┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 17
เขาปฏิเสธได้ไม่เต็มปากเต็มคำนักหรอก ว่าไม่เคยมีจินตนาการลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงสีหน้าตอนร้องไห้ของธัญญ์อยู่บ้างเหมือนกัน
ช่วยไม่ได้นี่ ไม่ให้สงสัยได้อย่างไร ภูเมศเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าในบรรดาผู้คนรอบตัวธัญญ์ ต้องมีอย่างน้อยสักคนเคยคิดบ้างล่ะ เด็กประหลาดแบบนี้ จะเสียน้ำตาให้กับเรื่องอะไรกันนะ ต้องเป็นสิ่งที่เข้ามากระทบกระเทือนจิตใจแบบไหน จึงกระตุกหน้านิ่ง ๆ นั้นให้แสดงความโศกเศร้าอันเป็นอารมณ์พื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์ออกมาได้อย่างคนอื่นเขา
ทว่าชายหนุ่มเพียงคิดเล่น ๆ เท่านั้น ไม่เคยนึกว่าจะได้เห็นจริง ทั้งที่ยังไม่หายงุนงงกับท่าทางแปลกประหลาดซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย ตั้งแต่ตอนกระทืบช่อดอกไม้ด้วยความกราดเกรี้ยว กระทั่งยืนไหล่สั่นอยู่ในอ้อมแขนเขาอยู่นาทีนี้
แม้มองไม่เห็นใบหน้า แต่ความเปียกชื้นบนอกเสื้อก็อุ่นวาบขึ้นมาจนชวนให้ใจหาย
“ชู่ววว”
เขากระซิบอีกครั้ง กระชับกอดแน่นขึ้นอีก กดจมูกลงกลางกระหม่อมคนในอ้อมแขน แม้เก้ ๆ กัง ๆ ด้วยทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยเห็นธัญญ์เป็นแบบนี้มาก่อน ทว่าสุดท้ายก็ทำตามความรู้สึกแค่ว่าอยากกอดไว้แน่น ๆ
ทั้งที่ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ไม่อยากให้ร้องไห้เลย คิดเพียงไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร ก็ไม่อยากให้ต้องอยู่ในสภาพน่าสงสารแบบนี้อีก
เกิดอะไรขึ้นหรือ?คำถามผุดขึ้นมาในหัว แต่ภูเมศรู้ว่ายังไม่ใช่เวลาที่ควรซักไซ้ วันหนึ่งหากธัญญ์อยากเอ่ยถึง เจ้าตัวคงจะพูดออกมาเอง
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรแล้ว” เขาพึมพำแผ่วเบา ครู่หนึ่งธัญญ์ค่อยพยักหน้าน้อย ๆ คล้ายยอมรับคำปลอบของเขา แต่ภูเมศยังไม่อยากเข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก
“ไม่เป็นไร” เขาย้ำ “ฉันอยู่กับเธอตรงนี้”
อาจจะดูทึ่มไปสักหน่อย แต่คิดให้ซับซ้อนไปก็เท่านั้น ที่ต้องทำก็แค่รอ จนกว่าจะถึงวันที่อีกฝ่ายเปิดใจบอกให้รู้เรื่องของตัวเองมากขึ้น เขาจะเป็นคนคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เอง
“คอแห้งไหม” เขาถาม เข้าบ้านได้ก็หยิบน้ำดื่มส่งให้ขวดหนึ่ง
ธัญญ์เดินตามเข้ามาเงียบ ๆ ไม่ตอบอะไร วางช่อดอกไม้สะบักสะบอมส่วนที่ยังพอเหลือให้เห็นเป็นดอกไม้อยู่บ้างไว้บนโต๊ะข้างตัว หลังจากเอาแต่ประคองมันไว้ด้วยสองมือมาตลอดทางกลับบ้านโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นรับขวดน้ำจากเขามา เปิดฝาแล้วยกขึ้นดื่มจากปากขวด รวดเดียวหมดเกลี้ยงแล้ววางลงข้างตัวอีกอย่าง ท่าทางเรียบเฉยเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนอกเหนือไปจากกิจวัตรประจำวันปกติ
ภูเมศเหลือบมองซากที่เรียกลำบากว่าเคยเป็นช่อดอกไม้ที่น่าสงสารนั่น แล้วค่อยเบนสายตากลับมายังคนที่ดื้อจะเอามันกลับมาทั้งสภาพดูไม่ได้เช่นนี้ เขาถึงกับหลุดปากถามไปแล้วครั้งหนึ่งทั้งที่ตั้งใจจะสงบปากสงบคำ ว่าทำไมยังต้องเก็บกลับมาอีก (แต่ยั้งคำพูดเรื่อง
‘ในเมื่อธัญญ์เพิ่งเป็นคนเหยียบมันเสียเละเทะเอง’ ไว้ได้ทัน)
ทว่าเป็นดังคาด ไม่ได้รับคำตอบใด สุดท้ายก็จนใจ จ้องคนที่ตัวเองเพิ่งไปพากลับมาสำเร็จอยู่เงียบ ๆ
น่าแปลก แค่เห็นว่าธัญญ์กลับมายืนอยู่ต่อหน้าในบ้านหลังเดิม ก็อุ่นใจขึ้นมาจนอดไม่ได้จะวาดยิ้มน้อย ๆ บนริมฝีปาก
แม้เป็นสถานการณ์ที่ทุลักทุเลและหาคำอธิบายได้ลำบาก ยากจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ธัญญ์ก็กลับมาอยู่ตรงนี้แล้วจริง ๆ
ตอนที่พาขึ้นมานั่งบนรถนั้น อย่างกับกำลังพาเด็กหลงทางกลับบ้าน ความสับสนที่สะท้อนในแววตาทำเขาไม่อยากปล่อยหลุดจากอ้อมแขนสักวินาที แม้ตอนนี้จะไม่มีหยดน้ำไหลออกมาแล้ว ทว่ารอยเปียกเป็นดวงบนเสื้อเขายังเห็นอยู่ทนโท่ต่อให้เริ่มแห้งไปบ้าง
รอยช้ำแดงที่เปลือกตาฝ่ายนั้นยิ่งสังเกตได้ชัดเจนกว่า แต่ใบหน้านิ่งสนิทอันชี้ชัดว่าเป็นธัญญ์ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน กลับดูขัดแย้งอยู่บนความแนบเนียนอย่างน่าประหลาด
“ชอบหรือ?” ภูเมศมองตามมือของธัญญ์ซึ่งกลับไปหยิบ ๆ จับ ๆ กลีบดอกไม้ที่ช้ำจนไม่รู้จะช้ำอย่างไรนั่นอีกแล้ว “ดอกไม้นั่น”
ธัญญ์มองมันครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าช้า ๆ
เขาถอนใจเฮือก...อย่างน้อยก็ไม่ได้เกลียดอย่างที่เข้าใจ
“รู้ไหม ตอนเห็นเธอเหยียบมันซ้ำ ๆ ใจฉันร่วงไปอยู่ตาตุ่มเรียบร้อย นึกในใจว่าเธอคงโกรธมากแน่นอน ในเมื่อปกติเอาแต่ทำหน้านิ่ง อารมณ์ไหนไม่มีใครรู้ แต่ตอนนั้นถึงกับโมโหจนเหมือนแทบร้องไห้ออกมารอมร่อ เธอคงไม่ยอมกลับมากับฉันอีกแล้ว...”
อีกฝ่ายก้มหน้า หลุบตาลงต่ำ ไม่มีคำแก้ตัวอื่นใดหลุดจากปาก เพียงแต่ยื่นมือมาจับแขนเสื้อเขาไว้หลวม ๆ
“ผมขอโทษ” ธัญญ์พึมพำเสียงแผ่ว “คุณโกรธไหม”
“ไม่เลย” ภูเมศโคลงศีรษะ “แค่กลัว”
“กลัว?”
“กลัวทำหลุดมือไปน่ะสิ” เขาหัวเราะเขิน ๆ มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ไหนดี พอขยับไปมาก็บังเอิญปัดถูกมือธัญญ์บนแขนเสื้อตัวเอง ให้อีกฝ่ายกระตุกแขนเบา ๆ ด้วยเข้าใจผิดว่าถูกปัดออกจนต้องชักแขนกลับไป เห็นอย่างนั้นจึงเป็นเขาเองที่เอื้อมไปกุมมือฝ่ายนั้นไว้แทน เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้เจตนา
“หิวไหม?” เขาพยายามเริ่มบทสนทนาใหม่
คราวนี้ธัญญ์โคลงศีรษะสองสามครั้ง จากนั้นปิดปากเงียบ
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว รู้อยู่หรอกว่าพูดน้อย แต่เห็นหน้าขรึม ๆ อย่างนี้แสนขัดกันกับปลายจมูกแดงเรื่อ จึงอดไม่ได้จะคลี่ยิ้มกว้างขึ้นนิดหน่อย เดินไปกดไหล่อีกฝ่ายให้ย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้
“กลับมาทั้งที พูดอยู่ไม่กี่คำ” เขาเอ่ยยิ้ม ๆ ก้มตัวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วก็เงียบอีกแล้ว”
ธัญญ์ยักไหล่เบา ๆ ดูเหมือนเจ้าเด็กน่าหมั่นไส้คนเดิมจะเริ่มฟื้นคืนชีพขึ้นบางส่วน
“ไม่ใช่ว่าลืมชื่อตัวเองไปแล้วนะ” เขาแสร้งเอ่ยเสียงเครียด “ชื่ออะไรน่ะเรา?”
“สามร้อย” อีกฝ่ายตอบนิ่ง ๆ ทว่าเสียงพูดยังขึ้นจมูก ชวนให้คนมองนึกเอ็นดูขึ้นมาบอกไม่ถูก เกือบหลุดขำออกมาแล้วเมื่อนึกถึงการพบกันช่วงแรก ๆ ของพวกเขา
โดยไม่อิดออด เขาล้วงหากระเป๋าสตางค์ โชคดีคราวนี้ไม่โดนตัวแสบตบไปก่อนอย่างที่ผ่าน หยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะสามร้อยบาทถ้วนแล้วถามใหม่
“ชื่ออะไร”
“ธัญญ์” ฝ่ายนั้นตอบอย่างสงวนถ้อยคำ จ้องเขาไปด้วยตาไม่กะพริบ
“บ้านอยู่ไหน?” เขาเล่นต่อ
คราวนี้ธัญญ์ชูขึ้นมาสามนิ้ว
เพราะไม่เหลือธนบัตรใบละหนึ่งร้อยแล้ว จึงได้วางเจ้าใบสีเทาลงไปแทนอย่างใจป้ำ พร้อมส่งเสียงเป็นเชิงถามในลำคออีกหน
“หืม?”
นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นหลุบลงแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยเหลือบขึ้นสบกับเขา ทิ้งช่วงเงียบงันอยู่พักใหญ่ จนภูเมศคิดขึ้นมาว่า หรือคำถามล้อเล่นตามน้ำของตัวเองฟังดูละลาบละล้วงเกินไปจนทำให้ลำบากใจจะตอบ กำลังเตรียมออกปากว่าไม่เป็นไร เขาแค่พูดเล่นเท่านั้น หากไม่อยากพูดถึง ไม่ต้องตอบก็ได้ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ธัญญ์พึมพำขึ้นมาพอดี
“ที่นี่”
หูเฝื่อนไปแหง ๆ ถึงกับต้องตั้งสติว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งถามออกไปว่าอะไรนะ
“ที่นี่” ธัญญ์ย้ำอีกครั้งกับเขา—ที่พอพ้นระยะงงงวย—หัวใจก็พาลจะสูบฉีดเลือดทั้งแรงและเร็วกว่าปกติจนหน้าร้อนผ่าว
เห็นเขาไม่พูดอะไร น้ำเสียงคนพูดก็แผ่วลงนิดหน่อย เหลือเพียงเสียงงึมงำใต้ปลายจมูก “อยู่กับคุณ ได้ไหมครับ?”
เรื่องนั้นมันชัดเจนตั้งแต่เขาไปตามตัวกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ?
แต่ถึงกระนั้น เมื่อมาได้ยินถ้อยคำเช่นนี้กับหู ก็เหมือนมีก้อนสายไหมใหญ่โตพองฟูขึ้นในอกจนคับแน่น ไม่รู้จะห้ามตัวเองอย่างไรไม่ให้ฉีกยิ้มหน้าบานจนปากจะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว มือซ้ายขวายื่นไปเสยผมอีกฝ่ายแล้ววางค้างไว้ข้างขมับทั้งสอง เห็นหน้าผากเหม่ง ๆ เข้าตรงหน้า ยังไม่ทันได้คิดอะไรยาวไกลนัก ก็เผลอแนบครึ่งปากครึ่งจมูกลงกลางหน้าผากนั้นแล้วสูดเสียฟอดใหญ่
“แหงอยู่แล้ว” เขาถอยออกมา ยกปลายนิ้วขึ้นถูจมูกเบา ๆ พยายามพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทว่ายังปกปิดอาการเคอะเขินได้ไม่แนบเนียนเท่าไร “ที่นี่บ้านเรานี่นา”
ดวงตาที่ยังมีรอยแดง ๆ นั่น ยิ่งจ้องมาก็ยิ่งชวนให้ประหม่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากพูดต่ออยู่ดี “ครอบครัวเรา มีเธอ มีฉัน มีเจ้าภูมิ”
“และถุงทอง?” ธัญญ์พูดต่อ นัยน์ตาดำขลับหยีลงนิดหน่อย พอมองออกว่าพยายามกลั้นยิ้มอยู่เหมือนกัน
“โอเค นับเจ้าเหมียวนั่นด้วยก็ได้” เขาแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่เธอต้องอยู่เลี้ยงนะ ฉันแพ้ขนแมว เลี้ยงเองไม่ได้หรอก”
ว่าพลาง เผลอตัววางริมฝีปากลงกลางหว่างคิ้วอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว
ทั้งยังใจเต้นโครมคราม แต่เมื่อเริ่มแล้ว ก็คล้ายว่าจะถูกแรงดึงดูดที่ห่อหุ้มรอบตัวคนคนนี้ชักจูงไปได้ง่าย ๆ อยู่เสมอ จากแค่จูบผะแผ่วตรงหัวคิ้ว จึงค่อยเลื่อนลงมายังหัวตา
รอบตัวเงียบงันจนได้ยินเสียงจุ๊บเบา ๆ ชวนใจสั่น ธัญญ์ปรือตาลงเมื่อริมฝีปากเขาแนบลงแผ่วเบาบนเปลือกตาเจ้าตัว
ได้ยินน้ำเสียงที่ทำให้นึกภาพรอยยิ้มของคนพูดออกโดยไม่ต้องเหลือบมองเลยด้วยซ้ำ
“ผมคิดค่าเลี้ยงดูแพงนะ”
ลักยิ้มบนแก้มซ้าย คงกำลังบุ๋มลึกลงไปให้เห็นชัดแหง ๆ
“เอาสิ” เขารับคำง่ายดาย สางปลายนิ้วไปตามเส้นผมนุ่มมือของอีกฝ่าย จังหวะนี้ถูกขออะไรมาน่ากลัวจะเผลอตอบรับไปเสียหมด หากโดนปอกลอกหมดตัวคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
“เพราะฉะนั้น ช่วยอยู่ข้าง ๆ ฉันเถอะ”
คล้ายแทนการตอบรับคำร้องขอ ภูเมศรู้สึกถึงน้ำหนักของท่อนแขนที่คล้องรอบคอเขา ความร้อนของผิวเนื้อที่แนบต้นคอส่งมาถึง พร้อมกับแรงดึงเบา ๆ ให้โน้มตัวลงไปหา ขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเพื่อขมวดระยะทางระหว่างพวกเขาให้ใกล้เข้ามาอีก
“ผมอยู่ข้างคุณ” ธัญญ์กระซิบแผ่ว ลมร้อนผสานคำหวานอุ่นซ่านอยู่ริมหู “จนกว่าคุณจะผลักไส”
ริมฝีปากธัญญ์เฉียดแผ่วเบาบนผิวแก้มเขา ขณะเจ้าตัวถอยใบหน้าออกมาหลังเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นจบ แวบแรกคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่เจตนา แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาสีดำสนิททอประกายซุกซนแกมยั่วเย้า ทั้งรอยยิ้มละมุนบนริมฝีปาก กับลักยิ้มบนแก้มซ้ายที่ไม่ได้เห็นเสียนาน จึงตระหนักได้ว่าเขาคิดน้อยเกินไปแล้ว น่าจะรู้ว่าเด็กคนนี้ธรรมดาเสียที่ไหน
“ยั่วหรือ?”
“สำเร็จไหม?”
ทั้งที่ย้อนถามกลับมาเอง แต่คนพูดกลับแก้มแดงระเรื่อจนเห็นชัดเจน ทำหน้าทำตาแบบนี้ ยังกล้าถามว่าสำเร็จหรือเปล่า หากจับอุ้มเข้าห้องแล้วเคี้ยวกลืนเข้าไปทั้งตัวได้ก็คงทำแล้ว
“ไม่แน่ใจ” ต่อให้ในหัวจะเตลิดแทบแย่ แต่เขากลับพึมพำตอบอย่างไว้เชิง คิดแล้วก็ตลกตัวเองที่ยังพยายามงัดสารพัดมุกมาสู้เท่าที่จะมีปัญญา อยากเห็นอีกเยอะ ๆ ว่าฝ่ายนั้นจะทำตัวน่ารักน่าหมั่นไส้อย่างไรให้ดูอีก “ไหนลองใหม่อีกทีซิ”
ระดับความร้ายกาจของคนหนุ่มนั้นไม่ธรรมดา—โดยเฉพาะคนหนุ่มอย่างธัญญ์ ที่ไม่รู้ต้องจำกัดความว่ามีเสน่ห์หรือประหลาดมากกว่ากันแน่—ภูเมศไม่ควรลืมข้อนี้เลย
“ผมไม่ถนัดเรื่องพวกนั้นหรอก”
ธัญญ์ยกมือลูบคาง สีหน้าครุ่นคิด ทว่าแววตาซึ่งสะท้อนส่วนผสมของความเจ้าเล่ห์และเขินอายอยู่นิดหน่อยออกมาให้เห็นต่างหากที่ทำเขาใจสั่น
“แต่ถ้าคุณว่าอย่างนั้น จะลองดูก็ได้”
ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
‘จะลองดูก็ได้’ ของธัญญ์หมายถึงอะไร
ธัญญ์อาจเลือกแสดงออกได้หลากหลาย อย่างเช่นรอยยิ้มสมบูรณ์แบบที่ขนาดผู้ชายด้วยกันเห็นแล้วยังต้องชมว่าหล่อเหลาหมดจด หรือคำพูดอะไรสักอย่างด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ทำให้คนฟังเขินไปอีกพักใหญ่ หรือไม่ก็—
“โอ๊ะ!”
มันไม่ได้เจ็บอะไร แต่ตกใจมากกว่า เห็นความไวขนาดนี้ ไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมเจ้าเด็กแสบนี่จึงฉกกระเป๋าสตางค์และสารพัดของกระจุกกระจิกติดตัวเขาไปได้บ่อย ๆ
ภูเมศยกมือขึ้นลูบต้นคอด้านซ้ายของตัวเอง จุดที่เพิ่งโดนงับเบา ๆ เมื่ออึดใจที่แล้ว ตอนนี้ยังรู้สึกร้อนอยู่เลย รอยแดงเริ่มปรากฏขึ้นจาง ๆ ตามหลัง ไม่นึกว่าหลังได้ตัวกลับมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันอีกหน คนที่เสียแต้มแรกด้วยการถูกฝากร่องรอยไว้บนผิวจะเป็นตัวเองไปเสียได้
“เฮ้ เดี๋ยวนะไอ้หนู” เขากึ่งทึ่งกึ่งขำ แม้เขินอยู่นิดหน่อย แต่ความมันเขี้ยวกลับยิ่งแซงไปไกลโข เห็นตัวการยืนทำตาใสอยู่ตรงหน้าเหมือนรอฟังคำวิจารณ์ผลงาน เล่นเอาอยากก้มลงไปฟัดให้ตัวเหลวเสียรู้แล้วรู้รอด
ธัญญ์เอียงคอเล็กน้อย มองเขาอย่างชั่งใจ สีหน้าท่าทางเหมือนใช้ความคิด ซึ่งตอนนี้ก็แยกไม่ออกแล้วว่าของจริงหรือแกล้งทำ ลูกตากลม ๆ ใต้แพขนตาหนาเหลือบขึ้นมองเขานิ่ง งึมงำคล้ายพูดกับตัวเอง
“อืม..ไม่สำเร็จ?”
สำเร็จเกินความคาดหมายต่างหากล่ะ!
“สวิตช์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นสินะครับ” แล้วยังมีหน้ามาพูดต่อ พลางลากปลายนิ้วชี้ลงบนอกเสื้อเขาอ้อยอิ่ง ทำอย่างกับกำลังหาสวิตช์ที่ว่าอยู่จริง ๆ “ถ้างั้นอยู่ไหนกันนะ”
จุดเชื่อมโยงระหว่างคนสองคนเวลานี้ มีแค่นิ้วชี้นิ้วเดียวที่ลากบนเสื้อนั่นละ ยังไม่ทันแตะต้องผิวเนื้อโดยตรงด้วยซ้ำ แต่ไอ้หัวใจเจ้ากรรมที่เหมือนจะระเบิดอยู่นี่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรกับมันดีเหมือนกัน บางทีสวิตช์นั่นอาจถูกเปิดขึ้นมาตั้งนานแล้วก็ได้
“เด็กแสบ” เขาส่งเสียงบ่นกลั้วหัวเราะ เอื้อมมือรวบเอวธัญญ์ไว้แล้วกระชับอ้อมแขนรวดเร็วจนเจ้าตัวทำหน้าเหวอไปแวบหนึ่ง นิ้วชี้ที่ลากไปมาอย่างซุกซนจึงต้องหยุดไปโดยปริยาย ด้วยทั้งมือของอีกฝ่ายถูกเบียดแทรกระหว่างแผ่นอกของพวกเขาแทน
ไม่เปิดโอกาสให้ได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็เล็งเป้าหมายที่ปากเป็นตำแหน่งแรก เสียงจุ๊บดังชัดตอนดูดเม้มหนัก ๆ บนริมฝีปากอิ่มตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยวเหลือประมาณ
ดูเหมือนเมื่อตั้งตัวติด ธัญญ์ก็พยายามจูบตอบอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เพราะเขาเอาแต่ฉกโฉบมุมนั้นมุมนี้จนเจ้าตัวท่าทางจะงงจนตามไม่ทัน สุดท้ายจึงปล่อยเลยตามเลย เพียงแต่เกาะแขนเขาไว้แน่น เสมองลงพื้น ส่วนที่ปากนั้น อยากดูดเม้มหรือขบเบา ๆ ตรงไหนก็ยอมไปเสียหมดอย่างว่าง่าย ไม่ยักรู้ว่าผู้ชายตัวโต ๆ สักคนก็สามารถทำให้รู้สึกว่าน่ารักขนาดนี้ได้เหมือนกัน
กว่าจะถอยออกมาเพื่อมองหน้าให้ชัดอีกหน ริมฝีปากคู่นั้นก็แดงเจ่อหมดแล้ว แต่กลับยิ่งชวนมอง..น่าดึงดูดกว่าเก่าเสียอีก คิ้ว ตา จมูก ปาก เวลาแบบนี้ ส่วนไหนของใบหน้าก็อย่างกับจะยั่วกันไปเสียหมด
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นรวบท้ายทอยอีกฝ่าย แทรกนิ้วไปตามเส้นผม ประคองศีรษะคนในอ้อมแขนไว้ในฝ่ามือ ก้มลงแนบริมฝีปากลงไปอีกหนอย่างอดใจไม่ไหว คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่จูบเร็ว ๆ ซ้ำ ๆ อย่างหยอกเย้าเหมือนเมื่อครู่แล้ว แต่ค่อยบดเบียดลงเชื่องช้าราวละเลียดชิมของหวาน ปลายลิ้นเคล้าคลึงบนกลีบปากอ่อนนุ่มก่อนจะค่อยเซาะให้มันเผยอออกรับ
พอเป็นท่วงทำนองจริงจังชวนวาบหวามต่างจากก่อนหน้านี้ ธัญญ์ค่อยจับจังหวะสนองตอบทีละน้อย เอียงใบหน้าให้สัมผัสกันและกันได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น ทั้งปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เกาะกอดกันอยู่ไม่มีสะดุดสักนิด ราบรื่นราวผิวน้ำที่ข้างใต้อัดแน่นด้วยคลื่นอารมณ์เชี่ยวกราก
ระยะเวลาที่ห่างเหินกันไปไม่ได้ลบเลือนความคุ้นชินอันฝังแน่นในความทรงจำแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้การได้กลับมาสัมผัสกันอีกครั้งมีความหมายยิ่งกว่าเก่า ความต้องการถูกพัดโหมจนปั่นป่วนได้ง่ายดาย อยากสัมผัส อิงแอบผิวกายร้อนผ่าว อยากแนบชิดกันให้มากกว่านี้..
มือเขาสอดเข้าใต้ชายเสื้อคนในอ้อมแขนแล้วลากไปบนแผ่นหลัง กล้ามเนื้อของคนวัยหนุ่มแน่นตึงสู้ฝ่ามือทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับตัว ชายเสื้อธัญญ์เลิกขึ้นสูงถึงระดับอก เมื่อเขายกแขนที่อยู่ใต้ผืนผ้านั้นให้สูงขึ้น ปลายนิ้วเค้นคลึงอยู่กับกล้ามเนื้อตรงกระดูกสะบัก ขยับแขนและเบี่ยงตัวอีกแค่ไม่กี่ครั้ง ภูเมศก็กระชากเสื้อเชิ้ตแสนเกะกะออกจากร่างกายท่อนบนของอีกฝ่ายได้สำเร็จ
เสียงหอบแผ่วเบาลอยมาเข้าหู นัยน์ตาฉ่ำเยิ้มขึ้นมาจนสังเกตได้ชัดเจน ดวงหน้าแดงซ่านของเจ้าของเสียงยิ่งกระตุ้นอารมณ์หวามไหวให้ลุกลามไปทั่วท้องน้อย ผิวละเอียดขับสีแดงเรื่อบางเบาเรียกร้องสัมผัสไปทั่วทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่ลำคอลงไปถึงช่วงอกผึ่งผาย เอวสอบ ไปจนแนวกระดูกเชิงกรานที่โผล่พ้นขอบกางเกงยีนส์
ภูเมศหายใจสะดุด นึกชื่นชมเป็นครั้งที่เท่าไรก็เกินจะนับ ว่าฝ่ายนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่สวยจริง ๆ นั่นละ ถึงแม้ใช้คำว่าสวยกับผู้ชาย อาจฟังดูแปลกไปสักหน่อยก็เถอะ แต่คิดถึงว่าหากไปเห็นรูปปั้นผู้ชายที่ปั้นออกมาได้งดงามไร้ที่ติสักชิ้น จะเรียกว่าสวยก็คงได้อยู่
“ในห้องไหม?” เสียงเขาแหบพร่ากว่าที่ตัวเองคิดไปไกลโข “ที่เตียง?”
ธัญญ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่ยกสองแขนโอบรอบต้นคอเขา ลมร้อนจากปลายจมูกเฉียดผ่านใบหู ก่อนเขาเองจะเป็นฝ่ายฝังใบหน้าลงบนต้นคอเจ้าตัว ขบเม้มลงตรงตำแหน่งเดียวกับที่เขาเองเพิ่งโดนธัญญ์งับเข้าโดยอ้างว่าเป็นการเปิดสวิตช์อะไรสักอย่าง
หลอดลมที่ลำคอฝ่ายนั้นสั่นเบา ๆ พร้อมเสียงครางต่ำ และหากฟังไม่ผิด ก็คล้ายว่าปนเสียงหัวเราะแผ่วตามหลังมาด้วย ธัญญ์เองคงจับสังเกตได้ว่าเขาจงใจเอาคืนที่ตำแหน่งเดียวกัน
พวกเขาแลกจูบพลางกอดเกี่ยวกันไปตลอดทาง ทั้งเนคไทและเชิ้ตของเขาหลุดร่วงไปตั้งแต่ก่อนถึงหน้าประตูแล้ว เมื่อไปถึงก็ใช้ไหล่กระแทกให้เปิดออกแล้วดันร่างอีกฝ่ายให้ถอยเข้าไปในนั้น ใช้เท้าเตะประตูปิดตามหลัง ควานหารีโมตเครื่องปรับอากาศเงอะงะแล้วสุ่มกดอะไรลงไปสักปุ่มก่อนจะโยนมันทิ้ง จึงค่อยโน้มไหล่อีกฝ่ายให้ลงไปนอนหงายหลังบนเตียงกว้าง
เส้นผมดำขลับกระจายยุ่งเหยิงบนผ้าปูที่นอน ปอยผมส่วนหนึ่งที่ชื้นเหงื่อแปะอยู่บนหน้าผากและผิวแก้มแดงเรื่อ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า และขอบกางเกงยีนส์ในสภาพจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่กำลังทดสอบความอดทนเขาอย่างถึงที่สุด
ซึ่งแน่นอนว่าไอ้ความอดทนนั่นก็เหลืออยู่ไม่มากนักหรอก
กระทั่งธัญญ์ยกท่อนแขนขึ้นมาโอบรอบต้นคอเขา รั้งเบา ๆ ให้โน้มใบหน้าเข้าหา สัมผัสกลีบปากกันและกันในจูบดูดดื่มที่เริ่มต้นขึ้นอีกหน...ทว่าลึกล้ำ และร้อนรุ่มกว่าเก่า
นั่นละเขาจึงได้ตระหนัก...
เรื่องความอดทนอะไรเทือกนั้น ใช้ไม่ได้กับธัญญ์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v