ยกที่28 เบา เบา
สินค้าชิ้นนี้ต้องทดลองแบบถึงเนื้อถึงตัว เนื่องจากห้องน้ำเล็กไปออกท่าไม่สะดวก(?) พวกผมเลยเปลี่ยนทำเลกันมาที่ห้องนอนแทน คนผิวเข้มทิ้งตัวนอนบนเตียงยกยิ้มมุมปาก ทำหน้ากวนส้นท้าทาย ใบหน้าหล่อเข้มพอมีหนวดมาเสริมทำให้ดูเถื่อนเพิ่มขึ้นหลายระดับ
ผมตามไปคุกเข่าคร่อมเหนือตัวซัน มือถอดเสื้อโยนทิ้งไปอีกทางก่อนจะโน้มเข้าหาใช้นิ้วคีบ จับผมมันเล่น
“ผมเริ่มยาวแล้วนี่หว่า ว่างๆ ไปตัดมะ กูก็เริ่มอยากเปลี่ยนทรงแล้วเหมือนกัน”
“ไว้ก่อน มึงเองก็เหมือนกัน อย่าเสือกไปตัดทรงบ้าๆ มาเชียว” มีถลึงตาใส่ เบื่อจริงคนรู้ทัน! ผมว่าจะไถอยู่นะเนี่ย มันเล่นขู่ตาเขียวแบบนี้เลิกคิดไปได้เลย แต่อย่างน้อยต้องไปตัดเอาความยาวออกหน่อย ผมอยากได้รากไทรเท่ๆ ไม่ใช่ทรงสาวจ๋า
นั่งคิดทรงในหัวไปก่อนจะสะดุ้ง จังหวะที่ซันชันตัวขึ้นมาเอาหน้าซุกคอ ปกติก็เอียงหน้ารับอย่างดีอะนะแต่งานนี้ผมใช้มือดันหน้ามันออกอย่างไว ไอ้ซันขมวดคิ้วฉับท่าทางหงุดหงิด
“อะไรของมึงวะ”
“มันเจ็บเว้ย ไม่เอาแล้ว มึงไปโกนหนวดเดี๋ยวนี้เลย” ของจริงกับจินตนาการแม่งต่างกันลิบลับ โดยทั่วไปเส้นผมของผู้ชายจะหนากว่าของผู้หญิงอยู่แล้ว พอเป็นหนวดที่โกนประจำแล้วตอนนี้ตอกำลังขึ้น ยามมันไซร้คอโคตรเจ็บ!
เห็นท่าทางต่อต้านชัดเจนซันก็นึกเอะใจ เลิกคิ้วมองใช้มือปัดเรือนผมคนบนตักออกเผยให้เห็นลำคอขาวแต้มรอยแดงไปปืดหนึ่ง นิ้วโป้งสากลองถู ไม่มีแผลแค่เป็นรอยแดงเฉยๆ แต่เมียว่าเจ็บก็คือเจ็บ ซันไม่ได้มีรสนิยมซาดิสม์ออกจะถนอมคู่นอนด้วยซ้ำ ส่วนความดุเดือดเร่าร้อนระหว่างมีอะไรกันคงต้องยกยอดไป ไม่มีแผล ไม่ได้เลือด สุขคู่ไม่ถือว่าผิด
“โกนก็โกน มึงโกนให้กูนะ” ว่าพลางอุ้มเมียออกจากตักแล้วเดินขยี้หัวสยบความงุ่นง่านไปนั่งเต๊ะจุ๊ยบนฝาชักโครก มันก็คงจะดูดีหรอก หากฉากประกอบไม่ใช่ส้วม!
ผมหัวเราะคนหน้าบูด เดินฮัมเพลงหยิบโฟมมาละเลงคืนบ้าง หนวดของซันขึ้นตั้งแต่สันกราม เหนือหรือใต้ริมฝีปากก็มีหมด หากปล่อยยาวคงรกรุงรังเป็นโจรป่าของจริง เวลาละเลงโฟมหน้ามันเลยวอกไปครึ่งหนึ่งโคตรตลก อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้นะ ถ้าไม่ติดว่าใครบางคนมันรั้งตัวผมให้นั่งคร่อมตักหันหน้าเข้าหา สองมือใหญ่โอบเอวไว้กันหงายหลัง
ผมอดไม่ได้ที่จะถาม “มึงแน่ใจนะจะให้กูโกนด้วยท่านี้” ยืนโกนหนวดคนอื่นว่าไม่ถนัดแล้ว ดันเจอท่ายากอีก
“โกนๆ ไป” คุณผัวมั่นใจขนาดนี้ คุณเมียก็จัดไป โกนมาเลือดสาดน้องโป้ไม่รับผิดชอบนะ
ผมเริ่มโกนตั้งแต่บริเวณแก้มตามแนวเส้นขน แม้มันจะมีแค่ตอแต่ผมก็ต้องล้างที่โกนหนวดเป็นระยะ เดี๋ยวหน้าหล่อๆ ของมันเป็นสิวเพราะสิ่งสกปรกอุดตันผมคงปวดใจแย่ พอจัดการเสร็จก็ตามด้วยปาก ไม่ต้องสั่งมันก็เม้มปากให้อย่างรู้งาน ผมบรรจงโกนแบบเบามือที่สุดแล้วตามด้วยโกนตรงคอไล่ขึ้นมาถึงปลายคาง ตรงจุดนี้ผมเงอะงะนิดหน่อยด้วยความไม่ชิน เพราะหนวดผมมีนิดเดียวไม่เหมือนซัน ฮอโมนชายเต็มเปี่ยมจนน่าหมั่นไส้
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ทำซ้ำอีกครั้งให้หน้าเกลี้ยงเกลา ตามด้วยใช้ผ้าชุมน้ำเช็ดทำความสะอาดให้ ผืนเดียวกับที่มันเช็ดให้ผมนั่นแหละ ปิดท้ายด้วยอาฟเตอร์เชฟบำรุงผิวหลังโกนหนวด เสร็จสิ้นทุกอย่างก็จุ๊บปากมันที
“หล่อแล้วแฟนใครเนี่ย”
“แฟนหมาแถวนี้ ล่อซะกูหมดอารมณ์ ลุกไปทำอาหารให้กูเลย” ว่าพลางตบๆ ก้นผมเลยโบกหัวมันคืนไปที ยัดที่โกนหนวดให้มันล้างเอง แล้วหนีมาทำข้าวเย็นที่จวนจะกลายเป็นมื้อค่ำ ขอสรุปเลยนะว่าการทดลองใช้งานล้มเหลว ใครฟินไม่รู้ รู้แต่ผมไม่ฟินแน่นอน จบข่าว
ได้กลับมาอยู่กับซันก็มีความสุขดี ไม่ต้องทนนอนพื้นแข็งๆ กลิ้งบนเตียงสบายใจแล้วยังมีนาฬิกาปลุกส่วนตัว แต่ช่วงนี้ใกล้สอบเวลาส่วนใหญ่ของซันหมดไปกับการอ่านหนังสือ ไม่รู้มันจะคร่ำเคร่งอะไรนักหนา ส่วนผมก็ลอยลำวิ่งไล่เคลียร์งานส่ง รวมถึงพรีเซนต์โมเดลที่นั่งทำกับพวกแม็คด้วย
อาจารย์ไม่เรียกชื่อเหมือนเด็กมัธยม อาศัยความสมัครใจออกมาพรีเซนต์งานเอง โดยกลุ่มแรกมักจะได้คะแนนพิเศษหรือการอะลุ่มอล่วยหากงานพลาด ช่วงเรียนมหา’ลัยใหม่ๆ ต้องออกไปพูดหน้าห้องครั้งแรก ไม่ค่อยมีคนกล้านักหรอก ปีหนึ่งส่วนใหญ่เป็นวิชาพื้นฐาน มักเรียนรวมกับสาขาอื่น ประชากรในห้องเลยแน่นขนัด บางวิชาก็เกือบร้อยคนได้แล้วต้องไปยืนพูดใส่ไมค์หน้าห้องคนเดียวมีขาสั่นกันบ้างแหละ
บังเอิญว่าผมสตรองไง เสนอหน้าออกคนแรก หวังให้มันจบๆ และได้คะแนนพิเศษ เพราะสุดท้ายมันก็ต้องทำอยู่ดี ยืดเวลาออกไปมีแต่จะนั่งระทึกนานกว่าเดิม ถามว่าตื่นเต้นไหม มันก็ตื่นเต้นนะ มืองี้สั่นเหมือนองค์ลง พูดก็เสียงสั่นอาศัยทำตลกกลบเกลื่อนเอา แต่พอทำบ่อยๆ เข้ามันก็ชินเอง
ไปๆ มาๆ กลายเป็นธรรมเนียมที่ผมต้องเสนอหน้าเป็นคนแรกซะงั้น หรือต่อให้บางทีนึกอินดี้อยากปิดท้ายก็โดนเพื่อนใช้เท้าเขี่ยคะยั้นคะยอให้ออกไปอยู่ดี คราวนี้ก็เช่นกัน แม็คมันรู้ชะตากรรมอยู่แล้วจับคู่ผมมันได้เริ่มคนแรกตลอด หรือต่อให้เดี่ยวก็โดนผมลากให้พูดต่อเป็นคนที่สองอยู่ดี อาร์ทเพื่อนร่วมชะตากรรมคนใหม่ ได้แต่ทำใจแล้วยกโมออกมาหน้าห้อง
ผมรับไมค์คนแรก เริ่มต้นจากการไหว้อาจารย์และผองเพื่อน ตามด้วยแนะนำตัวซึ่งไม่รู้จะแนะไปทำไม ในเมื่อรู้จักหน้ายันสันดานกันหมดแล้ว ก่อนจะเริ่มพูดหัวข้อโดยมีแม็คคอยเปลี่ยนสไลด์ อาร์ทเป็นขาตั้งโมเดล
“หัวข้อที่พวกผมได้รับคือการออกแบบร้านส้มตำให้ดูทันสมัยและเหมาะกับอาหารที่ขาย ก่อนอื่นผมพูดถึงส้มตำก่อน ทุกจะชินภาพร้านที่มีแม่ค้าเหงื่อซกโขกส้มตำสลับปัดแมลงวันไปพลางๆ บางทีตกใส่ครกบ้างตำออกมาใส่จานกินอร่อยดี” ทุกคนคิดภาพตามเกิดเสียงหัวเราะในห้องเพราะมันคือเรื่องจริง กระทั่งอาจารย์ยศสุดที่รักยังหลุดยิ้ม การพรีเซนต์งานออกมายืนพูดปาวๆ ราวกับเป็นหุ่นยนต์ไม่ได้ เราต้องรู้จักเอนเตอร์เทน เปรียกเทียบ ยกตัวอย่างให้ทุกคนคล้อยตาม
ผมเกริ่นในเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว เพื่อปูทางเข้าสู่หัวข้อหลัก บอกว่าโมเดลนี้มีการผสมผสานระหว่างร้านแบบที่ทุกคนคุ้นตากับแบบใหม่ที่ทันสมัยอะไรก็ว่าไป โม้เยอะๆ ยังไงเราก็ไม่ได้ไปนั่งสร้างร้านจริงๆ ไอเดีย จินตนาการบางครั้งเพ้อฝันหน่อยก็ได้ เพราะมันไม่ต่างจากเป้าหมายให้คนพัฒนา วันนี้ทำไม่ได้ อนาคตต้องทำให้ได้ในความคิดผมอะนะ
พอผมพูดส่วนของตัวเองจบ ก็สลับกับแม็คให้มันมาพรีเซนต์ต่อว่าเราจะใช้วัสดุอะไร เป็นการจำลองสถานการณ์ ปิดท้ายด้วยอาร์ทร่ายขั้นตอนการสร้างฉบับมโน และขั้นตอนการทำโมเดล เมื่อพรีเซนต์จบก็จะเป็นช่วงถามตอบ เริ่มจากให้เพื่อนยกมือถามก่อน บางทีก็เป็นคำถามมีสาระ แต่ส่วนใหญ่แม่งไร้สาระจงใจกวนส้นกันมากกว่า
ระหว่างนั้นอาจารย์ยศจะชอบไปนั่งไขว้ห้างหลังห้องแบบคูลๆ มือถือกระดาษให้คะแนน ดวงตาสวมแว่นกวาดมองบรรดาศิษย์ทั้งคนที่ออกไปพูดและผู้ฟัง การให้คะแนนของอาจารย์ทุกท่านจะแยกออกหลายทางแล้วแต่เนื้องาน หลังอาจารย์มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครถามต่อ ก็ถึงเวลาตัดสินชะตาชีวิตว่าจะได้คะแนนเยอะหรือน้อย
ส่วนใหญ่พวกอาจารย์จะชอบเลือกถามคนที่ดูไม่ค่อยมีบทบาทในงาน พวกที่พูดฉะฉานเถียงอาจารย์ฉอดๆ แบบผม มักจะถามแค่คำสองคำแล้วเมินเสีย ดีที่พวกเราสามคนสุมหัวปรึกษาลงมือช่วยกันทำไม่มีใครอู้ ไม่ว่าอาจารย์จะถามอะไรก็ตอบได้หมด ทุกอย่างจึงผ่านไปด้วยดี ได้รับการปล่อยตัวให้กลับมานั่งที่รอกวนเพื่อนกลุ่มต่อไป
ผมมั่นใจว่าคะแนนต่อให้ไม่เต็มก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี ที่เหลือคือการอ่านสอบแล้วล่ะ การสอบมหา’ลัยอย่าหวังข้อกาเลย มีแต่ข้อเขียนล้วนๆ น้อยนักที่จะมีข้อกา แถมไอ้พวกข้อสอบปรนัยมีโอกาสทำให้คะแนนดิ่งลงเหวมากกว่าอัตนัยที่เปิดกว้างให้เขียนคำตอบ ข้อกาผิดแล้วผิดเลยไม่ได้คะแนน ข้อเขียน ไม่รู้ก็ยังงูๆ ปลาๆ ได้อย่างน้อยๆ อาจารย์ก็ให้ค่าหมึกล่ะวะ
เรื่องงานผ่านพ้นไป วิชาที่ลงเรียนก็ปิดคลาสกันหมดแล้วในช่วงหลายวันก่อนสอบ ผมกลับมานั่งๆ นอนๆ ทำงานบ้านอยู่ที่ห้อง ไม่มีความคิดที่จะอ่านสอบเร็วๆ นี้ ผมเป็นพวกอ่านปุ๊บสอบเลย ล่วงหน้านานๆ แล้วลืม ไม่เหมือนไอ้ซัน ป่านนี้ยังไม่โงหัวจากหนังสือ มันจะอ่านเอาโล่หรือไง
ขณะที่ผมกวาดพื้น นึกหมั่นไส้หมุนไม้กวาดใช้ด้ามทิ่มขาซันที่นอนเหยียดมือถือหนังสือเคมี กับพวกชีท สมุดโน้ต อุปกรณ์การเขียนกองรอบตัว
“ลุกดิ้ เกะกะว่ะ โซฟามีไม่นอนมึงมากองบนพื้นทำไม”
“โซฟาร้อน นอนบนพื้นกระเบื้องมันเย็นดี” ในที่สุดมันก็ยอมวางมือจากหนังสือ เก็บข้าวของไปกองบนโต๊ะหน้าทีวีแล้วแย่งไม้กวาดผมไปทำเอง เออดี ผมเลยนั่งกระดิกเท้าบนโซฟา หยิบหนังสือมันมาดูเล่นๆ บางอันก็รู้เรื่องเพราะเคยเรียนผ่านๆ สมัยมัธยม บางอันเหมือนอ่านภาษามนุษย์ต่างดาว
“โอ้โห อาจารย์มึงสอนไวเนอะ เรียนไปครึ่งเล่มแล้วนี่หว่า” คือเล่มมันหนามาก
“เปล่า เล่มที่มึงถือใช้เรียนยันปีสาม กูแค่อ่านล่วงหน้าเล่นๆ”
ผมมองมันที่กำลังกวาดพื้นแบบอึ้งๆ ที่ผ่านมานึกว่ามันอ่านสอบ นี่คืออ่านสอบเสร็จนานแล้วแค่มานั่งอ่านเนื้อหาล่วงหน้าฆ่าเวลาเฉยๆ เนี่ยนะ
ซันก้มกวาดเศษผงใต้โซฟา พอเงยหน้ามาเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหวอก็หลุดหัวเราะ “อึ้งอะไรขนาดนั้น กูทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว”
“เหรอวะ ที่ผ่านมากูเห็นมึงอ่านหนังสือบ้างก็จริง แต่ไม่ได้ขะมักเขม้นแบบนี้”
“ขึ้นมหา’ลัยใหม่ๆ วันๆ ทำแต่กิจกรรมมีเวลาอ่านที่ไหน กลับห้องมาทีก็เหนื่อยจนสลบแล้ว มึงก็เป็นไม่ใช่รึไง”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ มันก็พอมีเวลาพักหายใจหายคออยู่”
เจอคำถามนี้มันหันมาเค้นเสียงใส่ดังเหอะ! “ตัวต้นเหตุอย่างมึงมีหน้ามาพูดด้วยเหรอ ใช้เวลากับเรื่องเรียนยังไม่พอ ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องของมึงอีก ก่อนคบกับมึงกูสับสนจะตายห่า เกิดมาไม่เคยรู้สึกอะไรกับผู้ชาย พอได้มึงเป็นเมียก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าจะเอายังไงต่อไปในอนาคต ยังไม่ทันได้คำตอบดีต้องมาปวดหัวเรื่องเหี้ยเก้ากับปมในอดีตของมึงต่อ” มันหยุดบ่นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก “คิดอีกที กูเพิ่งมีเวลาว่างเอาช่วงก่อนสอบเลยนี่หว่า”
“ขอโทษด้วยแล้วกันที่ทำให้เสียเวลา” ผมประชด เพราะมันเป็นเรื่องจริงไงเลยเจ็บจี๊ดไปถึงตับไต ซันกลับโบกมือหัวเราะแบบชิลๆ
“ช่างเถอะ สุดท้ายก็ได้หัวใจมึงมา โคตรจะคุ้มกับเวลาที่เสียไป” ว่าพลางพยักหน้าโกยขยะทิ้งอย่างพึงพอใจ มันยังคงพูดวาจาหวานเลี่ยนได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนเคย ผมได้ทีชี้นิ้วสั่ง ใช้งานมันแก้อาการเขิน
“กูผสมน้ำยาไว้แล้ว ถูพื้นต่อด้วยมึง”
ซันมองหน้าผม ยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันถึงงั้นก็จับไม้ถูพื้นมาบิดหมาดทำงานบ้านต่ออยู่ดี มีหน้ามาฮัมเพลงอีกต่างหาก เป็นเพลงที่มันกำลังติดช่วงนี้ ได้รับอิทธิพลไปจากผมนั่นแหละ พอถึงท่อนเด็ดมันก็ร้องเสียงดัง ออกลีลาถือไม้ถูแทนไมค์
“ฉันไม่ใช่คนดีอะไรแถมยังเอาแต่ใจ
แต่เธอก็รักฉันแบบที่เป็นไม่ว่าเธอไม่เหมือนใคร
แค่กอดฉันไว้ทุกๆ คืน
ทำให้อุ่นใจไม่ว่ายามนอนหรือเมื่อยามตื่น
You my number one lady
จะไม่มีใครที่มาแทนที่เธอ
และไม่ว่านานแค่ไหน ฉันจะรักเธอตลอดไป
บอกรักเท่าจักรวาลมันก็ยังไม่พอ
ก็อยากได้ยินเธอพูดซ้ำ
Like I never heard that before
ก็อยากได้ยินมันทุกวัน อยากได้ยิน
เพียงเธอบอกรักฉัน ได้มั้ยเธอ...”
จบเพลงด้วยรอยยิ้ม ยักคิ้วหลิ่วตามาให้ผมทั้งเขินทั้งขำ ไม่รู้จะเลือกอารมณ์ไหนก่อนดี แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมโคตรมีความสุขเลยว่ะ ขอหยาบเพื่อให้ได้อารมณ์เหอะ
อยากได้คำบอกรักใช่มั้ย ได้! ผมยิ้มเปิดปากถาม “ชื่อเพลงว่าอะไร” จริงๆ ผมรู้แหละ รู้ด้วยว่าเป็นเพลงของ ILLSLICK แต่อยากให้มันพูด
“รักเมียที่สุดในโลก” ตอบเต็มเสียงชัดเจนสองหู
“นั่นไง ได้ฟังแล้ว เพลงนี้เหมาะกับมึงสุดๆ” คนที่เพิ่งรู้ว่าโดนหลอกเผยสีหน้าบึ้งตึง ปกติก็ฉลาดนะ แต่คงหวังคำบอกรักจากผมจริงๆ เพราะตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยพูดอีกเลย
เห็นหนุ่มเถื่อนงอนทำหน้างอเหมือนตูดเป็ดทำเอาผมหลุดขำจนมันฮึดฮัดหนักกว่าเดิม ผมพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ กวักมือให้มันเข้ามาหา แม้จะยังงอนอยู่แต่ก็ว่าง่ายเดินมา สงสัยคงถูกผมสั่งทำนู่นนี่จนกลายเป็นความเคยชินของร่างกาย ตอบสนองโดยอัตโนมัติไปแล้ว น่ายินดีชะมัด
ผมใช้นิ้วป้ายให้มันเลิกทำปากคว่ำแล้วคว้าหลังคอให้มันโน้มลงมาเอาหน้าผากชนกัน สบตาแลกลมหายใจในระยะประชิด ปากค่อยเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา ไม่จำเป็นต้องเสียงดัง แค่ใช้น้ำเสียงธรรมดาพูดออกมาด้วยใจ
“รักซันนะ…ที่รักของโป้” เสริมคำพูดด้วยการจูบหน้าผากเอาใจเด็กโข่ง ผิวเข้มเริ่มขึ้นสี แต่พยายามตีหน้านิ่งทั้งที่กลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ แสดงความรู้สึกออกมาผ่านแววตาหมดแล้ว พอได้แรงใจเต็มร้อยก็ฟิตทำความสะอาด อารมณ์ดีเหมือนคนบ้า กระตือรือร้นแย่งหน้าที่ทำอาหารเย็นซะด้วย
ความจริงผมไม่ใช่คนปากหนัก ที่ผ่านมาไม่พูดเนื่องจากยังไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง อุปสรรค์ทำให้เรารู้จักและสนิทใจกันมากขึ้น
ในเมื่อซันทุ่มเทให้ผมทุกอย่าง เปิดเผยจริงใจ แสดงความรู้สึกด้วยคำพูดและการกระทำขนาดนี้ ถ้าผมยังไม่รู้ใจตัวเองอีกคงโง่เต็มทน
คำว่ารัก ถ้ามีโอกาสก็ควรจะพูดออกมาซะ ผมไม่ได้กลัวว่าทุกอย่างจะสายเกินไป ยังไงผมก็ไม่คิดจะแยกจากซันอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะคำๆ นี้เปรียบเหมือนมนต์วิเศษที่ช่วยสื่อความรู้สึกของเราให้อีกฝ่ายเข้าใจมากขึ้น แถมยังมีอำนาจแฝงเพิ่มกำลังใจ ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเราได้อีกด้วย
...แต่พูดบ่อยๆ ก็ไม่ดี เดี๋ยวมันชินแล้วผมจะอดเห็นมันตอนเขิน