ตอนที่ 19
Another problem
[ปัจจุบัน]
[ภาม]
ผมเคยไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ไอ้ไปค์ จะมาเรียนต่อที่นี่ด้วย สีหน้าของไอ้เนียร์ตอนที่มันมาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ออกแววเคืองๆ ทำให้ผมรู้สึกอยากไปต่อยไอ้ไปค์สักทีนึงค่อยว่ากัน
หลายปีก่อนหน้า พวกผมมีเรื่องกับไอ้ไปค์เล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆ) ไอ้คนเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว แถมนิสัยเลว ทำให้ไอ้เนียร์เสียใจและผิดหวังไปนานหลายวันทีเดียว แต่หลังจากนั้นมันก็บอกว่าเริ่มรู้สึกโกรธมันมากกว่าที่ทำแบบนี้กับมัน
เฮ้อ… เจ้าคิดเจ้าแค้นมันไม่ดีนะเพื่อน
ผมถึงกับต้องปลอบมันว่า ปล่อยๆมันไปเหอะ คิดว่าบังเอิญโชคร้ายไปเจอมันละกัน ยังไงก็คงไม่เจอมันอีกแล้วล่ะ ผมพยายามคิดแบบนั้น แต่ถ้ามันมายุ่มย่ามกับเนียร์อีกล่ะก็ ผมไม่ปล่อยมันไว้แน่!
ตอนนี้ที่สำคัญกว่าอะไรที่สุดคือ ไอ้พี่เปอร์! ทำไมมันถึงรู้เรื่องนี้แถมมันยังเอาเรื่องนี้มาข่มขู่เนียร์อีก แถมหลักฐานอะไรที่มันบอกว่าสามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้? บัฟกันมากกว่ามั้ง?
ไม่สิ! พวกเราก็แค่ชิงตัดหน้าบอกก่อนแค่นั้นเอง!
“เนียร์ มึงก็แค่เป็นฝ่ายบอกไอ้ริทก่อนเลย!!” ผมพูดอย่างมั่นใจ จนทำให้คนตรงหน้าผมตาเบิกโพลง
“มึงจะบ้าเหรอ!”
“หรือมึงคิดว่า… จะปิดเรื่องนี้ไปตลอดล่ะ? มันก็เป็นไปไม่ได้ป่ะ?”
คำพูดนี้ทำเอาเนียร์นิ่งไป ผมรู้อยู่แล้วว่าเนียร์ไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดอะไรแฟนมันหรอก มันแค่กลัวว่าถ้าบอกแล้วทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม เฮ้อ… นี่แหละน้า เพื่อนผม กังวลเกินกว่าเหตุ
“เชื่อกูบอกไปเลย! ทีนี้พี่เปอร์จะได้ข่มขู่มึงไม่ได้!”
ไอ้เนียร์ทำหน้าคิดหนักกว่าเดิม ผมจึงพูดเสริมไปอีก
“กูรับรองเลยว่า พอริทมันรู้ความจริงเผลอๆจะออดอ้อนมึงมากกว่าเดิมอีก ทำนองว่าแบบเนียร์จ๋า นี่ไงรับรู้ได้ใช่ไหมว่ารักมากแค่หนายยย”
ผมพยายามพูดติดตลกให้เนียร์มันไม่คิดมาก ซึ่งมันได้ผล ไอ้เนียร์ยิ้มออกมา
“กูอ่านใจริทเตอร์ไม่ได้สักหน่อย…” เนียร์ถอนหายใจ
“เออๆ รู้แล้ว เดี๋ยวกูบอกริทเอง”
ก็แค่นั้นแหละ!!!
ผมพยักหน้าอย่างพอใจ
[เนียร์]
ถูกอย่างที่ไอ้ภามมันบอก จะช้าหรือเร็วผมก็ควรจะบอกแฟนของผม ริทเตอร์ อยู่ดี ดังนั้นสู้บอกตอนนี้ไปเลยดีกว่า แทนที่จะยอมให้โดนข่มขู่ แต่ถึงจะแบบนั้นก็เตรียมใจยากนะ
“เนียร์ ไม่ชอบอาหารอิตาเลี่ยนเหรอ?”
ริทถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมเหม่อลอยขณะที่กินอาหารอยู่ ตอนนี้พวกผมสามคน ผม, ริทเตอร์ และไอ้ภาม นั่งอยู่ที่ร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนที่เปิดเพิ่งใหม่แถวมหาลัย
“เปล่าๆ อร่อยดี”
ผมใช้ส้อมม้วนเส้นพาสต้าขึ้นมาใส่ปาก จริงๆร้านใหม่นี้ถูกปากผมมากเลยนะ แต่พอคิดถึงเรื่องที่จะบอกเขาแล้วผมแอบกังวลเล็กๆไม่ได้ จนแทบจะไม่รู้รสอาหารเลย
“สงสัยจะเหนื่อยน่ะ พรุ่งนี้ก็วันจัดงานแล้วนี่นา” ไอ้ภามพูดขึ้นมา จริงๆผมว่ามันรู้แหละว่าผมกังวลเรื่องอะไร
“ได้ช่วยเนียร์ทำงานบ้างป่ะเนี่ย” ริทหรี่ตาลง ถามไอ้ภาม
“ก็เตรียมส่วนของตัวเองหมดแล้วอ่ะ แล้วส่วนของเนียร์ก็บอกว่าไม่ต้องอ่ะ!!”
ไอ้ภามงอแงเมื่อเห็นว่ามันถูกมองว่าเป็นคนไม่ช่วยเพื่อนทำงาน ท่าทีของมันทำให้ผมและริทหัวเราะออกมา ดูก็รู้แล้วว่าริทต้องการจะแซวเล่นเฉยๆ
“มึงนั่นแหละ ช่วยแฟนบ้างเปล่า?”
“ช่วยสิ! ช่วยเป็นแรงสนับสนุนทางใจ” ริทเตอร์โอบไหล่ผม ทำเอาผมเขินนิดๆ นี่มันกลางที่สาธารณะนะ! แต่ก็นั่นแหละ… อย่างที่ผมพูดไป พอนึกถึงเรื่องที่จะต้องพูดแล้ว ความเขินอายก็เริ่มหายไป
ผมกระซิบข้างหูริท
“วันนี้กูไปนอนด้วยนะ”
คำพูดของผมทำให้ริทตาโตเหมือนสิงโตเห็นเหยื่อ จนผมรู้ตัวว่าพูดผิดไปเสียแล้ว
“แค่นอนเฉยๆ!!”
หลังจากออกจากร้าน พวกผมแยกย้ายกันโดยที่ก่อนจากกับไอ้ภามมันส่งสายตาให้ผม เป็นการเตือนผมว่าให้บอกสักที ผมต้องบอกอยู่แหละน่า แต่คำพูดสวยๆที่จะอธิบายให้ริทยอมเข้าใจมันไม่ใช่ง่ายๆนะ เผลอๆพูดไปนึกว่าผมล้อเล่นหรือเล่นมุขรึเปล่าเถอะ!
“เชิญคร้าบ”
“หือ…!?”
ผมเพิ่งได้สติ ตอนนี้ริทเตอร์เปิดประตูรถยนต์ให้ผม และผายมือเชิญผมขึ้นรถ เดี๋ยวนะ? เขามีรถขับด้วยเหรอ แล้วมอเตอร์ไซค์ล่ะ!
“รถคันนี้?”
“รถคันนี้ พ่อซื้อให้น่ะเพราะบังเอิญว่าคะแนนมิดเทอมได้ท็อปหมดทุกตัวน่ะ แบบนี้เนียร์จะได้นั่งสบายกว่าด้วย ถึงจะลำบากเรื่องที่จอดเล็กน้อยก็เถอะ”
รูปหล่อบ้านรวยไปไหน!! ผมพยักหน้าอย่างอึ้งๆ ก่อนจะขึ้นรถไปอย่างมึนๆ ส่วนเขาก็ปิดประตูฝั่งผมให้เสร็จสรรพก่อนจะเดินมาขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถขับออกไปทันที
ระหว่างทางผมก็พูดคุยกับริทตามปกติจนกระทั่งบทสนทนาเงียบลง… และริทเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“เนียร์…”
ริทดูลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา”
“เนียร์มีอะไรจะบอกเราไหม?”
ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองเงียบไปนานมาก หรือว่าริทเตอร์รู้เรื่องของผมแล้ว? ผมเริ่มรู้สึกกลัวและนิ่งไปนานมาก ริทเองก็ไม่ได้คาดคั้นคำตอบอะไรจากผม รอผมตอบอย่างเงียบๆ ในที่สุดผมก็กล้าจนพูดออกมา
“กู… กูไม่เหมือนคนอื่น”
อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ
“คือ……”
“………”
“คือกู…”
“………”
“กูสามารถอ่านใจคนอื่นได้…” ผมกลั้นใจพูดออกไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วตอนนี้ อีกฝ่ายชายตามองผมก่อนจะพูดต่อ
“งั้นที่ผ่านมาก็แสดงว่ารู้สิ่งที่เราคิดในใจมาตลอดน่ะสิ”
“ไม่… ไม่ใช่นะ กูอ่านใจคนอื่นได้ แต่มึงเป็นคนเดียวที่กูอ่านใจไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”
“งั้นทำไมไม่บอกเราแต่แรก”
“…………”
คราวนี้ผมเงียบไป กอนจพูดออกมา
“กูกลัวว่ามึงจะเกลียดหรือว่ารู้สึกอึดอัดเวลาอยู่กับกู…”
“เราเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราเชื่อใจเนียร์เสมอ”
คำพูดนี้เหมือนกับจะเสียดสีผมกลายๆ ริทเตอร์จะสื่อว่า เพราะผมไม่เชื่อใจเขาเลยไม่ยอมบอกงั้นเหรอ?
“ขอโทษ…” ผมพูดเสียงค่อย ผมรู้สึกผิดจริงๆ ริทเองก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก จนบทสนทนาเงียบลงจนกระทั่งถึงคอนโดของริท จนเข้าที่เรียบร้อย
“เราบอกแล้วไง เราเชื่อใจเนียร์”
เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวผมไปมา
“ตอนแรกเราไม่เชื่อหรอกนะ แต่พอเนียร์เป็นคนพูดเองแบบนี้ยังไงก็ต้องเชื่อล่ะนะ ถึงจะไม่พอใจนิดๆก็เถอะที่รู้เรื่องนี้จากคนอื่น ไม่ใช่จากตัวเนียร์เอง…”
น้ำตาเริ่มมาที่ขอบตาผม ผมยอมใจริทจริงๆ
“แล้วใครเป็นคนบอกเหรอ?”
ริทเตอร์ลังเลนิดหน่อยแต่ก็ยอมพูดออกมา
“ก็ไอ้รุ่นพี่คนนั้นนั่นแหละ ไปรู้มาจากไหนกันนะ ดูๆแล้วเนียร์หรือไอ้ภามก็ไม่น่าจะหลุดปากง่ายๆด้วย”
ผมขมวดคิ้วนั้นแหละที่ปัญหา ถ้ายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนบอก ต่อไปอาจจะมีคนที่สอง คนที่สามโผล่มาเรื่อยๆก็ได้และยิ่งยุคนี้ข่าวลือต่างๆก็แพร่เร็วเสียด้วย ปกติแล้วเรื่องแบบนี้ไม่มีใครเชื่อกันหรอก แต่ว่า… สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างกลัวคือ… สิ่งที่อยู่ในมือของพี่เขาตังหาก
“หลักฐาน…”
ผมพึมพำออกมา
“พี่เขาเอาอะไรมายืนยันรึเปล่า คงไม่น่าจะพูดลอยๆว่ากูอ่านใจได้หรอกนะ”
ริทเตอร์ทำหน้านึกก่อนจะส่ายหัว
“ก็ไม่นี่ เหมือนต้องการพูดให้เราไขว้เขวมากกว่า”
ผมไม่รู้จริงๆว่าพี่เขามีไพ่ในมืออะไรอีกรึเปล่า หลักฐานที่ว่าคืออะไรกันแน่?
อืม………
ค่อยว่ากันแล้วกัน! ตอนนี้ผมไม่รู้สึกกลัวเท่าไรแล้ว เพราะผมมีทั้งไอ้ภามและริทเตอร์ที่พร้อมจะช่วยเหลือผมเสมอ ผมยิ้มเล็กๆในใจ ผมรู้สึกเป็นคนโชคดีจัง…
พวกผมที่อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแสนนุ่ม เขาค่อยๆเลื่อนมือมาจับมือผม
“พรุ่งนี้สู้ๆนะ”
คุณชายมากสเน่ห์อวยพรผมให้กับงานในวันพรุ่งนี้ ใช่แล้ว… นี่คือสิ่งที่ผมอยากได้จากอีกฝ่าย ผมถึงมาในวันนี้ นั่นคือ กำลังใจจากคนที่เรารัก…
ริทพลิกมากอดผมไว้ ก่อนจะหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“แฟนใครเนี่ยน่ารักจัง”
และ… เริ่มไซร้คอผม
“พอก่อนๆ พรุ่งนี้มีงานหนักอีก เดี๋ยวไม่ไหว!”
“หืมมมมม”
“เอ่อ หมายถึงว่าควรรีบๆนอนได้แล้ว เดี๋ยวตื่นไม่ไหว ไปง่วงงาวหาวนอนหน้างานอีก” ผมรีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อตัวเองพูดเองแล้วได้ยินคำแปลกๆที่ตีความได้หลายความหมาย ทำเอาริทเตอร์หุบยิ้มไม่ได้
“อ่ะๆ นอนก็นอน”
อีกฝ่ายพลิกตัวกับไปนอนตามปกติ ผมหันไปมองริทที่กำลังนอนหลับตาอยู่ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่จึงหันมาหาผมก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น ประมาณว่า มีอะไรเหรอ?
“ขอนอนจับมือได้ไหม?”
ริทยิ้มบางๆ ก่อนจะเลื่อนมือขวาของตัวเองมาจับมือซ้ายของผม แทนคำตอบ แค่เพียงเท่านี้ผมก็รู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้นเยอะเลยล่ะ…
วันรุ่งขึ้น เมื่อผมตื่นมา ผมก็รีบมุ่งหน้าไปคณะตัวเองทันที ส่วนสาเหตุที่ไม่ต้องแวะหอของผมไปเอาชุดของผมเองก็เพราะที่หอริทมีเสื้อผ้าของผมเก็บสำรองไว้ด้วยทั้งชุดลำลองและชุดนักศึกษาอยู่แล้ว
แน่นอนว่า ริทเตอร์ไปส่งผมถึงคณะเลย ดังนั้นคงไม่รอดที่จะพ้นสายตาของเพื่อนๆแต่ละคนของผม ผมว่าผมอุตส่าห์มาเช้าสุดๆแล้วนะ ยังมีคนมาถึงก่อนผมอีกเหรอเนี่ย?
และทันทีที่ผมก้าวเท้าลงจากรถ…
“แน่ะ เนียร์ ใครมาส่งอ่ะ”
“ร้ายมากกกก”
“อิจฉานะเนี่ย”
“อร้ายยย ฟินนน”
แต่ละคนนี่ Energy สุดๆ ทำงานไปเซ่!!!
ผมหยิบมือถือออกมาดูเวลาตอนนี้ตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงนิดๆเอง งานเริ่มตั้งเก้าโมง ยิ่งส่วนของผมคือตอนบ่ายของทั้งสองวัน แต่ผมต้องมาเตรียมงานก่อนอยู่แล้ว
ผมทักทายเพื่อนๆพอเป็นพิธีก่อนจะมุ่งหน้าไปสถานที่จัดงานของผม ผมรับผิดชอบห้องประชุมที่ผมเชิญรุ่นพี่ปีสูงๆและอาจารย์มาแนะนำให้ความรู้ต่างๆ รวมถึงดูแลความเรียบร้อยของงาน
ผมขึ้นไปบนห้องประชุมดูเหมือนว่าสถานที่จะเริ่มจัดเตรียมแล้วผมสำรวจสภาพห้องรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆทั้งไมค์และเครื่องเสียงเสร็จสรรพ เหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดกับรุ่นพี่กับอาจารย์มาเตรียมตัวสำหรับช่วงบ่าย
ผมจึงตัดสินใจแวะไปหาไอ้ภามก่อนละกัน…
“อ้าว… ไอ้เนียร์ว่างเหรอมาหาเนี่ย”
“เตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือแค่รอเวลาอ่ะ”
ผมเดินเข้าห้องประชุมอีกห้องหนึ่ง ที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องแนะแนวน้องๆขนาดใหญ่ แยกเป็นโต๊ะๆกระจายทั่วห้องพร้อมกับรุ่นพี่สองคนต่อหนึ่งโต๊ะกับน้องๆที่เข้ามาปรึกษา
สภาพในห้องตอนนี้ดูวุ่นวายไปหมด เพราะเต็มไปด้วยน้องๆมัธยมที่เข้ามาปรึกษาหรือขอแนวทางจากปีหนึ่งจากพวกผม จนรู้สึกว่าจำนวนพี่ไม่พอกับจำนวนน้องเท่าไรนัก
“มาๆ งั้นมานั่งนี่ ช่วยกันก่อน”
ไอ้ภามยิ้มร่าก่อนจะลากผมมานั่งตอบคำถามน้องด้วย
“พี่ก็ปีหนึ่งเหรอครับ?”
น้องมอปลายคนหนึ่งถามขึ้น ผมยังไม่ทันจะตอบ ไอ้ภามก็แย่งตอบเรียบร้อย
“ใช่แล้ว คนนี้เพื่อนซี้พี่เลยล่ะ”
“เป็นแฟนกันป่ะเนี่ย”
น้องคนนั้นแซวพวกผม (อีกแล้ว) หลายๆคนชอบเข้าใจผิด (โว้ยยยย)
“ผิดผี! ผิดผีแรงมากน้อง” ไอ้ภามรีบสะบัดผมออก ทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายเข้ามาโอบแท้ๆ
“งั้นผมจีบพี่ได้ป่ะ”
“เหอ?” ผมเหวอ น้องเอาแบบนี้เลยเหรอคร้าบ บุกแรงมาก ตรงมาก ตรงเกินไปแล้ว
“ไม่ได้ๆ เพื่อนพี่น่ะนะ…”
ไอ้ภามรีบโบกมือไปมา
“มีแฟนแล้ว…”
ริทเตอร์โผล่มาจากไหนไม่รู้ มายืนด้านหลังผม พร้อมพูดต่อจากไอ้ภามเสร็จสรรพ แม้แต่ผมก็สะดุ้งเหมือนกันนะ น้องเองก็เหวอไปแล้ว
“และแฟนคนนั้นคือพี่เอง” ริทโอบกอดผมทำให้น้องตรงหน้ายิ้มไม่หุบ
“แหม ผมอิจฉาเลยนะพี่”
ส่วนไอ้ภามนั่งยิ้มมองผมด้วยสายตารำคาญคนมีผัวตั้งแต่เมื้อกี้แล้ว ผมล่ะเหนื่อยใจกับมันจริงๆ ส่วนริทก็แค่ยักคิ้วให้น้องเท่านั้นเอง…
“มึง… ไม่ไปทำงานคณะเหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย ได้ยินมาว่าคณะวิศวะปีนี้จัดงานอลังการพอสมควร ดังนั้นน่าจะต้องใช้จำนวนคนช่วยเยอะแน่ๆ อีกฝ่ายยิ้มให้ผม
“ตอนนี้ไม่ใช่เวรของเราน่ะ”
“อ่อออ”
น่าจะแบ่งคนสลับกันไปดูแลเหมือนคณะผมนี่แหละ แต่บังเอิญว่าผมเป็นหัวหน้าจึงต้องอยู่ดูแลทั้งวันนั้นแหละนะ…
“อ้าวๆๆ น้องเนียร์กับริทเตอร์ บังเอิญจังเลย~” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ก่อนที่พวกผมจะหันไปมองโดยพร้อมเพียงกัน คนๆนั้นก็คือ…
“พี่เชอรี่!!”
“ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริงสินะ หึๆ”
อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ ก่อนจะจ้องผมสลับกับริทไปมา
“ตอนวันเฟรชชี่เกม มีคนบอกว่าพวกน้องสองคนกำลังจีบกัน มีคลิปด้วยนะ หึๆๆ ดูยังไงก็เกินกว่าเป็นเพื่อนกันไปแล้ว มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
ผมกับริทเตอร์หันมามองหน้ากันและหันแวบนึงโดยมิได้นัดหมายก่อนจะหัวเราะออกมา
“มีสิครับ! ไม่ใช่กำลังจีบ แต่……” ริทเตอร์เว้นวรรคให้ผมพูดต่อ
“เป็นแฟนกันแล้วครับ…”
พี่เชอรี่หุบยิ้มไม่อยู่ แต่ก็พอดูออกว่าพยายามจะเก๊กนิ่งครึมไว้ พร้อมกับหยิบกล้องออกมา
“วันนี้ พี่จะตามถ่ายคิ้วท์บอยแต่ละคณะน่ะ ไหนๆก็บังเอิญเจอทั้งคู่ทั้งที ขอถ่ายน้องสองคนไปลงเพจหน่อยละกัน!”
“อ้าว! พี่! แล้วผมอ่ะ!?” ไอ้ภามที่อยู่ข้างๆ โวยวายขึ้น เมื่อเห็นว่าตัวเองโดนผลักไสไม่ได้ถ่ายด้วย
“ทีละคน เอ้ย! ทีละคู่สิ! จะไปแทรกกลางทำไมกัน!” พี่เชอรี่โวยวายกลับ ก่อนจะรัวกดถ่ายรูปพวกผมสองคน
“ให้คนถ่ายเดี่ยวอ่านะ?”
“ก็ไปหาคู่มาสิ! อย่าคิดว่าไม่รู้นะ! กับ… คนนั้นๆน่ะ!”
คำพูดนี้ทำเอาไอ้ภามช็อกไปแล้ว หรือว่าหมายถึงพี่ไนท์กันนะ? อาจจะบังเอิญเจอเดินคู่กันสองต่อสองต่อไปเที่ยวอย่างนั้นเหรอ อืม… สายข่าวของพี่เชอรี่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ถ่ายคนเดียวก็ได้…”
จู่ๆไอ้ภามก็ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาเลย…
เพื่อให้ไม่เป็นการรบกวนคนอื่นมากเกินไป (เพราะคงไม่ได้ช่วยงานแน่ ได้แต่เล่นกับริทชัวร์! ผมรู้สึกแบบนั้น) ผมจึงเลือกที่จะออกจากห้องมาดีกว่า ผมกับริทเตอร์ออกมานั่งหลบคนด้านนอกตึกแต่วันนี้ทั่วทั้งมหาลัยจัดงานจึงไม่แปลกที่จะเกินไปมุมไหนก็มีคนเต็มไปหมด
ผมจึงหนีกลับไปบนห้องประชุมของผมเอง อย่างน้อยๆก็มีแอร์อ่ะนะ
“อ้าว น้องเนียร์ ไปไหนมาครับ?” เสียงที่ดูนุ่มนวลแต่แฝงด้วยความน่ากลัวดังขึ้น พี่เปอร์นั่นเอง…
“ทำไมพี่มาเร็วล่ะครับ”
ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด ไม่ได้แสดงความรังเดียจหรือสนใจพี่เขาออกมา แต่เหมือนข้างๆคนจะคุมอารมณ์ไม่อยู่เท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อ้าว คนๆนี้ไม่ได้อยู่คณะเราไม่ใช่เหรอ?” พี่เปอร์พูดเพราะรู้อยู่แล้วว่ามีคือใคร แต่ผมอดที่จะพูดออกมาไม่ได้
“นี่แฟนผมครับ”
ชายตรงหน้าอึ้งไปเล็กหน้าน้อย ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“พี่บอกแล้วไง ว่ามีแฟนแล้วก็เลิกได้!”
ประโยคหลังหันไปหาริทเตอร์เสียด้วย ทำให้แฟนผมไม่ทนอีกต่อไป
“ไอ้เหี้Xนี่! นั่นปากเหรอ?” ริทคว้าคอเสื้อพี่เปอร์เข้าหาตัว อารมณ์โกรธโมโหของเขานี่ ผมเพิ่งจะเจอครั้งแรก ทำเอาผมสะดุ้งเหมือนกันนะ ส่วนพี่เปอร์ไม่ได้ดูตกใจอะไรนัก แค่เพียงพูดเบาๆ
“จะชกเหรอ? เอาเลยสิ ทุกคนที่นี่จะได้รู้ว่านายเป็นคนยังไง? ที่สำคัญนิสัยแบบนี้เนียร์เอาเป็นแฟนได้ยังไงเนี่ย”
ริทเตอร์ยังไม่ยอมปล่อยมือ ผมกลัวว่าจะเกิดการชกต่อยขึ้นจริงๆ ผมจึงต้องรีบหยุดริทเอาไว้
“ใจเย็นๆไว้ นี่มันกลางงานนะ”
เขาเลยยอมปล่อยมือตามคำพูดของผมจนได้ ถึงแม้ว่าสายตาจะยังเคืองอยู่ก็เหอะ
“เมื่อวาน ก็เล่าแล้วนี่ ไม่นึกว่าจะยอมรับเรื่องแบบนั้นได้ง่ายๆเลยนะ หรือไม่ยอมเชื่อกัน”
“เชื่อสิ แต่มันไม่สำคัญอะไรสักหน่อย เนียร์ก็คือเนียร์!”
“เหอะ! น้ำเน่า…”
พี่เปอร์แค่นเสียงเหอะ ก่อนจะตบบ่าริทเตอร์เบาๆ
“ยังไงก็ระวังตัวไว้ละกัน”
คำพูดทิ้งท้ายทำให้ผมรู้สึกอึดอัด
ถึงผมจะกังวลว่างานจะราบรื่นไปได้ด้วยดีรึเปล่าก็เถอะ แต่อย่างน้อยพี่เปอร์ เขาก็ตั้งใจพูดจนงานส่วนของผมออกมาสำเร็จไปได้อย่างราบรื่น
หลังจากผมเคลียร์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมร่ำลาและกล่าวขอบคุณทั้งอาจารย์แลรุ่นพี่ที่มาช่วยในวันนี้ ก่อนจะผมก็เดินลงจากตึกลงมา โชคดีที่พี่เปอร์หายไปไหนไม่รู้หลังจากพูดเสร็จ
“เนียร์…”
ผมหยุดเดินในทันทีแต่ไม่ได้หันหลังกลับไป แค่เสียงผมก็รู้แล้วว่าคนที่เรียกผมคือ… ไอ้ไปค์ มันคงจะเห็นเอกสารที่ผมทำหล่นวันนั้น มันถึงรู้ว่าผมเรียนอยู่คณะอะไร และทำให้มันมีโอกาสมาดักรอผมในตอนนี้
“มีอะไร?”
ผมใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจ ผมพูดกลับโดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมอง ตอนนี้ไอ้ไปค์เป็นฝ่ายเดินมาด้านหน้าผมแทน
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“แต่กู! ไม่มีอะไรจะคุยกับมึง!”
“แปปเดียว…”
สายตาของอีกฝ่าย… ทำไมถึง… จนผมรู้สึกลังเลนิดหน่อยก่อนจะยอมคุยด้วย ก่อนจะย้ายไปหาที่นั่งคุยกันสองต่อสอง ผมนั่งนิ่งไม่แม้แต่จะมองหน้ามันหรอก จนในที่สุดไอ้ไปค์เป็นฝ่ายพูดขึ้น
“กู… ขอโทษ”
ผมเงยหน้ามองมัน ผมไม่อยากเชื่อว่าคนแบบมันจะยอมขอโทษผม มันวางแผนอะไรอีกละ แต่… ครั้งนี้ก็เหมือนกับตอนนั้น คือ… มันไม่ได้โกหก มันขอโทษผมจากใจจริงๆ
“วางแผนอะไรอีกล่ะ”
“ไม่มี…”
ผมมองตามัน ต้องการจะอ่านสิ่งที่มันคิดให้ออก
“ครั้งนี้มึงอ่านใจกูได้เลย กูไม่มีอะไรจริงๆ กูแค่…ต้องการขอโทษมึง…”
ใช่… ผมก็อ่านใจได้แบบนั้นเช่นกัน
“ตั้งแต่วันนั้น กูรู้สึกผิดมาตลอด พยายามจะติดต่อมึงตลอด… แต่ก็โดนบล็อกทุกช่องทาง ทุกอย่างยิ่งตอกย้ำกูว่ากูทำอะไรสิ้นคิดไปซะแล้ว… กูเสียเพื่อนที่ดีไปแล้วคนนึง ถึงตอนนั้นกูยอมรับว่า กูกลัวมึงแต่พอมาคิดๆดีแล้วมึงไม่ใช่คนที่แย่หรือเลวอะไร เป็นคนดีซะด้วยซ้ำ
“แต่กู! ไม่ได้นับมึงเป็นเพื่อนแล้ว!”
มันหน้าเสียนิดหน่อยก่อนจะพูดว่า
“กูรู้อยู่แล้วล่ะ… กูไม่ได้ต้องการให้มึงยกโทษให้ กูแค่อยากขอโทษมึงเรื่องเมื่อตอนนั้นกับอีกเรื่องนึง…”
อีกเรื่องหนึ่ง?
“เรื่องพี่……”
“ไปค์…”
พี่เปอร์เดินเข้ามาหาพวกผมด้วยสีหน้าประหลาดใจซึ่งผมเคยเห็นพี่เขาทำหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรก… เดี๋ยวนะ หรือว่า… ไปค์เป็นน้องชายของพี่เปอร์!?
เมื่อไปค์เห็นผมดูตกใจ จึงรีบอธิบาย
“พี่เปอร์คือพี่กูเอง”
พี่เปอร์เผยสายตาไม่ชอบใจผมออกมาอย่างชัดเจน
“พี่กลับไปก่อนเถอะ”
ถึงพี่เปอร์จะดูไม่พอใจนักแต่ก็ยอมเดินหลบไปก่อน
“ขอโทษนะ ดูเหมือนพี่กูจะมายุ่มย่ามกับชีวิตเนียร์ กูเพิ่งรู้เมื่อวานนี้เอง ว่าพี่เขากำลังทำอะไรอยู่ พี่เขาไม่ชอบเนียร์ เพราะกูไม่ชอบมึง… ในตอนนั้นน่ะนะ”
มันถอนหายใจก่อนจะพูดต่อว่า
“กูเลยมาขอโทษมึงนี่ไง พี่เขายังเข้าใจผิดว่ากูไม่ชอบมึงอยู่ แต่ตอนนี้กูบอกพี่เปอร์ไปละ ถึงดูจะยังยอมรับไม่ค่อนได้นิดๆก็เถอะ”
“แล้วทำไมพี่เปอร์ถึงมาออกตัวแรงขนาดนั้นล่ะ”
“กู… กูไม่รู้”
อืม… ไอ้ไปค์ไม่รู้จริงแฮะ แต่สิ่งที่มันทำกับผมในวันนั้นจะให้ผมยกโทษให้ง่ายๆงั้นเหรอ โชคดีที่วันนั้นไม่มีใครเชื่อที่มันพูด… ถ้ามีคนเชื่อละก็ผมเองก็จนปัญญาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อเหมือนกัน
“กูพูดสิ่งที่กูอยากพูดไปหมดแล้ว กูไม่ขอที่จะให้มึงยกโทษให้กูหรือเห็นกูเป็นเพื่อนอีก กูแค่ต้องการขอโทษมึงเท่านั้น”
พูดจบมันก็ลุกแล้วเดินไปทันที ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ที่เดิมนั่งคิดอะไรไป… จนริทเตอร์โทรตามผม
“อยู่หน้าคณะแล้วน้า โทษทีในมอรถติดมากเลย”
“โอเคๆ”
ไม่แปลกที่จะรถติดเพราะวันนี้ผู้คนจากหลายๆที่มารวมกันดูงานมหาลัยในวันนี้ ผมลุกไปที่หน้าคณะ ถึงได้เห็นสองคนยืนคุยกัน ซึ่งทั้งคู่ผมรู้จักดี
ริทกับพี่เปอร์!
ผมรีบวิ่งไป กลัวว่าทั้งคู่จะมีเรื่องกันอีก ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอยู่แต่ผมโล่งใจที่เมื่อผมไปถึงพี่เปอร์ก็กำลังจะเดินจากไปพอดี พี่เขาหันมาพูดกับผมว่า…
“พี่จะไม่ยุ่งกับน้องอีก แล้วก็… ขอโทษละกัน”
พี่เปอร์ขอโทษผม? กว่าผมจะตั้งสติได้ พี่เปอร์ก็เดินไปสักพักแล้ว จนพี่เขาหยุดเดินเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนหันมาบอกผมว่า…
“เรื่องหลักฐานน่ะ หมายถึงไปค์นั่นแหละ เป็นพยานบุคคล แต่…ก็นะ ไม่ใช่หลักฐานที่เป็นรูปธรรมพอที่จะข่มขู่เนียร์หรอก”
เอ๋? งั้นก็แสดงว่า… บัฟกันงั้นเหรอ!!!
พี่เปอร์หัวเราะก่อนจะเดินไป
“ขอโทษแค่นี้คิดว่าจะหายเหรอ?”
ริทเตอร์บ่นพึมพำในระดับที่ผมได้ยิน
“เมื่อกี้คุยอะไรกันเหรอ?”
“เปล่านี่ ขึ้นรถกันเถอะ”
ริทยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับลูบหัวผม (อีกแล้ว) ก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งผมให้เหมือนเดิม
“เชิญคร้าบ~ คุณชายเนียร์”
เขาทำเป็นเหมือนผมเป็นคุณชายลูกคุณหนูที่ไหนสักแห่ง ผมจึงตอบกับไปว่า
“ขอบคุณครับ คุณพ่อบ้าน”
“ไหงเรากลายเป็นพ่อบ้านไปแล้วล่ะ”
ผมไม่รู้หรอกนะว่าผมควรจะยกโทษให้ไอ้ไปค์รึเปล่า แต่มันเป็นคนช่วยพูดกับพี่เปอร์ให้ และมันก็สำนึกผิดจากใจแล้วจริงๆ
แต่คนใจอ่อนอย่างผม คงจะแอบยกโทษให้ลึกๆในใจแล้วมั้ง…
[ไนท์]
ชีวิตสองวันนี้ของผมวุ่นวายสุดๆ ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ในช่วงเตรียมงานแล้วมั้ง หน้าที่ของผมก็ไม่ได้มีอะไรเยอะแยะหรอกก็แค่ให้ความรู้น้องๆที่มาดูงานในครั้งนี้เท่านั้น ก็แค่พูดไปที่เรียนมาในแบบภาษาที่เข้าใจง่ายๆ
เนื่องจากผมต้องเตรียมงานทำให้ช่วงนี้ ผมไม่ค่อยได้นัดไปกินข้าวกับภามเทาไรนัก เจ้าตัวเองก็ดูเหงาๆแหละเพราะแม้แต่เพื่อนสนิทของภามก็ต้องประชุมและติดต่อประสานงานเหมือนกัน
ยังไงก็ตาม… หลังจบงานนี้ผมก็ว่างขึ้นแล้ว ภามจะได้ไม่น้อยใจ (ถึงเขาจะไม่บ่นก็เถอะ)
นั่นไง พูดถึงก็มาแล้ว…
“พี่ไนท์ รอนานไหมมมม”
เสียงสดใสดังขึ้น ภามโบกมือให้ผมอย่างร่าเริง ผมยืนรอภามได้สักพักเองปกติผมเป็นคนชอบไปก่อนเวลาอยู่แล้วจึงดูเหมือนว่าภามมาสายมากกว่า
“เพิ่งมาถึงน่ะ”
ตอนนี้พวกผมอยู่ที่หน้าห้างที่เดิมที่พวกผมชอบมา ภามยังยิ้มไม่หุบเลยตอนนี้คงเป็นเพราะวันนี้แตกต่างจากวันอื่นๆก็คือ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมเป็นฝ่ายชวนภาม คงไม่แปลกที่ภามจะดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกผมมาไกลขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะยังไม่ถึงขึ้นจับมือหรืออะไรขนาดนั้น แต่ผมก็เปิดใจขึ้นเยอะแล้วล่ะ หลังจากเหตุการณ์นั้นที่มำให้ผมเสียใจมาถึงทุกวันนี้
“วันนี้อยากทำอะไรบ้างล่ะ”
“ดูหนัง! เล่นเกม! หาไรกินกัน แล้วก็ร้องเพลง! เอ่อ… ไม่ร้องเพลงดีกว่า”
ท่าทางของภามทำให้ผมอดยิ้มในใจไม่ได้ ก่อนจะบอกต่อว่า…
“ดูหนังไว้คราวหน้าดีกว่ามั้ย ช่วงนี้ยังไม่มีหนังที่ภามชอบเข้าโรงหรอกนะ”
“แล้วแต่พี่เลย~”
ภามที่ดูตามใจผมทุกอย่างทั้งๆที่อยากทำโน่นทำนี่ มันช่างน่ารักจริงๆ…
“แต่ก่อนอื่น ผมขอตัวไปห้องน้ำแปปนึงนะ อั้นมาตั้งแต่เมื่อกี้ละ”
พูดจบภามก็รีบวิ่งไปทันที
ผมอดส่ายหัวให้กับความใสซื่อของภามไม่ได้ ก่อนจะหยิบกล่องเล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกมา แล้วเปิดออกดู… เป็นสร้อยคอที่มีลักษณะคล้ายของตัวผมเองที่ใส่อยู่ ดูเป็นคู่กัน
ผมเผลอยิ้มออกมา… เมื่อคิดว่าภามจะทำหน้ายังไงเมื่อรู้ว่าผมให้สร้อยคอเส้นนี้
#AnotherProblem #NotAgain
********************************
- ช่วงพูดคุยเฮฮา –ช่วงนี้เรียนค่อนข้างหนักมาก
อาจจะขอ หนึ่งถึงสองสัปดาห์ในการลงหนึ่งตอน นะครับ
ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย :3
ลงชื่อ Nzsquare