บทที่ 1
รถหรูสีดำขลับเคลื่อนเข้าสู่คฤหาสน์กลางขุนเขา ทันทีเมื่อรถจอดเทียบประตูทางเข้าด้านใน มีพ่อบ้านสูงวัยยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ชายชราค้อมตัวอย่างเคารพเมื่อสองเท้าก้าวลงมาจากฝั่งคนขับ
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชายคิม” เสียงทักทายอย่างเป็นกันเองเรียกรอยยิ้มเบาบางจากอัลฟ่าหนุ่มร่างสูงใหญ่
“สวัสดีครับ”
“คุณท่านอยู่ในสวนด้านหลังครับ”
เขาพยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งวางกุญแจรถลงบนฝ่ามือหยาบกระด้างตามช่วงวัยภายใต้ถุงมือสีขาวสะอาด ชายชราค้อมตัวส่งแขกสูงศักดิ์ของวันนี้แล้วจึงหมุนตัวช่วยนำรถไปจอดเก็บไว้ยังที่เหมาะสมแทน
แอชลีย์ คิม ก้าวเข้าไปยังด้านใน ผ่านโถงรับแขกซึ่งถูกประดับตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่ายังให้กลิ่นอายของความสูงศักดิ์และหรูหราตามแบบฉบับตระกูลใหญ่อันเก่าแก่ผู้เรืองอำนาจ
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในการมาเยือนทว่าคฤหาสน์มัวร์ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาหาใช่ความเงียบเหงาดั่งกาลก่อน อัลฟ่าหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกแบบนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเสียงหัวเราะใสๆ ที่ดังลอดมาจากสวนด้านหลังก็เป็นได้
สองเท้าก้าวอย่างมั่นคงมาจนถึงสวนด้านหลัง ครรลองสายตาปรากฏเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีและต้นไม้น้อยใหญ่ถูกประดับประดาอย่างมีรสนิยม หากจะหาสิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คงเป็นแปลงดอกกุหลาบขาวช่อโตพวกนั้น แม้แต่ผู้ชายแข็งทื่ออย่างแอชลีย์เองก็ยังอดจะทิ้งสายตาไปยังพวกมันไม่ได้
ใกล้กันกับแปลงดอกกุหลาบมีโต๊ะเหล็กดัดสีขาวตั้งอยู่ ที่นั่งฝั่งหนึ่งถูกจับจองไปด้วยอัลฟ่ารูปร่างสูงสวมใส่เชิ้ตแขนสั้นสีอ่อนกับกางเกงผ้าสบายๆ สำหรับวันพักผ่อนกำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ ข้างกันคือโอเมก้าคู่ชีวิตเจ้าของนัยน์ตาสีทับทิมงดงาม สายตาของทั้งคู่กำลังจับจ้องไปยังจุดเดียวกันใบหน้าประดับรอยยิ้มและเต็มไปด้วยความรักใคร่ นั่นก็คือที่มาของเสียงหัวเราะแสนสดใสที่เขาได้ยินนั่นเอง
เด็กชายตัวน้อยกำลังโยนลูกบอลทรงกลมโต้ตอบไปมากับอีกหนึ่งอัลฟ่าที่แอชลีย์คุ้นตาดี เส้นผมสีบลอนด์เป็นประกายยามกระทบกับแสงแดดพลิ้วไสวไปมายามเจ้าตัวน้อยกระโดดโหยงๆ ส่งลูกบอลให้กับชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นคุณอา พออีกฝ่ายพลาดรับไม่ได้ก็ส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ
“ครอบครัวสุขสันต์ดีจริงๆ นะ” เสียงทุ้มเอ่ยทักเมื่อเดินเข้าไปใกล้ผู้ใหญ่ทั้งสองตรงโต๊ะน้ำชา คำพูดคล้ายหยอกเล่นหากแต่ใบหน้านั้นยังคงความเรียบเฉย ราวกับแค่พูดประชดไปแบบนั้น
“มาแล้วเหรอ”
คนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่วางแก้วลงบนจานรอง คาร์ลิน ไล เชื้อเชิญให้แขกคนที่สองของวันนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพลางหันไปเรียกสาวใช้ให้นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“ชาหรือกาแฟดีล่ะ”
“น้ำเปล่า” คนเป็นแขกกระตุกยิ้มมุมปาก เรียกการส่ายหน้าอย่างอ่อนใจจากเจ้าบ้าน บอกกล่าวให้สาวใช้เข้าไปนำน้ำเปล่าออกมา
“แล้วนี่จะเดินทางตอนไหน”
“อีกสองชั่วโมง เลยแวะมาลาท่านจ่าฝูงก่อน”
“ไปรอรับขบวนตรงชายแดนใช่ไหม” คนที่มัวเล่นกับหลานเสียเพลินเดินมาทรุดตัวนั่ง ใบหน้าคมคายมีเหงื่อผุดตามไรผมเล็กน้อย การทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กนี่เผาผลาญพลังงานไปมากพอกับตอนฝึกเลยให้ตาย คุณชายแบล็กวู้ดยกชาขึ้นดื่มไปอึกใหญ่
“คุณแม่~”
คุณชายน้อยวิ่งเข้าหาอ้อมกอดของมารดา พอถูกยกตัวขึ้นนั่งตักก็ยกมือขึ้นกอดรอบเอวบางหมับซบใบหน้าลงกับแผ่นอกแสนอบอุ่น ส่งเสียงออดอ้อนพึมพำกันอยู่สองคนไม่ได้รบกวนบทสนทนาของผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย
“อืม คิดว่าคงต้องใช้เวลาราวๆ ห้าวันกว่าขบวนจะเดินทางเข้าเขตวินเทอร์ฟอล”
“ไกลเหมือนกันนะ ดินแดนทางใต้น่ะแต่ถึงจะเป็นระยะทางประมาณนั้น ขับรถมาก็ไม่น่าจะเกินสองวันนะ”
“ที่แห่งนั้นไม่มีรถใช้เหมือนกับพวกเราหรอก การเดินทางเลยอาจจะต้องนานมากหน่อย” คาร์ลินกล่าว “ห้าวันก็นับว่าเร็วมาก ถึงจะใช้ม้าเร็วพันธ์ดี”
“รถม้าเหรอ พึลึกชะมัด” โรเมโอลูบคางอย่างใช้ความคิด ฝ่ายแอชลีย์ผู้กำลังจะเป็นว่าที่เจ้าบ่าวเองก็ไม่ได้เอ่ยความเห็นตอบอะไรกลับไป
เจ้าบ่าว...
ใครต่างก็ไม่คาดคิดว่าหลังงานวิวาห์แสนหวานชื่นของหัวหน้าจ่าฝูงกับคุณชายตระกูลมัวร์จบลงไปแล้วผ่านไปไม่กี่ปีจะถึงคราวของที่ปรึกษาอย่างผู้นำตระกูลคิมคนใหม่ผู้นี้
หากจะย้อนไปคงต้องกล่าวไปถึงวันที่ทางวินเทอร์ฟอลได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง มันถูกส่งตรงมาจากผู้ได้รับการขนานนามว่าราชาจากดินแดนทางใต้ ในเนื้อความนั้นกล่าวถึงการก่อกบฏเพื่อแย่งชิงอำนาจระหว่างผู้นำคนปัจจุบันซึ่งบัดนี้กำลังและอำนาจอ่อนแอเกินไปกับหนึ่งในที่ปรึกษาของตนเอง
ดินแดนทางเหนือและใต้นั้นเป็นพันธมิตรกันมานาน แต่กล่าวถึงระยะทางแสนห่างไกลทำให้ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้ไปมาหาสู่หรือติดต่อกันนัก เรื่องราวในแต่ละดินแดนเองก็ไม่มีฝ่ายใดรับรู้ชีวิตการเป็นอยู่ของกันและกัน มีเพียงสัญญาระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่ายเท่านั้นที่มีให้แก่กันมานานว่าเราจะไม่ล่วงล้ำอาณาเขตกัน
ในจดหมายลับฉบับนั้นยังกล่าวถึงเรื่องการขอความช่วยเหลืออีกว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
ว่าด้วยเรื่องตระกูลวาเลนอันเป็นผู้นำของแดนใต้นั้นก็เป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่ในอดีตเคยเรืองไปด้วยอำนาจไม่แตกต่างจากสี่ตระกูลหลักของทางวินเทอร์ฟอล เพียงแต่บัดนี้ผู้นำคนปัจจุบันอ่อนแอเกินไปไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามหนึ่งในนั้นว่ากันว่าเป็นเพราะผู้นำหรือที่คนแดนใต้เรียกขานว่าราชาสูญเสียคู่ชีวิตไป และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่พวกเขากำลังจะถูกช่วงชิงอำนาจ และวาเลนจะต้องถึงคราวล่มสลาย
วาเลนซึ่งไร้สิทธิเสียงในดินแดนที่ได้ชื่อว่าบ้านเกิดเมืองนอนของตนจึงคิดว่าการเชื่อมสัมพันธ์กับผู้นำของวินเทอร์ฟอลจะทำให้การคงอยู่ของตระกูลเป็นไปได้ด้วยดี และการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีที่สุดจะมีอะไรนอกจากงานวิวาห์ระหว่างทั้งสองตระกูลกันล่ะ แน่นอนด้วยความสัมพันธ์อันลึกซึ้งอย่างคู่ชีวิต ทางวินเทอร์ฟอลก็ถือว่ามีอำนาจในแดนใต้เช่นเดียวกัน และทันทีที่พวกเขามีทายาทออกมาแล้วล่ะก็ เด็กคนนั้นมีสิทธิและอำนาจเต็มในแดนใต้อย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดาย เมื่อคาร์ลิน ไล หัวหน้าจ่าฝูงคนปัจจุบันนั้นมีคู่ชีวิตอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาปฏิเสธการรับทายาทเพียงคนเดียวของวาเลนมาเป็นคู่ชีวิตคนที่สอง แม้ทางวาเลนจะยื่นข้อเสมอใดมาก็ตาม
ฝ่ายตระกูลที่เหลือนั้นก็มีท่าทางกระอักกระอวนใจไม่น้อย การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์นับเป็นเรื่องปกติ หากการแต่งงานที่ว่านั้นเกิดจากตระกูลภายในวินเทอร์ฟอลหรือฝูงอื่นจากเขตใกล้เคียงอย่างเมืองทางตะวันออก พวกเขาต่างไปมาหาสู่และทำการค้าขายกันบ่อยครั้ง แตกต่างจากดินแดนทางใต้ ซึ่งเป็นดินแดนที่แสนห่างไกล มีเพียงเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษในนิทานก่อนนอนเท่านั้นที่กล่าวถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา
ได้ยินมาว่าผู้มาจากดินแดนทางใต้นั้นชอบล่าสัตว์ พวกเขามักจะชอบนอนกลางดินกินกลางทรายมากกว่าการอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังโต อากาศที่นั่นทั้งร้อนและเต็มไปด้วยแสงแดดแผดเผา ผู้คนสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเต็มไปด้วยเหงื่อไคล ผมเผ้ารุงรัง นิสัยดุดันและน่ากลัว แม้แต่โอเมก้าหรือหญิงสาวก็ยังมีพละกำลังรุนแรง ร่างกายบึกบึนไม่น่าคบหารากับคนเถื่อน เรื่องเล่าลือเหล่านั้นฝังเป็นภาพจำของชาวแดนเหนือเสียจนชายหนุ่มเจ้าสำราญอย่างโรเมโอ แบล็กวู้ดก็ยังโบกมือปฏิเสธ
คำขอร้องนั้นเกือบจะถูกเมินเฉยไปแล้วทว่าผู้นำของตระกูลคิมคนใหม่อย่างแอชลีย์กลับยื่นมือคว้ามันเอาไว้อย่างไม่ลังเล แม้จะถูกเพื่อนพ้องยับยั้งให้คิดซ้ำอีกกี่ครั้งก็ตาม จนสุดท้ายคาร์ลินก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจและตอบรับจดหมายฉบับนั้นกลับไปจนกำลังจะเกิดเป็นงานวิวาห์ระหว่างสองดินแดนขึ้นในอีกไม่ช้านี้
เป็นอย่างที่รู้กันดีว่าผู้ชายอย่างแอชลีย์ คิมนั้นไม่สนอะไรนอกจากอำนาจ ต่อให้การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการคลุมถุงชนเขากลับยินดีไขว่คว้าข้อเสนอนั้น
ถ้าเพื่ออำนาจแล้ว
ข้อนั้น คนที่เคยเกือบจะแตกหักฆ่ากันให้ตายไปข้างอย่างคาร์ลินรู้ดีเลยล่ะ
ขบวนรถม้าขนาดเล็กเคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตป่าสนในช่วงบ่ายของวัน หลายคนเริ่มมีรอยยิ้มหลังจากเร่งเดินทางกันมากว่าห้าวันสี่คืน ถนนเล็กๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนสูงใหญ่ขนาบไปตลอดทางช่วยบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นลงกว่าเดิม
ซินเธียแง้มผ้าม่านมองลอดออกไปยังภายนอกด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันแปลกใหม่ เสียงกระทบจากกำไลเงินเส้นเล็กบนข้อมือทั้งสองข้างดังขึ้นยามเมื่อเจ้าของร่างขยับกาย
“ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่เขตของวินเทอฟอลแล้วครับ เจ้าชาย” เสียงจากผู้ติดตามดังขึ้นใกล้ๆ กับหน้าต่างของรถม้า
“อืม”
ซินเธียตอบกลับในลำคอพลางลูบลำแขนทั้งสองข้างของตัวเองไปมา เดาจากอากาศเริ่มเย็นลงแบบนี้ก็พอจะรู้แล้วล่ะ ชายหนุ่มเอนกายพิงกับหมอนอิงใบโตแล้วหลับตาลง ถึงแม้ว่าขบวนเจ้าสาวนี้จะไม่ได้ใหญ่โตเอิกเกริกอะไร สำหรับดินแดนทางใต้อย่างธอร์นแล้วข่าวการวิวาห์ไม่ได้ถูปป่าวประกาศออกไปมากนัก และเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนอะไรหลายๆ อย่างถึงไม่ได้ถูกจัดเตรียมได้อย่างยิ่งใหญ่ รถม้าขนาดพอดีแต่ก็มีความสะดวกสบายเพียบพร้อม การประดับตกแต่งตัวรถรวมถึงม้าพันธุ์ดีนี้ก็ถูกจัดเตรียมมาอย่างสมฐานะ มีผู้ติดตามอารักขาขบวนฝีมือดีไว้ใจได้เพียงไม่กี่คนแค่นั้นก็พอแล้ว
ขบวนเจ้าสาวครั้งนี้ไม่มีผู้ติดตามหรือสาวใช้ พวกเขาแค่ทำหน้าที่อารักขาขบวนเจ้าสาวเมื่อส่งถึงจุดหมายก็จะเดินทางกลับธอร์นทันที เมื่องานวิวาห์ถูกจัดขึ้นซินเธียจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลคิมแห่งวินเธอร์ฟอล ถึงแม้ว่าวาเลนจะล่มสลายลงแต่ซินเธียก็จะยังปลอดภัยภายใต้ปีกของผู้ชายคนนั้น แอชลีย์ คิม
พอคิดถึงตรงนั้นจิตใจที่สงบนิ่งมาตลอดห้าวันนี้ก็เริ่มหวั่นวิตกขึ้นมา โอเมก้าหนุ่มนึกย้อนไปถึงเมื่อหลายวันก่อน ช่วงเวลาก่อนตนจะออกเดินทาง ช่วงเช้ามืดภายในห้องนอนของตัวเอง เขานั่งอยู่หน้ากระจกบานโต ภาพของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งดวงตาสีเงินสะท้อนอยู่ภายในนั้น เส้นผมสีจินเจอร์ยาวระสะโพกกำลังถูกแคลร์สาวใช้คนสนิทช่วยสางให้อย่างถะนุถนอม
“กังวลหรือคะ” หญิงสาวเอ่ยถามผู้เป็นนาย บนใบหน้าฉายรอยยิ้มบางเบา แม้คนที่กำลังนั่งให้ตนสางเส้นผมอยู่ตอนนี้จะส่ายหน้าไปมา แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้ดีว่าชายหนุ่มกำลังรู้สึกทั้งกังวล และอาวรณ์บ้านเกิดเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้จะถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
เดินทางไปยังดินแดนแสนไกล เพียงลำพัง คิดถึงตรงนี้สองมือมันก็อดจะสั่นไม่ได้ แคลร์เองก็กังวลไม่แพ้กัน สำหรับโอเมก้าที่ทำหน้าที่ดูแลคนตรงหน้ามาตั้งแต่เยาว์วัยแล้วซินเธียเองก็ไม่แตกต่างจากน้องชายของเธอคนหนึ่ง
“…แคลร์”
“คะ?”
“จะเป็นอย่างไรนะ ที่แห่งนั้นน่ะ” หญิงสาวเก็บซ่อนอารมณ์อ่อนไหวต่างๆ เข้าไว้ส่วนลึกของจิตใจแล้วระบายรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา วางแปลงผมลงบนโต๊ะแล้วเดินมาโน้มตัวจัดริบบิ้นเส้นเล็กตรงปกคอเสื้อให้เข้าที่โดยไม่ได้ตอบอะไรในทันที เธอหันไปหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มมาสวมให้เพื่อปกปิดผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดภายใต้เสื้อแขนกุดนั้น วุ่นอยู่กับการจัดนั่นจัดนี้อยู่นานแม้ว่าทุกอย่างมันจะดีอยู่แล้ว
“ดิฉันเคยได้ยินแม่เล่าเมื่อตอนยังเด็ก” หญิงสาวสวมกำไลเงินให้ผู้เป็นนายทีละอันอย่างตั้งใจ “ดินแดนแห่งนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน โอบล้อมไปด้วยหุบเขาและป่าสนเขียวขจี”
“หิมะหรือ” นัยน์ตาสีเงินเปล่งประกายขึ้นชั่วขณะ
สำหรับธอร์นแล้ว คำๆ นั้นช่างดูแปลกใหม่ ในเมื่อบ้านเกิดของเขาไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่ว่าจะช่วงไหนของปีก็ตาม พวกเราเติบโตอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ถูกโอบล้อมไปด้วยสายลมและทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล
“ใช่ค่ะ ที่นั่นอากาศเย็นมากๆ เจ้าชายต้องใส่เสื้อตัวหนาๆ หน่อยนะคะ”
“...”
“ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ไปอยู่ที่นู่นคงมีอะไรหลากหลายอย่างไม่เหมือนกับที่นี้ อาหารอาจจะไม่ถูกปากไปบ้างแต่คุณก็ต้องอดทน”
แคลร์มองลึกเข้าไปภายในดวงตาสีเงินคู่นั้นซึ่งทอแววอาวรณ์ออกมาแม้จะบางเบาแต่มันก็ทำให้เธออดจะยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของบุคคลผู้เปรียบเสมือนน้องชายคนนี้ไม่ได้
“และหากวันไหนคิดถึงก็ขอให้มั่นใจว่าท่านลิมเบิร์กและท่านเซรีน่าจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมจี้สีสร้อยคอทรงหยดน้ำแผ่วเบา อความารีนชิ้นนี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวจากท่านแม่ที่มอบให้แก่ซินเธีย เขามักจะหยิบมันมาสวมทุกครั้งยามต้องออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ การออกลาดตระเวนหรือใดใดก็ตาม เพียงแต่ไม่มีครั้งไหนที่จะมีระยะทางห่างไกลจากดินแดนบ้านเกิดเท่าครั้งนี้
และคงเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะสามารถกลับมาได้อีกหรือไม่ ชายหนุ่มขยับมือกุมอความารีนในมือแน่นขึ้น
“เราจะดูแลตัวเอง”
“เจ้าชาย เรากำลังจะเข้าใกล้จุดนัดพบแล้วครับ”
เสียงเตือนจากผู้ติดตามคนเดิมช่วยดึงสติที่ล่องลอยไปไกลของโอเมก้าหนุ่มให้กลับมา
“ดูเหมือนพวกเขาจะมารออยู่แล้วครับ”
หัวใจของซินเธียเต้นแรงขึ้น เขาบีบมือของตัวเองแน่นเมื่อการเคลื่อนไหวของรถม้าลดความเร็วลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหยุดลง
กลิ่นไม่คุ้นเคยลอยเข้ามาแตะจมูกปลุกให้สัญชาตญาณการระแวดระวังของชนเผ่าผู้ล่าอย่างธอร์นถูกปลุกขึ้นมา และซินเธียรู้สึกว่าทั้งร่างของตนนั้นเกร็งขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากด้านนอก ทว่ามันใกล้... ใกล้เสียจนคล้ายกับเจ้าตัวกำลังยืนอยู่หน้าม่านทึบซึ่งเป็นทางออกของรถม้าคันนี้
“ไอ้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนแมวตั้งท่าจะขู่นี่มันอะไรกัน”
เสียงนั้นพึมพำกับตัวเองถึงแม้ว่ามันจะเบาแต่สำหรับคนที่มีเพียงผ้าม่านกั้นเอาไว้ระหว่างกันอย่างซินเธียแล้วกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน สำเนียงทางเหนืออาจจะฟังยากไปบ้างแต่เขาก็เข้าใจที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทุกอย่าง
แมวขู่? พูดบ้าอะไรของเขากัน
“ออกมาได้แล้ว พวกเรายังมีเรื่องต้องไปจัดการอีกเยอะ”
ซินเธียดึงสติของตัวเองกลับมาอีกครั้งเมื่อน้ำเสียงจากคนตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนไปราวกับไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว ชายหนุ่มเลิกผ้าม่านขึ้นด้วยหัวใจเต้นระรัว แวบแรกซินเธียแอบช้อนสายตาขึ้นไปมองสบเข้ากับนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นซึ่งกำลังเหลือบลงมองตนอยู่พอดิบพอดี
ราวกับโลกทั้งใบกำลังหยุดลง
ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้เสื้อโค้ทสีเข้ม ผิวของขาวซีดตัดกับกลุ่มผมสีดำสร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่โอเมก้าน้อยจากต่างแดน หนึ่งในนั้นคือความไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะทั้งบรรยากาศรอบตัวของผู้ชายคนนี้ กลิ่น หรือแม้กระทั่งความวูบไหวอันแปลกประหลาดภายในใจ
หลังพาตัวเองลงมาจากรถม้าได้แล้วอัลฟ่าคนนั้นก็คลุมอะไรบางอย่างลงมาบนร่างให้จนซินเธียสะดุ้งตัวโยน
“รีบเข้าเถอะ อีกไม่นานหิมะจะตกแล้ว”
เขาคนนั้นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ผินไปอีกด้านเพื่อสั่งให้ผู้ติดตามของตนเองไปจัดการบรรดาข้าวของของว่าที่เจ้าสาวให้เรียบร้อย ในระหว่างนั้นซินเธียก้มลงมองสิ่งที่อีกฝ่ายโยนมาบนร่าง มันคือเสื้อคลุมขนสัตว์ และมันมีขนาดใหญ่มากพอจะสามารถคลุมร่างของเขาได้ทั้งตัว
พอรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากขนสัตว์พวกนี้แล้วซินเธียก็ตระหนักได้ว่าเนื้อตัวของเขาก่อนหน้านี้มันเย็นมากจริงๆ อาจเพราะมัวแต่ตื่นเต้นรวมมึงความกังวลต่างๆ นานากำลังกัดกร่อนจิตใจจึงทำให้เขาลืมเลือนแม้กระทั่งว่าร่างกายของตนเองกำลังหนาวสั่น
ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนตัวโตกว่าที่กำลังยืนสั่งการผู้ติดตามของตนเองแวบหนึ่งแล้วกอดกระชับเสื้อคลุมบนร่างให้แน่นขึ้นอีกนิด ชายคนนี้คืออัลฟ่าผู้นำตระกูลคิมคนปัจจุบัน และกำลังจะเป็นคู่ชีวิตของเขาหลังจากนี้อีกไม่นาน
เขาเม้มปากแน่น ในใจคิดถึงชีวิตของตัวเองหลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
จะเป็นอย่างไรต่อกันนะ
“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว”
เพราะข้าวของของซินเธียมีไม่มากนักการขนย้ายจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินตามชายผู้ชื่อว่าแอชลีย์ คิมไปโดยไม่ปริปากอะไรจนกระทั่งพวกเขาหยุดลงตรงหน้าอะไรบางอย่างซึ่งซินเธียไม่รู้จะบรรยายลักษณะของมันออกมาแบบไหน มันเหมือนเครื่องยนต์อะไรสักอย่างสีดำขลับ และมีสี่ล้อ สำหรับคนที่อยู่บนหลังม้ามาทั้งชีวิตอย่างซินเธียแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันช่าง...
“เรา... กำลังจะนั่งเจ้านี่ไปอย่างนั้นหรือครับ” เขาถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก ในใจนึกหวาดระแวงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่น้อย
“ก็ใช่น่ะสิ” แอชลีย์เลิกคิ้วราวกับว่าคำถามของคนข้างตัวช่างโง่งมสิ้นดี “ที่นี่ไม่มีรถม้าหรืออะไรก็ตามอย่างที่พวกเธอใช้กันหรอกนะ เอาล่ะเข้าไปได้แล้ว”
โอเมก้าหนุ่มถูกดันตัวให้เข้าไปด้านในของสิ่งนั้น ซินเธียเข้าไปนั่งบนเบาะด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ร่างกายก็เกร็งไปหมด มันยิ่งกว่าความรู้สึกของการฝึกขี่ม้าครั้งแรกเสียอีก ถึงแม้การขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าครั้งแรกไปจนกระทั่งการฝึกทรงตัวขณะที่พวกมันวิ่งอย่างรวดเร็วจะดูอันตรายมากกว่าการนั่งอยู่ภายในเจ้าสิ่งนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการขี่ม้านั้นดีกว่าเป็นไหนๆ
ซินเธียมองตามคนตัวสูงเดินอ้อมเข้ามานั่งอีกฝั่ง ทันทีเมื่อเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นซินเธียร์ก็ยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ และมากขึ้นไปอีกเมื่อฝ่ายนั้นขยับตัวโน้มเข้ามาจนใบหน้าแทบจะชิดกัน
“คาดเบลท์ด้วย มันจะอันตรายหากเธอไม่ยอมจัดการกับมัน” ถึงแม้จะเกร็งจนแทบเอนตัวแนบกับพนักพิงแน่นแต่ดวงตาสีเงินก็คอยจับจ้องการกระทำของคนตัวสูงทุกท่วงท่า ตั้งแต่การดึงเจ้าสายสีดำออกมาจากอีกฝั่งแล้วพาดตัวของซินเธียเอาไว้จนกระทั่งส่วนปลายของสายนั้นถูกกดเข้ากับอะไรบางอย่างจนส่งเสียงกริ๊กออกมา
แบบนี้มันออกจะขยับตัวอยากสักหน่อยนะ...
ถึงจะไม่ค่อยชินแล้วก็อึดอัดเล็กน้อยทว่าโอเมก้าหนุ่มก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไรออกไป เขานึกถึงพูดของแคลร์ ไม่ว่าจะให้เจอกับอะไรก็ให้อดทนเอาไว้ มันอาจจะยากแต่ว่าถ้าเขาพยายามปรับตัวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นเอง
“เธอ... ชื่ออะไรนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังปล่อยให้ความเงียบปกคลุมระหว่างเราสองคนมาพักใหญ่ ทิวทัศน์รอบด้านที่เคยเป็นป่าสนขนาบสองข้างทางเริ่มบางตาลงเปลี่ยนเป็นตัวเมือง
“ซินเธีย... ซินเธีย วานเลนเธีย”
“อืม” ฝ่ายนั้นครางรับในลำคอ “ส่วนชื่อของฉันคงจะรู้แล้วสินะ”
“อื้ม คุณคือแอชลีย์สินะครับ”
แอชลีย์พยักหน้า ปล่อยให้ความเงียบคืบคลานมาอีกครั้งจนกระทั่งที่ยานพาหนะนี้พาพวกเราเคลื่อนเข้าสู่เขตป่าสนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิม มีอะไรบางอย่างกำลังตกลงมาจากฟากฟ้า
ซินเธียยกสองมือขึ้นทาบกับกระจกรถ ดวงตาสีเงินคู่สวยจับจ้องไปยังเกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์ด้านนอกอย่างสนอกสนใจ
สวยมาก...
สวยมากจริงๆ นี่สินะหิมะที่แคลร์พูดถึง
“หิมะแรกตกแล้วสินะ”
คนทำหน้าที่เป็นสารถีเปรยออกมาเสียงเบา นัยน์ตาสีอำพันจับจ้องไปยังถนนตรงหน้าในขณะที่ความเร็วของรถก็เริ่มลดลง คนที่กำลังจับจ้องสิ่งมหัศจรรย์จากภายนอกผินกลับมามองเสี้ยวหน้าคมคายของคนข้างตัวเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายนั้นกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา
อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาระบายรอยยิ้มเป็นครั้งแรกหลังจากเดินทางออกจากบ้านเกิดมา
“ยังไงก็... ยินดีต้อนรับสู่วินเธอร์ฟอล ซินเธีย วาเลนเธีย”
TBC....
-------------------------------------------
สวัสดีอย่างเป็นทางการนะคะ เราไม่ค่อยถนัดการลงในเว็บนี้สักเท่าไหร่บางทีอาจจะมีการจัดหน้าหรือตั้งหัวข้อแปลกๆไปบ้าง
ต้องขออภัยนะคะ แหะๆ ฝากติดตามเรื่องราวของคุณแอชลีย์และน้องซินเธียด้วยนะคะ
มนริต้า.