกเพื่อนทรยศทั้งหลายให้เสียหน้า เจ็บบ่อยๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆ ชินไปเองนั่นแหละ
ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าการกลับมาคราวนี้อาจจะโดนทารุณกรรมจนเลือดตกยางออกแต่ก็ผิดคาด ไอ้โรจน์มันสะกดกลั้นอารมณ์อยากทำร้ายร่างกายหนูไว้ได้ยังไงไม่รู้จนหมดวันหรือมันคงนึกว่ากลัวว่าคนที่ไปนั่งกับมันนั้นเป็นวิญญาณผีสาวจนเกิดอาการจับไข้หัวโกร๋นแเนิ่นๆ ก็ไม่อาจทราบได้ หรือมันจะรอโอกาสปลอดคนกว่านี้กันแน่ก็ไม่รู้
ช่างแม่งเหอะ คิดไปปวดหัว...มีผัวดีกว่ากันเยอะ เอ๊ยไม่ใช่...
หนูเก็บกระเป๋าอย่างอ้อยอิ่ง ไม่สนใจบรรดาเพื่อนๆ ที่ส่งสายตาเหมือนมีเรื่องมากมายก่ายกองจะพูดด้วยราวกับจากกันมานานแรมปี หากแต่หนูกลับมองเมินพวกมันราวกับอากาศธาตุทำเอาหน้าจ๋อยกันเป็นแถบ
ชิ!! โกรธร้อยปีอย่ามาดีร้อยชาติ!!
นั่งนิ่งอยู่ในห้องเรียนจนเพื่อนๆ ในห้องเดินออกไปจนหมด พยายามสะกดกลั้นความเจ็บร้าวที่เบ้าตา
กลืนลงไปซะ จากนี้ไปจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว
ต่อจากนี้ไปต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ต้องเข้มแข็ง...
คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาดฉันใด
คนอ่อนแอย่อมตกเป็นรองคนเข้มแข็ง
ดังนั้นอย่าแสดงความโง่ให้ใครเห็น อย่าทำให้ใครรู้ว่าอ่อนแอ
จงยืนหยัดและต่อสู้ด้วยตัวเองให้ได้ เพราะต่อไปนี้จะไม่มีใครปกป้องและดูแลเราได้อีก ...
นอกจากตัวเราเอง
....................................................
เดินก้มหน้าก้มตาออกจากโรงเรียนด้วยความโดดเดี่ยวกว่าทุกวันที่เคยเป็น ถึงจะไม่ได้กลับบ้านด้วยกันแต่ก็ยังเคยเข้าแถวด้วยกันเดินออกมาพร้อมกัน แต่วันนี้ไม่ใช่
ไม่สิ!!
ต้องเรียกว่าต่อจากนี้ไปถึงจะถูก คิดแล้วมันโหวงๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ....
นี่ล่ะมั้งที่เรียกว่าความอ้างว้าง....
หนูเดินไปที่ศาลารอรถหน้าโรงเรียนก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไอ้โรจน์นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
ถึงจะไม่ได้สังเกตแต่ก็พอผ่านๆ ตาอยู่บ้างว่าวันนี้มันขับรถเครื่องมาด้วย แล้วทำไม....
ระหว่างที่คำถามเหล่านั้นยังไม่ได้คำตอบ ไอ้โรจน์มันก็หันมาเห็นหนูพอดีพร้อมทำหน้าเหมือนจะเคืองน้อยๆ เดินเข้ามาหา
“ทำเชี่ยอะไรอยู่ทำไมถึงเพิ่งออกมา” มันถามเสียงดังอย่างไม่พอใจ ด้วยประโยคเดิมๆ ที่เคยคุ้น
“ขอโทษ....” หนูตอบได้แค่นั้นแล้วก้มหน้าลงยอมรับผิด อีกฝ่ายก็เงียบแล้วดึงแขนเสื้อกันหนาวของหนูให้เดินตามไป
ขึ้นรถสองแถวที่ขับมาจอดพอดี
ครั้งสุดท้ายที่มีอะไรกันยังจำได้ดี ความเจ็บปวด ทั้งกายและใจที่ถูกทำร้าย... แค่คิดถึงก็ยังตัวสั่น
ไม่รู้เลยว่าที่มันมารอกลับบ้านพร้อมกันแบบนี้เพื่ออะไร จะพาไปซ้อมหรือไปทบทวนความหลัง...
ช่างเถอะ อะไรก็ช่าง...
ขัดขืนไปก็เท่านั้น... ขัดขืนไปให้โดนซ้อม?
เพื่ออะไรล่ะ... เพื่อคนที่ทำดีกับเราทั้งๆ ที่ไม่เคยรักเลยสักนิดหรือ?
พี่ชลเหรอ? ที่เป็นความหวังของแก อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลย ยิ่งแกหวังสูงมากเท่าไร เวลาผิดหวังก็จะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น ถึงไอ้โรจน์มันจะเหี้ยยังไง แต่อย่างน้อย มันก็รักแก แต่กับพี่ชล แกอาจจะไม่ได้ถึงขั้นว่า “ชอบ” เลยด้วยซ้ำ นั่นสินะ หนูนี่มันช่างฝันเฟื่องเกินตัว น่าขำจริงๆ คงโดนทั้งพี่ชลทั้งออยหัวเราะเยาะมาตลอดที่โง่เง่าถึงขนาดนี้...
รู้ว่าเขาหลอก...แต่เต็มใจให้หลอก....
แต่ตอนนี้....ไม่ใช่....
สำหรับพี่ชล....ไม่มีอะไรต้องคิด ไม่มีอะไรต้องหวัง ทุกอย่างมันจบลงไปแล้ว
เหลือเพียงแค่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ...ที่หนูก็ได้แต่ทำใจและต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม
หนูได้แต่นั่งซึมก้มหน้าไปตลอดทาง เพราะถึงอย่างไรบ้านไอ้โรจน์มันก็ถึงก่อน แต่ก็น่าแปลกที่บ้านไอ้โรจน์ทำไมอยู่ไกลกว่าทุกวัน ตั้งนานก็ไม่ถึงสักที แต่หนูก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งคนข้างกายลุกขึ้นกดออดแล้วสะกิดให้ลุกขึ้นถึงเพิ่งรู้ตัว...
อะไร... จะให้แวะบ้านมันจริงๆ เหรอ? ยังทำใจไม่ได้เลย ฮือ....
แต่แล้วพอลงจากรถก็ได้แต่งง เพราะรถมาจอดที่หน้าบ้านหนูแทนที่จะเป็นหน้าบ้านของมัน แสดงว่าเลยบ้านมันมาแล้วน่ะสิ
“ยืนเอ๋ออะไรอยู่ได้ จำบ้านตัวเองไม่ได้หรือไง” ไอ้โรจน์ทำเสียงกวนๆ มา หนูมองหน้ามันแบบงงๆ
“แล้วทำไมโรจน์ไม่ลงบ้านตัวเองล่ะ หรือว่านั่งรถเลย...” หนูหันไปถาม
“เปล่า...ก็แค่อยากมาส่ง ไม่ได้เหรอ?” มันบอกทั้งๆ ที่ไม่มองหน้า เสหันไปมองทางอื่นเหมือนจะเขินนิดๆ ดูๆ ไปก็น่ารักดีพิลึกนะ
เมื่อหนูยังคงมองหน้ามันด้วยสายตาที่แสดงความไม่เข้าใจ มันก็ไข้อข้อใจว่า...
“ก็มึงขอความเห็นใจจากกูไม่ใช่เหรอ? เห็นแก่น้ำตาหลายกระบุงของมึงที่เสียไปวันนี้ กูยอมเห็นใจมึงสักครั้งก็ได้”
ฟังแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ
งั้นเหรอ... แสดงว่าอย่างน้อยมันก็ยังมีหัวใจอยู่บ้างล่ะนะ
“เอ้า..เอานี่ไปกินด้วย” มันบอกพลางยื่นถุงผลไม้มาแบบส่งๆ หนูเอื้อมหยิบมาเปิดดู เป็นมันแกวสองถุง หัวใจดวงเล็กอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด
“ที่จริงกูอยากซื้อแตงโมให้ แต่เขาไม่มีขายก็เลยซื้ออย่างอื่นมาให้แทน มึงอย่าเรื่องมากนักเลย อะไรก็แดกๆ เข้าไปเถอะ” มันแก้ตัวไปอย่างนั้นทั้งที่หนูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ อย่าว่าแต่แตงโมที่ชอบเลย แค่มันทำเรื่องแบบนี้ให้ก็ถือว่าผิดความคาดหมายจะแย่อยู่แล้ว
“ขอบใจนะโรจน์..... ขอบใจจริงๆ” หนูบอก มองหน้ามันด้วยความซาบซึ้งจนอยากจะร้องไห้ซ้ำอีก
“ขอบใจแล้วจะร้องไห้ทำเชี่ยอะไรอีกวะ กูไปแล้วนะ รำคาญ” มันสบถแล้วบอกลา ข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อรอรถสองแถวกลับไปบ้านมัน
คนอะไร...บ้าชะมัดเลย
หนูกางถุงผลไม้ จิ้มมันแกวในถุงขึ้นมากินทั้งน้ำตา...
น่าแปลก... ทั้งที่ควรจะจืด... แต่กลับหวานอย่างประหลาด
คงไม่แตกต่างจากคนที่หิวโหยอดข้าวมาหลายวันเมื่อได้มาเจอกับข้าวเปล่าสักจานก็ยังกินได้
มันแกวจืดๆ ถุงนี้ มันอร่อยมากกว่าสตอเบอร์รี่แพงๆ มีค่ายิ่งกว่าเอ็มเคและไอศกรีมที่เคยได้กินเสียอีก...
เพิ่งจะรู้ว่า....รสชาติของ “ความเห็นใจ” มันหวานซ่านลิ้นได้ขนาดนี้....
..................................................
หายไปหลายวันเพราะเล่นฮาร์เวสมูนติดพัน ตอนนี้เป็นแม่ลูกอ่อนด้วย อีกตั้งเดือนครึ่งกว่าจะเดินได้
เก็บตังอัพโรงวัว ก็ไม่ครบสักทีมัวแต่เอาไปซื้อเสื้อผ้า ฮาๆ แบบว่าเล่นเกมนี้แล้วติดจริงๆ นะ เลิกเล่นไม่ได้
นอกเรื่องอ่ะมาเข้าเรื่องหน่อย
อะฮ้า ... ตอนนี้เศร้าแบบหวานๆ นะ (นี่เรียกว่าหวานแล้วเรอะ) เอาน่า ...แค่นี้ก็หวานที่สุดของมันแล้วล่ะ ยังไงจากตอนนี้ไอ้โรจน์ก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเยอะ ....เห็นเค้ารางๆ แล้วนะว่า เรื่องจะเดินต่อไปเยี่ยงไร...
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และการติดตามค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้า...
ปล. หากท่านผู้ใดชอบ ไพรัชนิยาย แนวเจ้าชายเจ้าหญิง ฝากไปอ่านเรื่องนี้กันด้วยนะคะ
เป็นกำลังใจเล็กๆ ให้ผู้แต่งได้มาต่อตอนต่อไปเร็ว จ๊วบๆๆ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29128.0